อลัน วัตต์ส - ไม่มีอะไร ดีหรือเลว
Alan Watts –
Nothing is Good Or Bad (SHOTS OF WISDOM 62)
https://youtu.be/dkuEZXQudqE?si=H_nfn3D6r7Popcv5
กาลครั้งหนึ่ง มีชาวนาจีนคนหนึ่ง
ผู้ที่...ม้าตัวหนึ่งหาย วิ่งหนีไป และบรรดาเพื่อนบ้านทั้งหมดก็พากันมาหาในเย็นวันนั้น
และพูดกันว่า: “นั่นช่างเลวร้ายเหลือเกิน!” และเขาพูดว่า: “ก็อาจจะ.”
วันถัดมา, ม้านั้นก็กลับมา
และได้นำม้าป่าเจ็ดตัวมาด้วยกับมัน และบรรดาเพื่อนบ้านทั้งหมดก็พากันมาและพูดว่า: “ทำไมล่ะ,
นั่นดีเยี่ยมไปเลย, ไม่ใช่รึ?” แล้วเขาก็พูดว่า: “ก็อาจจะ.”
วันถัดมา, ลูกชายของเขาพยายามจะฝึกหนึ่งในม้าเหล่านี้ให้เชื่อง
และได้กำลังขี่มัน และถูกเหวี่ยงลงมาและขาของเขาได้หัก
และบรรดาเพื่อนบ้านทั้งหมดก็พากันมาในตอนเย็นวันนั้นและพูดว่า: “เอาละ, นั่นช่างเลวร้ายเหลือเกิน, ไม่ใช่รึ?” แล้วชาวนาก็พูดว่า: “ก็อาจจะ”
และวันถัดมา
เจ้าหน้าที่เกณฑ์ทหารทั้งหลาย(the conscription officers)ก็มามองหาผู้คนให้กับกองทัพ และพวกเขาก็ปฏิเสธลูกชายของเขาเพราะว่าเขาได้ขาหัก
และบรรดาเพื่อนบ้านทั้งหมดก็พากันมาในตอนเย็นวันนั้นและพูดว่า: “นั่นไม่อัศจรรย์เลยหรอกรึ?” และเขาก็พูดว่า: “ก็อาจจะ” (หะหะหะหะ....)
เรื่องนี้ในทางใดทางหนึ่งในแง่หนึ่งแล้ว
สะท้อนอย่าวงพื้นฐานทัศนะของเต๋า ที่เป็นขบวนการของธรรมชาติ
คือกระบวนการบูรณาการของความซับซ้อนมหาศาล. และมันเป็นความเป็นไปไม่ได้อย่างแท้จริงที่จะบอกได้ไม่ว่าอะไรสิ่งใดก็ตามที่บังเกิดขึ้นไปในทางที่ดีหรือเลวร้าย. (This in a way in a certain sense reflects a fundamentally Taoistic attitude which is that the
whole process of nature is an integrated process of immense complexity. And it
is really impossible to tell whatever anything that happens in it good or bad.)
เพราะว่าคุณไม่มีวันได้รู้ว่าอะไรจะผลตามมาจากความโชคร้าย.
หรือคุณไม่มีวันที่จะรู้ได้เลยว่าอะไรจะผลตามมาจากความโชคดี. (Because you never know what will
be the consequences of the misfortune. Or you never know what will be the
consequences of good fortune.)
ผมรู้จักผูหญิงคนหนึ่งที่ค่อนข้างทีความสุขดีจนกระทั่งเธอได้รับมรดก2
ล้านดอลลาร์. และแล้วเธอก็กลายเป็นคนมีความทุกข์. เพราะว่าเธอได้รับผลเป็นความหวาดระแวงว่าทุกคนได้กำลังจะมาเอามันไปจากเธอ,
โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาล. และในอีกด้านหนึ่ง, คุณได้มีกรณีที่รู้กันดีทั้งหมดถึงความไม่สะดวกสบายไร้สาระทั้งหมดนี้.
หรืออุบัติเหตุได้สงวนไว้ให้คุณจากที่เลวร้ายลงวไปหนึ่ง.
หรืออื่นใดที่มันเป็นบาวงโอกาสที่คุณจะได้พบกับบางคนที่คุณได้ตกหลุมรักด้วย
หรือได้หก่อรูปมิตรภาพอย่างรวดเร็วด้วย. (I know a woman who was quite
happy until she inherited $ 2 million. And then she became absolutely miserable.
Because she was afflicted with paranoia that everybody was gonna take it away
from her, especially the government. And on the other hand, you’ve all known
case where some sort of ridiculous inconvenience. Or accident preserved you
from worse one. Or else it was an occasion on which you met someone you fell in
love with or formed the fast friendship with.)
คุณไม่มีวันรู้ว่าอะไรคือลูกโซ่ เอ่อ รูปแบบนั่น,
การเชื่อมต่อระหว่างเหตุการณ์ทั้งหลาย และมันเป็นเพราะเหตุผลนี้ที่นักเต๋าได้วิพากษ์ไว้ถึงเรื่องสองสิ่ง.
1 คือคำทั้งหลาย และ 2 คือการสอดแทรกรบกวน. เขาวิพากษ์วิจารณ์คำพูดทั้งหกลายเพราะว่า
นักขงจื้อทั้งหลายผู้มักจะเป็นนักประพันธ์วรรณกรรมเสมอ.
พวกเขามีสิ่งหนึ่งที่เรียกกันว่า การแก้ไขชื่อทั้งหลายให้ถูกต้อง. (You never know what is the chain
uh the pattern, the connection between events and it is for this reason that
the Taoist has been a critical of two things. 1 of words and 2 of interference.
He criticizes words because among the Confucians who always literary people.
They had a thing going called the rectification of names.)
ทีนี้ตราบใดที่ชื่อทั้งหลายได้เข้ามาเกี่ยวข้อง, นักเต๋าจึงมักจะหัวเราะกับความคิดของการแก้ไขชื่อให้ถูกต้องเสมอ.
เพราะเขาได้พูดว่า: “ทีนี้, นี่นะ...เมื่อคุณเรียบเรียงนามานุกรมหนึ่งขึ้นมา
คุณก็ได้บัญญัติคำทั้งหลายของคุณด้วยคำทั้งหลายอื่น.” (Now so far as names are concerned
the Taoist always laughed at the idea of rectification of names. Because they
said: “Now, look…when you compile a directory you define your words with other
words.”)
ทีนี้ดเวยคำทั้งหลายอื่น คุณก็จะไปอธิบายคำทั้งหลายนั้นๆด้วยที่คุณบัญญัติคำนั้นเอาไว้.
ดังนั้นเพื่อให้แน่นอนใจ, คุณก็ต้องทำให้มันเข้าใจตรงกัน และคุณก็ต้องทำบางอย่างเพื่อที่จะเข้าใจได้ถึงคำทั้งหลายนั้น.
และนั่นก็เป็นเรื่องลี้ลับมาก แต่หนึ่งในเหตุผลทั้งหลายก็คือทำไมชาวจีนจึงไม่ไปพัฒนากับเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าต่อไป.
เพราะต้องมาทำอะไรกับชื่อทั้งหลาย และมันต้องทำด้วยทัศนะที่ตรงต่อธรรมชาติ.
(Now with other words do you go to
define the words with which you define the words. So as to be sure you’ve got
them straight and you have to have something in order to understand words, you
have to have something else. And that is a very mysterious matter but one of
the reasons why the Chinese did not go on to develop an advanced technology. Had
to do with names and it had to do with a certain attitude to nature.)
ด้วยความตระหนักรู้นี้, ว่าภาษาคือตาข่ายที่จะไม่มีวันประสบสำเร็จในการตะครุบจับโลกได้,
ได้เกิดการฝืน/ลังเลที่จะสอดแทรกกับขบวนการของธรรมชาติ. เพราะว่าอะไรที่คุณคิดว่าอาจจะเป็นสิ่งดีที่จะทำ
บางทีก็ดีเพียงแค่ระยะสั้น. มันอาจจะเป็นความหายนะในระยะยาว. (With this realization, that
language is a net which will never succeed in capturing the world, goes a
reluctance to interfere with the processes of nature. Because what you think
may be a good thing to do may be good only in the short run. It may turn out to
be disastrous in the long run.)
ในการที่จะให้ตัวอย่างง่ายมากก็คือ, ปัญหาเรื่องประชากร. อะไรบนโลกที่เรากำลังจะทำเกี่ยวกับเรื่องนั้น.
เพราะว่าในกาลอดีตมีการระบาดของอหิวาตกโรคและโรคร้ายทั้งหลายอื่นๆ
ที่กวาดเอาหลายล้านผู้คนไป. ดังนั้น, ประชากรเลยถูกตัดแต่ง. (To give the very simple example,
the problem of population. What on earth are we going to do about that. Because
in times past perennial outbreaks of cholera and other diseases which wipe out
millions of people. So, the population was pruned.)
ตอนนี้อย่างไรก็ตามด้วยวิธีการทั้งหลายของยารักษาโลกสมัยใหม่,
เราเริ่มต้นที่จะประทับตราออกให้โรคระบาดเหล่านี้ไปได้, แต่แล้วโรคระบาดใหม่หนึ่งก็จะปรากฏขึ้นในรูปของมนุษย์ทั้งหลาย,
มีพวกเขามากเกินไป. เอาละ, คุณคงต้องไม่, คุณไม่สามารถเพียงแค่ตระเวนไปทั่วอย่างเลือดเย็น
แล้วกำจัดผู้คนที่คุณทำการอ้างอิงว่าไม่ได้มาตรฐานทั้งหลายที่กำหนดไว้. (Now however with the methods of
modern medicine, we begin to stamp out these plagues, but then a new plague
turns up in the form of human beings, too many of them. Well, you mustn’t you
can’t just can’t go around in cold blood getting rid of people who you regard
as not making up to certain standards.)
มันได้เป็นบางทีน่าจะดีกว่าถ้าจะเป็นอหิวาตกโรคทำมัน
เพราะว่านั่นไม่ใช่เป็นการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลใดๆ และมันไม่ทำให้คุณเกิดความเกลียดชังกัน. (It was somehow better if the
cholera did it because that was impersonal and it bore you no spite. But when
human beings have to decide to get rid of each other then there’s real trouble.)
ดังนั้น, นักเต๋ามีแนวโน้มโดยทั้งปวงเอนเอียงที่จะไม่เข้าไปสอดแทรกกับวิธีที่เหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้น.
เพราะเขามีรู้สึกว่า พวกนั้นเป็นความสลับซับซ้อนที่ยิ่งใหญ่มากกว่าที่เขาจะตีความหมายด้วยวาจาได้.
และจากการคัดสรรของสิ่งทั้งหลายที่เราเรียกว่าดี
และการคัดสรรหนึ่งของสิ่งทั้งหลายที่เราเรียกว่าเลว. เอาละ, เขารู้สึกว่าเขาไม่ได้รู้จริงๆในแง่ของคำศัพท์ทั้งหลาย
ไม่ว่าเหตุการณ์ที่ได้ให้มาดีหรือเลว. (So, a
Taoist would be on the whole inclined not to interfere with the course of
events. Because he feels that they are of a complexity so great that he with
his verbal interpretations. And of certain selection of things that we call
good and a selection of a certain things that we call bad. Well, he feels that
he doesn’t really know in term of words whether a given event is good or bad.)
เขาอาจจะรู้สึกเลวร้ายเกี่ยวกับมัน
แต่เขาอาจจะรู้สึกว่านี้เป็นหนทางที่สมควรและเหมาะสมที่จะอารมณ์รู้สึกในสถานการณ์เช่นนั้น
และนั่นก็จะผ่านไป. มันจะผ่านไป. เพราะดังที่เล่าจื้อได้บอกไว้: “พายุแรงกล้าไม่ได้พัดพามาทั้งเช้า, หรือว่าฝนหนักจะไม่ได้ตกไปตลอดทั้งวัน.”
(He may feel badly about it but he may feel that this is a proper and
appropriate way to feel in such circumstances and that will go over. It will
pass. For as Laotse said: “The fierce gale does not last the whole morning, nor
does pelting rain go on all day.”)
แล้วท่านก็บอกต่อไปว่า: “ถ้าสวรรคิ์และโลกไม่สามารถตามได้ทันสิ่งเหล่านี้ได้มานาน,
แล้วมนุษยชาติจะสามารถน้อยกว่าขนาดไหนล่ะ.” (Then he goes on say: “If heaven and
earth cannot keep up these things for long, how much less can mankind.”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น