หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2567

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต) - มองไกล ใจกว้าง

 "มองไกล ใจกว้าง" สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต)

         https://youtu.be/jnZxiF9MPpA?si=W3C5GfHfhpRnIBRm


สมเด็จฯ:         อ้าว...มีอะไรจะถามบ้าง? นิมนต์...

พระผู้ถาม:     ขอกราบพระเดชพระคุณ คือว่าคนในสังคมนี้ก็จะมีความเห็นความคิดความรู้ความเข้าใจที่หลากหลาย หรือแตกต่างกันไป ก็นำไปสู่การปฏิบัติที่ไม่เหมือนกัน ขัดแย้งกันบ้าง แต่พระเดชำพระคุณเคยบอกว่า เมื่อเป็นเช่นนี้เราก็ต้องยอมรับจุดต่าง อยู่กันด้วยจุดร่วม คือผมไม่เข้าใจ ยอมรับจุดต่างอยู่กันด้วยจุดร่วมนั้น ต้องปฏิบัติอย่างไรครับ?

สมเด็จฯ:       อ๋อ. ครับ ครับ อ้า...อันนี้มันก็เป็นลักษณะอย่างหนึ่ง ที่มองแบบว่า แม้แต่ประชาธิปไตยมันก็ต้องเอาอันนี้ไปใช้ประโยชน์ด้วย. ก็เหมือนอย่างศาสนาต่างๆ ที่ว่าให้อยู่ร่วมกันอ่ะนะ ถ้ามันไม่รู้จักยอมรับไอ้จุดที่มันจะเป็นประโยชน์ร่วมกัน มันก็ลำบาก ถูกมั้ย? อันนี้ก็คือทั้งสองฝ่ายมันต้องยอมรับด้วยนะ ถ้าฝ่ายหนึ่งยอมรับอีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอมรับก็ลำบาก.

         ก็คือจะทำไงให้คนมีปัญญา เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยก็ต้องมีการใช้ปัญญา พิจารณาเหตุผลแล้วพูดกันได้ ในสังคมประชาธิปไตย สำคัญอันหนึ่งก็คือต้องพูดกันได้. พูดกันด้วยเหตุผล ด้วยการใช้ปัญญา. ไม่ใช่ หนึ่งพูดกันไม่ได้ก็ตีกันอย่างเดียว สองพูดกันไม่ใช่เหตุผลไม่ใช้ปัญญา ใช้แต่ความรู้สึก เอาแต่ความชอบใจไม่ชอบใจ ก็ยุ่ง.

         นี้เวลาเนี้ยะ ที่เขาแก้ปัญหาไม่ได้ตั้งแต่ระดับหมู่คณะ ไปจนถึงประเทศชาติ โลก เนี่ยะ มันก็ อันนี้อ่ะนะ มันพูดกันไม่รู้ดเรื่อวงนี่ ดูง่ายๆ อเมริกากับอิหร่าน อเมริกากับพวกตะวันออกกลาง ประเทศโน้นประเทศนี้น่ะ ก็มีปัญหากันอยู่เนี่ยะ แต่ละฝ่ายมันก็มีอะไรซ่อนแฝงอยู่ข้างใน มันมีเจตนาซ่อนเร้น มันมีจุดมุ่งหมายของตัวเองอยู่ ฝ่ายหนึ่งก็อาจจะมีโลภะ ฝ่ายหนึ่งก็อาจจะมีทิฏฐิ มีความยึดถืออุดมการณ์ของตัว เพราะฉะนั้นมันกลายเป็นเรื่องใหญ่มาก ที่ว่าทำไมพระพุทธเจ้าถึวงต้องมาสอนหลักใหญ่ๆ อย่างแก้ปัญหาเรื่อง ตัณหา มานะ ทิฏฐิ.

         มันกลายมาเป็นปัญหาพัฒนามนุษย์ระยะยาว หนึ่งตัณหา มันอยากได้ อยากได้ผลประโยชน์อยากได้ทรัพย์ อยากได้เงินทองมาก มันก็ต้องไปรุกราน ไปแย่งชิง หาทางข่มเหงไปมีอิทธิพลครอบงำเขา อีกพวกหนึ่งก็มานะ อยากใหญ่ และโดยมากก็มาด้วยแหละ พวกอยากได้ผลประโยชน์มากก็ต้องการรักษาความยิ่งใหญ่ของตัวเอง ก็ต้องไปครอบงำเขาไว้ จะครอบงำเขาได้ ตัวเองก็ต้องมีผลประโยชน์มากผลประโยชน์เหนือเขา ก็ต้องหาทั้งสองอย่าง รักษาความยิ่งใหญ่ด้วยกาสรหาผลประโยชน์ อันนี่ก็เป็นเรื่องที่ว่า จะแก้ปัญหาโลกยังไงอยากให้โลกมีสันติภาพ.

         ก็ตราบใดที่แกไม่แก้ปัญหาเรื่องตัณหา มานะ ไม่ได้ ก็ยังอยากยิ่งใหญ่เหนือคนอื่น มันก็ต้องหาทางที่จะไปจัดการ มีแผนมีอะไรต่ออะไร ไม่ซื่อต่อกัน ไม่จริงใจ แล้วเดี๋ยวนี้มันจริงใจมั้ยล่ะ? แล้วที่ร้ายมากก็คือ ทิฏฐิ แนวคิด อุดมการณ์ ความเชื่อที่ซ่อนแฝงอยู่เบื้องหลัง ไอ้ความเชื่อเนี่ยะ มันก็สามารถทำให้กำจัดผู้อื่น ทำเพื่อให้บรรลุความมุ่งหมายของตัวเอง ให้เป็นไปตามความเชื่อนั้น ก็เป็นปัญหาเรื่องนี้มาตลอด.

         ลัทธิศาสนารบกันก็เพราะเน้นเรื่องเนี้ยะ ปัญหาที่ท่านใช้คำรวมว่า ทิฏฐิ ความเชื่อ ยึดถือหลักการ ยึดถือไอ้แนวความคิดบางอย่าง อุดมการณ์สังคมนิยมคอมมิวนิสต์กับเสรีประชาธิปไตยเนี่ยะ ดูสิ สงครามเย็นมาตั้งกี่สิบปี สันติภาพไม่ได้ก็ด้วยขู่กันโดยอาวุธนิวเคลียร์เป็นตัวสำหรับขู่กันไว้ ไม่ให้มาทำอะไรกันรุนแรง กลายเป็นว่า อาวุธนิวเคลียร์นี่ เค้าเรียกว่า deterrence เป็นตัวป้องกันให้ไม่ทำการรุนแรง นี้ตอนนี้ไอ้เจ้าอาวุธนิวเคลียร์เนี่ยะ มันชักจะคลุมไม่อยู่ แต่ก่อนมันอยู่ระหว่าง ๒ มหาอำนาจใหญ่ มันก็เท่ากับว่าคุมไว้ได้ทั้งโลก ไอ้เจ้า ๒ ฝ่ายนี่ก็หือ อื๊อๆอยู่ แต่ว่าไม่กล้าทำ เพราะว่าต่างคนต่างกลัว ก็ได้แต่เบียดเบียนกันในระดับย่อย แต่ก็ว่าไม่ถึงกับสงครามโลก แต่ตอนนี้อาวุธนิวเคลียร์นั่น มันจะคุมไม่อยู่ มันจะออกไปประเทศเล็กประเทศน้อย ตอนนี้จะยิ่งปัญหาซับซ้อนเข้าไปอีก.

         ฉะนั้นเรื่องมันเยอะ ถ้าเรามองไปเรื่องเนี้ยะ เหมือนว่าเป็นปัญหาโลกแตก ก็ตราบใดที่มนุษย์มันยังมีกิเลส มันก็ต้องมีปัญหาเหล่านี้อยู่ แต่เราจะปล่อยยอมตามได้มั้ย? ก็ปล่อยไม่ได้ มันก็ต้องพยายาม ฝ่ายธรรมะ ฝ่ายพัฒนามนุษย์ แก้ไขปัญหาก็ต้องเอาไอ้คุณธรรม ความดี เข้าไปพัฒนาคน ให้ตัณหามันอยู่ในการควบคุมบ้าง เอ้า มันแย่งชิงกันนัก เอารัดเอาเปรียบกัน ก็ต้องตั้งกฎกติกาขึ้นมาคุมกัน พอว่าอย่าให้ละเมิดกฎเกณฑ์กติกานี้ ฉะนั้นก็ได้ระดับหนึ่ง.

เนี่ยะ มนุษย์มันก็อยู่กันด้วยยังงี้ คล้ายๆเดี๋ยวนี้ก็คือ จะใช้อุบายวิธีอะไรมาแก้ปัญหาในระยะหนึ่งๆๆๆ ไม่ให้มันกำเริบเลยขั้นนั้นไปได้แค่เนี้ยะ มนุษย์สมัยเนี้ยะ ทีนี้ไอ้ที่ว่า มีจุดร่วมก็คือเนี่ยะ ต้องหาประโยชน์ที่ร่วมกัน ประโยชน์ร่วมกันบางอย่างก็มองเห็นชัด แต่บางอย่างมันมองเห็นต่อเมื่อมีปัญญา นี้ หลักการนี้ก็คือต้องพัฒนามนุษย์ให้มีปัญญา ให้มองเห็นประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ เหมือนอย่างมนุษย์สมัยก่อนเนี่ยะ ไม่เห็นประโยชน์ร่วมกันในแง่สิ่งแวดล้อม เอาง่ายๆยังงี้ ถอยหลังไปแค่ปี 1960กว่า ที่เป็นเลขของเราก็ 250-10อะไรแถวนั้นน่ะ ช่วงนั้นมนุษย์ไม่มีสำนึกในเรื่องของสิ่งแวดล้อม ก็จะถลุงธรรมชาติอย่างเดียว ถือว่าตัวเองนี่มีสติปัญญาเจริญก้าวหน้า ก็จะเอาธรรมชาติมาเป็นวัตถุดิบเข้าโรงงาน อุตสาหกรรม มาบำรุงบำเรอความสุขให้พัฒนาเศรษฐกิจมนุษย์ มีกินมีใช้บำรุงบำเรอ จนกระทั่งว่าปี 1960กว่า อย่างน้อยก็อเมริกาเริ่มมองเห็นไอ้เรื่องภัย ในประเทศตัวเองที่เป็นอุตสาหกรรมเจริญมาก ปรากฏว่ามีปัญหามลภาวะ มีปัญหาอะไรต่างๆเรื่องเนี้ยะ เรื่องทรัพยากรธรรมชาติ หนักเลย ก็เลยเริ่มตั้งหน่วยงานที่เกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดล้อมขึ้นมา แล้วพอปี 1972 ก็แผ่ความคิดนี้ไปทั่วโลก.

ปี 1972 นี้มีประชุมระดับโลกครั้งแรกของโลก เรียกว่า Earth Summit Earth Summit ครั้งแรกของโลกนั้นก็ 1972 ก็เกิดความสำนึกคือรู้ เข้าใจ เรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมแล้ว ว่าการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ และการทำให้เกิดมลภาวะนี่ เป็นผลเสียต่อโลก ต่อมนุษย์ทั้งหมดเลย อันนี้ก็คือประโยชน์ร่วมกัน ก็ต้องรู้ด้วยปัญญา ก็ดเผยแพร่ความรู้อะไรต่างๆเพื่อจะให้มาช่วยกันรักษา อันนี้ก็ตัวอย่างอันหนึ่ง.

ทีนี้มนุษย์จะมารู้เพราะใจมั้ย เพราะประโยชน์ในทางสังคมประโยชน์ในทางชีวิตจิตใจ อันนี้บางทีก็ไม่ค่อยสำนึก. คือเขาจะมองเห็นไอ้สิ่งที่เป็นวัตถุง่ายๆ ประโยชน์แต่วัตถุ ไอ้สิ่งแวดล้อมเนี่ยะ จะเห็นง่ายกว่า แต่ว่าประโยชน์ในทางสังคม การเบียดเบียนข่มเหงกัน ความที่มนุษย์ส่วนหนึ่งเนี่ยะ ไม่มีโอกาสอะไรต่างๆเนี่ยะ เขาจะมองแต่ประเทศของตัวเอง ประเทศอื่นๆก็ปล่อยมัน ช่างมัน. เหมือนอย่างประเทศพัฒนาแล้วเนี่ยะ ก็เอาใจใส่ว่าประเทศของตัวเองให้คนมีโอกาสมากอย่างประเทศอเมริกาเนี่ยะ ก็จะย้ำนักย้ำหนา เป็นดินแดนของ opportunity เป็นดินแดนของโอกาส แล้วก็ freedom มีอิสรภาพเสรีภาพ แต่ว่าเวลาเอาจริงเนี่ยะ ไม่ค่อยได้คำนึงถึงประเทศเล็กน้อยเท่าไหร่หรอก พวกนั้นมันขาดโอกาส มันลำบากลำบนยังไง ก็ทำเป็นว่าสนใจ แต่ว่าในความจริงก้ไม่ได้เอาใจใส่มากมายนัก.

ทีนี้ว่า ทำไงจะให้คนเนี่ยะ มองเห็นไอ้ประโยชน์ร่วมกันอันเนี่ยะว่า คุณประโยชน์ที่มนุษย์ควรจะได้ แล้วก็มองเห็นนี่ เป็นมนุษย์เหมือนกัน พุทธศาสนาก็จะสอนในแง่นี้.ไม่ใช่มองเฉพาะพวกตัว อันนี้มันก็กลายเป็นว่า มนุษย์นั้นถือว่าไปแบ่งจำกัดพวกด้วยเรื่องเชื้อชาติ เรื่องศาสนาดินแดน เนี้ยะก็คือต้องพัฒนามนุษย์ ให้มองกว้างออกไป.

แล้วก็ทางด้านจิตใจ ให้มองเห็นประโยชน์ทางด้านจิตใจว่า มนุษย์เนี่ยะมัวแต่มาบำรุงบำเรอคิดพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมอย่างเดียวเนี่ยะ เห็นมั้ยคุณ? จิตใจก็ว้าวุ่น มีความเครียดเกิดโรคภัยไข้เจ็บ มนุษย์สมัยนี้ก็ชักเข้าใจขึ้นมา เพราะว่าเห็นของจริง พอมีความเครียดขึ้นมาแล้วก็เกิดโรคมะเร็ง เกิดโรคหัวใจ เกิดโรคความดันโลหิตสูง มนุษย์สมัยนี้ก็ตายด้วยโรคหัวใจอันดับหนึ่ง ตายด้วยโรคมะเร็งก็มากมาย อะไรต่างๆ แล้วโรคเหล่านี้มาจากไอ้เรื่องปัญหาในด้านจิตใจเรื่องความเครียดนี่มากมาย. การแพทย์สมัยนี้ก็ชักเปิดโอกาสให้มีแพทย์ทางเลือก มีตจิตใจเข้าไป เนี่ยะๆ ยังงี้เป็นต้น ก็หันมาให้ความสำคัญในด้านจิตใจเพิ่มขึ้น ทางนี้ก็เป็นการเปิดกว้างขึ้นมาบ้าง แต่ว่ามันก็ยังน้อย หมายความว่าเราจะต้อง มีการพัฒนามนุษย์ ให้สติปัญญา มีความรู้เข้าใจ เรื่องความสำคัญทางด้านจิตใจเพิ่มขึ้น แล้วก็ไม่มัวไปมุ่งแต่ว่าจะหาไอ้ความสำเริงสำราญ ความพรั่งพร้อมทางด้านวัตถุเพียงอย่างเดียว.

อันเนี้ยะเป็นตัวอย่างด้านจิตใจ ด้านสังคม ด้านสิ่งแวดล้อม ธรรมชาติอะไรพวกเนี้ยะ อันนี้ก้เป็นเรื่องของการพัฒนามนุษย์ให้มีปัญญา. แต่ทีนี้ว่า มันเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องทำกันยาวนาน ก็ต้องยอมรับความจริงว่าในแง่หนึ่ง เราก็ก้าวไปได้บ้าง ฝรั่งพวกหนึ่งก็มาสนใจด้านจิตใจ พวกหนึ่งสนใจสิ่งแวดล้อมนั้นมากน่ะธรรมดา เพราะปัญหาของเขาหนัก แต่ทว่าสนใจทางด้านจิตใจมากขึ้น.

แล้วก้ไอ้ตัวระบบ อย่างระบบประชาธิปไตยถึงแม้ว่ามันจะมีส่วนที่เอื้อให้เกิดความเลวร้ายได้ แต่มันก็มีส่วนที่ดีเยอะอยู่ อย่างน้อยก็มีกฎกติกาบางอย่างมาช่วยกันกันไว้ ไม่ให้ร้ายแรงเกินไป. แต่ว่าปัญหาตอนนี้ก็คือปัญหาเรื่องเนี้ยะ เรื่องทิฏฐิ เรื่องลัทธินิยมอุดมการณ์ ความเชื่อ ศาสนา อะไรต่างๆ เวลานี้มันถอยหลังกลับไปยังเรื่องนี้อันหนึ่ง.

คือมนุษย์ตลอดประวัติศาสตร์มันจะรบราฆ่าฟันทำสงครามขัดแย้งก็ด้วยเรื่องนี้ ตัณหา หาผลประโยชน์แย่งกัน สองเรื่องความยิ่งใหญ่อำนาจ แสวงหาอำนาจความยิ่งใหญ่ สามก็เรื่องทิฏฐิ ลัทธินิยมอุดมการณ์ศาสนา ที่เป็นความเชื่อ แล้วก็รบราฆ่าฟันกันมา. เดี๋ยวนี้มันกลับมาอันที่สาม อันที่สามนี้มันไม้ได้ลดเลยนะ ระยะที่แล้วก็คืออุดมการณ์ เสรีประชาธิปไตยกับสังคมนิยมคอมมูนิสต์. ตอนนี้ไอ้เจ้าสองตัวนี้ คอมมิวนิสต์มันหมดแรง อิทธิพลมันจะหมด แล้วตอนนี้กลับมาเรื่องศาสนา เรื่องความเชื่อในทางศาสนา นี้ก็กำลังแรงเป็นตัวใหญ่กลับมาอีก ถ้าเรามองดูอย่างเป็นกลางๆ มองเป็นความรู้ ไม่ใช่มัวไปกลัว แล้วก็พูดไม่ออก ก็อย่างศาสนาอิสลามกับคริสต์เนี่ยะ ก็รบกันตั้งกี่ร้อยปี แค่สงครามครูเสดก็ ๒๐๐ ปีแล้ว รบอยู่เนี่ยะ ก็คือลัทธิศาสนา จะต้องให้อีกฝ่ายเชื่ออย่างตัว ถ้าใครไม่เชื่อพระเจ้าของฉันก็เป็นคนป่า อะไรอย่างเนี้ยะนะ นี้ เวลานี้มันพูดกันไม่ได้นะ พอมาปัญหาศาสนายิ่งหนักเข้าไปอีก พูดกันก็ไม่ได้.

มนุษย์ถ้าจะไปเป็นประชาธิปไตย มีแง่ดีอย่างหนึ่งคือ ต้องพูดกันได้. มันขึ้นโต๊ะประชุมแล้วมันต้องพูดกันได้ อย่างเป็นรัฐมนตรีนี่ เข้าที่ประชุมแล้วต้องพูดกันได้ เราไม่ได้พูดด้วยอารมณ์หรือความรู้สึก ชอบใจไม่ชอบใจ มันพูดด้วยเหตุผล ด้วยสติปัญญา ด้วยความรู้ แล้วก็คิดโดยเจตนาดี มุ่งจะแก้ปัญหา ทำให้สังคมร่มเย็นเป็นสุข. แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่ค่อยกล้าพูด พูดเอาอกเอาใจกัน อย่างเวลาแสดงเรื่องเกี่ยวกับศาสนาเค้าก็พูดได้แค่ความเห็น ก็เลยว่าเรื่อยว่าสังคมไทยเนี่ยะ เวลานี้เอาแต่ความเห็น ไม่หาความรู้ จริงมั้ย? มีแต่ความเห็นทั่วไปหมดจนกระทั่งถึงสื่อมวลชน รัฐบาล นักวิชาการ มีแต่ความเห็น ความรู้ไม่มี ไม่พูด.

มันต้องความรู้ก่อน แล้วก็ความเห็นตั้งอยู่บนฐานความรู้ จะแสดงความเห็นอะไรต้อง”รู้”เรื่องนั้นให้ชัดก่อน ถ้าความเห็นมันไม่ตั้งอยู่บนฐานความรู้ มันก็เป็นความเห็นจากความรู้สึก. ความรู้สึกก็มี ๒ ชอบใจไม่ชอบใจ กับเฉยๆ แต่ว่ามันจะมากก็ชอบใจไม่ชอบใจ. แล้วพูดไปตามความรู้สึก ชอบใจไม่ชอบใจ อยู่แค่ความรู้สึก มันไปไหนไม่ได้หรอก.

ทางพระท่านบอกว่า ถ้าอยู่แค่ความรู้สึก ก็เป็นพาล. พาลชน ไม่ได้ใช้ปัญญา มนุษย์ที่จะเจริญงอกงามต้องใช้ปัญญา. แล้วทีนี้สังคมประชาธิปไตย เราต้องการให้พัฒนาปัญญา เราต้องการให้มีการศึกษา ก็คือพัฒนาปัญญา นี่สังคมของเราเนี่ยะขาดมาก อะไรที่ควรจะรู้ จะให้ความรู้ประชาชนก็ไม่ให้ ก็มีแต่ความเห็นทั้งนั้น.

อย่างตอนนี้เอาง่ายๆอย่างเรื่องพระศาสนา เดี๋ยวก็พูดกันเรื่องว่า จะเอาพุทธศาสนา จะเขียนรัฐธรรมนูญว่ามีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติมั้ย? ได้ยินมั้ย? แล้วก็ไปถาม อาจจะเป็นผู้ใหญ่มั่งอะไรมั่ง ก็ได้ยินบ่อยๆ จะพูดว่า โอ๊ย ไม่ได้ เดี๋ยวจะเกิดความแตกแยก ได้ยินมั้ย? แล้วท่านคิดว่ายังไง? กับคำตอบยังงี้ อยากจะฟังบ้าง เวลาได้ฟังคำตอบว่า เอ้อ ไม่ได้นะ เดี๋ยวมันจะเกิดความแตกแยก ว่าไง? ก็มักจะไปเถียงซะอีก ก็ที่ไอ้เขาพูดว่าจะเกิดความแตกแยกนั้นก็เป็นความเห็นของเขา งั้นเราไปเถียง เราก็เอาความเห็นของเราเถียง ก็เลยกลายเป็นไปเถียงกันแค่ความเห็น มันก็ไม่ไปไหนก็ทะเลาะกัน คือไอ้การที่จะไปตอบว่า เดี๋ยวจะเกิดความแตกแยกอะไรต่ออะไรนั่นน่ะ ถ้าเป็นผู้ใหญ่หรือเป็นนักวิชาการเนี่ยะ ไม่ควรพูด นอกจากพูดโดยสงวน ต้องจำกัดการพูดของตัวเอง บอกอันนี้เป็นความคิดเห็นนะ เฉพาะส่วนตัวผม ต้องบอกยังงี้ก่อน. ส่วนตัวผมเห็นว่า กลัวจะเกิดความแตกแยก.

แล้วยิ่งสังคมแบบนี้เขาแยกไม่ออกด้วย ถ้าตัวเป็นผู้ใหญ่แล้วไปพูด เดี๋ยวจะเกิดความแตกแยก เค้ามองไม่ออกว่าเป็นความเห็น เค้าอาจจะนึกว่า โอ้ นี่เป็นหลักการ นีกว่าเป็นหลักการว่า ไม่ได้ การเอาศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นศาสนาประจำชาตินี่ จะก่อให้เกิดความแตกแยก นี้เป็นหลักการ. เอ้อ อาจจะเกิดความเข้าใจผิด เชื่อไปยังงั้นก็ได้ ก็เสียซ้ำสอง เพราะฉะนั้นต้องระวัง ถ้าเป็นผู้ใหญ่ เป็นนักวิชาการ ไม่ควรจะพูด ถ้าพูดต้องจำกัดว่า ความเห็นส่วนตัวของผมว่าอย่างนี้ แต่ว่านี่เป็นความเห็นของผมนะ แต่ว่าเราควรศึกษาความรู้กัน เพราะตามหลักประชาธิปไตยต้องเคารพความคิดเห็นของกันและกัน ไม่ใช่ไปเอาว่า ตัวเป็นผู้ใหญ่แล้วจะเอาความเห็นของตัวเองไปครอบงำผู้อื่น การที่จะเคารพความคิดเห็นของผู้อื่นก็ต้องให้เขามีความรู้.

เช่นว่า รู้ข้อมูลในเรื่องนั้น ให้เขารู้ข้อมูลเรื่องนั้นเพียงพอแล้ว เขาตัดสินใจด้วยตนเอง อันนี้เรียกว่าเคารพความคิดเห็นซึ่งกัน. เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเราคือ ให้ความรู้ เอ้อ บอกว่าเรื่องศาสนาประจำชาตินี่นะ มันเป็นยังงี้ยังงี้ยังงี้นะ แล้วเราก็เอาข้อมูลมา คุณไปคิดดูว่า ดีหรือไม่ดี เขาจะได้มีความคิดเห็นของตัวเองนี้ ตั้งอยู่บนฐานความรู้ ไม่ใช่ขึ้นมา เค้าก็มีแต่ความเห็น.

เอาทีนี้ อย่างเรื่อศาสนาประจำชาติเนี่ยะ เดี๋ยวจะให้ความรู้ยังไงเช่นว่า ก็ในโลกนี้นะมันก็มีประเทศที่มีศาสนาประจำชาติอยู่ เท่าที่ทราบนี่ก็ซัก ๕-๖0 ประเทศ อ้าว ลองดู ท่านเคยรู้มั้ย? ศาสนาประจำชาติในโลกเนี้ยะ ไม่เคยใช่มั้ย? (.......) แล้วยกตัวอย่างได้มั้ย? ประเทศไหนมีศาสนาอะไรประจำชาติ (อิหร่าน.........)  นี่ก็ได้บ้าง แต่ว่ามันไม่ชัด ต้องให้รู้เป็นตัวว่าข้อมูลที่ชัดเจน วันนี้ก็เลยคุยกันเรื่องนี้หน่อย เป็นความรู้นะ.

ประเทศที่มีศาสนาประจำชาติ ในโลกนี้ก็อย่างที่ว่า ๕-๖๐ ประเทศ แต่บางทีเขาก็ไม่ได้ให้รายชื่อที่ได้ชัดเจน ก็เป็นคริสต์เนี่ยะราวๆ ๑๐ ประเทศ ๑๐ เศษๆ แล้วก็เป็นอิสลาม อิสลามนี่แหละที่ เอนไซโคพีเดียของออกฟอร์ดเค้าให้ไว้ว่า 45 ประเทศ คือเขาให้แต่ตัวเลข เขาไม่ให้รายชื่อ ก็เลยไปหาได้แค่ ๑๔ ประเทศ แล้วก็ฮินดู ๑ ประเทศ และศาสนายิว ๑ ประเทศ พุทธศาสนา ๑ ประเทศ.

เนี่ยะ ข้อมูลยังงี้ ถ้าเป็นรัฐบาลต้องมาให้ เขากำลังพิจารณาเรื่องนี้กันอยู่ กำลังเป็นเรื่องที่สนใจในสังคม ก็ต้องให้ความรู้แก่ประชาชน คือ”รัฐ”นั้นมีหน้าที่อย่างหนึ่งคือ ให้ความรู้ ข้อมูลความรู้ที่ไม่มีความเห็นประกอบ คือให้ข้อมูลล้วน ๆ ความรู้ตามที่มันเป็น ไม่มีความเห็นประกอบ แล้วคุณไปคิดเอาเอง. ทีนี้ประเทศคริสต์นี่ ยกตัวอย่าง อังกฤษมีศาสนาคริสต์ประจำชาติ ก็มี ๒ ศาสนจักร ๒ Church ก็ ๑. Church of England คือศาสนาประจำชาติใหญ่ แต่ว่าสก็อตแลนด์เขามีของเขา เขาเรียก Church of Scotland ฉะนั้นก็กลายเป็นว่าอังกฤษนั้นมี ๒ ศาสนจักร.

แล้วก็มีนอร์เวย์ แต่ก่อนสวีเดนก็มีศาสนาประจำชาติ คริสต์ แต่ตอนนี้เขาเลิกไปแล้ว ฮังการีก็เคยมีก็เลิกไปแล้ว ไปเป็นคอมมิวนิสต์เสียพักนึง ตอนนี้ก็ออกมาแล้ว แต่ว่ายังไม่เคลื่อนไหวเรื่องนี้ แล้วก็มีเดนมาร์กก็คริสต์ เป็นศาสนาประจำชาติ แล้วก็ฟินแลนด์. หมายความว่า ๓ ประเทศ นอร์เวย์ ฟินแลนด์ เดนมาร์ก ๓ ประเทศนี้มีศาสนาคริสตืประจำชาติ แต่ก่อนสวีเดนด้วยก็ครบเลย ๔ แผ่นดินตรงนั้นน่ะ เคยเป็นคริสตฺศาสนาประจำชาติทั้ง ๔ ตอนนี้เหลือ ๓ แล้วก็มีกรีนแลนด์ แล้วก็มีมอลต้า โมนาโค กรีซ พวกนี้ศาสนาคริสต์ประจำชาติ. แต่มีแนวโน้มว่าประเทศฝรั่ง ที่มีศาสนาคริสต์ประจำชาติเนี่ยะ แนวโน้มเค้าเป็นไปในทางเลิก ก็จะเห็นว่าอย่างฮังการีก็เลิกไป สวีเดนก็เลิกไป แต่ว่าต่อไปยังไงไม่รู้นะ เพราะว่ากระแสโลกบางทีมันเปลี่ยน เอา เอาคริสต์แล้ว นี้ยกตัวอย่างให้ดูแล้ว ก็เอาเป็นว่ามีราว ๑๐ สิบกว่าประเทศ.

ทีนี้ก็มาดูประเทศอิสลาม. ประเทศของชาวมุสลิม หนังสือตำรานั่นเขาบอกว่ามี ๔๕ ประเทศ แต่ว่าไม่บอกรายชื่อก็เลยค้นดู เอาที่แน่ ๆมา ๑๔ ประเทศ แต่ที่จริงไม่ใช่ ๑๔ เพราะของอิสลามนี่ มีข้อพิเศษต่างหาก คือไม่ได้มีเฉพาะศาสนาประจำชาติ ของอิสลามนี้ต้องแยกออกเป็น ๒ แบบ คืออันหนึ่งแค่มีศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ แล้วอีกระดับหนึ่งเขามีศาสนานี่ เป็นเจ้าของประเทศ ก็เรียกว่ารัฐอิสลาม หรือสาธารณรัฐอิสลาม น่ะอันนี้ก็คือ ตัวประเทศนั้นเป็นของศาสนาเลย.

เอายกตัวอย่างง่ายๆอย่างที่ท่านพูดถึงอิหร่าน อิหร่านนี่เค้าเรียกว่า Islamic republic of Iran ก็หมายความว่า สาธารณัฐอิสลามแห่งอิหร่าน. เอาพระคัมภีร์กุรอ่านเป็นรัฐธรรมนูญ คัมภีร์กุรอ่านนะ เป็นรัฐธรรมนูญนะ แล้วก็ใช้กฎหมายอิสลาม ที่เค้าเรียกว่า ชารีอะห์1. แล้วก็ Islamic Republic of Pakistan สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน แล้วก็สาธารณรัฐอิสลามมอริเทเนีย สาธารณรัฐอิสลามโคโมโลส แล้วก็รัฐอิสลามอาฟกานีสถาน อันนี้ไม่เรียกสาธารณรัฐ แต่เรียกรัฐอิสลาม Islamic state of Afghanistan. อันที่ ๕ นี่เป็นรัฐอิสระโดยตรง.

1https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8A%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B8%AE%E0%B9%8C

        ทีนี้ต่อไปก็อีกระดับหนึ่งก็คือ จะเป็นศาสนาประจำชาติ ศาสนาประจำชาตินี้ก็จะเยอะ เอ้า ยกตัวอย่างนะ ซาอุดิอาระเบีย โซมาเลีย ลิเบีย แอลจีเรีย อียิปต์ บาห์เรน บังคลาเทศ บรูไน มาเลเซียยังงี้อ่ะนะ นี่ยกตัวอย่าง ไม่ใช่หมดแล้วนะ อย่างนี้เรียกว่าศาสนาอิสลามประจำชาติ ศาสนาประจำชาติก็คือใช้คำฝรั่งเค้าเรียกว่า เป็น official religion หรือเป็น national religion หรือเป็น state religion ก็แล้วแต่ ใช้ศัพท์ได้หลายอย่าง บางทีก็ใช้เป็น national church หรือเป็น establish church.

         นี้เราก็ศึกษาไปให้รู้อย่าง เรื่องของศาสนาอิสลามล่ะแปลว่ามี ๒ ระดับ. เอ้า เอาใกล้ๆ ประเทศที่ใกล้เรา ก็มีบรูไนกับมาเลเซีย ใช่มั้ย? บรูไนก็มีประชากรเป็นมุสลิม ๖๔-๖๗ เปอร์เซ็นต์ มีพุทธศานิกชนอยู่ในบรูไนประมาณ ๙ เปอร์เซ็นต์. มาเลเซียนี่มีประชากรเป็นมุสลิม ถ้าตัวเลขตำราทั่วไปเนี่ยะ เค้าจะให้แค่ ๔๘ แต่ว่าสถิติของราชการก็จะเอา ๕๑ อันนี้เล่าแทรก หลายปีมาแล้วตอนที่เขาเอาศาสนาอิสลามมาเป็นศาสนาประจำชาติใหม่ๆ มีคนจีนมาจากมาเลเซีย มาไม่รู้จักกันเลย อยู่ๆก็ไปที่วัด แล้วก็ไปเล่าไปบอกว่า เนี่ยะ รัฐบาลมันโกง ว่าอันที่จริงมีประชากรมุสลิมประมาณ ๔๘ เปอร์เซ็นต์น่ะ แล้วเค้าหลอกชาวบ้าน ว่าตอนนี้มุสลิมมี ๕๑ เปอร์เซ็นต์เป็นส้วนใหญ่แล้ว เพราะฉะนั้นเขาก็เอาเป็นศาสนาประจำชาติได้ ก็ว่างั้นนะ แกก็วิตกห่วงใยต่างๆ เราก็ไม่รู้จะทำยังไง เราเป็นคนนอก ได้แต่ฟัง เราฟังแล้วเราก็ เอ๊ะ เราไม่ได้ถือไอ้ตัว ๔๘, ๕๑ แค่ ๕๑ ก็เอาเป็นศาสนาประจำชาติแล้วหรือ?

         นี้ก็คือเป็นข้อมูลความรู้ ส่วนความเห็นที่แทรกๆเอาไว้ ไม่ต้องไปถือ เอาแต่ข้อมูลความรู้ นี้ก็เป็นตัวอย่างให้เข้าใจ ในประเทศมาเลเซียก็มีประชากรที่เป็นชาวพุทธเนี่ยะ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเชื้อสายจีนเนี่ยะ ประมาณ ๗ เปอร์เซ็นต์ แล้วก็คนไทยที่อยู่ในรัฐทางใกล้ชายแดนไทย ก็มีพวก กลันตัน ตรังกานู เคดาห์ อะไรพวกนี้นะ เคยเป็นของไทยมาก่อน ก็มีวัดไทยอยู่ในนั้นพอสมควร อันนี้เราก็รู้จัก แล้วเราก็ต้องศึกษาต่อไป แล้วเค้าปฏิบัติต่อเรื่องศาสนานี้ยังไง? อย่างมาเลเซียนี้มีตำรวจศาสนา อย่างพระพูดในวัดนี่ก็จะมีตำรวจศาสนามาฟัง ว่าพูดไปกระทบศาสนาหรือเปล่า ยิ่งถ้าไปพูดนอกวัดก็ยิ่งต้องมาฟัง อะไรทำนองนี้.

คือเป็นเรื่องความรู้ รัฐบาลมีหน้าที่เผยแพร่ให้ประชาชนไม่อยู่ในความโง่เขลา คนที่จะรู้จักตัดสินใจนี่ก็ต้องมีความรู้ หรือมีปัญญา พูดง่ายๆ ทีนี้จะทำให้ประชาชนคนไทยมีปัญญา หรือมีความรู้ที่จะตัดสินใจ ก็ต้องให้ความรู้ ไม่ใช่ปล่อยอยู่กับความโง่เขลา คิดเอาเอง เดาเอา แล้วก็ให้แต่ความเห็นอะไรต่ออะไรเรื่อยไป เคารพความคิดเห็น ก็ให้ความรู้ไป บอกทัศนะส่วนตัวผมว่าอย่างนี้นะ ปแต่ว่าคุณก็มีสิทธิคิด แต่คุณต้องคิดด้วยความรู้ คือผมก็จะให้ความรู้คุณ ก็ให้ความรู้ไปสิ ความรู้เรื่องยังเงี้ยะ มันมีอีกเยอะ พอเราเผยแพร่ก็จะมีข้อมูลให้อีกมากมาย ว่ายังไงๆ อย่างประเทศมุสลิมด้วยกัน เขาก็ปฏิบัติต่อเรื่องเดียวกันไม่เหมือนกัน อย่างประเทศมุสลิมต่างก็จะมีปัญหากันเอง ระหว่างพวกที่ต้องการเป็นประชาธิปไตยแบบเปิดกว้าง และพวกที่ต้องการจะสถาปนารัฐ ให้เป็นรัฐอิสลาม.

ก็อย่างง่ายๆอินโดนีเซีย อาเจะห์ เคยได้ยินมั้ยฮะ? อาเจะห์นี้อยู่ยอดเหนือสุดของเกาะสุมาตรา เคยอาณาจักรมุสลิมที่ยิ่งใหญ่มาก สู้กับพวกโปรตุเกสได้ ยืนหยัดมาจนสิ้นสุดยุคโปรตุเกสไม่ตกเป็นอาณานิคม แต่มาแพ้ฮอลันดา ส่วนมาเลเซียนี่อาณาจักรยิ่งใหญ่ชื่ออาณาจักรมะละกา มาเลเซียนี่จะภูมิใจมากในอาณาจักรมะละกา ถือว่าหัวใจหรือความเป็นมาเลเซียอยู่ที่อาณาจักรมะละกา ความเป็นมลายู มะละกานี่พอโปรตุเกสมาก็แพ้ โปรตุเกสก็เอามะละกาเป็นเมืองขึ้น แต่อาณาจักรอาเจะห์นั้นอยู่ สู้โปรตุเกสได้แต่ก็มาแพ้ฮอลันดา ก็เลยหมด อินโดนีเซีย มาเลเซีย พวกนี้ก็ตกไปเป็นเมืองขึ้น เป็นอาณานิคมหมด ต่อมาโปรตุเกสก็แพ้ฮอลันดา ฮอลันดาก็แพ้อังกฤษ อังกฤษก็ยึดหมดมาเลเซีย ส่วนอินโดนีเซียนั่นก็ไปเป็นของฮอลันดา จนกระทั่งมาเจอญี่ปุ่น ญี่ปุ่นก็เข้าไปอีก และต่อมาก็ได้เอกราช.

เรื่องมันก็เป็นยังเงี่ยะ ทีนี้อาเจะห์เขามีความรุนแรง ต้องการจะสถาปนาประเทศอินโดนีเซียเป็นรัฐอิสลาม ส่วนว่ารัฐบาลกลางนี่ ก็ไม่ต้องการ ก็ต้องการจะเป็นประชาธิปไตย กว้างหน่อย ก็เลยสู้รบกัน หมายความว่า รัฐที่เป็นมุสลิมเองก็รบกัน ก็เพราะปัญหาเรื่องนี้ ปัญหานี้ก็ยังอยู่ในประเทศมาเลเซีย มาเลเซียนี่รัฐบาลกลางก็ยังค่อนข้างเปิดไปทางประชาธิปไตย มากพอสมควร แต่ว่ามีบางรัฐ อย่างรัฐกลันตัน ตรังกานูนี่จะเข้ม ในการที่จะพยายามสถาปนารัฐอิสลาม จะให้ใช้กฎหมายอิสลาม ซึ่งติดอยู่กับชายแดนไทยจังหวัด ๓ จังหวัดนี่เลย อะไรงี้เป็นต้นนี่น่ะ.

ก็น่าจะเผยแพร่ความรู้อย่างนี้กับประชาชน อันนี้มันไม่ใช่เรื่องลึกลับซับซ้อนอะไร ขนาดอยู่วัดยังรู้เลย ความรู้เป็นสิ่งสำคัญสำหรับสังคมประชาธิปไตย เราต้องการให้ประชาชนมีความสามารถในการคิด พิจารณาในความคิดและตัดสินใจให้ถูกต้อง คนจะตัดสินใจได้ถูกต้อง ต้องมีความรู้ ต้องอย่างน้อยมีข้อมูล แล้วก็พัฒนาปัญญาในการคิดพิจารณา แล้วก็เอาธรรมะประกอบเข้าไป ไม่คิดลำเอียงโดยเพียงชอบใจไม่ชอบใจ คือมีปัญญาแต่ว่าคิดลำเอียงตาสมชแอบใจ เข้าข้างตัวเองไปเบียดเบียนผู้อื่น นี่ก็แย่ ใช่มั้ย? ก็ไปสนองตัณหา มานะ ทิฏฐิ  เราต้องการให้ใช้ปัญญาแต่ว่า เอาเมตตา ความปรารถนาดี ต่อสังคมทั้งหมด ทั้งตัวเองและผู้อื่นทั้งโลกน่ะ ให้อยู่กันด้วยดี ก็คิดบนฐานของเมตตา ความปรารถนาดี จะแก้ปัญหาว่าจะอยู่กันด้วยดียังไง แต่ถ้าไม่รู้ มันคิดไม่ออกนะ ใช่มั้ย? ไม่ใช่ข้อมูลนี้มัน...ไม่น่าพอใจ มันจะเกิดปัญหา แกมองไม่เป็น.

ข้อมูลเดียวกัน ความรู้เดียวกันเนี่ยะ คนหนึ่งเค้ามีเจตนาดี เค้าคิดเอาไปใช้แก้ปัญหา สร้างสรรค์ทำให้อยู่ร่วมกันได้ดี ส่วนอีกคนหนึ่งไปแต่คิดจะทำร้ายผู้อื่น จะเอาเพื่อตน มันก็เป็นคนล่ะเรื่อง เราก็ต้องไปพัฒนาอีกด้าน คือด้านพัฒนาคนให้มีคุณธรรม ให้รู้จักมีเมตตาเป็นต้น. เพื่อจะได้ตั้งเจตนาให้ถูกในการคิด มันก็จะดีขึ้น ข้อสำคัญก็คือเนี่ยะ ให้ประสานกัน.

คนดีแต่ว่าไม่มีปัญญา เป็นยังไงคนดีไม่มีปัญญา? ก็เป็นซื่อแต่เซ่อ ซื่อแต่เซ่อ แล้วเกิดไรขึ้นล่ะ? ก็แย่สิ ก็ต้องทำดีด้วยความรู้ จะทำอะไรที่ดีก็ทำด้วยความรู้ มีปัญญา แล้วก็เจตนามันดี ตรงนี้แหละสำคัญ เจตนาเราต้องการแก้ปัญหา ไม่ใช่ว่าเรารู้เพื่อจะเอาไปทำร้าย อย่างเนี้ยะเค้าพูดอะไรมาก็ไม่รู้เข้าใจ ภาษามลายูอะไรเนี่ยะไม่รู้เรื่อง ก็ทำไม วิทยุก็มี สื่อมวลชนทีวี ทำไมไม่ให้ความรู้ประชาชน เอาไปมัวแต่สนุกสนานก็ไม่รู้ ใช่มั้ย? เนี่ยะอยู่กับความรู้สึกเท่านั้นเอง ก็อย่าง เอ้า เค้าพูดมาภาษามลายู ภาษามลายูคืออะไร? ก็เอาสิพูดไป.

เอ้า ผมเล่าให้ฟังเป็นบางแง่เนี่ยะ อย่างเรื่อง มาเลเซียนี่ภูมิใจในความเป็นมลายู ถูกมั้ย? แล้วความเป็นมลายูนี่ก็ มีศูนย์กลางที่อาณาจักรมะละกา เพราะเช่นนั้นมาเลเซียภูมิใจในอาณาจักรมะละกา ท่านรู้มั้ย? อาณาจักรมะละกามาจากไหน? แล้วมลายูอยู่ที่ไหน? มลายูเนี่ยะ คนมาเลเซียเค้าภูมิใจมาก เคาถือเค้าคล้ายๆเป็นศูนย์กลางของความเป็นมลายู แต่เวลานี้ทางสุมาตราเค้าไม่พอใจอยู่นะ เคาไม่พอใจอะไร? เค้าบอกว่า ทำไมมาเลเซียจึงทำอย่างนี้? ทั้ง ๆที่ความจริงนั้น ศูนย์กลางของความเป็นมลายู อยู่ที่สุมาตรา.

อ้าว เดี๋ยวท่านฟังแล้วจะรู้ คือมลายูเนี่ยะ มีอาณาจักรหนึ่ง เดี๋ยวนี้ยังมีชื่ออยู่ว่า ชัมพี อยู่ที่เกาะสุมาตรา ชัมพีเนี่ยะ อยู่แถวสุมาตราเกาะลงมาทางล่างๆนิดนึง แล้วใต้เมืองชัมพีนั้นก็จะมีเมืองปาเล็มบัง เคยได้ยินมั้ย-ปาเล็มบัง? ปาเล็มบังเนี่ยะเคยเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรโบราณชื่อว่า อาณาจักรศรีวิชัย2. อาณาจักรศรีวิชัยก็คืออาณาจักรพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ อยู่ตั้งในราว ๗-๘ ศต-

2https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%A2

วรรษ ๗-๘๐๐ ปี เนี่ยะ แล้วอาณาจักรศรีวิชัยก็ยิ่งใหญ่จนกระทั่งว่า มีอำนาจเข้ามาหมดมาเลเซีย แล้วเข้ามาถึงใต้ของประเทศไทย แถวสุราษฎร์ธานี อย่างท่าพุทธทาสเนี่ยะ ท่านยังมีรูปพระอวโลกิเตศวร พระโพธิสัตว์น่ะ ที่เอาไปตั้งไว้ที่สวนโมกข์นั่นน่ะ นั่นก็ถือว่า มาจากอาณาจักรศรีวิชัย พระโพธิสัตว์มหายาน.

         เนี่ยะ อาณาจักรศรีวิชัย อาณาจักรพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่เนี่ยะ ก็มีอำนาจเข้ามาถึงใต้ของไทยเลย. เอาละ ศูนย์กลางเค้าอยู่ที่สุมาตรา ก็คือเมืองปาเล็มบังในปัจจุบัน ทีนี้ ดินแดนมลายูเนี่ยะ ก็อยู่เหนือตรงนั้นแหละ เหนือปาเล็มบัง ที่ชัมพี แล้วทั้งหมดนั่นแหละก็เป็นมลายู ก็หมายความว่า ชาวอาณาจักรศรีวิชัย  ก็คือชาวมลายู.

         เพราะฉะนั้นชาวมลายูก็คือชาวพุทธมาก่อน เกือบพันปี. ชาวมลายูเนี่ยะ เดิมเป็นชาวพุทธ เป็นชาวพุทธมานานเน เจริญรุ่งเรืองมาก ฉะนั้นเวลานี้ที่ประเทศอินโดนีเซียเนี่ยะ เขามีความรู้สึกรำลึกถึงบรรพบุรุษเขา ฉะนั้นคนอินโดนีเซียนี่ได้ทราบว่า จะไม่รังเกียจพระรังเกียจชาวพุทธ ต้อนรับอย่างดี ถึงขนาดว่าเวลามีลูกเกิดนี่ยังไปขอชื่อจากพระ ทั้ง ๆที่เป็นมุสลิม จะเห็นว่าชื่อคนอินโดนีเซียเนี่ยะ จะมีชื่อบาลีสันสกฤตปนอยู่ เช่น นางซูการ์โน ปุตรี เมกาวตี เนี่ยะ มาจากภาษาสันสกฤต เพราะอารยธรรมของเขา เดิมเป็นพุทธ ฝังลึกมากจนกระทั่งในภาษามลายูเนี่ยะ มีศัพท์พุทธศาสนาเยอะเลย ศัพท์สันสกฤต เพราะฉะนั้นอย่าไปนึกว่าภาษาไทยนี้มีภาษาบาลีสันสกฤตเยอะนะ ต้องไปวิเคราะห์กันดู ใครมีเวลาก็ไปดูซิว่า ในภาษามลายูเนี่ยะ มีภาษาสันสกฤตจากพุทธศาสนามากเพียงใด.

         เอ้า ดินแดนที่เกาะสุมาตรานั่นก็เป็นอาณาจักรศรีวิชัย อาณาจักรศรีวิชัยก็เจริญรุ่งเรืองอยู่อย่างว่า เป็นเวลายาวนานมาก หลวงจีนบางท่านก็เคยไปแวะที่นี่ อย่างหลวงจีนอี้จิง เดินทางจากประเทศจีน แล้วก็ไปศึกษาที่มหาวิทยาลัยนาลันทา ที่อินเดีย ก็มาแวะที่อาณาจักรศรีวิชัย กษัตริย์ศรีวิชัยก็ยังต้อนรับท่าน แล้วก็อุตส่าห์จัดการเรื่องส่งเดินทางท่านอีก คนที่จะไปเรียนนาลันทาบอกว่า ควรที่จะมาเรียนที่ศรีวิชัยก่อน นี้ ศรีวิชัยในอดีตยิ่งใหญ่มาก.

นี้ก็ต่อมาอีกนานจนกระทั่งว่า ผ่านไปห้าหกร้อยเจ็ดร้อยปี ก็มาถึงอีกยุคหนึ่ง ที่ชวา ชวาก็เคยเป็นดินแดนที่พุทธศาสนากับศาสนาฮินดูแข่งกันมาก่อน ที่ชวาจะมีมหาเจดีย์อยู่อันหนึ่ง หรือเรียกว่ามหาสถูป เราเรียกภาษาปัจจุบันว่า บุโรบุดเดอร์3 นั้นอยู่ที่เกาะชวา อยู่ใกล้เมือง จอร์ค จาการ์ต้า(Yogyakarta) จาการ์ต้าเป็นเมืองหลวงของอินโดนีเซีย อยู่ที่เกาะชวา จอร์ค จาการ์ต้านี้ก็

3https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%A3%E0%B9%8C

อยู่ใกล้กับมหาสถูปบุโรบุดเดอร์ ซึ่งสันนิษฐานว่ามาจากคำว่า บรมพุทโธ แล้วก็เลือนไป เวลานี้ที่อินเดียก็ ก็กำลังขุดค้นพบมหาสถูปใหญ่ ซึ่งเข้าใจว่าเป็นที่มาของบรมพุทโธ ที่อินโดนีเซีย รูปร่างแบบเดียวกัน กำลังขุดแต่งกันใหญ่ ว่าใหญ่กว่าที่อินโดนีเซีย เจดีย์ เพิ่งจะขุดพบ.

         เอาละ ที่ชวาเองก็เคยมีพุทธศาสนาคู่กับฮินดู ก่อนที่สุมาตราด้วยซ้ำ ทีนี้ต่อมา ศรีวิชัยที่สุมาตราก็ยิ่งใหญ่ขึ้นมา ทีนี้ต่อมาสุมาตรา ศรีวิชัยก็ชักเสื่อม และที่ชวาก็มีอาณาจักรใหม่เกิดขึ้น เรียกว่าอาณาจักรมัชปาหิต4อาณาจักรมัชปาหิตนี่ เป็นฮินดุ มัชปาหิตนี้ยิ่งใหญ่ขึ้นมาในที่สุดมัชปาหิตก็เอาศรีวิชัย ลงอยู่ใต้อำนาจ ก็แผ่อำนาจไปครอบงำหมด จนกระทั่งขึ้นมาทางมาเลเซีย ทาง...

         4https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%8A%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B4%E0%B8%95

แผ่นดินทางนี้ด้วย ก็กลายเป็นว่าอยู่ใต้อิทธิพลมัชปาหิต.

         ทีนี้ที่ศรีวิชัยนั้น มีตอนหนึ่งที่กษัตริย์มัชปาหิตที่ยิ่งใหญ่น่ะ องค์หนึ่งสวรรคตลง เวลาเปลี่ยนแผ่นดินเนี่ยะ มันมักยุ่งยาก ทำให้ประเทศนั้นอ่อนแอ รบรากันอยู่ ทีนี้ตอนที่กษัตริย์มัชปาหิตที่ยิ่งใหญ่ สวรรคตกำลังเปลี่ยนแผ่นดินเนี่ยะ ทางศรีวิชัยก็เห็นเป็นโอกาสว่าเราจะแข็งเมือง ตั้งตัวเป็นใหญ่กลับคืนมา ก็มีเจ้าชายองค์หนึ่ง ที่กำลังครองอยู่เวลานั้น ที่ศรีวิชัยสุมาตรา ชื่อว่าเจ้าชายปรเมศวร เจ้าชายปรเมศวรก็เลยทำท่าแข็งเมืองขึ้นมา แต่ผิดหวังเพราะว่า มัชปาหิตไม่ได้มีเรื่องวุ่นวายนาน เขาจัดการแผ่นดินของเขาได้เรียบร้อยโดยเร็ว พอมัชปาหิตเปลี่ยนแผ่นดิน พระเจ้าแผ่นดินองค์ใหม่ขึ้นแล้ว จัดการบ้านเมืองเรียบร้อย เห็นว่าศรีวิชัยยุ่ง ก็เลยยกทัพจะไปปราบ เจ้าชายปรเมศวรเห็นว่าสู้ไม่ไหว ก็หนี หนีจากสุมาตราที่ศรัวิชัยนั้นมาขึ้นที่สิงคโปร์ เกาะสิงคโปร์เวลานั้นเป็นเมืองหน้าด่านของพวกอาณาจักรเหล่านี้ อาณาจักรศรีวิชัย มัชปาหิต ไปขึ้นที่นี่ก็ฆ่าเจ้าเมืองสิงคโปร์ แล้วก็ขึ้นครองแทน นี่ปรเมศวรขึ้นสิงคโปร์แล้วนะ มาจากมลายู นี่คือมลายูมาจากสุมาตรา เนี่ยะตัวมลายูละ ปรเมศวร เนี่ยะ มลายูแห่งศรีวิชัย เป็นพวกชาวพุทธเดิม มาขึ้นสิงคโปร์ ทีนี้ ประวัติศาสตร์ก็บอกว่า ฝ่ายเมืองไทยน่ะตอนนั้นมีอำนาจมากไปถึงปลายแหลมมะละกาเนี่ยะ มลายูนี่แหละ แล้วก็ถึงสิงคโปร์ด้วย ก็เห็นว่าเจ้าชายปรเมศวรนี่ยุ่ง ก็เลยขับไล่ ไทยใหญ่นะตอนนั้นน่ะ ก็ไปขับไล่ แต่ประวัติศาสตร์อีกพวกหนึ่งไม่ใช่ มัชปาหิตนั่นแหละมาไล่ ไม่รู้แหละ ใครมาไล่ก็แล้วแต่ เป็นอันว่าปรเมศวรอยู่ไม่ได้ ปรเมศวรอยู่ไม่ได้ก็มาขึ้นมะละกา เอาละทีนี้ ก็มาขึ้นแผ่นดินปลายแหลมมลายู หรือมาเลเซียปัจจุบัน เจ้าชายปรเมศวรก็เลยมาขึ้นที่มะละกา.

         ทีนี้ตอนนั้น สภาพบ้านเมืองทั่วไป ศาสนาอิสลามกำลังแผ่ขยายมา แล้วก็ปรากฏว่าตอนนั้นได้บุกทำให้พุทธศาสนาหมดไปจากอินเดีย จากดินแดนโดยเฉพาะแถวมคธ ที่เรียกปัจจุบันว่าแคว้นพิหาร ซึ่งอยู่ในดินแดนที่อังกฤษเค้าเรียกว่า เบงกอล ก็คือด้านตะวันออกของอินเดีย ต่อมาถึงบังคลาเทศ ทีนี้พุทธศาสนาก็หมดไปจากที่นี่ พวกมุสลิมก็เข้ามาครอง มุสลิมเข้ามาครองตอนนี้ก็มีอำนาจมากตั้งแต่อาหรับมาถึงอินเดียตะวันตก อินเดียตะวันออก.

         อาหรับก็เป็นนักค้าขาย แล้วถึงแม้อินเดียที่อยู่เบงกอล บังคลาเทศ อยู่แคว้นพิหารอะไรก็ เป็นดินแดนของผู้ค้าขาย เค้าก็ค้าขายทางเนี้ยะ ลงมาทางเมืองท่าแถวกัลกาต้า ก็ลงเรือมานี่ ชาวมุสลิมก็เป็นพ่อค้า ก็มาค้าขายตามชายฝั่งทะเล ก็มาขึ้นแถวๆมะละกานี่แหละ ทีนี้มะละกาแถบชายทะเลก็เลยมีพ่อค้ามุสลิมไปตั้งหลักแหล่งอยู่ พวกพ่อค้าก็เป็นธรรมดาเป็นคนร่ำรวย ก็มีอิทธิพล ตอนนั้นก็คงมีพวกพ่อค้าผู้ร่ำรวยเศรษฐีชาวมุสลิมอยู่ตามชายฝั่งมะละกาไม่น้อย.

         ฝ่ายเจ้าชายปรเมศวรนั้นมาขึ้นที่มะละกาแล้ว ตัวเองก็ลำบากลำบนมา พลัดถิ่นมาก็แทบแย่ ทีนี้จะตั้งตัวเป็นใหญ่กำลังก็น้อยลง ก็คงจะเป็นเหตุนี้ต้องหาพวก ก็ปรากฏว่าได้ตั้งตัวขึ้นเป็นใหญ่ที่มะละกานั้น ตั้งอาณาจักรขึ้นมาชื่ออาณาจักรมะละกา แล้วสถาปนาตัวเองเป็นสุลต่าน เจ้าชายปรเมศวรก็เปลี่ยนชื่อเป็นสุลต่านอิชกันดาชาห์ เอาล่ะนะ ชื่อปรเมศวรก็หมดไป.

         ท่านเข้าใจรึยัง? เนี่ยะ ปรเมศวร มลายูมาจากไหน? ก็มาจากสุมาตรา ก็คือเจ้าชายปรเมศวร แล้วก็ตั้งอาณาจักรมะละกาขึ้นมา.

         ฝ่ายไทยเรานี่ ได้ยินว่าปรเมศวรตั้งตัวเป็นใหญ่ ตั้งอาณาจักรมะละกา พระเจ้าแผ่นดินก็ทรงพิโรธ ก็ส่งกองทัพไปปราบ ปรากฏว่าปราบไม่ลง ถอยทัพมา อย่างนย้อย ๒ ครั้ง ทีนี้ทางมะละกานี่ก็เห็นว่าตัวเองจะลำบาก เพราะไทยนี่ใหญ่มาก ก็เลยพึ่งอำนาจจีน ก็ส่งเครื่องบรรณาการอะไร ตอนหนึ่งก็ถึงไปเองเลย ไปหาพระเจ้ากรุงจีน พระเจ้ากรุงจีนก็เลยตั้งกษัตริย์มะละกาเนี่ยะ ให้เป็นราชาธิบดี แล้วก็ส่งกองทัพเรือจีนมา ก็เรียกว่าขู่ไทยไว้ บอกอย่ายุ่งว่างั้นนะ มะละกาก็ยิ่งใหญ่ขึ้นมาเรื่อย ๆ เนี่ยะ อาณาจักรมะละกาที่เป็นต้นกำเนิดของมาเลเซีย ที่ชาวมาเลเซียภูมิใจ ว่าเป็นศูนย์กลางของความเป็นมลายู แล้วมะละกาก็อยู่มาถึงยุคที่โปรตุเกสเข้ามาแสวงหาอาณานิคม แล้วก็แพ้โปรตุเกสแล้วก็ตกเป็นอาณานิคม แล้วก็อย่างที่ว่า ก็มาเป็นของฮอลันดา แล้วเป็นของอังกฤษ.

         แล้วส่วนทางโน้น สุมาตรานั้นต่อมาอาณาจักรมุสลิมก็ค่อย ๆเกิดขึ้นมาเรื่อย พอมุสลิมตอนนี้ก็มีอำนาจแผ่เข้ามาทั่ว ก็เลยเกิดอาณาจักรยิ่งใหญ่ที่เรียกว่า อาเจะห์ขึ้นที่ยอดสุดเหนือของเกาะสุมาตรา แล้วก็สู้กับโปรตุเกสได้ ผ่านยุคโปรตุเกสมาก็แพ้ดัทช์ แพ้ฮอลันดา ก้กลายเป็นอาณานิคมเรื่อยมา จนกระทั่งสงครามโลกผ่านไป แล้วก็ประเทศต่าง ๆก็ได้เอกราชกันหลังสงครามโลก ตอนนั้นก็ได้ญี่ปุ่นเนี่ยะ ไปกวาดล้างอิทธิพลของฝรั่ง ก็เหมือนไทยเราเหมือนกัน อังกฤษก็มาตัดดินแดนของไทยออกไป ทางภาคใต้หลายจังหวัด แล้วก็ฝรั่งเศสก็ตัดแบ่งดินแดนทางด้านทิศตะวันออกไป มีเสียมราฐ พระตะบอง อะไรพวกเนี้ยะ ญี่ปุ่นมาไทยก็ได้โอกาสเอาคืน เสร็จแล้วก็ตอนหลังก็กลับคืนให้เขาไปอีก อะไรยังเงี่ยะ.

         อันนี้ก็เป็นเรื่องประวัติศาสตร์ แต่อย่างน้อยเราก็ควรจะรู้ อะไรต่าง ๆ เนี่ยะภาษามลายูเนี่ยะ ก็ถือเป็นภาษาสำคัญของถิ่นนี้ แล้วภาษามลายูก็ใช้ทั้งที่อินโดนีเซียและที่มาเลเซีย แต่ว่าเวลาเรียกเป็นภาษาของตัวเองเค้าก็เรียกของตัวเองเป็นภาษาอินโดนีเซีย ภาษามาเลเซีย แต่คำว่าภาษานั้น เวลาเค้าใช้น่ะเค้าใช้เป็นคำสันสกฤตตามเดิม อ่านว่า บฮาษา คนอินโดนีเซียเรียก ภาษาของเขาว่า บาฮาษาอินโดนีเซีย คนมาเลเซียก็เรียกภาษาของเขาว่า บฮาษามาเลเซีย ก็ชัดอยู่ว่า คำว่าภาษานั่นแหละ บาฮาษา(Bahasa) ก็คือมาจากคำสันสกฤต แล้วคนมาเลเซียเอง ปัจจุบันเนี่ยะ ที่ใช้ภาษามาลายูเนี่ยะ คำศัพท์ต่างๆที่เป็นคำสำคัญ ก็ยังเป็นคำบาลี-สันสกฤต เช่น นคร เมืองสำคัญๆที่สุลต่านอยู่ หรืออย่าวงพระเจ้าแผ่นดินบรูไนอยู่นั้น สุลต่านแห่งบรูไนเนี่ยะ เมืองของท่านน่ะ ที่ว่าอะไรดาลุสลาม ขึ้นต้นว่าไง? ขึ้นต้นว่า เนคะระ นคร.

         มาเลเซียนี่ เวลาราชการคิดศัพท์ใหม่ๆ ซึ่งเป็นศัพท์สำคัญ อย่างตอนที่แล้วเนี่ยะ เขามองเห็นว่า พวกคนจีนคนอินเดียโดยเฉพาะจีนเนี่ยะ เข้ามามีอิทธิพลในทางเศรษฐกิจมาก เขาทำไงจะกันอิทธิพลพวกนี้ เขาก็ออกกฎหมายมาคุ้มครอง สิทธิของชนพื้นถิ่น กฎหมายนั้นเช่นว่า สงวนอาชีพพวกนี้ไว้ ไม่ให้คนเชื้อสายอื่นมาประกอบได้ ต้องเป็นคนพื้นถิ่น คือคนมลายู หรือคนที่เดิมแท้กว่านั้นที่ตั้งอยู่ เค้าถือเป็นมลายูด้วยนะ ก็พวกเซมังซาไกน่ะ เป็นเจ้าถิ่นเดิม เป็นเจ้าเงาะอะไร ที่อยู่มาเลเซียมาก่อน ก่อนมาลายูมาน่ะ เซมังซาไกพวกนี้อยู่มาก่อนแล้วดินแดนแถบมาเลเซียนั่น เดิมเป็นพวกมอญขแมร์ ทีนี้ดเค้าก็กันพวกคนจีน ก็มีการออกกฎหมายสงวนอาชีพ แล้วก้เรื่องการปรพกอบธุรกิจบางอย่าง เค้าจะมีกฎหมายกีดกันไว้ เพื่อจะช่วยคนที่เรียกมลายู แล้วเค้าก็เรียกคนพื้นถิ่นมลายู รวมทั้งคนที่เป็นเซมังซาไกเนี่ยะ เรียกว่า ภูมิปุตระ5 นี่คำราชการ.

         5https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%A3

         แล้วมาจากไหนล่ะ ภูมิปุตระ? ภาษามลายู ก็มาจากสันสกฤต บางทีคนมลายูเองก็ไม่รู้ว่าคำเหล่านี้คือคำบาลี-สันสกฤต ที่เป็นพื้นฐานเดิมของคำเขา เพราะว่าบรรพบุรุษของเขาก็คือชาวพุทธ มาแต่ไหนแต่ไรตั้งกี่ศตวรรษ เนี่ยะ ตอนที่แล้วก็มามีการอ้าง บอกว่าคน 3-4 กี่จังหวัดภาคใต้เนี่ยะ พูดภาษายาวี จะมาพูดภาษาไทยไม่ได้ เพราะว่าภาษาไทยนั้นเป็นภาษาพุทธศาสนา มีคำพระบาลีอะไรต่ออะไร ภาษายาวีเป็นภาษาของเขา เพราะฉะนั้นเขาต้องพูดยาวี ไม่ให้เรียนภาษาไทย ไม่ให้พูดภาษาไทย ก็ต้องให้เอาภาษายาวีเป็นภาษาราชการด้วย อะไรต่างๆ.

         คนของเราเนี่ยะ เพราะขาดความรู้ ก็ไม่มีหลักในการที่จะวินิจฉัย คิดพิจารณา ภาษายาวีคืออะไร? เข้าใจมั้ย? ก็ต้องรู้ พอเค้าบอกภาษายาวี ก็ต้องรู้ว่าคืออะไร? ภาษายาวีมี ๒ ความหมาย เดิมภาษายาวีคือภาษามลายูท้องถิ่น ที่เป็นภาษาพูด ไม่ได้เป็นภาษาเขียน เป็นภาษาพูดเรียกว่า ยาวี ก็คือมลายู ในท้องถิ่นภาคใต้ทาง ๓ จังหวัด ๔ จังหวัด แต่ต่อมาเดี๋ยวนี้คำว่า ยาวี ได้มีความหมายใหม่ เป็นว่าภาษามลายูนั่นแหละ ที่เขียนด้วยอักษรอาหรับ เรียกว่ายาวี แล้วถ้าภาษามลายูนั้น เขียนด้วยอักษรโรมันแบบฝรั่ง เค้าเขียนอักษรโรมันก็ได้ เขียนด้วยอักษรโรมัน เรียกว่า รูมี(Rumi6)

         6https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B5

*https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B9

               

         ก็เป็นอันว่า มี ๒ อย่าง มียาวี กับรูมี. ยาวีก็คือภาษามลายูที่เขียนด้วยอักษรอาหรับ แล้วก็รูมีก็ภาษามลายูที่เขียนด้วยอักษรโรมัน ถ้าอย่างอินโดนีเซีย เค้าใช้อักษรโรมันนะ เค้าใช้อักษรฝรั่งเขียน เป็นภาษามลายูเนี่ยะ แต่เค้าไม่มีตัวอักษร เค้าก็ใช้อักษรฝรั่ง ไม่ได้ใช้อักษรอาหรับ ก็จะได้เข้าใจ แปลว่ายาวีตอนนี้ก็คือ ภาษามลายูที่เขียนด้วยอักษรอาหรับ แต่ตัวภาก็คือภาษามลายู ตัวภาษา ก็เรียกว่า บาฮาษา(Bahasa) ก็คือคำสันสกฤต.

         ก็บอกเค้าสิ บอกว่าตั้งต้นแต่คำเรียก ภาษาของคุณก็คำสันสกฤตแล้ว คุณจะมารังเกียจอะไรกับภาษาไทย ภาษาไทยมันก็แบบเดียวกัน บรรพบุรุษก็บรรพบุรุษเดียวกัน ก็เคยเป็นชาวพุทธเหมือนกัน จะไปรังเกียจอะไรกันเล่า คือความรู้มันจะทำให้แก้ปัญหาได้ ก็ไม่รู้ ก็เลยนึกว่า ตัวเป็นคนละพวก พวกคนไทยก็ไม่รู้ เป็นชนมลายู มลายูมาจากไหน? มลายูก็มาจากสุมาตรา ก่อนจะมาจากสุมาตรา มาจากไหน? มาจากเกาะบอร์เนียว แล้วทีนี้เขาจะสันนิษฐานก่อนมาเกาะบอร์เนียว มาจากไหน? มาจากไต้หวัน ไปๆมาๆ โธ่ มนุษย์จะมาถือแบ่งแยกอะไรกัน มันจะจริง แต่ว่าสาระสำคัญคือว่า มนุษย์มันก็มนุษย์นี่แหละ มันก็ถ่ายเทกันไปถ่ายเทกันมา จะมาถือสาอะไร ในที่สุดมันก็จะได้ ไม่มัวมากีดกั้น แบ่งแยกอะไรกัน.

เอ้อ แล้วก็มลายู จะอยู่ในมาเลเซีย หรืออยู่ภาคใต้เนี่ยะ ผมมีเพื่อนผู้ใหญ่อยู่ที่ภาคใต้ ผมก็บอก เอ๊ ท่าน ชาวภาคใต้เนี่ยะ หน้าตาไม่เชิงเป็นชาวมลายูนะ ทำนองเนี๊ยะ เพราะหน้าตาชาวมลายูนี้จะต้อง เป็นคล้ายๆพวกฟิลิปปินส์ พวกฟิลิปปินส์นี้หน้าตาคล้ายๆคนไทยนะ จริงมั้ยจริง? เนี่ยะ หน้าตามลายูแท้เนี่ยะ จะคล้ายๆกับพวกเนี๊ยะ พวกชาวเกาะพวกเนี๊ยะ บอร์เนียวอะไรต่ออะไรเนี่ยะ อย่าลืมว่าแถวนี้นะ แถวสุมาตรา ชวา เนี่ยะ ในอดีตเนี่ยะเป็นดินแดนของย่านการค้าขาย ศูนย์กลางการค้า ใครจะค้าขาย จีนจะไปอินเดีย อาหรับจะมาไปจีนอะไรเนี่ยะ ต้องผ่านเกาะสุมาตราชวาหมดเลย. ก็เลยเป็นชุมทางการค้า เพราะฉะนั้นคนก็ผสมหมด ทีนี้ตอนที่ชาวอินเดียเป็นใหญ่ จะเป็นมุสลิมหรืออะไรก็ตามโดยเฉพาะตอนเป็นมุสลิมก็มาค้าขายเนี่ยะ โดยเฉพาะจากบังคลาเทศ ก็มาค้าขายที่มะละกา อะไรยังเงี๊ยะ ก็ต้องมาผสมกับชาวมลายูท้องถิ่น ผมก็ถามท่านว่าเนี่ยะ หน้าตาท่านเนี่ยะ เป็นไปได้มั้ยว่าน่าจะมาจากอินเดีย แถวบังคลาเทศ ท่านบอกน่าจะใช่ ว่างั้นนะ ท่านว่า...ท่านเองท่านว่า ก็รู้จักกัน เพื่อนๆกันน่ะ.

ก็เนี่ยะ จะไปรังเกียจอะไรกัน เค้าก็ไม่ใช่มาเลย์ มลายูบริสุทธิ์ ก้เป็นชาวเชื้อสายอินเดียมากกว่าด้วยซ้ำ หน้าตาก็บอก ใช่มั้ย? ถ้าเป็นมลายูแท้ก็ ต้องไปดูตั้งแต่บอร์เนียวมาสิ หน้าตาเป็นยังไง ถ้ามีความรู้แล้วจะได้เลิกรังเกียจกันซะ มองอะไรต่ออะไรให้กว้าง เราไม่ได้เอามามองในแง่ว่า จะมาแบ่งแยกหรือว่าจะมาว่าอะไรกันหรอก แต่ว่าเพื่อจะได้เกิดความเข้าใจอันดี ได้เมตตาความรักความปรารถนาดีที่แท้เนี่ยะ มันต้องตั้งอยู่บนฐานของปัญญา ไม่ใช่เมตตาเลื่อนลอย เมตตาของคนโง่ (เมตตานี่แผ่ไปศัตรูก็ได้ - ผู้ฟัง)  ก็มันเป็นของกลาง เป็นสากลน่ะอัปปะมัญญา ก็ต้องแผ่เป็นศัตรูก็รวมสรรพสัตว์น่ะ ศัตรูมันก็อยู่ในสรรพสัตว์แหละมันไปพ้นที่ไหนล่ะ ใช่มั้ย? เพราะฉะนั้น คือเมตตามันเป็นสากล มันถึงสรรพสัตว์หมด สัพเพสัตตาไง แล้วศัตรูจะไปพ้นสัพเพสัตตาได้ไง มันหมด ก้หมายความเราไม่ได้คำนึงว่าศัตรูหรือไม่ใช่ศัตรูล่ะ คือเรามองว่ามนุษย์ทั้งหลายเนี่ยะ ทำไงจะอยู่ด้วยกัน มีความเข้าใจกันดี.

ทีนี้พอเมตตามันขาดปัญญา มันก็ไม่รู้เรื่อง มันกลายเป็น หนึ่งก็เสียเปรียบเป็นเบี้ยล่าง หรือไม่งั้นก็เป็นฉันทาคติ เมตตาที่ไม่ถูกอ่ะ ขาดปัญญา ดีไม่ดีเป็นฉันทาคติ เข้าใช่มั้ย? ลำเอียงเพราะรัก แ เป็นลำเอียงไปเลย ไม่ใช่แล้ว ไม่ใช่เมตตาแล้ว เป็นฉันทาคติ เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องการโทสาคติ ลำเอียงเพราะโกรธ แต่เราก็ไม่ต้องการฉันทาคติ ลำเอียงเพราะรักด้วยนะ เราต้องการความรักที่เป็นสากล ที่ประกอบด้วยปัญญา ที่จะใช้แก้ปัญหา ถ้ามนุษย์รู้ข้อมูลเข้าใจความจริงกันแล้ว จะได้มองกันได้ถูกต้อง ไม่ต้องมาแบ่งแยก หลักพระพุทธศาสนาท่านจึงบอกว่า มนุษย์พัฒนาไปเป็นโสดาบันนิโรธมัจฉริยะ ๕ ประการ มัจฉริยะ ๕ ประการคืออะไร? ความใจแคบกีดกันกันเพราะอะไรบ้าง? ๕ ประการน่ะ

๑.กุละมัจฉริยะ แปลว่า ตระกูลวงศ์โคตรเหง้าเหล่ากอ พวก แบ่งพวกแบ่งเผ่าเนี่ยะ เลิก พระโสดาบันไม่แบ่งแล้ว มีปัญญาแก้กิเลสหมดแล้ว กุลมัจฉริยะหมด ความใจแคบกีดกั้นกันด้วยพงศ์เผ่าเหล่ากอ โคตรเหง้าพวกเผ่า แล้วก็อะไร? ลองช่วยกันไล่ ไม่ต้องเอาตามลำดับข้อ

อาวาสะมัจฉริยะ ความหวงแหนกีดกั้น ใจแคบด้วยถิ่นที่อยู่ ต้องรู้ด้วยปัญญาว่า เอ้อ เราแบ่งที่อยู่กันเพื่อให้มันอยู่กันสงบสุข แต่ละคนก็ต้องมีที่อยู่บ้าง จัดให้มันดี แต่ไม่ใช่ว่า พอมีแล้วมันเลยกลายเป็นยึดกัน กีดกั้นกันอะไร ก็กลายไปว่า เนี่ยะๆ ในขั้นกว้างขวางมันก็แบ่งแยกเป็นประเทศประเทิดกันก็ ทะเลาะกันยกทัพตีกันยังเงี้ยะ นี่แหละอาวาสมัจฉริยะ หวงแหนกีดกั้นกันเพราะถิ่นที่อยู่อาศัย เนี่ยะมนุษย์ก็เป็นยังเงี้ยะ ใจแคบ คือไม่รู้ทันสมมติ ก็ไอ้ที่มีสมมติมาก็เพื่อเราจะอยู่กันด้วยดี จัดให้มันหน่อย มันกลายเป็นไปยึดซะนี่ ยึดหลงสมมติ เอานะ ๒ ละ กุละมัจฉริยะ อาวาสะมัจฉริยะ ต่อไปก็

วัณณะมัจฉริยะ หวงแหนใจแคบกีดกั้นกันด้วยวรรณะ สีผิว เนี่ยะ แบ่งชั้นวรรณะก็มาจากสีผิวนี่แหละ ผิวขาวผิวดำผิวเหลืองอะไรต่ออะไรนี่ล่ะนะ อินเดียอารยันเข้ามาก็แบ่งผิวแบ่งอะไรเกิดเป็นวรรณะขึ้นมา ๔ วรรณะ กษัตริย์ พราหมณ์แพทย์ ศูทร ไปเมืองฝรั่งก็ผิวขาวผิวดำผิวเหลืองอะไรเนี่ยะ เนี่ยะ วัณณะมัจฉริยะ ยุ่ง มนุษย์ก็ยุ่งกันเพราะอันเนี๊ยะ เป็นพระโสดาบันก็หมด ไม่มีแล้ว ไม่มีล่ะวัณณะมัจฉริยะ แล้วต่อไปก็

ลาภะมัจฉริยะ หวงแหนกีดกันกันด้วยลาภ ผลประโยชน์ มนุษย์มักใจแคบเรื่องผลประโยชน์เนี่ยะ ก็แบ่งแยกกีดกั้นหวงแหนกัน ก็ยุ่งรบราฆ่าฟัน พระโสดาบันท่านไม่หวงแล้ว กีดกั้นในเรื่องลาภ ต่อไป

๕.ธัมมมัจฉริยะ ความหวงแหนกีดกั้นใจแคบในเรื่องของ ผลสำเร็จทางปัญญา ทางวิชาการ อย่างเวลานี้ก็หวงแหนกันนะ จะต้องระวังไอ้ลิขสิทธิ์ทางปัญญา ใช่มั้ย เนี่ยะ? ก็ต้องซื้อกันอย่างหนักเลยน่ะ ประเทศใหญ่ก็สามารถโกยเงินจากประเทศเล็กด้วยไอ้เนี่ยะ ลิขสิทธิ์ทางปัญญา ธัมมมัจฉริยะ หวงแหนความสำเร็จทางภูมิธรรม ภูมิปัญญา อย่างสมัยก่อนอาจารย์ต่างๆ คนไทยคนจีนอะไรเนี่ยะ หวงวิชากันนักเชียวนะ ก็เนี่ยะ อยู่ในข้อ ๕ หวงแหนผลสำเร็จในความเจริญในทางอารยธรรม ทำให้ไม่กล้าที่จะเผื่อแผ่ให้ประเทศอื่น กลัวเค้าเจริญอย่างตัว.

๕ อย่างเนี่ยะ ถ้าแก้ได้หมด มนุษย์ก็หมดปัญหา ใช่มั้ย? ก็เป็นสากล ทำไม่ได้ แต่ว่าเราต้องคอยย้ำ เพราะว่าเขาไม่ได้แม้แต่หลัก เค้ามองไม่ออก ไอ้เรื่องยังงี้ว่าสำคัญอย่างไร ใช่มั้ย? ว่ามนุษย์ต้องไม่มีมัจฉริยะเหล่านี้ พระโสดาบันเนี่ยะ หมด กำจัดมัจฉริยะ ๕ ประการได้ เพราะฉะนั้นพระโสดาบันจึงเป็นบุคคลตัวอย่าง ที่จะแก้ปัญหาของโลก.

ก็เนี่ยะ ตัณหา มานะ ทิฏฐิ ไม่หมดทีเดียว แต่ว่าหมดระดับปัญหา แล้วก็มีไอ้ความเป็นสากล เคยบอกแล้ว ๑.เมตตา ก็สากล ไม่ใช่แบ่งว่าพวกเราก็รักได้ พวกอื่นก็เกลียดอะไรยังเงี้ยะ แล้วความเป็นมนุษย์ที่สากล เป็นมนุษย์พวกไหนก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน อย่างพระพุทธศาสนานี้สอนว่า มนุษย์ทั้งหลาย ไม่ได้แบ่งว่ามนุษย์ไหน ใช่มั้ย? ก็ถ้าเราไปฆ่าก็เป็นฆ่ามนุษย์อยู่นั่นแหละ ไม่ว่ามนุษย์ไหน ใช่มั้ย? บาปก็บาปเหมือนกันหมด.

ทีนี้ศาสนาที่เขาไม่ถืออย่างนี้ คนไหนไม่นับถือศาสนาอย่างฉัน ฆ่าได้ เอายังงี้ก็ จบกัน ใช่มั้ย? ความเป็นมนุษย์มันก็ไม่สากล เมตตาก็ไม่สากล ได้เฉพาะพวก เฉพาะเผ่า แล้วหลักความจริงก็ไม่สากล ถ้ามนุษย์พวกนี้ทำอย่างนี้ไปสวรรค์ได้ แต่ว่าถ้ามนุษย์ผู้อื่นทำดียังงี้ก็ไปสวรรค์ไม่ได้ ใช่มั้ย? นี่นี่ ความจริงไม่สากล ของพระพุทธศาสนาไม่ได้แยกว่าศาสนาไหน พงศ์เผ่าไหน คุณทำกรรมดีนี้ ก็ไปสวรรค์เหมือนกันหมด เหตุปัจจัยอย่างเดียว มันอยู่ที่เหตุปัจจัยอย่างเดียว ไม่มีผู้พิพากษา อันนี้เค้ามีผู้พิพากษาคอยตัดสิน คือว่า เอ้อ ทำแล้วโปรดไม่โปรด ถ้าทำแล้วไม่โปรดก็อดไป ถ้าทำแล้วโปรดก็ไปได้ ถ้าทำไม่ดีมาเกิดโปรด ก็เลยยกโทษให้อีกอะไรเงี้ยะ.

ทีนี้ไปพูดกัน เดี๋ยวมันก็เกิดว่ากันอีก เดี๋ยวจะหาว่ามายกย่องตัวเองตัวอะไร ก็ลองเอาหลักกันที่ว่าเนี่ยะ ก็คือทำไงจะยอมรับกันได้ ให้มนุษย์นี่ยอมรับกันว่าเป็นมนุษย์นะ ไม่แบ่งแยก มีเมตตารักกันทั่ว ทำอะไรก็ถือเป็นกลางเหมือนกันหมด ทำได้มั้ย? แค่นี้มนุษย์มันก็ทำไม่ได้แล้ว ใช่มั้ย? ก็แค่เนี้ยะ เราก็เห็นแล้วปัญหา มันจะไม่เกิดปัญหาได้ยังไง แค่นี้มันก็ยุ่งแล้ว เนี่ยะ อย่างน้อยถ้ามีความรู้อะไรพวกเนี้ยะ มันจะทำให้มองอะไรได้กว้างขึ้น ก็อยากให้เผยแพร่ความรู้กัน ก็ต้องบอกว่าสังคมไทยเรานี้ขาดมาก เป็นสังคมที่อุดมด้วยความเห็น แต่ไม่ได้อุดมด้วยปัญญา.

ชอบพูดนักว่าให้เป็นอะไร แม้แต่ทีวีเห็นบอกว่าให้เป็นอะไร? เป็นสังคมอุดมปัญญา. เวลานี้มีบางคนบอก กำลังจะเป็นสังคมไร้ปัญญา. ก็มันก็เป็นจริงได้ ถ้ามีแต่ความเห็นนั่นน่ะ ไม่มีความรู้ ก็ให้ความรู้ไปเนี่ยะ เขามีความรู้ เข้าใจแล้ว เขาก็มีความสามารถในการคิด พิจารณา แล้วก็สามารถตัดสินใจได้ดีขึ้น. เรื่องอย่างศาสนาประจำชาติเนี่ยะ ความรู้ ข้อมูล ยังมีอีกเยอะ ก็มาบอกกันซะ ก็จะเข้าใจ.

อ้าว ท่านถามบ้างสิครับนี่ มีอะไรถาม เลยวันนี้ออกไปเรื่องไกลเลย แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่เห็นชัดว่า ธรรมะเกี่ยวข้องยังไง เนี่ยะจะต้องใช้ธรรมะแก้ปัญหา ก็คือ ใช้ความจริง ใช้หลักปฏิบัติที่จะนำเอาความจริงมา ทำให้สอดคล้องกันและทำให้เกิดผล ถ้ามนุษย์ไม่ยอมรับความจริง ไม่ปฏิบัติยอมรับความจริง มันก็แก้ปัญหาไม่ได้ ต้องเข้าใจเรื่องอย่างเงี้ยะ อย่างน้อยเอาปัญญาที่รู้เข้าใจธรรมะเนี่ยะ มาใช้มองและปฏิบัติจัดการกับสิ่งรอบตัว เหตุการณ์ความเป็นไปในชีวิตสังคมได้. อันนี้ก็คือความเป็นจริงของมันที่ทำให้ธรรมะจะเกิดผล.

ถ้าท่านไปแก้ปัญหาโลกได้ก็แสดงว่าท่านเก่งแน่ ใช้ธรรมะได้เก่ง ก็แค่เนี้ยะ ให้ทำให้เขาไปลดตัณหา มานะ ทิฏฐิ เบาบางในเรื่องมัจฉริยะลง เนี่ยะรู้แค่ประวัติศาสตร์นี่ก็สบายขึ้นเยอะแหละ น่ะ อะไรเป็นอะไร มลายูเป็นยังไงก็ต้องรู้แล้ว ก็มเรื่องต้องรู้อีกเยอะ ถ้าท่านมีเวลา อยากให้ไปศึกษา เช่นว่า ในภาษามลายูมี ภาษาสันสกฤตอยู่สักเท่าไหร่ ยกตัวอย่างอะไร อย่างภาคใต้ผมโทรไปถาม ท่านที่เป็นเรียกว่า เพื่อนกันก็แล้วกันเนี่ยะ ก็เป็นคนถิ่นนั้นท่านเกิดที่นั่น ท่านเกิดเป็นมุสลิมด้วยซ้ำ บอกว่าที่เมืองใต้ทางจังหวัดที่เนี่ยะ เวลาบอกชื่อกันใช้นามาสะยะหรือเปล่า? ท่านบอก ใช้ อ้าว ก็ตรงกันสิ เพราะว่าในอินโดนีเซีย  เนี่ยะ เวลาเค้าบอกชื่อหนึ่ง เค้าจะบอกว่านามาสะยะ แล้วมาเลเซียก็ นามาสะยะ นามาก็นามะ ชื่อ สะยะ ก็แปลว่า ของตน คงจะใช้มาตั้งแต่ศรีวิชัยเริ่มใช้ แล้วเป็นภาษามลายู แล้วยาวีอีกนะ ท่านก็พูดอันนี้นะ ที่บอกยาวีก็พูดนามาสะยะนี่ แล้วคนที่พูดยาวีนี่รู้ตัวมั้ยว่า ตัวกำลังใช้คำสันสกฤต ก็ไม่รู้เนี่ยะ.

ก็ถ้าไทยเรา ชาวไทยเรากรุงเทพนี่ก็รู้ ชาวใต้เองถิ่นที่พูดภาษายาวีก็รู้ หมดเรื่องเลย โฮ้ รังเกียจอะไรกันก็พูดภาษาอย่างเดียวกันนั่นแหละ ใช่มั้ย? เอ้อ มารังเกียจกันเพราะความไม่รู้ ไปๆมาๆก็เพราะความโง่ แล้วก็มารังเกียจกัน ทะเลาะกัน  ไม่เข้าเรื่อง ใช่มั้ย? เฮ้อ อะไรก็ไม่รู้  พอรู้ซะมันก็ เป็นพวกเดียวกัน ญาติมิตรกัน อะไรกันเนี่ยะ ในที่สุดมันก็เพื่อนร่วมโลก จะเอาอะไรกัน แล้วมันมีทิฏฐิขึ้นมา มันไปยึดถือนี่แหละที่ท่านบอก ทิฏฐิ. ไปยึดถือความเชื่อ หลักแนวความคิดเห็นที่เค้าใส่ให้ ต้องยึดยังงั้น ก็ไม่มีปัญญาของตนเอง ที่จะรู้.

ก็เอาละครับ ไม่มีเรื่องอะไรจะถาม นี้ก็เลยคุยเรื่องให้กว้างๆออกไปซะบ้าง จะได้เปลี่ยนบรรยากาศ. เอาละ ไม่มีอะไรถามก็หยุด เท่านี้ก่อน และอนุโมทนาทุกทุกท่าน.   

https://youtu.be/jnZxiF9MPpA?si=dcTdaeUxD2KDY3n4

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น