สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ถ้าไปถึงปัญญา ก็ไม่มัวหลงหาจริยธรรมสากล
https://youtu.be/zLUiSi2Yl-g?si=vabq6ct4Bl3lyGOn
…นี่ก็ถือว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญ
เพราะว่าท่านเป็นผู้ที่ทำงานสำคัญให้แก่พระศาสนามา มากและยาวนาน
ถือว่าท่านเป็นผู้เปิดยุคใหม่ของการเผยแผ่ แต่ก่อนเนี่ยะ
พระเราก็จะเคร่งครัดในแบบแผนประเพณี ทำตามวิธพี แสดงธรรมก็คือเทศน์
ต้องขึ้นธรรมาสน์ถือใบลาน มีนี้มาหลวงพ่อปัญญานันนทะนี่ ท่านเป็นผู้ที่เรียกว่า
เริ่มยุคนี้ ความจริงคณะของท่านก็มี ๓ เรียกว่า ๓ พี่น้อง ก็คือหลวงพ่อพุทธทาส
หลวงพ่อ บ.ช. เขมาภิรัต1 หลวงพ่อปัญญานันทะ ๓ พี่น้องนี้ก็ หลวงพ่อ
บ.ช. เขมาภิรัต ก็มรณภาพไปก่อน แล้วก็มาหลวงพ่อพุทธทาส แล้วก็มาหลวงพ่อปัญญานันทะ
หลวงพ่อปัญญานันทะเก็เพิ่งทำบุญครบ ๘ รอบ อายุ
1 https://hyperdrawing.blogspot.com/2016/05/blog-post.html
๙๖
ปีบริบูรณ์ไปเมื่อไม่กี่เดือนนี้เอง นี่ท่านตั้งใจว่าอยากจะอยู่
ให้สร้างโบสถ์น้ำที่มหาจุฬาวังน้อย ให้เสร็จ แต่ก็มีเหตุเกิดขึ้นทางหัวใจของท่าน
เมื่อไปแก้ไขหัวใจมันก็กลับไปเป็นภาระกับไต เพราะต้องฉีดสี
ฉีดสีเข้าไปที่นี้ไตมันต้องขับ ไตคนสูงอายุมากทำงานไม่ไหว
ก็กลายเป็นมรณภาพเพราะไตวาย เนี่ยะปัญหาใหญ่ ที่จริงท่านก็จะอยู่ได้แล้ว
ก็คือทำการแก้ไขเรื่องหัวใจได้สำเร็จ แต่ก็กลายเป็นว่าอีกเรื่องหนึ่ง ไปเรื่องไตซะ
แล้วก็มีเรื่องปอดติดเชื้ออีก แต่คิดว่าเหตุสำคัญก็อยู่ที่ไต.
หลวงพ่อนี่ก็เป็นผู้อย่างที่บอกแล้วว่า
ท่านเป็นผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้องใกล้ชิดประชาชนมาก งานเผยแผ่ก็เลย ใน ๓ องค์เนี่ยะ ท่านถึงประชาชนมากที่สุด
หลวงพ่อพุทธทาสก็มักจะไปอยู่ในระดับปัญญาชน ทีนี้ หลวงพ่อ บ.ช. เขมาภิรัต
ท่านก็อายุสั้นหน่อย ส่วนหลวงพ่อปัญญานี่ท่านอยู่ได้ยืนยง ก็ท่านทำงานเผยแผ่
กว้างขวางไปทั่วหมด จากใต้ไปจรดเหนือ ไปสร้างศูนย์กลางที่เชียงใหม่
ในอดีตท่านเคยไปสอนที่เชียงใหม่นาน ดูจะชื่อสวนพุทธธรรม ใช่มั้ย ตอนนั้นท่านไปสอนที่นั่น
ไปแสดงปาฐกถาแบบสมัยใหม่เนี่ยะ ตามที่เสียงผมได้ยิน สมัยนั้นผมก็ไม่ทันท่านมากหรอก
แต่ก็อยู่ในระดับได้ยินข่าว อยู่ไกลอ่ะ ผทมก็อยู่ทางใกล้กรุงเทพนี่แหละ
หลวงพ่อปัญญานันทะท่านไปสอนที่เชียงใหม่ ข่าวมาว่า ท่านพูดนี่พวกโรงหนังน่ะ
ถ้าเปิดพร้อมกันนี่แพ้ท่านเลย โรงหนังคนไม่ไป คนมาฟังท่านปัญญานันทะ
เรียกว่าต้องเก่งจริงๆ คือท่านพูดนี่ เข้าใจง่าย แล้วก็ถึงอกถึงใจคน เข้าใจดี
ธรรมะที่ท่านบรรยายก็อยู่ในระดับของการประพฤติปฏิบัติตัว ของประชาชนในสังคมที่เป็นในระดับโดยเฉลี่ยเนี่ยะ
ทันกัน ถ้าเรียกในปัจจุบันก็คือ เป็นระดับที่เค้าใช้คำสมัยนี้ว่า “จริยธรรม”
ท่านจะพูดในระดับนี้มาก แล้วก็เป็นเรื่องของการทันสมัยในแง่เป็นวิทยาศาสตร์มาก
คือท่านไม่ต้องพูดเรื่องวิทยาศาสตร์หรอก แค่หมายความว่าท่านนิยมเหตุผล
ไปทางเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ไสยศาสตร์ โดยเฉพาะท่านติเตียนมาก ในยุคนั้นสัก ๕๐
ปีมาแล้วนี่เป็นยุคที่ สังคมกำลังเคลื่อนไหวเข้ายุคนิยมวิทยาศาสตร์ด้วย
ก็เรียกว่าเข้าถึงคนยุคปัจจุบันได้อย่างดี ท่านก็ทำงานนี้มา
การที่ยืนเทศน์แสดงปาฐกถาแสดงธรรมปากเปล่าอะไรนี่ มีคนนั่งฟังในหอประชุม
นั่งเก้าอี้อะไรเนี่ยะ ก็เรียกว่าท่านเป็นผู้นำเป็นผู้เปิดยุคนี้
แม้แต่ตอนท้ายๆนี้ท่านก็ยังนำนะ เป็นผู้ที่ริเริ่มในการที่ว่า จัดงานศพ
เวลามีสวดศพ แทนที่จะสวด ๔ จบ ท่านก็ให้เทศน์ซะ
แล้วก็สวดจบเดียว ก็บางวัดก็นิยมจัดตาม นี้ก็เป็นความคิดริเริ่มของท่าน.
ก็เรียกว่าท่านทำอุปการะเกื้อกูลแก่งานพระศาสนามามาก
ก็ควรที่จะระลึกถึงความสำคัญของท่าน แล้วก็เอามาเป็น แนวทางในการที่ว่าจะช่วยกันทำงานพระศาสนาต่อไปกันอย่างไร
อันนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่นะ ยุคนี้มันก็เป็นยุคที่เหมือนกับว่า ความเชื่อในเรื่องสิ่งศักดิ์อิทธิทธิปาฏิหาริย์เรื่อง
จตุคามรามเทพอะไรเนี่ยะ มันย้อนกลับมาแรง กระแสนี้เรียกว่า
สังคมนี้ก็หนักหน่วงอยู่ ซึ่งมาสัมพันธ์กันพอดี ไอ้ที่พูดคราวที่แล้วว่า
ความนิยมวิทยาศาสตร์ก็เสื่อมลง เรื่องที่ภาษาอังกฤษเค้าเรียกว่า spirituality ก็เลยเกร่อขึ้นมามีโอกาสที่จะเด่น ขึ้นมาคู่เคียง เรื่องที่เราเรียกว่า จิตวิญญาณ
เพราะเดี่ยวนี้เค้านิยมใช้คำนี้ แต่ว่าถ้าใช้ศัพท์เดิมเค้าเรียกว่า เรื่องผีๆที่ว่า
ก็กลับคืนมาฟื้น ก็แรงขึ้นมาตอนเนี่ยะ นี่ว่า ในเรื่องของผีๆนั้นเราก็ต้องรู้จักแยก
เอาไอ้สิ่งที่ดี นี้มาใช้ประโยชน์ ไม่ใช่หลงตามไป แยกแยะไม่เป็นก็ยุ่ง
มันมีทั้งด้านเสียด้านดี ส่วนบางส่วนก็เข้ามาในพุทธศาสนาได้.
แล้วทีนี้ในแง่ที่ว่า หลวงพ่อท่านเผยแผ่ธรรมะ
ที่เข้ามาถึงผู้คนทั่วไปแล้วก็เน้นเรื่องที่ผู้คนปัจจุบันว่า จริยธรรม
แล้วเวลานี้ท่านอาจจะได้ข่าวว่ากำลังมีการเคลื่อนไหว
เกี่ยวกับการที่จะเดินเครื่อง เรื่อง จริยธรรม
ที่โยงไปสู่แนวคิดเมื่อสมัยซัก ๒๐ ปีมาแล้ว ที่เรียกว่า จริยธรรมสากล
ได้ยินมั่งมั้ย ขณะนี้นี้กำลังมีการเคลื่อนไหวอันนี้ บางทีเค้าก็ใช้คำว่าคุณธรรมและจริยธรรม
ก็เลยขอพูดเรื่องนี้นิดหน่อย แบบสรุป เพราะเป็นเรื่องใหญ่เหลือเกิน เรื่องจริยธรรม
แล้วก็เอาคำว่าคุณธรรม มันหมุน เวลานี้มักจะต้องพูดคู่ว่า คุณธรรมและจริยธรรม.
ทีนี้จริยธรรมอันเนี้ยะ
ตัว”คำ”เองก็เป็น”คำ”ใหม่มาก คือมันไม่ใช่ศัพท์เดิมในสังคมไทย ถ้าพูดเป็นเล่นๆ
ก็บอกว่า สังคมไทยเมื่อ ๑๐๐ ปีที่แล้วไม่มีจริยธรรม ก็ฟังได้ ๒ อย่างนะ
ไม่มีจริยธรรม หมายความว่าคนไทยนี่แย่สิ ใช่มั้ย? เปล่าไม่ใช่
หมายความว่ามันไม่มี”คำ”ว่า จริยธรรม คำว่าจริยธรรมเมื่อ ๑๐๐ ปีก่อน
ไม่มี มันเป็นศัพท์บัญญัติ เพิ่งมีขึ้นซัก ๔๐ ปีแล้ว ประมาณนั้น เป็นศัพท์บัญญัติ
เพื่อจะให้ตรงกับคำว่า ethic1
ของฝรั่ง ทีนี้คำว่า ethic มาแปลเป็น จริยธรรม เกิดขึ้นมาแล้ว
คนไทยเนี่ยะ กำลังนิยมวิชาการจากตะวันตก เพราะฉะนั้นคำว่าจริยธรรมก็ใช้กันมากขึ้นมากขึ้น
จนกระทั่งต่อมาเนี่ยะ คำว่า ศีลธรรม ซึ่งเป็นคำเดิมในสังคมไทย
ก็ค่อยๆถูกละเลยหรือตั้งใจทิ้งก็ไม่รู้นะ
จนกระทั่งแม้แต่หลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการก็เลิกใช้ คำว่า ศีลธรรม วิชาศีลธรรมก็หมดไป
แล้ว
1
https://www.merriam-webster.com/dictionary/ethic
(มีอีกคำหนึ่งที่อยู่ใกล้กันร่วมกันของภาษาอังกฤษที่พบเห็นบ่อยๆ
คือ moral ก็ขอนำคำแปลมาไว้ตรงนี้ด้วย ราชบัณฑิตยสถานฯ
ให้ความหมายว่า “ทางศีลธรรม” ทั่วไปมีแปลเพิ่มว่า “จรรยา” ด้วย ดังนั้น
ถ้าถอดความคำแปลจากอังกฤษ ethic ก็มีความหมายหนึ่งว่า “a set of moral principles : a theory
or system of moral values - หลักทางศีลธรรม” แต่ถ้ามี s ต้อท้ายว่า ethics จะแปลว่าได้ว่า “principles of conduct governing an
individual or a group - หลักของการปกครองตนเอง หรือ
กลุ่มคน” https://www.merriam-webster.com/dictionary/moral -
ผู้ถอดความ)
พยายามมีคำว่า จริยธรรม เข้าไปๆๆ จนกระทั่งว่าเมื่อประมาณ
๒๐ ปีมาแล้วเนี่ยะ ได้มีการเคลื่อนไหวที่จะให้มีแบบ จริยธรรมสากล.
จริยธรรมสากลก็หมายความว่า เป็นจริยธรรมที่เป็นกลางๆ
ไม่ขึ้นต่อชาติไหนสังคมไหนประเทศไหนศาสนาไหนทั้งสิ้น ทำกันถึงขนาดที่ว่า เฮ้อ
พวกหลักความประพฤติในสังคมไทยนี่มาจากพุทธศาสนา เมตตาก็พุทธศาสนา สติก็พุทธศาสนา
สมาธิก็พุทธศาสนา ศรัทธาก็พุทธศาสนา เราต้องเป็นกลางๆ
ตอนนั้นก็มีความเคลื่อนไหว ต้องเป็นสากล
สากลก็หมายความว่า ทั่วโลกเป็นกลางๆหมด แล้วก็เอามาทำบัญชีดูกัน คล้ายๆยังงั้นน่ะ
คล้ายๆทำบัญชี ว่าอันไหนมันเป็นจริยธรรมที่ยอมรับได้ทั่วโลก
แล้วก็พยายามใช้เป็นคำไทย สัจจะแปลว่าอะไร? ความจริง ไม่เอาละคำว่าสัจจะ
เอาคำว่าความจริง เมตตาอะไร? ความรัก ตัดทิ้งเมตตา ศรัทธาแปลว่าความเชื่อ
เอาความเชื่อสิ จะต้องเอาไปศรัทธาทำไม? ตัดไปนะ อะไรยังงี้นะ
มาถึงไอ้สติเนี่ยะ แปลว่าไงดี ความระลึกได้
หาคำที่มันมีความหมายคลุมยาก ก็พยายามดิ้นรนกัน นักวิชาการสมัยใหม่จะทำจริยธรรมสากล
เป็นความเคลื่อนไหวที่สำคัญนะ วงการวิชาการแล้วก็เข้าสู่กระทรวงศึกษาธิการ
ถ้าสำเร็จก็จะเป็นหลักสูตรกระทรวง ไม่เอาละศีลธรรมก็หลุดหายไปแล้วแหละ จริยธรรมก็เข้ามา.
ทีนี้ ถ้าพูดเรื่องศีลธรรม
นักวิชาการสมัยใหม่ก็เลยต้องพยายามมาทำความชัดเจนในแบบสมัยใหม่เพื่อ จะพูดตัดได้
อ้าว เค้าก็ให้ความหมาย เอาล่ะนะ จริยธรรมเป็นเรื่องหลักความประพฤติ
ประพฤติเป็นแบบไหน? ความประพฤติที่ทั่วๆไป ส่วนศีลธรรมนั้น
คือหลักความประพฤติที่มาจากศาสนา นี่ คำจำกัดความใหม่ เกิดขึ้นในยุคนั้น
ทีนี้เค้าก็บอกว่า เราไม่ควรขึ้นต่อศาสนาไหน ที่ว่าจะเป็นจริยธรรมสากลแล้ว
ก็ไม่เอาศีลธรรมก็ถูกแล้วสิ ใช่มั้ย? เอ้อ พอเป็นศีลธรรม ก็เป็นจริยธรรมที่มาจากศาสนา เนี่ยะ แนวคิดตอนนั้น
ทีนี้ เรื่องนี้มันก็ โดดเด่นอยู่พักหนึ่ง แล้วมันก็เบาๆลงไป
แต่ว่ากระแสมันก็ยังอยู่ แต่ว่าตัวศีลธรรมก็เป็นอันว่าหมดไปจากหลักสูตรกระทรวงศึกษาธิการไป
ก็มีจริยธรรมเข้ามา.
ทีนี้ ต่อมาก็จะมีการอบรมจริยธรรมต่างๆ
แล้วเห็นว่าจริยธรรมเป็นเรื่องความประพฤติข้างนอก แสดงออก มันก็ต้องมีด้านจิตใจด้วย
ก็เลยต้องมีคำว่าคุณธรรมเข้ามา เพราะเป็นเรื่องจิตใจ
ต่อมาก็ใช้ควบคู่กัน เวลาจัดอบรมอะไรที่ไหนก็ อบรมคุณธรรมและจริยธรรมอะไรกันทั้งนั้น
ใช้กันมากระทั่งเดี๋ยวนี้ คราวนี้มันถึงเลยเป็นเรื่องวิเคราะห์ว่า
ในแง่พุทธศาสนาเรามองเรื่องนี้อย่างไร? แต่เราต้องรู้ว่าเค้าเกิดขึ้นมาอย่างไร? เอาละ
ผมจะตัดตอนมาก่อน ถ้าจะพูดละเอียดแล้วมันจะเยอะ.
ทีนี้จริยธรรมสากลก็เบาๆ ไป
เพราะมันคิดยาก แม้แต่คำว่าสตินี้ก็ หาคำแปลภาษาไทยมันไม่มีหรอก
คำอะไรที่มันจะกินความอย่างสติได้ มีมั้ยครับ? เพราะมันเป็นไปไม่ได้
ก็เป็นความคิดริเริ่มขึ้นมา แต่ว่ากระแสใหญ่ก็ยังอยู่ ก็คือว่า ศีลธรรม
เป็นอันว่าหมดไปก็เป็น จริยธรรม ทีนี้ การเคลื่อนไหวเรื่องที่เกี่ยวกับคุณธรรมและจริยธรรม
แล้วก็โยงไปสู่เรื่องจริยธรรมสากล เค้าก็จะบอกว่า จริยธรรมสากล
เนี่ยะ พูดที่ไหนก็ รู้กันทั้งนั้น พอเค้าละไว้ไม่ต้องพูดถึง เราก็รู้กันว่า
เหมือนอย่างหลักพระศาสนานี่ อย่างของพุทธศาสนาพูดรู้ในประเทศไทย ลังกาพม่า
แล้วก็ไปฝรั่งเค้าก็ไม่รู้อะไรยังงี้นะ คล้ายๆยังงั้น ถ้าจริยธรรมอย่างงี้ล่ะก็
พูดที่ไหนก็รู้กันทั่วโลก คล้ายๆอย่างนั้น
ถ้าจริยธรรมอย่างนี้ล่ะก็ พอพูดที่ไหนก็รู้กันทั่วโลก แล้วก็ศีลธรรมก็อย่างว่ามันขึ้นอยู่กับศาสนา.
ทีนี้เราก็ต้องมาวิเคราะห์ดู
ต้องทันเค้า จริยธรรมที่ว่าสากลเนี่ยะ สากลยังไง? ๑)
เหมือนอย่างกับเสื้อผ้าชุดสากล รู้จักกันใช่มั้ย? สากลก็คือของฝรั่งเท่านั้นเอง
มันสากลจริงมั้ย? สากลมันก็ต้องมีทั่วไปหมด ทั้งโลกมันต้องเหมือนกันหมด
อย่างเดียวกันหมด ไอ้สากลชุดสากลมันก็แค่ของฝรั่งเท่านั้นแหละ
ไทยเราไปเกิดนิยมขึ้นมาเรียกชุดสากลยังงั้น เวลานี้มันก็ใช้ไม่ได้ทั่วโลก ใช่มั้ย?
ชุดสากลน่ะ จะเป็นสากลได้ไง? ทีนี้จริยธรรมสากล
มันก็เป็นของฝรั่งนั่นเอง จริยธรรมฝรั่ง ไม่ใช่สากลอะไรหรอก ถ้าสากลจริงอ่ะนะ
ก็คือความจริง ใช่มั้ย? ความจริงเนี่ยะ ใครจะรับไม่รับ มันสากลใช่มั้ย?
มันไม่ต้องมีคนมารับ ไอ้นี่ต้องจริยธรรมมาสากลให้คนรับ
และพอพูดขึ้นมาคนนี้บอกใช่คนนั้นบอกใช่ คนไปรับรองได้หรือ? ไอ้ที่จริงสากลก็คือความจริง
ความจริงมันแน่นอน ความจริงก็ต้องเป็นความจริงตามธรรมดาธรรมชาติ
น๊ะ ถูกต้องตามความเป็นจริงของธรรมชาติ อย่างนี้ละสากลจริง
มันไม่ขึ้นต่อที่ใด ไม่เข้าใครออกใครแหละ สากลแบบนี้ นี่คือจริงเป็นสากลแท้
ก็ต้องเป็นความจริง เราอย่าไปหลงตามเค้านะ ระบบสากลพูดที่ไหนก็ยอมรับกันซะ
ไอ้นี่มันสากลคนพูด สากลของฝรั่ง ใครนิยมตามฝรั่งก็ว่าใช่ ใช่มั้ย? เอ้อ
เนี่ยะ ดี ไปเชื่อตามเค้านี่ บอกว่า คุณ มันไม่จริงหรอก ไอ้สากลของคุณน่ะ
ของคุณสากลก็คือของฝรั่ง.
๒) สากลของคุณเนี่ยะ
เอาตามปากคนพูด คนไปรับรองอะไรได้จริงเร๊อะ? สากลแท้มันต้องความจริง
อันนี้เด็ดขาด ก็ต้องมาพิสูจน์กันว่าอันไหนเป็นของความจริง ทีนี้จริยธรรมที่มาแบบสายตะวันตกเนี่ยะ
เราก็ต้องรู้ภูมิหลังเค้า จริยธรรมตะวันตกนั่นมันมา ๒ สาย ใช่มั้ย? หนึ่ง
สายปรัชญา ตั้งแต่กรีก โสเครตีส เพลโต้ อริสโตเติ้ล มาเรื่อยมา
สายหนึ่ง แล้วมาสายศาสนา ศาสนายิวคริสต์ โดยเฉพาะศาสนาคริสต์ เพราะคริสต์เป็นใหญ่ในสมัยกลางตั้งพันปี
ทีนี้ศาสนาคริสต์ก็เป็นจริยธรรมแบบเทวบัญชาหรือเทวโองการ
พระผู้เป็นเจ้าสั่ง ส่วนจริยธรรมของนักปรัชญาตั้งแต่กรีกมาก็เป็น
speculation2 คือการคิดคะเนตามเหตุผล ใช่มั้ย?
คิดคะเนตามเหตุผลแล้วบางทีก็โยงกันเรื่องบัญญัติ
ของมนุษย์ จะเข้าถึงความจริงตามธรรมชาติรึเปล่า?
ก็เถียงกันอยู่ นักปรัชญาเองก็เถียงกันมาไม่รู้กี่สำนัก ใช่มั้ย? เนี่ยะ.
เอาละมา
๒ สาย ทีนี้มาในยุโรป ตลอดเวลาพันปีของสมัยกลางเนี่ยะ มันขึ้นต่อศาสนาคริสต์
เพราะฉะนั้นจริยธรรมของปรัชญาตะวันตก ของสายกรีกอะไรนั่น
นั้นก็ต้องเหมือนกับชะลอๆหรือไม่มีกำลัง
ก็มีแต่นักคอิดนักปราชญ์อะไรพวกหัวปัญญาชนที่คิดอยู่
แต่ว่าอิทธิพลที่จะเอามาใช้ปฏิบัติเนี่ยะ มันอยู่ที่
จริยธรรมแบบเทวบัญชาของศาสนาคริสต์ ก็คือพระเจ้าท่านสั่งมายังงี้
พระองค์ห้าม ถ้าฝ่าฝืนแกก็ถูกลงโทษ พระองค์สั่งให้ทำยังงี้ ให้ปฏิบัติตาม
ถ้าไม่ทำตามข้าก็ลงโทษแก ลงโทษยังไง รอวันสิ้นโลก judgement day พวกแกตายไปแล้วก็วิญญาณรอ วันสิ้นโลกก็ตื่นลุกขึ้นมาหมด
คราวนี้พระเจ้าก็ ตัดสินพิพากษา ก็เรียก judgement
day วันสิ้นโลก.
ทีนี้ เอาละ จริยธรรมแบบเทวบัญชา
ก็ครอบงำยุโรปและโลกตะวันตกอยู่พันกว่าปี ทีนี้พอผ่านยุคสมัยกลางมาขึ้น renaissangce3 ยุคที่
บางทีก็บัญญัติศัพท์ว่า ??????? หรือยุคเกิดใหม่ วิทยา-
การของกรีกโรมันโบราณขึ้นมาแล้ว
เอาละนะ ตะวันตกหันกลับไปหาปรัชญากรีกโรมันแล้ว ทีนี้วิทยาการของกรีกโรมันก็ฟื้นขึ้นมา
แล้วก็โยงมาหา วิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ก็ฟื้นฟูเจริญขึ้นมา
ตอนนี้แหละครับเข้ายุควิทยาศาสตร์ เข้ายุคแห่งปัญญา
ฝรั่งซึ่งถูกศาสนาคริสต์บีบคั้นถึงกับตั้งศาล เค้าเรียก ศาลinquisition4 ศาลตัดสินศรัทธาขึ้นมา เล่นงานมาตลอด แกสงสัยไบเบิ้ลไม่ได้
แกสงสัย
4 https://en.wikipedia.org/wiki/Inquisition
โลกกลมโลกแบน
แกสงสัย แกไปบอกว่าโลกไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล แกไปพูดว่าโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์
ต้องจับขึ้นศาลกลืนยาพิษ หรือเผาทั้งเป็น อะไรนั่น
ทีนี้พวกฝรั่งก็ดิ้นมาเนี่ยะ พ้นจากสมัยกลางก็ยังไม่หมด ยังถูกฆ่า ศาลinquisitionยังอยู่
แต่ว่าตอนนี้ก็คือ อิทธิพลทางศาสนาน้อยลงตามลำดับ จนกระทั่งเป็นปฏิปักษ์
ปฏิเสธศาสนาเลย.
ยุควิทยาศาสตร์ขึ้นมา
นักวิทยาศาสตร์ขึ้นมา ตอนนี้เอาและ มามองว่า วิทยาศาสตร์นี้มองจริยธรรมยังไง
วิทยาศาสตร์นี่ก็เอาแค่ผัสสะทั้ง ๕ คือบอกไปแล้ว ตาหูจมูกลิ้นกาย ใจไม่เอา
เพราะว่าใจนี้เป็น subjective มันเป็นของไม่จริง แล้วแต่คนคิด ความรู้สึกไปเองแต่ละคนไม่เหมือนกัน
มันอยู่ที่ต้องผัสสะทั้ง ๕ เช่น ตาเห็น หูได้ยิน มือคลำได้ จึงจะเป็นความจริง
วิทยาศาสตร์ก็เอาที่ ผัสสะเนี่ยะ นี้ก็ ตอนนี้เค้าไม่เอาพระศาสนาอยู่แล้วนี่
จริยธรรมของศาสนา อะไรมีที่ไหน เทวบัญชา? พระผู้เป็นเจ้าสั่งนี่
ไม่จริง มันก็เป็นเรื่องของสมมติเอา ที่จริงไอ้จริยธรรมเนี่ยะ
หลักความประพฤติเนี่ยะ มันเป็นเรื่องมนุษย์ตกลงกันเอา สังคมนู้นดูสิ
บออกว่าอันนี้ดี แล้วไปอีกสังคมหนึ่ง อันเดียวกันนั่นแหละ ที่ว่าสังคมนี้ว่าดี
สังคมโน้นบอกว่าไม่ดี ไอ้ที่สังคมโน้นว่าดี สังคมนี้ไม่ดี เนี่ยะ จริยธรรม
ความดีความชั่วไม่มีจริง เป็นของมนุษย์บัญญัติเอา ตกลงกันเอา
เพราะฉะนั้นวิทยาศาสตร์ไม่ เชื่อจริยธรรม ทีนี้ก็เหลือสายปรัชญา จริยธรรมก็มาง้อวิทยาศาสตร์
ต้องปรับตัวเข้าวิทยาศาสตร์ วิชาการต่างๆที่มาจากสมัยกรีกเกริกโบราณนั่นนั้น
ต้องมาปรับตัวเข้าวิทยาศาสตร์ ให้หมด เพราะตอนนี้วิทยาศาสตร์มาเป็นใหญ่แล้ว
ฝ่ายศาสนาคริสต์เองก็ต้องปรับวัฒนธรรมของตัวเองเข้ากับวิทยาศาสตร์
ว่าทำยังไงฉันจะเป็นวิทยาศาสตร์ได้ ยกตัวอย่างง่ายๆ แนวคิดใหญ่ของตะวันตกมาตั้งแต่กรีก
ผมเล่าไปแล้ว ที่เป็นพื้นฐานของอารยธรรมตะวันตก คือแนวคิดพิชิตธรรมชาติ
มาตั้งแต่กรีก มามีอิทธิพลต่อวิทยาศาสตร์ก็คือ
เป็นตัวนำของวิทยาศาสตร์เป็นเจตจำนงของวิทยาศาสตร์
ที่เค้าเรียกวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์แล้ว.
ต่อมาบางพวกบอกว่า โอ๊ย
มันไม่จริงหรอก วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ มันถูกไอ้เจตนานี้ครอบงำ นักวิทยาศาสตร์ตะวันตกนั้นที่ค้นคว้าวิทยาศาสตร์ขึ้นมา
ตัวอิทธิพลแรงบันดาลใจสำคัญก็คือ ความตั้งใจที่จะพิชิตธรรมชาติ
แล้วมนุษย์จะได้ทำอะไรได้ตามชอบใจ เป็นใหญ่ ในจักรวาลนี้ จะมีความสุขแท้จริง
ไอ้แนวคิดนี้มาครอบงำวิทยาศาสตร์ตะวันตก ทีนี้ศาสนาคริสต์ก็เลยต้องมาประสาน
มาออมชอม มาประนีประนอม กับแนวคิดวิทยาศาสตร์ ก็เลยมาหนุนว่าแนวคิดของคริสต์เค้าบอกยังงั้น
พระผู้เป็นเจ้าสร้างโลกมา ดูซิ เยเนซิส น่ะ พระองค์สร้างโลกมา
วันนั้นทำอันนั้น วันนั้นทำอันนั้น แล้วพอสร้างมนุษย์ขึ้นมา สร้างมนุษย์ขึ้นมาเสร็จแล้วก็เอา
ชักซี่โครงซี่หนึ่งจากผู้ชายมาสร้างผู้หญิงอีกคน ได้คู่ละ พอสร้างครบคู่แล้วก็บอกว่า
สิงสาราสัตว์อะไรทั้งหลายบรรดามีในโลกเนี่ยะ ให้เจ้ามีอำนาจครอบงำบัญชาจัดการได้
ให้มนุษย์นั้นมีอำนาจเหนือธรรมชาติทั้งหลาย ไอ้สิ่งเหล่านั้นเป็นอาหารของเธอได้
เพราะฉะนั้นฝรั่งก็ถือว่า ฆ่าสัตว์อะไรกินเกินก็เป็นอาหารตามพระเจ้าสั่งไว้
นิยมกันนะ ไม่มีผิด เค้าถืออย่างนี้ แล้วเค้าก็เข้ากับหลักการของวิทยาศาสตร์ที่ว่า
โอ้ งั้นมนุษย์ก็จัดการกับธรรมชาติได้ตามชอบใจ เพราะพระเจ้าบอกแล้วนี่
พระเจ้าสร้างจักรวาลมาสิ งสาราสัตว์มาเนี่ยะ ให้อยู่ใต้อำนาจมนุษย์
ให้มนุษย์จัดการดูแลเอา เนี่ยะ จริยธรรมแม้แต่ของคริสต์ก็ต้องประสานเข้าแนววิทยาศาสตร์ให้ได้
จนมาตอนนี้ เอา ขอลัดนิดนึงนะ อันนี้ๆ ถือเป็นส่วนพิเศษ เพื่อจะให้เข้าปัจจุบัน.
เวลานี้ เรื่องการรักษาธรรมชาติเป็นสำคัญ
ไอ้แนวคิดพิชิตธรรมชาติก็ทำให้ฝรั่งชักจะร้องไห้ไปล่ะนะ เพราะว่า
ตายแล้วเราผิดเนี่ยะ เราจะไปคิดพิชิตธรรมชาตินั่นมันผิด
เราจะต้องไม่มองธรรมชาติต่างหากจากเรา
เราต้องมองว่ามนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ความคิดใหม่ของทางตะวันตกนะ เดิมมนุษย์นั่นน่ะ
ต่างหากจากธรรมชาติ มนุษย์ฝ่ายหนึ่ง ธรรมชาติฝ่ายหนึ่ง แล้วมีท่าทีเป็นปฏิปักษ์กัน
มนุษย์จะต้องไปจัดการกับธรรมชาติ กำราบมันให้ได้ แล้วเอามันมารับใช้
สนองความต้องการของตนเอง ทีนี้ พอธรรมชาติทรุดโทรมร่อยหลอ เราจะแย่
เราก็เปลี่ยนแนวคิดใหม่ บอกว่าตอนนี้ไม่ได้แล้ว
จะต้องมองว่ามนุษย์นี่เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ แล้วก็มองเป็นมิตรกัน น๊า
ว่าเป็นพวกเดียวกัน แล้วทีนี้ฝ่ายคริสต์ก็เอาใหม่และ เช่นนายอัล กอริ์เป้นต้น
บอกว่า เอ้อ ศาสนาคริสต์ จริยธรรมที่ผ่านมาในยุควิทยาศาสตร์เนี่ยะ
ไปประสานเข้ากับแนวคิดของวิทยาศาสตร์ที่สืบมาจากปรัชญาของกรีก
ที่ว่าให้มนุษย์มีอำนาจเหนือธรรมชาติ จัดการกับธรรมชาติได้ตามชอบใจ
อันนี้ไม่ใช่ความคิดที่แท้จริง ไม่คำสอนของพระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่ของศาสนาคริสต์
เอาแล้วสิ เค้าตีความใหม่ พระเจ้าสอนน่ะ ไม่ได้มีความหมายอย่างนั้น อ่าว สอนแล้วมีความหมายอย่างไง เพราะคำในเยเนซิส(Genesis5)
มันชัดอยู่แล้วนี่
ว่าพระเจ้าสร้างสิงสาราสัตว์กับพร้อมโลกทั้งหลายมาเนี่ยะ เพื่อให้มนุษย์นี่จัดการ ตามประสงค์.
ไอ้ตาอัล
กอริ์ก็บอกเนี่ยะ องค์กรศาสนาคริสต์นี่ทำความผิด ไปประนีประนอมกับปรัชญากรีก
เพื่อเอาใจความคิดวิทยาศาสตร์ที่จะพิชิตธรรมชาติ ตอนนี้ไม่ได้แล้ว
ต้องกลับไปหาความคิดที่เดิมของพระผู้เป็นเจ้าที่แท้ ของพระเยซู
หมายความว่าไง? ที่ตรัสว่า ให้มนุษย์มี dominion
มี dominion over nature ให้มีอำนาจครอบงำบัญชาการ
ปกครองธรรมชาติเนี่ยะ...
** (ขอประทานอภัย – อัล กอริ์ก็พูดถูก...คือเวลาแปลจากภาษาฮิบรู
มาเป็นอังกฤษเนี่ยะ - บางคัมภีร์เยเนซิส...ใช้คำว่า rule over แต่เหนือ สิงสาราสัตว์ม เท่านั้นนะครับ...ไม่ใช่ชัดว่าเหนือธรรมชาติเลย...อย่างพืชนี้ให้เป็นอาหารของมนุษย์อะไรแบบเนี่ยะ....คือไม่ได้ตรัส
ชัดอย่างที่คริสต์ที่แปลไปเข้าข้างวิทยาศาสตร์...เขียนไว้ว่ายังงี้นะครับ ฉบับKing
James version KJV… “28 And God blessed them, and God said unto them, be
fruitful, be multiply, and replenish the earth, and subdue it; and have
dominion over the fish of the sea, and over the fowl of the air, and over every
living thing that moveth upon the earth.” - ผู้ถอดความ)
หมายความว่า
พระผู้เป็นเจ้า ท่านสร้างมา
สร้างมาทั้งคนทั้งสัตว์ทั้งธรรมชาติแวดล้อมทุกอย่างเนี่ยะ เป็นสมบัติของท่าน
แล้วท่านสร้างสิ่งเหล่านั้นมาแล้วท่านสร้างมนุษย์ขึ้นมาเนี่ยะ (คือสร้างมนุษย์ในวันที่ 6
หลังจากสร้างสิ่งอื่นแล้ว - ผู้ถอดความ) เพื่อให้เป็นตัวแทนท่าน
ดูแลสมบัติของท่าน เอ้อ เค้าเก่งเหมือนกันนะ อีตาอัล กอริ์เนี่ยะ
รู้จักมั้ย อัล กอริ์(Al Gore6
– รองประธานาธิบดี สมัยคลินตัน, ได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ
ในปี 2007)...
6https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%A5_%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C
อ้า
รองประธานาธิบดีสหรัฐ เป็นคนสำคัญในเรื่องงานenvironment
ในเรื่องสิ่งแวดล้อมเนี่ยะ แกกำลังเป็นการใหญ่เลยนะ พระเอกคนหนึ่ง
แล้วนี่แกเขียนหนังสือเล่มหนึ่งเรื่อง earth in the balance -
โลกในภาวะสมดุล นี่ แล้วแกก็บอกอันเนี่ยะ แกบอกว่าศาสนาคริสต์
มันผิดเพราะองค์กรศาสนาคริสต์ สถาบันศาสนาคริสต์ พวกโป๊ป น่ะผิด
แต่ว่าตัวศาสนาที่แท้จริง ถูก แกว่าอย่างนั้น ก็คือว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างสิ่งเหล่านี้มาเนี่ยะ
แล้วก็สร้างมนุษย์มา แล้วให้เป็นตัวแทน ดูแลสมบัติของฉันไว้นะ
เพราะฉะนั้นพวกเธอจะต้องดูแลสมบัติให้ดี พอตีความยังงี้ก็กลายเป็นว่า
ที่แท้ศาสนาคริสต์น่ะ พิทักษ์ธรรมชาติน่ะ ใช่มั้ย? นี่แนวคิดใหม่
เค้าเรียกว่าแนวคิด stewardship7of
nature. Stewardshipแปลว่าอะไร? Steward แปลว่า ผู้ดูแล แนวคิด steward
of nature ท่านต้องจำไว้ด้วย อันนี้ผมเลยเถิดไปแล้ว เอาละ
เป็นอันว่านี่ นี่คือ วิวัฒนาการเรื่องของจริยธรรม.
7 https://en.wikipedia.org/wiki/Stewardship
ที่ตอนเนี่ยะ จริยธรรมมันกลับมามีความสำคัญก็เพราะเรื่องสิ่งแวดล้อมเนี่ยะ
ธรรมชาติมันทรุดโทรม ถ้ามีเวลาจะต้องเล่าให้ฟังว่ามันหวนกลับมายังไง? แต่จริยธรรมในตอนนั้นน่ะเป็นอันว่า
วิทยาศาสตร์มองไม่เห็นความหมายแล้วไอ้จริยธรรมนี่มันเป็นเรื่องมนุษย์คิดขึ้นมา
บัญญัติขึ้นมา ตกลงกันเอง อย่างที่ว่าเมื่อกี้ มันไม่ใช่ของจริง ก็เป็นว่า
นี่คือเบื้องหลังภูมิหลังตะวันตก แล้วจะมาเป็นจริยธรรมสากลให้เราได้ยังไง?
ง่อนแง่นๆจะแย่อยู่แล้วใช่มั้ย? ตอนวิทยาศาสตร์ขึ้นมา จริยธรรมเทวบัญชาก็ไป
เค้าไม่เชื่อแล้ว แล้วจริยธรรมก็มาจากกรีกก็ต้อง
มาปรับปรุงตัวพยายามให้เป็นวิทยาศาสตร์ แล้วก็ยังเป็นไม่ได้
มันก็ยังอยู่ในหมวดปรัชญา ใช่มั้ย? อยู่ในหมวดปรัชญา
หมวดปรัชญาก็ไปอยู่ในสายมนุษยศาสตร์อีก คือเค้าจัดหมวดวิชาใหม่ในยุควิทยาศาสตร์
เป็นหมวดวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ หมวดสังคมศาสตร์ และหมวดมนุษยศาสตร์ (ของผม สถาปัตยกรรม - เป็น
หมวดวิทยาศาสตร์ประยุกต์ - ผู้ถอดความ) ก็คือว่า
เอาวิชาการที่สืบมาแต่โบร่ำโบราณ เป็นศิลปศาสตร์ มาจัดใหม่
พวกหนึ่งที่จริงแท้แน่นอนก็ไปวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ นี่อันดับหนึ่ง
วิทยาการอันดับเลิศนะ ทีนี้
วิทยาการที่สืบมาแต่โบราณตั้งแต่กรีกตั้งแต่อะไรก็แล้วแต่เนี่ยะ
อยากจะมีฐานะดีก็ต้องปรับตัวให้เป็นวิทยาศาสตร์ ทำไง? ก็คือเอา scientific method ไปใช้ เอาวิธีวิทยาศาสตร์ไปใช้
วิธีวิทยาศาสตร์ก็เช่น ต้องวัดได้ ตาหูจมูกลิ้นกาย สัมผัสทั้ง ๕ สัมผัสได้
วัดเป็นตัวเลขได้ ก็เลยมีศาสตร์เก่าๆเช่น เศรษฐศาสตร์ มาปรับตัวให้วัดได้
ออกเป็นตัวเลข ทำเป็นอะไรต่ออะไรวิธีวิทยาศาสตร์มาใช้
เศรษฐศาสตร์ก็ได้เป็นวิทยาศาสตร์ระดับหนึ่งขึ้นมา สังคมวิทยาก็พยายามใช้วิธี scientific
method ก็ได้ อะไรยังเงี้ยะ มมนุษย์วิทยาก็ได้ขึ้นมา ได้ฐานะ
พวกนี้เค้าจัดให้เป็นวิทยาการหมวดหนึ่งเรียกว่า สังคมศาสตร์ มีฐานะเป็นอันดับสอง
ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ เป็นวิทยาศาสตร์สังคมนะ เศรษฐศาสตร์
สังคมวิทยา มนุษย์วิทยา อะไรพวกเนี่ยะ ก็ได้เป็นระดับสังคมศาสตร์ ส่วนวิชาที่เอาวิธีวิทยาศาสตร์ไปใช้ไม่ได้
เป็นเรื่องการคิดคำนึงของมนุษย์อะไรต่างๆเหล่าเนี่ยะ ก็ให้เป็นหมวดหนึ่งเรียกว่า
มนุษยศาสตร์ ก็เช่น ปรัชญา ศาสนา อะไรพวกนี้ พวกนี้ก็กลายเป็นมนุษยศาสตร์.
ในยุควิทยาศาสตร์นี้พวกมนุษยศาสตร์นี่ตกต่ำ
โดนด้อยอำนาจวาสนา แย่ ใครๆก็ต้องอันดับหนึ่ง วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ พอจะไปไหวก็สังคมศาสตร์
นี่วิทยาศาสตร์รับรองได้ อะไรยังเงี้ยะ นี่ก็เป็นมาอย่างนี้ ทีนี้ไอ้เจ้าจริยธรรมมันก็ไปอยู่ในหมวดปรัชญา
ก็อยู่ในหมวดมนุษยศาสตร์ ก็ไม่ค่อยมีฐานะศักดิ์ศรี
เนี่ยะเรื่องมันก็เป็นมายังเงี่ยะ ทีนี้จริยธรรมของฝรั่ง ก็เป็นอันว่ามี ๒
สาย ท่านเข้าใจแล้ว และก็ง่อนแง่นไปในยุควิทยาศาสตร์ขึ้นมา
ทีนี้ต่อมาพวกนักวิทยาศาสตร์เอง บางคนก็เป็นนักปรัชญาด้วย
เป็นนักปรัชญาวิทยาศาสตร์ แล้วบางคนก็เอาใจใส่เรื่องจริยธรรม
ก็ไปคิดในเรื่องจริยธรรม ก็ถกเถียงกัน มันก็คือปรัชญา
ถึงยังไงนักวิทยาศาสตร์ไปสนใจในจริยธรรมเหล่านั้น ก็เป็นได้แค่ปรัชญา.
ทีนี้มันก็เลยกลายเป็นว่า
เมื่อไม่ใช่จริยธรรมศาสนา ที่ศาสนาคริสต์บัญญัติมาว่าต้องยังงี้ต้องยังงี้แล้วใช่มั้ย?
มันก็กลายเป็นจริยธรรมที่ขึ้นต่อนักปรัชญา หรือนักปราชญ์แต่ละคนไป จริยธรรมเรื่องนี้
อ้าว โสเครตีส ว่าไง? เพลโต้ว่าไง? อริสโตเติ้ลว่าไง? จอห์น ล็อคว่าไง? ยอร์ช
เอ็ดเวิร์ด มัวร์ว่าไง? จอห์น ดิวอี้ว่าไง? เบอร์ทรันด์ รัสเซลล์ว่าไง?
โกลด์เบิร์กว่าไง? ยังงี้เป็นต้นอ่ะนะ ต้องยังงี้กลายเป็นคนนั้นว่ายังงี้ จริยธรรมเรื่องเดียวกันก็เห็นไม่เหมือนกัน
เราก็บอกว่าจริยธรรมตะวันตกจะไปเป็นสากลยังไง
แม้กระทั่งฝรั่งเองก็ยังเถียงกันจะตายอยู่ ใช่มั้ย? มันจะเป็นจริยธรรมสากลอะไรเล่า?
ตะวันตกไม่รู้กี่นักปราชญ์ล่ะเถียงกันอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวนี้ เอาลงก็ไม่ได้
ก็แล้วแต่ใครตจะเป็นรลูกศิษย์สายไหน.
ทีนี้ถ้าจะเป็นจริยธรรมสากล
ก็คือมีคนนักคิดบางคนเนี่ยะ พยายามไปประมวลความคิดของนักปราชญ์เหล่านี้อีกทีหนึ่ง
หรือบางทีก็อาจจะเป็นไปในรูปคณะบุคคล มาประมวลความคิดแล้วก็
มาจัดขึ้นมาเหมือนที่ผมเล่าว่าเมืองไทย ที่มาตั้งคณะหรือว่ารวมกันพยายามคิดว่า
อันไหนมันแปลเป็นไทยว่ายังไงเนี่ยะ จะให้เป็นจริยธรรมสากล
มันก็เป็นความคิดของคนกลุ่มหนึ่ง ใช่มั้ย? จะไปเป็นจริยธรรมสากลอะไร? ไอ้จริยธรรมที่คณะบุคคลหรือนักคิดนี้คิดขึ้นมา
บอกว่าสากลเนี่ยะ ตอนนี้เข้ากันได้กับนักปรัชญาทั้งหมดทุกคนรึ?
ลองไปหานักปรัชญาที่ว่าเป็นนักปรัชญาเมธีสำคัญ แกอาจจะไล่เตลิดไปเลยก็ได้ ใช่มั้ย?
อีตานักปราชญ์คนนั้นเค้าก็ไม่ยอมรับล่ะ ไอ้ที่จริยธรรมสากลที่พวกนี้คิดขึ้นน่ะ
เนี่ยะ เพราะฉะนั้นของตะวันตกเนี่ยะมันยังเรียกว่า กระจัดกระจาย เพราะจริยธรรมตะวันตกก็เป็นจริยธรรมแยกส่วน
แยกส่วนโดยขึ้นต่อบุคคลต่างๆ หลายความคิด หลายนักปราชญ์ แล้วก้เป็นเรื่องๆไป
ยังไม่มีเป็นระบบที่โยงกันหมด มันเป็นเรื่องๆ นักปรัชญาวันนี้จะคิดเรื่องจริยธรรมด้านนี้
คนนั้นก็ว่าจริยธรรมเรื่อวงนี้เรื่องนี้ หายากที่จะคิดได้ประมวลเป็นระบบ ที่มีความคิดค่อนข้างรวบยอดแล้วก็
อาจจะกลับไปตั้งแต่ยุคโสเครตีสเพลโต้อริสโตเติ้ล แต่มันก็ยังเป็นปรัชญาเป็น
speculation(ความคิดเชิง คาดเดา เก็งผลกำไร -
ผู้ถอดความ) อยู่นั่นแหละ นักปรัชญาเค้าก็อยู่ที่ speculation คือ การเก็งความจริงด้วยเหตุผล.
ทีนี้
ปรัชญาตะวันตกมาเป็นฐาน หรือจะเอาศาสนาด้วยเป็นฐาน โดยทั้งหมดเนี่ยะ มันง่อนแง่น
แล้วมาเป็นจริยธรรมสากลแล้วคุณจะเอาอะไรล่ะ? เราก็ต้องรู้ทันใช่มั้ย? ทีนี้จริยธรรมตะวันตกเนี่ยะ
เมื่อมันมาสายความคิดยังงั้นเนี่ยะ ก็เข้ามาที่พูดเมื่อกี้ คือ
๑)
มันไม่มีระบบที่เข้าถึงความจริงเหมือนธรรมชาติ
มันอยู่ในระดับของการคิดเก็งความจริงของนักปราชญ์
ทำให้ทางศาสนาที่เป็นเทวบัญชานั้นมันก็กลายเป็นความคิดของนักปราชญ์ไป
ก็ได้แค่เนี้ยะ บางคนก็คิดเชิงธรรมชาติ มีนักปรัชญาตะวันตกบางคนพยายามคิดจริยธรรมในเชิงธรรมชาติเหมือนกัน
แต่มันก็ไม่เป็นระบบที่ชัดเจน มันก็กระจัดกระจายอย่างว่าเนี่ยะ แยกส่วนกันไป
ก็เป็นอันว่า พูดได้รวมๆมันก็คือ
ไม่เป็นระบบที่โยงเข้าสู่ความจริงตามธรรมดาของชาติ
เมื่อมันโยงไม่ได้เป็นระบบให้เห็นชัดเจนเนี่ยะ เราจะยอมรับเป็นสากลไม่ได้เพราะว่า
สิ่งที่เป็นสากลแท้ ก็คือความจริง ก็เป็นจริยธรรมที่ไม่ยั่งยืน
จริยธรรมไม่ยั่งยืนเพราะอะไรบ้าง? ก็หนึ่งเนี่ยะ ไม่เข้าถึงฺความจริงของธรรมชาติ
๒) คือเป็นจริยธรรมที่ฝืนใจ
เพราะจริยธรรมของตะวันตกเนี่ยะ มันไม่โยงไปสู่ระบบของการดำเนินชีวิตของมนุษย์ทั้งหมด
อันนี้เราจะมาเทียบกับพุทธศาสนา จริยธรรมต้องแยกส่วนออกไปนะ
ตามแบบแผนของวิทยาการตะวันตก มันแยกจากวิชาการอันอื่น
มันแยกการดำเนินชีวิตส่วนอื่นของมนุษย์ จริยธรรมเป็นเรื่องการประพฤติ
การอยู่ร่วมสังคม การปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลาย ก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
มันไม่ใช่ทั้งชีวิตนี่ มันก็ไม่เป็นองค์รวม (holistic - https://www.fpps.or.th/news.php?detail=n1089218268.news) เมื่อมันเป็นแยกส่วนยังงี้ จริยธรรมเนี่ยะ
มันก็กลายเป็นว่า มีหลักความประพฤติ ว่ายังงี้ แล้วเราต้องประพฤติปฏิบัติตาม
แต่มนุษย์นั้นมีความปรารถนาของตัวเอง ที่อยากจะทำตามความชอบใจ อยากจะได้ยังงั้นๆๆๆ
ได้แล้วก็ไม่พอ อยากได้อีก ขัดใจขึ้นมา อ้าว อยากทำร้ายคนนู้นคนนี้ หลักจริยธรรมบอกทำไม่ได้
ถ้าอยากได้ได้แค่นี้พอนะ ถ้าไปใช้วิธีผิด ไปเบียดเบียนคนอื่นอะไรนี่ ผิดจริยธรรมคุณอยากจะได้คุณก็ต้องเอาโดยวิธีการที่มันไม่ผิดหลักจริยธรรมที่วางไว้
หรือจะไปโกรธคนอื่น ไปทำร้ายเค้าก็ไม่ได้ ผิดจริยธรรม จริยธรรมก็กลายเป็นแบบแผนความประพฤติที่วางไว้ยังเงี้ยะ.
ทีนี้มนุษย์ก็ถูกตีกรอบ
แต่ตัวเองมีความอยาก ปรารถนาที่จะทำ ทำไม่ได้ก็อึดอัดใจ ก็ฝืนใจ จริยธรรมตะวันตกก็มาได้แค่นี้
มาได้แค่จริยธรรมแห่งความฝืนใจ เมื่อเป็นจริยธรรมแห่งความฝืนใจ
ก็ไม่ยั่งยืน ไม่ยั่งยืนเพราะว่า เมื่อจิตใจคนไม่มีความสุข ปฏิบัติตามจริยธรรมด้วยความฝืนใจถูกบังคับ
มันก็คิดฝ่าฝืนตลอดเวลา มีโอกาสเมื่อไหร่มันก็ละเมิด ใช่มั้ย? เพราะฉะนั้นจริยธรรมแบบเนี้ยะ
ในที่สุดก็ต้องตั้งระบบอะไรต่ออะไรมาคุมกันมากมาย แต่ว่ารวมแล้วไม่ยั่งยืน
นี่ล่ะครับเป็นจุดอ่อนของจริยธรรม แบบสายตะวันตกที่เค้าจะเป็นสากลที่เราจะต้องรู้เข้าใจ
แล้วก็อันเนี้ยะ แล้วก็อันนี้เรามาเทียบกัน ระบบของพุทธศาสนา จะเรียกจริยธรรมอะไรเราก็ไม่ว่า
แต่ว่าเราต้องร่วมศัพท์ใหม่น่ะ ในบัญญัติเมื่อประมาณสักสี่สิบปีมาเนี่ยะ
แล้วก็เลยกลายเป็นไม่พอ ต้องไปเอาคุณธรรมมาด้วย ต่อไปก็จะรู้ตัวว่าไม่พออีก
จัดอบรมจริยธรรม ไม่พอ ต่อมาต้องมีจัดอบรมคุณธรรมและจริยธรรม
เดี๋ยวนี้เป็นคำคู่กันแล้ว ต่อไปจะรู้ตัวว่าคุณธรรมและจริยธรรมก็ไม่พอ
ต้องมีความสุขด้วย ถ้าไม่มีความสุขมนุษย์ไปไม่รอด จริยธรรมนี่แหละ
ความประพฤติเนี่ยะ ต้องมีความสุข จิตใจต้องเบิกบานผ่องใส มีความสุขพอใจ
มันจึงจะทำให้ประพฤติปฏิบัติสิ่งใดนั้นได้จริงอยู่จริง ก็ต้องจัดอบรมคุณธรรมและจริยธรรมและความสุข
ต่อไปก็จะรู้ตัวอีก.
เอ๊
คนเราจะประพฤติปฏิบัติอะไร ต้องรู้เหตุรู้ผล ทำไมเราไม่ฆ่าคนอื่นไม่เบียดเบียนเขา
เช่นอย่างพุทธศาสนาสอน ว่าเรารักตัวฉันใด เรารักชีวิตฉันใด
คนอื่นเค้าก็รักฉันนั้น เราไม่อยากให้ตัวเองทุกข์
ไม่ทำร้ายตัวเองก็ไม่ทำร้ายผู้อื่น อะไรยังเงี้ยะก็แล้วแต่ หมายความต้องมีเหตุผล
ให้พิจารณาเข้าใจด้วยปัญญา มองเห็นเหตุผลว่าทำไมจึงควรทำยังงี้
ทำไมจึงไม่ควรทำยังงั้น ควรงดเว้นยังไง ปัญญาต้องมี
ไม่ใช่ว่าถือโด่เด่ไปตามจริยธรรม ใช่มั้ย? ทีนี้ จริยธรรมก็คือ
ใจเนี่ยะ ต้องมีปัญญา รู้เหตุรู้ผล และปัญญากับฺจิตก็จะพัฒนาจิตใจ
เมื่อปัญญามันเห็นคุณเห็นโทษ เห็นประโยชน์ในการประพฤติ
เห็นอะไรดีแล้วเนี่ยะ มันจะเต็มใจประพฤติ ใจมันก็จะสบาย มีความสุขในการประพฤติ จริยธรรมมันก็ไปได้ดี
และพัฒนาได้.
เพราะฉะนั้น ในพุทธศาสนา
จริยธรรมต้องมีปัญญาด้วย ตกลงว่าต่อไปเนี่ยะ จริยธรรมที่อบรมกันมันต้องเพิ่ม
จัดอบรมคุณธรรม จริยธรรม ความสุขและปัญญา ไม่รู้จักจบ ต่อไปต้องมี
คอยดูเหอะ เพราะว่าจริยธรรมของเขามันแยกส่วนอย่างที่ว่า
มันเกิดจากการที่มามองคนมาอยู่ในสังคมแล้วประพฤติตัวยังไง ห้ามไม่ให้เบียดเบียนกัน
แล้วก็วางหลักเกณฑ์ความประพฤติขึ้นมา มันเลยเกิดจริยธรรม
ก็แยกส่วนจากชีวิตทั้งหมด ทีนี้ต้องดูพุทธศาสนาว่าเป็นองค์รวมหมด พุทธศาสนาของเรานี่แหละ
ตั้งอยู่บนฐานของความจริงธรรมชาติ แล้วก็เป็นระบบของชีวิตทั้งหมด จึงออกมาเป็น ศีล
สมาธิ ปัญญา ศีลออกมาสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม กาย วาจา ก็เป็นจริยธรรมคลุมหมด
อ่ะนะ จริยธรรมก็อยู่ในศีล ที่เดิมเราเรียกศีลธรรม
แล้วก็มีเรื่องจิตใจ ตั้งแต่เจตนาที่จะออกมาสู่การประพฤติปฏิบัติ
แล้วก็เครื่องปรุงแต่งเจตนา จิตใจต่างๆ คุณธรรมความดี
เรื่องของเข้มแข็ง จิตใจ สติ สมาธิ เรื่องของความสุข
ร่าเริงเบิกบานสดชื่นแจ่มใส อะไรเนี่ยะ ต้องมีด้วย ต้องให้พัฒนาเรื่องของ คุณภาพ
ความสุข ความอะไรเนี่ยะในจิตใจ มันถึงกันหมด มีสมาธิเป็นแกน แล้วก็ต้องมีปัญญาด้วย
ระบบจริยธรรมที่แท้ต้องมี ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องหมดทั้งชีวิต.
ศีล สมาธิ ปัญญา คือทุกด้านของชีวิต เพราะฉะนั้นจริยธรรมตะวันตก
จึงไปไม่รอด. แล้วก็เล่าอีกหน่อยหนึ่งว่า เมื่อจริยธรรมตะวันตก
มาถูกวิทยาศาสตร์ตี จริยธรรมเทวบัญชาก็ง่อนแง่นง่อนแง่น แล้วจริยธรรมแบบสายปรัชญามาก็ต้องพยายามมาคิดแบบวิทยาศาสตร์อะไรต่างๆเหล่าเนี้ยะ
มันก็ไม่มั่นคงมาเนี่ยะ แล้วทีนี้เมื่อเกิดการ เรียกร้องจริยธรรมใหม่ ซึ่งมาเรียกร้องมากในยุคที่เกิดปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อม
ตั้งแต่ปี 1960กว่ามา ก็เกิดปัญหาเด่นในอเมริกา พอ 1972 ก็เป็นปัญหาโลก ก็เคยเล่าแล้วนี่
การประชุถมระดับโลกเรื่องสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นเมื่อปี 1972 เป้นครั้งแรก
และต่อมาก็เรียก Earth Summit ขึ้น 1992 ทีละ 20 ปีจัด เนี่ยะ พอปัญหาสิ่งแวดล้อมเกิด
มนุษย์จึงเรียกร้องจริยธรรมกันจริงจัง
ตอนก่อนนี้ก็หวังวิทยาศาสตร์จะนำมนุษย์ไปสู่ความสุขความเจริญ
วิทยาศาสตร์พัฒนาเทคโนโลยี เทคโนโลยีพัฒนาอุตสาหกรรม
อุตสาหกรรมทำให้เกิดความเจริญทางเศรษฐกิจ นี่คือองค์ประกอบของการพัฒนาในยุคที่ผ่านมา
นะ ๑. วิทยาศาสตร์ ๒. เทคโนโลยี ๓. อุตสาหกรรม ๔. เศรษฐกิจ เป็นเป้าหมาย.
แล้วมาตกลงกันเมื่อ
ตอนที่เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมเนี่ยะ ว่า การพัฒนาอย่างนี้ unsustainable เป็นการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน
แล้วเกิดศัพท์ใหม่เรียกว่า sustainable development การพัฒนาที่ยั่งยืน
นี่แหละครับที่เกิดขึ้นตอนนี้ ทีนี้ ตะวันตกมันเกิดปัญหามาเรื่อยๆ
เมื่อวิทยาศาสตร์เป็นความหวังว่าจะนำมนุษย์ไปสู่ความสุขสมบูรณ์ทุกอย่าง
ต่อมามันเริ่มรู้สึก จิตใจมันกระวนกระวายในยุคอุตสาหกรรม
ทำงานก็มีความเครียด เค้าเรียกว่ามี แต่ก่อนนี้ศัพท์นิยมที่เคยเล่าแล้ว anxiety
มายุคนี้ stress เป็นศัพท์เด่น
ก็มีปัญหาเรื่องทุกข์ใจอันหนึ่งละ สองสังคมก็เดือดร้อน อาชญากรรมก็มาก
เบียดเบียนกัน ก็ไม่เห็นดีซักที
แต่มันก็ยังไม่หนักเท่าไอ้ปัญหาสิ่งแวดล้อมเกิดคราวนี้ ไม่ไหวแล้วบอกว่า มนุษย์จะอยู่ไม่ได้ถ้าหากว่า
ทรัพยากรธรรมชาติหมด มลภาวะเต็มโลกอ่ะนะ อยู่ไม่ได้แน่แล้ว ก็เลยเปลี่ยนครั้งใหญ่
ก็กลับมาเรียกร้องจริยธรรม จริยธรรมก็กลับเด่นขึ้นมา ในยุคเนี้ยะ
ในยุคที่ฟื้นฟูเรื่องธรรมชาติเนี่ยะ คราวนี้ก็เรียกร้องจริยธรรมกันใหญ่
ก็เกิด environmental ethic จริยธรรมสิ่งแวดล้อมขึ้นมา
เป็นจริยธรรมอย่างใหม่เลยนะ ก็สำคัญมาก ที่ว่า ต้องมองมนุษย์ใหม่
มองว่ามนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
ไม่ใช่แยกต่างหากจากธรรมชาติแบบเดิมของตะวันตก แล้วต้องมองเป็นมิตร
ไม่ใช่มองเป็นศัตรู แต่ก่อนนี้มองเป็นปฏิปักษ์จะไปกำจัดกำราบ ทีนี้ต้องมองเป็น
friendly เป็นมิตรกันอ่ะนะ อะไรๆดูธรรมชาติ จะผลิตอะไร ทำอุตสาหกรรมก็ต้องดูว่า
มัน nature friendly มั้ย มันเป็นมิตรกับธรรมชาติมั้ย?
ต่างๆเหล่านี้ เดี๋ยวนี้ ต้องคิดยังงั้น.
เอ้า ก็เป็นอันว่า
มองใหม่แล้วก็ให้อยู่กลมกลืนกับธรรมชาติ แล้วจริยธรรมก็คือต้องรักษาธรรมชาติด้วย
ทำไง? ก็ขัดกับไอ้แนวคิดเดิม แนวคิดเดิมบอกว่า
มนุษย์จะมีความสุขก็ต้องเอาธรรมชาติมาจัดการให้เต็มที่ ตามชอบใจจริยธรรมนี้จะรักษาธรรมชาติ
ก็ตรงข้าม ก็จัดการกับธรรมชาติตามชอบใจไม่ได้ ตอนเนี้ยะ
ตะวันตกมาถึงจุดขัดแย้งอย่างหนักเลย เค้าเรียก
dilemma8ปัญหากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เอ้อ ทำไงล่ะ
คติเดิมมันมาสายไอ้แนวคิดอุตสาหกรรมว่า เราต้องผลิต เอาธรรมชาติมาเข้าโรงงาน เป็นวัตถุดิบ
เข้าโรงงานอุตสาหกรรมออกมาเป็น
8 https://en.wikipedia.org/wiki/Dilemma
เป็นผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
เสพบริโภคกันเต็มที่ มนุษย์จะมีความสุขสมบูรณ์
ก็มนุษย์จะสุขสมบูรณ์มากที่สุดเมื่อเสพบริโภคได้เต็มที่ ใช่มั้ย? ก็คือ
จัดการกับธรรมชาติได้เต็มที่ เนี่ยะๆแนวคิดยุคอุตสาหกรรม แต่มาตอนนี้บอกว่า
ถ้ามนุษย์จัดการกับธรรมชาติตามใจตัว ธรรมชาติวอดวายมนุษย์ก็อยู่ไม่ได้
เพราะฉะนั้นมนุษย์จะต้อง ไม่ทำกับธรรมชาติตามใจชอบ ต้องระงับยับยั้งใจตัว อ้าว
แต่ฉันจะมีความสุขก็ต่อเมื่อฉันได้เสพบริโภคจัดการกับธรรมชาติได้เต็มที่
ก็เมื่อฉันจัดการกับธรรมชาติไม่เต็มที่ ก็บริโภคไม่เต็มที่เสพได้ไม่เต็มที่ แล้วฉันจะไปมึความสุขได้อย่างไร?
นี่ ตะวันตกมันขัดตรงนี้ เวลานี้มันกำลังอยู่ที่จุดนี้.
แนวคิดเดิมบอกว่าต้องจัดการกับธรรมชาติ
เอามาเป็นวัตถุเสพบริโภคได้เต็มที่ จะได้มีความสุขเต็มที่
ตอนนี้บอกว่าจัดการไม่ได้ ไม่งั้นมนุษย์วอดวาย ธรรมชาติวอดวายมนุษย์อยู่ไม่ได้
ฉะนั้นจะต้องระงับยับยั้งตัวจัดการกับธรรมชาติ แต่พอดี ไม่รุกรานมันไม่กำจัดเบียดเบียนมัน
ต้องมี restraint (ความยับยั้งชั่งใจ, การงดเว้น-ผู้ถอดความ) ศัพท์นี้ทางเราเรียกว่า สังวร – restraint ก็เป็นศัพท์ทางจริยธรรมอันหนึ่ง
ต้องมี restraint ความระงับนับยั้งชั่งใจ มีสังวร สิ่งสัญญมะ9 restraint แปลว่าสัญญมะ เอาละ แล้วทำไงล่ะ? อ้าว
ก็ในเมื่อจัดการกับธรรมชาติตามชอบใจไม่ได้ มันก็ไม่มีความสุขเต็มที่สิ ใช่มั้ย?
เนี่ยะถึงยุคนี้ที่ ตะวันตกมาติดขัด แม้จะรื้อฟื้นจริยธรรมขึ้นมา ก็เป็นจริยธรรมแบบฝืนใจ
จะรักษาธรรมชาติแวดล้อมก็รักษาเพราะจำเป็น มันถูกบังคับนั่นเอง ให้ต้องรักษา
ไม่งั้นมันตาย ทีนี้ เมื่อไปรักษาธรรมชาติ ตัวเองก็ต้องฝืนใจตัวเอง
ตัวเองก็ไม่สุขเต็มที่ ก็มีความทุกข์สิ
9 https://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=%CA%D1%AD%AD%C1%D0
อย่างน้อยไม่สุข ก็ทุกข์อ่ะแหละ
ฝืนใจตัวเอง ก็เป็นจริยธรรมฝืนใจ แล้วจริยธรรมก็ไม่ยั่งยืนเนี่ยะ
ก็อยู่ยังเงี้ยะ ฝรั่งก็หาทางออก เพราะฉะนั้นพวกนักคิดฝรั่ง
ตอนนี้เค้าก็มาหาแนวคิดตะวันออกด้วย เค้ามาดูว่าพุทธศาสนา
ศาสนาตะวันออกทั้งหลายน่ะ คิดต่อเรื่องธรรมชาติแวดล้อมอย่างไร?
ผมเจอกับพวกนี้มาตั้งเป็นสิบปีแล้ว ฝรั่งมาเมืองไทยก็มาถามความคิดว่า พุทธศาสนาว่าไงเกี่ยวกับเรื่องธรรมชาติสิ่งแวดล้อม
พุทธศาสนามองยังไง เค้าจะเอาความคิดตะวันออกไปเสริม แก้ไขปรับปรุงจริยธรรมตะวันตก
เพราะมันไปไม่รอด แล้วคุณจะเอาจริยธรรมตะวันตกมาเป็นจริยธรรมสากลอะไรเล่า?
ตอนนี้นอกจากมันง่อนแง่นฐานเดิมมันแย่แล้ว ตอนนี้เค้ากำลังหาทางออกอยู่
เนี่ยะฝรั่งเองกำลังหาทางออก มาหาจากเรา ฉะนั้นต้องรู้ทันเนี่ยะ
ทีนี้ถ้าเราไม่รู้เราก็ไม่รู้จะว่ายังไง.
ตอนนี้ก็คือถึงตอนที่
ตะวันตกกำลังหาทางออก ฉะนั้นจริยธรรมเค้าก็มาถึงจุดเนี้ยะ ว่า
แล้วจะทำไงล่ะ? มนุษย์มันถึงทางที่มัน คล้ายๆว่ามันไปทางไหนไม่ได้ทั้งนั้น
จะเอาทางที่จัดการกับธรรมชาติตามชอบใจมีสุขสมบูรณ์ ตามที่เข้าใจมาเดิม ก็ทำไม่ได้
แต่ว่าจะไปทางนี้ ที่ต้องยอมฝืนใจ แล้วก็ยอมอดยอมงดยอมเว้น
ตัวเองก็ไม่มีความสุขอีก เอ้อ แล้วจะทำไง? มันก็ ไม่ดีทั้งคู่เลย
ทีนี้ทำไงก็ตามมันก็บังคับเข้าล่ะ ไอ้จริยธรรม environmental ethic เนี่ยะ จริยธรรมสิ่งแวดล้อมมันบังคับ
เค้าก็เน้นเรื่องนี้ขึ้นมา แล้วก็จริยธรรมสิ่งแวดล้อมนี่
มันโยงไปหาตัวสำคัญที่สุดคือ อุตสาหกรรม อุตสาหกรรมเป็นตัวร้ายที่ทำลายธรรมชาติ
ใช่มั้ย? เพราะต้องเอาธรรมชาติเป็นวัตถุดิบเข้าโรงงานอุตสาหกรรม
เพราะฉะนั้นจะต้องให้อุตสาหกรรมเนี่ยะ มาใช้จริยธรรมสิ่งแวดล้อมด้วย
แต่อุตสาหกรรมที่มันมีผลต่อสังคมเนี่ยะ มันออกมาในรูปธุรกิจ คือธุรกิจอุตสาหกรรม
คือ business เอ้า ไอ้ตัวการสำคัญก็ business นี่แหละ เพราะฉะนั้นธุรกิจเนี่ยะสำคัญ แต่เป็นธุรกิจอุตสาหกรรม
เวลานี้เรื่องของกิจการสังคมเนี่ยะ ถูกครอบงำด้วยระบบธุรกิจ ใช่มั้ย?
คือระบบกำไรสูงสุด ทำไงล่ะ กำไรสูงสุดเนี่ยะมันก็จะมาทำลายธรรมชาตินี่แหละ
ก็จะต้องเอาจริยธรรมสิ่งแวดล้อมเนี่นยะ
เข้าสู่ระบบธุรกิจให้ผู้ดำเนินงานธุรกิจเนี่ยะ มีจริยธรรมแบบที่ว่า คือจริยธรรมสิ่งแวดล้อม.
ฉะนั้นมหาวิทยาลัยในอเมริกาก็เลยต้องบรรจุวิชาใหม่
วิชาethic ยุคใหม่ก็เกิดขึ้น
หนึ่ง environmental ethic จริยธรรมสิ่งแวดล้อม แล้วจริยธรรมสิ่งแวดล้อมนี้
ก็เข้าไปเป็นแกน ส่วนสำคัญในจริยธรรมธุรกิจ เค้าเรียกว่า business
ethic เวลานี้มหาวิทยาลัยสำคัญในอเมริกาก็มีวิชานี้ด้วย
เรียกว่าวิชา business ethic แล้วใน business ethic นี่ก็คือเนี่ยะ มีเรื่องให้คำนึงเรื่องสิ่งแวดล้อม
ก็ได้แค่ให้ยับยั้งใจนะ อย่าไปจัดการกับธรรมชาติ ตามชอบใจนะ ให้งดเว้นบ้าง
อะไรเนี่ยะ ก็หาทางกันต่างๆเพื่อจะสงวนรักษาธรรมชาติ ก็ไม่ไหว พอประชุม Earth
Summit ที 20 ปี ทั้ง ๆที่พยายามโฆษณาชักชวนกัน
ก็ปรากฏสิ่งแวดล้อมก็เสื่อมโทรมลงไปอีก แทนที่จะดีขึ้น ไม่ดีขึ้น
ฉะนั้นเวลานี้เค้าหาทางออกไม่ได้ บอก คุณอย่ามัวติดกับไอ้ ethic สากลฝรั่งเลย มันตันไปแล้ว มันไปไม่รอด หาจริยธรรมใหม่ คุณจะเอาพุทธหรือไม่เอาพุทธ
คุณต้องหาเอาใหม่ แต่หาใหม่มันไปไม่รอดมาเอาเราเอง.
อ้าว
นี่เล่าให้ฟังนะ จะได้รู้เรื่องจริยธรรม เอาละครับวันนี้
นี้ก็คุยกันพอสมควร เข้าใจนะ เรื่องนี้สำคัญนะ เพราะตอนนี้เค้าพยายามแล้ว พอมองเห็นแล้วนะ
จะได้รู้ทัน ต้องรู้ทันเรื่องนี้ รู้ทันเรื่องที่เกิดขึ้น แล้วก็รู้ทันเรื่องที่เกิดขึ้นและก็รู้ทันลึกไปอีกว่าพวกนี้รากฐานมายังไง?
ภูมิหลังเป็นยังไง? เอ้า ช่วยกันนะ ช่วยกันมอง ช่วยกันทำความเข้าใจไว้
ว่าเป็นเรื่องใหญ่ต่อพุทธศาสนา แล้วทำยังไง จะเอาหลักพุทธศาสนาที่แท้เนี่ยะ
ออกไปสู่สังคม เพราะเวลานี้เราก็ต้องโทษตัวเองด้วยว่า
ที่เค้าคิดยังงี้ก็เพราะเราเองด้วย ถูกมั้ย? เพราะเรานี่มันบกพร่อง ตัวเองก็ไม่ได้รู้เรื่องชัดเจน
แล้วก็ไม่บอกเขา ไม่สอนเขา มัวไปยุ่งกับไอ้เรื่องอะไรก็ไม่เป็นเรื่อง เป็นเรื่องทำให้เขามองภาพเราเสียไป
ก็เลยเขาก็ไม่เอาสิ ใช่มั้ย? เราก็ต้องโทษตัวเอง ต้องปรับปรุงตัวเอง...(ผู้ฟัง-พูด)...ก็นั่นสิ
ทีนี้เราก็ต้องวิเคราะห์ให้ดี เอานะครับวันนี้ ที่พูดเรื่องนี้ก็ปรารภหลวงพ่อปัญญานันทะ
เพราะท่านมีบทบาทสำคัญในเรื่องจริยธรรม ทีนี้ท่านสิ้นแล้วก็จะต้องนึกว่า
ทำไมจะให้การสอนจริยธรรมเนี่ยะ ดำเนินไปได้ดี
เราต้องมีกำลังสู้ต่อเผยแผ่ต่อ ช่วยกัน ตอนนี้ก็ขอให้ระลึกถึงหลวงพ่อปัญญานันทะ
นึกถึงท่านก็ขอให้ทำใจสงบ ประมาณ ๒ นาทีก็ได้ ว่าทำใจสงบระลึกถึงหลวงพ่อปัญญานันทะ
พร้อมทั้งอุการคุณของท่าน แล้วก็ความตั้งใจที่จะทำงานเผยแผ่ธรรมะ เผยแผ่พระศาสนา
เพื่อประโยชน์สุขแก่ประชาชนชาวโลกสืบไป ขอตั้งใจทุกท่าน........เอาล่ะครับ
โมทนาทุกท่าน...ก็ขอโอกาสลาขึ้นกุฏิ.
https://youtu.be/zLUiSi2Yl-g?si=uBP0AcRaC8DncEl5
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น