จีนเอาชนะความยากจนอย่างที่สุดได้อย่างไร
How China
Defeated Extreme Poverty | Documentary
https://youtu.be/MuKcO5NUeWc?si=V3_xV2VDSzR2-jRD
จีนเอาขนะความยากจนได้อย่างไร (HOW CHINA DEFEATED POVERTY?)
คุณได้ยินเรื่องเกี่ยวกับความยากจน,
เกี่ยวกับความหิว, ความสิ้นหวัง, และความไร้ที่สิ้นสุด
รอคอยการเปลี่ยนแปลงอยู่. แค่มีประเทศหนึ่งที่ไม่ได้แค่รอคอย.มันได้เขียนเรื่องราวนี้ขึ้นใหม่.
ครั้งหนึ่งคือบ้านของกว่า 800 ล้านผู้คนที่อาศัยอยู่อย่างยากจนเป็นที่สุดและดิ้นรนต่อสู้กับประชากรที่ติดสิ่งเสพติดซึ่งถูกทำลายโดยสงครามฝิ่น.
จีนอย่างยาวนานได้ถูหกมองว่าเป็นประชาชาติที่ถูกฝังอยู่ภายใต้อดีตของมัน.
แต่มันแค่ 4 ทศวรรษ, อะไรบางอย่างพิเศษเฉพาะได้บังเกิดขึ้น. (You’ve heard stories about
poverty, about hunger, hopelessness, and the endless wait for change. But
there’s one country that didn’t just wait. It rewrote the story. Once home to
over 800 million people living in extreme poverty and struggling with a
drug-addicted population ravaged by the opium wars1, China was long seen
as a nation buried under its past. But it just 4 decades, something
extraordinary happened.)
1 https://en.wikipedia.org/wiki/Opium_Wars
สี่ผู้นำ, 40 ปี, หนึ่งการเปลี่ยนแปลง. จาก 1978 ถึง 2020, จีนไม่ได้พึ่งพาอยู่กับปาฏิหาริย์ทั้งหลายหรือความช่วยเหลือจากต่างประเทศ.
มันพึ่งพาอยู่กับการปฏิรูปที่ไม่หยุดยั้ง, ภาวะผู้นำที่มุ่งเน้นเป้าหมายอย่างแน่วแน่,
และความตั้งใจอันมุ่งมั่นของผู้คนของมัน. ผ่านอย่างระมันระวังในการสลักเสลานโยบายทั้งหลาย,
เป้าหมายขจัดความยากจนอย่างตรงจุด, การปฏิวัติอุตสาหกรรมทั้งหลาย,
และสร้างเสริมพลังอำนาจของชนบท. จีนได้ยกข้าม 800
ล้านคนออกจากความยากจน, ยุติความยากจนที่ใหญ่โตที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์. (Four leaders, 40 years, one
transformation. From 1978 to 2020, China didn’t rely on miracles or foreign
aid. It relied on relentless reforms, laser focused leadership, and the sheer
will of its people. Through carefully crafted policies, targeted poverty
alleviation, industrial revolutions, and rural empowerment, China lifted over
800 million people out of poverty, the largest poverty reduction in human
history.)
วันนี้, จีนยืนอยู่ไม่เพียงแต่แค่เป็นเศรษฐกิจใหญ่โตเป็นอันดับสองของโลกเท่านั้น,
แต่เป็นกรณีศึกษาในวิสัยทัศน์, วินัยและปฏิรูป
ที่สามารถแก้ไขเปลี่ยนประเทศ. นี่ไม่ใช่แค่เรื่องราวทางเศรษฐกิจ.
มันคือเรื่องราวของมนุษย์. เรื่องราวของความเจ็บปวด, และความยืดหยุ่น/ปรับตัว,
และการลุกฟื้นขึ้นมาจากเถ้าถ่านทั้งหลาย. นี้คือจีนได้เปลี่ยนแปลงชะตากรรมของมัน.
ไม่ใช่โดยโอกาส, แต่โดยการเลือกเอง. (Today,
China stands not just as the world’s second largest economy, but as a case
study in how vision, discipline and reform can reshape a nation. This isn’t
just an economic story. It’s a human story. A story of pain, resilience, and a
rise from the ashes. This is how China changed its fate. Not by chance, but by
choice.)
ถ้าคุณได้พบว่าเรื่องราวนี้น่าสนใจ,
ได้โปรดพิจารณากดติดตาท. ขอบคุณสำหรับการสนับสนุนของคุณ. (If you found this story
interesting, please consider subscribing. Thank you for your support.)
ยุคสมัยของ
เติ้ง เสี่ยวผิง (1978-1992) (The Deng Xiaoping Era (1978–1992))
ปีนั้นคือ
1978. ในประเทศที่กว้างใหญ่ไพศาลของประชากรเกือบหนึ่งพันล้านผู้คน, ชีวิตเป็นวงจรหนึ่งของการใช้แรงงานหนัก,
ไร่นารวม, และความขาดแคลน. ความยากจน ไม่ใช่ข้อยกเว้น,
มันคือกฎ. ครอบครัวทั้งหลายอาศัยอยู่ในบ้านอิฐทำจากดินเหนียว, ชีวิตของพวกเขาถูกเผด็จการโดยฤดูกาลในสภาวะทั้งหลาย.
พวกมีอะไรเล็กๆน้อยๆที่พอจะเรียกว่าเป็นของตนเองได้, และอนาคตดูเหมือนจะเป็นสีเทาเท่าๆกับท้องฟ้าฤดูหนาว.
(The year is 1978. In a vast,
sprawling country of nearly a billion people, life is a cycle of hard labor, collective
farming, and scarcity. Poverty isn’t an exception, it’s the rule, Families live
in mudbrick homes, their lives dictated by the seasons in the states. They have
little to call their own, and the future seems as gray as the winter sky.)
นี่ไม่ใช่เรื่องราวของประชาชาติ.
มันคือมหากาพย์นิทานของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจอันยิ่งใหญ่ที่โลกได้เคยพบเห็น.
มันเป็นเรื่องราวของการที่จีนทำอย่างไร ในแค่เพียงหนึ่งรุ่นอายุเดียวท้าทายต่ออุปสรรคทั้งหลาย
และยกผู้คน 800 ล้านขึ้นพ้นจากความยากจนถึงขีดสุด. อย่างไรกันที่ประชาชาติอ้นกว้างใหญ่ไพศาลเหลือเกินและยากจนเสียเหลือเกิน
บรรลุสำเร็จในอะไรที่ไม่มีประเทศไหนในประวัติศาสตร์ทำได้? คำตอบทอดวางอยู่ในหนึ่งลำดับชุดของการกล้าหาญที่จะปฏิรูป,
ผู้ความเป็นนำที่มีวิสัยทัศน์, และพันธะสัญญาอันแน่วแน่ที่จะเปลี่ยนแปลง. (This is not a story of a nation.
It’s an epic tale of the greatest economic transformation the world has ever
seen. It’s a story of how China in a single generation defied all odds and
lifted more than 800 million people out of extreme poverty. How did a nation so
vast and so poor achieve what no other country in history has? The answer lies
in a series of daring reforms, visionary leadership, and a relentless
commitment to change.)
ปฏิรูปและนโยบายเปิดประเทศ (Reform and Opening-Up Policy)
การปฏิวัติไม่ได้เริ่มต้นด้วยเสียงดังตูมตาม,
แต่ด้วยความเงียบ, การเปลี่ยนย้ายการคิดอันทรงพลัง. คนผู้ที่อยู่เบื้องหลังมันก็คือ
เติ้ง เสี่ยวผิง, ผู้นำที่เข้าใจว่าการที่จะสร้างประชาชาติอันทรงพลังเต็มเปี่ยม,
คุณต้องอย่างแรกคือป้อนอาหารแก่ผู้คนของคุณ. เขามองดูแผนเศรษฐกิจที่ถูกวางเอาไว้ว่าได้กำลังร่วงลงและได้ประกาศว่ามันได้ถึงเวลาแล้วที่จะแสวงหาความจริงจากข้อเท็จจริงทั้งหลาย.
เขาเคลื่อนไปอันดับแรกเป็นปฏิรูปในการเปิดประเทศขึ้นในปี 1978. มันเป็นแกนหมุนที่รุนแรงจากความแข็งทื่อของเศรษฐกิจซึ่งถูกวางแผนไว้ไปเป็นระบบตลาดที่มีทิศทางยืดหยุ่นได้มากกว่า.
การเปลี่ยนแปลงที่จับใจมากที่สุดได้เริ่มต้นตรงไปที่ท้องทุ่งทั้งหลาย. ระบบรับผิดชอบแบบครัวเรือนเป็นสิ่งเรียบง่ายเช่นนั้นของความคิดการปฏิวัติ. (The revolution began not with a bang, but with a quiet, powerful shift in thinking.
The man behind it was Deng Xionping, a leader who understood that to build a
powerful nation, you must first feed your people. He looked at a planned
economy that was falling and declared that it was time to seek truth from facts.
He first move was the reform in opening up policy in 1978. It was a radical
pivot from the rigid planned economy to a more flexible market-oriented system.
The most dramatic change started right in the fields. The household responsibility
system was a simple yet revolutionary idea.)
รัฐควรที่จะยกเลิกระบบนารวมการเกษตร.ชาวนาทั้งหลายในตอนนี้ได้สิทธิที่จะจัดการที่ดินของตนเอง
และอย่างสำคัญคือการเก็บรักษาและขายผลผลิตส่วนเกินของพวกเขาเองได้. นโยบายเดียวนี้ได้ปลดล็อคกระแสแรงกล้าของศักยภาพมนุษย์.
ทันทีนั้นด้วยเดิมพันส่วนบุคคลในงานของพวกเขา, ผลผลิตก็หกลายเป็นจรวดทะยานสู่ท้องฟ้า.
ชาวนาทั้งหลายผู้ที่ได้ดิ้นรนต่อสู้มานานหลายทศวรรษได้คับพบตัวพวกเขาเองกับเงินพิเศษเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในกระเป๋าของพวกเขาเป็นครั้งแรก.
พวกเขาสามารถจ่ายใช้เงินในอาหารที่ดีขึ้น, เสื้อผ้าที่ดีขึ้น,
และความหวังกับอนาคตที่จะดีขึ้น. รายได้ของชนบททั้งหลายเริ่มต้นไต่ขึ้น, และสำนึกใหม่ในจิตวิญญาณความเป็นผู้ประกอบการก็ได้กำเนิดขึ้น.
(The state would de-collectivize agriculture. Farmers were now given
the right to manage their own land and crucially to keep and sell their surplus
produce. This single policy unlocked a torrent of human potential. Suddenly with
a personal stake in their work, production skyrocketed. Farmers who had
struggled for decades found themselves with a little extra money in their
pockets for the first time. They could afford better food, better clothes, and
hope for a better future. The rural incomes began to climb, and a new sense of
entrepreneurial spirit was born.)
กำเนิดเขตเศรษฐกิจพิเศษ (The Birth of Special Economic Zones – 1980)
เติ้งรู้ว่าการจะเติบโตนั้น,
จีนไม่สามารถยังคงปิดประตูตนเองอีกต่อไปได้. ในปี1980, เขาได้สร้างสรรค์เขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งแรกขึ้นในเมืองใหญ่ทั้งหลาย
อย่างเช่น เฉินเจิ้น, ซูไห่, และเซี่ยเหมิน.
เหล่านี้คือพื้นที่ชายฝั่งทะเล ได้รับอนุญาตพิเศษที่จะทดลองกับตลาดแบบทุนนิยม.
พวกเขาได้เสนอแรงจูงใจทางภาษีและแรงงานราคาถูกค่อนักลงทุนต่างชาติ, หัพลิกนจากการนอนหลับตกปลามาสู่มหานครทั้งหลายที่เบ่งบาน.
(Deng knew that to grow, China couldn’t remain isolated. In 1980, he
created the first special economic zones in cities like Shenzhen, Zhuhai, and Xiamen.
These were coastal areas given special permission to experiment with market
capitalism. They offered tax incentives and cheap labor to foreign investors,
turning sleepy fishing into blooming metropolises.)
เฉินเจิ้น,
เป็นตัวอย่าง, ได้ไปจากเมืองเล็กๆของคน 30,000 ไปสู่ศูนย์กลางเทคโนโลยีโลกานุวัฒน์กว่า
10 ล้านผู้คนในเพียงแค่ไม่กี่ทศวรรษ. นี้ได้สร้างสรรค์เครื่องยนต์อันทรงพลังสำหรับการเติบโตอุตสาหกรรมและการส่งออกเป็นตัวนำ,
ดึงดูดบริษัททั้งหลายจากทั่วโลกและเทคโนโลยีทั้งหลายของพวกเขา. (Shenzhen, for example, went from a small town of 30,000 to a global
technology hub over 10 million in just a few decades. This created a powerful
engine for industrialization and export-led growth, attracting global companies
and their technologies.)
การเจริญเติบโตของวิสาหกิจชุมชนเมืองและหมู่บ้าน(The Rise of Township and Village Enterprises –
1984)
ในปี
1984, การปฏิรูปชนบทได้แผ่ขยายออกไปพ้นเลยจากไร่นา. รัฐบาลได้ส่งเสริมการเติบโตชองวิสาหกิจ/การประกอบกิจการของชุมชนเมืองและหมู่บ้านทั้งหลาย.
เหล่านี้เป็นขนาดเล็กที่ท้องถิ่นเป็นเจ้าของ, อุคสาหกรรมชนบทที่ได้ผลิตทุกอย่าง
ตั้งแต่ผ้าทอไปถึงอิเล็กทรอนิกส์อย่างง่ายๆ. พวกเขากลายเป็นเส้นชีวิต, สร้างหลายล้านงานอาชีพและให้ผู้คนมีรายได้เลี้ยงชีพโดยปราศจากการที่ต้องทิ้งครอบครัวและหมู่บ้านทั้งหลายของเขาไป.
(By 1984, the rural reform spread beyond farming. The government promoted
the rise of township and village enterprises. These were small-scale
locally-owned rural industries that produced everything from textiles to simple
electronics. They became a lifeline, creating millions of jobs and allowing people
to earn an income without having to leave their families and villages.)
การปฏิรูปทั้งหลายไม่ได้ปราศจากคำวิพากษ์วิจารณ์.
หลังจากช่วงเวลาหนึ่งของความวุ่นวายทางการเมือง, เติ้งได้ทำการเคลื่อนไหวครั้งวิกฤติสำคัญในปี
1992 ด้วยการท่องลงตอนใต้อันโด่งดังของเขา. เขาได้เดินทางไปยังเขตเศรษฐกิจพิเศษทั้งหลายและได้ส่งมอบสุนทรพจน์ชุดหนึ่งที่ยืนยันอีกครั้งในพันธสัญญาของเขาต่อการปฏิรูปตลาด,
ประกาศว่า, “ความยากจนนั้นไม่ใช่สังคนิยม.” การเดินสายของเขาทำให้การวิพากษ์วิจารณ์ทั้งหลายเงียบลง
และเหนี่ยวไกคลื่นลูกใหม่ของตลาดเสรี, กิจการภาคเอกชน, และสัมผัสรู้สึกอันทรงพลังของเจตจำนงประชาชาติ. (The reforms weren’t without their critics. After a period of political
turmoil, Deng made a crucial move in 1992 with his famous southern tour. He traveled to the special economic zones and
delivered a series of speeches that reaffirmed his commitment to market
reforms, declaring that “poverty is not socialism.” His tour silenced the
critics and triggered a new wave of market liberalization, private enterprise,
and a powerful sense of national purpose.)
ยุคสมัยของ
เจียง เจ้อหมิน (1993 – 2002) (Jiang Zemin Era (1993–2002))
ด้วยฐานรากทีได้ถูกวางไว้โดยเติ้ง,
ยุคสมัยของ เจียง เจ้อหมิน ได้มุ่งแน่วแน่อยู่ที่การรวบรวมรายรับทั้งหลายเหล่านี้
และก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของประชาชาติสมัยใหม่. หนึ่งในการปฏิรูปที่สำคัญมากที่สุดของช่วงเวลานี้มาในปี
1994ด้วยการปฏิรูปภาษีหลัก. (With the foundation laid by Deng, the era of Jiang Zemin focused on
consolidating these gains and building the infrastructure for a modern nation.
One of the most important reforms of this period came in 1994 with a major tax
reform.)
การเก็บรายได้แบบรวมศูนย์กลางของมัน,
ได้ทำให้รัฐบาลแห่งชาติในหุ้นส่วนใหญ่โตกว่าจากความมั่งคั่งของจังหวัดทั้งหลาย.
สิ่งนี้อาจจะฟังดูแห้งแล้ง, แต่ผลกระทบของมันเป็นที่ลึกซึ้ง. มันได้ยอมให้รัฐบาลที่จะสนับสนุนทุนในบริการสาธารณะก้อนใหญ่,
การดูแลสุขภาพ, การศึกษาทั้งหลาย, และถนนทั้งหลาย, ไม่เพียงแต่ในภูมิภาคชายฝั่งทะเลที่ร่ำรวยทั้งหลาย,
แต่ในที่ยากจนกว่า, จังหวัดทั้งหลายข้างในประเทศที่ห่างไกลมากกว่าเช่นเดียวกัน. (Its centralized revenue collection, giving the national government a
larger share of the tax income from wealthy provinces. This might sound dry,
but its impact was profound. It allowed the government to fund massive public
services, healthcare education, and roads, not just in the rich coastal regions,
but in the poorer, more remote inland provinces as well.)
การระเบิดตูมตามของโครงสร้างพื้นฐาน
(Infrastructure Boom)
ช่วงระยะเวลานี้ก็ยังอธิบายได้ด้วยเช่นกันโดยโครงสร้างพื้นฐานที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด.
จีนเริ่มต้นที่จะก่อสร้างโครงข่ายอันน่าทึ่งใจของถนน, สะพาน,
ทางรถไฟและโรงพลังงานทั้งหลาย. นี้ไม่ใช่แค่การสร้างงานทั้งหลาย.
มันเป็นการเชื่อมต่อทางกายภาพของประเทศ, การทำมันง่ายขึ้นต่อสินค้าทั้งหลายที่จะถูกขนส่งจากโรงงานทั้งหลายไปสู่ท่าเรือทั้งหลาย
และสำหรับผู้คนที่จะอพยพจากพื้นที่ชนบทสู่เมืองใหญ่ทั้งหลายเพื่อทำงาน.
โครงข่ายอันกว้างใหญ่ไพศาลได้กลายเป็นระบบการหมุนเวียนสำหรับเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ใหม่. (This period was also defined by a monumental infrastructure boom. China
began to build an astonishing network of roads, bridges, railways, and power
plants. This didn’t just create jobs. It physically connected the country,
making it easier for goods to be transported from factories to ports and for
people to migrate from rural areas to cities for work. This vast network became
the circulatory system of a new economic giant.)
จีนเข้าร่วมองค์กรการค้าโลก
(WTO) – 2001 (China
Joins World Trade Organization (WTO) – 2001)
ศิลาฤกษ์ของยุคสมัยนี้มาในปี
2001 ด้วยผลสำเร็จแห่งประวัติศาสตร์. จีนได้เข้าร่วมองค์กรการค้าโลก
– WTO.
นี้คือตัวเปลี่ยนเกม. มันผนวกจีนเข้าไปสู่เศรษฐกิจโลกานุวัฒน์
จัดหาให้ผู้ประกอบการทั้งหลายของมันด้วยช่องทางสู่ตลาดต่างประเทศทั้งหลายแลพะห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก.
ผลลัพธ์นั้นคือการระเบิดตูมตามในการส่วออกอทั้งหลายและการสร้างสรรค์องหลายล้านเหนือหลายล้านของงานอาชีพในโรงงาน. (The capstone of this era came in 2001 with a
historic achievement. China joined the Word Trade Organization – WTO2. This was a game-changer3. It integrated China into the global economy’
providing its manufacturers with access to international markets and global
supply chains. The result was a boom in exports and the creation of millions
upon millions of factory jobs.)
3
"A
game-changer"
แปลว่า ผู้เปลี่ยนเกม, การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ, สิ่งที่พลิกโฉม ซึ่งหมายถึงบุคคล
บริษัท
หรือสิ่งที่มีอิทธิพลอย่างมากที่สร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หรือกลยุทธ์ใหม่ทั้งหมด
ส่งผลกระทบต่อชุมชน อุตสาหกรรม หรือแม้แต่โลก
สิ่งนี้ได้สร้างสรรค์พลังอำนาจดึงองค์ประกอบ,
การเหนี่ยวไกมวลคลื่นของการอพยพจากไร่นาชนบททั้งหลายสู่โรงงานทั้งหลายเขตเมือง. คนยากจนชนบท,
ผู้ที่ได้ครั้งหนึ่งผูกติดอยู่กับที่ดินของพวกเขา, ในตอนนี้มีเส้นทางชัดกระจ่างที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้นในเมืองใหญ่ทั้งหลาย. (This created a powerful pull factor, triggering a massive wave of
migration from rural farms to urban factories. The rural poor, who had once
been tied to their land, now had a clear path to a better life in the cities.)
ยุคสมัยของ
หู จิ่นเทา (2003 – 2012) (Hu
Jintao Era (2003–2012))
ในขณะเศรษฐกิจของจีนได้เปล่งคำราม,
ปัญหาใหม่ก็ได้อุบัติขึ้น. การเติบโตได้แบ่งแยกระหว่างเมืองใหญ่ที่ระเบิดตูมตามทั้งหลายและชนบทที่ยังคงดิ้นรนต่อสู้.
ยุคสมัยของหู จิ่นเทาได้ตระหนักจำถึงความไม่เสมอเท่าเทียมกันนี้
และได้ทำความพยายามอย่างร่วมกันที่จะปิดช่องว่างนี้. ยุทธศาสตร์คือการที่จะนำคสวามก้าวหน้ากลับไปสู่หมู่บ้านทั้งหลาย.
(As China’s economy soared, a new problem emerged. A growing divide
between the booming cities and the still struggling countryside. The Hu Jintao
era recognized this disparity and made a concerted effort to close the gap. The
strategy was to bring progress back to the villages.)
ในปี
2006, รัฐบาลได้พุ่งทะยานโครงงานชนบทสังคมนิยมใหม่. นี้ไม่ได้เกี่ยวการก่อสร้างโรงงานทั้งหลายมากขึ้น.
โครงงานนี้เทเงินเข้าไปสู่ชนบทด้านดูแลสุขภาพ, สร้างความแน่ใจว่าหมู่บ้านทั้งหลายได้เข้าถึงแพทย์และโรงพยาบาลโดยปราศจากการต้องเดินทางเป็นวันๆ.
มันได้สนับสนุนทุนในโรงวเรียนใหม่, ให้เด็กๆในพื้นที่ห่างไกลทั้งหลายในการศึกษาที่มีคุณภาพ
และโอกาสที่จะหนีความยากจนเพื่ออาหาร. (In 2006, the government launched the new
socialist countryside program. This wasn’t about building more factories. This was
about targeted investment in fabric of the rural life. The program poured money
into rural healthcare, ensuring that villagers had access to doctors and
hospitals without traveling for days. It funded new schools, giving children in
remote areas a quality education and a chance to escape poverty for good.)
มันยังได้สร้างสรรค์ระบบการประกันสังคมขั้นพื้นฐาน,
จัดหาซึ่งโครงข่ายความปลอดภัยของผู้สูงอายุ และผู้เปราะบางมากที่สุด. โครงงานนี้เป็นการลงทุนโดยตรงในทุนมนุษย์,
หนทางที่จะทำให้แน่ใจว่าประชากรชนบทนั้นไม่เพียงปแค่สามารถจะรอดชีวิตแต่สามารถเจริญรุ่งเรืองได้. (It also created a rudimentary social security system, providing a
safety net for the elderly and the most vulnerable. This program was a direct
investment in human capital, a way to ensure that the rural population could
not only survive but thrive.)
ยุคสมัย
สี จิ้นผิง (2013 - ปัจจุบัน) (Xi
Jinping Era (2013–Present))
บทสุดท้ายมในสงครามของจีนต่อความยากจน
ได้เป็นการโจมตีเต็มรูปแบบอย่างพิถีพิถัน. เมื่อถึงเวลาที่สี จิ้นผิงมาสู่อำนาจในปี
2013, การท้าทายไม่ได้ยาวนานในเรื่องการปฏิรูปเศรษฐกิจกว้างไกลอีกต่อไป,
แต่เกี่ยวกับการเข้าจัดการต่อกระเป๋าสุดทายอันดื้อดึงทั้งหลายของความยากจนข้นแค้นสุดๆ.
ยุทธศาสตร์นั้นได้เป็นสิ่งที่กล้าหาญและไม่เคยมีมาก่อน. (The final chapter in China’s war on poverty was a meticulously planned
all-out assault. By the time Xi Jinping came to power in 2013, the challenge
was no longer about broad
economic reform, but about tackling the last stubborn pockets of extreme
poverty. The strategy was audacious and unprecedented.)
มันได้ถูกเรียกว่า การรณรงค์บรรเทาความยากจนอย่างมีเป้าหมาย.
ปฏิบัติต่อความยากจนอย่างไม่ใช่สถิติระดับชาติ, แต่เป็นเช่นปัญหาท้องถิ่นด้วยทางออก/แก้ไขเฉพาะสำหรับแต่ละปัจเจก.
แต่ละทุกครัวเรือนยากจนและหมู่บ้านได้ถูกมอบหมายเป็นหนึ่งแฟ้มงาน,
หนึ่งบันทึกรายละเอียดของความจำเป็นต้องการของพวกเขา, ความท้าทายของพวกเขา,
และทรัพย์สินของพวกเขา. แล้วแผนซึ่งถูกวางเป็นการเฉพาะเพื่อลดความยากจนก็ได้ถูกสสร้างสรรค์ขึ้นสำหรับพวกเขา. (It was called the targeted poverty
alleviation campaign. The approach was simple. Treat poverty not as a national
statistic, but as a local problem with a specific solution for each individual.
Every poor household and village were assigned a file, a detailed record of
their needs, their challenges, and their assets. Then a specific customized
plan for poverty reduction was created for them.)
รัฐบาลระดมเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นหลายล้านคนจากสมาชิกพรรคที่มีประสบการณ์,
ผู้เชี่ยวชาญเทคนิควัยหนุ่มสาวทั้งหลายผู้ที่ได้ถูกส่งไปอาศัยอยู่ในหมู่บ้านและทำงานโดยตรงกับชุมชนทั้งหลายนั้น. (The government mobilized millions of local officials from seasoned
party members young technical experts who were sent to live in these villages
and work directly with the communities.)
สามต่อหนึ่งทีมสนับสนุน
–
2016 (Three-by-One Support
Teams – 2016)
พันธสัญญานี้ได้ถูกรวมเป็นปึกแผ่นใมนปี
2016 ด้วยการสร้างสรรค์ทีมสนับสนุน 3 * 1 ทั้งหลาย. แต่ละทีมประกอบด้วยเจ้าหน้าที่พรรค,
ผู้เขี่ยวชาญเทคนิคเป็นเหมือนนักปฐพีวิทยาหรือวิศวกร, และอาสาสมัครหนึ่งคน
ได้ถูกมอบหมายที่จะสนับสนุนรองรับครัวเรือนเป็นราขเฉพาะนั้น. งานของพวกเขาคือที่จะจัดหาอะไรก็ตามที่จำเป็นต้องการเพื่อจะนำครอบครัวพ้นออกมาจากความยากจน,
ไม่ว่ามันนได้ช่วยเหลือพวกเขาหางานอาชีพ, เริ่มต้นธุรกิจขนาดเล็ก, หรืออย่างง่ายๆได้เข้าถึงยังการดูแลสุขภาพอนามัย. (This commitment was solidified in 2016 with the creation of 3*1 support
teams. Each team composed of a party official, a technical expert like an agronomist
or an engineer, and a volunteer was assigned to support a specific household.
Their job was to provide whatever was needed to get the family out of poverty,
whether it was helping them find a job, starting a small business, or simply
getting access to healthcare.)
โครงงานย้ายถิ่นฐาน
(Relocation Programs)
เพราะมีอยู่มากมายอาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลมากที่สุด,
พื้นที่ไม่เหมาะแก่การอยู่อาศัย, ทางแก้ไขปัญหาจึงไม่ใช่การที่จะปรับปรุงสภาพแวดล้อมของพวกเขา,
แต่ที่จะเคลื่อนย้ายถิ่นฐานไปสู่ที่ใหม่. จีนดำเนินโครงงานย้ายถิ่นฐานขนานใหญ่ทั้งหลาย,
เคลื่อนย้ายผู้คนหลายล้านจากหมู่บ้านในภูเขาห่างไกลทั้งหลายมายังภูมิภาคที่พัฒนาดีกว่าแล้ว
ด้วยการเข้าถึงโรงเรียน, โรงพยาบาล, และงานอาชีพทั้งหลาย. นี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การเคลื่อนย้ายทางด้านกายภาพ.
มันเป็นการย้ายเข้ามาสู่ชีวิตใหม่, โอกาสใหม่.
(For many living in
the most remote, inhospitable areas, the solution was not to improve their
environment, but to relocate them. China embarked on massive relocation
programs, moving millions of people from isolated mountain villages to better
developed regions with access to schools, hospitals, and jobs. This wasn’t just
a physical move. It was a move into a new life, a new opportunity.)
การขจัดความยากจนอย่างถึงที่สุดหมดสิ้นแล้วอย่างเป็นทางการ
-
2020(Extreme Poverty Officially
Eliminated – 2020)
จีนบรรลุผลสำเร็จ(ในสิ่งที่ยากลำบาก)ที่ไม่อาจคิดออกมาได้ในปี
2020, การประกาศการได้ขจัดอย่างหมดสิ้นสมบูรณ์ของความยากจนอย่างที่สุดในชนบท. นี่ไม่ใช่แค่คำขวัญทางการเมือง.
มันคือผลลัพธ์ของการปฏิรูปโครงสร้างทั้งหลายมานานหลายทศวรรษที่ได้เริ่มต้นภายใต้การนำของเติ้ง
เสี่ยวผิง ในปี 1978. (China pulled off the unthinkable in 2020, declaring
the complete elimination of extremely rural poverty. This wasn’t just a
political slogan. It was the result of decades of structural reforms that began
under Deng Xiaoping in 1978.)
ตลอดแนวทางการดำเนินงานกว่า 40 ปี, มากกว่า 800
ล้านผู้คนได้ถูกยกขึ้นออกมาจากความยากจน, เป็นส่วนหนึ่งกว่า 70% ของการลดความยากจนทั่วโลก, อ้างอิงจากธนาคารโลก. การรณรงค์ต่อต้านความยากจนของจีนได้เกี่ยวพันกับมากกว่าเพียงการช่วยเหลือทางการเงิน.
มันเป็นปฏิบัติการเชิงจัดระบบรวบรวมคัดแยกขนาดใหญ่. หลายล้านคนได้ถูกย้ายถิ่นฐาน,
ถนนทั้งหลายได้ถูกสร้าง, โรงเรียนถูกยกระดับขึ้น, และโครงงานกำหนดเป้าหฟมายนเชิงสังคมได้บุกเคลื่อนทัพไปสู่มุมยากจนที่สุดทั้งหลายของประชาชาติ. (Over the course of 40 years, more than 800
million people were lifted out of poverty, accounting for over 70% of global
poverty reduction, according to the World Bank. China’s anti-poverty campaign
involved more than just cash aid. It was a massive logistical4 operation. Millions were relocated, roads
were built, schools upgraded, and targeted social programs deployed to the
poorest corners of the nation.)
4 https://en.wikipedia.org/wiki/Logistics
ในตอนปี 2020, 832 ประเทศและเกือบ 100 ล้านที่อยู่อาศัยในชนบทได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการว่าเป็นอิสระจากความยากจนอย่างที่สุดแล้ว0
นักวิพากษ์วิจารณ์อาจโต้คารมถึงเรื่อง เกณฑ์ที่นำมาใช้หรือความยั่งยืนของผลลัพธ์ทั้งหลาย,
แต่ไม่มีประเทศใดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ได้ยกผู้คนมากมายขึ้นมาได้จากความยากจนในระยะเวลาอันสั้นขนาดนี้ได้.
จากนาข้าวทั้งหลายสู่ทางรถไฟความเร็วสูงทั้งหลาย, การเปลี่ยนรูปร่างของจีนคือแบบพิมพ์เขียวในการศึกษาข้ามไปทั่วโลกการพัฒนาในตอนนี้.
(By 2020, 832 countries and nearly 100 million rural residents had
officially been declared free from extreme poverty. Critics may debate the
thresholds used or the sustainability of the results, but no country in modern
history has lifted as many people out of poverty in such a short time. From
rice paddies to highspeed rails, China’s transformation is now a blueprint
studied across the developing world.)
เพื่อที่จะสนับสนุนงานของเราและช่วยให้เราดำเนินงานต่อไปกับการสร้างสรรค์เนื้อหาเหมือนเช่นนี้,
โปรดพิจารณาที่จะกดติดตามด้วย. ขอขอบคุณสำหรับการรับชม.(To support our work and help us continue creating
content like this, please consider subscribing. Thank you for watching.)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น