หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2568

ริชาร์ด วูลฟ์ฟ – “อะไรที่จีนเพิ่งได้พิสูจน์ จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง”

ริชาร์ด วูลฟ์ฟ – “อะไรที่จีนเพิ่งได้พิสูจน์ จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง”

“What China Just Proved Will Change Everything | Richard Wolff"

          https://youtu.be/041WwHEwAXw?si=SXoI1ZOu_LqOP3aH

          จีนในฉบับรุ่นเศรษฐกิจสมัยใหม่ คือราว 50% เป็นกิจการทุนเอกชน, ทั้งของคนจีนและต่างชาติ, และ 50% กิจการทั้งหลายที่รัฐบาลเป็นเจ้าของและบริหารจัดการ. นั่นคืออะไรที่พวกเขาหมายถึงเมื่อพวกเขาพูดว่า เอ่อ พวกเขาได้เป็นสังคมนิยม ด้วยคถุณลักษณะเฉพาะแบบจีน. (The Chinese version of modern economy is about 50% private capitalist enterprise, both Chinese and foreign, and 50% government owned and operated enterprises. That’s what they mean when they say uh they’ve got socialism with Chinese characteristics.)

สหภาพโซเวียตได้มีความเป็นรัฐบาลมากๆยิ่งกว่า. สหรัฐอเมริกาและบริเทนเป็นเอกชนมากๆยิ่งกว่า. จีนนั้นเป็นพันธุ์ผสมที่แตกต่าง และต้องเป็นที่ถูกควบคุมอย่างสูงจากข้างบน เพราะว่าคุณได้มีม้าสองตัวที่ไม่ได้วิ่งไปในเส้นทางเดียวกัน, ในทิศทางเดียวกัน. แต่อัจฉริยะของอะไรที่พวกดเขาได้ทำไป, ซึ่งอธิบายว่าทำไมพวกเขาถึงได้เจริญเติบโตเป็น สองหรือสามเท่ารวดเร็วกว่าสหรัฐ กับทุกคนของ 30 ปีที่แล้วมา, ก็เพราะว่า อะไรก็ตามที่เป็นแรงกระตุ้นจากการกำไรของภาคเอกชน ไม่สามารถทำสำเร็จได้เพราะว่าข้อจำกัดของมัน, แต่รัฐบาลสามารถทำได้. (The Soviet Union was much more government. The United States and Britain is much more private. The Chinese is a hybrid that is different and has to be highly controlled from above because you’ve got these two horses that don’t run in the same way, in the same direction. But the genius of what they’ve done, which explains why they’ve been growing in two or three times faster than the US for every one of the last 30 years, is because whatever the private profit motivation cannot accomplish because of its limits, the government can.)

พิธีกร:  คุณก็รู้, นั่นคือทัศนภาพที่ผมแทบจะไม่ได้ยินในวาทกรรมของสื่อกระแสหลักในอเมริกาเลย. ความคิดที่ว่าเศรษฐกิจพันธุ์ผสม, อันที่คือผลจากพลังอิทธิพลทั้งกิจการเอกชนและการแทรกแซงโดยรัฐ, สามารถที่จะให้ผลดีเหนือกว่าอย่างหมดจดกับแบบจำลองทุนนิยมทั้งหลาย, ไม่ได้เป็นเพียงแค่เชิงทฤษฎีอีกต่อไป.   (You know, that’s a perspective we rarely hear in mainstream American discourse. The idea that a hybrid economy, one that leverages both private enterprises and state intervention, can outperform purely capitalist models, isn’t just theoretical anymore.)

          การเจริญเติบโตของจีนผ่านสองสามทศวรรษที่แล้วมาคือหลักฐานเชิงประสบการณ์/ ความรู้เชิงประจักษ์. และกระนั้น, เราก็ยังปฏิบัติต่อมันโดยเบี่ยงเบนใดๆจากลัทธิตลาดเสรีนิยม, ว่านั่นคือสิ่งต้องห้าม. มันอย่างแท้จริงทำให้คุณประหลาดใจ, คุณกำลังเกาะติดห้อยอยู่กับมโนคตินั้นด้วยการจ่ายให้กับผลลัพธ์ที่ตามมาอยู่หรือ?  (China’s growth over the past few decades is empirical evidence1. And yet, we treat any deviation from market fundamentalism2 as taboo. It really makes you wonder, are we cling to ideology at the expense of results?)

          1https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C

          2 https://en.wikipedia.org/wiki/Market_fundamentalism

ริขาร์ด วูลฟ์ฟ:   ในสหรัฐอเมริกา, การถ่อมตัว, แบบฉบับที่เล็กมากของเรื่องนั้นก็คือ คือการที่รัฐบาลสงเคราะห์มหาวิทยาลัยให้ทำการวิจัยในพิสัยยาวไกลที่ไม่เน้นผลกำไรเป็นที่ตั้ง, แต่ความโง่เขลาของอะไรที่ได้ทำลงไปในการที่จะตัดหั่นการสนับสนุนของรัฐบาล, และการที่จะกำจัดผู้อพยพทั้งหลาย ผู้ซึ่งมักจะเป็นกำลังขับเคลื่อนอย่างมากในมัน.   (In the United States, a modest, too small version of that was the government subsidizing the university to do some of that long range not profit dominated research, the idiocy of what’s being done to cut back the government support to get rid of the immigrants who often the driving force of much of it.)

พิธีกร:  นั่นเป็นความจริงที่ยากจะยอมรับได้. ผู้อพยพทั้งหลายคือนวัตกรรมอันทรงพลังและการเติบโตมายาวนานในสหรัฐ, โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. การหั่นนั่นออกไปไม่ได้เป็นแค่ความโหดร้าย. มันคือการทำลายตัวเอง. เรากำลังลอบทำลายต่อเครื่องยนต์ของความก้าวหน้าอย่างมาก ในนามของ การยอมที่จะรักษาสถานภาพทางการเมืองในระยะสั้น. (That’s a hard truth. Immigrants have long powered innovation and growth in the US, especially in science and tech. Cutting that off isn’t just cruel. It’s self-sabotage. We’re undermining the very engine of progress in the name of short-term political appeasement.)

ริขาร์ด วูลฟ์ฟ:   นั้นแหละ, นั่นคือ การยอมรับต่อแซ่หวดกลับของ ว0 ปีแห่งโลกาภิวัตน์ที่ผ่านมาและระบอบเสรีนิยมใหม่. พวกคุณที่เป็นเสรีนิยม ก็ต้องรับผิดชอบนั้นด้วยบ้างนิดหน่อย. ในฐานะเป็นเดโมแครตส์ ในฐานะที่เป็นรีพับลิกันส์, พวกเขาคือเหล่าเชียร์ลีดเดอร์ทั้งหลายให้กับกระแสโลกาภิวัตน์, ให้กับการนำระบบอัตโนมัติ และการย้ายงาน (การนำระบบอัตโนมัติ (Automation) มาใช้และการย้ายงาน (Relocating Jobs) เป็นสองประเด็นที่มักถูกพูดถึงพร้อมกันเนื่องจากมีความสัมพันธ์กัน Automation หมายถึงการใช้เทคโนโลยีเข้ามาทำงานแทนมนุษย์ในกระบวนการต่างๆ ซึ่งอาจส่งผลให้บางตำแหน่งงานถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักรหรือระบบอัตโนมัติ ในขณะที่การย้ายงาน (Relocating Jobs) เป็นการย้ายงานจากสถานที่หนึ่งไปยังอีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งอาจเป็นการย้ายจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่ง หรือจากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่ง เพื่อลดต้นทุนหรือหาแหล่งทรัพยากรที่เหมาะสมกว่า) และทั้งหมดของอะไรที่เหลืออื่นอีกมากนั้น.  (That is, that is a concession to the backlash of 30 years of globalization3 and neoliberalism4. You’ve the liberals5 are every bit as responsible for that. The Democrats as the Republicans, they were all cheerleaders for globalization, for liberalization, for automation and relocating jobs and all of the rest of it.)

          (And now they see the backlash that put a guy in power who has to do all of the things necessary to hold on to his demagogic base.)

          3https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A0%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B9%8C

          4https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88

            5https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%A1

พิธีกร:  นี่คือที่นโยบายเศรษฐกิจและละครการเมืองมาประสานงากัน. เมื่อผู้นำทั้งหลายได้เข้ามาเกี่ยวข้องมากยิ่งขึ้นกับทัศนศาสตร์มากกว่าเนื้อหาสาระ, เราจบลงด้วยการตัดสินใจที่ทำร้ายเศรษฐกิจ แค่เพื่อที่จะรักษาอารมณ์จงรักภักดีกันเอาไว้. มันไม่ใช่ความสามารถในธรรมาภิบาลอย่างยั่งยืน. มันแค่ปฏิกิริยาที่ขยันมากเท่านั้น. (This is where economic policy and political theater collide. When leaderships are more concerned with optics than substance, we end up with decisions that hurt the economy just to maintain emotional loyalty. It’s not sustainable governance. It’s reactive showmanship.)

ริขาร์ด วูลฟ์ฟ:   ดังนั้น, ใช่, แน่นอน, เขาต้องบอก, คุณก็รู้, ประเทศทั้งหลายนับโหลใน อาฟริกานั่นคือ พวกเขาไม่ได้รับการยินดีต้อนรับที่จะส่งใครคนใดมายังสหรัฐอเมริกา. นี่คือความวิตถารที่เนรเทศผู้อพยพทั้งหลาย. คุณกำลังทำอะไร? 10 ล้านคนในประเทศที่มีประชากร 330 ล้าน ไม่ได้ทำให้เกิดความแตกต่างอะไร. มันไม่เกี่ยวอะไรกันเลย. คุณกำลังทำอะไร? คุณกำลังสนับสนุนความชั่วร้าย, แน่นอนละ, แต่การสนับสนุนความชั่วร้ายเพื่อผลประโยชน์ตนโดยปราศจากสิ่งที่ไม่สามารถเป็นประธานาธิบดีได้, กำลังที่จะมีและกำลังมีผลเชิงลบซึ่งทำลาย-ตนเองในผลกระทบทั้งหลายทางเศรษฐกิจ.  (So, yes, of course, he has to tell, you know, a dozen countries in Africa that’s they’re not welcome to send anybody to the United States. This is grotesque to deport immigrants. What are you doing? 10 million in a country of 330 million makes no difference. It’s irrelevant. What are you doing? You’re pandering, of course, but the pandering without which he can’t be president is going to have and is having real negative self-destructive economic effects.)

          และผมสังเกตเห็นในสองสามวันนี้ที่ผ่านมา ไม่ว่ามันจะมาจากโกลด์แมน แซ็คส์ หรือ ธนาคารแห่งอเมริกา หรือเรย์ ดาลิโอ หรือ อ่า เจมี่ ไดมอน, มีการเติบโตของเสียงประสานของบรรดานักธุรกิจขาใหญ่ ผู้ที่กำลังพูดว่า, โอ๊ะ-โอ๋, นี่เป็นการหมุนขากมุมมองของพวกเขาที่ไม่สามารถควบคุมได้.  (And I notice in the last few days that whether it’s from Goldman Sachs6 or Bank of America or Ray Dalio7 or ah Jamie Diamon8, there are a-growing chorus of very big businessmen who are saying, o-oh this is spinning from their perspective out of control.)

          6https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%8B%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B9%8C

          7 https://en.wikipedia.org/wiki/Ray_Dalio

          8 https://en.wikipedia.org/wiki/Jamie_Dimon

พิธีกร:  เมื่อผู้เล่นทางการเงินหลักขาใหญ่อย่างเช่น โกลด แมน แซ็ค และเรย์ ดาลิโอ เริ่มต้นส่งเสียงแจ้งเตือน, คุณก็รู้ดี, ความเสี่ยงนั้นก็ไม่ได้เป็นแค่การละครแล้ว. พวกเขากำลังมองเห็นต้นทุนทางเศรษฐกิจของความไม่มีเสถียรภาพ. และมันไม่ได้เป็นแค่ความกังวลทางวิชาการหรือถังความคิดอีกต่อไป.  (When major financial players like Goldman Sachs and Ray Dalio start sounding the alarm, you know, the risks aren’t just theoretical. They’re seeing the economic cost of instability. And it’s no longer just a concern for academics or think tank.)

ริขาร์ด วูลฟ์ฟ:   ทำไมจีนจึงเติบโตรวดเร็วกว่าสองถึงสามเท่าสหรัฐอเมริการึ? ทำไมพวกเขาไล่ทันในเทคโนโลยี? ทำไมพวกเขาได้ทำรถยนต์ไฟฟ้าที่ดีที่สุด ในเวลาที่เมื่อรถยนต์ไฟฟ้ากำลังที่จะเป็นแบบว่า พาหนะเครื่องมือในการขนส่งของ 50 ปีข้างหน้า ฯลฯ? (Why did the Chinese grow two to three times faster than the United States? Why have they caught up technologically? Why have they made the best electric car at a time when the electric car is going to be the means of transportation for the next 50 years likely, etc.)

พิธีกร:  มันกำลังบอกว่าจีนไม่ได้แค่ไล่ตามทัน. พวกเขากำลังวิ่งนำทำจังหวะให้ผู้อื่นทำตามในอุตสาหกรรมอนาคตทั้งหลายเหมือนเช่น รถไฟฟ้า. นี่ไม่ใช่การลอกเลียนแบบอีกต่อไป. มันเป็นเหมือนการนำ. และเราควรที่จะถามว่าทำไมกันไม่ใช่รึ?  (It’s telling that China isn’t catching up. They’re setting the pace in future industries like EVs. This isn’t about copying anymore. It’s about leading. And we should be asking why aren’t we?)

ริขาร์ด วูลฟ์ฟ:   และนั่นคือที่เราพูดไปถึงกันกับคำถาม, อะไรที่สามารถทำได้, อะไรที่สังคมสามารถทำได้ที่จะแบ่งกันแบบ 50-50 ระหว่างกิจการภาคเอกชนกับกิจการภาครัฐ? ที่จะมีหนึ่งการปกครองโดยมีกำไรเป็นแรงกระตุ้น และอีกอันหนึ่งที่แตกต่างกันในชุดแนวความคิดและการคำนวณตัวเลขทั้งหลาย.  (And that there we get then to the question, what can, what can a society do that has a 50-50 split between public and private enterprise? That has one governed by the profit motive and the other one by a different set of notions and calculations.)

          ว้าว! นั่นเป็นเช่นคุณ แต่เราไม่สามารถทำนั่นได้ในประเทศนี้เพราะว่าคำถามทั้งหลาย, ระบบทุนนิยมที่เราได้เอามันมาทันทีทันใดในลำดับที่สอง ต้องพิจารณาตัดสินว่าทำไม เอ่อ ในโลกนี้คุณควรจะยึดอยู่กับสังคมที่ได้จัดระบบอุตสาหกรรมของมัน และการเงินของมัน แต่อย่างไรก็ตาม, เราได้ให้ความเห็นนั่นว่ามีอีกหนทางหนึ่งที่ได้ทำงานได้ดีกว่ามาก.  (Wow! That would be then you but we can’t do that in this country because that questions, the capitalist system that we have put it immediately in second place have to justify why in the world would you hold on to a society that has organized its industry and its finance in the way we have given that there’s another way that has worked much better.)

          นั่นกำลังเป็นที่น่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง ในการที่เป็นคำถามที่เหมาะเจาะซึ่งเราต้องกำจัดมันออกไป. เราต้องทำการดิ้นรนต่อสู้กับความขัดแย้งทางบุคลิกภาพทั้งหลายนี้ของ, ของพรรคคอมมิวนิสต์ที่ไม่ลงรอยกับอะไรอื่นทั้งหมด. (That is so frightening as the proper question that we have to get rid of it. We have to make this a struggle of personalities of, of the Communist Party against all irrelevant.)

พิธีกร:  ความจริงนี้กระแทกประสาท. การเปลี่ยนคำถามโครงสร้างทั้งหลายเข้าไปในการใส่ร้ายป้ายสีในอุดมการณ์ คือการเบี่ยงเบนให้ไขว้เขวอันชาญฉลาด. ถ้าเราเพ่งจับกับอะไรที่ใช้การได้ แทนที่จะเป็นใครเป็นผู้ทำมัน, บางทีเราน่าที่จะสามารถเริ่มต้นแก้ปัญหาทั้งหลายได้ แทนที่การทำให้พวกมันเป็นสิ่งถาวร. (This really hits a nerve. Turning structural questions into ideological mudslinging is a clever distraction. If we focused on what works instead of who’s doing it, maybe we’d start solving problems instead of perpetuating them.)

ริขาร์ด วูลฟ์ฟ:   ผมไปเจอข้อคิดเห็นทั้งหลายจำนวนหนึ่งในผู้คน ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องในอะไรของการสนทนาที่เรากำลังมีอยู่, ผู้ซึ่งการเพ่งจับตั้งอกตั้งใจในวงแคบอย่างมากยิ่งกับธุรกิจรถยนต์, กำลังมองไปที่หลากหลายของพวกมัน กับการย้ายที่อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ที่จะในความเป็นจริงไม่ได้มายังที่สหรัฐอเมริกา, แต่เป็นที่จีน.  (I came across a number of comments in which people who are not involved in the kind of conversation we’re having, whose focus is much more narrowly concentrated on the international automobile business, are projecting several of them that the relocation of automobile industry will in fact not be to the United States, but to China.)

          ทำไม? เพราะว่าอะไรที่ไมเคิลเพิ่งได้บอกไป. พวกเขามีชิ้นส่วนทั้งหมดรวมทั้งแร่ธาตุหายาก ที่เป็นสิ่งสำคัญยิ่งยวดในหารทำแบตเตอรี่ ซึ่งปราศจากมันรถยนต์ไฟฟ้าก็ไม่ทำหน้าที่ประโยชน์ได้.  (Why? Because of what Michael just said. They have all of the components including the rare earths9 which are crucial for the batteries without which the electric vehicle doesn’t function.)

          9https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%81

          และถ้าคุณกำลังที่จะเคลื่อนย้ายมาที่สหรัฐอเมริกา และถ้าสหรัฐอเมริกาไม่ได้กำลังที่จะเอามันมาจากจีน, คุณก็กำลังเคลื่อนย้ายมาสู่ความหายนะของตนเอง. คุณไม่สามารถทำเช่นนั้นได้. คุณควรจะได้คำแนะนำที่ดีกว่าในการที่จะทำกับยานยนต์ของคุณ, โฟล์คสวาเกนของคุณ หรือเปอโยต์ หรือ เฟียตของคุณ ในจีน ที่คุณสามารถแน่ใจได้ว่าจะเข้าถึงแร่ธาตุหายากทั้งหลาย. ที่โดยปราศจากมันแล้วคุณไม่สามารถผลิตสร้างรถยนต์นี้ได้เลย. (And if you are going to move to the United States and if the United States isn’t going to be able to get them from China, you’re moving to your own destruction. You cannot do that. You’d much better advised to be your automobile, your Volkswagen or your Peugeot or your Fiat in China where you can be sure of access to the rare earths. Which without it you can’t build a car anyway.)

          ดังนั้น, นั่นคือหนึ่งสิ่ง. และนี่คืออีกหนึ่งสิ่ง. (So, that’s one thing. Here’s another one.)

พิธีกร:  นี่ไม่ได้แค่เรื่องเกี่ยวกับการแข่งขันนะ. มันเป็นเรื่องการเข้าถึง. จีนควบคุมห่วงโซ่อุปทานที่สำคัญทั้งหลาย. ถ้าเราไม่ได้อยู่บนโต๊ะ, เราก็อยู่บนเมนู.  (This isn’t just about competition. It’s about access. China controls the supply chains essentials. If we’re not at the table, we’re on the menu.)

ริขาร์ด วูลฟ์ฟ:   ประวัติศาสตร์ของการผูกขาดในระบอบทุนนิยมสามานย์, เรามาฟื้นความจำกันว่ามันคืออะไร. มันเป็นเมื่อผู้ผลิตของอะไรสักอย่างสามารถยึดตลาดในแง่ของการกลายเป็นการเป็นผู้ขายราบเดียวเองของตลาด, การผูกขาด, เป็นผู้ขายรายเดียว. ทำไม? (The history of monopoly10 in capitalism, let’s remember what it is. It’s when the producer of something can capture the market in the sense of becoming the only mono seller poly, monopoly, the only seller. Why?)

          10https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%94

          เพราะว่าแล้วคุณก็ไม่สามารถทำเพียงแค่กำไรเท่านั้น แต่ทำมันเข้าไปในผลส่วนเกินที่คุณได้มันขึ้นมาด้วยจากแรงงานของคุณ, แต่คุณสามารถดีดยกราคามันขึ้นไปอีกเหนือต้นทุน และได้อะไรที่ถูกเรียกว่า รายได้จากการผูกขาดเพิ่มเติมจากมันนั้น. (Because then you can not only make the profit built into the surplus you get from your workers, but you can jack up the price above cost and get what called the monopoly revenue on top of it.)

          แต่ความมีอยู่จริงของการนั้น, ตัวอย่างคือ, ในอุตสาหกรรมไฮ-เทค ในวิลิคอน วัลเลย์, และนี้เป็นประวัติศาสตร์หนึ่งของทุนนิยม, นาทีที่คุณได้รายได้จากการผูกขาด, คุณก็กลายเป็นวัตถุของการอิจฉาและการแข่งขันจากทุกไคนอื่น, เพราะว่าคุณกำลังได้อัตราผลตอบแทนเกินความจริง.  (But the very existence of that, for example, in the hi-tech industry in Silicon Valley, and this is the history of capitalism, the minute you get a monopoly revenue, you become the object of envy and competition from everybody else, because you’re getting outlandish rates of return.)

          และเช่นนั้นเอง, การไหลของทุนคือพยายามที่จะได้ส่วนแบ่งของการนั้นตั้งแต่มันสามารถทำกำไรมากยิ่งกว่าที่จะอยู่กับพื้นที่แข่งขันทั้งหลายของเศรษฐกิจ. ดังนั้น, ในตอนนี้เรามีดีพซีค (บริษัทปัญญาประดิษฐ์ของจีน), เรามีจีนผู้ที่ได้สาธิตให้เห็นว่าเมื่อคุณได้พยายามที่จะลอกเลียนคุณสามารถทำมันได้. หัวเว่ยสามมารถผลิตสร้างชิปที่เกี่ยวข้แองได้. ดังนั้นบริษัททั้งหลายอื่นๆก็สามารถทำได้.  (And so, the flow of capital is to try to get a piece of that since it’s much more profitable than to stay on the competitive areas of economy. So, now we have DeepSeek11, we have Chinese who have demonstrated that when you have tried to copy you can do it. Huawei can produce the relevant chips. So can the other companies.)

          11https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%9B%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%81

          ถ้าสหรัฐอเมริกากำลังพัฒนากลยุทธที่มีคุณภาพของการพึ่งพาตำแหน่งการผูกขาด ที่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับสูงทั้งหลายของมันได้ประสบสำเร็จมาชั่วระยะหนึ่ง. แล้วผมได้มีข่าวสำหรับพวกเขา. คุณกำลังที่จะสูญเสียมัน. พวกนักผูกขาดทั้งหลายมักที่จะทำเสมอ. ประวัติศาสตร์นั้นได้ชัดเจน. ไม่มีระบบผูกขาดใดที่อยู่ได้ตลอดกาล. (If the United States is developing a strategy that has the quality of depending on the monopoly position that its high technology industries achieved for a while. Then I’ve got a news for them. You’re going to lose it. The monopolists always do. History is cleared. No monopoly lasts forever.)

พิธีกร:  0พนันได้ว่ายุทธศาสตร์ชาติอันหนึ่งนั้นคือไม่ใช่แค่ไร้เดียงสา.  มันเป็นการพนันที่เราไม่สารถจ่ายได้กับการพ่ายแพ้. (Betting national strategy on one is not just naïve. It’s a gamble we can’t afford to lose.)

ริขาร์ด วูลฟ์ฟ:   เยเนรัล มอเตอร์ส และฟอร์ด ครั้งหนึ่งได้มีการผูกขาด.พวกเขาไม่ได้มีอีกต่อไปแล้ว. และคุณก็ไม่ที่จะคอยรักษาการผูกขาดเอาไว้ในที่นี่. ซึ่งหมายความว่ากลยุทธของคุณที่เหมาเอาว่าตำแหน่งการผูกขาดอย่างแน่ชัดนี้คือยุทธศาสตร์ที่ถูกสร้างขึ้นมาบนทราย, นั่นที่กำลังค่อยๆไหลเลื่อนหายไป. คนจีนกำลังทำงานอยู่กับการนั้นด้วยเช่นกัน. และจะว่าไปแล้วไม่ได้แต่เพียงจีนเท่านั้น, คนอื่นๆด้วย.  (General Motors and Ford once had a monopoly. They don’t anymore. And you’re not to keep that monopoly here. Which means your strategy which assumes a certain monopoly position is a strategy built on sand, that is ebbing away. The Chinese are working on that too. And by the way not only the Chinese, others.)

          และนี้คือ...นี้ไม่ได้เป็นแค่การเสี่ยงเท่านั้นสำหรับเหตุผลทั้งหมดที่เราได้ลดการผลิตลง, แต่มันเป็นการเสี่ยงในประเด็นทั้งหลายของความเป็นจริงทั้งหลายของทุนนิยมระหว่างประเทศของการแข่งขัน. จีนมีตำแหน่งการนำในเรื่องแร่ธาตุหายากและสำคัญยิ่งยวดของอุตสาหกรรมทั้งหลาย, ไม่ใช่แค่อุตสาหกรรมรถยนต์, การจราจรทางอากาศ, เอ่อ, เครื่องบินทั้งหลาย, การป้องกัน, เหล่านั้นกำลังต้องการด้วยเช่นกันในแร่ธาตุหายากนี้.  (And this is a ve…this is not only risky for all the reasons we’ve reduced, but it’s risky in terms of where the actualities of international capitalist competition lie. The Chinese have a dominant position in rare earths and crucial industries, not just the automobile industry, air uh air traffic, airplanes, defense, those are also requiring rare earths.)

          ในตอนนี้, สหรัฐอเมริกาจะ ทำความพยายามที่จะหาแหล่งใหม่ไหม? แน่นอน, พวกเขาจะทำ. พวกเขาอาจจะสำเร็จไหม? พวกเขาอาจ. แต่เราในตอนนี้ยิ่งมากและมากที่เราพูดคุยกัน, ก็ยิ่งมากขึ้นและมากจึ้นอย่างมีความ หวังเต็มเปี่ยมที่คุณทั้งหมดจะหยิบเอาขึ้นมาได้กับสภาวะเงื่อนไขทั้งหลายที่ได้ชี้แนะ ว่ายุทธศาสตร์ซึ่งได้ถูกแสวงหาในตอนนี้คือ, มันเป็นการเสี่ยงมากเหลือเกินที่ผมเชื่อว่าคำพูดอย่างสิ้นหวังนี้น่าจะได้จับตะครุบมันกันเอาไว้ได้บ้าง. (Now, will the United States make an effort to get new sources? Sure, they will. May they succeed? They may. But we are now the more and more we talk, the more and more hopefully you’re all picking up on the conditions the many, many conditions that suggest that the strategy being pursued now is, well, it is so risky that I believe the word desperation captured it.)

พิธีกร:  ความสิ้นหวัง, นั่นคือคำพูดที่เอ้อระเหย. อะไรที่เรากำลังมองเห็นว่ามันไม่ได้แค่กลยุทธที่บกพร่อง. มันเป็นระบบที่ไม่ได้ตั้งใจที่จะเผชิญหน้ากับข้อจำกัดทั้งหลายของตัวเอง. และแนวความคิดทั้งหลายหลีกเลี่ยงการสำรวจตนเองอย่างซื่อสัตย์, มันบ่อยครั้งจะเป็นการพยายามชดเชยให้กันมากไปด้วยการเสี่ยง. คำถามที่แท้จริงก็คือ, เราจะคอยทุ่มสุดตัวกับมโนคตินั้น หรือในท้ายสุดยอมเผชิญหน้ากับความจริงที่เปลี่ยนแปลงของพลังพลวัตรโลกาภิวัตน์?  (Desperation, that’s the word that lingers. What we’re seeing isn’t just flawed strategy. It’s a system unwilling to confront its own limitations. And when a nation avoids honest introspection, it often overcompensates with risk.  The real question is, will we keep doubling down on the ideology or finally face the changing reality of global power dynamics?)

          https://youtu.be/041WwHEwAXw?si=QCPH_laoBQG-LWD3

วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2568

จีน – สถานการณ์ระหว่างประเทศและนโยบายต่างประเทศของเรา (3)

จีน – สถานการณ์ระหว่างประเทศและนโยบายต่างประเทศของเรา (3)

(คำปราศรัยของ ประธานาธิบดี เจียงเจ้อหมิน 12 ตุลาคม 1992 ในที่ประชุมสมัชชาผู้แทนพรรคคอมมูนิสต์จีนทั่วประเทศครั้งที่14)

-: หนังสือ “สรรนิพนธ์ เติ้ง เสี่ยวผิง จีนจะไปทางไหน?” โดย ดาวประกาย รุ่งอรุณ แปล, บุญศักดิ์ แสงระวี บรรณาธิการ, หน้า 179-184)

3. สถานการณ์ระหว่างประเทศและนโยบายต่างประเทศของเรา

          ภายใต้สถานการณ์ระหว่างประเทศที่สลับซับซ้อนและผันผวนนี้ งานการต่างประเทศของเราได้รับผลสำเร็จอย่างใหญ่หลวง มิตรสัมพันธ์ฉันประเทศเพื่อนบ้านที่ดี ระหว่างเรากับประเทศรอบข้างอยู่ในช่วงระยะที่ดีที่สุดนับตั้งแต่สถาปนาประเทศเป็นต้นมา ความสามัคคีและความร่วมมือกับประเทศกำลังพัฒนาอันไพศาลได้หรือความมั่นคงและแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ความสัมพันธ์ที่มีอยู่กับประเทศต่างๆ ในโลกรวมถึงประเทศพัฒนาฝ่ายตะวันตกได้รับการปรับปรุงดีขึ้นและพัฒนาไปบนพื้นฐานหลัก 5 ประการแห่งการอยู่ร่วมกันโดยสันติ ประเทศเรามีผลสะเทือนในสากลมาก ขึ้นทุกทีและมีฐานะทางสากลสูงขึ้นทุกที

          เวลานี้โลกกำลังอยู่ในช่วงประวัติศาสตร์ที่ผันผวนแปรปรวนสถานภาพที่โลกแยกเป็นสองขั้วให้สิ้นสุดลงแล้ว พลังชนิดต่างๆได้แยกตัวและรวมตัวกันใหม่ โลกกำลังพัฒนาไปสู่ทิศทางที่มีหลายขั้วสถานภาพใหม่นี้จะเป็นกระบวนการที่สลับซับซ้อนและยาวนาน มีทางเป็นไปได้ที่ในช่วงเวลาจากนี้ไปที่ค่อนข้างยาวนาน จะมีสภาพแวดล้อมระหว่างประเทศที่อยู่ในภาวะสันติและหลีกเลี่ยงจากมหาสงครามโลกครั้งใหม่ และในขณะเดียวกันก็ต้องมองเห็นว่าสถานการณ์ระหว่างประเทศในปัจจุบันยังคงจะปั่นป่วนไม่สงบ ความขัดแย้งต่างๆ ของโลกได้พัฒนาลึกซึ้งเข้าไปอีก ความขัดแย้งทางประชามติ ข้อพิพาททางดินแดนและการวิวาททางศาสนาของประเทศและเขตแคว้นต่างๆ ไม่น้อยได้โผล่ผุดขึ้น กระทั่งก่อให้เกิดการปะทะนองเลือดและสงครามเฉพาะส่วนเศรษฐกิจระหว่างประเทศแข่งขันกันรุนแรงยิ่งขึ้นทุกวัน ภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาทรุดหนักยิ่งขึ้น ช่องว่างระหว่างใต้กับเหนือห่างออกไปมากยิ่งขึ้น

          สันติภาพและการพัฒนายังคงเป็นประเด็นสำคัญ 2 ประการของโลกปัจจุบัน การพัฒนาต้องการสันติภาพ สันติภาพห่างเหินไปจากการพัฒนาไม่ได้ การดำรงอยู่ของลัทธิวางตัวเป็นเจ้าและการเมืองที่ถืออำนาจเป็นใหญ่เป็นอุปสรรคสำคัญของการแก้ปัญหาสันติภาพและการพัฒนาตลอดมา การพัฒนาของโลกจะตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความยากจนและล้าหลังของประเทศกำลังพัฒนาอันไพศาลตลอดไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด การเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงและความปั่นป่วนไม่สงบของสถานการณ์ระหว่างประเทศ ทำให้ประชาชนทั่วโลกที่ตื่นตัวมากขึ้น แนวโน้มที่ประเทศกำลังพัฒนาซึ่งประสบเคราะห์กรรมเช่นเดียวกันมาในประวัติศาสตร์ต้องการที่จะพิทักษ์เอกราชอธิปไตย สามัคคีร่วมมือกันได้ดำเนินไปเข้มแข็งยิ่งขึ้น โลกต้องการสันติภาพ ประเทศต้องการพัฒนา สังคมต้องการความก้าวหน้า เศรษฐกิจต้องการความเจริญรุ่งเรืองและชีวิตความเป็นอยู่ต้องการยกระดับสูงขึ้น เหล่านี้ได้กลายเป็นความต้องการของประชาชนประเทศต่างๆ โดยทั่วไปแล้ว

          เบื้องหน้าสถานการณ์ระหว่างประเทศใหม่นี้ พรรคคอมมิวนิสต์จีน รัฐบาลจีนและประชาชนจีนจะพัฒนาความสัมพันธ์กับต่างประเทศต่อไปอย่างแข็งขัน พยายามช่วงชิงให้การปฏิรูปเปิดประเทศและการสร้างประเทศให้ทันสมัยของประเทศเรามีสภาพแวดล้อมระหว่างประเทศเป็นผลดีและสร้างคุณูปการของตนเองเพื่อสันติภาพและการพัฒนาของโลก.

          จีนดำเนินนโยบายต่างประเทศที่สันติเป็นอิสระเป็นตัวของตัวเองอย่างเสมอต้นเสมอปลายตลอดมาไม่เปลี่ยนแปลง การพิทักษ์เอกราชและอธิปไตยของประเทศเราส่งเสริมสันติภาพและการพัฒนาของโลกเป็นเป้าหมายขั้นพื้นฐานของนโยบายต่างประเทศของจีน ในปัญหาที่เกี่ยวถึงผลประโยชน์ประชาชาติและอธิปไตยของประเทศ จีนจะไม่จำนนต่อแรงกดดันใดๆ ที่มาจากภายนอกอย่างเด็ดขาด จีนเป็นพลังที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ในการผดุงสันติภาพของโลก จีนไม่สร้างพันธมิตรกับประเทศหรือกลุ่มประเทศใดๆ ทั้งสิ้น ไม่เข้าร่วมกลุ่มการทหารใดๆ ทั้งสิ้น จีนจะไม่วางตัวเป็นจ้าวและไม่ขยายอิทธิพลตลอดไป ในขณะเดียวกันก็คัดค้านลัทธิวางตัวเป็นจ้าวการเมืองที่ถืออำนาจเป็นใหญ่ตลอดจนการรุกรานลารขยายอิทธิพลไม่ว่าในรูปแบบใดทั้งสิ้น จีนคัดค้านการแข่งขันทางกำลังรบ มีความเห็นให้ลดกำลังรบและควบคุมกำลังรบอย่างมีประสิทธิภาพ ตามหลักการที่เที่ยงธรรม สมเหตุสมผล ทั่วด้านและสมดุล ปัจจุบันนี้บางประเทศในโลกก็พูดถึงการลดกำลังรบแต่กลับมิได้ลดอาวุธที่เป็นไฮเทคชั้นยอดของพวกเขา ในด้านจัดการกับกิจการระหว่างประเทศ จีนปฏิบัติตามกฎบัตรสหประชาชาติและกติกาแห่งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นที่ยอมรับทั่วไปอย่างเข้มงวด ยึดมั่นในจุดยืนขั้นหลักการที่แสวงหาสัจจะจากความเป็นจริงและเชิดชูความเป็นธรรม

          จะสร้างระเบียบใหม่ระหว่างประเทศชนิดใดเป็นปัญหาสำคัญที่ประชาคมระหว่างประเทศขณะนี้เอาใจใส่กันที่วไป จากประสบการณ์ในประวัติศาสตร์และสภาวะที่เป็นอยู่ เรามีข้อคิดเห็นให้สร้างระเบียบใหม่ระหว่างประเทศที่สันติ มั่นคง ยุติธรรม และสมเหตุสมผลบนพื้นฐานแห่งหกลักการที่เคารพอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกันและกันไม่รุกล้ำซึ่งกันและกัน ไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน เสมอภาคอำนวยประโยชน์แก่กัน และอยู่ร่วมกันโดยสันติ ระเบียบใหม่นี้รวมถึงการสร้างระเบียบโลกใหม่ทางเศรษฐกิจระหกว่างประเทศที่เสมอภาคอำนวยประโยชน์แก่กันด้วย โลกมีหลายรูปหลายนแบบ ระหว่างประเทศกับประเทศมีข้อแตกต่างกันชนิดต่างๆ ประชาชนประเทศต่างๆ ก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกระบอบสังคมและหนทางพัฒนาที่สอดคล้องกับสภาพของประเทศตามสภาพรูปธรรมของประเทศตน ประเทศไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก เข้มแข็งหรืออ่อนแอ ยากจนหรือมั่งคั่ง ต่างก็ควรเข้าร่วมกิจกรรมระหว่างประเทศในฐานะที่เป็นสมาชิกประชาคมระหว่างประเทศอย่างเสมอภาค ระหว่างประเทศกับประเทศควรที่จะให้ความเคารพซึ่งกันและกัน แสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง ถ้อยทีถ้อยปฏิวัติต่อกันด้วยความเสมอภาคและอยู่ร่วมกันฉันท์มิตร ความขัดแย้งและข้อพิพาทระหว่างประเทศ กับประเทศควรจะแก้ไขด้วยสันติวิธีโดยผ่านการปรึกษาหารือกันตามกฏบัตรสหประชาชาติและตามบรรทัดฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ จะใช้กำลังอาวุธหรือข่มขู่โดยกำลังอาวุธไม่ได้ ลัทธิวางตัวเป็นจ้าวและการเมืองที่ถืออำนาจเป็นใหญ่ การที่ประเทศจำนวนน้อยไม่กี่ประเทศผูกขาดและควบคุมกิจกรรมระหว่างประเทศไปไม่รอดแล้ว การสร้างระเบียบใหม่ระหว่างประเทศเป็นภาระหน้าที่ในระยะเวลาอันยาวนาน ประชาชนจีนจะร่วมกับประชาชนประเทศต่างๆ ใช้ความพยายามอย่างไม่ลดละเพื่อการนี้

          จีนในฐานะเป็นสมาชิกของสหประชาชาติและเป็นประเทศสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ สนใจบทบาทของสหประชาชาติและเข้าร่วมกิจการของสหประชาชาติอย่างแข็งขัน เราสนับสนุนสหประชาชาติและคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ให้มีบทบาทที่แข็งขันในการผดุงสันติภาพของโลก ผลักดันกระบวนการลดกำลังรบ ส่งเสริมการพัฒนาทั่วโลกตลอดจนแก้ข้อพิพาทระหว่างประเทศเป็นอาทิ

          จีนเป็นประเทศกำลังพัฒนา การเสริมความสามัคคีและความร่วมมือกับประเทศโลกที่สาม เป็นจุดยืนแห่งนโยบายต่างประเทศของประเทศเรา จีนจะปฏิวัติกับประเทศพัฒนาดังเช่นในอดีตคือสนับสนุนซึ่งกันและกันทางด้านพิทักษ์เอกราชและอธิปไตยของประเทศตน ทำการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมมากขึ้น จีนได้เป็นผู้สังเกตการณ์ของขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดและได้สร้างความสัมพันธ์ที่สันติแน่นแฟ้นกับกลุ่ม 77 ประเทศแล้ว ต่อไปนี้จะกระชับความร่วมมือกับพวกเขาให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

          จีนยินดีที่จะพัฒนามิตรสัมพันธ์และความร่วมมือกับทุกประเทศบนพื้นฐานหลัก 5 ประการแห่งการอยู่ร่วมกันโดยสันติ ความแตกต่างทางระบอบสังคมและรูปการณ์จิตสำนึกไม่ควรเป็นอุปสรรคขัดขวาง การพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในการไปมาหาสู่กันระหว่างประเทศจีนจะไม่ยัดเยียดระบอบสังคมและรูปการจิตสำนึกของตนให้แก่ผู้อื่นอย่างเด็ดขาด และก็จะไม่อนุญาตให้ประเทศอื่นยัดเยียดระบอบสังคมและรูปการจิตสำนึกไม่ควรเป็นอุปสรรคขัดขวางการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในการไปมาหาสู่กันระหว่างประเทศจีนและไม่ยัดเยียดระบอบสังคมและรูปการณ์จิตสำนึกของตนให้แก่ผู้อื่นอย่างเด็ดขาด และก็จะไม่อนุญาตให้ประเทศอื่นยัดเยียดระบอบสังคมและรูปการจิตสำนึกของเขาให้แก่จีนอย่างเด็ดขาดเช่นกัน จุดยืนขั้นหลักการของเรานี้จะไม่เปลี่ยนแปลงอย่างเด็ดขาด

          จีนดำเนินการเปิดประตู่ต่อภายนอกอย่าวงเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ยินดีจะเสริมและขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีกับประเทศต่างๆ ในโลกอย่างไม่ขาดสายบนพื้นฐานแห่วความเสมอภาคและอำนวยประโยชน์แก่กัน จะเสริมการแลกเปลี่ยนทางด้านวัฒนธรรม การศึกษา การสาธารณสุข การกีฬาเป็นต้นให้แข็งขันขึ้น

          พรรคคอมมิวนิสต์จีนสนใจความสัมพันธ์ที่มีอยู่กับพรรคการเมืองต่างๆ ของโลก ปัจจุบันนี้พรรคคอมมิวนิสต์ที่มีอยู่กับพรรคการเมืองต่างๆ ของโลก ปัจจุบันนี้พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้มีการติดต่อสัมพันธ์ในรูปแบบที่ต่างกันกับพรรคการเมืองหรือองค์การการเมืองมากมายของร้อยกว่าประเทศ เราจะสร้างและพัฒนามิตรสัมพันธ์กับพรรคการเมืองของประเทศต่างๆ ต้องไปตามหลักการที่เป็นอิสระเป็นตัวของตัวเอง เสมอภาคเท่าเทียมกัน เคารพซึ่งกันและกันและไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน เพิ่มพูนความเข้าใจและความร่วมมือกันด้วยเจตนารมณ์ที่แสวงหาจุดร่วมสงวนจุดต่าง

          การสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ประกาศความสิ้นสุดของประวัติศาสตร์อันน่าเศร้าสลดที่ประชาชนชาติต่างๆ ของจีนต้องถูกรุกราน กดขี่และข่มเหงรังแกมาเป็นเวลายาวนาน ภาวะสิทธิมนุษยชนได้รับการปรับปรุงดีขึ้นในขั้นมูลฐาน ประชาชนได้เป็นเจ้าของประเทศและได้สร้างชีวิตใหม่ของตนอย่างต่อเนื่อง รัฐธรรมนูญจีนได้ประกันสิทธิชนิดต่างๆ ของประชาชนในด้านมูลฐาน จีนได้เข้าร่วมกติกาสัญญาระหว่างประเทศเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนมากมายและเห็นด้วยให้มีการวิสาสะกันอย่างเสมอภาคระหว้างประเทศในปัญหาสิทธิมนุษยชน พูดให้ถึงที่สุดแล้วปัญหาสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องที่อยู่ในปริมณฑลอธิปไตยแห่งชาติ เราคัดค้านการใช้ปัญหาสิทธิมนุษยชนแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่นอย่าวงเด็ดเดี่ยว

          ความจัดเจนทางประวัติศาสตร์บอกเราไม่ว่าจะใช้อะไรเป็นข้ออ้าง หากเป็นการล่วงล้ำเอกราขและอธิปไตยของประเทศอื่น แทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น ใช้ใหญ่ข่มเล็ก ใช้แข็งรังแกอ่อน ใช้ความมั่งคั่งกดขี่ความยากจน ก็จะไม่เป็นที่พอใจแก่ผู้คนทั้งสิ้น ผู้ใดที่ยื่นมือออกไปเสียนยาว ผู้ใดที่กดขี่ข่มเหงผู้อื่น ผู้นั้นจะถูกประชาชนทั่วโลกประณามและคัดค้าน มีธรรมะคนช่วยมาก ขาดธรรมะคนช่วยน้อย จะอย่างไรก็ตาม พลังที่เป็นธรรมะจะไม่มีใครพิชิตได้เลย.