จิต..ทำงาน?" สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตโต)
…ไม่รู้จะนึกพูดเรื่องอะไรดี เอาว่าท่านอยากรู้เรื่องอะไร ก็เป็นแบบคุยกันเอง อะไรก็ได้ นึกอะไรขึ้นมา คุยกันถามกัน องค์เก่าก็ได้ องค์ใหม่ก็ได้.
ผู้ถาม: ขอกราบเรียนถามท่านพระเดชพระคุณอาจารย์ครับ คือถ้าในทางการแพทย์เค้าถือว่า จิตเป็นการทำงานจากสมอง ก็เลยอยากทราบว่าในทางพุทธศาสนานั้น จะอธิบายเรื่องจิตยังไงครับ.
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์: โอ่ ก็ถามเรื่องใหญ่เลยนะ. หะหะหะ มันก็เรื่องสำคัญเลยนะ เป็นเรื่องที่ เป็นนามธรรมที่ลึกซึ้ง แล้วก็เป็นตัวที่มาทำงานในการที่เรามาพูดตอบกันนี้ด้วย. เช่นเราจะตอบเรื่องจิตนี้ เราก็เอาจิตนี่แหละมาใช้งาน ใช่มั้ย? จิตก็เป็นเรื่องของส่วนสำคัญของชีวิต ถ้าว่าจตามหลักพุทธศาสนาแบบว่า เอาตัวหลักพื้นฐาน อย่างที่เราบอกว่า เอ้อ ธรรมชาติเนี่ยะ มันก็มีขึ้นมาตามธรรมดา ท่านเรียกว่า ธรรม สิ่งทั้งหลายที่มีตามธรรมดา ทีนี้ธรรมเนี่ยะ ที่คนทั่วไปรู้จักก็เรียกว่ารูปธรรม. รูปธรรมก็พวกวัตถุ อะไรต่างๆพวกนี้ พร้อมทั้งความเคลื่อนไหวความเป็นไปของมันเนี่ยะ ก็เรียกว่ารูปธรรม. ธรรมเป็นรูปนั่นแหละ พูดสั้นๆ.
ทีนี้พุทธศาสนาบอกว่ามันไม่ใช่มีแค่รูป มันมีนามด้วย ก็เลยเป็น รูป-นาม ถ้าพูดยาวก็ แปลว่ามีธรรม ๒ คือรูปธรรม กับ นามธรรม. นี้ ถ้าพูดให้สั้นลงไปก็เหลือ รูปกับนาม. แล้วชีวิตของคนเราเนี่ยะ ก็ประกอบด้วยรูปกับนาม เวลาเราพูดถึงคนสั้นๆเราก็เรียกนามรูป. กลับกันเสียนี่ รูปกับนามนั่นแหละ เวลามารวมกันเราเรียกว่านามรูป และชีวิตเรานี้ตอบสั้นที่สุดก็นามรูป. ก็มีแค่ส่วนที่เป็นนาม กับส่วนที่เป็นรูปเนี่ยะ แล้วถ้าหากว่าจะพูดให้แยกแยะชัดเจนลงไป ก็ไปขยายว่า เอ้อ รูปนี่แยกไปเป็นอะไรบ้าง แล้วก็นามแยกเป็นอะไร ถ้าแยกอย่างง่ายที่สุด ก็แยกนามเป็น ๔ เป็น เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อย่างที่เราได้เรียนกันแล้ว รูปคราวนี้ยังไม่แยก ก็รูป ๑ กับนาม ๔ ก็เรียกจัดเป็น กองๆ ก็ว่า ๕ กอง ๕ ขันธ์ ก็เป็นเบญจขันธ์ หรือขันธ์ ๕.
เนี่ยะ ชีวิตเราก็อย่างเนี๊ยะ นี้เราจะเห็นว่า ชีวิตมนุษย์ หรือที่เรียกว่าชีวิตน่ะ มันก็ต่างจากวัตถุทั้งหลายที่มีแต่รูปธรรม มีนามธรรมด้วย.
ทีนี้ นามกับรูปนี่เป็นชีวิต ชีวิตของเรา ฉะนั้นเราไม่ได้มีเฉพาะรูปอย่างเดียว มีนามด้วย ๒ ส่วนได้ประกอบกัน. ทีนี้มันมีปัญหาที่มนุษย์เถียงกันมาว่า นามก็คือจิตใจ ด้านจิตใจ มันมีจริงหรือว่ามันเป็นเพียงผลจากรูป นักวิทยาศาสตร์ฝ่ายวัตถุนิยม นี้มักจะถือว่า นามหรือว่าจิตใจนี้ไม่มีอ่ะ. เป็นเพียงผลของรูป ก็เถียงกันมา อีกพวกหนึ่งก็ถือว่า นามนั่นแหละจึงมีจริง ไอ้รูปเนี่ยะไม่มีอ่ะ รูปนี่ปรากฏเพราะมีนาม ถ้าไม่มีนาม ไม่มีรูปปรากฏ. แล้วรูปที่แท้เป็นไงก็ไม่รู้ นามมันก็บอกเราตามที่มัน เนี่ยะ จิตมันคิดมันเห็นมันรู้มันรับทราบยังไงเนี่ยะ ที่จริงมันเป็นยังไงก็ไม่รู้นะ ไอ้วัตถุที่เราเห็นเนี่ยะ มันเป็นอย่างที่เรานี้รึเปล่า? เอ้อ เราก็ไม่รู้นะ เรารู้ไปตามที่ เราเรียกง่ายๆว่าจิตมันบอก เพราะเช่นนั้นต้องบอกว่า คุณน่ะ รูปนี้มันไม่มีอ่ะ มันมีแต่นาม ที่เรารู้เรานึกว่า มันมี มันเป็นยังงั้นยังเงี๊ยะ มันจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ จิตมันบอกเท่านั้นเอง มันก็เถียงกันมาอย่างนี้อ่ะนะ มาไม่รู้กี่พันปีมาแล้ว.
ทีนี้มาวิทยาศาสตร์เนี่ยะ ก็เป็นฝ่ายที่เอาแต่วัตถุมา นานมากแล้ววัตถุ มุ่งไปที่ว่า เอ้า จะถืออะไรมีจริงก็ต้องตรวจสอบพิสูจน์สัมผัสได้ ด้วยตาหูจมูกลิ้นกาย ถ้าไม่งั้นแล้วก็ ไม่ยอมรับ. เนี่ยะ ก็ถือกันมาอย่างนี้ นะวิทยาศาสตร์ ถือกันมาถือกันมานาน จนกระทั่งมาถึงเมื่อไม่นานนี้เอง ครึ่งศตวรรษเนี่ยะ นักวิทยาศาสตร์ก็เกิดสงสัยขึ้นมา เข้ายุคที่ถือว่าเจริญที่สุด เกิดมีนักวิทยาศาสตร์ที่หัวก้าวหน้า เป็นผู้นำทางด้านฟิสิกส์ บอกว่าไอ้ที่วิทยาศาสตร์ได้รู้กันมา เข้าใจกันมา แล้วภูมิใจกันมานักว่า ตัวเองนี่เป็นผู้เข้าถึงความจริง ที่แท้น่ะ ยังไม่ถึงเลย. บอกว่า วิทยาศาสตร์จะนำเราให้เข้าถึงความจริง ได้แค่เงาของความจริง.
นี่คือคำตอบของวิทยาศาสตร์ในยุคที่เจริญที่สุด พอเจริญที่สุดแล้วกลับเลย แต่ก่อนนี้ภูมิใจอะไรต่ออะไรนี่ จะถือว่าเป็นจริงได้ต้องวิทยาศาสตร์ยอมรับ. นักวิทยาศาสตร์พวกนี้ก็ เกิดความสงสัย ว่าไอ้ที่ว่าเป็น...วิทยาศาสตร์ว่าเป็นจริงน่ะ ที่ว่าตรวจสอบได้ เห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู รู้อะไรต่างๆเนี่ยะ มันจริงรึเปล่า? ไอ้ที่เรามาบอกว่าเป็นยังงั้นนั้นน่ะ มันผ่านจิตทั้งนั้นแหละ ผลที่สุดก็ไม่รู้ว่า ไอ้ที่จิตที่ไปรู้น่ะ คืออะไร? แล้วถ้าไม่รู้จิตที่เป็นผู้รู้ล่ะ แล้วไอ้สิ่งที่จิตมันรู้มันบอกเราเนี่ยะ มันเป็นยังไง? แล้วเราจะรู้ว่ามันผิดหรือถูกได้ยังไง มันเป็นจริงยังไง คล้ายๆว่า เราไปบอกว่าไอ้สิ่งที่ดู ที่เห็น ที่ได้ยินเนี่ยะ เป็นยังงั้นยังงี้ แต่ใครเป็นผู้ดู ผู้เห็น ผู้ได้ยิน แล้วไอ้นั่นมันเป็นยังไงล่ะ มันรู้ได้ยังไง มันบอกถูกหรือบอกผิด? พวกนักวิทยาศาสตร์ก็กลับมาตั้งต้นใหม่เลย.
ตอนนี้ก็เลยลอย ตอนนี้ก็กลายมาเป็นยุคที่นักวิทยาศาสตร์นี่กำลังกลับมาสู่การ ค้นหาความจริงกันอีกครั้งหนึ่ง. แทบจะเริ่มต้นเลย ก็มาถามเค้าว่า จิตคืออะไร? แล้วเดี่ยวนี้ก็มีนักวิทยาศาสตร์ที่พยายามจะตอบ เรื่องจิต แม้กระทั่งคิดว่าไอ้คอมพิวเตอร์นี่มันจะมีจิตได้มั้ย ว่าอะไรยังงั้น กลายเป็นว่า ไปๆมาๆมันวนอยู่นี่เอง. นักวิทยาศาสตร์ไปๆมาๆในที่สุด ไปถึงระดับหนึ่งมันก็ ไปเป็นนักปรัชญา. แต่เป็นนักปรัชญาอีกแบบ เค้าเรียกว่านักปรัชญาวิทยาศาสตร์. ก็หมายความว่า มันไปถึงจุดที่ตัวเองไม่อาจจะรู้ชัด มันก็เลยอยู่ในระดับของการใช้ปัญญา เชิงเหตุผลอะไรต่างๆเหล่านี้. ก็เนี่ยะ ก็ยังเป็นเรื่องที่เรามาอยู่โลกปัจจุบัน แล้วก็ว่าไปตามความเจริญของโลก ที่วิทยาศาสตร์เป็นผู้นำ ในการที่จะมาตรวจสอบพิสูจน์ ความจริงต่างๆ แล้วนักวิทยาศาสตร์ก็บอกในทำนองว่า คล้ายๆว่า ก็คล้ายๆพระพุทธศาสนา คือไม่ต้องอยู่ด้วยความเชื่อ ให้พิสูจน์ความจริง แต่ในที่สุดคนที่พูดกันเนี่ยะ เวลาพูดว่าอันนี้เป็นวิทยาศาสตร์ นี่ก็เชื่อตามวิทยาศาสตร์บอก ใช่มั้ย? เชื่อตามนักวิทยาศาสตร์บอก ตัวเองไม่ได้เห็น ก็อยู่ที่เชื่ออีกแหละ. เพราะฉะนั้นมันก็เลยไม่ไปไหน.
พุทธศาสนาก็บอกว่า เชื่อกับรู้ ศรัทธา ปัญญา เนี่ยะ มันเป็นตัวที่ว่า อาศัยต่อกัน ศรัทธานั้นเป็นตัวที่จะชักจูงหรือเป็นตัวนำตัวเริ่มต้นให้ ก็เป็นตัวจับจุด ที่จะได้ตรวจสอบ ศึกษาค้นคว้า ไปหาปัญญา ความรู้ นี้ก็ความรู้อย่างไอ้เรื่องจิตเนี่ยะ ก็ต้องถือแบบเดียวกับวิทยาศาสตร์ เป็นวิทยาศาสตร์ถือประจักษ์ ทีนี้ จิตมันก็ต้องประจักษ์กับตัวเอง ต้องประจักษ์กับตัวมันเอง.
ตอนนี้ ไอ้ที่เราไปประจักษ์รูป ก็ต้องเห็นด้วยตา เราไปนึกว่า นั่นเป็นวัตถุ มันก็ประจักษ์แต่วัตถุ แต่ที่จริงวัตถุนั้นก็ไม่ประจักษ์อยู่ดี เราบอกว่าตาเห็น เรานึกว่าตามันเห็นจริง เปล่า เราเห็นด้วยตาเท่านั้นหรือ? เวลาเห็นจริงเนี่ยะใครเห็น? ก็ไปถึงจิตใช่มั้ย? จิตใจรู้ ไอ้ที่รู้เนี่ยะ รู้ที่จิตใจ. ในทางพุทธศาสนาเนี่ยะ มีการแยกแยะเรื่องรูปธรรมชัดเลย บอกว่าเอาอย่าง ตาเห็น เนี่ยะ เรานึกว่าเราเห็นอะไรล่ะ? เห็นไม้เห็นอะไรเนี่ยะ นี่มันเป็นความจริง ๒ ชั้น พอเราเห็นนี่ ท่านบอกว่าเราเห็นแต่แสง เห็นสี แม้แต่สัณฐานรูปทรงกลมเหลี่ยมอะไรต่างๆน่ะ จิต จิตเป็นผู้บอก ก็หมายความว่ามันก็ต้องไปสู่การสรุปของจิตอีกที ถึงออกมา เพราะฉะนั้นรูปแบบนี้ท่านไม่ถือเป็น รูปที่ประจักษ์.
กลมสี่เหลี่ยมเนี่ยะ เป็นเรื่องที่จิตเอาจากไอ้ ความรู้ขั้นที่ ๑ ที่สัมผัสด้วยทางตา แล้วจิตมันไปประมวลอีกทีหนึ่ง แล้วบอกสัณฐานว่าเป็นยังงั้น เพราะฉะนั้นไอ้ตาเนี่ยะมันไม่ได้รู้สัณฐาน มันรับรู้ได้แค่ สี แสงเท่านั้นเอง.....เอ้อ แล้วก็ไอ้จิตนี้ ไปประมวล แล้วก็มันจึงสรุปออกมาเป็นรูปร่าง เป็นทรวดทรง. ฉะนั้นกลายเป็นว่า แค่ตาเนี่ยะ มันไม่พอ มันได้แค่นั้นเอง. อ้าว แล้วไอ้ที่จิตมันไปสรุปเนี่ยะ ว่าเป็นทรงกลม ทรงเหลี่ยม ทรงอะไรยังเงี่ยะ เอ้อ แล้วมันจริงรึเปล่า กลายเป็นว่าไม่แน่ใจแล้ว นักวิทยาศาสตร์ก็บอก ไม่, ไม่แน่ใจแล้ว. ว่าไอ้นี่มันเป็นความจริงตามที่ว่า คือตอนแรกก็ไปหลงว่า เอ๊อ เราเห็นด้วยตามันชัดอยู่แล้วนะ ว่าวัตถุนี้มันเป็นยังงั้นยังงี้ ปล่าว ไม่รู้จริงว่าที่จริงแล้วมัน ๒ ขั้น มันรับรู้ด้วยตามาชั้นหนึ่ง แล้วจิตมันมาประมวลอีกทีนึง ตกลงก็บอกว่าเนี่ยะ มันกลายเป็นว่า ไอ้ตัวผู้ดู/ผู้รู้เนี่ยะ นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้.
เมื่อไม่รู้แล้วมันก็ไม่สามารถเข้าใจความจริงได้ ก็เลยเข้าถึงความจริงไม่ได้ ตกลงก็ตันตรงนี้ ที่นี้ทางพุทธศาสนาจะว่ายังไง? ก็เราก็มาแยกแยะ คือในแง่หนึ่งพุทธศาสนาก็จะคล้ายกับวิทยาศาสตร์ในแง่ที่ว่า ต้องเอาประจักษ์ แต่ประจักษ์ในพุทธศาสนานี่ยอมรับหมด ๖ ของนักวิทยาศาสตร์อันนั้นยอมรับ ๕ ใช่มั้ย? ตาหูจมูกลิ้นกาย ก็แค่วัตถุรูปธรรม นี้ทางพุทธศาสนายอมรับจิตด้วยมาแยกแยะ จิตก็ต้องประจักษ์ อย่างความโกรธความอะไรอย่างเงี้ยะ ความรัก อะไรเนี้ยะ อะไรไปประจักษ์ได้ไหมนอกจากที่จิต ประจักษ์ไม่ได้ เป็นจิตใช่มั้ย? ไอ้เนี่ยะเป็นประจักษ์ แล้วมันก็ยังมาทำหน้าที่มาประสาน กลายเป็นว่าในที่สุด ที่รับรู้ดเข้ามาทาง ๕ ทางที่เป็นรูปธรรม ต้องมารวมที่จิตหมด แล้วจิตเป็นผู้สรุปอีกที ในที่สุดจิตกลายเป็นตัวรวม ที่จะได้ความรู้ ที่เรามารู้อะไรต่ออะไร เรามาพูดกันเนี่ยะ.
เวลานักวิทยาศาสตร์รู้อะไรแล้วมาสื่อสารคนอื่นเนี่ยะ มันเป็นการประมวลผลของจิตของตัวเองแล้ว มันไม่ได้พูดตรงตามภาวะของรูปธรรมแล้ว ฉะนั้นถ้าไม่เข้าใจจิตอันนี้มันก็ไปไม่ได้. ทีนี้มันกลายเป็นว่าต้องเข้าใจเรื่องจิต จิตก็ต้องไปประจักษ์ ทีนี้ประจักษ์ก็การทำงานของจิตเป็นอย่างไร? แล้วตามพุทธศาสนาก็บอกว่าชีวิตเป็นนามรูป ก็มีทั้งรูปธรรมและนามธรรม ท่านบอกว่าไอ้ ๒ อย่างเนี่ยะ มันอิงอาศัยซึ่งกันและกัน ไม่แยกกัน ทีนี้จะไปบอกว่า วัตถุอย่างเดียวมี หรือรูปอย่างเดียวมี จิตไม่มี เป็นผลจากรูป ก็ไม่ใช่ หรือว่านามอย่างเดียวมีก็ไม่ใช่ แยกกันก็ไม่ใช่อีก ตัดห่างกันก็ไม่ใช่.
ทีนี้ ไอ้นี่มันเป็นสิ่งที่อาศัยซึ่งกันและกัน แต่ท้านถือว่าเป็นสภาวะธรรม มันมีอยู่ นามธรรมกับรูปธรรมก็ทำงานอาศัยซึ่งกันและกันไป ท่านไม่มาถือว่า อันไหนมีอีกอันไม่มี ไม่ใช่อย่างงั้น ต้องอยู่ด้วยกัน ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน ก็รวมกันก็เรียกสั้นๆ ว่านามรูป. แล้วก็ถ้าแยกแยะออกไปก็แยกไป นามก็แยกไป แยกขั้นต้นก็ ๔ รูปก็ เพราะว่าเป็นส่วนที่ว่า ไม่ละเอียดซับซ้อนก็เลยพูดกลางๆไว้ เพราะไปที่อาศัยของนามไว้ก่อน แต่ถ้าจะแยกก็แยกเป็น มหาภูตรูป อุปาทายรูป1 จะไปแยกยังไงก็แยกไปอีกที ตอนนั้นก็ นักแยกเหมือนกัน พุทธศาสนาก็แยกแยะ.
คือก็เป็นลักษณะอันหนึ่งในแง่ว่า ๑) ก็คือ เอาประจักษ์ แต่ของพุทธศาสนาเอา ๖ ไม่เอา ๕ ๒) ก็เป็นนักแยกแยะวิเคราะห์ ของเขาก็วิเคราะห์แยกแยะ เราก็แยกทั้งรูปธรรม นามธรรม แต่ไอ้เรื่องนามธรรมนี้เค้าไม่เอา เค้าก็เลยไม่ยุ่ง ทีนี้พุทธศาสนาถือว่านามธรรมนี่แหละสำคัญ จิต ก็เลยแยกแยะเรื่องจิตนี้มากเป็นพิเศษ จนกระทั่งการทำงานของจิต มาทำงานเป็นยังไง เป็นขณะๆยังไวง เกิดดับยังไง ก็เลยมาเอาเรื่องนี้ละเอียดกว่า.
ทีนี้ ในความสัมพันธ์ระหว่าง จิตกับกาย นักวิทยาศาสตร์เมื่อเจริญขึ้นมา ว่าตัวเน้นเรื่องวัตถุเรื่องรูปธรรมเนี่ยะ เค้าก็จะศึกษาเป็นเรื่องรูปธรรมหมด เช่นว่าเวลามีอารมณ์ความรู้สึกนี้ขึ้นมา เอ้อ มีสารอะไรในสมองหลั่งออกมา เช่นคนมีความสุข เอ้อ ไปตรวจดูสารเคมี ในสมองก็มีสารนี้ เอ้อ ต่อไปเราจะเก่งเนี่ยะ ถ้าจับได้แล้วใช่มั้ย? ว่าเวลามีอารมณ์ยังงี้ แล้วเราต้องการอารมณ์ที่ดี อารมณ์ไม่ดีมีสารนี้ อารมณ์ดีมีสารยังงี้ เอ้อ เราก็จับได้แล้ว อารมณ์อันนี้ดีมีความสุข เอ้า สารนี้ออกมา จำไว้ มีความรู้สึกเมตตา มีความรัก มีสารอะไรหลั่งออกมา อะไรยังงี้เป็นต้น ต่อไปก็ เอ้อ เราก็จะปรุงแต่งคนได้ เอ้อ ต่อไปเนี่ยะ เวลาเค้าใจไม่สบายเราก็เตรียมสารนี้ไว้ ใช่มั้ย? เอ้อ พอเขามีความทุกข์ใจ ขุ่นมัว เดือดร้อนวุ่นวาย ว้าเหว่ เราก็ฉีดสารนี้ปั๊บ แหม มีความสุขยิ้มแฉ่งเลย อะไรยังงี้อ่ะนะ...
(...กลายเป็นสารเสพติดหรือเปล่า...) นี่แหละนี่แหละ เนี่ยะเนี่ยะ ก็นี่แหละคำนี่ที่ว่าน่ะ คือไปๆเนี่ยะ มนุษย์ไปๆทางวัตถุเกินไปน่ะ มันหลง มันก็นึกว่า เอ๊อ มันจะปรุงแต่งมนุษย์ได้ตามชอบใจ ทีนี้ว่า เวลาเอาเข้าจริงมันเป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่า? ความจริงน่ะ ไอ้ที่จริงระบบธรรมชาติที่ว่ามันเป็นความประสานของรูปธรรมนามธรรมน่ะ มันต้ององค์ประกอบพร้อมบริบูรณ์ มันจึงเป็นยังงั้น ทีนี้เราเอาไอ้สารอันนี้ไปเนี่ยะ มันสอดคล้องกับระบบทั้งหมดรึเปล่า? เอ้าว่า ไอ้สารนี้เป็นตัวทำให้เกิดอารมณ์อย่างนั้นจริงหรือ? หรือว่าเมื่อมนุษย์มีความรู้สึกอย่างนี้ มีอารมณ์อย่างนี้ แล้วก็สารยังงี้มันก็มี เพราะว่ามันเป็นปัจจัยต่อกันระหว่างนามรูป.
หนึ่ง ถ้าเรายู่ด้วยสารที่เราปรุงแต่ง ต่อไปเนี่ยะ มนุษย์ก็จะหนึ่ง ขึ้นอยู่กับการปรุงแต่ง ขึ้นต่อวัตถุนั้น ไม่สามารถจะทำตัวให้มีความสุขได้ เช่นอย่างนี้ จะมีความสุขได้ต้องเอาสารนั้นมาฉีด ถ้าหากว่าไม่ได้ฉีด ก็เป็นอันว่าแย่แหละ นี้ก็กลายเป็นหนึ่ง ขึ้นต่อมันล่ะ ขึ้นต่อมันจะเรียกเสพติด หรืออะไรก็แล้วแต่ ก็คือหมดอิสรภาพ ต้องขึ้นต่อมัน.
สอง มันมีผลต่ออะไรต่ออีก? ในกระบวนการระบบของมันน่ะ พอเข้าไปแล้วเนี่ยะ เพราะมันไม่ได้กลมกลืนเป็นไปในระบบของมันเองน่ะ มันก็ไปเกิดความขัดแย้ง เพราะว่าไอ้สภาพที่เป็นจริงมันไม่เป็น มันไปเป็นตัว ไอ้ตัวเนี่ยะไปเป็นตัวแปลกปลอมเข้าไป ไปบังคับต่างหาก ทำใหก้กระบวนการที่มันไม่เป็นจริงน่ะ มันออกอาการนี้เพราะไอ้ตัวสารนี้มันออกมาเวลามีอารมณ์นั้น มันก้เลยไปบังคับให้เกิดอารมณ์นี้ขึ้นมา แต่อารมณ์นี้น่ะ สารนี่มันไปขัดกับระบบทั้งหมด ต่อไปก็อีกนานจึงรู้ว่า เกิดปัญหาขึ้นมา มีเรื่องมีความขัดแย้งมีอะไรต่ออะไรออกแปรปรวน ทางร่างกายและจิตใจอื่นอีก.
อ้าว ทีนี้ว่า ถ้าเรารู้ว่า เอ้อ การมีความสุขอย่างนี้ดี เราควรจะมีอย่างนี้ ฉันจะบอกว่า เราฝึกตัวได้ มนุษย์เนี่ยะ เป็นสัตว์ที่ฝึกตัวได้ เราก็มาฝึก เราจะเรียกว่าฝึกจิตหรืออะไรก็ตาม มันก็คือฝึกกระบวนการของชีวิตนั่นเองน่ะ ไอ้วิธีพูดนี่ก็คือว่า ที่จริงมันไม่ได้ฝึกเฉพาะจิตหรอก แต่ว่ามันเป็นจุดเน้น ใช่มั้ย? ความจริงเวลาเราฝึก เราไม่ได้ฝึกเฉพาะจิตหรอก มันฝึกทั้งระบบ ระบบชีวิตเนี่ยะ กระบวรนการที่จะให้เป็นยังงั้น แต่จิตเป็นตัวนำ หรือเป็นแกนก็ได้ หรือเป็นส่วนประกอบสำคัญ.
แล้วก็ฝึกตัวเราตามกระบวนการนั้น ซึ่งเราจะเห็นว่า ในเวลาฝึกเนี่ยะ บางทีก็มีวัตถุเข้ามาผสมเยอะเลย เช่นจะให้สติมันเกาะเนี่ยะ เราต้องอาศัยรูปธรรม อาศัยวัตถุอย่างนี้เป็นต้น ทีนี้เราฝึกจิต ฝึกแล้วเวลานั่นไอ้ความรู้สึกหรืออารมณ์ที่เราต้องการมันก็เกิดขึ้นมา ไอ้สารมันก็มาแหละ ใช่มั้ย? มันก็เป็นธรรมดาของมัน เพราะสารนั้นเป็นตัวฝ่ายวัตถุ ทีนี้มันจะได้กลมกลืนกันกับระบบของมัน เพราะว่า มันเป็นระบบของรูปกับนาม ที่มีทั้งกายทั้งจิต กายมันก็จะต้องสอดคล้องเพื่อจะให้จิตที่มันมีความเป็นไปอย่างนี้ มันเดินไปได้ มันต้องอาศัยร่างกายนี่เป็นทางเดินของมัน เป็นที่ทำงาน มันจะเดินไปได้ยังงั้น มันก็ต้องให้มีสารมีอะไรต่ออะไร กระบวนการของฝ่ายกายนี้มารับ มันสอดคล้องมันจึงไปได้ ใช่มั้ย อ้า เพราะฉะนั้นมันก็สอดคล้องอย่างนั้น.
ทีนี้พอเราฝึกได้ชำนาญเมื่อเราต้องการเมื่อไหร่ เราก็ทำจิตให้เป็นอย่างนั้น ความสุขอย่างนั้นก็เกิดขึ้นได้. ระหว่างที่ว่า เวลาต้องการสุขอย่างนี้ ก็เอาสารนี้มาฉีด กับการที่ว่าฝึกตัวเองได้ดีแล้วก็ นึกอยากตจะให้มีอารมณ์นั้นหรืออะไรก็ทำได้ เอาอันไหน? เอ้อ ใช่มั้ยนะ? เนี่ยะ.
ทีนี้มนุษย์ไม่รู้หรอก นึกว่าตัวเก่ง จะเป็นเจ้าแห่งธรรมชาติ ต้องการยังไงก็ได้ ใช่มั้ย? ก็เลยมาศึกษา อันที่จริงก็คือไปเอาปรากฏการณ์นั้นมาส่วนหนึ่ง แง่หนึ่ง แล้วก็เอามาใช่ แต่ที่จริงไม่รู้หรอกว่า ไอ้ปรากฏการณ์อันนี้ มันเป็นเพียงปัจจัยตัวหนึ่งในกระบวนการนั้น ซึ่งอาจจะไปเกิดความขัดแย้งอะไรต่างๆกันเยอะแยะ เพราะฉะนั้นเลยกลายเป็นว่า กระบวนการวิทยาศาสตร์ไม่สมบูรณ์ แล้วก็เลยกลายเป็นว่า เกิดปัญหาอะไรต่ออะไรมากมาย.
อันนี้ก็อยากจะให้ฟังหลักอันหนึ่ง คือมนุษย์นี่มักจะติดในหลักที่ผิด ความเข้าใจที่ผิดอันหนึ่ง ก็คือมนุษย์น่ะคิดเรื่องเหตุผล แม้แต่พวกที่เจริญมากก็เรียกว่า เอ้อ คิดมีเหตุมีผลแล้วเนี่ยะ คือขั้นเหตุผลแล้ว ถือว่าเจริญขึ้นเยอะแล้วน่ะ ไม่ใช่อยู่เรื่อยเปื่อยเลื่อนลอย คิดเป็นเหตุเป็นผล แต่โดยมากจะมาตกอยู่ ในทิฏฐิหรือแนวคิดที่เรียกว่า เหตุเดียวผลเดียว คือจะมองว่า เอ้อ-เราต้องการผลยังงี้ เราก็ทำเหตุนี้ พอทำเหตุนี้แล้วไอ้ผลนี้ก็จะเกิดขึ้น. แล้ววิทยาศาสตร์เนี่ยะ ก็ไปติดในความคิดนี้เป็นหลักใหญ่อยู่ แต่ว่าเขาไม่ได้ติดทีเดียวเลยนะ เวลาเขาดำเนินการเนี่ยะ เขาก็รู้ เค้าเรียกว่าตัวแปรอะไรเป็นต้น แต่ทีนี้ว่าไอ้ตัวความคิดพื้นฐานน่ะ มันยังไปติดอยู่ คือไม่ได้เอาไอ้หลักการนี้มาเป็นตัวมองทั้งหมด เวลามองเป็นเหตุการณ์หลัก นี่ก็จะมองเหตุและผลเดียวเนี่ยะ แล้วเอาตัวอื่นประกอบ ก็เลยบางทีไม่ชัดแล้วมัก็ทำให้เกิดปัญหามาก.
ทีนี้พุทธศาสนาเนี่ยะ ถือว่าลัทธิเหตุเดียวผลเดียวเนี่ยะผิด ท่านเรียกว่า เอกะการณะวาท2
ลัทธิเหตุเดียวผลเดียว. มีเหตุหนึ่งก็เกิดผลอันหนึ่ง เอ้า ฉันปลูกเมล็ดพืชข้าว ก็เกิดข้าวขึ้นมา ก็เป็นเหตุเป็นผล ใช่มั้ย? มนุษย์ทั่วไปก็จะคิดยังงี้นึกว่ายังงั้น พุทธศาสนาบอก มองให้ดีนะ ระวังว่าจะผิด นี่แหละ เพราะมนุษย์มองเหตุเดียวผลเดียวเนี่ยะ ทำให้เกิดความพลาดขึ้นมา เช่นอย่างเรื่องของการแพทย์ เรื่องของเคมี ที่ทำไปทำมาตอนหลังเนี่ยะ ก็ได้ความเข้าใจขึ้นเยอะ ก็ระมัดระวัง เราก็นึกว่า เอ้อ ทำอันนี้ขึ้นมา เราต้องการผลอันนี้ ผลอันเกิดจากเหตุ เราต้องการผลนี้ ผลเกิดจากเหตุ เหตุของมันคืออะไร ค้นให้ได้ แล้วเราก็ทำเหตุนั้น เราก็จะได้ผล อันเนี่ยะวิทยาศาสตร์ก็พยายามสืบค้นอันเนี่ยะ จนกระทั่งทำอะไรต่ออะไรเป็นผลสำเร็จมากมาย.
ทีนี้ปรากฏว่าได้ผลจริงทำอะไรต่ออะไรออกมา ได้ผลเป็นยาเป็นอะไร สารเคมีมาใช้ในเรื่องของกระบวนการต่างๆในชีวิตความเป็นอยู่ ในการรักษาโรคอะไรต่างๆเนี่ยะ ได้ผลเยอะเลย แต่ว่า ต่อมาก็เริ่มมีคำว่า ผลข้างเคียง เอ้อ เอาละ ปรากฏว่ามันไม่ใช่แค่นั้นน่ะ ไอ้ผลที่ตัวเองต้องการได้ แต่ปรากฏว่ามันมีผลอื่นขึ้นมาด้วย และบางอย่างนี่ร้ายแรงมาก ทำให้นักวิทยาศาสตร์เริ่มระวัง ก็มันเลยกลายเป็นว่ามีผลข้างเคียง มีผลติดตาม มีผลพลอยผลพ่วงอะไรต่างๆเหล่านี้ เยอะหมดเลย.
นี่คือ ท่านบอกว่า ผลหนึ่งก็ไม่ใช่เกิดจากเหตุเดียว แต่เกิดผลหลากหลายจากปัจจัยอันหนึ่ง และผลอันหนึ่งก็จากปัจจัยหลากหลาย ที่เกิดผลอันหนึ่งเนี่ยะ ปัจจัยมันเยอะแยะ เราไปเอาจับที่เหตุตัวเดียว ก็อย่างที่ยกตัวอย่างบ่อยๆ ง่ายๆ เช่น ท่านจะปลูกมะม่วง เนี่ยะ มันก็บอกว่า เอ้อ ต้นมะม่วงเป็นผล แล้วอะไรเป็นเหตุ เราก็นึกว่าเม็ดมะม่วง ถูกมั้ย? เราก็ว่า เอ้อ ต้องมีเม็ดมะม่วงเป็นเหตุ ก็ถูกล่ะสิ ถ้าไม่มีเม็ดมะม่วง หรือว่าไม่มีหน่อไม่มีไอ้...อะไรที่เค้าเรียก (กิ่ง)ตอน หรือตามกระบวนการของมันน่ะ ไม่มีเหตุอันหนึ่งแล้วก็ ผลก็เกิดไม่ได้. แต่นี้ แล้วท่านเอามันมา มะม่วงเนี่ยะมาแล้ว ให้มันเกิดเป็นต้นมะม่วงเลยได้มั้ย? ก็ไม่ได้ ต้องมีปัจจัยพร้อม ท่านเรียกว่า ต้องปัจจัยพร้อม ก็เอาเม็ดมะม่วงไปปลูกลงในดิน มีปุ๋ย มีน้ำมีอุณหภูมิมีอากาศ แก๊ส อะไรต่างๆเนี่ยะ พรั่งพร้อม เพราะปัจจัยพรั่งพร้อมแล้วผลจึงเกิด นี่อย่างเงี่ยะ อันนี้ก็เอาละในแง่ ผลอย่างหนึ่งเกิดจากปัจจัยหลากหลาย ก็ง่ายแหละ เพราะชี้ก็เห็นเลย.
ในทางกลับกันเนี่ยะ ปัจจัยอันหนึ่งเนี่ยะ ส่งผลหลากหลาย. ไอ้ตอนนี้แหละที่ว่า เวลาเราต้องการผลอันหนึ่งเนี่ยะ เราทำเหตุนั้น เราก็มองเฉพาะผลที่เราต้องการ เราไม่ได้ดูว่าที่จริงไอ้เหตุหรือปัจจัยที่เราทำ มันไปส่งผลอื่นอีกเยอะแยะเลย. ตรงนี้แหละที่มันเป็นปัญหา คือเราเริ่มเรียนรู้ได้ก่อนตรงที่ว่า ผลเนี่ยะเกิดจากเหตุว่ามีปัจจัยหลากหลายพร้อม อันนี้ได้เรียนรู้ขึ้นมาก็พยายามทำ หาปัจจัยให้พร้อม แต่ว่าตอนที่ปัจจัยหนึ่งมันเกิดผลหลากหลาย ตอนนี้ไม่ค่อยได้มอง ตอนนี้ก็เริ่มแหละ โอ ไม่ได้แล้ว ไปทำเหตุปัจจัยเข้าอันหนึ่งเนี่ยะ ไอ้ที่เราต้องการผลอันนั้นน่ะได้จริง แต่มันเกิดอะไรอีกบ้าง ที่นี้สิ (...ข้างเคียงเกิดขึ้น...) ครับ. ผลข้างเคียงไอ้ตัวเนี้ยะ ตามไม่ไหว ไอ้ตรงนี้แหละที่เค้าตามไม่ไหวเนี่ยะ นักวิทยาศาสตร์จะแย่ตรงนี้. คือพอต้องการผลอันหนึ่งก็ จับเหตุปัจจัยอันนั้นให้ได้ แม้แต่ปัจจัยประกอบอื่น ก็เพื่อผลอันนี้เท่านั้น แต่ตัวไม่รู้ว่า ไอ้ที่ไปทำเหตุปัจจัยเหล่านั้นน่ะ แต่ละอันละอันมันส่งผลของมันเองเยอะแยะเลย.
สมมติว่าเราเอาเหตุปัจจัยมาทำเพื่อให้ผลที่เราต้องการเพียงอันเดียว แล้วเราต้องไปทำเหตุปัจจัยตั้ง 20 เนี่ยะ แล้วไอ้ 20 นั้นแต่ละอันมันส่งผลตั้งเท่าไหร่? นี่แหละครับจุดที่จะตัน ตอนี้วิทยาศาสตร์ตามไม่ไหว เชื่อมั้ย? ท่านเห็นมั้ยว่าตามไม่ไหวเลย? ไอ้ปัจจัย 20 อันที่ให้ผลที่ตัวต้องการนั่นน่ะ มันส่งผอะไรบ้าง? เป็นจุด ก็เรียกว่าจุดบอดเลยก็ได้ ที่จะเป็นปัญหามาก ทีนี้กระบวนการของธรรมชาติที่มันเป็นของมันน่ะ ก็คือเหตุปัจจัยมันพรั่งพร้อมของมัน ใช่มั้ย? มันจะเกิดผลอันนั้นแล้วเวลามันส่งผล มันก็ส่งกันไป มันเป็นความสัมพันธ์ของมันในระบบของมันเอง มันก็เลยเกิดสมบูรณ์ขึ้นมา ทีนี้พอเราทำยังงี้มันก็เลยเกิดสมบูรณ์กัน แล้วเราตามไม่ไหว เนี่ยะจะเป็นจุดที่ลำบากกับวิทยาศาสตร์มาก แล้วจะทำไง? ตามไหวเร๊อะ ใช่มั้ย? นี่แหละครับ...(ผู้ฟัง-พูด ภาวะโลกร้อน)...
นี่แหละ นี่แหละ ตัวอย่างล่ะ นี่ก็คือการที่วิทยาศาสตร์ภูมิใจแล้วนึกไม่ถึง พอมาถึงตอนหนึ่งจึงเริ่ม อะไรกันเนี่ยะ วุ่นวายหมดแล้ว ตัวจะแย่ล่ะสิ ตอนนี้ก็เลยสำนึกขึ้นมา แล้วทีนี้ก็ พอเกิดอย่างที่หนึ่ง ทางนักปราชญ์ทางวิทยาศาสตร์เองก็ เกิดพูดขึ้นมาอย่างนี้ สองก็ปรากฏการณ์ที่เป็นผลจากการเจริญทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ทำขึ้นมาแล้วมันมีผลข้างเคียง ผมพลอยที่ไม่ดีขึ้นมา มนุษย์เริ่มเกิดความไม่ไว้วางใจวิทยาศาสตร์ ก็เลย วิทยาศาสตร์ก็เริ่มเสื่อมความนิยม ทีนี้มนุษย์นี้มันเสียอย่าง สุดโต่ง พอเสื่อมความนิยมวิทยาศาสตร์เลยหันไปหาไสยศาสตร์อีก. ก็เลยกลายเป็นคนไม่เอาเหตุเอาผลเลยอีก อย่างนี้เรียกว่าสุดโต่ง.
ฉะนั้น ท่านให้สำนึก ให้มีสติ ระมัดระวัง คืออย่าวงน้อยเราก้เตือนใจตัวเองว่า อย่าประมาทนะ ว่าเรารู้หมด นักวิทยาศาสตร์นึกว่าตัวรู้พอ แล้วไปทำยังงั้นเข้า ฉะนั้นท่านจึงให้ไม่ประมาท ทำอะไรต้องคำนึงถึงเหตุปัจจัยให้รอบที่สุด ทำไมจำเป็นต้องทำ? เอ้า ทำ แต่ว่าไม่ประมาทนะ ต้องรู้ว่า ที่เรารู้เนี่ยะ อาจจะยังไม่พอ ต้องศึกษากัน.
ต..ทำงาน?" สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตโต) https://youtu.be/CuWCnM_j6pA?si=6QTEQq8AarSqQd79 …ไม่รู้จะนึกพูดเรื่องอะไรดี เอาว่าท่านอยากรู้เรื่องอะไร ก็เป็นแบบคุยกันเอง อะไรก็ได้ นึกอะไรขึ้นมา คุยกันถามกัน องค์เก่าก็ได้ องค์ใหม่ก็ได้. ผู้ถาม: ขอกราบเรียนถามท่านพระเดชพระคุณอาจารย์ครับ คือถ้าในทางการแพทย์เค้าถือว่า จิตเป็นการทำงานจากสมอง ก็เลยอยากทราบว่าในทางพุทธศาสนานั้น จะอธิบายเรื่องจิตยังไงครับ. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์: โอ่ ก็ถามเรื่องใหญ่เลยนะ. หะหะหะ มันก็เรื่องสำคัญเลยนะ เป็นเรื่องที่ เป็นนามธรรมที่ลึกซึ้ง แล้วก็เป็นตัวที่มาทำงานในการที่เรามาพูดตอบกันนี้ด้วย. เช่นเราจะตอบเรื่องจิตนี้ เราก็เอาจิตนี่แหละมาใช้งาน ใช่มั้ย? จิตก็เป็นเรื่องของส่วนสำคัญของชีวิต ถ้าว่าจตามหลักพุทธศาสนาแบบว่า เอาตัวหลักพื้นฐาน อย่างที่เราบอกว่า เอ้อ ธรรมชาติเนี่ยะ มันก็มีขึ้นมาตามธรรมดา ท่านเรียกว่า ธรรม สิ่งทั้งหลายที่มีตามธรรมดา ทีนี้ธรรมเนี่ยะ ที่คนทั่วไปรู้จักก็เรียกว่ารูปธรรม. รูปธรรมก็พวกวัตถุ อะไรต่างๆพวกนี้ พร้อมทั้งความเคลื่อนไหวความเป็นไปของมันเนี่ยะ ก็เรียกว่ารูปธรรม. ธรรมเป็นรูปนั่นแหละ พูดสั้นๆ. ทีนี้พุทธศาสนาบอกว่ามันไม่ใช่มีแค่รูป มันมีนามด้วย ก็เลยเป็น รูป-นาม ถ้าพูดยาวก็ แปลว่ามีธรรม ๒ คือรูปธรรม กับ นามธรรม. นี้ ถ้าพูดให้สั้นลงไปก็เหลือ รูปกับนาม. แล้วชีวิตของคนเราเนี่ยะ ก็ประกอบด้วยรูปกับนาม เวลาเราพูดถึงคนสั้นๆเราก็เรียกนามรูป. กลับกันเสียนี่ รูปกับนามนั่นแหละ เวลามารวมกันเราเรียกว่านามรูป และชีวิตเรานี้ตอบสั้นที่สุดก็นามรูป. ก็มีแค่ส่วนที่เป็นนาม กับส่วนที่เป็นรูปเนี่ยะ แล้วถ้าหากว่าจะพูดให้แยกแยะชัดเจนลงไป ก็ไปขยายว่า เอ้อ รูปนี่แยกไปเป็นอะไรบ้าง แล้วก็นามแยกเป็นอะไร ถ้าแยกอย่างง่ายที่สุด ก็แยกนามเป็น ๔ เป็น เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อย่างที่เราได้เรียนกันแล้ว รูปคราวนี้ยังไม่แยก ก็รูป ๑ กับนาม ๔ ก็เรียกจัดเป็น กองๆ ก็ว่า ๕ กอง ๕ ขันธ์ ก็เป็นเบญจขันธ์ หรือขันธ์ ๕. เนี่ยะ ชีวิตเราก็อย่างเนี๊ยะ นี้เราจะเห็นว่า ชีวิตมนุษย์ หรือที่เรียกว่าชีวิตน่ะ มันก็ต่างจากวัตถุทั้งหลายที่มีแต่รูปธรรม มีนามธรรมด้วย. ทีนี้ นามกับรูปนี่เป็นชีวิต ชีวิตของเรา ฉะนั้นเราไม่ได้มีเฉพาะรูปอย่างเดียว มีนามด้วย ๒ ส่วนได้ประกอบกัน. ทีนี้มันมีปัญหาที่มนุษย์เถียงกันมาว่า นามก็คือจิตใจ ด้านจิตใจ มันมีจริงหรือว่ามันเป็นเพียงผลจากรูป นักวิทยาศาสตร์ฝ่ายวัตถุนิยม นี้มักจะถือว่า นามหรือว่าจิตใจนี้ไม่มีอ่ะ. เป็นเพียงผลของรูป ก็เถียงกันมา อีกพวกหนึ่งก็ถือว่า นามนั่นแหละจึงมีจริง ไอ้รูปเนี่ยะไม่มีอ่ะ รูปนี่ปรากฏเพราะมีนาม ถ้าไม่มีนาม ไม่มีรูปปรากฏ. แล้วรูปที่แท้เป็นไงก็ไม่รู้ นามมันก็บอกเราตามที่มัน เนี่ยะ จิตมันคิดมันเห็นมันรู้มันรับทราบยังไงเนี่ยะ ที่จริงมันเป็นยังไงก็ไม่รู้นะ ไอ้วัตถุที่เราเห็นเนี่ยะ มันเป็นอย่างที่เรานี้รึเปล่า? เอ้อ เราก็ไม่รู้นะ เรารู้ไปตามที่ เราเรียกง่ายๆว่าจิตมันบอก เพราะเช่นนั้นต้องบอกว่า คุณน่ะ รูปนี้มันไม่มีอ่ะ มันมีแต่นาม ที่เรารู้เรานึกว่า มันมี มันเป็นยังงั้นยังเงี๊ยะ มันจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ จิตมันบอกเท่านั้นเอง มันก็เถียงกันมาอย่างนี้อ่ะนะ มาไม่รู้กี่พันปีมาแล้ว. ทีนี้มาวิทยาศาสตร์เนี่ยะ ก็เป็นฝ่ายที่เอาแต่วัตถุมา นานมากแล้ววัตถุ มุ่งไปที่ว่า เอ้า จะถืออะไรมีจริงก็ต้องตรวจสอบพิสูจน์สัมผัสได้ ด้วยตาหูจมูกลิ้นกาย ถ้าไม่งั้นแล้วก็ ไม่ยอมรับ. เนี่ยะ ก็ถือกันมาอย่างนี้ นะวิทยาศาสตร์ ถือกันมาถือกันมานาน จนกระทั่งมาถึงเมื่อไม่นานนี้เอง ครึ่งศตวรรษเนี่ยะ นักวิทยาศาสตร์ก็เกิดสงสัยขึ้นมา เข้ายุคที่ถือว่าเจริญที่สุด เกิดมีนักวิทยาศาสตร์ที่หัวก้าวหน้า เป็นผู้นำทางด้านฟิสิกส์ บอกว่าไอ้ที่วิทยาศาสตร์ได้รู้กันมา เข้าใจกันมา แล้วภูมิใจกันมานักว่า ตัวเองนี่เป็นผู้เข้าถึงความจริง ที่แท้น่ะ ยังไม่ถึงเลย. บอกว่า วิทยาศาสตร์จะนำเราให้เข้าถึงความจริง ได้แค่เงาของความจริง. นี่คือคำตอบของวิทยาศาสตร์ในยุคที่เจริญที่สุด พอเจริญที่สุดแล้วกลับเลย แต่ก่อนนี้ภูมิใจอะไรต่ออะไรนี่ จะถือว่าเป็นจริงได้ต้องวิทยาศาสตร์ยอมรับ. นักวิทยาศาสตร์พวกนี้ก็ เกิดความสงสัย ว่าไอ้ที่ว่าเป็น...วิทยาศาสตร์ว่าเป็นจริงน่ะ ที่ว่าตรวจสอบได้ เห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู รู้อะไรต่างๆเนี่ยะ มันจริงรึเปล่า? ไอ้ที่เรามาบอกว่าเป็นยังงั้นนั้นน่ะ มันผ่านจิตทั้งนั้นแหละ ผลที่สุดก็ไม่รู้ว่า ไอ้ที่จิตที่ไปรู้น่ะ คืออะไร? แล้วถ้าไม่รู้จิตที่เป็นผู้รู้ล่ะ แล้วไอ้สิ่งที่จิตมันรู้มันบอกเราเนี่ยะ มันเป็นยังไง? แล้วเราจะรู้ว่ามันผิดหรือถูกได้ยังไง มันเป็นจริงยังไง คล้ายๆว่า เราไปบอกว่าไอ้สิ่งที่ดู ที่เห็น ที่ได้ยินเนี่ยะ เป็นยังงั้นยังงี้ แต่ใครเป็นผู้ดู ผู้เห็น ผู้ได้ยิน แล้วไอ้นั่นมันเป็นยังไงล่ะ มันรู้ได้ยังไง มันบอกถูกหรือบอกผิด? พวกนักวิทยาศาสตร์ก็กลับมาตั้งต้นใหม่เลย. ตอนนี้ก็เลยลอย ตอนนี้ก็กลายมาเป็นยุคที่นักวิทยาศาสตร์นี่กำลังกลับมาสู่การ ค้นหาความจริงกันอีกครั้งหนึ่ง. แทบจะเริ่มต้นเลย ก็มาถามเค้าว่า จิตคืออะไร? แล้วเดี่ยวนี้ก็มีนักวิทยาศาสตร์ที่พยายามจะตอบ เรื่องจิต แม้กระทั่งคิดว่าไอ้คอมพิวเตอร์นี่มันจะมีจิตได้มั้ย ว่าอะไรยังงั้น กลายเป็นว่า ไปๆมาๆมันวนอยู่นี่เอง. นักวิทยาศาสตร์ไปๆมาๆในที่สุด ไปถึงระดับหนึ่งมันก็ ไปเป็นนักปรัชญา. แต่เป็นนักปรัชญาอีกแบบ เค้าเรียกว่านักปรัชญาวิทยาศาสตร์. ก็หมายความว่า มันไปถึงจุดที่ตัวเองไม่อาจจะรู้ชัด มันก็เลยอยู่ในระดับของการใช้ปัญญา เชิงเหตุผลอะไรต่างๆเหล่านี้. ก็เนี่ยะ ก็ยังเป็นเรื่องที่เรามาอยู่โลกปัจจุบัน แล้วก็ว่าไปตามความเจริญของโลก ที่วิทยาศาสตร์เป็นผู้นำ ในการที่จะมาตรวจสอบพิสูจน์ ความจริงต่างๆ แล้วนักวิทยาศาสตร์ก็บอกในทำนองว่า คล้ายๆว่า ก็คล้ายๆพระพุทธศาสนา คือไม่ต้องอยู่ด้วยความเชื่อ ให้พิสูจน์ความจริง แต่ในที่สุดคนที่พูดกันเนี่ยะ เวลาพูดว่าอันนี้เป็นวิทยาศาสตร์ นี่ก็เชื่อตามวิทยาศาสตร์บอก ใช่มั้ย? เชื่อตามนักวิทยาศาสตร์บอก ตัวเองไม่ได้เห็น ก็อยู่ที่เชื่ออีกแหละ. เพราะฉะนั้นมันก็เลยไม่ไปไหน. พุทธศาสนาก็บอกว่า เชื่อกับรู้ ศรัทธา ปัญญา เนี่ยะ มันเป็นตัวที่ว่า อาศัยต่อกัน ศรัทธานั้นเป็นตัวที่จะชักจูงหรือเป็นตัวนำตัวเริ่มต้นให้ ก็เป็นตัวจับจุด ที่จะได้ตรวจสอบ ศึกษาค้นคว้า ไปหาปัญญา ความรู้ นี้ก็ความรู้อย่างไอ้เรื่องจิตเนี่ยะ ก็ต้องถือแบบเดียวกับวิทยาศาสตร์ เป็นวิทยาศาสตร์ถือประจักษ์ ทีนี้ จิตมันก็ต้องประจักษ์กับตัวเอง ต้องประจักษ์กับตัวมันเอง. ตอนนี้ ไอ้ที่เราไปประจักษ์รูป ก็ต้องเห็นด้วยตา เราไปนึกว่า นั่นเป็นวัตถุ มันก็ประจักษ์แต่วัตถุ แต่ที่จริงวัตถุนั้นก็ไม่ประจักษ์อยู่ดี เราบอกว่าตาเห็น เรานึกว่าตามันเห็นจริง เปล่า เราเห็นด้วยตาเท่านั้นหรือ? เวลาเห็นจริงเนี่ยะใครเห็น? ก็ไปถึงจิตใช่มั้ย? จิตใจรู้ ไอ้ที่รู้เนี่ยะ รู้ที่จิตใจ. ในทางพุทธศาสนาเนี่ยะ มีการแยกแยะเรื่องรูปธรรมชัดเลย บอกว่าเอาอย่าง ตาเห็น เนี่ยะ เรานึกว่าเราเห็นอะไรล่ะ? เห็นไม้เห็นอะไรเนี่ยะ นี่มันเป็นความจริง ๒ ชั้น พอเราเห็นนี่ ท่านบอกว่าเราเห็นแต่แสง เห็นสี แม้แต่สัณฐานรูปทรงกลมเหลี่ยมอะไรต่างๆน่ะ จิต จิตเป็นผู้บอก ก็หมายความว่ามันก็ต้องไปสู่การสรุปของจิตอีกที ถึงออกมา เพราะฉะนั้นรูปแบบนี้ท่านไม่ถือเป็น รูปที่ประจักษ์. กลมสี่เหลี่ยมเนี่ยะ เป็นเรื่องที่จิตเอาจากไอ้ ความรู้ขั้นที่ ๑ ที่สัมผัสด้วยทางตา แล้วจิตมันไปประมวลอีกทีหนึ่ง แล้วบอกสัณฐานว่าเป็นยังงั้น เพราะฉะนั้นไอ้ตาเนี่ยะมันไม่ได้รู้สัณฐาน มันรับรู้ได้แค่ สี แสงเท่านั้นเอง.....เอ้อ แล้วก็ไอ้จิตนี้ ไปประมวล แล้วก็มันจึงสรุปออกมาเป็นรูปร่าง เป็นทรวดทรง. ฉะนั้นกลายเป็นว่า แค่ตาเนี่ยะ มันไม่พอ มันได้แค่นั้นเอง. อ้าว แล้วไอ้ที่จิตมันไปสรุปเนี่ยะ ว่าเป็นทรงกลม ทรงเหลี่ยม ทรงอะไรยังเงี่ยะ เอ้อ แล้วมันจริงรึเปล่า กลายเป็นว่าไม่แน่ใจแล้ว นักวิทยาศาสตร์ก็บอก ไม่, ไม่แน่ใจแล้ว. ว่าไอ้นี่มันเป็นความจริงตามที่ว่า คือตอนแรกก็ไปหลงว่า เอ๊อ เราเห็นด้วยตามันชัดอยู่แล้วนะ ว่าวัตถุนี้มันเป็นยังงั้นยังงี้ ปล่าว ไม่รู้จริงว่าที่จริงแล้วมัน ๒ ขั้น มันรับรู้ด้วยตามาชั้นหนึ่ง แล้วจิตมันมาประมวลอีกทีนึง ตกลงก็บอกว่าเนี่ยะ มันกลายเป็นว่า ไอ้ตัวผู้ดู/ผู้รู้เนี่ยะ นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้. เมื่อไม่รู้แล้วมันก็ไม่สามารถเข้าใจความจริงได้ ก็เลยเข้าถึงความจริงไม่ได้ ตกลงก็ตันตรงนี้ ที่นี้ทางพุทธศาสนาจะว่ายังไง? ก็เราก็มาแยกแยะ คือในแง่หนึ่งพุทธศาสนาก็จะคล้ายกับวิทยาศาสตร์ในแง่ที่ว่า ต้องเอาประจักษ์ แต่ประจักษ์ในพุทธศาสนานี่ยอมรับหมด ๖ ของนักวิทยาศาสตร์อันนั้นยอมรับ ๕ ใช่มั้ย? ตาหูจมูกลิ้นกาย ก็แค่วัตถุรูปธรรม นี้ทางพุทธศาสนายอมรับจิตด้วยมาแยกแยะ จิตก็ต้องประจักษ์ อย่างความโกรธความอะไรอย่างเงี้ยะ ความรัก อะไรเนี้ยะ อะไรไปประจักษ์ได้ไหมนอกจากที่จิต ประจักษ์ไม่ได้ เป็นจิตใช่มั้ย? ไอ้เนี่ยะเป็นประจักษ์ แล้วมันก็ยังมาทำหน้าที่มาประสาน กลายเป็นว่าในที่สุด ที่รับรู้ดเข้ามาทาง ๕ ทางที่เป็นรูปธรรม ต้องมารวมที่จิตหมด แล้วจิตเป็นผู้สรุปอีกที ในที่สุดจิตกลายเป็นตัวรวม ที่จะได้ความรู้ ที่เรามารู้อะไรต่ออะไร เรามาพูดกันเนี่ยะ. เวลานักวิทยาศาสตร์รู้อะไรแล้วมาสื่อสารคนอื่นเนี่ยะ มันเป็นการประมวลผลของจิตของตัวเองแล้ว มันไม่ได้พูดตรงตามภาวะของรูปธรรมแล้ว ฉะนั้นถ้าไม่เข้าใจจิตอันนี้มันก็ไปไม่ได้. ทีนี้มันกลายเป็นว่าต้องเข้าใจเรื่องจิต จิตก็ต้องไปประจักษ์ ทีนี้ประจักษ์ก็การทำงานของจิตเป็นอย่างไร? แล้วตามพุทธศาสนาก็บอกว่าชีวิตเป็นนามรูป ก็มีทั้งรูปธรรมและนามธรรม ท่านบอกว่าไอ้ ๒ อย่างเนี่ยะ มันอิงอาศัยซึ่งกันและกัน ไม่แยกกัน ทีนี้จะไปบอกว่า วัตถุอย่างเดียวมี หรือรูปอย่างเดียวมี จิตไม่มี เป็นผลจากรูป ก็ไม่ใช่ หรือว่านามอย่างเดียวมีก็ไม่ใช่ แยกกันก็ไม่ใช่อีก ตัดห่างกันก็ไม่ใช่. ทีนี้ ไอ้นี่มันเป็นสิ่งที่อาศัยซึ่งกันและกัน แต่ท้านถือว่าเป็นสภาวะธรรม มันมีอยู่ นามธรรมกับรูปธรรมก็ทำงานอาศัยซึ่งกันและกันไป ท่านไม่มาถือว่า อันไหนมีอีกอันไม่มี ไม่ใช่อย่างงั้น ต้องอยู่ด้วยกัน ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน ก็รวมกันก็เรียกสั้นๆ ว่านามรูป. แล้วก็ถ้าแยกแยะออกไปก็แยกไป นามก็แยกไป แยกขั้นต้นก็ ๔ รูปก็ เพราะว่าเป็นส่วนที่ว่า ไม่ละเอียดซับซ้อนก็เลยพูดกลางๆไว้ เพราะไปที่อาศัยของนามไว้ก่อน แต่ถ้าจะแยกก็แยกเป็น มหาภูตรูป อุปาทายรูป1 จะไปแยกยังไงก็แยกไปอีกที ตอนนั้นก็ นักแยกเหมือนกัน พุทธศาสนาก็แยกแยะ. 1 https://www.dhammahome.com/webboard/topic/14607 คือก็เป็นลักษณะอันหนึ่งในแง่ว่า ๑) ก็คือ เอาประจักษ์ แต่ของพุทธศาสนาเอา ๖ ไม่เอา ๕ ๒) ก็เป็นนักแยกแยะวิเคราะห์ ของเขาก็วิเคราะห์แยกแยะ เราก็แยกทั้งรูปธรรม นามธรรม แต่ไอ้เรื่องนามธรรมนี้เค้าไม่เอา เค้าก็เลยไม่ยุ่ง ทีนี้พุทธศาสนาถือว่านามธรรมนี่แหละสำคัญ จิต ก็เลยแยกแยะเรื่องจิตนี้มากเป็นพิเศษ จนกระทั่งการทำงานของจิต มาทำงานเป็นยังไง เป็นขณะๆยังไวง เกิดดับยังไง ก็เลยมาเอาเรื่องนี้ละเอียดกว่า. ทีนี้ ในความสัมพันธ์ระหว่าง จิตกับกาย นักวิทยาศาสตร์เมื่อเจริญขึ้นมา ว่าตัวเน้นเรื่องวัตถุเรื่องรูปธรรมเนี่ยะ เค้าก็จะศึกษาเป็นเรื่องรูปธรรมหมด เช่นว่าเวลามีอารมณ์ความรู้สึกนี้ขึ้นมา เอ้อ มีสารอะไรในสมองหลั่งออกมา เช่นคนมีความสุข เอ้อ ไปตรวจดูสารเคมี ในสมองก็มีสารนี้ เอ้อ ต่อไปเราจะเก่งเนี่ยะ ถ้าจับได้แล้วใช่มั้ย? ว่าเวลามีอารมณ์ยังงี้ แล้วเราต้องการอารมณ์ที่ดี อารมณ์ไม่ดีมีสารนี้ อารมณ์ดีมีสารยังงี้ เอ้อ เราก็จับได้แล้ว อารมณ์อันนี้ดีมีความสุข เอ้า สารนี้ออกมา จำไว้ มีความรู้สึกเมตตา มีความรัก มีสารอะไรหลั่งออกมา อะไรยังงี้เป็นต้น ต่อไปก็ เอ้อ เราก็จะปรุงแต่งคนได้ เอ้อ ต่อไปเนี่ยะ เวลาเค้าใจไม่สบายเราก็เตรียมสารนี้ไว้ ใช่มั้ย? เอ้อ พอเขามีความทุกข์ใจ ขุ่นมัว เดือดร้อนวุ่นวาย ว้าเหว่ เราก็ฉีดสารนี้ปั๊บ แหม มีความสุขยิ้มแฉ่งเลย อะไรยังงี้อ่ะนะ... (...กลายเป็นสารเสพติดหรือเปล่า...) นี่แหละนี่แหละ เนี่ยะเนี่ยะ ก็นี่แหละคำนี่ที่ว่าน่ะ คือไปๆเนี่ยะ มนุษย์ไปๆทางวัตถุเกินไปน่ะ มันหลง มันก็นึกว่า เอ๊อ มันจะปรุงแต่งมนุษย์ได้ตามชอบใจ ทีนี้ว่า เวลาเอาเข้าจริงมันเป็นอย่างนั้นจริงหรือเปล่า? ความจริงน่ะ ไอ้ที่จริงระบบธรรมชาติที่ว่ามันเป็นความประสานของรูปธรรมนามธรรมน่ะ มันต้ององค์ประกอบพร้อมบริบูรณ์ มันจึงเป็นยังงั้น ทีนี้เราเอาไอ้สารอันนี้ไปเนี่ยะ มันสอดคล้องกับระบบทั้งหมดรึเปล่า? เอ้าว่า ไอ้สารนี้เป็นตัวทำให้เกิดอารมณ์อย่างนั้นจริงหรือ? หรือว่าเมื่อมนุษย์มีความรู้สึกอย่างนี้ มีอารมณ์อย่างนี้ แล้วก็สารยังงี้มันก็มี เพราะว่ามันเป็นปัจจัยต่อกันระหว่างนามรูป. หนึ่ง ถ้าเรายู่ด้วยสารที่เราปรุงแต่ง ต่อไปเนี่ยะ มนุษย์ก็จะหนึ่ง ขึ้นอยู่กับการปรุงแต่ง ขึ้นต่อวัตถุนั้น ไม่สามารถจะทำตัวให้มีความสุขได้ เช่นอย่างนี้ จะมีความสุขได้ต้องเอาสารนั้นมาฉีด ถ้าหากว่าไม่ได้ฉีด ก็เป็นอันว่าแย่แหละ นี้ก็กลายเป็นหนึ่ง ขึ้นต่อมันล่ะ ขึ้นต่อมันจะเรียกเสพติด หรืออะไรก็แล้วแต่ ก็คือหมดอิสรภาพ ต้องขึ้นต่อมัน. สอง มันมีผลต่ออะไรต่ออีก? ในกระบวนการระบบของมันน่ะ พอเข้าไปแล้วเนี่ยะ เพราะมันไม่ได้กลมกลืนเป็นไปในระบบของมันเองน่ะ มันก็ไปเกิดความขัดแย้ง เพราะว่าไอ้สภาพที่เป็นจริงมันไม่เป็น มันไปเป็นตัว ไอ้ตัวเนี่ยะไปเป็นตัวแปลกปลอมเข้าไป ไปบังคับต่างหาก ทำใหก้กระบวนการที่มันไม่เป็นจริงน่ะ มันออกอาการนี้เพราะไอ้ตัวสารนี้มันออกมาเวลามีอารมณ์นั้น มันก้เลยไปบังคับให้เกิดอารมณ์นี้ขึ้นมา แต่อารมณ์นี้น่ะ สารนี่มันไปขัดกับระบบทั้งหมด ต่อไปก็อีกนานจึงรู้ว่า เกิดปัญหาขึ้นมา มีเรื่องมีความขัดแย้งมีอะไรต่ออะไรออกแปรปรวน ทางร่างกายและจิตใจอื่นอีก. อ้าว ทีนี้ว่า ถ้าเรารู้ว่า เอ้อ การมีความสุขอย่างนี้ดี เราควรจะมีอย่างนี้ ฉันจะบอกว่า เราฝึกตัวได้ มนุษย์เนี่ยะ เป็นสัตว์ที่ฝึกตัวได้ เราก็มาฝึก เราจะเรียกว่าฝึกจิตหรืออะไรก็ตาม มันก็คือฝึกกระบวนการของชีวิตนั่นเองน่ะ ไอ้วิธีพูดนี่ก็คือว่า ที่จริงมันไม่ได้ฝึกเฉพาะจิตหรอก แต่ว่ามันเป็นจุดเน้น ใช่มั้ย? ความจริงเวลาเราฝึก เราไม่ได้ฝึกเฉพาะจิตหรอก มันฝึกทั้งระบบ ระบบชีวิตเนี่ยะ กระบวรนการที่จะให้เป็นยังงั้น แต่จิตเป็นตัวนำ หรือเป็นแกนก็ได้ หรือเป็นส่วนประกอบสำคัญ. แล้วก็ฝึกตัวเราตามกระบวนการนั้น ซึ่งเราจะเห็นว่า ในเวลาฝึกเนี่ยะ บางทีก็มีวัตถุเข้ามาผสมเยอะเลย เช่นจะให้สติมันเกาะเนี่ยะ เราต้องอาศัยรูปธรรม อาศัยวัตถุอย่างนี้เป็นต้น ทีนี้เราฝึกจิต ฝึกแล้วเวลานั่นไอ้ความรู้สึกหรืออารมณ์ที่เราต้องการมันก็เกิดขึ้นมา ไอ้สารมันก็มาแหละ ใช่มั้ย? มันก็เป็นธรรมดาของมัน เพราะสารนั้นเป็นตัวฝ่ายวัตถุ ทีนี้มันจะได้กลมกลืนกันกับระบบของมัน เพราะว่า มันเป็นระบบของรูปกับนาม ที่มีทั้งกายทั้งจิต กายมันก็จะต้องสอดคล้องเพื่อจะให้จิตที่มันมีความเป็นไปอย่างนี้ มันเดินไปได้ มันต้องอาศัยร่างกายนี่เป็นทางเดินของมัน เป็นที่ทำงาน มันจะเดินไปได้ยังงั้น มันก็ต้องให้มีสารมีอะไรต่ออะไร กระบวนการของฝ่ายกายนี้มารับ มันสอดคล้องมันจึงไปได้ ใช่มั้ย อ้า เพราะฉะนั้นมันก็สอดคล้องอย่างนั้น. ทีนี้พอเราฝึกได้ชำนาญเมื่อเราต้องการเมื่อไหร่ เราก็ทำจิตให้เป็นอย่างนั้น ความสุขอย่างนั้นก็เกิดขึ้นได้. ระหว่างที่ว่า เวลาต้องการสุขอย่างนี้ ก็เอาสารนี้มาฉีด กับการที่ว่าฝึกตัวเองได้ดีแล้วก็ นึกอยากตจะให้มีอารมณ์นั้นหรืออะไรก็ทำได้ เอาอันไหน? เอ้อ ใช่มั้ยนะ? เนี่ยะ. ทีนี้มนุษย์ไม่รู้หรอก นึกว่าตัวเก่ง จะเป็นเจ้าแห่งธรรมชาติ ต้องการยังไงก็ได้ ใช่มั้ย? ก็เลยมาศึกษา อันที่จริงก็คือไปเอาปรากฏการณ์นั้นมาส่วนหนึ่ง แง่หนึ่ง แล้วก็เอามาใช่ แต่ที่จริงไม่รู้หรอกว่า ไอ้ปรากฏการณ์อันนี้ มันเป็นเพียงปัจจัยตัวหนึ่งในกระบวนการนั้น ซึ่งอาจจะไปเกิดความขัดแย้งอะไรต่างๆกันเยอะแยะ เพราะฉะนั้นเลยกลายเป็นว่า กระบวนการวิทยาศาสตร์ไม่สมบูรณ์ แล้วก็เลยกลายเป็นว่า เกิดปัญหาอะไรต่ออะไรมากมาย. อันนี้ก็อยากจะให้ฟังหลักอันหนึ่ง คือมนุษย์นี่มักจะติดในหลักที่ผิด ความเข้าใจที่ผิดอันหนึ่ง ก็คือมนุษย์น่ะคิดเรื่องเหตุผล แม้แต่พวกที่เจริญมากก็เรียกว่า เอ้อ คิดมีเหตุมีผลแล้วเนี่ยะ คือขั้นเหตุผลแล้ว ถือว่าเจริญขึ้นเยอะแล้วน่ะ ไม่ใช่อยู่เรื่อยเปื่อยเลื่อนลอย คิดเป็นเหตุเป็นผล แต่โดยมากจะมาตกอยู่ ในทิฏฐิหรือแนวคิดที่เรียกว่า เหตุเดียวผลเดียว คือจะมองว่า เอ้อ-เราต้องการผลยังงี้ เราก็ทำเหตุนี้ พอทำเหตุนี้แล้วไอ้ผลนี้ก็จะเกิดขึ้น. แล้ววิทยาศาสตร์เนี่ยะ ก็ไปติดในความคิดนี้เป็นหลักใหญ่อยู่ แต่ว่าเขาไม่ได้ติดทีเดียวเลยนะ เวลาเขาดำเนินการเนี่ยะ เขาก็รู้ เค้าเรียกว่าตัวแปรอะไรเป็นต้น แต่ทีนี้ว่าไอ้ตัวความคิดพื้นฐานน่ะ มันยังไปติดอยู่ คือไม่ได้เอาไอ้หลักการนี้มาเป็นตัวมองทั้งหมด เวลามองเป็นเหตุการณ์หลัก นี่ก็จะมองเหตุและผลเดียวเนี่ยะ แล้วเอาตัวอื่นประกอบ ก็เลยบางทีไม่ชัดแล้วมัก็ทำให้เกิดปัญหามาก. ทีนี้พุทธศาสนาเนี่ยะ ถือว่าลัทธิเหตุเดียวผลเดียวเนี่ยะผิด ท่านเรียกว่า เอกะการณะวาท2 2https://www.payutto.net/book-content/%E0%B9%93-%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%81/ ลัทธิเหตุเดียวผลเดียว. มีเหตุหนึ่งก็เกิดผลอันหนึ่ง เอ้า ฉันปลูกเมล็ดพืชข้าว ก็เกิดข้าวขึ้นมา ก็เป็นเหตุเป็นผล ใช่มั้ย? มนุษย์ทั่วไปก็จะคิดยังงี้นึกว่ายังงั้น พุทธศาสนาบอก มองให้ดีนะ ระวังว่าจะผิด นี่แหละ เพราะมนุษย์มองเหตุเดียวผลเดียวเนี่ยะ ทำให้เกิดความพลาดขึ้นมา เช่นอย่างเรื่องของการแพทย์ เรื่องของเคมี ที่ทำไปทำมาตอนหลังเนี่ยะ ก็ได้ความเข้าใจขึ้นเยอะ ก็ระมัดระวัง เราก็นึกว่า เอ้อ ทำอันนี้ขึ้นมา เราต้องการผลอันนี้ ผลอันเกิดจากเหตุ เราต้องการผลนี้ ผลเกิดจากเหตุ เหตุของมันคืออะไร ค้นให้ได้ แล้วเราก็ทำเหตุนั้น เราก็จะได้ผล อันเนี่ยะวิทยาศาสตร์ก็พยายามสืบค้นอันเนี่ยะ จนกระทั่งทำอะไรต่ออะไรเป็นผลสำเร็จมากมาย. ทีนี้ปรากฏว่าได้ผลจริงทำอะไรต่ออะไรออกมา ได้ผลเป็นยาเป็นอะไร สารเคมีมาใช้ในเรื่องของกระบวนการต่างๆในชีวิตความเป็นอยู่ ในการรักษาโรคอะไรต่างๆเนี่ยะ ได้ผลเยอะเลย แต่ว่า ต่อมาก็เริ่มมีคำว่า ผลข้างเคียง เอ้อ เอาละ ปรากฏว่ามันไม่ใช่แค่นั้นน่ะ ไอ้ผลที่ตัวเองต้องการได้ แต่ปรากฏว่ามันมีผลอื่นขึ้นมาด้วย และบางอย่างนี่ร้ายแรงมาก ทำให้นักวิทยาศาสตร์เริ่มระวัง ก็มันเลยกลายเป็นว่ามีผลข้างเคียง มีผลติดตาม มีผลพลอยผลพ่วงอะไรต่างๆเหล่านี้ เยอะหมดเลย. นี่คือ ท่านบอกว่า ผลหนึ่งก็ไม่ใช่เกิดจากเหตุเดียว แต่เกิดผลหลากหลายจากปัจจัยอันหนึ่ง และผลอันหนึ่งก็จากปัจจัยหลากหลาย ที่เกิดผลอันหนึ่งเนี่ยะ ปัจจัยมันเยอะแยะ เราไปเอาจับที่เหตุตัวเดียว ก็อย่างที่ยกตัวอย่างบ่อยๆ ง่ายๆ เช่น ท่านจะปลูกมะม่วง เนี่ยะ มันก็บอกว่า เอ้อ ต้นมะม่วงเป็นผล แล้วอะไรเป็นเหตุ เราก็นึกว่าเม็ดมะม่วง ถูกมั้ย? เราก็ว่า เอ้อ ต้องมีเม็ดมะม่วงเป็นเหตุ ก็ถูกล่ะสิ ถ้าไม่มีเม็ดมะม่วง หรือว่าไม่มีหน่อไม่มีไอ้...อะไรที่เค้าเรียก (กิ่ง)ตอน หรือตามกระบวนการของมันน่ะ ไม่มีเหตุอันหนึ่งแล้วก็ ผลก็เกิดไม่ได้. แต่นี้ แล้วท่านเอามันมา มะม่วงเนี่ยะมาแล้ว ให้มันเกิดเป็นต้นมะม่วงเลยได้มั้ย? ก็ไม่ได้ ต้องมีปัจจัยพร้อม ท่านเรียกว่า ต้องปัจจัยพร้อม ก็เอาเม็ดมะม่วงไปปลูกลงในดิน มีปุ๋ย มีน้ำมีอุณหภูมิมีอากาศ แก๊ส อะไรต่างๆเนี่ยะ พรั่งพร้อม เพราะปัจจัยพรั่งพร้อมแล้วผลจึงเกิด นี่อย่างเงี่ยะ อันนี้ก็เอาละในแง่ ผลอย่างหนึ่งเกิดจากปัจจัยหลากหลาย ก็ง่ายแหละ เพราะชี้ก็เห็นเลย. ในทางกลับกันเนี่ยะ ปัจจัยอันหนึ่งเนี่ยะ ส่งผลหลากหลาย. ไอ้ตอนนี้แหละที่ว่า เวลาเราต้องการผลอันหนึ่งเนี่ยะ เราทำเหตุนั้น เราก็มองเฉพาะผลที่เราต้องการ เราไม่ได้ดูว่าที่จริงไอ้เหตุหรือปัจจัยที่เราทำ มันไปส่งผลอื่นอีกเยอะแยะเลย. ตรงนี้แหละที่มันเป็นปัญหา คือเราเริ่มเรียนรู้ได้ก่อนตรงที่ว่า ผลเนี่ยะเกิดจากเหตุว่ามีปัจจัยหลากหลายพร้อม อันนี้ได้เรียนรู้ขึ้นมาก็พยายามทำ หาปัจจัยให้พร้อม แต่ว่าตอนที่ปัจจัยหนึ่งมันเกิดผลหลากหลาย ตอนนี้ไม่ค่อยได้มอง ตอนนี้ก็เริ่มแหละ โอ ไม่ได้แล้ว ไปทำเหตุปัจจัยเข้าอันหนึ่งเนี่ยะ ไอ้ที่เราต้องการผลอันนั้นน่ะได้จริง แต่มันเกิดอะไรอีกบ้าง ที่นี้สิ (...ข้างเคียงเกิดขึ้น...) ครับ. ผลข้างเคียงไอ้ตัวเนี้ยะ ตามไม่ไหว ไอ้ตรงนี้แหละที่เค้าตามไม่ไหวเนี่ยะ นักวิทยาศาสตร์จะแย่ตรงนี้. คือพอต้องการผลอันหนึ่งก็ จับเหตุปัจจัยอันนั้นให้ได้ แม้แต่ปัจจัยประกอบอื่น ก็เพื่อผลอันนี้เท่านั้น แต่ตัวไม่รู้ว่า ไอ้ที่ไปทำเหตุปัจจัยเหล่านั้นน่ะ แต่ละอันละอันมันส่งผลของมันเองเยอะแยะเลย. สมมติว่าเราเอาเหตุปัจจัยมาทำเพื่อให้ผลที่เราต้องการเพียงอันเดียว แล้วเราต้องไปทำเหตุปัจจัยตั้ง 20 เนี่ยะ แล้วไอ้ 20 นั้นแต่ละอันมันส่งผลตั้งเท่าไหร่? นี่แหละครับจุดที่จะตัน ตอนี้วิทยาศาสตร์ตามไม่ไหว เชื่อมั้ย? ท่านเห็นมั้ยว่าตามไม่ไหวเลย? ไอ้ปัจจัย 20 อันที่ให้ผลที่ตัวต้องการนั่นน่ะ มันส่งผอะไรบ้าง? เป็นจุด ก็เรียกว่าจุดบอดเลยก็ได้ ที่จะเป็นปัญหามาก ทีนี้กระบวนการของธรรมชาติที่มันเป็นของมันน่ะ ก็คือเหตุปัจจัยมันพรั่งพร้อมของมัน ใช่มั้ย? มันจะเกิดผลอันนั้นแล้วเวลามันส่งผล มันก็ส่งกันไป มันเป็นความสัมพันธ์ของมันในระบบของมันเอง มันก็เลยเกิดสมบูรณ์ขึ้นมา ทีนี้พอเราทำยังงี้มันก็เลยเกิดสมบูรณ์กัน แล้วเราตามไม่ไหว เนี่ยะจะเป็นจุดที่ลำบากกับวิทยาศาสตร์มาก แล้วจะทำไง? ตามไหวเร๊อะ ใช่มั้ย? นี่แหละครับ...(ผู้ฟัง-พูด ภาวะโลกร้อน)... นี่แหละ นี่แหละ ตัวอย่างล่ะ นี่ก็คือการที่วิทยาศาสตร์ภูมิใจแล้วนึกไม่ถึง พอมาถึงตอนหนึ่งจึงเริ่ม อะไรกันเนี่ยะ วุ่นวายหมดแล้ว ตัวจะแย่ล่ะสิ ตอนนี้ก็เลยสำนึกขึ้นมา แล้วทีนี้ก็ พอเกิดอย่างที่หนึ่ง ทางนักปราชญ์ทางวิทยาศาสตร์เองก็ เกิดพูดขึ้นมาอย่างนี้ สองก็ปรากฏการณ์ที่เป็นผลจากการเจริญทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ทำขึ้นมาแล้วมันมีผลข้างเคียง ผมพลอยที่ไม่ดีขึ้นมา มนุษย์เริ่มเกิดความไม่ไว้วางใจวิทยาศาสตร์ ก็เลย วิทยาศาสตร์ก็เริ่มเสื่อมความนิยม ทีนี้มนุษย์นี้มันเสียอย่าง สุดโต่ง พอเสื่อมความนิยมวิทยาศาสตร์เลยหันไปหาไสยศาสตร์อีก. ก้เลยกลายเป็นคนไม่เอาเหตุเอาผลเลยอีก อย่างนี้เรียกว่าสุดโต่ง. ฉะนั้น ท่านให้สำนึก ให้มีสติ ระมัดระวัง คืออย่างน้อยเราก้เตือนใจตัวเองว่า อย่าประมาทนะ ว่าเรารู้หมด นักวิทยาศาสตร์นึกว่าตัวรู้พอ แล้วไปทำยังงั้นเข้า ฉะนั้นท่านจึงให้ไม่ประมาท ทำอะไรต้องคำนึงถึงเหตุปัจจัยให้รอบที่สุด ทำไมจำเป็นต้องทำ? เอ้า ทำ แต่ว่าไม่ประมาทนะ ต้องรู้ว่า ที่เรารู้เนี่ยะ อาจจะยังไม่พอ ต้องศึกษากัน. ทีนี้ อย่างเนี้ยะ ก็เรื่องจิต เรื่องวัตถุเนี่ยะ ท่านไม่ให้ไปบอกว่า เป็นของตายตัวยังงั้น สภาวะธรรมมันก็ไม่ได้ เป็นอย่างที่เรานึก เป็นขาวเป็นดำ เป็นแดงอะไรไปอ่ะนะ เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ไปตายตัว ท่านเรียกว่าสภาวธรรมก็มีอยู่ของมันตามธรรมชาติ แต่มันไม่ได้มีอยู่เป็นเด็ดขาด โดดเดี่ยวต่างหากจากกัน มันมีอยู่ในระบบความสัมพันธ์ เนี่ยะ มันสัมพันธ์กัน. อ้าว เมื่อกี้ท่านถามอะไร ตอบหรือยังเนี่ยะ? (ก็ตอบไปแล้ว...) อาจจะตอบ ว่าใช้ได้ อนุโมทนา ก็ลองถามกันดู คุยกันไปเรื่อยๆ
เนี่ยะ มนุษย์จะต้องพยายามช่วยกันอีกเยอะ ก็เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก เรื่องนามธรรม ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ก็หันมาสนใจในเรื่องนามธรรมเนี่ยะมาก เพราะว่ามันเป็นส่วนที่ละเอียดมาก แล้วมันกลายเป็นว่า ตัวเองที่ไปศึกษาที่เรียกว่าไปค้นคว้าวิทยาศาตร์ ไอ้ตัวเองที่เป็นส่วนสำคัญนี่ไปอยู่ที่จิตซะ แล้วก็กลายเป็นส่วนที่ตัวเองเข้าใจน้อยที่สุด เมื่อไม่เข้าใจ แล้วเมื่อไม่เข้าใจ เราก็ไม่รู้สิ่งที่มันเข้าใจด้วย ว่าไอ้ที่มันเข้าใจนั้นถูกหรือผิด ตกลงเนี่ยะ เลยกลายเป็นว่า เหมือนกับนักปรัชญาในยุคต้นน่ะ พวกนั้นก็เถียงกัน แยกเป็น ๒ พวก พวกหนึ่งว่าจิตมีจริง อีกพวกหนึ่งว่าวัตถุมีจริง จิตไม่มี อะไรเนี่ยะ แต่ยุคนั้นก็แสดงว่า นักปราชญ์ท่านก็เก่งนะ แต่ก็เถียงกันไปแบบว่ามักจะไปสุดโต่ง อย่างพวกที่ว่าจิตเท่านั้นมีจริง บอกว่าวัตถุที่เราเห็นเรารับรู้ได้ยินเนี่ยะ มันมีจริงหรือเปล่า? มันรู้จากจิต จิตบอกเรา แล้วมันบอกยังไงเราก็เชื่อไปตามนั้น คนตาบอดมา ก็รู้จักไม้จากหู ถูกมั้ยฮะ? จริงไม่จริง? อ้าว ไม้เป็นยังไวง ก็เคาะ พอเคาะได้ยินไม้ เอ้อ ไม้คืออย่างนี้ แล้วไม้ในความเข้าใจของคนตาบอดนี่เป็นไงครับ?...ก็เสียงป๊อกๆอะไรเนี่ยะ...นั่นคือไม้ใช่มั้ย? เอ้อ อย่างนั้นก็ไม้ ทีนี้ ถ้าเราไม่มีตาไม่มีหู ก็มีแต่ลิ้นรับรส อ้าว อยากจะรู้ว่าไม้เป็นยังไง ก็เอาลิ้นไปลิ้มดู อ้าวแล้วพวกลิ้นนี้ก็เก่งนะครับ ท่านเรียกว่าอินทรีย์ อินทรีย์เนี่ยะมารับรู้ แล้วถ้าฝึกดีมันก็จะคมชัดมาก อย่างคนสมัยโบราณเนี่ยะ เช่นเรื่องเหรียญจริงเหรียญเก๊ เหรียญเก๊เหรียญปลอมอะไรเนี๊ยะ คนสมัยโบราณเค้าก็เก่งนี่อ่ะนะ พวกนี้ ๑ คลำ บางทีไม่ต้องเห็นเลย ใช่มั้ย? บางที อ้าวเห็นก็ช่วยให้ดูล่ะ บางคนไม่ต้องเห็น คลำ รู้เลยใช่มั้ย? อ้าว บางคนนี่ ลิ้นสัมผัส แตะดู มันแยกวัตถุโลหะชนิดต่างๆได้ เนี่ยะ ประสาทสัมผัสของมนุษย์แต่ละอย่างเนี่ยะ มันฝึกได้ มีความคมชัด อย่างง่ายๆ อย่างตาเรานี่อ่ะนะ ก็คมชัดไม่เท่ากัน อย่างชาวเขา เขาอยู่มา เขาไม่มีวิทยาศาสตร์ บางที อย่างเห็นแดดอย่างเมื่อก่อนนี้ พอเห็นแดดอย่างนี้ก็บอกว่าจะมีฝนหนัก แดดอย่างนี้ สีอย่างนี้ ดูออก นี่ตา ประสาทสัมผัสคมมาก ถ้าคนในเมืองไปไม่รู้เรื่องเลย อ้าว หูก็เหกมือนกัน หู...คนตาบอดบางคนนี่ ได้ยินรถมาบอกได้เลยว่า รถสายไหน เอ้อ มียังงี้ใช่มั้ย? นะ หรือรู้ความสะเทือน ประสาทสัมผัสเนี่ยะ มีความสามารถของมัน อย่างหมอก็เหมือนกะัน หมอสมัยก่อนนี้เก่งนะ พอมองเห็นคนไข้เดินเข้ามาเนี่ยะ ท่าทางลักษณะอย่างนี้ก็บอกได้ก่อนขั้นหนึ่งล่ะ มีหวังเป็นโรคยังงั้น เอาละตานะ หรือช่างเครื่องยนต์เก่งๆ เอ้า ลองเปิดเครื่องดูซิ มันเสียอะไร? พอได้ยินนี่ บางทีแทบจะบอกได้เลยว่า เสียที่ไหน เนี่ยะคือ ประสาทสัมผัสของมนุษย์ ความคมของอินทรีย์.
ทีนี้มนุษย์ถ้าไม่ฝึกเนี่ยะ อินทรีย์พวกนี้ก็จะด้าน จะหยาบ อย่างหมอปัจจุบันเนี่ยะ ถ้าไม่ฝึกในการที่ตรวจคนไข้อะไรต่ออะไรมากนี่อ่ะนะ พอคนไข้มาก็สั่งเข้าเครื่อง เอ้าเข้าเครื่อง เข้าเครื่อง เครื่องตรวจให้หมด เสร็จแล้วกลายเป็นว่าต่อไปเนี่นยะ ถ้าเกิดไม่มีเครื่องเนี่ยะ ตัวเองตรวจไม่ได้แล้ว แย่เลยถูกมั้ย? เนี่ยะ นี่แหละครับ เพราะฉะนั้นจึงต้องไม่ประมาท แม้จะมีเครื่องมือช่วย เราต้องบอกว่าเครื่องมือเทคโนโลยีนี้มาเสริมความสามารถเรา อย่าให้เราขึ้นกับมัน หลักการสำคัญเลย.
ทีนี้มนุษย์สมัยเนี่ยะ ไม่ฝึกอินทรีย์ กลายเป็นว่าไฟๆมาๆ ขึ้นต่อเทคโนโลยี พอไม่มีเทคโนโลยี อยู่ไม่ได้ หมดเลย ทำอะไรไม่ได้เลย เป็นมากแล้วนะเดี๋ยวนี้ ตั้งแต่เครื่องคิดเลขนี่ สมัยก่อนนี้พอเข้าเรียนกประถม ต้องท่องสูตรคูณ มีเลขคิดในใจ ถูกมั้ย? สมัยก่อนมีวิชาเลขคิดในใจ ต้องคิดเลขกันในใจให้เก่งเลย เดี๋ยวนี้คิดไม่ออกแล้ว...(รุ่นผมยังเด็ก ได้เรียพวกนี้...) ใช่มั้ย? (...แล้วก็เครื่องคิดเลขก็จะไม่ให้ใช้...) เอ้อ แล้วเดี๋ยวนี้เป็นไงล่ะ...(...เดี๋ยวนี้ก็พกเข้าไปในห้องสอบได้เลย...รุ่นผมยังได้ใช้ slide rule...) เนี่ยะ บางทีบางคนนะ เด็กๆสมัยนี้หรือคนขายของ เนี่ยะ ไม่มีเครื่องคิดเลขคิดไม่ออก.
เพราะฉะนั้น อินทรีย์คมชัดเนี่ยะ สำคัญนะครับ อย่าไปประมาท ถ้าฝึกไว้ได้ ดีที่สุด แล้วมนุษย์จะมีความเป็นตัวของตัวเองอย่างมีอิสรภาพ แล้วให้เทคโนโลยีมาเป็นเครื่องเสริม อย่ากลายเป็นว่า พอมีมันแล้วเราหมดอิสรภาพ แล้วก็ขึ้นต่อมัน แต่นี้ อย่างหมอที่ว่า เอ้า ตาดู-รู้ บางทีสัมผัสแตะนิด-รู้ เป็นโรคอะไร ใช่มั้ย? เนี่ยะ เรื่องความคมชัดของอินทรีย์เนี่ยะ สำคัญมาก ทีนี้ อินทรีย์เหล่าเนี่ยะ มันก็เป็นเรื่องที่ว่า มันมาช่วยให้ชีวิตเราเข้าถึง ในความรู้ความเข้าใจต่างๆเหล่านี้ อ้าว เมื่อกี้ ผมจะตอบเรื่องไรเลยพูดเรื่อยเปื่อย ไปเรื่องความคมชัดของอินทรีย์แล้ว อ้า ช่วยทวนคำถามอีกที.
ไม่ใช่ เมื่อกี้มาเรื่องอะไรแล้ว อันนั้นไปขั้นหนึ่งแล้ว เอ้อ เมื่อกี้ว่าจะพูด ตอบเรื่องอะไรนะ? ใครถามอีกหรือเปล่า?...เอ้อ เลยพูดเรื่อยเลยนะ สมองชักจะแย่แล้ว อินทรีย์ชักจะเสื่อม...เนี่ยะ ก็นี่ล่ะครับเรื่องอินทรีย์นี่สำคัญ เพราะฉะนั้นอินทรีย์มันก็ทำงานอะไรของมัน เราต้องฝึกให้ดี แล้วการเข้าถึงความจริงก็อาศัย อินทรีย์เหล่าเนี่ยะ ที่จะรับรู้ เอ้อ เมื่อกี้ต้องการจะมถึงบทสรุปอันหนึ่ง แล้วก็ลืมไปเลย คืออธิบายเรื่องความคมชัดของอินทรีย์เนี่ยะ เพื่อจะมาตอบอันเนี่ยะ เลยลืมไปเลยว่า ตัวประเด็นที่ต้องการคืออะไร...พูดไปพูดไปเพลิน อ้าวเดี่ยวคุยกันไปบางทีนึกออกเอง เอ้าเลยนิมนต์ มีอะไรก็ถาม...
(...งั้นแสดงว่า ไม่ว่าจิตจะคืออะไร ทางที่ดีสิ่งที่เราควรจะสนใจก็คือ จะให้ให้จิตกับรูป ทำไงให้สอดคล้อง ให้...)
ให้บังเกิดมากที่สุด แล้วก็ฝึกมันไป ฝึกมันไปแล้วต่อไปเนี่ยะ มันจะเกิดความรู้ประจักษ์ แม้แต่จิตเองก็ต้องฝึกให้มันเกิดความรู้ความเข้าใจ อย่างเราจะมารู้จิต ก็ต้องรู้ด้วยจิต รู้สภาวะของมันเนี่ยะ บางคนก็ไม่รู้เพราะไม่เคยได้ดูตัวเอง ดูจิตดูใจของตัวเอง สิ่งที่พระเรียก เจตสิก สิ่งที่ประกอบกับจิต ความรู้สึกอะไรต่างๆเหล่านี้ มันเกิดขึ้นมันเป็นไปยังไง พระพุทธเจ้าก่อนที่จะตรัสรู้พระองค์ก็ เล่าถึงพระองค์ก่อนตรัสรู้ไว้ว่า พระงอค์เนี่ยะมีความรู้สึกอันนี้เกิดขึ้น พระองค์ก็ตามดูมัน ว่ามันเกิดขึ้นยังไง มันเป็นไปยังไง มันดับไปยังไง จนกระทั่งพระองค์เนี่ยะ ก็เข้าใจ จิตของพระองค์ จากการรู้เนี่ยะ ดูมันไป เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปยังไง ในการเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปก็คือกระบวนการเป็นไปของมัน เป็นไปยังไง แล้วมันก็ ส่งผลเป็นปัจจัยต่อกัน อย่างที่ว่ามันเป็นความสัมพันธ์กัน มนุษย์จะไม่ได้เข้าใจความจริงเฉพาะศึกษาสิ่งนั้นหรอก มันเข้าใจจากรู้ความสัมพันธ์ กับส่วนอื่นๆด้วย ปัจจัยทั้งหลายอื่นๆเนี่ยะ มันมาสัมพันธ์กันหมด ทีนี้มาดูจิตของตัวเอง เห็นการเกิดดับต่างๆก็จะเข้าใจ ส่วนนามมันก็ไปโยงกับส่วนรูป แล้วมันจึงจะค่อยๆ เรียกว่าประจักษ์ความจริงขึ้นไป ประจักษ์จากการที่ ก็ดูจากสภาวะที่มันเป็นไปในแต่ละขณะ.
เพราะเราจะรู้ เข้าใจ ก็คือในขณะนั้น พอต่อจากนั้นก็เป็นอดีต มันก็สัญญา สิ่งที่จำไว้ ก็ระลึกขึ้นมา มันก็เป็นภาพแล้ว มันไม่ใช่ของจริงแล้ว ใช่มั้ย? พอมันผ่านขณะนั้นไปเนี่ยะ มันก็ฌป็นสิ่งที่เก็บไว้ในความทรงจำ ระลึกขึ้นมามันก็เป็นภาพ ถ้าเราจะดูของจริง ก็ต้องที่มันกำลังเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ก็เลยในที่สุด พระท่านก็สอนว่า ให้ดูความจริงจากความจริง อ้าว ความจริงคือความจริงยังไง? ก็คือขณะที่มันกำลังเป็นอยู่เนี่ยะ เพราะว่ามันผ่านไปขณะหนึ่งแล้ว มันเป็นสัญญาไปแล้ว มันเป็นความจำไปแล้ว มันเป็นอดีตไปแล้ว มันเป็นภาพไปแล้ว.
ทีนี้ มนุษย์ก็ไปศึกษาจากภ่าพนี่ ส่วนมาก ก็ต้องยอมรับว่านั่นคือยังไม่ใช่ของจริง เราก็เลยต้องมาศึกษาทุกขณะ ท่านบอกว่า รูปเกิดดับขณะหนึ่งเนี่ยะ จิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ ก็หมายความว่าจิตมันมีความเกิดดับหรือมีความเป็นไปเนี่ยะ รวดเร็วมาก รูปธรรมมันก็เร็วอยู่แล้วนะ ความเกิดดับของมัน ฉะนั้นมันก็เป็นเรื่องที่ว่า ไม่รู้ว่าจะใช้ศัพท์อะไร ก็เรียกว่าละเอียดอ่อน แต่ว่าเอาในแง่ประโยชน์ในการใช้ก่อน คือ ๑) คือการรู้ความจริงรู้สภาวะ ๒) ก็คือการใช้ประโยชน์ หรือทำให้เป็นประโยชน์.
ทีนี้ ยังไงก็ตาม ตอนนี้ก็คือว่า ให้มันเกิดประโยชน์ขึ้นมา จากการที่เราฝึก เราศึกษา มันก็เกิดประโยชน์. ในการที่เกิดประโยชน์ต่างๆนอกจากประโยชน์หยาบๆที่มันใช้ในชีวิตประจำวันก็คือ ประโยชน์กับตัวชีวิตเอง ก็คือในขณะที่เราทำประโยชน์เหล่าเนี่ยะ เราฝึกรูปธรรมนามธรรมของเราไป ตัวชีวิตเอง รูปธรรมนามธรรมก็พัฒนาขึ้นไป มันก็มีความชำนาญมีความสามารถเพิ่มขึ้น. มีอะไรมั้ยครับ? เอาสิ มีอะไรคุยกัน มันก้หวิวๆ ร่างกายไม่ค่อยทนทาน ถ้ายังไม่มีคำถามอะไรก็ วันนี้ก็เอา คุยกันเท่านี้ก่อน.
https://youtu.be/CuWCnM_j6pA?si=a2ZTm0dboh9PL4tE
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น