หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2567

คุรุเทพ - อะไรคือ ชีวอัตตา?

 คุรุเทพ - อะไรคือ ชีวอัตตา?

What Is The SOUL? | QnA From Barcelona 2022 | Gurudev

         https://youtu.be/n0FqFseh_1I?si=_G3CsGVlQ5LVNeUr


คุรุเทพ:   (พูดภาษาสเปน)...สบายดีมั้ย? ทุกคนสบายดีนะ, ท่านที่รักของฉันทั้งหลาย. ทั้งหมดสบายดี!

         บอกฉันมาตอนนี้เลย, ฉันต้องการได้ยินจากพวกคุณ. ฟังจากคุณ. มันไม่สามารถเป็นแค่เพียงหนึ่งคนพูดคุยได้. ฉันไม่ชอบการพูโคนเดียว(monologues).

ผู้ฟัง:   สวัสดีครับ, คุรุจี, ขอต้อนรับสู่บาร์เซโลนา. ขอบพระคุณท่านอย่างมาก. คำถามของผมก็คือ, อะไรคือธรรมชาติของ ชีวอัตตา? ชีวอัตตาเป็นผู้ชายหรือว่าผู้หญิง? ผมไม่คิดเช่นนั้น. แตผมได้อ่านอย่างนี้มา. ขอบคุณครับ.

คุรุเทพ:   ชีวอัตตา ไม่มีเพศ. ชีวอัตตาเป็นสิ่งโพ้นเลยไปจากเพศ. มันสามารถสมมติเป็นสิ่งใดก็ได้. (It can assume anything.)

           ชีวอัตตาก็เหมือนอวกาศ(Soul is like space). นี่นะ, ชีวอัตตา เป็นเหมือนไฟฟ้า(the soul is like electricity). ไฟฟ้าสามารถนำแสงสว่างมายังที่นี้ได้. ตรงนี้แสงสว่าง, ด้านหลังโน้นมันสามารถทำให้พัดลมหมุน. และเป็นไฟฟ้าอันเดียวกันก็อยู่ในเครื่องปรับอากาศ และเดียวกันที่อยู่ในเตาอบตอนที่คุณทำขนมปัง. ไฟฟ้าอันเดียวกันที่อยู่ในเครื่องดูดควัน.

         ดังนั้น, ชีวอัตตาก็เป็นเช่นเดียวกันนั้น. และชีวอัตตาเดียวกัน, ก็ใช้รูปร่างของสุนัข(a dog), วัว(a cow), ลา(a donkey), ผู้ชาย(male), ผู้หญิง(female). ไปๆมา, มันก็เป็นไฟฟ้า(Ultimately, it is electricity). ทุกอย่างจะให้คุณได้ตกใจ(Everything will give you shock). เครื่องซักผ้าของคุณสามารถให้ความตกใจกับคุณด้วยเช่นกัน. โคมไฟของคุณสามารถให้ความตกใจกับคุณได้ด้วยเช่นกัน. พัดลมนั่นก็ให้ความตกใจกับคุณได้. ถูกต้องไหม?(ภาษาสเปน)

         เช่นนั้นเอง. แล้วจิตนั้นตลอดเวลาก็อยู่ในความคิดทั้งหลาย(So, the mind is all the time in the thoughts). และก็แค่ปลดปล่อยจิตของคุณไป และผ่อนคลาย รู้ว่ามีออวกาศ/ที่ว่างข้างหลังที่นี้, ทุกที่. (And just let go of the mind and relax knowing there is space behind here, everywhere).

ที่ว่าง/อวกาศนั้นคือชีวอัตตา(The space is the soul).

ชีวอัตตา ไม่มีรูปทรง(The soul has no shape). ไม่มีรูปร่าง(No form). เหมือนเช่นกันกับไฟฟ้าที่ไม่มีรูปทรง(Like electricity has no shape). ถึงแม้ว่ามันจะไหลไปในสายไฟ. มันก็ไม่มีรูปทรง. ไม่มีรูปร่าง, ถูกไหม? แค่พลังงาน.

ดังนั้น, เมื่อจิตนั้นพักอยู่ในชีวอัตตา นั่นคือเมื่อคุณได้อยู่ในความสงบสันติ. (When the mind rests in the soul that is when you have peace). เมื่อจิตพักในชีวอัตตาด้วยความไม่มีชีวิตชีวาเล็กน้อยนั่นคือการหลับ และนั่นคือเมื่อคุณได้รับพลังงาน. (When the mind rests in the soul with a little dullness that is sleep and that’s when you get energy). เพราะว่าชีวอัตตาคือพลังงาน(Because the soul is energy). การติดต่อกับกับชีวอัตตามักจะเป็นพลังงานเสมอ(Contact with the soul is always energy).

และในกิจกรรมนั้น, จิตนั้น, จิตกำลังรับรู้, จิตนั้นกำลังแสดงออก, จิตนั้นกำลังร้องเพลง, สวดภาวนา, ทุกๆอย่าง. (And in activity, the mind, mind is perceiving, the mind is expressing, the mind is singing, chanting, everything.) เต้นรำ(dancing) หัวเราะ(laughing) กิน(eating) นอนหลับ(sleeping) ทั้งหมดนั้น. (All that.)

เมื่อคุณหยุดทั้งหมดนั้น, จิตก็อยู่ในการพัก/หลับลึก. (the mind is in deep rest.) พัก/หลับลึกคือสิ่งเป็นไปได้เดียวเท่านั้นในชีวอัตตา. (Deep rest is only possible in the soul.) แค่หลับลึกเท่านั้น. (Only deep rest.)

ฉันคิดว่าในอีก 2-3 วัน, ฉันจะได้คำภาษาสเปนมากขึ้นอีก. ฉันจะทำให้คุณตกงาน.

ผู้ฟัง:   ผมได้ทำสมาธิสหจะ(have been doing Sahaja1 meditation) และสุฑารฌาน กริยา(Sudarshan Kriya2)เมื่อช่วง 4 ปีที่ผ่านมานี้. เมื่อผมทำมัน, ในตอนเวลานั้นทุกอย่างก็โอเค. เมื่อผมได้เกี่ยวข้องในกิจกรรมทั้งหลาย (when I’m involved in activities or the moment I start doing them I kind of get away from the center and then one desire leads to another.  

         1 https://en.wikipedia.org/wiki/Sahaja_Yoga

         2  https://www.quora.com/What-is-Sudarshan-Kriya-and-can-one-learn-it-without-going-to-a-guru

คุรุเทพ:   ฉันเข้าใจคำถามของคุณแล้ว. แค่จินตนาการว่าคุณไม่สามารถทำปรารายามะอันใดได้, ปฏิบัติสมาธิอันใด, ไม่เลยรึ? (Just imagine you are not doing any Pranayama3, any meditation, nothing?) คุณควรจะรู้สึกอย่างไรรึ? (How would you be feeling?) ไม่ดี! (Bad!)

         3  https://en.wikipedia.org/wiki/Pranayama

         คุณอาบน้ำฝักบัวในตอนเช้า. หลังจากอาบน้ำฝักบัวคุณก็รู้สึกสดชื่นไปอีกนานมากหลายชั่วโมง. (You take a shower in the morning. After shower you feel fresh for so many hours.) แต่แล้วอีกครั้ง, คุณไม่ได้รู้สึกสดชื่นอย่างมากอีก. คุณเริ่มมีเหงื่อออกมาและอะไรทั้งหมดนั้น. แล้วคุณจะทำอย่างไร? คุณอีกครั้งก็ไปอาบน้ำ. ถึงเวลาและอีกครั้ง, มันคือธรรมชาติของเรา ที่เราเสียความเป็นจุดศูนย์กลางไป. คุณต้องกลับไปหามันอีก. (it’s our nature that we lose the centered-ness. We have to come back to it.) และเมื่อขณะคุณคอยทำมันเช่นนั้น, การฝึกฝน, ก็ถึงเวลาที่มาเมื่อคุณรู้สึกช่างเป็นศูนย์กลางเหลือเกิน, กระทั่งเมื่อคุณกำลังทำกิจกรรมทั้งหลาย.(And as you keep doing it, the practice, the time comes when you feel so centered, even you’re doing activities.)

ผู้ฟัง:   ดิฉันอยากจะถามท่านเกี่ยวกับการสำแดงประกาศ(a manifestation4). ท่านมีทัศนะอย่างไรกับเรื่องนี้? (What’s your point of view on this?) คุณเชื่อไหมว่าเราต้องใส่พลังงานเข้าไปในการสำแดงประกาศเจตจำนงในฝันทั้งหลายและความปรารถนาทั้งหลายของเรา, หรือว่าคุณคิดว่ามีอะไรบางชนิดที่เรียกว่าเขียนชะตากรรมเองได้? (Do you believe that we have to put energy into the manifesting our dreams and desires, or do you think there is some kind of written destiny?) 

         4  https://en.wikipedia.org/wiki/Law_of_attraction_(New_Thought)

คุรุเทพ:   ฉันต้องการจะถามคำถามหนึ่งกับคุณ. คุณชอบแรงปรารถนาทั้งหมดของคุณไหม? (Do you like all your desires?) ไม่เลย! (No!) คุณปรารถนาบางอย่าง. ถ้ามันบังเกิดขึ้นภายหลังช้าไปเล็กน้อย, คุณพูดว่า, “โอ้, ฉันน่าจะมีบางอย่างอื่นบังเกิดขึ้นดีกว่า (If it happens a little later, you say “Oh, I’m better that something else happened.” ไม่ใช่หรอกรึ?

         ดังนั้น, มีพวกคุณมากมายเท่าไหร่ที่มีความคิดว่า บางครั้งเมื่อความปรารถนาของคุณไม่ได้มาจริง, คุณพูดว่า “โอ ดีมากเลย, ที่มันไม่ได้บังเกิดขึ้น.” (So, how many of you have thought sometimes when you desire has not come true, you said “Oh very good, it didn’t happen.”)

         ดังนั้น, เมื่อความปรารถนานั้นได้อยู่ตรงโน้น, คุณมีความอยากได้มากมายยิ่งนักกับมัน. เมื่อมันได้บังเกิดขึ้น, หลายคนกำลังพูดว่า “บางอย่างอื่นน่าจะเป็นอะไรที่ดีกว่านะ.” (So, when that desire was there, you have so much craving for it. When it happened, many are saying “something else would have been better.”

         การสำแดงเจตจำนง; คุณมีความตั้งใจ และคุณเชื่อว่ามีพลังที่ใหญ่กว่า, มันให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่คุณ. และพูดว่า, “สิ่งนี้หรือสิ่งใดดีกว่านี้.” คุณควรจะใส่ประโยคนั้นเมื่อใดก็ตามที่คุณใส่ความตั้งใจของคุณ และคุณต้องการสำแดงเจตจำนงบางอย่าง. ประโยคนั้นก็คือ, “สิ่งนี้หรือสิ่งใดที่ดีกว่านี้.” มันจะบังเกิดขึ้น. เห็นมั้ย, ฉันไม่เคยพูดว่า, ความปรารถนาทั้งหลายนั้นผิด. ฉันได้พูดว่าความปรารถนาทั้งหลายเป็นสิ่งผิดรึ?! ความปรารถนาคือการต้องการบางความสุขอันรยิ่งใหญ่กว่าที่คุณมีในตอนนี้.  (Manifestation; you have an intention  and you believe that there is a bigger power, it gives the best to you. And say “this or anything better than this.” You should put that clause whenever you put your attention and you want to manifest something. The clause is “this or anything better than this.” It will happen. See, I never said, desires are wrong. Did I say desires are wrong?! Desire is wanting some great happiness than what you have now.)

         จิต มักจะไปยังความสุขที่ยิ่งใหญ่กว่า และมันสามารถวิ่งต่อไปเหมือนว่าจากอันหนึ่งนั้นตามหลังอีกอันหนึ่ง. บางครั้งคุณพูดว่า, “โอเค, ในตอนนี้, อะไรที่อยู่ตรงนี้ เรามารื่นรมย์กับมันกันเถิด.” นั่นคือปัญญาคติ. เย้. คุณสามารถวางแผนสำหรับพรุ่งนี้. แต่อาหารมื้อในวันนี้คุณรื่นรมย์กับมัน. คุณอยู่ที่โต๊ะอาหารเย็น. คุณมีพาสต้าอยู่ตรงหน้าของคุณ. แต่คุณกำลังวางแผนสำหรับอาหารเช้าของพรุ่งนี้เช้า;เป็นโดนัท. และคุณคอยแต่คิดอยู่ว่า, ฉันต้องการโดนัททั้งหลาย. ฉันต้องการมีพิซซ่าพรุ่งนี้เช้า. แต่, ไม่เอาน่า, พาสต้านี้กำลังเย็น. พาสต้ากำลังเย็นลงและคุณก็ไม่สามารถอร่อยกับมันได้ และหิวต่อไปอีก! และอาหารเช้าจองพรุ่งนี้เช้าที่โต๊ะ, คุณนั่งอยู่ที่นั้นและมีพิซซ่าร้อนๆกำลังมาและคุณก็กำลังคิดไปถึงไอศกรีมที่คุณต้องการจะมีมันในตอนกลางวัน. (Mind always goes towards a bigger happiness and it can go on running like that one after another. Sometimes you say “Okay, right now, what is here now let’s enjoy it.” That is wisdom. Yeah. You can plan for tomorrow. But today’s meal you enjoy. You’re at the dining table. You have pasta in front of you. But you are planning for tomorrow morning’s breakfast; donut. And you keep thinking, I want to have donuts. I want to have pizza tomorrow morning. But, come on, this pasta is going cold. The pasta goes cold and you can’t even enjoy it  and go on hungry! And tomorrow morning’s breakfast table, you sit and there is hot pizza coming and you’re thinking about ice cream which you want to have in the afternoon.)

         ฉันไม่ได้พูดว่าอย่าวางแผน. คุณวางแผนได้, แต่จงรื่นรมย์กับพิซซ่านั้น, ที่อยู่บนจานตรงหน้าของคุณและมันกำลังร้อนๆอยู่. (I’m not saying don’t plan. You plan, but enjoy the pizza, which is on your plate and it’s hot.)

ผู้ฟัง:   ไฮ, คุรุจี, เรารู้ว่าอะไรกำลังบังเกิด และความรู้พูดว่าพวกเขาโอเค, และเราทำแน่ใจว่าพวกนั้นโอเค. แต่ทำไมมันถึงให้เราใช้เวลานานเหลือเกินที่จะปริเวทนาเสียใจในบางคนอย่างแท้จริง และได้หลุดอย่างแท้จริงแยกไปจากร่างกายที่ยาวนานยิ่งอยู่นี้. (we know what’s happening and knowledge says that they are okay, and we make sure that they are okay. But why does it take us so long to actually grieve someone and actually detach from the body that is all longer here.)

คุรุเทพ:   นั่นคือที่มีคุรุตรงนั้นเพื่ออะไร. (That is what the guru is there for.) มันไม่เคยบังเกิดขึ้นมาเลยรึ?

เมื่อคุณมายังคุรุ, ห้าสิ่งได้บังเกิดขึ้น. (five things happen.) ความโศกเศร้าจากไป. (Sadness goes away.) โดยไม่มีเหตุผลใดมีบางความสุขขึ้นมา. (For no reason some happiness comes up.) และคุณก็ได้ถูกนึกขึ้นได้ถึงความรู้นั้น. (And you are reminded of the knowledge.)

ทันทีนั้นความตระหนักรู้/สัมปชัญญะก็รุ่งอรุณตื่นขึ้น. (Suddenly awarerness dawns.) ประสาทรู้สึกก็มีอำนาจขึ้นมา. (Sense prevails) จากสภาวะพร่ามัวก็กลับคืนมาสู่สำนึกรู้ทั้งหลายของคุณ. (From a gloomy state comes back to your senses.) และแล้วความปรารถนาทั้งหลายของคุณก็สำแดงประกาศขึ้น. (And then your desires manifest.) และเชาวน์ปัญญาก็ออกมาจากคุณ. (And talents come out of you.) ผู้คนผู้ที่คิดว่า “ฉันไม่ได้มีเชาวน์ปัญญานี้,” พวกนั้นก็ขึ้นมาด้วยเชาวน์ปัญญาทั้งหลายเหล่านั้น. (People who thought “I didn’t have this talent,” they came up with those talents.) (ชัยคุรุเทวา!)

ผู้ฟัง:   ท่านคุรุเทพ, ขอบคุณท่านอย่างมาก, อย่างแรกของทั้งหมด, ในการมาครึ่งทางของโลก, เพื่อพบกับพวกเรา. ฉันคิดว่าฉันต้องการจะทำบางอย่าง, แต่ฉันแค่เกียจคร้าน, แต่บางครั้งจิตนั้นชนะ และฉันก็ไม่ได้ทำมัน. (but sometimes the mind just wins and I just don’t do it.) ท่านไปกับเรื่องเช่นนั้นอย่างไรคะ?

คุรุเทพ:   ฉันต้องการจะตอบคำถามของคุณ. แต่...

         ฉันต้องการที่จะตอบแต่อย่างใดก็ตามที ฉันไม่สามารถจะตอบได้ เพราะว่า...ฉันรู้คำตอบนั้น! เห็นอะไรกำลังบังเกิดขึ้น. ฉันต้องการจะตอบ!

         เห็นมั้ยว่าเรากำลังผัดวันประกันพรุ่ง. (See we procrastinate.) ความเกียจคร้านคือเมื่อคุณไม่ได้ตั้งใจอย่างเต็มที่ในมัน. (Laziness is when you don’t really put full intention in it.) ถ้าคุณต้องการมันอย่างแท้จริง. เหมือนอย่างที่คุณกระหายเหลือเกิน, คุณต้องการน้ำ. (If you really want it. Like you’re so thirsty, you want water.) คุณจะผัดวันประกันพรุ่งไหม? (Will you procrastinate?)

         มันคือสาระสำคัญสำหรับชีวิตและความตายของคุณ. (It’s a matter of life and death for you.) คุณจะไปเพื่อหามันอย่างที่แน่นอนที่สุด. (You definitely go for it.) ดังนั้นเมื่อความปรารถนาไม่ได้มีความแรงมากพอ, แล้วความเกียจคร้านก็เข้ามายึดครอง, คุณผัดวันประกันพรุ่งเพราะว่าบางอย่างอื่นรู้สึกได้ดีกว่า. (So when the desire is not so strong, then the laziness takes over, you procrastinate because something else feels better.) ถึงแม้ว่าจิตจิตนั้นรู้ว่ามันดีสำหรับคุณ, คุณก็ไม่ทำมัน.

         คุณเห็นมั้ย? เมื่อคุณไปที่โรงพยาบาลและคุณป่วย, แต่หมอทั้งหลายนั้นสุขภาพดี, ถูกต้องไหม? (When you go to the hospital and you are sick, but the doctors are healthy, right?) แต่ถ้าหมอทั้งหลาย, พยาบาลทั้งหลาย, ถ้าพวกเขาทั้งหมดต่างก็ป่วย, ใครจะมาดูแลรักษาให้เราล่ะ?!  (If doctors, nurses, if they are all sick, who will take care of us?!)

         ดังนั้น, วันนี้, ในโลกนี้. มีความวุ่นวายยุ่งเหยิงมากมายที่ในยุโรป (There is a lot of turmoil in  Europe.) มีความทุกข์มากมายเหลือเกิน, แต่อย่างน้อยก็มีอาสาสมัครทั้งหลายของเรา, ครูทั้งหลายของเรา, คุณต้องคอยรักษาให้จิตวิญญาณทั้งหลายของคุณให้สูงไว้. (There is so much suffering, but at least our volunteers, our teachers, you have to keep your spirits high.) แล้วมีแต่เพียงที่คุณคอยรักษาให้จิตวิญญาณทั้งหลายของคุณให้สูงไว้เท่านั้น, คุณจึงจะสามารถที่จะช่วยผู้อื่นได้! ใช่มั้ย? (ภาษาสเปน).

         มันเป็นความรู้นี้(knowledge), ปัญญานี้(wisdom), ที่ช่วยให้คุณที่จะรักษารอยยิ้มของคุณในตลอดเวลายากลำบากทั้งหมด. (which helps you to keep your smile in all tough times.) คุณรู้ว่าฉันได้มีการเรียกประชุม, เรียกซูม, กับครูทั้งหลายของเราในยูเครน.  (You know I was having a conference call, zoom call, with our teachers in Ukraine.) ฉันต้องการจะบอกกับคุณในเมฆหมอกของสงครามทั้งหมดนี้ และระเบิดทิ้งลงมาทุกหนแห่ง, จิตวิญญาณนั้นของอาสาสมัครของเราและครูของเราได้สูงมากเหลือเกิน, มันได้ทำให้ฉันแปลกใจมาก. (I want to tell you in the midst of all this war and bombing happening everywhere, the spirit of our volunteers and teachers are so high, it surprised me.)

         พวกเขากำลังทำเรื่องตลกทั้งหลาย และพวกเขาได้พร้อมที่จะทำบริการนี้. (They were making jokes and they were already to do service.) ไม่ว่ากำลังทำอยู่ อย่างแท้จริง. อันตรายที่เลวร้ายที่สุดไม่สามารถเขย่าสั่นสะเทือนพวกเขาได้ เพราะว่ามีความเชื่อมั่น. (The worst danger could not shake them because there is confidence.) ความเชื่อมั่นข้างใน. (ในภาษาสเปน)

         และนั่นคืออะไรที่ความรู้ทำ, นั่นคืออะไรที่ปัญญาทำ. (And that is what knowledge does, that is what wisdom does.) คุณรู้มั้ย, ปัญญาคอยรักษาคุณให้แข็งแรงมากจากข้างใน และอ่อนนุ่มมากจากข้างนอก. (wisdom keeps you very strong from inside and very supple from outside.)

         ผู้คนฉลาดอื่นเป็นที่อ่อนนุ่มมากจากข้างใน, เปราะบางมากข้างใน. (Otherwise people are very soft inside, very vulnerable inside.) ข้างนอกเขาแสร้งเป็นที่แข็งแรงมาก. (Outside they pretend to be very strong.) แต่ด้วยปัญญาและความรู้, มันทำอะไรรึ? (But with wisdom and knowledge, what does it do?) มันนำออกมาซึ่งกำลังแข็งแรงข้างใน และมันทำเป็นพฤติภายนอกของผู้นั้น, ทุกอย่างอ่อนนุ่มนวลยิ่ง. (It brings strength inside and it makes one’s external behavior, everything very supple.)

         แต่ฉันบอกกับคุณว่าวิกฤตการณ์ทั้งหมดนี้, ทุกอย่างจะจบลงในไม่ช้านี้. (But I tell you all this crisis, everything will be over soon.) อย่าเป็นห่วงกังวล. (Don’t worry.) และเราทุกคนต่างมีบทบาทของเราที่ต้องแสดง. (And we all have a role to play.)

         สิ่งทั้งหลายบังเกิดขึ้นบนสองระดับ; หนึ่งนั้นบนระดับพื้นผิว และอีกอย่างหนึ่งบนระดับที่ละเอียด. (Things happen on two levels; one on surface level and another on the subtle level.) อย่างแท้จริงแล้ว, อาคารหลังหนึ่งได้ถูกสร้างขึ้นในห้องเขียนแบบ. สถาปนิกทั้งหลายทำมัน และแล้วสัญญาก็ได้ถูกลงนามกัน. ไม่ใช่รึ? (Actually, a building gets built in the drawing room. The architects do it and then the contract get signed. Isn’t?) อาคารทั้งหมดได้ทำเสร็จกันที่ไหนรึ? (The whole building is done where?) ในห้องสำนักงาน, ในห้องเขียนแบบ, ก่อนที่มันจะได้ถูกสำแดงประกาศ ข้างนอกบนพื้นดิน. (before it gets manifested outside on the ground.) ไม่ใช่รึ? (Isn’t?)

         แต่คุณเห็นอะไรรึ? (But what do you see?) คุณเห็นแต่เพียงอาคารที่อยู่ข้างนอกนั้น. (You see only the building outside.) และ, ไม่ใช่ทุกคนที่รู้หรือเห็นแผนที่นั้น, แบบแปลนนั้น, เอกสารพิสูจน์รับรองและสัญญานั้น. ทั้งหมดที่กำลังบังเกิดขึ้นนั้น. (And, not everybody knows or sees the map, the plan, the approval and the contract. All that is happening.) นี้คือทั้งหมดที่กำลังบังเกิดขึ้น, ในด้านหลังของสำนักงาน.

         ผู้คนด้วยด้อยกว่าในสติปัญญา, พวกเขามองเห็นได้แต่เพียงข้างนอกอาคารนั้น. (People with less intelligence, they only see the building outside.) และผู้คนฉลาดมากกว่าพูด, “โอ้ อาคารหลังใหญ่นี้ได้บังเกิดขึ้นแล้ว ที่ไหนสักแห่งข้างนอกโน่น.” (“Oh this big has happened somewhere outside also.”) งดงามข้างนอกนั่น. (ในภาษาสเปน)


         https://youtu.be/n0FqFseh_1I?si=LlyS8g_ebsWvZz14

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น