อลัน วัตต์ - อย่าโต้เถียงกับคนโง่ - ปล่อยให้พวกเขาเป็นไปตามนั้นเถอะ
Never Argue With
the Fool — Let Them Be | Alan Watts Inspired
https://youtu.be/iRojzE60XfY?si=0mt1hB3QLu_z9_34
คุณเคยได้พยายามบ้างไหม ที่จะอธิบายบางอย่างให้กระจ่างชัดแจ้งสมบูรณ์สิ้นต่อคุณ,
แต่กระนั้นได้เฝ้าดูผู้อื่นอีกที่มองกลับมาที่คุณด้วยสายตาที่ชี้แนะว่าคุณนั้นได้กลายเป็นบ้าไปแล้ว?
(Have you ever tried to explain something perfectly clear to you, yet
watched another look back at you with a gaze that suggests you’ve gone slightly
mad?)
มันเป็นสิ่งไม่ธรรมดาเลย. คุณอาจจะกดดันมากยิ่งขึ้น,
แหลมคมในคำพูดทั้งหลายของคุณ, แม้กระทั่งรวบรวมหลักฐานยิ่งขึ้น. แต่กระนั้น,
ยิ่งคุณผลักดันมากขึ้นเท่าใด, ก็ยิ่งน้อยลงไปเท่านั้นที่มันดูเหมือนเอื้อมไปถึง.
ผู้คนบ่อยครั้งพูดว่า, “อย่าได้ไปเถียงกับคนโง่.” กระนั้นบางครั้งแรงกระตุ้นของคุณก็ไม่ใช่จะเอาชนะ,
ไม่ใช่จะทำให้อัตตาตัวเองพองโต, แต่เพื่อที่จะช่วยเหลือ, เพื่อที่จะช่วยรักษา,
เพื่อที่ตะคอยทำให้พวกเขาพ้นจากการล้มคว่ำลงไปในเส้นทางที่ผิด. (It’s a
peculiar thing. You may press harder, sharpen your words, even heap up
evidence. Yet, the more you push, the less it seems to reach. People often say,
“Never argue with a fool.” Yet sometimes your urge is not to win, not to puff
up the ego, but to help, to save, to keep them from stumbling down the wrong
path.)
และเช่นนั้นเอง, คุณอธิบาย, คุณอ้อนวอน, และเมื่อพวกเขายังคงไม่สามารถมองเห็น,
คุณรู้สึกเจ็บปวดถึงความมืดบอดของพวกเขา, เกือบราวกับว่าความผิดพลาดของพวกเขาเป็นของคุณเอง.
แต่นี่เองที่ความขัดแย้งต่อการกระทำทอดวางอยู่ในตัวมันเอง. ความสัจจริงไม่สามารถจะถูกบังคับเข้าไปในดินอันยังไม่พร้อมได้.
การกระทำอย่างเมตตาที่สุดบางทีอาจจะพูดมันเพียงครั้งแล้วต่องปล่อยให้มันเป็นไป.
เพราะถ้าหัวใจของพวกเขายังไม่พร้อมในฤดูกาล, ไม่มีการโต้แย้งอะไรที่จะทำให้มันสุกงอมได้ไว้ขึ้น.
(And so, you try, you explain,
you plead, and when they still cannot see, you feel the ache of their
blindness, almost as if their mistake were your own. But here lies the paradox1. Truth cannot
be forced into unready soil. The kindest act maybe to speak it once and then
let it be. For if their heart is not yet in season, no argument will make it
ripen faster.)
มันค่อนข้างเป็นเหมือนการเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์พืชในฤดูหนาว,
ไม่มีอะไรผิดในเมล็ดพันธุ์นั้น, ไม่มีอะไรผิดกับดินนั้น. มีเพียงฤดูกาลเท่านั้นที่อยู่นอกการก้าวย่างไปนี้.
คุณอาจจะรดน้ำให้มัน, เกลี้ยกล่อมคะยั้นคะยอมัน, กระทั่งตวาดตะโกนใส่มันเพื่อให้เติบโต,
แต่ทั้งหมดที่คุณบริหารจัดการก็เป็นแค่ทำให้พื้นโลกเปียกชื้น. กระนั้นก็สังเกตได้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้หมายความว่าเมล็ดพันธุ์นั้นได้สูญเสียไป.
ไกลไปจากมัน. (It’s rather like
planting a seed in mid-winter. Nothing wrong with the seed, nothing wrong with
the soil. Only the season is out of step. You may pour water over it, coax it,
even shout at it to grow, but all you manage is a soggy patch of earth. Yet
notice this doesn’t mean the seed is lost. Far from it.)
ทุกคำพูด, ทุกท่าทางมีที่ทางของมันในยังหวะที่ใหญ่โตมากกว่าของสิ่งทั้งหลาย.
แต่ความเดือดร้อนเริ่มต้นในชั่วขณะที่คุณดึงดันง่ามันต้องงอกขึ้นมาในตอนนี้ตามตารางเวลาของคุณ.
แล้วคุณก็กลายเป็นเช่นกระสับกระส่าย, เป็นเช่นตาบอดเท่ากับผู้นั้นซึ่งคุณกำลังกระตุ้นที่จะให้ตื่นขึ้นมา. ดังนั้น, คุณมองเห็นที่เรียกว่าคนโง่นั้น
ไม่ใช่ตัวตลกซึ่งถูกล้อเลียนแต่อย่างง่ายๆนั้นนอกฤดูกาล. การที่จะทะเลาะกับการเปลี่ยนไปสู่ฤดูใบไม้ผลิในตัวของมันเอง.
(Every word, every gesture has
its place in the larger rhythm of things. But the trouble begins the moment you
insist it must sprout now according to your timetable. Then you become just as restless,
just as blind as the very one you’re urging to awaken. So,
you see the so-called fool is not a clown to be mocked but simply out of
season. To quarrel with the turning of spring itself.)
ตอนนี้ทำไมที่มันเป็นว่าเมื่อคุณเสนอให้ใครบางคนได้เหลือบมองเก็นความสัจจริงบ่อยๆเกินไป,
พวกเขาก็ต่อต้านมันด้วยอะไรทั้งหมดที่พวกเขาอาจทำได้? ไม่เพราะว่าพวกเขาเกลียดชังรังเกียจความสัจจริง
แต่เพราะว่ามันไปคุกคามเรื่องราวที่พวกเขาได้ถักทอเกี่ยวกับว่าพวกเขาคือใครเอาไว้.
อัตตานั้นเป็นเล่ห์ที่ล้ำเลิศ. มันกระซิบว่า, “ฉันเข้าใจ, ฉันฉลาด. ฉันเข้าใจแยกแยะมันออกได้.”
และถ้าคุณไปดึงม่านนั่น, เวทีทั้งหมดก็แสดงออกมาแบบสั่นเทา. การยอมรับความรู้สึกอย่างเพิกเฉยน้อยเหมือนการปรับแก้เล็กๆน้อยๆและเป็นมากเหมือนการถูกลากร่างเปลือยเปล่าเข้าไปในตลาดสด.
ไม่มีใครรื่นรมย์เช่นนั้น. (Now why is it that when you offer
someone a glimpse of truth so often, they resist with all their might? Not
because they despise the truth but because it threatens the story they have
woven about who they are. The ego is a marvelous trick. It whispers, “I
understand. I’m intelligent. I’ve got it sorted out.” And if you tug at that
curtain, the whole stage shows trembles. To admit ignorance feels less like a
small correction and more like being dragged naked into the marketplace. Nobody
enjoys that.)
ผู้คนชอบที่จะแขวนห้อยห่มอยู่กับผ้าขี้ริ้วของพวกเขามากกว่าจะถอดออกเปลือยเปล่าความเชื่อมั่นของพวกเขา.
คุณเห็นมั้ย, เราไม่ได้แค่หกวาดกลัวของการเป็นอะไรผิดๆเท่านั้น. เราก็ยังหวาดกลัวของการมองอะไรผิดๆ
หวาดกลัวการปรากฏตัวอย่างโง่ๆ, การถูกหัวเราะเยาะ, การถูกเห็นว่าฉลาดน้อยกว่าที่เราคาดหวังไว้.
มันไม่ใช่แค่ความสัจจริงที่ทิ่มแทงต่อย.
มันคือความเป็นไปได้ที่ผู้อื่นทั้งหลายจะได้สังเกตเห็นที่เราไม่รู้.
และใรโลกที่ยกย่องสรรเสริญความเฉลียวฉลาด, นั่นคือความอัปยศอันเลวร้ายที่สุด. (People would rather cling to
their rags than to be stripped of their certainty. You see, we are not only
afraid of being wrong. We are afraid of looking wrong afraid of appearing
foolish, of being laughed at, of being seen as less clever than we hoped. It’s
not just the truth that sting. It is the possibility that others will notice we
don’t know. And in a world that worships cleverness, that is a most dreadful
shame.)
ดังนั้น, เมื่อความสัจจริงมาถึง, มันมักจะได้การต้อนรับด้วยเสียงปรบมือ.
บ่อยครั้งมากยิ่งขึ้น, มันได้พบกับหน้านิ่วคิ้วขมวด, ป้องกัน,
โต้แย้งค้านทั้งหลาย. ไม่ใช่เพราะความสัจจริงของตัวมันเองนั้นอัปลักษณ์, แต่เพราะว่ามันมาถอดหน้ากากเรา.
และไม่มีใครชอบการถูกจับตัวโดยปราศจากเสื้อผ้าของพวกเขาสวมหุ้มอยู่. (So, when truth arrives, it is
seldom greeted with applause. More often, its met with frowns, defenses,
arguments. Not because the truth itself is ugly, but
because it unmasks us. And nobody likes being caught without their clothes on.)
กระนั้นการสังเกตการหักมุมที่แปลกประหลาดนี้. การต่อต้านเป็นด้วยตัวมันเองซึ่งเครื่องหมายบอกว่าเมล็ดพันธุ์ได้ถูกแตะต้องพื้นดินอันอุดม.
ถ้ามันไม่ได้กระทบอัตตา, มันก็จะผ่านเลยไปโดยไม่ถูกสังเกต. ความไม่สบายตนนั้นพิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพของมัน.
แต่เมล็ดพันธุ์หนึ่งได้ถูกกดลงไปในดินอันเยือกแข็งไม่สามารถที่จะงอกขึ้นมาได้ในทันที.
มันต้องรอเวลาที่เหมาะสมของมันจนกว่าฤดูกาลอันอ่อนโยนจะมาถึง. (Yet notice this curious twist.
Resistance is itself a sign that the seed has touched fertile ground. If it had
not struck the ego, it would pass by unnoticed. The very discomfort proves it
potency. But a seed pressed into frozen soil cannot sprout at once. It must bide
its time until the season softens.)
ดังนั้น, คุณเห็นมั้ย, คนโง่นั้นหาได้มีเล่ห์ร้าย, หรือเป็นศัตรูที่จะเป็นที่ถูกเยาะเย้ยหยัน.
เขาแค่คือวิญญาณที่กำแน่นอยู่กับหน้ากากของเขา,
ตื่นกลัวในการที่จะถูกเห็นโดยปราศจากมัน. การที่จะทะเลาะกับเขากับความหวาดกลัวนั้น,
และความหวาดกลัวนั้นไม่ได้ยินยอมต่อการใช้กำลัง. ดังนั้นแล้วจึงดีกว่าที่จะเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์ของคุณและปล่อยให้มันเป็นไป.
เพราะอะไรที่ต่อต้านคุณในวันนี้อาจจะจดจำคุณได้ในวันพรุ่งนี้,
และเมื่อฤดูกาลได้ผันเปลี่ยนไป, ความสัจจริงก็ได้มีหนทางของการผลิบานโดยปราศจากการผลักดันของคุณ.
สิ่งแปลกๆเกี่ยวกับการโต้เถียงกับใครบางคนที่ยังไม่พร้อมคือว่า
มันไม่ได้ยกระดับพวกเขาขึ้น. แต่มันลดระดับคุณ. (So, you see, the fool is not wicked,
nor an enemy to be ridiculed. He is simply a soul clutching his mask, terrified
of being seen without it. To quarrel with him is to quarrel with that fear, and
fear does not yield to force. Better then to plant your seed and leave it be. For
what resists you today may remember you tomorrow, and when the season turns,
truth has a way of blooming without your pushing. The strange thing about
arguing with someone unready is that it does not elevate them. It diminishes
you.)
ในการปล้ำฟัดกับความหวาดกลัว, คุณค้นพบว่าตัวคุณถูกห่อหุ้มอยู่ในมัน
ราวกับว่าคุณได้ก้าวลงไปในแอ่งทรายดูด,
การดิ้นแรงมากขึ้นเท่าใดก็มีแต่ทำให้จมลงไปเร็วขึ้นเท่านั้น. คุณได้สังเกตเห็นไหมถึงความเหนื่อยล้าที่ตามมานั่น?
คุณออกไปเพื่อส่องแสงสว่าง, กระนั้นคุณได้หมดสิ้นไปราวกับว่าความสงบสุขอย่างยิ่งขอวงคุณนั้นถูกกาลักน้ำดูดออกไปสิ้น.
มันไม่ได้เป็นเหมือนการเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์ทั้งหลายแต่อย่างใดเลย. มันเป็นเหมือนการดึงเชือกที่ถักเป็นปมเงื่อนเอาไว้มากกว่า.
ยิ่งคุณดึงแรงขึ้นเท่าใด, ความแน่นที่มัดผูกมัดเอาไว้ก็ยิ่งมากขึ้นจนกระทั่งนิ้วของคุณปวดเองและไม่มีมีอะไรเป็นอิสระหลุดออกมาได้.
และที่นี่เองที่ความชั่วร้ายทอดวางอยู่. ในความร้อนแรงของการยุทธสงคราม, อัตตาของคุณเองก้าวย่างอย่างเงียบๆขึ้นไปบนเวที.
ไม่มีอีกต่อไปที่ความสัจจริงของมันได้พบกันกับความไม่รู้. (In wrestling with their fear, you
find yourself wrapped in it as though you’ve stepped into quicksand, struggling
harder only to sink deeper. Have you noticed the weariness that follows? You out
to illuminate, yet return drained as if your very peace has been siphoned away.
It is not like planting seeds at all. It is more like
tugging at a tight knot. The harder you pull, the tighter it binds until your
fingers ache and nothing is freed. And here lies the mischief. In the heat of
battle, your own ego quietly steps onto the stage. No longer is it truth
meeting ignorance.)
มันคือหน้ากากที่เผชิญหน้ากับหน้ากาก, แต่ละฝ่ายดื้อดึงยืนยันว่า, “ฉันถูกต้อง.”
แต่ยิ่งการตะโกนของหน้ากากดังขึ้นมากเท่าใด, การได้ยินความสัจจริงก็ยิ่งน้อยลงจนไม่ได้ยินอีกต่อไป.
อะไรที่ได้เริ่มต้นดุจเป็นของขวัญของความกระจ่างแจ้งก็เปลี่ยนไปเป็นการแสดงอวดตัว.
คุณต้องการที่จะเสนอให้แสงสว่าง, แต่ในไม่ช้าคุณก็กำลังป้องกันตัวคุณเอง,
และเช่นเดียวกันกับผู้อื่น. ดังนั้น, การเต้นรำนั้นได้เริ่มต้นไม่ได้เป็นเช่นการเต้นรำของปัญญา,
แต่เป็นวงเวียนของอัตตา, แต่ละคนก็หวาดกลัวการไม่มีหน้ากาก. (It is mask confronting mask, each
insisting, “I am right.” But the louder the mask’s shout, the less anymore
truly hears. What began as a gift of clarity turns into a performance of pride.
You wanted to offer light, but soon you are defending yourself, and so is the
other. Thus, the dance begins not a dance of wisdom, but of ego circling, each
terrified of being unmasked.)
ราคาของการทะเลาะนี้ไม่ใช่การเสียเปล่าของคำพูดทั้งหลาย,
แต่คือการได้ยอมแพ้อย่างสันติ. คุณได้ส่งมอบความสงบของคุณ, ความกระจ้างชัดของคุณ, ความปีติรื่นรมย์ของคุณ,
และในท้ายที่สุด, ทั้งคู่ดูพลึกพิกลเสมอกัน.
มันเป็นนิสัยแปลกๆที่เรามีความจำเป็นที่จะช่วยเหลือผู้อื่นให้รอดที่จะเปิดตาพวกเขาให้เห็น,
ที่จะนำพวกเขาสู่แสวงสว่างก่อนที่พวกเขาพร้อมที่จะเห็น.
แต่พิจารณาตัดสินเอาตามที่เป็นงานของเราอย่างสัจจริง
หรือเป็นวานของชีวิตในตัวมันเอง. (The
cost of this quarrel is not in words wasted, but on peace surrendered. You hand
over your calm, your clarity, your joy, and in the end, both look equally
absurd. It is a strange habit we have this need to save people to pry open
their eyes to march them into the light before they are ready to see. But
consider is that truly our work or the work of life itself.)
แม่น้ำไม่ได้ขอให้คุณให้ผลักดันมา.
กระแสน้ำขึ้นลงไม่ได้ต้องการให้คุณรับรองให้ที่จะยกตัวสูงขึ้น.
มีกระแสของการเคลื่อนที่ผ่านไปทุกชีวอัตตาแบกพาพวกเขาไปโดยหนทางทั้งหลายและจังหวะเวลาทั้งหลายที่เราไม่สามารถบริหารจัดการอย่างเป็นไปได้. (The river does not ask you to push
it. The tide does not require your approval to rise. There is a current moving
through every soul carrying them by ways and timings we cannot possibly manage.)
และอะไรที่เราเรียกว่าพระเจ้าหรือเต๋าหรือความลี้ลับ,
มันได้กุมเอาการแสดงทั้งหมดในมือมันไปแล้ว. ดังนั้น, เมื่อคุณพบกับการต่อต้าน,
บางทีมันไม่ใช่ความล้มเหลวแต่เป็นจังหวะ.
เมล็ดพันธุ์ที่คุณได้พาะปลูกทอดนอนหลับอยู่ดังเช่นเมล็ดพันธุ์ต้องเป็น.
บทเรียนที่พวกเขาปฏิเสธในวันนี้อาจงอกขึ้นมาพรุ่งนี้ หรือในอีก 10 ปี หรือบางทีในช่วงเวลาชีวิตอื่นอีกไปทั้งหมดเลย.
นั่นไม่ได้เป็นของคุณที่จะควบคุม. (And
what we call God or Dao or the mystery, it ready holds the whole play in its hand.
So, when you meet resistance, perhaps it is not failure but rhythm. The seed
you planted lie sleeping as seed must. The lesson they refuse today may ripen
tomorrow or in 10 years or perhaps in another lifetime entirely. That is not
yours to control.)
การทะเลาะด้วยนี้ก็คือการทะเลาะกับฤดูกาลทั้งหลาย.
การเรียกร้องสั่งให้กุหลาบทั้งหลายในฤดูหนาวและหิมะในฤดูร้อน.
และหนักขึ้นเท่าใดที่คุณดื้อดึงดัน,
ก็มากยิ่งขึ้นที่ความไร้สาระบ้าบอซึ่งมันจะกลายไปเป็น. ภารกิจของคุณนั้นเรียบง่ายยิ่งกว่าและเพื่ออะไรที่เบากว่า.
พูดเมื่อได้เคลื่อนไปที่จะพูด. รักโดยปราศจากเงื่อนไข.
และแล้วก็ก้าวหลบไปที่ด้านข้าง. เพราะอะไรที่ได้หมายถึงที่จะปลุกตื่น
ก็จะตื่นขึ้นมาไม่ใช่ด้วยแรงกำลังบังคับแต่ด้วยจังหวะเวลาอันพิเศษงดงาม.
อละนั่นไม่น่าสนใจใคร่จะรู้หรอกรึ? (To
quarrel with this is to quarrel the seasons. Demanding roses in winter and snow
in summer. And the harder you insist, the more absurd it become. Your task is
simpler and far lighter. Speak when moved to speak. Love without condition. And
then step aside. For what is meant to awaken will awaken not by force but by
the peculiar grace of timing. And isn’t it curious?)
ในชั่วขณะที่คุณหยุดการผลักดันแม่น้ำนั้น,
คุณค้นพบตนเองว่าได้แบกพามันไปอยู่. ชั่วขณะที่คุณหยุดพยายามที่จะซ่อมแซมแก้ไขโลก,
คุณค้นพบว่ามันได้เรียบเรียงจัดแจงตัวมันเองไปแล้ว. ลีลาร่ายรำของพระเจ้าไม่ทิ้งอะไรเหลือไว้ให้ทำ,
ไม่แม้กระทั่งก้าวผิดพลาดเพียงเล็กน้อย. ทุกการสะดุด, ทุกการปฏิเสธ,
ทุกการเลื่อนล่าช้าออกไป เป็นไปของการรร่ายรำนั้น. ในหนทางนี้,
คุณได้ค้นพบการคลายทุกข์ด้วยการปล่อยวาง. (The moment you stop pushing
the river, you find yourself carried by it. The moment you stop try to fix the
world, you discover it is already arranging itself. God’s choreography leaves
nothing out, not even the missteps. Every stumble, every refusal, every delay
belongs to the dance. In this way, you discover the relief of letting go.)
คุณไม่ใช่ช่างซ่อมแซมโลกหรือผู้กอบกู้/ไถ่บาปของมัน.
คุณคือผู้ร่วมกระทำในการร่ายรำนี้. และเมื่อคุณไว้วางใจเชื่อใจในกระแสนั้น,
คุณก็พบว่าทุกอย่างงอกขึ้นมาอย่างแน่นอนเมื่อมันควรจะ. ไม่ในชั่วขณะที่เร็วขึ้น,
ไม่ในขณะที่ช้าไปทีหลัง. การเข้าใจไม่ได้มาถึงได้ด้วยการบัญชา.
คุณไม่สามารถคอยดึงต้นอ่อนเพื่อให้มันเติบโตสูงขึ้นไปอีก, หรือบัญชาให้รุ่งอรุณมาถึงก่อนชั่วโมงของมัน.
จักรวาลได้มีจังหวะของตัวมันเองและมันจะไม่ถูกรีบเร่งได้. (You are not the world’s repair man nor
its savior. You are a participant in the dance. And when you trust the current,
you find that everything ripens exactly when it should. Not a moment sooner, not
a moment later. Understanding never arrives by command. You cannot pull on a
sprout to make it grow taller, nor command the dawn to arrive before its hour.
The universe has its own tempo and it will not be hurried.)
เราลืมในเรื่องนี้เพราะครั้งหนึ่งที่เราได้เหลือบเห็นความสัจจริง,
มันรู้สึกเร่งด่วน. เราต้องการผู้อื่นทั้งหลายที่จะเห็นอย่างทันทีราวกับว่าปัญญานั้นสามารถที่จะถูกถ่ายเปลี่ยนเหมือนผ่านเหรียญอันหนึ่งจากมือหนึ่งไปสู่อีกมือหนึ่ง.
การตื่นขึ้นทีละน้อยนั้นไม่ได้เป็นการทำธุรกรรมแลกเปลี่ยน.
สังเกตได้ว่าผลไม้หนึ่งโตเต็มที่, เขียว. ยังไม่ยินยอม,
เปรี้ยวไปจนกระทั่งวันหนึ่งโดยปราศจากประกาศแถลงอะไรมันก็อ่อนนุ่มลง, หวานขึ้น,
และร่วงหล่นลงสู่มือของคุณ. (We
forget this because once we glimpse a truth, it feels urgent. We want others to
see it immediately as if wisdom could be transferred like passing a coin from
one hand to another. Bit awakening is not a transaction. It is a ripening. And
ripening cannot be rushed without ruin. Notice how a fruit matures, green. Unyielding,
sour until one day without announcement it softens, sweetens, and fall to your
hand.)
มนุษย์ทั้งหลายได้ตื่นขึ้นในหนทางเช่นนั้น. วันนี้, พวกเขาต่อต้านคุณ.พรุ่งนี้,
พวกเขาล้อเลียนคุณ. และหนึ่งปีถัดมา,
พวกเขาทวนซซ้ำคำพูดทั้งหลายของคุณราวกับว่าพวกเขาได้ค้นพบพวกมันขึ้นมาด้วยตัวพวกเขาเอง.
นี้ไม่ความล้มเหลว. มันคือจังหวะเวลา.
เมล็ดพันธุ์ของความสัจจริงสามารถที่จะนอนถูกฝังได้หลายปีไม่ถูกแตะต้อง จนกระทั่งบางชั่วขณะหนึ่งของวิกฤติ,
รักหรืออุบัติเหตุบังเอิญได้ทำให้ดินปริแตกออก.
และแล้วในทันทีทันใดอะไรที่เป็นไปไม่ได้ที่จะตะครุบกุมยึดไว้ก็กลายเป็นที่ประจักษ์ด้วยตนเอง.
(Human beings awaken in just
that way. Today, they resistant you. Tomorrow, they mock you. And a year later,
they repeat your words as though they had discovered them on their own. This is
not failure. It is timing. The seed of truth can lie buried for years untouched
until some moment of crisis, love or sheer accident cracks the soil. Then
suddenly what was impossible to grasp becomes self-evident.)
ดังนั้น, ผู้ฉลาดไม่ใช่กำลัง.
พวกเขาเพาะปลูกและพวกเขารอคอย.
พวกเขาจดจำได้ว่าที่จะเรียกร้องสั่งให้ตื่นขึ้นมาในทันทีทันใดนั้นเป็นอะไรแบบว่าความตาบอดอยู่ในตัวมันเอง.
ความตาบอดนั้นของความไม่อดทน. เพราะถ้าบทเรียนหนึ่งยังไม่ได้พร้อม,
ไม่มีความพยายามพากเพียรจะทำให้มันเป็นเช่นนั้นได้. และถ้ามันได้พร้อมแล้ว,
ก็ไม่มีความจำเป็นในการพากเพียรพยายามใดของเรา. เพราะเช่นนั้นเอง,
จงไว้วางใจเชื่อในจังหวะนั้น. ไว้วางใจเชื่อในชีวิตตัวมันเองว่าคือครูอันยิ่งใหญ่และว่าแต่ละชีวอัตตากำลังถูกสอนทบทวนอย่างเงียบๆ,
อย่างไม่อาจเห็นได้โดยสถานการณ์อย่างยิ่งทั้งหลายที่มันต่อต้าน.
อะไรที่คุณสเนอให้อาจะไม่ถูฏยอมรับในวันนี้, แต่มันไม่เคยสูญเปล่าไป. (So, the wise do not force. They
plant and they wait. They recognize that to demand immediate awakening is
itself a kind of blindness. The blindness of impatience. For if a lesson is not
yet ready, no effort will make it so. And if it is ready, no effort us needed.
Therefore, trust the rhythm. Trust that life itself is the great teacher and
that each soul is being tutored quietly, invisibly by the very circumstances it
resists. What you offer may not be accepted today, but it is never wasted.)
ความสัจจริงมีการอคอยในวิธีที่แปลกพิกลจนกระทั่งจิตนั้นเหนื่อยอ่อนไปกับการต่อต้านของมัน.
ถ้าเมล็ดพันธุ์ทั้งหลายได้งอกขึ้นมาตามฤดูกาลของพวกเขา,
และแม่น้ำทั้งหลายไหลไปโดยปราศจากการกระตุ้นของเรา,
บางทีแนวทางที่ชาญฉลาดที่สุดคือการที่จะยินยอมให้ชีวิตมีสติปัญญาไปของมันเอง.
ไม่ครำครวญในการต่อต้านอื่นอีก, ไม่ปล่อยให้การต่อสู้ของพวกเขารบกวนความสงบของคุณ.
พลังอำนาจเดียวกันที่เคลื่อนดวงดาวทั้งหลายไปตามวงโคจรของพวกเขา,
ที่ดึงกระแสน้ำขึ้นข้ามฝั่งฟาก, กำลังเคลื่อนที่พวกเขาไปด้วยเช่นกัน.
พวกเขาไม่ได้ถูกละทิ้ง, พวกเขากำลังถูกแบกพาไป,
กระทั่งเมื่อมันทองดูเป็นอย่างอื่น. จงมองดูรอบๆตัวคุณสิ. (Truth has an odd way of
waiting until the mind is tired of its own resistance. If seeds ripen in their
own season, and rivers flow without our urge, perhaps the wisest course is to
allow life its own intelligence. Do not mourn another’s resistance,
nor let their struggle disturb your calm. The same power that moves the stars
in their orbits, that pulls the tides across the shore, is
moving them as well. They are not abandoned, they are being carried, even when
it looks otherwise. Look around you.)
มหาสมุทรไม่เร่งรีบคลื่นทั้งหลายของมัน.
ดวงจันทร์ก็ไม่ได้โต้ค้านกับค่ำคืนให้รีบมาเร็วๆ. ต้นไม้ไม่ได้วิตกกังวลการผลิบานของมัน,
เรียกร้องสั่งให้พวกเขาปรากฏก่อนฤดูใบไม้ผลิ. ทุกอย่างขึ้นอยู่กับจังหวะเวลาและเพียงเราในความฉลาดอย่างกระตือรือร้นไปดื้อดึงกับการเร่งรัดดนตรีนั้น.
(The ocean does not hurry its waves. The moon does not argue with the
night to rise sooner. A tree does not fret over its blossoms, demanding they
appears before spring. Everything abides in rhythm and only we in our anxious
cleverness insist on hurrying the music.)
จงปล่อยให้คำพูดทั้งหลายของคุณรวงลงไปเหมือนเมล็ดพันธุ์และเดินต่อไป.
เพราะความสัจจริงไม่ได้จำเป็นต้องการการผลักดัน. มันงอกเงยอยู่เงียบๆพ้นจากใครมองเห็นจนกระทั่งถึงชั่วขณะการงอกขึ้นมา.
และเมื่อคุณไว้วางใจเชื่อในสิ่งนี้, คุณพบว่าตนเองได้รับการปลดปล่อย. ภาระในการชักจูงโน้มน้าวได้ยกออกไปจากบ่าของคุณ.
และอะไรที่ยังคงเหลืออยู่ก็คือสันติสุข. เพราะปัญญาไม่เคยโวยวายบ้าบอ.
มันเอนหลังไป. มันหายใจ. มันปล่อยยอม. (Let your words fall like seeds
and walk on. For truth does not need pushing. It germinates quietly out of
sight until the moment is ripe. And when you trust this, you find yourself
released. The burden to convince lifts from your shoulders. And what remains is
peace. For wisdom is never frantic. It leans back. It breathes. It allows.)
ดังนั้น,
จงปล่อยให้เมล็ดพันธุ์ได้พัก. จงปล่อยให้กระแสดำเนินไปอยู่ในวิถีของมัน. เมื่อฤดูกาลมาถึง,
ความเข้าใจจะแตกผ่านทะลุดินเป็นเช่นอย่างธรรมชาติดุจอรุณรุ่ง, ละลายความมืด.
และจนกระทั่งตอนนั้นแล้ว, ความสงลสุขุมของคุณก็เป็นบทเรียนในตัวมันเองแสดงให้เห็นว่าอิสรภาพนั้นไม่ได้ได้มาด้วยแรงกำลังต่อโลก
แต่คือความไว้วางใจเชื่อว่ามันจะคลี่เผยออกมา. และเราจงอย่าได้ลืมเหล่าผู้โต้ค้านนั้น,
ผู้ที่พยายามตั้งใจได้ยินอย่างมากซึ่งบ่อยครั้งทำไปด้วยความรัก.
พวกเขาปรารถนาที่จะได้รับความช่วยเหลือ, ที่จะชี้นำทางให้, ที่จะตื่นรู้. ความตั้งใจสนใจของพวกเขานั้นงดงาม.
มันมาจากที่แห่งเดียวกันในหัวใจซึ่งโหยหาที่จะได้เห็นผู้อื่นทั้งหลายเป็นอิสระ.
แต่กระทั่งความรักก็ต้องเรียนรู้ที่จะไว้วางใจเชื่อ. (So, let the seed rest. Let the
current take its course. When the season comes, understanding will break through
the soil as naturally as dawn, dissolving the dark. And until then, your
serenity is itself the lesson showing that freedom is not enforcing the world
but in trusting its unfolding. And let us not forget those who argue, who
strain to be heard often do so from love. They wish to help, to guide, to
awaken. Their intention is beautiful. It comes from the same place in the heart
that longs to see others free. But even love must learn to trust.)
เพราะแม่น้ำนั้นแบกพาในทุกชีวอัตตา,
ไม่ใช่เพียงแค่ของคุณ, และมันไม่ได้ปราศจากความจำเป็นต้องการการพายเรือไปอย่างสม่ำเสมอชองคุณ.
เมล็ดพันธุ์รู้ว่าจะปริแยกเปลือกหุ้มของมันอย่างไรโดยปราศจากนิ้วมือของคุณดึงมันออกมา.
อรุณรุ่งจะเริ่มต้นโดยปราศจากการบัญชาของคุณ, ดังนั้นจงปล่อยให้ของขวัญของคุณนั้นเป็นที่อ่อนโยน.
พูดเมื่อชั่วขณะทั้งหลายนั้นเรียกหา, และแล้วก้ปล่อยวางมันไปเหมือนเช่นนกไปสู่ในอากาศ.
อย่าได้คว้าปีกของมันไว้. อย่าใช้แรงบังคับการบินของมัน. จงไว้วางใจเชื่อในอะไรที่ได้หมายถึงว่าจะลงสู่พื้นก็จะลงสู่พื้น
และอะไรที่ไม่ได้จะค้นฤดูกาลอีกอันอื่น. (For
the river carries every soul, not just yours, and it does not without needing
your constant rowing. The seed knows how to split its shell without your
fingers pulling at it. The dawn will break without your command, so let your
gift be gentle. Speak when the moment calls, and then release it like a bird
into the air. Do not clutch at its wings. Do not force its flight. Trust that
what was meant to land will land and what was not will find another season.)
ความสนใจตั้งใจของคุณยคงไว้ซึ่งพิสุทธิ์,
ปแต่สันติสุขของคุณจำเป็นต้องการที่จะไม่ถูกสักการะบูชา. เพราะในการไว้วางใจเชื่อในกระแสนั้น,
คุณได้ให้เกียรติทั้งตัวคุณเองและผู้นั้นที่คุณปรารถนาจะปลุกตื่น. คุณให้พวกเขาซึ่งศักดิ์ศรีในจังหวะเวลาของพวกเขาเอง,
วิถีทางของพวกเขาเอง, ฤดูกาลของการงอกขึ้นมาของพวกเขาเอง. และบางทีของขวัญที่สัจแท้จริงที่สุดนั้นก็คือการได้เสนอให้แสงสว่างของคุณ
และแล้วก็ปล่อยให้ชีวิตได้ตัดสินใจว่าอย่างไรและเมื่อไหร่ที่มันจะส่องแสงออกมา.
(Your intention remains pure,
but your peace need not be sacrificed. For in trusting the current, you honor
both yourself and the one you wish to awaken. You give them the dignity of
their own timing, their own path, their own season of ripening. And perhaps the
truest gift is to offer your light and then let life decide how and when it
will shine.)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น