ทำไมการไล่ตามความหลงใหลปรารถนาของคุณ จึงเป็นความโง่เง่าที่สุด
Why Following Your PASSION is the DUMBEST Advice |
Alan Watts
https://youtu.be/lO54LiocqOY?si=XwsQ7dj60TLNJWoN
ไล่ตามความหลงใหลปรารถนาของคุณ. มันเป็นชิ้นหนึ่งซึ่งที่มีชื่อเสียงรู้จักกันดีอันหนึ่งของคำแนะนำทางด้านอาชีพในโลกสมัยใหม่.
วิทยากรการศึกษาทั้งหลายเทศน์สอนมันกัน. นักประพันธ์สร้างแรงดาลใจทั้งหลายขายมัน.
และผู้คนนับไม่ถ้วนได้สร้างปรัชญาชีวิตทั้งปวงของพวกเขาไปรอบๆมัน. (Follow your passion. It’s the most
popular piece of career advice in the modern world. Graduation speakers preach
it. Motivational authors sell it. And countless people have built their entire life
philosophy around it.)
แต่ถ้าผมบอกคุณว่า การไล่ตามความหลงใหลปรารถนาของคุณนั้นไม่ได้แค่เพียงเป็นคำแนะนำที่เลวแล้ว,
อันที่จริงมันคำแนะนำที่เป็นการทำลายล้างที่คอยทำให้ผู้คนติดหล่ม, หงุดหงิด/ขัดข้องใจ
และค้นหาอยู่ตลอดเวลาต่ออะไรบางอย่างที่ไม่ได้มีอยู่.
ปัญหานั้นไม่ได้เป็นที่ความหลงใหลปรารถนาในตัวมันเอง.
ปัญหาคือการไล่ตามมัน. (But if
I told you that following your passion is not only bad advice, it’s actually
destructive advice that keeps people stuck, frustrated, and perpetually
searching for something that doesn’t exist. The problem isn’t with passion
itself. The problem is with following it.)
ให้ผมเล่าเรื่องของรีเบ็คคากับคุณ, หญิงสาวปราดเปรื่องที่สำเร็จการศึกษาวิทยาลัยด้วยปริญญาในด้านการตลาด
แต่ได้ฝันที่จะเป็นนักเขียนสารคดีการเดินทาง. ไปตามความหลงใหลปรารถนาของคุณสิ.
ทุกคนบอกกับเธอ. ดังวนั้น, เธอลาออกจากงานอาชีพที่มั่นคงของเธอ, วิ่งเข้าไปหาหนี้สินเกินบัญชีใช้จ่ายกับร้านค้าของเธอ,
และใช้เวลาไป 2 ปีกับการเดินทางไปทั่วโลก, เขียนบทความทั้งหลายให้กับนิตยสารทั้งหลายและส่งเรื่องราวทั้งหลายให้กับหนังสือพิมพ์ทั้งหลายเกี่ยวกับการผจญภัยของเธอ. (Let me tell you about Rebecca, a
bright young woman who graduated college with a degree in marketing but dreamed
of becoming a travel writer. Follow your passion. Everyone told her. So, she
quit her stable job, ran up debts on her store charge accounts, and spent 2
years traveling the world, writing articles for magazines and sending stories
to newspapers about her adventures.)
2 ปีต่อมา, เธอล้มละลาย, ตกต่ำรันทด, อาศัยอยู่ห้องใต้ดินในบ้านของพ่อแม่ของเธอ.
“ฉันได้ไปตามความหลงใหลปรารถนาของฉันแล้ว,” เธอพูดอย่างขมขื่น. “และมันไม่ได้นำฉันไปสู่ที่ไหนเลย.”
แต่รีเบ็คคาได้ทำผิดพลาดขั้นพื้นฐานหนึ่ง, หนึ่งในหลายล้านของผู้คนทำมันกันทุกวัน.
เธอได้สับสนในความหลงใหลปรารถนากับแผนการงานอาชีพ. เธอคิดว่าเพราะเธอรักในบางอย่าง,
โลกได้เป็นหนี้เธอในการมีชีวิตทำมัน. นี้คือปัญหาแรกกับการไปไล่ตามความหลงใหลปรารถนาของคุณ.
มันสมมติว่าความหลงใหลปรารถนาและการปฏิบัติได้จริง
เป็นสิ่งเดียวกัน. พวกมันไม่ใช่เช่นนั้น. (2 years later, she was broken,
depressed, and living in her parents’ basement. “I followed my passion,” she
said bitterly. “And it led me nowhere.” But Rebecca had made a fundamental error,
one that millions of people make every day. She had confused passion with a
career plan. She thought that because she loved something, the world owed her a
living doing it. This is the first problem with follow your passion. It assumes
that passion and practicality are the same thing. They’re not.)
นี่คืออะไรที่ไม่มีใครบอกคุณในเรื่องความหลงใหลปรารถนา. มันเป็นรูปแบบภูมิอากาศ.
ความหลงใหลปรารถนามาและไปเหมือนพายุทั้งหลาย. เข้มข้น, ทรงพลัง, แต่ชั่วคราว.
อะไรที่คุณหลงใหลปรารถนาถึงในตอนอายุ 22 อาจจะเป็นที่น่าเบื่อสำหรับคุณจนร้องไห้ในตอน
35. อะไรที่ตื่นเต้นกับคุณในวันจันทร์อาจจะรู้สึกไร้ความหมายไปในวันศุกร์.
ครั้งหนึ่งผมได้รู้จักชายชื่อ ทอม ผู้ที่มีความหลงใหลปรารถนาอยู่ 5
สิ่งซึ่งแตกต่างกันมาตลอดของช่วงเวลา 10 ปี, การถ่ายภาพ, แล้วก็งานไม้, วิทยุคลื่นสั้น,
ฟาร์มอินทรีย์, แล้วก็ไปเปิดร้านแผ่นเสียงของตัวเขาเอง. แต่ละครั้งเขาได้โยนตัวเขาเองอย่างเต็มที่เข้าไปในความหลงใหลปรารถนาอันใหม่ของเขา,
เขาปักใจเชื่อว่าเขาได้ค้นพบสิ่งเรียกร้องของเขาแล้ว. แต่ละครั้งที่ความหลงใหลปรารถนาได้เลือนจางไป,
ทิ้งให้เขารู้สึกสูญเสียและกังขาใจว่าอะไรผิดไปกับเขาหรือ. ไม่มีอะไรที่ทอมทำผิด.
ทอมได้กำลังค้นพบว่าอะไรคือความหลงใหลปรารถนาอย่างแท้จริงเป็น.
นั่นคือปฏิกิริยาทางเคมีชั่วคราวในสมองของคุณ, ไม่ใช่ระบบนำทางชีวิต.
(Here’s what nobody tells you
about passion. It’s not a destination. It’s a weather pattern. Passion comes
and goes like storms. Intense, powerful, but temporary. What you’re passionate
about at 22 might bore you to tears at 35. What excites you on Monday might
feel meaningless by Friday. I once knew a man named Tom who was passionate
about five different things over the course of 10 years, photography, then
woodworking, then shortwave radio, then organic farming, then running his own
record shop. Each time he threw himself completely into his new passion,
convinced he had found his calling. Each time the passion faded, leaving him
feeling lost and wondering what was wrong with him. Nothing was wrong with Tom.
Tom was discovering what passion actually is. A temporary chemical reaction in
your brain, not a life GPS1 system.)
แต่นี่คือที่ซึ่งคำแนะนำให้คุณไล่ตามความหลงใหลปรารถนา
กลายเป็นอันตรายอย่างแท้จริง. มันชี้แนะว่างานควรจะมักทำให้รู้สึกไม่ต้องพยายามอะไรและมีความสุขไปด้วยเสมอ.
มันส่งเสริมสนับสนุนแนวคิดที่ว่าถ้าคุณไม่ตื่นขึ้นมาตื่นเต้นไปกับงานอาชีพของคุณในแต่ละทุกวัน,
คุณก็อยู่ในอาชีพการงานที่ผิด. นี้เป็นสิ่งไร้สาระอย่างสมบูรณ์สิ้น. ทุกงานอาชีพ,
แม้กระทั้งงานอาชีพตามฝัน, เกี่ยวข้องกับความน่าเบื่อหน่าย, ความน่าหงุดหงิดผิดหวัง,
และความน่ารำคาญ. (But here’s where the follow
your passion advice becomes truly dangerous. It suggests that work should
always feel effortless and joyful. It promotes the idea that if you’re not wake
up excited about your job every single day, you’re in the wrong career. This is
complete nonsense. Every job, even dream jobs, involves drudgery, frustration,
and tedium.)
พ่อครัวที่มีชื่อเสียงโด่งดังก็ยังคงต้องจัดเตรียมผักทั้งหลายเป็นชั่วโมง.
นักประพันธ์ผู้มีชท่อเสียงโด่งดังก็ยังคงต้องแก้ไขต้นฉบับร่างแรกที่แย่มากๆ. ผู้ประกอบกิจการที่ประสบสำเร็จทั้งหลายก็ยังคงต้องนั่งทนจนผ่านการประชุมที่ทึ่มโง่กันสุดๆและปรับงบดุลบัญชี.
การไล่ตามชุมนุมความหลงใหลปรารถนาของคุณทำให้คุณเชื่อว่าโลกโลกียะความเป็นจริงอันน่าเบื่อนี้หมายความว่าคุณไม่ได้กำลังมีชีวิตตามเป้าประสงค์ของคุณ.
แต่ถ้าความเป็นจริงของโลกโลกียะเป็นไปตามเป้าประสงค์อยู่ล่ะ? (The famous chef still has to prep
vegetables for hours. The celebrated novelist still has to edit terrible first drafts.
The successful entrepreneur still has to sit through dull meetings and balanced
ledgers. The follow your passion crowd would have you believe that this mundane
reality means you’re not living your purpose. But if the mundane reality is the
purpose?)
ขอให้ผมแบ่งปันเรื่องราวเกี่ยวกับผู้หญิงรายหนึ่งที่ชื่อซาราห์
ผู้รักการปรุงอาหารเป็นที่สุด. เธอได้ตัดสินใจที่จะไล่ตามความหลงใหลปรารถนาของเธอ
และเปิดภัตตาคารหนึ่ง. ภายใน 6 เดือน, เธอได้ค้นพบว่าการทำ/เปิดร้านอาหารหนึ่งนั้นได้เป็นอะไรที่เล็กน้อยกับการปรุงอาหาร
และทุกอย่างที่ต้องทำด้วยการบริหารจัดการทีมงาน, ทำบัญชีงบดุล, ตกลงกับผู้ส่งวัตถุดิบทั้งหลาย,
และทำความสะอาดบ่อดักไขมันทั้งหลายนั้น.
นี้ไม่ใช่อะไรที่ฉันหลงใหลปรารถนาถึง, เธอบ่น. แต่ซาราห์ได้ทำความผิดอย่างคลาสสิค.
เธอได้มีความรักที่สับสนในกิจกรรม, กับความรักในธุรกิจหนึ่งที่ได้สร้างขึ้นรอบๆกิจกรรมนั้น.
เธอได้มีความหลงใหลปรารถนาเกี่ยวกับการทำอาหาร,
ไม่ใช่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมภัตตาคาร. (Let me share a story about a woman
named Sarah who absolutely loved cooking. She decided to follow her passion and
open a restaurant. Within 6 months, she discovered that running a restaurant
had very little to do with cooking and everything to do with managing staff,
balancing books, dealing with suppliers, and cleaning grease traps. This isn’t
what I’m passionate about, she complained. But Sarah had made the classic
mistake. She had confused loving an activity with loving a business built
around that activity. She was passionate
about the cooking, not about the restaurant industry.)
มีความแตกต่างกันอย่างมหึมา.
นี้คืออีกปัญหาหนึ่งกับการไล่ตามความหลงใหลปรารถนาของคุณ.
มันสมมติว่าคุณได้รู้อยู่แล้วว่าความหลงใหลปรารถนาของคุณคืออะไร.
แต่ผู้ส่วนใหญ่ไม่รู้.
ผู้คนส่วนมากมีความสนใจ, ความใคร่รู้, และความชอบแบบเล็กๆน้อยๆทั้งหลาย,
แต่พวกเขาไม่ได้เผาความหลงใหลปรารถนาทั้งหลาย รอคอยที่จะถูกค้นพบ. และนั่นคือความปกติธรรมดาอันสมบูรณ์สิ้น.
ความคิดที่ว่าทุกคนมีความหลงใหลปรารถนาอันถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า. เสียงเรียกร้องจากจักรวาลบางอย่างได้ถูกเขียนลงไปในDNA, คือความลี้ลับอันทันสมัย. เพราะส่วนใหญ่ในประวัติศาสตร์มนุษย์, ผู้คนไม่ได้ไล่ตามความหลงใหลปรารถนาทั้งหลายของพวกเขา.
พวกเขาได้ไล่ตามสิ่งจำเป็นต้องการ. พวกเขาทำอะไรที่จำเป็นต้องทำให้แล้วเสร็จและบ่อยครั้งได้ค้นพบความหมายและความพึงพอใจในการทำมันได้ด้วยดี.
คุณย่าที่ยิ่งใหญ่บางทีไม่ได้ตื่นรู้ขึ้นมาวันหนึ่งและประกาศว่า, “ฉันหลงใหลปรารถนาในการเป็นช่างเย็บผ้า.”
เธอบางทีอาจกลายเป็นช่างเย็บผ้าเพราะว่ามีงานนั้นสามารถหาได้และแล้วก็ได้ค้นพบว่าเธอสามารถมีความภาคภูมิใจในความเป็นช่างฝีมือของเธอ,
ค้นพบชุมชนในหมู่สหายร่วมงานอาชีพทั้งหลาย และจัดสรรคุณค่าให้กับลูกค้าของเธอได้. (There’s
a massive difference. Here’s another problem with following your passion. It
assumes you already know what your passion is. But most people don’t. Most
people have interests, curiosities, and mild preferences, but they don’t have
burning passions waiting to be discovered. And that’s perfectly normal. The
idea that everyone has a predetermined passion. Some cosmic calling written in
their DNA, is a modern myth. For most of human history, people didn’t follow
their passions. They followed necessity. They did what needed to be done and
often found meaning and satisfaction in doing it well. Your great grandmother
probably didn’t wake up one day and declare, “I’m passionate about being a seamstress.”
She probably became a seamstress because there was work available and then discovered
that she could take pride in her craftmanship, find community among her colleagues
and provide value to her customers.)
เรื่องนี้นำเราไปยังญาณทัศน์เชิงลึกภายในอันสำคัญ.
ความหลงใหลปรารถนาบ่อยครั้งมักเป็นไปตามความเชี่ยวชาญของผู้นั้น,
ไม่เป็นไปในทางอื่นอ้อมๆ. พิจารณาจากปรมาจารย์ช่างไม้. ถามเขาว่าเมื่อไหร่ที่เขามีความหลงใหลปรารถนาเกี่ยวกับงานด้านช่างไม้,
และเขาก็อาจบอกคุณว่ามันได้เริ่มต้นเป็นแค่งานอาชีพ. แต่ในขณะที่เขาได้พัฒนาทักษะ,
ขณะที่เขาได้เรียนรู้ที่จะได้สร้างสรรค์สิ่งสวยงามทั้งหลายด้วยมือของเขา,
ขณะที่เขาได้รับการยอมรับในฝีมือช่างของเขา, นั่นคือเมื่อความหลงใหลปรารถนาได้โผล่ขึ้นมา.
ความหลงใหลปรารถนาไม่ได้นำเขาไปสู่ความเชี่ยวชาญ. แต่ความเชี่ยวชาญได้นำไปสู่ความหลงใหลปรารถนา.
นี่คือทำไมที่การไล่ตามความหลงใหลปรารถนาของคุณคือคำแนะนำกลับหลัง. มันชี้แนะคุณให้เริ่มต้นด้วยความหลงใหลปรารถนาและปล่อยให้มันนำทางคุณไปสู่ความสำเร็จ
แต่ในความเป็นจริงแล้วมันมักเป็นไปในทางตรงข้ามนั้น.
คุณเริ่มต้นด้วยความวิริยะพากเพียรพยายาม, พัฒนาทักษะ, ได้การยอมรับนับถือ,
และแล้วความหลงใหลปรารถนาก็ผุดโผล่ออกมาจากการเติบโตเชี่ยวชาญของคุณ. (This
brings us to a crucial insight. Passion often follows mastery, not the other
way round. Consider a master carpenter. Ask him when he became passionate about
woodworking, and he might tell you it started as just a job. But as he
developed skill, as he learned to create beautiful things with his hands, as he
gained recognition for his craftmanship, that’s when passion emerged. The
passion didn’t lead to mastery. Mastery led to passion. This is why follow your
passion is backwards advice. It suggests you start with passion and let it
guide you to success. But the reality is often the opposite. You start with
effort, develop skill, gain competence, and then passion emerges from your
growing mastery.)
ขอให้ผมบอกคุณเรื่องของเดวิด,
นักโปรแกรมคอมพิวเตอร์ผู้เกลียดงานอาชีพของเขาในตอน 3 ปีแรก. เขาได้ค้นพบการเขียนรหัสอันน่าเบื่อ,
การแก้ไขข้อผิดพลาดของโปรแกรมที่หน่าหงุดหงิด,
และการประชุมลูกค้าทั้งหลายอันระทมทุกข์. ด้วยการไปตามตรรกะความหลงใหลปรารถนาแรงกล้าของคุณ,
เขาน่าจะลาออกและได้ค้นพบสิ่งเพรียกหาของเขาอันแท้จริง. ทีละเล็กละน้อยที่เดวิดติดหล่มอยู่กับมัน.
อย่างสม่ำเสมอช้าๆ, เขาได้ดีขึ้น.
ปัญหาทั้งหลายที่ครั้งหนึ่งดูเหมือนเป็นไปไม่ได้กลายเป็นคลี่คลายแก้ไขลงได้.
รหัสที่ครั้งหนึ่งดูเหมือนพร่ำพล่อยไร้สาระกลายเป็นบทกวี.
ลูกค้าทั้งหลายผู้ที่ครั้งหนึ่งคุกคามทำให้เขาหวาดกลายเป็นผู้ทำงานร่วมกัน. 10
ปีถัดมา, เดวิดได้มีความหลงใหลปรารถนาอย่างแท้จริงในการเป็นการโปรแกรมคอมพิวเตอร์.
ไม่ใช่เพราะเขาได้เกิดมาเพื่อเรื่องรหัส, แต่เพราะเขาทำได้ดีกับมัน. และความสามารถก็ได้สร้างความมั่นใจ,
แต่ความมั่นใจก็ได้สร้างความหลงใหลปรารถนา. (Let me tell you about David, a
computer programmer who hate his job for the first 3 years. He found coding
tedious, debugging frustrating, and client meetings excruciating. By the follow
your passion logic, he should have quit and found his true calling. Bit David stuck
with it. Gradually, he got better. The problems that once seemed impossible
became solvable. The code that once looked like gibberish became poetry. The
clients who once intimidated him became collaborators. 10 years later, David is
genuinely passionate about programming. Not because he was born to code, but because
he became good at it. And competence breeds confidence, and confidence breeds
passion.)
นี่คือทัศคติอันตรายอีกอันหนึ่งของการไล่ตามความหลงใหลปรารถนา.
มันเป็นการยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง/ความเห็นแก่ตัว. มันทั้งหมดเกี่ยวกับคุณ,
ความรู้สึกทั้งหลายของคุณ, ความสนใจทั้งหลายของคุณ, ความสมปรารถนาของคุณ.
แต่ความหมายเต็มที่ของการทำงาน คือเกี่ยวกับการที่คุณรับใช้ผู้อื่นทั้งสิ้น,
คลี่คลายแก้ไขปัญหาทั้งหลาย, สร้างสรรค์คุณค่า. เมื่อคุณเพ่งสนใจไปกับการไล่ตามความหลงใหลปรารถนาของคุณ,
คุณกำลังถามอย่างจำเป็นยิ่งว่า, “อะไรที่โลกได้เป็นหนี้ฉันฺ?”
แต่เมื่อคุณเพ่งสนใจไปที่การพัฒนาทักษะ, และรับใช้ให้บริการผู้อื่นทั้งหลาย,
คุณกำลังถามว่า, “ฉันเป็นหนี้อะไรบ้างต่อโลก?” นั่นเป็นคำถามที่แตกต่างกันอย่าวงสิ้นเชิงและมันนำไปสู่คำตอบที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงด้วย. (Here’s another dangerous aspect of
passion following. It’s incredibly self-centered. It’s all about you, your feelings,
your interests, your fulfillment. But meaningful work is rarely about you
serving others, solving problems, creating value. When you focus on following
your passion, you’re essentially asking, “What does the world owe me?” But when
you focus on developing skills, and serving others, you’re asking, “What do I
owe the world?” That’s a completely different question and it leads to
completely different answers.)
ครั้งหนึ่งผมได้พบกับภารโรงคนหนึ่งชื่อ
โรเบิร์ต ผู้ที่ภาคภูมิใจเป็นพิเศษในงานของเขา. เขาไม่หลงใหลปรารถนาแรงกล้าอะไรเกี่ยวกับการทำความสะอาด
ว่าคือใครนอกจากที่เขาหลงใหลปรารถนาเกี่ยวกับการสร้างสรรค์สิ่งแวดล้อมที่ผู้คนอื่นสามารถเจริญเติบโตได้.
เขาได้มองเห็นบทบาทของเขามีความสำคัญ´เขาได้เป็นบุคคลผู้ที่ทำให้มันเป็นไปได้แก่แพทย์ทั้งหลายในการช่วยชีวิตทั้งหลาย,
แก่ครูทั้งหลายที่จะให้การศึกษาเด็กๆ, แก่นักค้นคว้าวิจัยทั้งหลายที่จะค้นพบสิ่งต่างๆ.
โรเบิร์ตได้ค้นพบความหมายไม่ไล่ตามความหลงใหลปรารถนาแรงกล้าของตน,
แต่โดยความเข้าใจว่างานของเขาได้รับใช้บริการบางอย่างที่ใหญ่โตกว่าตัวเขาเอง. (I once met a janitor named Robert who
took extraordinary pride in his work. He wasn’t passionate about cleaning who
is but he was passionate about creating environments where other people could
thrive. He saw his role as essential. He was the person who made it possible for doctors to save lives, for teachers to educate
children, for researchers to make discoveries. Robert had found meaning not by
following his passion, but by understanding how his working served something
larger than himself.)
ในขณะเดียวกัน, ผมได้รู้จักผู้คนจำนวนมากผู้ที่ได้ไล่ตามความหลงใหลปรารถนาทั้งหลายของพวกเขาเข้าไปสู่อาชีพการงานทั้งหลายที่ไม่ได้รับใช้ให้บริการใครเลยนอกจากตัวพวกเขาเอง
และได้กังขาว่าทำไมพวกเขาได้รู้สึกว่างเปล่าและไร้จุดประสงค์. การไล่ตามคำแนะนำเรื่องแรงหลงใหลปรารถนาก็ยังสร้างสรรค์อะไรที่ผมเรียกว่าความปรารถนาอันขัดแย้งกันในตนเอง.
ยิ่งคุณไล่ตามความหลงใหลปรารถนาอย่างหมดท่ามากเท่าไร,
ก็ยิ่งกลายเป็นถูกหลบหลีก/ยากจะเข้าถึงมากขึ้นเท่านั้น.
มันเหมือนกับการพยายามที่จะยากที่จะเข้าถึงยิ่งขึ้นจากแผนการตามธรรมชาติของคุณเอง.
(Meanwhile, I’ve known plenty
of people who followed their passions into careers that served no one but
themselves and wondered why they felt empty and purposeless. The follow your
passion advice also creates what I call the passion paradox2. The more
desperately you chase passion, the more elusive it becomes. It’s like trying to
fall asleep by thinking really hard about sleeping or trying to be spontaneous
by planning your spontaneity.)
ความหลงใหลปรารถนาแรงกล้า คือผลพลอยได้ของการมีปฏิสัมพันธ์/เกี่ยวข้องผูกพัน, ไม่ใช่ข้อกำหนดเบื้องต้นก่อนทำสิ่งนั้นๆ.
เมื่อคุณได้เกี่ยวข้องผูกพันอย่างเต็มที่ในอะไรบางอย่าง,
เมื่อคุณได้ถูกท้าทายแต่ไม่ได้จมอยู่กับภาระท่วมท้นนั้น,
เมื่อคุณกำลังเรียนรู้และกำลังเติบโต,
เมื่อคุณกำลังมีส่วนร่วมหรือสนับอะไรบางอย่างที่มีความหมายเต็มที่, ความหลงใหลปรารถนาบ่อยครั้งก็ผุดขึ้นมาตามธรรมชาติ.
ตาเมื่อคุณกำลังประเมินอย่างสม่ำเสมอไม่ว่าคุณจะรู้สึกหลงใหลปรารถนาเพียงพอหรือไม่,
กังขาสงสัยอย่างสม่ำเสมอว่าสิ่งนี้เป็นการเรียกร้องโหยหาที่แท้จริงของคุณหรือไม่,
คุณก็ยุ่งวุ่นวายเกินไปที่จะวิดเคราะห์ในการจะปฏิสัมพันธ์ตามความเป็นจริง. (Passion is a byproduct of
engagement, not a prerequisite for it. When you are fully engaged in something,
when you’re challenged but not overwhelmed, when you’re learning and growing,
when you’re contributing to something meaningful, passion often arises
naturally. But when you’re constantly evaluating whether you feel passionate enough,
constantly wondering if this is your true calling, you’re too busy analyzing to
actually engage.)
ให้ผมแบ่งปันคุณอีกเรื่องราวหนึ่ง. มาเรียเป็นครูผู้ที่ได้ใช้เวลาหลายปีกังขาใจว่าการศึกษาเป็นความหลงใหลปรารถนาแท้จริงของเธอหรือไม่.
เธออ่านหนังสือเรื่องงานอาชีพทั้งหลาย, ได้ทดสอบความถนัดทั้งหลาย,
เข้าร่วมการสัมมนาทั้งหลายเกี่ยวกับการค้นหาเจตจำนง/เป้าประสงค์ของคุณ.
เธอได้ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการพยายามที่จะคิดค้นหาออกมาให้ได้ว่าเธอได้หลงใหลปรารถนากับการสอนหรือไม่
จนได้ลืมที่จะสอนให้ดีไปตามความจริง. แล้วโรงเรียนก็ได้มอบหมายรับผิดชอบงานท้าทายกับชั้นเรียนเด็กพิเศษ
ซึ่งเป็นผู้ได้ล้มเหลวโดยระบบ, ผู้ซึ่งได้ยอมแพ้เอากับตัวพวกเขาเอง. มาเรียได้หยุดกังวลเกี่ยวกับว่าสิ่งนี้เป็นึความหลงใหลปรารถนาของเธอหรือไม่และเริ่มต้นกามรเพ่งสนใจไปที่ทำอย่างไรจะเข้าถึงเด็กนักเรียนทั้งหลายนี้.
เธอได้พัฒนากรรมวิธการสอนทั้งหลายแบบใหม่.
เธอได้อยู่ต่อนอกเวลาเรียนเพื่อสอนพิเศษเพิ่ม.
เธอได้เฉลิมฉลองเล็กๆในชัยชนะทั้งหลายและได้อดทนต่อความท้อถอยทั้งหลาย.
และที่ไหนสักแห่งในกระบวนการของการกลายเป็นยอดเยี่ยมกับงานอาชีพของเธอ,
เธอได้ค้นพบว่าเธอนั้นหลงใหลปรารถนาอย่างล้ำลึกกับมัน. แต่ความหลงใหลปรารถนาได้มาจากความยอดเยี่ยมนั้น,
ไม่ใช่โดยหนทางอื่นในทางกลับกัน. (Let
me share another story. Maria was a teacher who spent years wondering if education
was really her passion. She read career books, took aptitude tests, attended seminars
about finding your purpose. She was so busy trying to figure out if she was
passionate about teaching that she forgot to actually teach well. Then her
school assigned her to particularly challenging class children who had been
failed by the system, who had given up on themselves. Maria stopped worrying
about whether this was her passion and started focusing on how to reach these
students. She developed new teaching methods. She stayed after school for
tutoring. She celebrated small victories and persevered through setbacks. And somewhere
in the process of becoming excellent at her job, she discovered she was deeply
passionate about it. But the passion came from the excellence, not the other
way round.)
นี่คืออะไรที่เป็นเล่ห์หลอกจริงๆเกี่ยวกับการไล่ตามความหลงใหลปรารถนาของคุณเชิงจิตใจ.
มันชี้แนะว่าถ้าคุณไม่มีอารมณ์รู้สึกหลงใหลปรารถนา, คุณก็กำลังทำอะไรบางอย่างผิด.
สิ่งนี้สร้างสรรค์สามัญสำนึกอย่างคงที่สม่ำเสมอในความไม่พึงพอใจ, อาการที่เรียกกันว่าโรคไม่พึงพอใจในสิ่งที่ตนมีแอยู่.
คุณทำงานบัญชีอยู่, แต่คุณสงสัยว่าตนเองน่าจะเป็นครู. คุณกำลังเป็นครูอยู่,
แต่คุณสงสัยคุณน่าจะไปเขียนนวนิยายทั้งหลาย. คุณกำลังเขียนนวนิยายทั้งหลาย,
แต่คุณก็สงสัยว่าคุณน่าจะไปเริ่มต้นทำธุรกิจเล็กๆ. คุณกลายเป็นมีอาชีพนักท่องเที่ยว,
มักจะมองหาประสบการณ์ถัดไปข้าวงหน้าเสมอที่จะเป็นในที่สุกดได้ทำให้คุณรู้สึกในหนทางที่ตำราคำแนะนำนั้นได้สัญญาไว้ว่าคุณจะได้รู้สึก.
(Here’s what’s really insidious about the follow your passion
mentally. It suggests that if you’re not feeling passionate, you’re doing
something wrong. This creates a constant sense of dissatisfaction, a perpetual
grasses greener syndrome3. You’re working in accounting, but you wonder
if you should be a teacher. You’re a teacher, but you wonder if you should be
writing novels. You’re writing novels, but you wonder if you should be starting
a small business. You become a career tourist, always looking for the next experience
that will finally make you feel the way the advice books promised you should
feel.)
3 คำว่า
"Grass is Greener Syndrome" มาจากสำนวนภาษาอังกฤษ
"The grass is always greener on the other side of the fence" ซึ่งแปลว่า "สนามหญ้าของคนข้างบ้านมักจะเขียวกว่าของเราเสมอ"
แต่จะเป็นอะไรถ้าปัญหานั้นไม่ได้อยู่ที่งานอาชีพของคุณ?
จะเป็นอะไรถ้าปัญหานั้นคือการวาดหวังของคุณที่ว่างานควรจะเป็นที่รู้สึกอยู่ได้เสมอว่าสูงส่งขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง?
ความสัจจริงก็คือ, งานที่มีความหมายเต็มเปี่ยมส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับช่วงเวลาที่ยาวนานทั้งหลายของความพากเพียรในกิจวัตรประจำวัน
มีคั่นด้วยชั่วขณะเวลาหนึ่งของความปีติอยู่เป็นระยะๆ. นักประพันธ์นวนิยายก็ไม่ได้มีความหลงใหลปรารถนาได้ทุกวัน.
วันทั้งหลายส่วนใหญ่, การเขียนก็เหมือนการทำงาน. แต่เมื่อพวกเขาได้จบเสร็จไปบทหนึ่ง
ที่จับความตรงชัดตามอะไรที่เขากำลังพยายามที่จะพูด,
หรืออะไรที่ผู้อ่านบอกกับพวกเขาว่าหนังสือของพวกเขานั้นมีความหมายมากอย่างไรกับเขานั่นคือเมื่อความหลงใหลปรารถนาได้ปะทุพวยพุ่งขึ้น.
(But what if the problem isn’t
your career? What if the problem is your expectation that work should always
feel like a continuous high? The truth is, most meaningful work involves long
periods of routine effort punctuated by moments of genuine satisfaction. The
novelist isn’t passionate every day. Most days, writing feels like work. But
when they finish a chapter that captures exactly what they are trying to say, or
when a reader tells them how much their book meant to them, that’s when the
passion flares.)
ศัลยแพทย์ไม่ได้หลงใหลปรารถนาในระหว่างที่ดำเนินการไปตามทุกขั้นตอน.
อย่างมากของการผ่าตัดคืองานกิจวัตรประจำและเป็นเรื่องเทคนิค. แต่เมื่อพวกเขาได้ช่วยชีวิตหนึ่ง,
เมื่อทักษะของพวกเขาทำความแตกต่างขึ้นระหว่างความตายและการฟื้นคืนชีวิต,
นั่นคือเมื่อพวกเขาจดจำได้ว่าทำไทมพวกเขาทำอะไรที่พวกเขาทำอยู่. ความหลงใหลปรารถนาไม่ใช้สภาวะคงที่.
มันเป็นรางวัลชั่วครั้งชั่วคราวสำหรับความพากเพียรอย่างสม่ำเสมอ. ดังนั้น, ถ้าการไล่ตามความหลงใหลปรารถนาของคุณคือคำแนะนำที่เลว,
อะไรคือคำแนะนำที่ดีล่ะ? (The
surgeon isn’t passionate during every procedure. Much of surgery is routine and
technical. But when they save a life, when their skill makes the difference
between death and recovery, that’s when they remember why they do what they do.
Passion isn’t constant state. It’s an occasional reward for consistent effort.
So, if follow your passion is bad advice, what’s good advice?)
อย่างแรก, จงเฝ้าติดตามความพากเพียรของคุณ. อะไรที่คุณกำลังตั้งใจที่จะทำงานแม้ในตอนที่คุณไม่ได้รู้สึกชอบมันรึ?
ปัญหาอะไรที่คุณกำลังตั้งใจจะดิ้นรนต่อสู้ด้วย? อะไรที่ท้าทายซึ่งคุณได้เตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้อย่างซ้ำๆซากๆ?
ความตั้งใจของคุณที่จะทุกข์ทรมานเพื่อบางอย่างเป็นตัวชี้ที่ดีกว่ามากของอะไรที่คุณควรทำกับชีวิตของคุณมากกว่าความกระตือรือร้นชั่วขณะทั้งหลายของคุณ.
(First, follow your
effort. What are you willing to work at even when you don’t feel like it?
What problem are you willing to struggle with? What challenges are you prepared
to face repeatedly? Your willingness to suffer for something is a much better
indicator of what you should do with your life than your momentary enthusiasms.)
อย่างที่สอง, จงเฝ้าติดตามการเติบโตของคุณ. กิจกรรมทั้งหลายอะไรที่ทำให้คุณเป็นมนุษย์ที่ดีกว่านี้?
ความรู้อะไรที่ครั้งหนึ่งเคยได้รับมาและควรที่จะเพิ่มพูนความจุของคุณเพื่อที่จะได้จ่ายแจกออกไป?
การเติบโตสร้างสรรความเกี่ยวพันปฏิสัมพันธ์
และปฏิสัมพันธ์นั้นบ่อยครั้งก็ได้ผลิตสร้างความหลงใหลปรารถนาขึ้นมาเป็นเช่นผลกระทบข้างเคียง. (Second, follow your
growth. What activities make you better at being human? What skills once
developed would make you more useful to the world? What knowledge once gained
would increase your capacity to contribute? Growth creates engagement and
engagement often produces passion as a side effect.)
อย่างที่สาม, จงเฝ้าติดตามตามแรงกระทบ. งานอะไร, ถ้าคุณทำมันได้ดี, ที่จะทำให้ชีวิตผู้คนดีขึ้น?
ปัญหาทั้งหลายอะไร, ถ้าคุณได้คลี่คลายแก้ไขพวกมัน, ที่จะสร้าวงสรรค์คุณค่าที่แท้จริง?
การรับใช้บริการทั้งหลายอะไร, ถ้าคุณได้จัดหาให้พวกเขาอย่างดีเลิศ, ที่จะทำให้ผู้คนตั้งใจจะจ่ายให้เพื่อมัน?
เมื่อใดที่งานของคุณได้ให้บริการรับใช่ต่อผู้อื่นทั้งหลาย, ก็มีความหมายผุดขึ้นมาตามธรรมชาติ,
และความหมายนั้นเป็นไปไกลในความยั่งยืนมากยิ่งขึ้นกว่าความหลงใหลปรารถนา.
(Third, follow the impact. What work, if you did it
well, would make other people’s lives better? What problems, if you solved
them, would create genuine value? What services, if you provided them
excellently, would people willingly pay for? When your work serves others, meaning
emerges naturally, and meaning is far more sustaining than passion.)
ให้ผมบอกกับคุณเรื่องของเจนนิเฟอร์,
ผู้ได้เพิกเฉยทั้งหมดของคำแนะนำการเฝ้าติดตามความหลงใหลปรารถนาของคุณนี้,
และแทนที่ด้วยการเฝ้าติดตามความถนัดของเธอ. เธอเก่งในด้านตัวเลขทั้งหลาย,
ดังนั้นเธอได้กลายเป็นนักบัญชี, ไม่ใช่เพราะเธอหลงใหลปรารถนาเกี่ยวกับบัญชีแยกประเภททั้งหลาย,
แต่เพราะว่าเธอสามารถทำงานได้ดี. การทำงานเกินเวลาที่เธอได้เชี่ยวชาญในการช่วยเหลือธุรกิจเล็กๆทั้งหลายได้บริหารจัดการทางการเงินของตน. เธอได้ค้นพบว่าทักษะของเธอกับคัวเลขทั้งหลายสามารถช่วยเหลือธุรกิจครอบครัวทั้งหลายให้พ้นจากการล้มลาย/ธนาคารยึดทรัพย์สิน,
ช่วยผู้ประกอบกิจการทั้งหลายได้ออกตัวสู่ความฝันทั้งหลายของพวกเขา, ช่วยให้องค์กรการกุศลทั้งหลายได้รับใช้ผู้คนมากยิ่งขึ้น. (Let me tell you about Jennifer, who
ignored all the follow your passion advice and instead followed her aptitude. She
was good with numbers, so she became an accountant, not because she was
passionate about ledgers, but because she could do the work well. Overtime she
specialized in helping small businesses manage their finances. She discovered
that her skill with numbers could save family businesses from bankruptcy, help
entrepreneurs launch their dreams, enable charities to serve more people.)
งานของเธอได้กลายเป็นมีความหมายเต็มเปี่ยมไม่เพราะเธอได้มีความหลงใหลปรารถนาแรงกล้าใดเกี่ยวกับการบัญชี
แต่การบัญชีได้กลายเป็นหนทางของเธอแห่งการบริการรับใช้ผู้อื่นทั้งหลาย. และจากความหมายนั่น,
ความหลงใหลปรารถนาแรงกล้าก็ได้เติบโตขึ้นในที่สุด. เมื่อคุณหยุดการไล่ตามความหลงใหลปรารถนาและเริ่มต้นการพัฒนาความสามารถ/ความรอบรู้ของตน,
ความหลงใหลปรารถนาบ่อยครั้งมักจะค้นพบคุณ. เมื่อคุณหยุดการถามหาอะไรที่โลกสามารถให้แก่คุณและเริ่มต้นการถามว่าอะไรที่คุณสามารถให้แก่โลกได้,
เติมเต็มเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์. (Her
work became meaningful not because she was passionate about accounting but
accounting became her way of serving others. And from that meaning, genuine
passion eventually grew. When you stop chasing passion and start developing
competence, passion often finds you. When you stop asking what the world can
give you and start asking what you can give the world, fulfillment follows.)
ผู้คนส่วนใหญ่ซึ่งมีความหลงใหลปรารถนาที่ผมได้รู้จักนั้น
ไม่ได้ค้นพบความหลงใหลปรารถนาของพวกเขาได้ ด้วยการค้นหามัน. พวกเขาพบมันโดยการมุ่งมั่นที่จะเป็นเลิศในสิ่งใดสิ่งหนึ่งบางอย่างที่เป็นประโยชน์,
บางอย่างที่ได้รับใช้บริการต่อผู้อื่นทั้งหลาย, บางอย่างที่ไกด้ท้าทายพวกเขาที่จะเติบโตต่อไป.
แต่อะไรเกี่ยวกับเรื่องราวทั้งหลายเหล่านั้นของพวกเขาที่เราได้ยินของผู้คนผู้ซึ่งเฝ้าติดตามความหลงใหลปรารถนาของพวกเขาและกลายเป็นความสำเร็จอย่างแรงกล้าบ้างไหม?
ศิลปินผู้กลายเป็นมีชื่อเสียงโด่งดัง, ผู้ประกอบกิจการที่ได้ก่อสร้างบริษัทหนึ่ง,
นักกีฬาผู้ชนะได้รางวัลแชมเปี้ยนส์. (The
most passionate people I know didn’t find their passion by searching for it.
They found it by committing to becoming excellent at something useful,
something that served others, something that challenged them to grow. But what about
those stories we hear of people who followed their passion and became wildly successful?
The artist who became famous, the entrepreneur who built a company, the athlete
who won championships.)
นี่คือเรื่องราวทั้งหลายเหล่านั้นที่ได้ถูกมองข้ามไปเป็นปกติ.
ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้แค่เฝ้าไล่ตามความหลงใหลปรารถนาของพวกเขา.
พวกเขาก็ยังได้พัฒนาทักษะทั้งหลาย, คลี่คลายแก้ไขปัญหาทั้งหลาย, รับใช้บริการผู้ชม/ฟัง,
และบ่อยครั้งได้รับโชคดีเมื่อเวลามาถึง. ความหลงใหลปรารถนาของพวกเขาได้เป็นเช่นเชื้อเพลิง.
แต่ทักษะ, การรับใช้ให้บริการ, และยุทธวิธีนั้นคือเครื่องยนต์.
อย่างสำคัญยิ่งมากกว่า, สำหรับบุคคลที่มีความหลงใหลปรารถนาแล้วประสบสำเร็จ,
ก็ยังมีอีกหลายพันผู้ที่มีความหลงใหลปรารถนาที่ยังเฝ้าติดตามความหลงใหลปรารถนาอยู่แต่ยากจน,
เฝ้าติดตามความหลงใหลอยู่แต่อยู่นอกวง/ไม่ตรงประเด็น, มีความหลงใหลปรารถนาแต่ไม่สามารถที่จะพลิกเปลี่ยนความกระตือรือร้นของพวกเขาให้เป็นที่มีคุณค่าต่อผู้อื่นทั้งหลายได้เลย.
หลงใหลปรารถนาโดยปราศจากทักษะก็คือแค่ การบำบัดรนักษาราคาแพง. (Here’s
what those stories usually leave out. These people didn’t just follow their
passion. They also developed skills, solved problems, served audiences, and
often got lucky with timing. Their passion was the fuel. But
skill, service, and strategy were the engine. More importantly, for every passionate
person who succeeded, there are thousands who remained passionate but poor, passionate
but irrelevant, passionate but unable to turn their enthusiasm into value for
others. Passion without skill is just expensive therapy.)
คำแนะนำการเฝ้าติดตามความหลงใหลปรารถนาของคุณก็ยังทำให้คุณเพิกเฉยความเป็นจริงทางเศรษฐกิจ.
ในทางเศรษฐกิจที่ดำเนินไปด้วยดี, คุณได้รับค่าจ้างในการคลี่คลายแก้ไขปัญหาทั้งหลาย,
ไม่ได้ต่อการแสวงหาผลประโยชน์ทั้งหลายของคุณ.
คุณได้สร้างสรรค์คุณค่าด้วยการทำอะไรที่จำเป็นที่จะต้องทำให้เสร็จ,
ไม่ใช่อย่างจำเป็นในอะไรที่คุณต้องการทำ.
(The follow your passion advice also ignores economic reality.
In a functional economy, you get paid to solve problems, not to pursue your
interests. You create value by doing what needs to be done, not necessarily
what you want to do.)
นี้ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องทุกข์ใจกับการทำงาน.
แต่มันได้หมายถึงว่าการเพ่งสนใจเบื้องต้นของคุณนั้นควรกับการกลายเป็นใครบางคนผู้ที่สามารถคลี่คลายแก้ไขปัญหาทั้งหลายอย่างมีคุณค่าได้.
นี่คือความสุดท้ายของผมกับเรื่องนี้. คือแทนที่การเฝ้าติดตามความหลงใหลปรารถนาของคุณ,
เราจงมาปล่อยให้ความหลงใหลปรารถนาได้เฝ้าติดตามคุณมากันเถิด. มุ่งมั่นที่จะกลายเป็นเลิศกับบางอย่างที่มีคุณค่าต่อโลก.
พัฒนาทักษะทั้งหลายที่จะบริการรับใช้ผู้อื่นทั้งหลาย. เกี่ยวพันอย่างลึกล้ำกับปัญหาท้าทายทั้งหลาย. (This doesn’t mean you have to be
miserable at work. But it does mean that your primary focus should be on
becoming someone who can solve valuable problems, not on firing work that feels
like play. Here’s my final thought on this. Instead of following your passion,
let your passion follow you. Commit to becoming excellent at something the
world values. Develop skills that serve others. Engage deeply with challenging
problems.)
ในขณะที่คุณสร้างความรอบรู้สามารถ,
ในขณะที่คุณสร้างสรรค์คุณค่า, ในขณะที่คุณมองเห็นผลกระทบของงานของคุณที่มีต่อชีวิตทั้งหลายของผู้คนอื่น,
ความหลงใหลปรารถนาจะผุดอุบัติขึ้นมาเองอย่างธรรมชาติ, ไม่เป็นเช่น ข้อกำหนดเบื้องต้นล่วงหน้าของการทำงานที่ดี,
แต่เป็นเช่นรางวัลสำหรับการทำงานดีอย่างสม่ำเสมอเมื่อเวลาผ่านไป. เป้าหมายนั้นคือไม่ใช่การค้นหางานที่คุณรักจากวันแรก.
เป้าหมายคือที่จะทำงานนั้นให้ได้ดีจนกระทั่งคุณในท้ายสุดไม่สามารถช่วยได้นอกจากรักมัน,
แลละอย่างสำคัญมากขึ้นยิ่งกว่า, คือการที่ผู้อื่นทั้งหลายรักในคุณค่าที่คุณได้สร้างสรรค์ขึ้น.
(As you build competence, as
you create value, as you see the impact of your work on other people’s lives,
passion will emerge naturally, not as a prerequisite for good work, but as a
reward for doing good work consistently over time. The goal isn’t to find work
you love from the first day. The goal is to do work so well that you eventually
can’t help but love it, and more importantly, that others love the value you create.)
ดังนั้น, จงลืมไปเสียถึงการเฝ้าติดตามความหลงใหลปรารถนาของคุณ.
แทนที่จะเป็นเช่นนั้น, จงเฝ้าติดตามความพยายามพากเพียรของคุณ, เฝ้าชติดตามความเติบโตของคุณ,
เฝ้าติดตามผลกระทบที่ได้รับมาของคุณ. ปล่อยให้ความหลงใหลปรารถนาเป็นเช่นดอกไม้,
ไม่มีราก. ทำเช่นนี้และคุณอาจจะค้นพบบางอย่างที่ดีกว่าความหลงใหลปรารถนานั้นๆ.
เป้าประสงค์. และเป้าประสงค์, ไม่เหมือนเช่นความหลงใหลปรารถนา,
ไม่ได้จางเลือนหายไปเมื่อรุ่งเช้าวันจันทร์มาถึง. เป้าประสงค์ได้นำคุณลุกขึ้นจากเตียงนอนไม่เพราะว่าคุณรู้สึกชอบมัน,
แต่เพราะว่าโลกจำเป็นต้องการอะไรที่คุณต้องเสนอให้. และนั่นอย่างเป็นที่ผิดธรรมดาซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของหนทางความหลงใหลปรารถนา
ที่คุณมีชีวิตในทั้งหมด. (So, forget about following your passion.
Instead, follow your effort, follow your growth, follow your impact. Let
passion be the flower, not the root. Do this and you might discover something
better than passion. Purpose. And Purpose, unlike passion,
doesn’t fade when Monday morning arrives. Purpose gets you out of bed not
because you feel like it, but because the world needs what you have to offer.
And that paradoxically is the most passionate way you live of all.)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น