ฟื้นวินัยชาวพุทธขึ้นมา ให้เป็นวิถีของสังคมไทย - ป อ ปยุตฺโต (สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์)
https://youtu.be/lk0ljz4Gio8?si=ikFlvT_q1zANHJZL
...ธรรมะนี่เอง
และธรรมะเป็นพรที่ดีเลิศยิ่งกว่าพรใดๆ เพราะว่าเป็นไปตามหลักเหตุปัจจัย
เมื่อมีปัญญารู้เข้าใจธรรมะ นำไปประพฤติปฏิบัติแล้ว ผลดีก็ย่อมเกิดขึ้น
ตรงตามเหตุปัจจัยนั้น.
ธรรมมะที่เหมาะก็คือ
หลักคำสอนสำหรับคฤหัสถ์ โดยเฉพาะด้วยหลักที่เรียกว่า ที่วินัย
ซึ่งก็ได้ยินได้ฟังอยู่เรื่อย แต่ความจริงนั้นต้องให้แม่นเลย ที่วินัยนี่
ต้องให้ว่าปากเปล่าได้ จำแม่นติดใจเลย นึกถึงเมื่อไรก็ปรากฏชัดแจ้ง
ถ้ายังงี้ล่ะก็ถือว่า เป็นที่วินัยจริงๆ. เพราะหากว่าจำไม่ได้ วินัยก็ไม่สามารถจะปรากฏขึ้นมา
นอกจากว่าจำได้ก็นำไปประพฤติปฏิบัติด้วย.
วันนี้ก็ถือเป็นโอกาสที่จะนำเอาหลักที่วินัยของคฤหัสถ์นี้
มาทบทวน เป็นเครื่องเตือนใจในการดำเนินชีวิตด้วย
แล้วก็ในการที่จะนำไปแนะนำสั่งสอนผู้อื่น เพื่อช่วยกันสร้างสรรค์สังคมที่ดีงาม.
เพราะว่าคฤหัสถ์นั้นก็มีวินัยเช่นเดียวกัน ไม่เฉพาะพระภิกษุมีวินัย
เรื่องนี้จะต้องมาเตือนใจกันอยู่เสมอ เพราะว่าชาวพุทธมักจะลืมว่าตนมีวินัย ที่จะต้องรักษา
ก็เลยนึกว่ามีแต่พระที่มีวินัย แล้วไม่งั้นก็ไปมองวินัย เช่นวินัยทหาร
เป็นต้น แต่ที่จริงคฤหัสถ์ทุกคน ชาวพุทธทุกคนต้องมีวินัย.
วินัยของคฤหัสถ์นี่ก็ไม่มาก
ไม่ถึง ๒๒๗ ข้อ แต่ว่าถ้าประพฤติปฏิบัติถูกต้องแล้ว ก็ครอบคลุมหมด คือ
เรื่องความประพฤติที่ดีงามก็รวมอยู่ในนี้ นี่ที่วินัย วินัยของคฤหัสถ์สำหรับสร้างสรรค์ชีวิต
เป็นระเบียบชีวิตด้วย เป็นระเบียบสังคมด้วย ก็แยกเป็น ๓ ส่วนด้วยกัน. ก็มีส่วนที่
๑ เป็นส่วนของการละเว้นความชั่ว ชำระชีวิตของเรานี่ให้โล่ง เบา สะอาด
เหมือนกับคนที่อาบน้ำชำระร่างกายให้พ้นสิ่งสกปรกมัวหมอง เราก็จะได้รู้สึกว่าเบาตัว
จะทำอะไรก็สบาย
ส่วนที่ ๑
นี่ก็คือการละเว้นความชั่ว สิ่งเสียหาย ๑๔ ประการ มีอะไรบ้าง? ๑๔
ประการก็จัดเป็น ๓ หมวด หมวดที่ ๑ ก็เป็นเรื่องของ กรรมที่ทำให้ชีวิตมัวหมอง
มี ๔ ข้อ อันนี้เป็นเบื้องต้น. เนี่ยนะตอนนี้ก็จะเริ่มด้วยศีล ๕ ศีล ๕
นั้นหมายความว่าทำอะไรไม่ได้ ก็ให้ได้ศีล ๕ และทีนี้ที่วินัยนี้
ขยายออกไปอีกต่อจากศีล ๕ ก็เริ่มด้วย ๔ ข้อแรกของศีล ๕ กรรมที่ทำให้ชีวิตมัวหมอง
ก็คือการเบียดเบียนกันในสังคมมนุษย์ การสร้างเวรสร้างภัย
๑)
ก็เบียดเบียนผู้อื่นทางด้านร่างกายและชีวิต
คือการทำร้ายร่างกายทำลายชีวิต ก็เรียกว่า
ปาณาติบาต
๒)
ก็การทำร้ายผู้อื่นด้วยเบียดเบียนเรื่องทรัพย์สิน
เรียกว่าอทินนาทาน
๓)
ก็การล่วงละเมิดคู่ครองของเขา
เรียกว่ากาเมสุมิจฉาจาร
๔)
ก็การทำร้ายผู้อื่นในทางวาจา
หลอกลวงเขาทำลายผลประโยชน์ของเขา ด้วยถ้อยคำเท็จ
๔ ข้อนี่เป็นเรื่องของเวรภัยพื้นฐานที่ทำให้มนุษย์มีความเดือดร้อน
แล้วก็สังคมก็ต้องเกิดการขัดแย้งกัน ทะเลาะวิวาทอยู่กันไม่สงบสุข ถ้า ๔
ข้อนี้เราพ้นไปได้ เราก็โปร่งเบา ไม่มีเวรภัย อันนี้เป็นขั้นที่ ๑ เรียกว่า
กรรมกิเลส กรรมที่ทำให้ชีวิตมัวหมอง ๔ ประการ.
ต่อไปก็ ก้าวไปสู่ หมวดที่ ๒ หมวดที่ ๒ ก็เป็นเรื่องที่เบาลงมา
แต่เกี่ยวข้องกับตนเองมากขึ้น ก็คือการที่จะทำให้ชีวิตของเรานี่ พ้นจากหลุมอบาย
หลุมความเสื่อม ที่จะทำให้การดำเนินชีวิตไม่ก้าวหน้าเพราะมัวไปตกหลุม
แล้วก็ชีวิตก็ขาดสำคัญเรื่องการที่จะมีทรัพย์สินเงินทอง ถ้าไปตกหลุมความเสื่อมที่เรียกว่าอบายมุขแล้ว
ก็จะทำให้ ไม่ขยัน ไม่เอาใจใส่ ไม่ขวนขวายในหน้าที่การงาน แล้วก้ผลาญทรัพย์
ท่านเรียกว่า ทรัพย์ที่ยังไม่เกิด ก็ไม่เกิด ทรัพย์ที่เกิดขึ้นแล้วก็ทำให้หมดไป
อบายมุขก็มี ๖ ประการด้วยกัน.
๑) ข้อสุดท้ายของศีล
การเป็นนักเลงสุรายาเมาสิ่งเสพติด แล้วต่อไปก็ข้อ
๒) เป็นนักเลงการพนัน
สองของนี่ก็สังคมไทยนี้ มากเหลือเกิน อบายมุขเนี่ยะ
ก็แสดงว่าสังคมไทยนี่ตกหลุมอบาย ตกหลุมความเสื่อม
แค่นี้ก็ไปไม่ค่อยไหว เพราะฉะนั้นก็ต้องถอนตนจากอบายมุข หลุมอบายนี้ไป ๒
ข้อแหละ แล้วต่อไปข้อ
๓) การเที่ยวกลางคืน
เที่ยวไม่เป็นเวลา ซึ่งทำให้เสียเวลาการงานการศึกษา
แล้วก้ก่อเวรภัยเป็นที่หวาดระแวง ทำให้ทะเลาะวิวาทกันได้ง่าย เสียสุขภาพ
ทำให้ครอบครัวไม่เป็นสุข แทนที่จะมีความอบอุ่น ครอบครัวก็เลยเสียไป
มีทางมาของความเสียหายหลายประการ ฉะนั้นเที่ยวกลางคืน
ถ้าเว้นได้ก็จะทำให้ชีวิตนี้มีโอกาสในการทำสิ่งที่ดีงามมากขึ้น เอาเวลาไปใช้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์
ต่อไปข้อที่
๔) อบายมุข
ก็คือการหมกมุ่นในการบันเทิง เห็นแก่การบันเทิงจนกระทั่งก็ทำให้เสียการศึกษา
เสียการเสียงานเสียสุขภาพ เป็นต้นอีก อันนี้เวลานี้ก็การหมกมุ่นการบันเทิงก็มากเพราะ
การบันเทิงนี้เข้ามาถึงในบ้าน ในห้องนอน โดยพวกสื่อต่างๆ
ไม่ต้องไปหาข้างนอกก็ได้ ในบ้านก็เต็มไปหมด เพราะฉะนั้นก็ต้องระวัง
ก็อยู่ที่ตนเองต้องมีความเข้มแข็ง ไม่หล่นลงไปในหลุม
ทีนี้ก็ ๔ ข้อแล้ว ต่อไปก็ข้อ
๕) การคบคนชั่วเป็นมิตร
เมื่อคบคนชั่ว คบคนเช่นไรก็เป็นเช่นคนนั้น คบคนนักเลงสุรายาเสพติดก็พาไปติดยา
คบนักเลงการพนันก็พาไปเล่นการพนัน คบนักเที่ยวก็พาไปเที่ยว คบพวกหัวไม้ก็พาไปตีกัน
คบแม้คบกับคนเกียจคร้านก็พาให้ขี้เกียจไปด้วย เพราะฉะนั้นก็ต้องระวัง ไม่คบคนชั่วเป็นมิตร
แล้วข้อสุดท้าย
๖) ก็ความเกียจคร้านในการงาน
รวมทั้งการเล่าเรียนศึกษา อ้างนู่นอ้างนี่ ไม่ยอมทำหน้าที่ของตนเอง
เพราะฉะนั้นก็ ให้มีความเข้มแข็ง ไม่เห็นไม่ยอมแก่หนาวร้อน เป็นต้น
ถ้าหากว่าพ้นจากอบายมุข ๖
ประการนี้ได้ก็
ชีวิตก็มีทางที่จะเจริญก้าวหน้าแล้วแสดงถึงความมีจิตใจเข้มแข็งด้วย เพราะคนที่จะตกหลุมอบายมุขนี้ก็เป็นปกติเพราะความอ่อนแอ
ไม่สามารถที่จะเหนี่ยวรั้งตนเอง และไม่สามารถยืนบนขาของตัวเองได้เต็มที่
ก็เลยทรุดลงไปหรือหล่นลงไป เพราะฉะนั้นก็ให้พ้นจากอบายมุข อีก ๖ ประการ
ทีนี้ต่อไปก็ยังมีอีก ๔ เสียหายอีก ๔ อีก ๔
นี้เป็นเรื่องคนที่เจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น พอเราเติบโตขึ้นมาก็จะเป็นหัวหน้าครอบครัว
เป็นหัวหน้าที่ทำงาน หัวหน้าหมู่ชน มีความรับผิดชอบ คนที่เป็นหัวหน้า
ก็จำเป็นต้องรักษาหมู่คณะของตนเองนั้น ให้มีความสามัคคีเป็นต้น สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือความเป็นธรรม
เพราะฉะนั้นตรงเนี้ยะ ท่านก็จะให้หลักไว้ อย่าให้เสียความเป็นธรรม
การที่จะเสียความเป็นธรรม ก็เกิดจากการละเมิด อคติ การล่วงอคติ ๔ ประการ
อคติ ๔ ประการก็คือความลำเอียง ลำเอียงอะไร?
๑) ก็คือ
ลำเอียงเพราะชอบกัน ลำเอียงเพราะรักเรียกว่า ฉันทาคติ
๒) ลำเอียงเพราะชัง
ไม่ชอบ เรียกว่า โทสาคติ
๓) ลำเอียงเพราะเขลา
เพราะไม่รู้เรื่อง เพราะไม่ใช้ปัญญาไตร่ตรอง เพราะไม่หาข้อมูลข้อเท็จจริง
ด่วนผลีผลามตัดสินลงไป เรียกว่า โมหาคติ ลำเอียงเพราะหลง เพราะเขลา
๔) ลำเอียงเพราะกลัว(ภยาคติ)
เพราะกลัวก็ไม่สามารถรักษาความเป็นธรรมได้
อันนี้ก็อคติ ๔ ประการ ถ้าเว้นเสียได้
เราก็จะรักษาความเว้นธรรมได้
นี่ก็ครบแล้ว ๓ หมวดของสิ่งเสียหายที่ต้องละเว้น
สำหรับวินัยของพระวินัย ๑๔ ประการ ก็ไม่มากเท่าไหร่ แต่ว่ายาก.
ยากสำหรับสังคมไทยเวลาปัจจุบัน เพราะว่าสังคมไทยเดี๋ยวนี้เหลวไหลกว่าเยอะ
ต้องมีความเข้มแข็ง พวกเราชาวพุทธจะต้องฟื้นฟู สังคมขึ้นมาให้ได้ นี่ส่วนที่ ๑.
ต่อไปส่วนที่ ๒. ส่วนที่ ๒ ก็เรื่องของการวางพื้นฐานชีวิต
การวางพื้นฐานชีวิตก็มีเรื่อง ๒ อย่าง คือ
๑) การเงิน เศรษฐกิจ
๒) เรื่องคน การจัดการเรื่องคน
ก็ด้านที่ ๑ ก็เรื่องเงินทอง
เรื่องเงินทองนี่เป็นฐานสำคัญของชีวิตคฤหัสถ์ ถ้าการเงินไม่ดีจะทำให้เกิดทุกข์มาก
เกิดความเดือดร้อนกังวล นอกจากทุกข์แล้ว จะทำอะไรก็ขัดข้อง แทนที่จะปลอดโปร่ง
ทำอะไรได้ เดินหน้าไป ก็มัวพะวักพะวง ฉะนั้นท่านก็บอกว่าให้ จัดการเรื่องการเงินทรัพย์สิน
ให้มันดี ให้มั่นคงแล้วมั่นใจ
เราจะได้ก้าวไปสู่การทำหน้าที่การงานการศึกษาได้เต็มที่ ได้เต็มใจของเรา
การเงินนั้นก็มี ๒ ระดับ
ขั้นที่ ๑ ก็คือการแสวงหาด้วยความขยันหมั่นเพียร
ก็ให้ขยันเหมือนแมลงผึ้ง แมลงผึ้งนี่ ถึงเวลาก็ออกล่ะ ไม่อยู่ แล้วก็
แม้แต่เล็กๆน้อยๆก็เก็บสะสมได้ ได้น้ำหวานเกสรดอกไม้อะไรนิดๆหน่อยๆมา
สร้างรังให้ใหญ่โตโดยความสามัคคีพร้อมเพรียงกัน
เช่นอย่างในครอบครัวก็ต้องมีความสามัคคีกัน ก็จะทำให้การเงินนั้นดี
ขยันหาแล้วก็รักษาให้ดี.
และทีนี้ขั้นต่อไปก็วางแผนการใช้จ่าย ตรงนี้พระพุทธเจ้าจะเน้นเรื่อง
การวางแผนการใช้จ่าย ถ้าทำการใช้จ่ายเรื่อยเปื่อยไม่มีแผน ก็ทำให้ไม่มั่นคง
และไม่มั่นใจ คนที่มีแผน จัดทำอะไรตามแผนที่วางไว้ ก็คือมีระเบียบนั่นเอง
เมื่อมีระเบียบแล้วก็เกิดความใจ เพราะฉะนั้นนึกขึ้นมาก็ชัดเจนว่า
การเงินของเราเป็นอย่างไร เราจะใช้จ่ายอะไรเท่าไหร่เนี่ยะ อันนี้ต้องชัดต้องแม่น.
ต้องขอย้ำว่าเรื่องการเงินนี่ คนไทยเราก็ปล่อยปละละเลย
อยู่ในความประมาทกันมาก เพราะฉะนั้นก็ควรจะนำหลักที่พระพุทธเจ้าสอนมาใช้
เป็นชาวพุทธแล้วก็ไม่ปฏิบัติตาม แม้แต่เรื่องง่ายๆ เอาวางแผนการใช้ทรัพย์
ก็จัดทรัพย์เป็นส่วนๆ ว่าจะใช้จ่ายอะไรเท่าไหร่ ท่านก็วางไว้เป็นตัวอย่าง
นี่ตามสมัยโบราณ อาจจะใช้ให้เหมาะกับสมัยนี้ก็มาปรับเอา
ท่านก็บอกให้จัดสรรทรัพย์เป็น ๔ ส่วน
ส่วนที่ ๑ ให้ใช้จ่าย แล้วใช้จ่ายก็แบ่งไปอีก ใช้จ่ายเลี้ยงตัว
เลี้ยงครอบครัว เลี้ยงบิดามารดา เลี้ยงคนในปกครอง ดูแลทั้งหลายที่เรารับผิดชอบ
ให้เป็นสุข เมื่อทุกคนที่เรารับผิดชอบเป็นสุขแล้วทีนี้ก็
มีเงินเหลือจากนั้นก็ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่เขาตกทุกข์ได้ยากเป็นต้น
ทำการกุศลทำความดีอะไรที่เป็นการสร้างสรรค์สังคม ก็ร่วมช่วยเหลือ
ทั้งหมดนี้อยู่ในส่วนที่ ๑ ที่เรียกว่าใช้จ่าย ก็ไปคิดดู วางแผนให้ดี.
ต่อไปอีก ๒ ส่วนลงทุนทำกิจการงาน งานนี้เป็นเรื่องใหญ่ของชีวิต
ท่านให้มากให้ ๒ ส่วน จะทำงานอะไรก็ว่าไปตามงานนั้น.
ทีนี้ต่อไปอีกส่วน ๑
เก็บไว้เป็นหลักประกันชีวิตในยามจำเป็น เพราะว่าธรรมชาติก็ดี สังคมก็ดี
หรือชีวิตของทุกคนก็ดีเนี่ยะ ตกอยู่ใต้ความไม่เที่ยงแท้แน่นอน
เพราะฉะนั้นประมาทไม่ได้ ก็ต้อง สร้างหลักประกันไว้ ก็คือ เก็บทรัพย์
ได้ส่วนหนึ่ง เกิดมีเหตุการณ์อะไรขึ้นไม่คาดฝันก็มีใช้จ่าย อันนี้แหละเป็นเหตุที่จะทำให้เรามีความมั่นใจ
แล้วก็มีความมั่นคงในเรื่องการเงิน พอการเงินมั่นคงแล้ว ทีนี้ส่วนอื่นก็จะพลอยมั่นคงแล้วก้าวไปได้.
ต่อไปก็ อีกด้านหนึ่งก็เรื่องคน เรื่องคนก็คือรู้จักคบหา
เลือกคบ ทั้งคนระดับเดียวกัน ทั้งคนที่มาช่วยงาน ทั้งคนที่เราจะไปปรึกษาหารือ
เป็นครูอาจารย์ เป็นผู้บังคับบัญชาหรืออะไรก็แล้วแต่ เป็นทางของความเจริญก้าวหน้า แล้วท่านก็ให้เลือกคบมิตร
ให้เว้นคบ...เว้นมิตรเทียม หรือศัตรูผู้มาในร่างมิตร ๔ ประเภท
ซึ่งมีลักษณะประเภทละ ๔. แล้วก็คบหามิตรแท้ คือมิตรที่ใจจริง ซึ่งมี ๔ ประเภท แต่ละประเภทก็มีลักษณะอย่างละ
๔ อันนี้ก็ให้แต่หัวข้อ.
ก็เป็นอันว่า โดยสาระสำคัญก็คือว่าเลือกคบคน
แล้วก็เลือกคบคนดี เว้นคนชั่ว แต่ว่าท่านก็ยกเว้นบอกว่า
ไม่คบคนพาลเว้นแต่จะช่วยเขา ไม่ใช่หมายความว่าจะไม่เอาใจใส่คนโง่ คนพาล คนเลวซะเลย
คือถ้าเราแข็งพอ เราก็ต้องช่วยเหลือผู้อื่น ดึงคนพาลคนไม่ดีขึ้นมาสู่ความดีงาม .
อ้าว ทีนี้ต่อไปก็เอาละ แต่หัวข้อพอสมควร นี้ต่อไปก็ก้าวไปสู่ส่วนที่
๓. ส่วนที่ ๓. นี้เป็นเรื่องของการอยู่ร่วมสังคม
การมีชีวิตที่เกื้อกูลต่อผู้อื่น แล้วก็ทำหน้าที่ต่อเพื่อนมนุษย์ ให้ถูกต้อง.
คือมนุษย์ที่อยู่ในสังคมก็อยู่รอบตัวเรา ท่านก็บอกว่า คนเหล่านั้นก็อยู่ในสถานะต่างๆโดยสัมพันธ์กับตัวเรา
ฉะนั้นเค้าก็เลยแบ่งคนเหล่านี้เหมือนทิศ เป็นทิศทั้ง ๖
ก็แบ่งคนเป็นสถานะต่างๆตามทิศเหล่านี้.
เริ่มด้วยทิศที่ ๑ ทิศเบื้องหน้า ทิศเบื้องหน้า ผู้มาก่อนก็ได้แก่บิดามารดา
คุณพ่อคุณแม่มาก่อนเรา เป็นผู้นำชีวิตของเรา แล้วก็เป็นผู้ถ่ายทอด
ทรัพย์ต่างๆให้ ทรัพย์ภายนอกและทรัพย์ภายใน นี้ที่เราได้เจริญเติบโต
รู้จักดำเนินชีวิตนี้ก็อาศัยคุณพ่อคุณแม่ ท่านเรียกว่าเป็นบูรพาจารย์1
เป็นครูอาจารย์คนแรก
ได้เรียนวิชาจากพ่อแม่ก่อน เรียนได้แต่ไม่รู้ตัว ทำตามท่าน ทั้งทำตามอากัปกิริยา
พฤติกรรม ทั้งทำตามคำพูดแนะนำของท่านทั้งถ่ายทอดทางความรู้สึก จิตใจ ได้หมด.
นี้ก็เลยเป็นผู้มีพระคุณสูง เพราะว่าเป็นอาจารย์คนแรก เป็นผู้ให้ชีวิต เป็นผู้นำ
แล้วก็ท่านก็ให้มาจนกระทั่งว่า การที่จะนำสู่การศึกษาเล่าเรียน เป็นต้น.
ก็เลยให้มีหน้าที่ต่อคุณพ่อคุณแม่ ๕ ประการด้วยกัน ท่านเรียกว่าไหว้ทิศ ไหว้ทิศ ๑
ก็คือทำหน้าที่ต่อคุณพ่อคุณแม่ให้ถูก ๑. ท่านเลี้ยงเรามาแล้ว เลี้ยงท่านตอบแทน ๒.
แม้ว่ายังไม่มีกำลังเลี้ยงท่านได้ ก็ช่วยเหลือธุรการงาน รับใช้ท่าน ๓.
ดำรงรักษาวงศ์ตระกูล อย่างน้อยก็รักษาชื่อเสียงเกียรติคุณของพ่อแม่ไว้ให้ดี
ไม่ให้เสื่อมเสียไปเพราะเรา แต่ว่าช่วยเชิดชูให้สูงยิ่งขึ้น ๔.
ก็ทำตนให้สมเป็นทายาท เป็นผู้รับมรดกให้รับมรดกทั้งทางทรัพย์ทางวัตถุ และทรัพย์ทางภายใน
คือพ่อแม่มีคุณธรรมความดีความขยันหมั่นเพียรอะไรก็รู้จักรับ รู้จักถ่ายทอดเอามา
ก็รับทรัพย์มรดกทางนามธรรมด้วย. แล้วก็ ๕
เมื่อท่านล่วงลับไปแล้วก็ทำบุญอุทิศให้ท่าน อันนี้ก็เป็นหน้าที่ต่อบิดามารดา
ถ้าเป็นพ่อแม่เองก็ทำหน้าที่ต่อลูก ๕ ประการ. นี้ก็เป็นตัวอย่างเอาทิศที่๑
มาเป็นตัวอย่าง.
ต่อไปทิศที่ ๒ ทิศเบื้องขวา คือครูอาจารย์
เป็นลูกศิษย์ก็ทำหน้าที่ต่อครูอาจารย์ ๕ เป็นอาจารย์ก็ทำหน้าที่ต่อลูกศิษย์ ๕.
ต่อไปก็ทิศเบื้องหลัง ทิศเบื้องหลัง
ก็คือผู้มาทีหลัง ได้แก่คู่ครอง. คู่ครองนี้อีกนาน
ตามหลังพ่อแม่มานาน นานตั้ง ๒๐ ปี ๓๐ ปี. นี่ทิศเบื้องหลังก็มีหน้าที่ต่อกัน
ก็คือสามีภรรยา สามีก็มีหน้าที่ต่อภรรยา ๕ ภรรยาก็มีหน้าที่ต่อสามี ๕
อย่าง. ก็ทำหน้าที่ต่อกันให้ถูกต้อง.
ต่อไปทิศที่ ๔ ทิศเบื้องซ้าย ก็ผู้เกื้อหนุนกัน
ประคับประคองกัน ทำให้อย่างน้อยอบอุ่นใจ ก็ได้แก่มิตร เพื่อน
เพื่อนต่อเพื่อนก็มีหน้าที่ต่อกันฝ่ายละ ๕.
ต่อไปก็ทิศที่ ๕ ทิศเบื้องล่าง ได้แก่
ผู้ใต้บังคับบัญชา คนรับใช้ คนงาน กรรมกร ก็มีหน้าที่ต่อกันระหว่าง นายงานกับคนงาน
ฝ่ายละ ๕ เช่น ให้มีความเป็นธรรม มีน้ำใจต่อกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลเอาใจใส่กัน ให้ดีงาม
เพื่อจะให้งานส่วนรวมดำเนินไปด้วยดี แหละทั้ง ๒ ฝ่าย ทั้งนายงานคนงาน
มีน้ำใจต่อกันแล้ว งานส่วนรวมก็ดำเนินไปด้วยดี ก็เป็นประโยชน์ร่วมกันนั่นเอง.
ต่อไปทิศที่ ๖ ก็ทิศเบื้องบน ได้แก่
สมณะ พราหมณ์ พระสงฆ์ พระสงฆ์ก็มีหน้าที่ต่อกันกับญาติโยม
ญาติโยมคฤหัสถ์ก็มีหน้าที่ต่อพระสงฆ์ ๕ พระสงฆ์ก็มีหน้าที่ต่อญาติโยม ๖.
ตอนนี้ญาติโยมก็ไม่รู้ว่ามีหน้าที่ต่อพระสงฆ์อย่างไร
พระสงฆ์ก็บางทีไม่รู้เหมือนกันว่า มีหน้าที่ต่อญาติโยมอย่างไร.
เนี่ยะ แสดงว่าทิศ ๖ วินัยของชาวพุทธเนี่ยะ มันเลือนรางไปหมดแล้ว
ก็อยู่กันไปยังงั้น ถวายภัตตาหารไป ท่านก็ฉันไป
พากันฉันเสร็จแล้วก็ไปตามเรื่องของท่าน ไม่รู้ว่ามีหน้าที่ยังไงต่อกัน ก็เนี่ยะ
ฝ่ายละ ๕ กับ ๖. มีพระอันเดียวทั้งหมด ๖ ทิศเนี่ยะ ที่มีหน้าที่มากที่สุด
คือทุกข้อเนี่ยะเค้ามีหน้าที่ ฝ่ายละ ๕ แต่พระนี่มีหน้าที่ ๖ อย่าง สุดท้ายเลย.
แต่ว่าโดยสาระก็คือ พระมีหน้าที่ต่อญาติโยม คือให้ธรรมะ เรียกว่า ธรรมทาน
ฝ่ายโยมก็มีหน้าที่ต่อพระเรียกว่า อามิสทาน.
หมายความว่า พระนี่มีหน้าที่ดำรงรักษาธรรมะไว้ให้แก่สังคมมนุษย์
เพราะว่าสังคมมนุษย์จะอยู่ดีได้ ต้องมีธรรมะ. ทีนี้เมื่อพระสงฆ์ดำรงธรรมะไว้ให้
ญาติโยมก็เลยถือเป็นหน้าที่ที่ว่า เราจะต้องเกื้อหนุนให้ท่าน
ไม่ต้องมาห่วงใยชีวิตด้านวัตถุ แล้วท่านก็ต้องการวัตถุน้อยอยู่แล้ว
ก็เลยบอกท่านว่า ท่านไม่ต้องห่วงกังวลนะ วัตถุน่ะ ฉันจะเลี้ยงดูเอาใจใส่เอง
ท่านตั้งหน้าตั้งตาเล่าเรียนศึกษาปฏิบัติเผยแผ่ธรรมะไปเถิด
ที่ญาติโยมเขาอุปถัมภ์บำรุงก็เพื่ออันนี้ คือให้พระได้ไม่ต้องกังวลเรื่อวัตถุ
และตั้งใจอุทิศเวลา อุทิศเรี่ยวแรงกำลังให้แก่การศึกษาเล่าเรียนปฏิบัติและเผยแผ่ธรรมได้เต็มที่.
ถ้าทั้งสองฝ่ายทำหน้าที่ต่อกันได้ดีเนี่ยะ
สังคมก็จะเจริญมั่นคง ก็อยู่ที่เนี่ยะ ถ้าพุทธเพียงรู้ว่าหน้าที่ต่อกันนี่
สังคมก็ดีขึ้นเยอะเลย นี่ก็เรื่องทิศ ๖
ก็คือมีหน้าที่ต่อกันระหว่างคนในสังคมนั้นเอง ถ้าเป็นตัวเราก็ปฏิบัติหน้าที่ต่อทิศทั้ง
๖ เนี่ยะให้ถูก นี่ก็จวนจะจบแล้ว วินัยของคฤหัสถ์ ก็เหลืออีกหมวดเดียว.
หมวดเดียวก็มองกว้างคราวนี้มองคลุมทั้งสังคมว่า เราทุกคนนั้นมีหน้าที่ที่จะประสานสังคมนี้ให้เป็นเอกภาพ
มีความสามัคคีมั่นคง ในการปฏิบัติตามหลักการสงเคราะห์ เรียกว่า สังคหวัตถุ ๔
ประการ2. สังคหวัตถุ ๔
ประการนี้เป็นหลักสำคัญ เพราะว่ามนุษย์เรานี้ มีโอกาสมีกำลังมีสามารถ
ไม่เท่ากัน
ถ้าไม่เกื้อหนุนช่วยกันแล้ว สังคมก็จะอยู่ด้วยดีไม่ได้. แล้วก็จะเบียดเบียนกัน
แทนที่จะปล่อยกันไป ก็ให้มาเกื้อหนุนกัน ซึ่งจะได้ทางจิตใจก็ดีด้วย
ฉะนั้นก็เลยให้หลักสังคหวัตถุ ๔ ประการไว้.
เป็นหลักการประสานสังคมและยึดเหนี่ยวกันไว้ ยึดเหนี่ยวใจกันก็ ๑.
ยึดเหนี่ยวใจการประสานสัคมด้วยอะไร ก็ด้วยการให้ ท่านเรียกว่า ทาน
คือมีทรัพย์สินเงินทองสิ่งของเครื่องใช้ ตลอดจนวิทยาความรู้ก็มาเผื่อแผ่กัน
คนที่เขาด้อยโอกาสขาดกำลังมีปัญหา หรือเกิดภัยพิบัติ ก็ได้ช่วยเหลือกัน ก็นี่ก็ ๑.ให้ด้วยเมตตาในยามปกติ
๒.ให้ด้วยกรุณา ยามเขาเป็นทุกข์เดือดร้อนประสบภัยพิบัติ ๓.ให้ในยามเขาทำดี
ประสบการก้าวหน้า เป็นการเกื้อหนุนส่งเสริม
ต่อไปก็ข้อ ๒. ก็สงเคราะหก์กันด้วยวาจา
มีน้ำใจเรียกว่า ปิยวาจา. คือว่า ยามปกติก็พูดกันด้วยเมตตาไมตรี
ยามเขาทุกข์เดือดร้อนก็ใช้วาจาปลอบโยนแนะนำวิธีแก้ปัญหา
ยามเขาทำดีงามประสบความก้าวหน้าสำเร็จ ก็ใช้วาจาส่งเสริมสนับสนุนให้กำลังใจ.
แล้วก็ต่อไปก็ข้อที่ ๓. อัตถจริยา
ใช้เรี่ยวแรงกำลังความสามารถไปช่วยเหลือเกื้อหนุนผู้อื่น ด้วยเมตตายามปกติ
ด้วยกรุณายามเขาทุกข์เดือดร้อน เช่น ตกน้ำ
ติดไฟไหม้หรือมีความอ่อนแอเจ็บไข้ได้ป่วย
แล้วก็ใช้กำลังเรี่ยวแรงของตนไปเกื้อหนุนผู้อื่นที่เขาทำความดี
เช่นเขาทำอะไรที่เป็นการสร้างสรรค์สังคม ทำบุญทำกุศล ก็ไปร่วมช่วยให้แรงให้กำลัง
ความสามารถ ส่งเสริมการทำความดีก็ทำด้วยมุทิตา นี้เรียกว่าอัตถะจริยา.
แล้วก็ข้อ ๔. สุดท้าย ก็คือมีความเสมอภาค
มีตนเสมอ เรียกว่า สมานัตตตา คือว่า
อยู่ด้วยกันก็ไม่ดูถูกดูหมิ่นเหยียดหยามกัน อยู่ด้วยกันก็ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน
อยู่ด้วยกันก็ไม่เลือกที่รักผลักที่ชัง ให้ความเสมอภาคกัน
แล้วก็อยู่ด้วยกันก็ร่วมสุขร่วมทุกข์ ไม่ทอดทิ้งกันในยามมีทุกข์ ร่วมกันแก้ปัญหา เรียกว่า
สมานัตตา แล้ว...เอาตัวเข้าเสมอสมาน นี่ครบ ๔ ประการนี้ ก็เป็นที่จะทำให้สังคมทุกระดับเนี่ยะ
มีความสามัคคี และก็อยู่กันด้วยดี และมีความสงบสุขเจริญมั่นคง
ตั่งแต่ในครอบครัวเป็นต้นไป. พ่อแม่ก็ต้องใช้สังคหวัตถุ ๔ ประการนี้แก่ลูก
แล้วก็ต่อไปก็ขยายไปทั่วทั้งสังคม.
เนี่ยะหมดเนี้ยะ ท่านเรียกว่าที่วินัย และชาวพุทธทุกคนนี้อยากจะให้จำให้แม่น
ว่าที่วินัยของคฤหัสถ์เนี่ยะ แค่นี้แหละ สังคมไทยเจริญมั่นคงแน่ แต่แค่ที่วินัยนี่
ชาวพุทธไทยก็ทำไม่ได้ อย่าว่าแต่ทำไม่ได้เลย รู้ก็ยังไม่รู้เลย ก็จะทำยังไงล่ะ
เพราะฉะนั้นสังคมก็เป็นอย่างนี้ แล้วจะมาว่าพระพุทธศาสนาก็ไม่เห็นช่วยสังคมอะไร
ก็เราไม่เอาพุทธศาสนาแล้วน่ะ.
เพราะฉะนั้นขอให้รื้อฟื้นกัน ที่วินัยของคฤหัสถ์
อย่ามองแต่เพียงวินัยพระ เดี๋ยวจะไปดูพระไม่เห็นประพฤติตามวินัยเลย
เนี่ยะพระเสื่อม แต่โยมเสื่อมก่อนแล้ว เพราะว่าโยมนี้ไม่รู้จักวินัยมานานแล้ว
ก็เลยต่อมาพระก็เสื่อมบ้าง ทีนี้พอเสื่อมครบสองฝ่าย คราวนี้ก็หมด
ก็เลยตอนนี้ต้องรื้อฟื้นแล้ว พระก็ พระจะมีวินัยดีเมื่อโยมมีวินัยด้วย
ถ้าหากว่าโยมมีวินัยดี ตั้งอยู่ที่วินัยเนี่ยะ พระโดนล้อมกรอบ
พระไม่มีทางล่ะ พระก็โดนคุมโดยศรัทธาเนี่ยะ โดยไม่รู้ตัวเลย เพราะโยมอยู่ในวินัยแล้ว
พระก็ดิ้นไม่ได้แหละ พระก็ต้องอยู่ในวินัยด้วย ก็คุมกันเป็นชั้นๆ
คุมกันด้วยความเคารพนับถือปฏิบัติกันถูกต้อง แล้วตอนนี้ก็เลยมาย้ำกันที่วินัย
วินัยของคฤหัสถ์เนี่ยะ ๓ ส่วน ก็มี
๑) เว้นความชั่วเสียหาย
๑๔ ประการ
๒) วางฐานชีวิตให้มั่น
๒ ด้าน แล้วก็
๓) ก็ทำหน้าที่ต่อสังคมให้ถูกต้อง
โดยหลัก ๑๖ แล้วก็สังคหวัตถุ ๔
จบที่วินัยแล้วทีนี้ก็ ชีวิตก็มีระเบียบ
สังคมก็มีระเบียบ การจัดระเบียบสังคมสำเร็จ ตอนนี้ก็
สังคมไทยกำลังพยายามแค่จัดระเบียบกัน ตอนนี้ก็หนักหนาเต็มที นี้พอมีที่วินัยแล้ว
ระเบียบชีวิตระเบียบสังคมดีแล้ว ท่านก็บอก เอาละ ทีนี้เดินหน้า
ต้องวางจุดหมายชีวิต แต่ละคนก็ดำเนินชีวิตไปสู่จุดหมาย
พระพุทธเจ้าก็วางจุดหมายไว้ให้อีก.
โดยมากคนเนี่ยะ ไปคิดกันเอาอะไรเป็นจุดหมายชีวิต มักจะมองอันเดียว
พระพุทธเจ้านี่ตรัสแบ่งเป็นระดับๆเป็นขั้นๆ ก็วางระดับจุดหมายเป็น ๓ ขั้น ระดับที่
๑) อะไร? จุดหมายขั้นตาเห็น ทิฏฐธัมมิกกัตถะ3
ที่เป็นรูปธรรม ปัจจุบันทันตา อะไรบ้าง? หนึ่ง อะไรนะ?
ว่าดังๆ อุตฐานสัมปทา อ๋อ อันนี้เป็นวิธี เนี่ยะ
โดยมากท่องกันเป็นประโยชน์ปัจจุบัน ที่จริง ๔ ข้อนี่ไม่ใช่ตัวประโยชน์
มันเป็นข้อปฏิบัติเพื่อให้บรรลุจุดหมาย อุตฐานสัมปทา -
ถึงพร้อมด้วยความขยันหมั่น
เพียร,
อารักขสัมปทา – ถึงพร้อมด้วยการรักษา, กัลป์ยาณมิตตา - มีมิตรดีงาม และสัมมชีวิตตา
- มีชีวิตดี อันนี้ท่านเรียกว่า เป็นธรรมะที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ปัจจุบัน
ไม่ใช่ตัวประโยชน์ และประโยชน์ปัจจุบันในที่นี้จำกัดเฉพาะทรัพย์สินเงินทอง
ซึ่งแคบ.
ความจริงพระพุทธเจ้าตรัสไว้มากกว่านี้เยอะ
เอา, ตัวประโยชน์คือยังงี้ ตัวประโยชน์ปัจจุบันเนี่ยะ หนึ่งทรัพย์สินเงินทอง
เรื่องเศรษฐกิจ อันนี้คือตัวประโยชน์คือตัวจุดหมาย แล้วที่อุตฐานสัมปทานั้นเป็น
วิธีปฏิบัติเพื่อให้ได้ประโยชน์อันนี้. ทีนี้เวลาอ่านในแบบในตำราเนี่ยะ
มันพร่า คราวนี้ก็เลยบางทีเข้าใจผิด นึกว่านั่นเป็นตัวประโยชน์
เพราะถึงพร้อมด้วยความหมั่นมันจะเป็นตัวประโยชน์และจุดหมายได้ยังไง? ใช่มั้ย?
มันเป็นไม่ได้ มันเป็นข้อปฏิบัติเพื่อให้บรรลุจุดหมาย.
ตัวจุดหมายคือ ๑.การมีทรัพย์สินเงินทอง
อย่างน้อยพึ่งตนเองได้ในทางเศรษฐกิจ นี่อันที่ ๑.
เนี่ยะจะเห็นว่าพระพุทธเจ้าเน้นเรื่องเงินทองมากสำหรับคฤหัสถ์
อย่ามาว่าพุทธศาสนานี่ไม่เอาใจใส่วัตถุ พูด...ต้องพูดแยกให้ถูกเป็นด้านๆ
ท่านถือว่าวัตถุอย่างเดียวไม่พอ แต่ไม่ใช่ไม่สำคัญ
แล้วก็สำคัญต่อชีวิตในแต่ระดับไม่เหมือนกัน สำหรับคฤหัสถ์สำคัญแบบหนึ่ง
สำหรับพระสำคัญอีกแบบหนึ่ง ไม่เหมือนกัน ต้องแยกแยะให้ถูก อย่าพูดคลุมๆ ก็เอาละ ๑.
ก็คือเรื่องทรัพย์สินเงินทอง. ก็ต้องใช้หลักที่ว่าความขยันหมั่นเพียร เป็นต้น
เก็บรักษาใช้จ่ายให้เป็น วางแผนอะไรพวกเนี้ยะ นี้ก็จุดหมายที่ ๑. ด้านทรัพย์สินเงินทอง
พึ่งตนเองในทางเศรษกิจ.
๒.สถานะทางสังคม
อย่างน้อยทำตัวให้เป็นที่ยอมรับ ไม่น่ารังเกียจ
แล้วก็ก้าวหน้าไปในยศตำแหน่งหน้าที่การงาน มียศศักดิ์บริวาร ไอ้นี่เรียกว่า เป็นขั้น-ด้านที่
๒ ของประโยชน์ จุดหมาย ทันตาหรือปัจจุบัน.
๓.ก็เรื่องอะไร? ก็เรื่องสุขภาพ
ร่างกายแข็งแรง อย่างพระพุทธเจ้าว่า ตรัสกับพระเจ้าปเสนทิโกศล4
เล่าแทรกก็ได้ ญาติโยมจะได้ฟังด้วย พระเจ้าปเสนทิโกศลเนี่ยะ มีพระชนมายุเท่าพระพุทธเจ้า
ทีนี้ก็รักพระพุทธเจ้ามาก
มีโอกาสก็ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า แต่ทีนี้พระองค์น่ะเสวยจุ เสวยจุก็ทรงพระอ้วน
ทีนี้ก็อ้วนก็อุ้ยอ้าย อุ้ยอ้ายแล้วก็อึดอัด เวลาไปเฝ้าพระพุทธเจ้าวันหนึ่งนี่
เสวยไปใหม่ๆ ทีนี้พอไปประทับนั่ง ทีนี้ก็ทรงอึดอัด พระพุทธเจ้าก็ทรงสังเกตเห็น
พระพุทธเจ้าก็เลย
ตรัสคาถาออกมา
ซึ่งโดยสาระสำคัญก็บอกว่าเนี่ยะ ผู้ที่มีสติ
แล้วก็รู้จักประมาณในการบริโภคให้พอดี ก็จะย่อย การย่อยต่างๆก็เป็นไปด้วยดี
แล้วก็จะมีอายุยืน พระองค์ก็ตรัสในสาระสำคัญทำนองเนี้ยะ. พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ทรงเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าทรงเตือนพระองค์
ด้วยความปรารถนาดี ก็เลยทรงหันไปตรัสกับราชวัลลภ ผู้ติดตาม คนสนิทนั่นเอง บอกว่า หลาน
เป็นหลายด้วยนะราชวัลลภคนนี้ เอ้า ช่วยจำไว้หน่อยคาถาที่
ท่องไว้เวลาที่ฉันเสวยล่ะนะ เวลาจะเริ่มตักช้อนแรกก็รีบว่าคาถานี้เลย คือเกรงว่าพระองค์นี้จะเผลอ
ใช่มั้ย? เพราะว่าเสวยจุ พอจะเสวยพอเริ่มตักคำแรก ก็ให้หลานนี้ว่าคาถานี้
พอว่าคาถานี้พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ระวังพระองค์
ต่อมาหลายๆเดือนพระเจ้าปเสนทิโกศลเนี่ยะ ทรงมีพระวรกายกระปรี้กระเปร่าขึ้น
วันหนึ่งก็เลยมาปรารภรำลึกรำพึงกับพระองค์เองว่า พระพุทธเจ้าเนี่นยะ
ทรงมีความปรารถนาดีต่อพระเจ้าปเสนทิโกศลคือต่อพระองค์เองน่ะ ไม่เฉพาะด้านสำราญยิกัตถะ
ประโยชน์ทางนามธรรมเท่านั้น พระพุทธเจ้าทรงปรารถนาดีต่อพระองค์แม้แต่ทิฏฐธัมมิกัตถะด้วย
นี่แหละเห็นมั้ย? ที่พระพุทธเจ้าตรัส ประโยชน์ปัจจุบันอันหนึ่ง
ก็คือเรื่องของสุขภาพ เพราะฉะนั้นก็ การรักษาสุขภาพนี้ก็เป็นจุดหมายชีวิตปัจจุบัน
อันหนึ่ง.
แล้วต่อไปข้อ ๔.ก็เรื่องชีวิตครอบครัว
ถ้าใครมีครอบครัวก็อยู่กันให้มีความผาสุก อบอุ่นด้วยดี.
ทั้ง ๔ ข้อเนี่ยะคือ จุดหมายชีวิตในระดับรูปธรรม ปัจจุบันทันตา
คฤหัสถ์ก็ต้องพยายามทำให้ได้. ต่อไปท่านบอกไม่พอนะ จุดหมายทันตาเห็น
ต้องก้าวต่อไปอีก จุดหมายขั้นที่ ๒ เลยตาเห็น เป็นนามธรรม ลึกซึ้งในทางจิตใจ
เลยไปถึงโลกหน้า เรียกว่า สัมปรายิกัตถะ ก็ได้แก่อะไรบ้าง?
๑.มีหลักยึดเหนี่ยวจิตใจ มีศรัทธา เช่นในพระศาสนา
ในพระรัตนตรัย ในการทำความดี ก็จะทำให้จิตใจนี้ ไม่อ้างว้าง ว้าเหว่ นี้ก็เป็นข้อที่
๑. เรียกว่า ศรัทธา. แล้วก็
๒.ก็ มีชีวิตที่สุจริต ทำความดี เว้นความชั่ว อันนี้ก็ทำให้เรามีความภูมิใจในชีวิตของตนเอง
ที่สะอาดบริสุทธิ์ แล้ว
๓.ก็ได้ทำคุณประโยชน์ เรียกว่า จาคะ ได้ใช้ชีวิตที่ทำความดีทำประโยชน์กับเพื่อมนุษย์
กับสังคม ระลึกเมื่อไหร่ก็มีความสุข แล้วก็
๔.มีปัญญา รักษาตนแก้ปัญหาได้ แล้วก็
๕.ทำแต่กรรมดี มั่นใจในโลกหน้า
อันนี้ก็เป็น สัมปรายิกัตถะ ประโยชน์ที่เลยไปลึกซึ้งทางจิตใจ.
สัมปรายิกัตถะนี้ก็มาเป็นหลักประกัน-ยิกัตถะ ว่า
เรามีประโยชน์ปัจจุบันรูปธรรม ทรัพย์สินเงินทอง เกียรติยศ ฐานะแล้ว
ถ้าไม่มีประโยชน์เลย ตาเห็นนามธรรมมาช่วย ก็อาจจะลุ่มหลงมัวเมา
แล้วใช้ไปในทางไม่ดี. คนมีเงินทองทรัพย์สินบริวารอันนี้ อาจจะใช้ในทางชั่วร้ายก็ได้
อันนี้เป็นโทษมาก แต่พอมีสัมปรายิกัตถะมาก็คุมให้ใช้ในทางดี ยิ่งมีเงินมากมีทรัพย์สินยศบริวารมากก็ยิ่งทำประโยชน์ได้มาก.
ฉะนั้น ๒ ระดับนี้ประสานกัน อย่าหยุดแค่ทิฏฐธัมมิกกัตถะ ต้องก้าวไปสู่สัมปรายิกัตถะด้วย.
ต่อไปก็ยังไม่พอ ยังอีกขั้นหนึ่ง ก็คือ คนเรานี่คนดีคนร้ายก็อยู่ใต้อำนาจของกฎธรรมชาติ
มี อนิจจัง ไม่เที่ยง เป็นต้น. เพราะฉะนั้นก็ เราก็อยู่ใต้กฎธรรมชาติ มีความเปลี่ยนแปลง
มีโลกธรรมปรากฏขึ้นก็ มีความทุกข์มีความสุขไปตามความผันแปรนั้น
ท่านก็เลยบอกว่าให้ก้าวไปสู่ประโยชน์สูงสุด ก็คือการมีปัญญา
รู้เท่าทันความจริงของโลกและชีวิต.
ให้รู้เข้าใจความจริงของโลกและชีวิต ทำจิตใจเป็นอิสระได้
ก็จะไม่ตกอยู่ใต้อำนาจโลกธรรม ความผันผวนปรวนแปรทั้งหลายทั้งดีทั้งร้าย
ก็จะมีจิตใจที่มั่นคงเป็นจิตใจที่ปลอดโปร่งผ่องใส เป็นจิตเกษมได้ตลอดเวลา
อันนี้ท่านเรียกว่าเป็นมงคลอันสูงสุด เป็นประโยชน์สูงสุด เป็นข้อที่ ๓.ปรมัตถะ.
ก็เป็นอันว่าจบ ชาวพุทธก็ต้องพยายาม
ดำเนินชีวิตให้บรรลุจุดหมายทั้ง ๓ ขั้น แล้ว ๓ ขั้นนี้ก็แบ่งเป็น ๓ ด้าน.
๑. ประโยชน์
๓ ขั้นนี้ทำเพื่อตนเอง เรียกว่า อัตตัตถะ
๒. ประโยชน์หรือจุดหมาย ขั้นนี้ช่วยผู้อื่นให้เค้าบรรลุด้วย เรียกว่าปรัตถะ
๓. สิ่งที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขร่วมกัน
ทั้งทางวัตถุและนามธรรม เช่น สิ่งสาธารณูปโภค
แล้วก็เรื่องของศีลธรรม วัฒนธรรมอะไรที่จะดำรงสังคมของเราให้อยู่ดี
ให้เป็นสิ่งที่เอื้อโอกาสกับทุกคน นี้เรียกว่า อุภยัตถะ ประโยชน์ส่วนรวมร่วมกัน
ก็ทำให้ครบ ๓ ด้าน ประโยชน์ ๓ ขั้น
ทำให้ครบ ๓ ด้านนี้ก็เป็นการบริบูรณ์ ก็จบหลักการครองชีวิต นอกจากนี้แล้วก็เป็นรายละเอียดปลีกย่อย
ก็ขอให้ช่วยกันนำเอาหลักที่วินัยนี้ไปปฏิบัติ
แล้วก็ฟื้นฟูขึ้นมาเพื่อให้สังคมไทยนี้ ซึ่งเป็นสังคมชาวพุทธเนี่ยะ
สมชื่อเป็นชาวพุทธ ไม่ใช่เป็นสังคมเหลวไหล ตกอยู่ในอบาย
จะได้มีความเจริญมั่นคงต่อไป.
ก็ขอร่วมส่งเสริมกำลังใจ
อาราธนาคุณพระรัตนตรัย อวยชัยให้พร รัตนตยานุภาเวนะ รัตนะเตยะสา
ด้วยเดชานุภาพคุณพระรัตนตรัย พร้อมทั้งบุญกุศลที่ได้บำเพ็ญแล้ว
จงเป็นปัจจัยอภิบาลรักษา ให้ท่านเจริญด้วยจตุรพิธพรชัย พรั่งพร้อมด้วยคุณพ่อคุณแม่
ญาติพี่น้องลุงป้าน้าอาทั้งหลาย ขอให้เจริญก้าวหน้า
ในการดำเนินชีวิตและกิจการงานการศึกษาเล่าเรียน ให้บรรลุผลสำเร็จสมความมุ่งหมาย
สามารถบำเพ็ญประโยชน์แก่ชีวิตตน แก่ครอบครัว แก่สังคมประเทศชาติ และแก่ชาวโลกนี้ทั้งหมด
ให้มีความร่มเย็น งอกงามในพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยทั่วกันทุกท่าน
ทุกเมื่อ เทอญ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น