หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2568

แจ็ค หม่า - เหตุผลแท้จริงที่อเมริกาหวาดกลัวจีน

แจ็ค หม่า - เหตุผลแท้จริงที่อเมริกาหวาดกลัวจีน

The Real Reason America Fears China – Jack Ma Breaks the Silence

          https://youtu.be/gTU2qgFube8?si=ZKubMV3Yw91tGXW1

          คุณต้องการที่จะรู้ว่าทำไม อเมริกา หวาดกลัว จีน? มันไม่ได้เกี่ยวกับกำแพงภาษีสินค้านำเข้า. มันไม่ได้เกี่ยวกับ หัวเว่ย. มันไม่ได้เกี่ยวกับ ติ้ค ต้อค, เรือดำน้ำ, บอลลูนสายลับ, ดาวเทียมสอดแนมทั้งหลาย. เหล่านั้นคือระดับผิวหน้าของเกมทั้งหลาย. เหตุผลที่แท้จริงนั้นลึกลงไปยิ่งกว่ามาก, เก่าแก่ยิ่งกว่า, และอันตรายไปไกลยิ่งไปกว่านั้น.  (You want to know why America fear China? It’s not about tariffs. It’s not about Huawei. It’s not about TikTok, submarines, spy ballons, or surveillance satellites. Those are surface level games. The real reason is much deeper, much older, and far more dangerous.)

          มันเป็นเพราะอเมริกาสำคัญเข้าใจบางอย่างถึงมันอย่างไม่เข้าใจอย่างเต็มที่. และอะไรที่คุณไม่เข้าใจ, คุณเริ่มต้นที่จะหวาดกลัว. ขอให้ผมพังทลายความเงียบนั้น.  (It’s because America senses something it doesn’t fully understand. And what you don’t understand, you start to fear. Let me break the silence.)

          คุณรู้มั้ย, เมื่อตอนที่ผมเป็นหนุ่ม, ผมคิดว่าอำนาจนั้นคือเงิน. ว่าถ้าคุณแค่ทำเงินได้เพียงพอของมัน, ผู้คนก็จะนับถือเคารพคุณ. ประเทศทั้งหลายจะจับสั่นมือกับคุณและโลกก็จะฟังเมื่อคุณพูด. แต่ผมได้ผิดไป. เพราะว่าความสัจจริงก็คือ, โลกไม่ได้หวาดกลัวเงิน. มันกลัวการชุมนุมเคลื่อนไหว. มันหวาดกลัวอะไรที่เติบโตเมื่อมันได้ถูกคาดหวังเอาไว้. อะไรที่ทนทานต่อความยากลำบากและยังคงแข็งแรงยิ่งขึ้นไปอีก. อะไรที่ถูกประเมินไว้ต่ำ ๆและได่ปฏิเสธที่จะเล็ก.  (You know, when I was younger, I thought power was about money. That if you just made enough of it, people would respect you. Countries would shake your hand and the world would listen when you spoke. But I was wrong. Because the truth is, the world doesn’t fear money. It fears movement. It fears what it cannot control. It fears what grows when it’s not supposed to. What endures hardship and still gets stronger. What was underestimated and refused to stay small.)

          นั่นคือทำไมพวกเขาจึงหวาดกลัวจีน.  (That’s why they fear China.)

          ไม่ใช่เพราะเราร่ำรวย, ไม่ใช่เพราะเทคโนโลยีของเรา, แต่เพราพะภายหลังหลายศตวรรษมาของการถูกล่อเลียนดูหมิ่น, เราได้ยืนหยัดและเราไม่ได้หดหัวสะดุ้ง. คุณเห็นมั้ย, ความหวาดกลัวไม่ได้เริ่มต้นที่สนามรบ. มันเริ่มต้นที่ในห่อมประชุมคณะกรรมการทั้งหลาย, ในห้องเรียนทั้งหลาย, ในห้องประชุมการเมืองทั้งหลาย, ในห่องนั่งเล่นทั้งหลาย.   (Not because we’re rich, not because of our technology, but because after centuries of humiliation, we stood up and we didn’t flinch. You see, fear doesn’t start on the battlefield. It starts in the boardroom, in classrooms, in policy rooms, in living rooms.)

          มันเริ่มต้นเมื่อคุณมองเห็นฝ่ายตรงข้ามของคุณกำลังคิดอย่างแตกต่างออกไป, ก่อสร้างอย่างแตกต่างออกไป, เคลื่อนที่ไปในขณะที่คุณกำลังยืนอยู่กับที่. และนั่นคืออะไรที่เป็นต้นตอความวิตกกังวลของชาวตะวันตก. พวกเขาไม่ได้หวาดกลัวอะไรที่จีนเป็น. พวกเขาหวาดกลัวในการที่จีนได้แสดงให้เห็นปรากฎ. เพราะว่าถ้าเราลุกขึ้นพ้นจากความยากจนสู่อำนาจ, จากจลาจลวุ่นวายสู่ระเบียบสงบเรียบร้อย โดยปราศจากการกลายไปเป็นเหมือนเช่นพวกเขา, แล้วทุกสิ่งที่พวกเขาไปบอกกับตัวพวกเขาเองเกี่ยวกับความเป็นที่สุดยอด, อารยธรรม, อิสรภาพและความก้าวหน้า, ทันก็เริ่มเขย่าสั่นคลอน. (It starts when you see your opponent thinking differently, building differently, moving when you’ve been standing still. And that’s the root of the West’s anxiety. They don’t fear what China is. They fear what China represents. Because if we can rise from poverty to power, from chaos to order without becoming like them, then everything they told themselves about superiority, civilization, freedom and progress, it starts to shake.)

          คุณรู้ไหทมว่าอะไรจริงๆที่ทำให้พวกเขาหวาดกลัว?   (You know what really scares them?)

          วินัย.  ไม่ใช่รถถัง, ไม่ใช่ขีปนาวุธทั้งหลาย. วินัยครับ. (Discipline. Not tanks, not missiles. Discipline.)

          นั่นคืออาวุธของคนจีน ไม่มีใครต้องการที่จะพูดคุยถึง. ไม่ใช่ 5G, ไม่ใช่ติ้ค ต้อค, ไม่ใช่การเกินดุลการค้า.(That’s the Chinese weapon no one wants to talk about. Not 5G, not Tik Tok, not trade surplus.)

          ผมกำลังพูดถึงผู้คนหนุ่มสาวหลายล้านคนผู้ที่ตื่นขึ้นมาตอนตี 5, ฝึกจิตสมาธิตนเอง, เรียนอย่างหนัก, กินน้อย, บ่นน้อย, และนั่นมันไม่ได้เกี่ยวกับทุกวันนี้. มันเกี่ยวกับ 20 ปีต่อจากนี้ไป. ในตะวันตก, พวกเขาเรียกมันว่าการกดขี่. ในจีน, เราเรียกการเตรียมความพร้อม. และอะไรที่บังเกิดขึ้นเมื่อประชาชาติหนึ่งเล่นแสดงเพื่อศตวรรษข้างหน้า และอีกฝ่ายอื่นไม่สามารถเพ่งสนใจอื่นใดพ้นไปจากการเลือกตั้งครั้งต่อไป?  (I’m talking about the millions of young people who wake up at 5:00 A.M., train their mind, study hard, eat less, complain less, and that it’s not about today. It’s about 20 years from now. In the West, they call it oppression. In China, we call it preparation. And what happens when one nation plays for the next century and another can’t focus past the next election?)

          นั่นคืออะไรที่ความหวาดกลัวดูเหมือนเช่นนั้น. พวกเขาหวาดกลัวความเงียบ, ยุทธศาสตร์, การปฏิเสธที่จะมีปฏิกิริยาโดยใช้อารมณ์, ความอดทนมีขันติของวัฒนธรรมหนึ่งที่ได้รอคอยหลายพันของปีที่จะรุ่งเรืองอีกครั้ง.  ให้ผมบอกอะไรคุณบางอย่าง. ผู้คนในอเมริกาไม่ได้ต้องการที่จะได้ยินว่าสงครามเย็นไม่ได้จบลงด้วยเสียงตูมตาม. มันได้จบลงด้วยความอบอุ่นสบาย. (That’s what fear looks like. They fear the silence, the strategy, the refusal to react emotionally, the deep patience of a culture that has waited thousands of years to rise again. Let me tell you something. People in America don’t want to hear the Cold War didn’t end with a bang. It ended with comfort.)

          พวกเขาชนะสงครามและได้สูญเสียความมีวินัย.  พวกเขาได้โลกและแล้วได้ยื่นส่งมันไปสู่ความบันเทิงฟุ้งซ่าน, แบ่งแยก, และ โดปามีน - สารสื่อประสาท. และในขณะที่พวกเขาได้กำลังโต้เถียงกันอยู่ในเรื่องสรรพนามของเพศสภาพ และรายการของ Netflixทั้งหลาย, เรากำลังสอนเด็กๆของเราในคณิตศาสตร์, วินัย, และภาษาแมนดาริน. ผมรู้ว่าคำพูดเหล่านี้จะทำให้ใครบางคนโกรธ.  (They won the war and lost the discipline. They had the world and then handed it over to distraction, division, and dopamine1. And while they were arguing over Gender pronouns and Netflix2-shows, we are teaching our kids math, discipline, and Mandarin. I know these words will make some people angry.)

          1 โดปามีน (Dopamine) คือ สารสื่อประสาท (Neurotransmitter) ที่ผลิตในสมอง มีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของสมองหลายด้าน เช่น ความจำ แรงจูงใจ อารมณ์ การเคลื่อนไหว การเรียนรู้ และเป็นสารเคมีที่เกี่ยวข้องกับความสุขและความพึงพอใจ โดยระดับโดปามีนที่ไม่สมดุลอาจส่งผลต่อปัญหาสุขภาพจิต เช่น โรคซึมเศร้า โรคสมาธิสั้น (ADHD) หรือโรคพาร์กินสัน 

            2 Netflix คือบริการสตรีมมิงแบบสมัครสมาชิกที่นำเสนอภาพยนตร์ รายการทีวี อนิเมะ และสารคดีหลากหลายประเภท โดยสมาชิกสามารถรับชมเนื้อหาได้บนอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจำนวนมาก เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต และทีวี ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดเนื้อหาบางส่วนเพื่อรับชมแบบออฟไลน์ได้ และสามารถยกเลิกการสมัครสมาชิกได้ทุกเมื่อ 

          ก็ดี. เพราะว่ามีเพียงการโกรธต่อความจริงเท่านั้น เมื่อความสัจจริงแตะต้องบางอย่างคุณก็หวาดกลัวที่จะยอมรับมัน. และนี่คือความเป็นจริง.  (Good. Because you only get angry at the truth when the truth touches something you’re afraid to admit. An here’s the reality.)

          คนอเมริกันหวาดกลัวจีน ไม่ได้เกี่ยวกับลัทธิคอมมิวนิสต์. ไม่ใช่การควบคุมสอดส่องบุคคล. มันไม่ใช่แม้กระทั่งเกี่ยวกับเศรษฐกิจ. มันเกี่ยวกับการเติบโตขึ้นของความสงสัยหวาดระแวงในจิตสำนึกตะวันตกที่อาจจะ, พวกเขาไม่ได้เป็นศูนย์กลางของโลกอีกต่อไปแล้ว เพราะว่าศูนย์กลางได้เปลี่ยนย้ายไป. อำนาจไม่ได้ถูกวัดขนาดที่ความเสียงดังอีกต่อไป. มันถูกวัดที่ความนิ่ง. ไม่ใช่ที่ผู้ตะโกนมากที่สุดบน Twitter, แต่ที่คือผู้ที่สามารถเคลื่อนไปด้วยความเงียบมากที่สุด.  (The American fear of China not about Communism3. It’s not surveillance4. It’s not even about economics. It’s about this growing suspicion in the western subconscious that maybe, just maybe, they’re not the center of the world anymore because the center has shifted. Power is no longer measured by loudness. It’s measured by stillness. Not by who yells the most on Twitter, but by who can move the most in silence.)

          3https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B9%8C

          4 "surveillance" (เซอเวเลินซฺ) แปลว่า การเฝ้าระวัง หรือ การตรวจตรา หมายถึง การสังเกตหรือควบคุมดูแลบุคคลหรือเหตุการณ์อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ที่ต้องสงสัยหรือเพื่อป้องกันอันตราย 

 

          นั่นคือเกมของจีน. และอเมริกา, พวกเขายังคงคิดว่ามันคือการประชันความโด่งดังมีชื่อเสียงกันอยู่. พวกคุณไม่ได้ชนะในสงครามอันยาวนานด้วยการเป็นไวรัลแพร่หลายอย่างรวดเร็ว. คุณชนะมันโดยการไม่ถูกมองเห็นอีกต่อไป. (That’s China’s game. And America, they still think it’s a popularity contest. You don’t win a long war by going viral5. You win it by going invisible until you don’t need to be invisible anymore.)

          5 "By going viral" แปลว่า "กลายเป็นไวรัล" หรือ "แพร่หลายอย่างรวดเร็ว" โดยเฉพาะบนอินเทอร์เน็ต หมายถึงเนื้อหา เช่น โพสต์ วิดีโอ หรือรูปภาพ ได้รับความนิยมอย่างมากและแพร่กระจายไปอย่างก้าวกระโดดผ่านการแชร์ของผู้คนจำนวนมหาศาลในช่วงเวลาสั้นๆ. 

ให้ผมอธิบายบางอย่างเป็นเรื่องส่วนตัว. ในวันเวลาตอนต้นๆของอะลีบาบา, ไม่มีใครเชื่อในมัน. คนอเมริกันหัวเราะ. นักลงทุนทั้งหลายได้บอิกว่าเราไม่สามารถขยายขนาดได้. นั่นคือเราจนเกินไป, ไม่เป็นองค์กรเกินไป, ถอยหลังมากเกินไป. แต่อะไรที่พวกเขาไม่ได้มองเห็นก็คือ จิตวิญญาณแห่งจีนที่อยู่เบื้องหลังเรา. การถูกโม่บด, การอับอาย เปลี่ยนไปเป็นเชื้อเพลิง. ความทรงจำแห่งบรรพบุรุษเราทั้งหลายซึ่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าของรองเท้าบู้ตจักรวรรดินิยมทั้งหลายในตอนนี้กระซิบว่า, “อย่าให้พวกเขาพังทะลายพวกเจ้าได้อีก.” นั่นคืออะไรที่สร้างพลบังให้เรา. นั่นคืออะไรที่ยังคงสร้างพลังให้กับเรา. และนั่นคืออะไรที่ตะวันตกจะไม่มีวันได้เข้าใจอย่างเต็มเปี่ยม.  (Let me explain something personal. In the early days of Alibaba, no one believed in us. American laughed. Investors said we couldn’t scale. That we were too poor, too disorganized, too backwards. But what they didn’t see was the Soul of China behind us. The grind, the shame turn fuel. The memory of our ancestors kneeling in front of colonial boots now whispers, “Don’t let them break you again.” That’s what powered us. That’s what still powers us. And that is what the West will never fully understand.)

นี่ไม่ใช่เรื่องของชายคนหนึ่งหรือบริษัทหนึ่ง. นี้คือความเป็นอารยธรรม. มันไม่ได้เกี่ยวกับจีน ปะทะ อเมริกา. มันเกี่ยวกับความยืดหยุ่นปรับตัว ปะทะ การถือสิทธิ์ฐานะ, วิสัยทัศน์ ปะทะ ความฟุ้งซ่าน, การเสียสละ ปะทะ อารมณ์รู้สึก. อเมริกาเคยเข้าใจถึงเรื่องนั้น. พวกเขาเคยสร้างทางรถไฟทั้งหลาย, ไม่ใช่ผู้ติดตามหลัง. พวกเขาเคยฝันถึงอวกาศ, ไม่ใช่ยอดดู ติ้ค ต้อค. พวกเขาเคยทำงานหนักและพูดน้อย. แต่ที่ไหนสักแห่งความหิวนั้นได้ตายลงไป.   (This isn’t about one man or one company or one administration. This is civilizational. It’s not about China versus America. It’s about resilience versus entitlement, vision versus distraction, sacrifice versus sensation. America used to understand that. They used to build railroads, not followers. They used to dream of space, not Tik Tok views. They used to work hard and say less. But somewhere the hunger died.)

ในขณะเดียวกัน, เราได้มีความหิว. และในตอนนี้, พวกเขาได้หวาดกลัวเรา. ไม่ใช่เพราะว่าเรามีอาวุธยุทโธปกรณ์ดีกว่า, แต่เพราะว่าพวกเขารู้สึกลึกลงไปว่า, เราอาจจะมีชุดความคิดที่ดีกว่า. นั่นคืออะไรที่คอยทำให้พวกเขาตื้นอยู่ในตอนกลางคืน. เพราะว่าถ้าชุดความคิดเอาชนะเงิน, ถ้าความมีวินัยเอาชนะประชาธิปไตย, ถ้าวิสัยทัศน์เอาชนะปริมาณ, แล้วบางที, มุกอย่างที่พวกเขาได้เชื่อเกี่ยวกับอำนาจนั้นผิด. ดังนั้น, พวกเขาจะพยายามที่จะยกเลิกเรา, ล้อเลียนเรา, คว่ำบาตรเรา, เบี่ยงเบนผู้คนของพวกเขาด้วยการโหมรณรงค์ความหวาดกลัวทั้งหลาย, แต่พวกเขาสามารถยกเลิกความมีวินัยได้แค่นั้น.  (Meanwhile, we got hungry. And now they fear us. Not because we have better weapons, but because they feel deep down, we might have a better mindset6. That’s what keeps them up at night. Because if mindset beats money, if discipline beats democracy, if vision beats volume, then maybe, just maybe, everything they believed about power was wrong. So, they’ll try to cancel us, mock us, sanction us, distract their people with fear campaigns, but they can cancel discipline.)

6 Mindset แปลว่า กรอบความคิด หรือ ทัศนคติ หมายถึง ชุดความคิด ความเชื่อ และมุมมองที่มีต่อสิ่งต่างๆ ซึ่งฝังลึกอยู่ในจิตใจและชี้นำพฤติกรรมและการตัดสินใจของบุคคล โดย Mindset นี้หล่อหลอมขึ้นจากประสบการณ์ การศึกษา และสิ่งแวดล้อมในชีวิต และมีอิทธิพลอย่างมากต่อวิธีที่เราคิด รู้สึก และปฏิบัติต่อโลกและตัวเอง 

คุณไม่สามารถคว่ำบาตรวิสัยทัศน์. คุณไม่สามารถขึ้นบัญชีดำความคิดที่เวลาของมันได้มาถึง. และความคิดนั้นเรียบง่าย. ตะวันออกไม่ได้แค่กำลังรุ่งเรือง. ตะวันออกกำลังจดจำว่าใครเป็นมัน? และเมื่อความทรงจำนั้นกลายเป็นอัตลักษณ์และอัตลักษณ์นั้นได้กลายเป็นการเคลื่อนไหว/การขับเคลื่อน. โลกก็จะเปลี่ยนย้าย.  (You can’t sanction vision. You can’t blacklist an idea whose time has come. And the idea is simple. The East is not just rising. The East is remembering who it is. And when that memory becomes identity and that identity becomes movement. The world will shift.)

ไม่ได้อย่างรุนแรง, ไม่ได้อย่างดังอึกทึก, แต่อย่างมองไม่เห็นได้. นั่นคือทำไมพวกเขาถึงหวาดกลัวจีนเพราะว่าพวกเขารู้ว่าแม้ว่าพวกเขาจะไม่ยอมรับว่าเราได้หยุดการเล่นเกมของพวกเขาไปแล้วและได้ก่อสร้างของเราเอง. คุณรู้มั้ยว่าอะไรอันตรายมากยิ่งกว่าประเทศหนึ่งที่มีอาวุธ? ประเทศที่มีความทรงจำไงล่ะ. ประเทศที่จดจำถึงความอัปยศอดสูไม่ใช่เป็นเช่นบาดแผลแต่เป็นเช่นเหตุผล. (Not violently, not loudly, but inevitably. That’s why they fear China because they know even if they don’t admit that we already stopped playing their game and started building ours. Do you know what’s more dangerous than a country with weapons? A country with memory. A country that remembers humiliation not as a wound but as a reason.)

เห็นมั้ย, อเมริกาหวาดกลัวจีน ไม่ใช่เพราะว่าการเจริญรุ่งเรืองของเรา แต่เพราะอะไรที่การเจริญรุ่งเรืองของเราได้เปิดเผยขึ้นมา. มันเปิดออกบางอย่างซึ่งพวกเขาไม่ต้องการที่จะยอมรับ. ว่าความมีวินัยสามารถแทนที่ประชาธิปไตยได้. ว่าความมีระเบียบสามารถอยู่ได้นานกว่าความโกรธแค้น. และนั่นคือมรดก เอาชนะรูปแบบการใช้ชีวิต. (See, America fears China not because of our rise but because of what our rise reveals. It exposes something they don’t want to admit. That discipline can replace democracy. That order can outlast outrage. And that legacy beats lifestyle.)

ให้ผมพูดบางอย่างที่อุกอาจ. พวกเขาหวาดกลัวเราก็คืออะไรที่พวกเขาเคยเป็น. ย้อนกลับไปเมื่ออเมริกาได้สร้างทางรถไฟทั้งหลายที่เชื่อมต่อมหาสมุทรทั้งหลาย. เมื่อครั้งที่พวกเขาได้ฝันถึงดวงจันทร์, ไม่ใช่ metaverse. เมื่อพวกเขาได้เลี้ยงดูลูกหลานให้ทำงานหนัก, เคารพผู้อาวุโสทั้งหลาย, และเชื่อถือในบางอย่างที่ใหญ่โตกว่าตัวพวกเขาเอง. แต่ที่ไหนสักแห่งพวกเขาได้เสพติดอยู่กับความสะดวกสบาย และในตอนนี้พวกเขามองดูที่จีนเหมือนดูกระจกเงา และพวกเขาเกลียดอะไรที่พวกเขาเห็น เพราะว่าเราไม่ได้ลอกเลียนแบบพวสกเขาอีกต่อไปแล้ว. เรากำลังเติบโตพ้นเลยไปจากพวกเขา.  (Let me say something boldly. They fear we are what they used to be. Back when America built railways that connected oceans. When they dreamt of the moon, not the metaverse7. When they raised their children to work hard, respect elders, and believe in something bigger than themselves. But somewhere they got addicted to comfort and now they look at China like a mirror and they hate what they see because we’re not copying them anymore. We’re outgrowing them.)

7https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%AA

และเมื่ออดีตพวกนักเรียนของคุณได้เริ่มต้นการเขียนตำราของพวกเขาเอง, ที่คุณทำได้คือร่วมเฉลิมฉลองยินดีไปกับเขาหรือว่าหวาดกลัวพวกเขา. อเมริกาเลือกที่จะหวาดกลัวและทำให้พวกคุณเป็นโรคประสาทหวาดระแวงภัย. นั่นคือทำไมพวกเขามองว่าจีนแอยู่ในเงามืด. ทุกๆเซมิคอนดัคเตอร์คือการคุกคาม. ทุกๆแอพลิเคชั่นสื่อสังคมคือจารกรรม. ทุกๆท่าเรือ, ทุกๆดาวเทียม, ทุกการลงทุน, ทันทีทันใดนั้นมันก็ไม่ใช่นวัตกรรม, มันคือการแทรกซึม.   (And when your former student starts writing his own book, you either celebrate him or fear them. America chooses fear and makes you paranoid. That’s why they see China in every shadow. Every semiconductor8 is a threat. Every social app is espionage. Every port, every satellite, every investment, suddenly it’s not innovation, infiltration.)

8https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B6%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%B3

แต่บอกกับผมที, ใครกันที่แท้จริงซึ่งหวาดกลัวถึงใครๆ? ถ้าคุณค่าของคุณทั้งหลายนั้นแข็งแกร่ง, แล้วทำไมคุณกำลังประกาศห้ามแอพทั้งหลาย?  วัฒนธรรมของคุณเป็นแม่เหล็ก, ทำไมคนหนุ่มสาวของคุณถึงหันไปหาตะวันออกเพื่อความมีวินัย? ถ้าเศรษฐกิจของคุณสูงส่งสุดยอด, ทำไมเศรษฐีพันล้านทั้งหลายของคุณมองมาที่เฉินเจิ้นเพื่อประกอบกิจการอย่างลับๆ? นี่คือความสัจจริง.  (But tell me, who is really afraid of whom? If your values are strong, why are you banning apps? If your culture is magnetic, why are your youth turning east for discipline? If your economy is so superior, why do your billionaires look to Shenzhen for manufacturing secrets? Here’s the truth.)

ไม่มีใครต้องการที่จะพูดออกมาดังๆ, ว่าความหวาดกลัวของอเมริกานั้นเป็นเรื่องทางจิตวิทยา. มันไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับว่าจีนขโมยความคิดทั้งหลาย. มันเกี่ยวกับเรื่องที่จีนสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ. และนั่นเขย่าโลกเก่า เพราะเป็นครั้งแรกสิ่งที่ถูกเรียกว่าโลกอิสระได้ต้องยอมรับว่าบางทีอิสรเสรีภาพเพียงลำพังนั้น ไม่ได้ผลิตสร้างความยิ่งใหญ่. บางทีเป็นการเพ่งสนที่ทำ. บางทีเป็นการเสียสละที่ทำ. บางทีเป็นความทรงจำที่ว่าคุณมาจากไหนเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าการลืมอะไรที่คุณเป็นหนี้.  (No one wants to say out loud, America’s fear is psychological. It’s not about China stealing ideas. It’s about China creating new ones. And that shakes the old world because for the first time the so-called free world has to admit maybe freedom alone doesn’t produce greatness. Maybe focus does. Maybe sacrifice does. Maybe remembering where you came from matters more than forgetting what you owe.)

เมื่อผมเดินไปตามถนนทั้งหลายของเบ่ยจิงหรือหางโจว. ผมไม่ได้มองเห็นผู้คนถูกครอบงำความคิดกับตะวันตก. ผมเห็นคนรุ่นนี้ถูกครอบงำด้วยแรงกระทบ. พวกเขาไม่สาใจในฮอลลีวูด. พวกเขาสาใจในหัวเว่ย. พวกเขาไม่ได้ไล่ตามวาทกรรมเรื่องความยุติธรรมทางสังคม. พวกเขาไล่ตามเจตจำนงของชาติ. คุณเห็นมั้ย, ตะวันตกนั้นได้เลี้ยงดูคนรุ่นหนึ่งขึ้นมาให้เชื่อว่าอารมณ์รู้สึกทั้งหลายคือความเป็นจริงทั้งหลาย. เราเลี้ยงดูของเราให้เชื่อว่าความจริงทั้งหลายต้องการการกระทำ. พวกเขาเลี้ยงดูเด็กๆของเขาผู้อาจจะพูดน้อยแต่ทำอะไรบางอย่างได้จริง. (When I walk the streets of Beijing or Hangjo. I don’t see people obsessed with the west. I see a generation obsessed with impact. They don’t care about Hollywood. They care about Huawei. They don’t chase social justice slogans. They chase national purpose. You see, the West raised a generation to believe that feelings are facts. We raise ours to believe that facts require action. They raise kids who question everything, but build nothing. We raise kids who may say little but make something real.)

ผมพูดเช่นนี้ไม่ใช่ด้วยความโอ้อวดโอ่ เพราะผมรักอเมริกาที่ครั้งหนึ่งผมเคยได้เยือน. อเมริกานั้นที่มีการคิดค้นใหม่ที่ไม่ได้มีการเลียนแบบ. อเมริกาให้แรงบันดาลใจที่ไม่ได้ยุยง. แต่อเมริกากำลังจางหายไปและความหวาดกลัวก็เข้ามาแทนที่วิสัยทัศน์. คุณรู้ไหมว่าความหวาดกลัวทำอะไร? มันแบ่งแยก. สื่ออเมริกาไม่ได้ให้ข้อมูล. มันแพรเชื้อโรค. มันสร้างโปรแกรมความหวาดกลัว, ความเข้าใจผิด, และโรคหวาดผวา. ทุกๆการพาดหัวข่าวก็คือ จีนคุกคาม.   (I say this not with arrogance but with sorrow because I love the America I once visited. The America that innovated not imitated. The America that inspired not incited. But America is fading and fear is replacing vision. Do you know what fear does? It divides. America’s media doesn’t inform. It infects. It programs fear, mistrust, and hysteria. Every headline is China threat.)

ทุกการอุบัติขึ้นในอิทธิพลจีนคือเครื่องหมายเตือนภัย. พวกเขาไม่ได้พูดมัน, แต่ความตื่นตระหนกของพวกเขาได้เผยให้เห็น. พวกเขามักคิดว่าได้มีดวงอาทิตยอยู่เสมอ. และในตอนนี้พวกเขาตระหนักรู้ว่าตะวันออกมีพระอาทิตย์ขึ้นของตัวมันเอง. ให้ผมบอกแก่คุณเรื่องหนึ่ง. ในปี 1990, เมื่อผมได้เริ่มต้นในอพาร์ตเม้นท์ของผม, เราไม่มีอะไรเลย, ไม่มีเงิน,ไม่มีโครงสร้างเทคโนโลยี, ไม่มีโลกานุวัฒน์สนับสนุน. แต่เรามีสิ่งหนึ่ง. ที่ตะวันตกไม่ได้คาดหวังคือเจตจำนง/จุดประสงค์. และเจตจำนง/จุดประสงค์เป็นเหมือนต้นไผ่. มันเติบโตอย่างเงียบๆ. มันเอนลู่ไปตามพายุทั้งหลาย. และแล้ววันหนึ่งมันก็ยิงขึ้นอย่างรวดเร็ว, แข็งแรง, ไม่ถูกสั่นคลอนได้. (Every rise in Chinese influence is a warning sign. They don’t say it, but their panic reveals it. They thought they’d always be the sun. And now they realize the East has its own sunrise. Let me tell you a story. In 1999, when I started Alibaba in my apartment, we had nothing, no money, no tech infrastructure, no global support. But we had one thing. The West didn’t expect purpose. And purpose is like bamboo. It grows quietly. It bends in storms. And then one day it shoots up fast, strong, unshakable.)

นั่นคือการอุบัติขึ้นมาของจีน. และนั่นคืออะไรที่พวกเขาหวาดกลัวเพราะว่ามันไม่ได้มีเสียงดัง. มันซื้อไม่ได้. มันไม่ได้ถูกอนุญาต. คุณไม่สามารถห้ามนำเข้าเจตจำนง/จุดประสงค์ได้. คุณไม่สามารถคว่ำบาตรแรงผลักดันได้. คุณไม่ส่ามารถข่มขู่ให้หวาดกลัว ต่อผู้คนที่ได้ลิ้มรสความอดอยากและได้เรียนรู้ในการอยู่รอดชีวิตได้โดยปราศจากการช่วยเหลืออย่างไรมาแล้ว. ดังนั้น, ในตอนนี้เมื่อจีนพูด, อเมริกาผงะสะดุ้ง. (That’s China’s rise. And that’s what they fear because it wasn’t loud. It wasn’t bought. It wasn’t granted. You can’t embargo purpose. You can’t sanction momentum. You can’t intimidate people who have already tasted starvation and learned how to survive without help. So, now when China speaks, America flinches.)

ไม่เพราะว่าคำพูดทั้งหลายของเรานั้นก้าวร้าว, แต่เพราะว่าพวกมันได้เปิดเผยความจริงที่ลึกลงไปยิ่งกว่า. เราไม่ได้ต้องขออนุญาตกันอีกต่อไป. เราไม่ได้รอการตรวจสอบ. เราไม่ได้กำลังก่อสร้างในเงาของพวกเขา. เรากำลังกลายเป็นมีแสงสว่างของตัวเอง. และบางที, แค่บางที, นั่นคืออะไรทีทำความหวาดกลัวพวกเขามากที่สุด. เพราะว่าถ้าจีนสามารถลุกขึ้นมาได้, ดังนั้นอาฟริกาก็สามารถทำได้. ถ้าจีนสามารถสร้างสรรค์ระเบียบขึ้นมาได้โดยไม่มีการจลาจลวุ่นวาย, บางทีละติน อเมริกาจะจดจำบันทึกเอาไว้.  (Not because our words are aggressive, but because they reveal a deeper reality. We’re not asking permission anymore. We’re not waiting for validation. We’re not building in their shadow. We are becoming our own light. And maybe, just maybe, that’s what scares them most. Because if China can rise, so can Africa. If China can create order without chaos, maybe Latin America will take notes.)

ถ้าจีนสามารถอนุรักษ์สงวนจารีพประเพณีได้ ในขณะที่เป็นสัดส่วนกับนวัตกรรม,บางทีเอเซ๊ยตะวันออกเฉียงใต้จะไม่ลอกเลียนตะวันตกอีกต่อไป. นั้นเป็นความหวาดกลัวที่แท้จริงซึ่งจีนอาจเป็นแค่แบบพิมพ์เขียว, ไม่ใช่ตัวผีร้าย.  ให้ผมพูดเช่นนั้นอีกครั้ง. พวกเขาไม่ได้หวาดกลัวความมีอำนาจเหนือกว่าของจีน. พวกเขาหสวาดกลัวการเป็นตัวอย่างของจีนเพราะว่าทันกระซิบต่อโลกว่ามีหนทางอื่นอีก. คุณไม่ได้ต้องคุกเข่าให้กับการหารหนี้ หรือ การอนุญาตจากตะวันตก. คุณสามารถลุกขึ้นมาได้ด้วยศักดิ์ศรี, ด้วยความเป็นตัวของตัวเอง, ด้วยความมีวินัย.   (If China can preserve tradition while scaling innovation, maybe Southeast Asia won’t imitate the West anymore. That’s the real fear that China might be a blueprint, not a boogeyman. Let me say that again. They don’t fear China’s dominance. They fear China’s example because it whispers to the world there’s another way. You don’t have to kneel to debt division or western permission. You can rise with dignity, with identity, with discipline.)

ในตอนนี้ฝ่ายตะวันตกพยายามที่จะสร้างความสับสนสิ่งนี้ด้วยลัทธิอำนาจนิยม. พวกเขาบอกว่าจีนทีการควบคุมมากเกินไป. แต่อะไรที่พวกเขาเรียกว่าการควบคุมที่เราเรียกว่าการอยู่ร่วมกันอย่างมีเหตุผล. อะไรที่พวกเขาเรียกว่าการเซนเซอร์/การตรวจห้าม เราเรียกว่าการรับผิดชอบ. อะไรที่พวกเขาเรียกการสอดส่องตรวจตรา, เราเรียกว่าการปกป้องคุ้มครอง. เพราะอะไรที่เลวร้ายยิ่งขึ้น, คือรัฐบาลที่เฝ้าดูเกินไป หรือสังคมที่เฝ้าดูทุกอย่างนอกจากการพังพาบลงของตัวมันเอง.  (Now the West tries to confuse this with authoritarianism9. They say China controls too much. But what they call control we call coherence. What they call censorship we call responsibility. What they call surveillance, we call protection. Because what’s worse, a government that watches too much or a society that watches everything except its own collapse.)

9https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%AD%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%A1

 

บอกผมมที, ทันดีกว่าไหมที่จะเป็นอิสระที่จะแตกแยกกัน หรือการมีวินัยที่จะลุกขึ้นมาด้วยกัน? เหล่านี้คือคำถามทั้งหลายที่อเมริกาหวาดกลัว. เพราะถ้าโลกเริ่มต้นที่จะถามพวกเขา, คำตอบทั้งหลายอาจจะไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบของตะวันตกอีกต่อไป. ดังนั้น, พวกเขาจึงตีตราประทับเราว่าเป็นเผด็จการ, กดขี่ข่มขู่, คอมมิวนิสต์. แต่ลืมไปว่าตราประทับทั้งหลายไม่ได้หยุดยั้งความจริง. เรื่องเล่าขานบรรยายทั้งหลายไม่ได้เปลี่ยนแปลงแรงโน้มถ่วง. และหวาดกลัวไม่ได้หยุดยั้งอนาคต. อนาคตเป็นของเหล่าผู้ที่สร้าง. และผู้สร้างทั้งหลายไม่ได้ร้องขอการรับรองยอมรับ. พสวกเขาไม่ได้หยุดที่จะอธิบาย. พวกเขาแค่เคลื่อนไปเงียบๆ, อย่างต่อเนื่อง, อย่างมีกลยุทธ. (Tell me, is it better to be free to fall apart or disciplined to rise together? These are the questions America fears. Because if the world starts asking them, the answers might not favor the West anymore. So, they label us dictators, threats, communist. But the forget labels don’t stop reality. Narratives don’t change gravity. And fear won’t stop the future. The future belongs to those who build. And builders don’t beg for approval. They don’t pause to explain. They just move quietly, persistently, strategically.)

นั่นคือจีน. นั่นคืออำนาจใหม่. และยิ่งตะวันตกตะโกนมากขึ้นเท่าใด, ก็ยิ่งที่พวกเขาเปิดเผยความตื่นกลัวของพวกเขามากขึ้น. เพราะว่าเมื่อบัลลังก์กำลังเขย่าสั่น, พระราชาก็มักจะกรีดร้องออกมาดังที่สุด. คุณก็รู้, ผมได้ใช้เวลาหลายปีในการศึกษาโลก, ไม่ใช่แค่ธุรกิจ, ไม่ใช่แค่จีน, แต่ธรรมชาติของมนุษย์.  (That’s China. That’s the new power. And the more the West shouts, the more they reveal their panic. Because when the throne is shaking, the king always screams the loudest. You know, I’ve spent years studying the world, not just business, not just China, but human nature.)

และอะไรที่ผมได้ตระหนักรู้คือสิ่งนี้. กำลังที่แข็งแรงที่สุดในโลก ไม่ใช่ความมั่งคั่งร่ำรวย, ไม่ใช่อาวุธ, ไม่ใช่แม้กระทั่งปัญญา. มันคืออัตลักษณ์/ความเป็นตัวของตัวเอง. เมื่อผู้คนสูญเสรยอัตลักษณ์/ตัวตนของเขาไป, พวกเขาก็จะติดตามใครคนใดผู้ที่ให้พวกเขาสักอันหนึ่ง, แม้ว่ามันจะถูกสร้างขึ้นมาจากความโกหก.  (And what I’ve realized is this. The strongest force in the world is not wealth, not weapons, not even wisdom. It’s identity. When people lose their identity, they will follow anyone who gives them one, if it’s built on lies.)

เมื่อประชาชาติหนึ่งสูญเสียจิตวิญญาณของมัน, มันแขวนห้อยอยู่กับอัตตาของมัน. นี้คือที่อเมริกาจึงตกอยู่ในวิกฤตการณ์. มันไม่ใช่เศรษฐกิจ. มันไม่ใช่การเมือง. มันเป็นอัตถิภาวนิยม/ การยึดตนเป็นที่ตั้ง. พวกเขาไม่อีกต่อไปที่เห็นด้วยกับอะไรที่มันหมายถึงการจะเป็นอเมริกัน. มันคือเสรีภาพรึ? การเป็นผู้นำรึ? ไม่มีใครรู้อีกต่อไปแล้ว. และเช่นนั้นเอง, พวกเขามองดูจีนและมันทำให้พวกเขากลัว เพราะว่าจีนไม่เคยลืมว่ามันเป็นใคร. เราคืออาณาจักรตรงกลาง. (When a nation loses its soul, it clings to its ego. This is why America is in crisis. It’s not economic. It’s not political. it’s existential10. They no longer agree on what it means to be American. Is it liberty? Is it equality? Is it dominance? Nobody knows anymore. And so, they look at China and it scares them because China never forgot who it was. We were the middle kingdom11.)

10https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%96%E0%B8%B4%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%A1

11 https://www.quora.com/One-of-the-names-for-ancient-China-was-the-Middle-Kingdom-Why-do-we-then-call-it-Chinese-Empire-instead-of-Kingdom-of-China-Wouldn-t-the-usage-of-Empire-imply-that-it-was-a-collection-of-conquered-states-people

ไม่ใช่บน, ไม่ใช่ล่าง, แค่ตรงกลาง. นั่นคืออัตลักษณ์ของเรา และเราได้ปกป้องมันมาแม้มีการปฏิวัติ, ความอดอยาก, การรุกราน, การเย้ยหยัน. เรายังคงยึดกุมอยู่ในภาษาของเรา, ระบบครอบครัวของเรา, แนวตวามคิดของโชคชะตาร่วมกัน. ไท่ได้อย่างสมบูรณ์, ไม่ได้ปราศจากแผลเป็น, แค่อย่างคงเส้นคงวา. และในตอนนี้ความคงเส้นคงวานั้นกำลังออกดอกออกผล.  (Not above, not below, just centered. That’s our identity and we’ve protected it even through revolution, famine, invasion, humiliation. We held on to our language, our family system, our concept of collective destiny. Not perfectly, not without scars, but consistently. And now that consistency is bearing fruit.)

เห็นมั้ย, เทื่อคุณรู้ว่าคุณคือใคร, คุณก็เคลื่อนที่ไปอย่างแตกต่าง. คุณก่อสร้างอย่างเงียบๆ. คุณลงทุนมนระยะยาว. คุณฟังมากกว่าที่คุณตะโกน. นั่นคืออะไรที่คุณเห็นในจีนทุกวันนี้. มันไม่เกี่ยวกับเรื่องการลอกเลียนแบบตะวันตก. มันเกี่ยวกับการจดจำความเป็นตัวเราได้. และอย่างแดกดัน, มันคือความทรงจำของเราที่ฝ่ายตะวันตกหวาดกลัวมากที่สุด. เพราะว่าประเทศหนึ่งที่จดจำได้ว่ามันในอดีคสามารถไม่มีวันได้ถูกควบคุมเต็มที่ได้อีก. คุณสามารถทำให้มันช้าลงได้, หน่วงเหนี่ยวมันได้, ล้อเลียนมันได้, แต่คุณไม่สามารถลบมทันทิ้งไปได้.  (See, when you know who you are, you move differently. You build quietly. You invest long term. You listen more than you shout. That’s what you see in China today. It’s not about copying the West. It’s about remembering us. And ironically, It’s our memory that the West fears most. Because a country that remembers its past can never be fully controlled. You can slow it, delay it, mock it, but you can’t erase it.)

นั่นคืออะไรที่กำลังบังเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้. จีนกำลังจนจำได้ถึงตำแหน่งแห่งหนของมัน, ไม่ใช่เพื่อที่จะมีอิทธิพลเหนือ, แต่เพื่อที่จะดำรงอยู่อย่างปราศจากความละอาย. และนั่นในโลกที่ได้ก่อสร้างขึ้นบนความภาคภูมิใจของตะวันตกที่ดูเป็นเหมือนการกบฏ. มันไม่ใช่การกบฏ. มันคือการปรับการสมดุลใหม่. มันคือเราที่กำลังพูดว่าเราไม่จำเป็นที่จะเป็นเหมือนพวกคุณที่จะต้องได้รับการเคารพนับถือ. เราไม่ได้จำเป็นต้องการระบบของคุณถึงจะประสบสำเร็จ. เราไม่จำเป็นต้องการการอนุญาตจากคุณที่จะลุกขึ้นมา. นี้คือสงครามที่ไม่ได้พูดกันถึงในวันนี้.  (That’s what’s happening now. China is remembering its place, not to dominate, but to exist without shame. And that in a world built on western pride is seen as rebellion. But it’s not rebellion. It’s rebalancing. It’s us saying we don’t need to be like you to be respected. We don’t need your systems to be successful. We don’t need your permission to rise. This is the unspoken war today.

ไม่ใช่รถถัง ปะทะ ขีปนาวุธ, แต่เป็นการแต่งเรื่องเล่า ปะทะ ความทรงจำ. หนึ่งด้านพยายามที่จะสร้างความน่าอับอายให้กับอีกด้านอื่นเพื่อให้ยอมจำนน. อีกด้านอื่นก็ได้ก่อสร้างอย่างง่ายๆจนกระทั่งความน่าอับอายไม่ได้เป็นสาระสำคัญอีกต่อไป. และให้ผมบอกกับคุณบางอย่าง. สิ่งที่คนอเมริกันส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าใจจีน. จีนไม่ได้ต้องการสงคราม. เราต้องการความเคารพนับถือ. เราต้องการสันติสุข. แต่ต้องไม่ใช่ในราคาซึ่งต้องจ่ายด้วยศักดิ์ศรี. (Not tanks vs missiles, but narrative versus memory. One side tries to shame the other into submission. The other side simply builds until the shame no longer matters. And let me tell you something. Most Americans don’t understand. China does not want war. We want respect. We want peace. But not at the cost of dignity.)

นั่นคือเหตุผลที่ตะวันตกหวาดกลัวเรา. เพราะว่าพวกเขารู้ว่าเมื่อใดที่จีนอ้างเสียงที่ถูกต้องเต็มเปี่ยมของตนว่าคือโลก. โลกก็จะเริ่มต้นถามคำถามทั้งหลาย. คำถามทั้งหลายเหมือนเช่นว่า ทำไม 1/4 พันล้านผู้คนไว้วางใจในระบบที่คนภายนอกเรียกว่า การกดขี่? ทำไมชนชั้นกลางของจีนกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ในอเมริกากำลังพังพาบพินาศ? ทำไมนักเรียน/นักศึกษาจีนทั้งหลายมีวินัย ในขณะที่คนหนุ่มสาวอเมริกันกำลังจมลงไปในความสับสนในตัวตน/อัตลักษณ์ของพวกเขา?  (That’s the real reason the West fears us. Because they know once China claims its rightful voice is the world. The world will start asking questions. Questions like why do 1/4 billion people trust a system that outsiders call oppressive? Why is China’s middle class exploding while America’s is collapsing? Why are Chinese students disciplined while American youth are drowning in identity confusion?)

และนี่คือคำถามที่สร้างความไม่สบายอกสบายใจมากที่สุดของทั้งหมด. อะไรจะเกิดขึ้นถ้าเราเข้าใจผิดเกี่ยวกับจีน? ไม่ใช่แค่ทางการเมือง, แต่ในปรัชญา, ในการเป็นพ่อแม่, ในเศรษฐกิจ, ในคุณค่าทั้งหลาย. นั่นคือความหวาดกลังที่ดำรงอยู่ซึ่งคนตะวันตกไม่สามารถพูดออกมาดังๆได้ เพราะมันคือการคุกคามต่อฐานรากแห่งความภาคภูมิในไปทั่วโลกของพวกเขา. แต่โลกกำลังตื่นขึ้นมา. อาฟริกากำลังเฝ้าดู. โลกมุสลิมกำลังเฝ้าดู.   (And here’s the most uncomfortable question of all. What if we were wrong about China? Not just in politics, but in philosophy, in parenting, in economics, in values. That’s the existential fear the West can’t say out loud because it threatens the foundation of their global pride. But the world is waking up. Africa is watching. Latin America is watching. The Muslim world is watching.)

พวกเขาไม่ได้แค่มองดูว่าใครมีเงิน. พวกเขามองไปที่ใครคือผู้ที่มีความหมาย. และความหมาย, เพื่อนทั้งหลายของผม, ไม่ได้มีวางขายในร้านของชำ. มันไม่ได้มีตรายี่ห้อฮอลลีวูดฺ. มันไม่ได้โฆษณาในช่วงพักการแข่งขันซุเปอร์โบว์ล. ความหมาบถูกสร้างขึ้นโดยการมีวินัย, โดยการเสียสละ, โดยวิสัยทัศน์ในแต่ละรุ่นอายุ. นั่นคืออะไรที่เราได้ก่อสร้างขึ้นมาอย่างเงียบๆ, ในแต่ละวัน, อย่างศรัทธา.  (They’re not just looking at who has money. They’re looking at who has meaning. And meaning, my friends, is not sold in stores. It’s not branded by Hollywood. It’s not advertised during Super Bowl commercials. Meaning is built by discipline, by sacrifice, by generational vision. That’s what we’ve been building silently, daily, faithfully.)

และไม่ว่าจะเสียงดังแค่ไหนที่ตะวันพยายามจะให้คำจำกัดความแก่เรา, จีนก็กำลังเขียนเรื่องราวของตัวมันเองในตอนนี้. นั่นคืออะไรที่ทำให้พวกเขาหวาดกลัว. พรรคสำหรับคำทั้งหลายอย่างใกล้เคียง. ในท้ายที่สุดในวิสัยทัศน์, เอกภาพ. คำปราศรัย, ปิด. ทีนี้, ให้ผมพูดในฐานที่ไม่ใช่เป็นแค่คือแจ็ค หม่า, แต่คือผู้ที่ได้เกินไปทั้งสองโลก. ผมเคยไปที่ซิลิคอน วัลเลย์. ผมเคยไปยืนที่ดาโฟส. ผมเคยได้สั่นมือกับผู้นำทั้งหลายจากทุดทวีป. และผมได้เรียนรู้หนึ่งสิ่ง. อนาคต ไม่ใช่ ตะวันออก ปะทะ ตะวันตก.   (And no matter how loudly the West tries to define us, China is writing its own story now. That’s what makes them afraid. Party for closing words. Final vision, unity, vice, rivalry, legacy, speech, close. Now, let me speak not just as Jack Ma, but as a man who has walked both worlds. I’ve been in Silicon Valley12. I’ve stood on Davos13. I’ve shaken hands with leaders from every continent. And I’ve learned one thing The future is not East vs West.)

12https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8B%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B9%8C

13 ดาโฟส (เยอรมันDavos)[3] หรือ ตาเวา (รูมันช์Tavau) เป็นเทศบาลในรัฐเกราบึนเดิน ทางภาคตะวันออกของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ด้วยความสูงกว่า 1,560 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลทำให้ดาโฟสเป็นเมืองที่อยู่สูงที่สุดในยุโรป[4] มีประชากรถาวรราว 11,136 คน (ค.ศ. 2014) ดาโฟสเป็นสถานที่จัดประชุมสภาเศรษฐกิจโลก ซึ่งจัดการประชุมขึ้นทุก ๆ ปี และยังเป็นหนึ่งในแหล่งสถานตากอากาศสกีที่ใหญ่ที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์

มันเป็นวินัย ปะทะ ฟุ้งซ่าน. มรดก ปะทะ กดLikes, ก่อสร้าง ปะทะ ตะโกนกล่าวหา ทั้งหลายนั้น. มันไม่เกี่ยวกับว่าใครควบคุมดินแดนมากกว่า. มันเกี่ยวกับว่าใครควบคุมจิตใจของพวกเขา, นิสัยของพวกเขา, ชะตากรรมของพวกเขา.  จีนเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาไม่ใช่เพราะเราเป็นที่สมบูรณ์, แต่เพราะว่าเราได้เพ่งความสนใจ. เราได้เลี้ยงดูเด็กๆของเราที่จะรับใช้บริการต่อความฝันที่ใหญ่โตกว่าตัวพวกเขาเอง. เรายกย่องให้เกียรติต่อความอาวุโส. เราให้คุณค่ากับเวลา, จารีตประเพณี, และความตึง. ใช่, ความตึงเพราะว่ามันคือแรงกำลังการเติบโต. เปรียบเทียบนั่นกับอะไรที่ฝ่ายตะวันตกได้ป้อนคนเหนุ่มสาวของพวกเขาด้วยวิกฤตการณ์ของความสับสน, สิทธิ, อัตลักษณ์/ตัวตน.  (It’s discipline vs distraction. Legacy vs Likes, builder vs blame shouters. It’s not about who controls more land. It’s about who controls their mind, their habits, their destiny. China is rising not because we’re perfect, but because we are focused. We raise kids to serve a dream bigger than themselves. We honor the elderly. We value time, tradition, and tension. Yes, tension because it forces growth. Compare that with what the West is feeding its youth confusion, entitlement, identity crisis.)

นั่นคืออิสรภาพหรือคือรูปของความเสื่อมทางวัฒนธรรม? ในตอนนี้, ผมไม่ได้กำลังพูดว่าเราดีกว่า. แต่ผมกำลังพูดอันนี้. โลกไม่ได้จำเป็นต้องการครูคนเดียวอีกต่อไป. มันจำเป็นต้องการนักเรียนทั้งหลายมากมายและครูทั้งหลายมากมาย. และบางทีมันถึงเวลาที่ตะวันตกได้ฟัง, ไม่ใช่สอนแนะ, เพราะว่าพลังอำนาจในยุค 2025 ไม่ได้เป็นอะไรอย่างที่มันเคยเป็น. มันไม่เกี่ยวกับอาวุธปรมาณูทั้งหลาย. มันไม่ได้เกี่ยวกับว่าคุณเป็นเจ้าของธนาคารมากเท่าใด. มันไม่ได้เกี่ยวกับว่าคุณมีฐานทัพทางทหารมากเท่าใด. มันเกี่ยวกับว่าใครสามารถที่จะอยู่รอดจากจราจลวุ่นวายทั้งหลายโดยปราศจากสูฯเสียจิตซิญญาณของพวกเขา.  (Is that freedom or a form of cultural decay? Now, I’m not saying we are better. But I am saying this. The world doesn’t need one teacher anymore. It needs many students and many teachers. And maybe it’s time the West listened, not lectured, because power in 2025 is not what it used to be. It’s not about nuclear arms. It’s not about how many banks you own. It’s not even about your military bases. It’s about who can survive chaos without losing their soul.)

จีนได้รอด. จีนได้รอคอย. จีนได้ถูกล้อเลียน, เข้าใจผิด, และถูกบิดเบือนความจริง. เราไม่ได้ตอบโต้ด้วยความแค้น. เราตอบสนองด้วยผลลัพธ์ทั้งหลาย. รได้ก่อสร้างและเราจะรักษาการก่อสร้างอยู่ต่อไป ไม่ได้เพื่อเป็นผู้นำโลก แต่เพื่อที่จะสร้างสมดุลมันเพราะว่าโลกจำเป็นต้องการความสมดุลในตอนนี้.  (China has survived. China has waited. China has been mocked, misunderstood, and misrepresented. But we didn’t retaliate with revenge. We responded results. We built and we will keep building not to dominate the world but to balance it because the world needs balance now.)

ไม่ใช่สงครามเย็นอีกอื่น, ไม่มีการพาดหัวข่าวสร้างความหวาดกลัวตื่นตระหนกมากขึ้นไปอีก, แต่เป็นหุ้นส่วนอย่างถ่อมตน, สนทนากัน. โลกจำเป็นต้องการที่จะจดจำว่าอำนาจไม่ได้อยู่ในการตะโกนเสียงดัง. มันคือการฟัง. มันอยู่ในการรับใช้ให้บริการ. มันอยู่ในความเข้าใจว่าคุณเป็นใครและอยู่ในความศรัทธาต่อมัน. ดังนั้น, ผมจบข่าวสารนีเด้วความสัจจริง. คุณไม่สามารถหยุดผู้คนผู้ที่กำลังก่อสร้างอนาคตของพวกเขา, ไม่ใช่เพื่อการล้างแค้น, ไม่ใช่เพื่ออัตตา/ตัวตน, แค่เพื่อความมีเกียรติ.  (Not another cold war, not more fear mongering headlines, but humility, dialogue, partnership. The world needs to remember that power is not in shouting. It’s in listening. It’s in serving. It’s in understanding who you are and staying faithful to it. So, I end this message with a truth. You cannot stop people who are building their future, not for revenge, not for ego, but for honor.)

และนั่นคืออะไรที่จีนกำลังทำ. เราไม่ได้อยู่ที่นี่เพื่อทำลาย. เราไม่ได้อยู่ที่นี่เพื่อลุกขึ้น, ไม่ได้ที่จะมาแทนที่ใครคนใด, แต่ที่จะตอบแทนยังผู้ที่เราได้เป็นอยู่เสมอ. และถ้านั่นสร้างความหวาดกลัวแก่คุณ, บางทีปัญหาไม่ได้เป็นที่เรา. บางทีความหวาดกลัวนั่นคือกระจกเงา, และอะไรที่คุณมองเห็นในมันก็คืออะไรที่ความปรารถนาของคุณที่ยังคงได้มีอยู่. ขอบคุณครับ.  (And that’s what China is doing. We’re not here to destroy. We’re here to rise, not to replace anyone, but to return to who we’ve always been. And if that scares you, maybe the problem isn’t us. Maybe the fear is a mirror, and what you see in it is what you wish you still had. Thank you.)

 https://youtu.be/gTU2qgFube8?si=p4g04SsAZ7FxJ4_-

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น