พระอาจารย์ชยสาโร - พระธรรมเทศนา เรื่อง 'เงินซื้อไม่ได้' ปฏิบัติธรรมบ้านบุญ วันอาทิตย์ที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๖๘
https://www.youtube.com/live/dUlO-UeGml8?si=gzPbjbh3v-_6JuVR
…พุทธัง ธัมมัง สังฆัง อุนุตตะรัง ปัจจัยยัง นะมัส สามิ...
อ่า
อาทิตย์ก่อนอาตมา ไปในงานของมูลนิธิ “ปลูกต้นไม้ ปลูกธรรมะ” ผู้จัดงานก็ขอให้เรา
ตั้งคำถามไว้กับญาติโยม มีอาตมากับอาจารย์ไพศาล ๒ รูป อาตมาก็ขอให้เขาตั้งคำถามไว้กับตัวเองว่า
มีอะไรบ้างไหมในโลกนี้ ที่เงินรซื้อไม่ได้ หรือที่เราไม่มีวันขาย
บางอย่างนี่เขาให้ ร้อยนึงน่ะ ว่าจะให้เลยนะ บางคนร้อยนึงไม่พอ พัน อื้อ
ถ้าพันนึงน่ะ จะให้นะ บางอย่างพันไม่ให้หรอก หมื่นนึงก็ให้ หรือว่าแสนหรือว่าล้าน
แค้ว้ามีอะไรไหมที่ในชีวิตเรา ที่ถึงแม้ว่า เค้าให้หมื่นล้าน เราไม่ให้
ไม่ขายแน่นอน ไม่ต้องคิดเลยว่า ว่าได้นะ ไม่ต้องนั่งทบทวน ข้อดีข้อเสียน่ะ
เป็นไปไม่ได้
สิ่งเหล่านี้น่ะ เราก็จดไว้ในชีวิตของเรา เอาไว้ในจิตใจของเรา
นี้ก็คือ value ของเรา คุณค่าของเรา
คือทุกวันนี้คนก็รู้ราคาของสิ่งของ แต่ไม่รู้จักคุณค่าของชีวิต ไม่ว่า values มันไม่ได้หมายความว่าไม่มี แต่พอเราไม่ได้กำหนด ไม่เป็นสิ่งที่อยู่ในใจ ที่ระลึกได้
ไม่มีผลต่อพฤติกรรม เหมือนเรามีของดีของมีค่า แต่เก็บไว้ในตู้ เก็บไว้ในลิ้นชัก
ไม่ได้หยิบออกมาใช้สักที ก็มีเหมือนว่าไม่มี
ถ้าเราไม่ระวัง ใน...ในสังคมปัจจุบัน สามัญสำนึก
หรือว่าสิ่งที่เป็น ขออภัยใช้ภาษาอังกฤษว่า default ก็คือเงิน แล้วก็กลายเป็น
ที่ยอมรับกันในสังคม ไม่ใช่เป็นการยอม เป็นมติเลย มันไม่ใช่ว่าตกลงกันเป็นทางการ
แต่ว่าสิ่งที่เรารับมา จากสิ่งแวดล้อม มาจากสังคมและวัฒนธรรม ว่าใน values ทั้งหลาย ในสิ่งที่ดี ที่ควรจะอนุรักษ์ไว้ และควรจะให้มีในสังคม มีเยอะ
แต่สุดท้ายเนี่ยะ สิ่งที่หนึ่ง เบอร์หนึ่งต้องเป็นเงินก่อน เอ้อ
ถ้าได้อย่างนั้นอย่างนี้ก็ดีนะ อย่าให้เป็นอย่างนั้น แต่ เงินต้องมาก่อน
อาตมาก็ได้เล่าให้เค้าฟัง หลายปีแล้ว อาตมาไป อ่า มีกิจ
มีสมณะกิจที่เมืองเบอร์ลิน และเมืองเบอร์ลินก็เป็นเหมือนอีกหลายเมืองในยุโรป
ซึ่งสวนสาธารณะ park มีเยอะมาก เป็นเมืองที่เขียวพอสมควร
และในปีนั้นเค้า อ่า เค้าจะปิดสนามบินเก่า ซึ่งอยู่กลางเมือง
มันก็มีปัญหาเรื่องเสียงเรื่อง อ่า มลภาวะ เป็นเนื้อที่กว้างมาก แล้วก็ถกกันว่า ที่นี้
จะเอาไปทำอะไร? ที่กว้างที่โล่ง หลายร้อยไร่อยู่กลางเมือง เราจะทำอะไรดี?
ถ้าเป็นเมืองไทยเนี่ยะ ไม่ต้องสงสัยเลยนะ ศูนย์สินค้า จะเป็นที่หาเงิน แต่ที่เบอร์ลิน
ก็ได้มีประชามติ ตกลงทำเป็น park เป็นสวนสาธารณะ
เมื่อเราจะ คนเราจะคิด จะทำความชั่ว ทำอะไรไม่ดี หรือว่าเห็นคนอื่นเค้าทำอะไรไม่ดี
การที่เรารู้ตัวว่าทำไม่ดีน่ะ มันรู้สึกอึดอัดใจนะ
ฉะนั้นทำยังไงเราถึงจะอยู่กับตัวเองได้ ในเมื่อเราอยากทำความไม่ดี ก็
ข้อที่หนึ่งก็ยบอกว่า มัน...มันไม่ใช่ของ ของไม่ดีหรอก ก็พยายามอธิบายว่า สิ่งที่ไม่ดีเป็นสิ่งที่ดีได้
หรือไม่อย่างนั้น ไม่ดีอยู่หรอก แต่ต้องยอมรับว่า สังคมมันก็เป็นอย่างนี้ ทุกวันนี้ก็เป็นอย่างนี้
คือเหมือนกับว่า เราต้องยอมรับ ในสิ่งที่ไม่ดี ในการทำความไม่ดี เพราะยุคสมัย
เพราะสิ่งแวดล้อม เพราะสังคม เป็นต้น คือจะมีการหาเหตุผลต่างๆ นาๆ เพื่อจะพิสูจน์ว่า
ไม่เลวจริง หรือเพื่อไม่ต้องรับผิดชอบ
ฉะนั้นในการที่ เราให้เงินเป็นที่หนึ่ง เรามักจะมีความคิดอยู่เบื้องหลัง
มุมมองเบื้องหลังว่า เป็นธรรมชาติ ธรรมชาติของมนุษย์เป็นอย่างนี้
ต้องยอมรับในธรรมชาติ ความดีก็คือความดี แต่ความอยากได้เงินได้ทอง
ความทะเยอทะยานอยากต่างๆ นี่คือ ความจริงของโลก ที่ต้องรับว่า มนุษย์เป็นอย่างนี้เอง
นี้คือปรัชญาชีวิต น้อยคนหรอกที่เรียนปรัชญา ในมหาวิทยาลัย แต่ทุกคนก็ต้องมีปรัชญาชีวิต
และปรัชญาชีวิตที่ที่ทำให้เกิดความเสียหาย ทั้งในระดับตัวบุคคล ในครอบครัว ในสังคม
ในโลก ปรัชญาชีวิตในทางผิด ทางพุทธศาสนาเรามีชื่อว่า มิจฉาทิฏฐิ1
ฉะนั้นใน...ในการมองมนุษย์ว่า ธรรมชาติแท้ของมนุษย์ คือเห็นแก่ตัว
อันนี้เป็นความจริงข้อที่ ๑ ที่ต้องยอมรับว่า มนุษย์ต้องเห็นแก่ตัว
นี้คือปรัชญาชีวิต ซึ่งเริ่มมาแรงมาก ในยุโรป ในรูปแบบที่เราคุ้นเคย ๒๐๐
กว่าปีที่แล้ว ในจุดเริ่มต้นของระบบทุนนิยม ในตะวันตก ความจริงทุนนิยมเกิดมาก่อนนั้น
แต่พอมีปฏิวัติอุตสาหกรรม มันจะเพิ่มพลังมากขึ้น หลายเท่าตัว ปรัชญาชีวิต
แนวความคิด ซึ่งเป็น แนวความคิดหนึ่ง ไม่...ไม่มีการพิสูจน์หรอก
เป็นแค่ความคิดว่า ธรรมชาติของมนุษย์ที่แท้จริง คือความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวเป็นพลัง
เราไม่ควรจะปฏิเสธ ความจริงคือความเห็นแก่ตัว แต่ต้องเอาความเห็นแก่ตัวนั้นเป็นพลัง
ในการสร้างสังคม ในการสร้างความเจริญ ของโลก ความเห็นแก่ตัวก็มีผลข้างเคียง ที่ไม่ดี
ใช่ แต่ภาพรวมละ ผลดีมากกว่าผลเสีย นี่คือปรัชญาชีวิต แนวความคิด
เป็นทิฏฐิ ที่อยู่เบื้องหลังความเปลี่ยนแปลงชองโลกส่วนใหญ่ ใน ๒๐๐
กว่าปีที่ผ่านมา
มีอีกหลายอย่างที่มันก็เป็นสาขา ที่ อ่า แตกออกมา แต่วันนี้ไม่มีเวลาที่จะวิเคราะห์เรื่องนี้
ประเด็นที่อาตมาอยากจะย้ำวันนี้ ก็คือ เราดูกระแสของโลก ผู้ที่รับผลประโยชน์ จาก
ไม่ว่าจะเป็นระบบเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมอะไรก็แล้วแต่ จะพยายามบอกว่านี่คือ ธรรมชาติ
ต้องเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างอื่นไม่ได้ อื่อ เพราะถ้าเรายอมรับ ในคว่ามเป็นธรรมชาติ
จะเป็นสู้กันทำไม?
แต่ในทางพุทธศาสนา เรามองยังไงไว้? เราก็มองว่า ความเห็นแก่ตัวเนี่ยะ
เป็นกิเลสในจิตใจชองมนุษย์ กิเลสในจิตใจของมนุษย์ มีหลายข้อเหมือนกัน แต่กิเลสนี้ไม่ใช่ของเดิมแท้
ของจิตใจของมนุษย์ ถ้าส่งเสริม ถ้าหลงเชื่อว่า เป็นของจริงล่ะ ไอ้ฉันทะหรือความคิดที่จะขัดเกลา
จะมาจากไหน แต่ทางพุทธศาสนาบอกว่า ขัดเกลาได้ อย่างในมนุษย์ทั้งหลาย ทุกคน ถ้าเราดูว่าไอ้เจตนาของการกระทำ
ของแต่ละคน ที่เราเอา เอาแค่ที่เรารู้จัก ไม่ต้องเอาแบบปรัชญาอะไรมาก เอาแค่ตัวเอง
ครอบครัวของเรา คนรอบข้างเนี่ยะ มีมั้ยคนที่ทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความเห็นแก่ตัว
ไม่มีใช่มั้ย? คือ บางทีเราอคติต่อใคร ก็ โอ้ คนนั้นเห็นแก่ตัว ทำทุกอย่างมัน...ไม่ใช่หรอก
ถ้าเราให้ความเป็นธรรม ก็ต้องยอมรับว่า บางสิ่งบางอย่างทำด้วยความเห็นแก่ตัว
เห็นแต่ผลประโยชน์ส่วนตัว ใช่ บางคนก็มาก บางคนก็น้อย แต่การที่ใครอยู่ด้วยการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวอย่างเดียว
ในทุกๆเรื่องในชีวิต ไม่มี อาตมายืนยันว่า ไม่มี
อันนี้คือ ข้อสังเกต จากมนุษย์ที่เราสัมผัสได้โดยตรง
ว่าคนรอบข้างเรา เอกลักษณ์ของพุทธศาสนาอยู่ข้อหนึ่ง ที่อยู่ตรงนี้เหมือนกันว่า
เราไม่ได้เริ่มต้นด้วยคัมภีร์ ด้วยความเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น ในปรัชญาอภิปรัชญา
จุดเริ่มต้นเอากับสิ่งที่ เราสัมผัสได้ในปัจจุบัน เราสัมผัสว่าอย่างไรบ้าง ก็คนเราน่ะเห็นแก่ตัว
บางเรื่องก็มี ไม่เห็นแก่ตัวในบางเรื่องก็มี และข้อสังเกตก็คือ ถ้าใครเริ่มพัฒนาชีวิต
ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ความเห็นแก่ตัวจะน้อยลง ความไม่เห็นแก่ตัวเพิ่มมากขึ้น
เมื่อปฏิบัติธรรม เราจะรู้สึกเลยว่าความเห็นแก่ตัวเนี่ยะ มาทำให้จิตใจเราหม่นหมอง
อึดอัดคับแคบ ความไม่เห็นแก่ตัวทำให้รู้สึก ปลอดโล่ง ผ่องใสเบิกบาน
การแสวงหาความสุขด้วยความเห็นแก่ตัว ไม่นำไปสู่ความสุขที่ต้องการซะที
เป็นความสุขในอนาคต แต่ในความ อ่า ในปัจจุบัน ไม่ได้
แต่ในพุทธศาสนา เราไม่ได้เริ่มต้นด้วยปรัชญา
แล้วก็พยายามหาข้อมูล หาอะไรที่จะสนับสนุนความเชื่อ ปกติทำอย่างนี้น่ะ จิตใจมันไว้ใจไม่ได้นะ
เพราะเมื่อเรามี agenda อย่างนี้ก่อน มันจะรับรู้รับทราบ
สิ่งที่ตรงกับความคิด เบื้องต้น มากที่สุด แล้วก็จะมองข้าม หรือไม่ให้น้ำหนัก
กับสิ่งตรงข้าม เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นผลขึ้นมาก็คือ เชื่อในสิ่งที่เป็นปรัชญา
มากขึ้น เพราะมีการกลั้นกรองกับรับเฉพาะข้อมูลที่สนับสนุน ไม่รับข้อมูลที่ค้าน
พระพุทธเจ้าให้เราดูชีวิตของเรานี่
ตั้งแต่ต้นเลย ตั้งแต่ธัมมจักกัปปวัตตนะสูตร มีอะไร มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ
มีตาย ทีนี้ว่า คือไม่ต้องเชื่อใช่มั้ย? อ้าวแล้วเมื่อ... แต่เราก็ได้ข้อสรุปจากสิ่งเหล่านี้ได้บ้าง
ใช่มั้ย? จากความทุกข์ จากความพลัดพราก จากของรัก ความทุกข์กับการที่ต้องอยู่กับสิ่งที่ไม่ชอบ
ความทุกข์ในการอยากได้และยังไม่ได้สิ่งที่อยากได้
สิ่งเหล่านี้แล้วแต่เป็นสิ่งที่ทุกคน พอสัมผัสได้ แล้วจากนั้นพุทธองค์ก็นำไปสู่ อริยสัจ
๔ และแนวความคิดว่า ที่เป็นเช่นนี้เนี่ยะ เพราะอะไร? เริ่มต้นจากสิ่งที่พิสูจน์ได้
และพิจารณาสิ่งที่พิสูจน์ได้ แล้ววิเคราะห์ตั้งสมมติฐานเอา แล้วให้มาดูว่า
ใช่หรือไม่ใช่ พุทธองค์ก็ว่า สิ่งเรานี้เรียกว่าทุกข์นะ ท่านให้ชื่อว่าทุกข์
แล้วทุกข์นี้เกิดขึ้นเพราะอะไร? เป็นการดลบันดาลของสิ่งศักดิ์สิทธิ์มั้ย?
สิ่งศักดิ์สิทธิ์กำลังให้รางวัลหรือลงโทษ หรือทดลอง หรือว่าสั่งสอนอะไร หรือว่าเป็นกรรมเก่า
หรือว่าไม่มีเหตุไม่มีผล เป็น random เป็นเพราะอะไร?
สมมติฐานของพระพุทธเจ้าก็คือเพราะอวิชชา เพราะตัณหา
เพราะฉะนั้นพุทธองค์ บอกว่าเรา คนเรางมงายใน ๒ เรื่องเนี่ยะ
สำคัญ งมงายในเรื่องความทุกข์ งมงายในเรื่องความสุข
ในทุกวันนี้เขาใช้คำว่า งมงายเหมือนเป็นคำ...คำด่ากัน แต่ความหมายก็คือเชื่อโดยไม่ได้พิจารณากัน
จนถึงจุดเห็นความจริงนั้น เชื่อ...เชื่อแบบตาบอด ในสังคมเราทุกวันนี้
มีความเป็น รูปแบบของความเชื่องมงาย บางอย่างก็ค่อยสูญหายไป อ่อนลงอ่อนลง
แต่บางอย่างนี้ยังเหมือนเดิม แต่แรงกว่าเดิม โดยเฉพาะความงมงายว่า
ความสุขคืออะไร?ความสุขเกิดขึ้นอย่างไร? ความทุกข์คืออะไร? อะไรเป็นเหตุของทุกข์? นี่ก็เริ่มจุดเริ่มต้น
เพราะฉะนั้น การที่เราจะถอนออกมาจากกระแส สังคมความงมงาย
สังคมความงมงายในวัตถุ ในวัฒนธรรม ในสิ่งแวดล้อม ที่เกิด
ที่เราได้เรียนรู้มา ที่ โดยเฉพาะไอ้ส่วนที่ไม่ออกหน้าออกตา แต่อยู่เบื้องหลังลึกๆ
ฝังลึกอยู่ในสิ่งที่คนทั่วไปถือว่า ก็โลกที่เป็นจริงก็เป็นอย่างนี้แหละ จุดเริ่มต้นอย่างที่อาตมาว่า
อะไรคือสิ่งที่อยู่เหนือ เงิน? ที่เงินซื้อไม่ได้? และถ้ามองว่า
ถึงจะให้เงินหมื่นล้าน แสนล้านน่ะ ไม่ให้หรอก เพราะอะไร?
ทำไมมันจึงไม่ให้? อันนี้เราก็พิจารณาตรงนี้ เป็นจุดเริ่มต้น
ทีนี้ในทางพุทธศาสนา เรามีคำสอน ผู้ครองเรือน จะมีชีวิตที่สมบูรณ์
และชีวิตที่มีสุขได้ ต้องมีการฝึกตน แล้วก็ต้องมีการพัฒนาตัวชีวิต
การแสวงหาโภคทรัพย์ การแสวงหาผลสำเร็จการอาชีพการงาน ไม่ว่าอะไร แต่มันไม่พอที่จะตอบสนองความต้องการแท้จริงของมนุษย์
ถ้าจะให้สมดุลถ้าจะให้สมบูรณ์ เพราะต้องมีการพัฒนาทางโลกทางธรรมพร้อมกัน การพัฒนาทางธรรมคืออย่างไร?
ง่ายสุด มีในโอวาทปาติโมกข์ ตั้งแต่ต้นเลยว่า ละบาป บำเพ็ญกุศล
ชำระจิตของตนให้ขาวสะอาด ฉะนั้นฝนการดำเนินชีวิต การทำงาน การทำหน้าที่
ต่อครอบครัว ต่อสังคม ทุกอย่าง ต้องมองในกรอบของการละบาป บำเพ็ญกุศล ชำระจิตใจของตนให้ขาวสะอาดขึ้น
คือเป็นโครงการสำคัญ ชองงานหลัก งานใหญ่ ในชีวิตเรานี่จะต้องพยายาม ให้กิเลสในจิตใจของเราลดน้อยลง
เท่าที่จะเป็นได้ แล้วก็ต้องพยายามให้สิ่งที่ดีงาม ปรากฏและพัฒนาเพิ่มมากขึ้น
เท่าที่จะเป็นได้ และจะต้องชำระจิตใจให้สูงขึ้นสะอาดขึ้น เป็นอิสระมากขึ้น
นี้คืองาน ไม่ทำไม่มีใครว่าอะไรหรอก ไม่ทำไม่ติดคุกติดตะราง ไม้มีใครประณาม
ไม่มีใครว่าอะไร
เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นงานที่ยาก เพราะไม่ทำละ
เราก็ยังสามารถบอกตัวเองว่า ไม่เห็นจำเป็น คนอื่นก็ไม่เห็นทำ เค้าก็อยู่ได้ดี
และมันก็มีเหตุผลแบบนั้นมากมาย แต่ถ้าถ้าเอาสัมมาทิฏฐิในทางพุทธศาสนา เรา...มันก็ช่วยคือ
ไอ้เรื่องโลกหรือธรรม มันไม่ใช่คนละข้างกัน คนละขั้วกัน
เพราะมีผลต่อกันและกัน อย่างน้อยในอริยมรรค มีองค์ ๘ ก็มีคำว่า สัมมาอาชีวะ
สัมมาอาชีพ ก็ถือว่า ควรจะประกอบอาชีพที่ไม่ขัดกับหลักธรรม หมายถึงว่า
ไม่เป็นการประกอบอาชีพ ที่เบียด อ่า นำไปสู่การเบียดเบียนตน เบียดเบียนคนอื่น เบียดเบียนสังคม
เบียดเบียนวัฒนธรรม เบียดเบียนสิ่งแวดล้อม และในทางธรรมเนี่ยะพอเรามีหลักใหญ่ว่า
การดำเนินชีวิตในเรื่องการทำมาหากิน ทำธุรกิจ ทำนั่นทำนี่ ทำได้แหละ แต่ถ้าทำไปทางนี้แล้ว
รู้สึกว่ากิเลสในใจเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งที่ดีงามน่ะ ไม่เจริญเลย
เสื่อมด้วยซ้ำไป ก็เพราะว่าเราขัดหลักการทางโลกทางธรรมควบคู่กัน
สอดคล้องกัน
นั้นเป็นแนวทาง หรือ value ทางธรรม
Buddhist’s
value จึงเป็นตัวกลั่นกรอง การทำงานในโลก ช่วยให้เรามีเข็มทิศว่า
ใช่มั้ย? ไม่ใช่มั้ย? เกี่ยวข้องมั้ย? ในการรับศีลอะไรต่างๆ นี่เราเอาอะไรเป็นเครื่องตัดสิน?
ใช่มั้ย? ถ้าไม่ได้ตัดสินตามอารมณ์ นี้จะต้องมีหลักตัดสิน หรือเครื่องตัดสิน
พุทธองค์ให้เครื่องตัดสินต่างๆว่า สิ่งที่จะทำนั้น จะมีผลต่อจิตใจเราอย่างไร?
ทำให้ความเห็นแก่ตัวมากขึ้นมั้ย? ความไม่เห็นแก่ตัวน้อยลงมั้ย? ฉะนั้นจงระวังนะ
เพราะว่าไม่ได้นำไปสู่ผลที่เราต้องการ.
ถ้าเราพิจารณาจนเห็นความสัมพันธ์ ระหว่างกิเลสกับทุกข์
คุณธรรมกับสุข ง่ายขึ้นมากเลย เพราะบางอย่างนี้ถ้าทำแล้ว โอ้
ได้เงินได้ทองมากขึ้นแน่นอน แต่จิตใจเราก็จะแย่ลง ถ้ายังงั้น
ไอ้สิ่งที่เราต้องการจากเงินเนี่ยะ เราก็ไม่ได้
เหมือนเรา...เรามีเชื้ออะไรอยู่ในท้อง กินอาหาร โห อยากกินมาก แต่กินแล้วเป็น...เป็นมูถ
อ่า เป็นเลือดเลย เพราะเราไม่สามารถย่อยมันได้ คือวัตถุต่างๆนี่เป็นปัจจัย มันจะเป็นปัจจัยของทุกข์
หรือปัจจัยของสุข มันอยู่ที่วุฒิภาวะของเรา อยู่ที่จิตใจของเรา
ที่มีสัมมาทิฏฐิ มีปัญญา มีสติ สามารถย่อยมันได้ แต่แล้วเราแสวงหาสิ่งที่ย่อยมันไม่เป็น
ทหรือมันแสลง ว่ามันจะไปแสวงหามันทำไม.
ในการชำระจิตใจให้ขาวสะอาด คำนี้เรียกว่ามันเป็น คำหนึ่งที่เราคุ้นซะจน
อ่า อาจจะไม่เห็นเป็น...อ่า เป็นทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิตรงไหน แม้ว่าการชำระจิตใจ
ก็ต้องเกิดจากความเชื่อว่า จิตใจเป็นสิ่งที่ชำระได้ คือเรามองจิตใจ
อุปมากับผ้า ผ้าที่เปื้อน ถ้าเราซักผ้าเราก็มีหวังว่าผ้านั้น จะขาวจะสะอาดได้ เพราะผ้าที่เปื้อนนี้ซักได้
มีหวังจะกลับมาสู่สภาพเดิมได้ แต่ถ้าเป็นไม้เนี่ยะ บอกว่าเราจะชำระไม้เนี่ยะ
ชำระไม้ยังไง? ชำระจนลายไม่มี โห นี่มันขยันหมั่นเพียร เป็นเท้าไหร่
นี้จะชำระไม้ไม่ให้มีลายได้อ่ะ ธรรมชาติของไม้ต้องมีลาย อื้ม เรียกว่า ถ่านหินกับเพชรน่ะ
ถ้าเป็นตามหลักเคมี นี่ก็เป็น carbon ใช่มั้ย? พุทธศาสนามองจิตเหมือนเพชร
ถ้าจะเจียรไนก็จะได้เพชรพลอยที่สวยงาม แต่หลายปรัชญาก็มองจิตเหมือนถ่าน
ถ้าถ่านเจียรไนเท่าไหร่ ถ่านก็เป็นถ่าน ทั้งๆที่ถ่านหินกับเพชร carbonเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน ฉะนั้นทางพุทธศาสนาบอกว่า จิตใจเป็นสิ่งที่ขำระได้
และมนุษย์ชำระได้ มนุษย์มีศักยภาพในการชำระ
ส่วนในหลายศาสนา หลายปรัชญา ถือว่า ไอ้กิเลสต่างๆเป็นธรรมชาติของจิต
ต้องยอมรับ บางทีก็ถือว่าเป็นผลจาก พฤติกรรมของผู้ชายผู้หญิง ของคนแรกในโลก
อะไรแบบเนี่ยะ ซึ่งต่อมาทุกคนก็ต้องเป็นอย่างนี้แหละ ถ้ามองอย่างนั้นแล้ว
จะไปขำระทำไม? เหมือนจะพยายามขัดเกลาไม้ไม่ให้มีลาย อย่างนี้เป็นต้น มันเปล่าประโยชน์
เสียเวลาเปล่าๆ แต่ทางพุทธถือว่าทำได้ อาตมาจะยกตัวอย่าง ในระดับศีล เพื่อเห็นการชำระมีด้วยศีล
ชำระด้วยสมาธิ ชำระด้วยปัญญา
ชำระด้วยศีล
นี้โดยธรรมชาติ โดยสัญชาตญาณ ยุงกัดก็ตบ ใช่มั้ย? คนที่ไม่ถือศีล สมาทานศีลต่อหน้าพระ
แต่ไม่ถือ ไม่รักษา ก็เป็นอย่างนี้ แต่ถ้าใครเกิดศรัทธาก็
ต่อแต่นี้ไปข้าพเจ้าจะถือศีล ๕ อย่างเข้มงวด ต่อมาพอยุงกัด มันก็จะมีละ จะตบ แต่ว่าหวังว่ายังไม่ตบล่ะ
รู้ตักวขึ้นมา เรียกว่าสติเกิดขึ้น โดยมีสิกขาบท คือ ปานาติปาตะ
เป็นเครื่องระลึกของสติ อันนี้คือสติในชีวิตประจำวัน โดยมีศีล ๕
เป็นเครื่องระลึก ก็ระงับ พฤติกรรมได้ จะเป็นกระแสอวิชชา
กระแสที่เป็นสัญชาตญาณ หรือว่าสิ่งใดทำให้เราเจ็บ เราต้องทำลายในสิ่งนั้น นั่นคือสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิต
แต่พอเราสมาทานศีล แล้วรักษาศีล ก็มีมนุษยธรรม เกิดขึ้นแล้ว คือมีการงดเว้น
จากสิ่งที่ตนเห็นว่าไม่ดี และกำลังจะตบก็ไม่ตบ.
แต่สิ่งที่อยากสังเกตว่า หลายคนที่รักษาศีลไว้นานนะ
จะสังเกตว่า นานๆเข้าเจตนาจะฆ่าสัตว์ ไม่ปรากฏในจิตใจ ใช่มั้ย?
ลองดู ๓ ขั้นตอน ขั้นตอนแรกก็คือ เจตนาจะฆ่าเกิดโดยไม่รู้ตัว ทำไปอัตโนมัติ
ไม่รู้สึกอะไรเลย ขั้นที่สอง กำลังเจตนาจะฆ่าเกิดขึ้นแต่สามารถงดไว้
ฝืนใจตัวเองได้ สร้างความเคยชินใหม่ ทำอย่างนี้อย่างสม่ำเสมอต่อเนื่อง
ทุกครั้งๆๆๆๆ ทุกครั้ง มันจะเกิดการเปลี่ยนแปลง การชำระของจิตใจในระดับศีล
คือเจตนาจะฆ่า ไม่ปรากฏ มันไม่ได้อยู่ในใจเลย อันนี้คือจิตได้รับการชำระ
ต่อมาบางทีก็ ไอ้เรื่องการถือศีล
ของที่เจ้าของไม่ให้เป็นต้น บางทีมันคิดอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ทำ กลัวบาป
หรือว่ากลัวเค้าจับ ไม่ทำ แต่ถ้ารักษาศีลด้วยสัมมาทิฏฐิ นานๆเข้า
แม้ความคิดก็ไม่เกิด เรียกว่าพระสงฆ์น่ะ เรื่องอดข้าวเย็น ก็ถ้าเริ่มต้นหรือว่าคนถือศีล
๘ ในวัดก็เหมือนกัน ทีแรกก็ โห เห็นอาหารในเวลาวิกาล ก็น้ำลายจะไหลแล้ว
มันปวดท้องมันจ่อกๆ อยากจะกิน แต่ไม่กิน กลัวผิดศีล แต่สังเกตมั้ย?
ใครๆที่เคยถือศีล ๘ นานสักพรรษาหนึ่ง หรือยาวกว่านั้น จนเป็นธรรมดา
เห็นอาหารรู้สึกเฉยๆ มันไม่ได้กำหนดหรือมีสัญญาว่า นั่นที่ควรใส่ปากละน่ะ
สักแต่ว่าเห็น นี่คือความเปลี่ยนแปลงง่ายๆที่เกิดจากการรักษาศีล
ซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่า จิตใจเราเปลี่ยนได้ จากมีเจตนาอย่างหนึ่ง
จนฝืนเจตนานั้นจนในที่สุดแล้วเจตนานั้นไม่มี อันนี้ก็แค่ศีลนะ
ถ้าเป็นระดับสมาธิ การชำระคือเราเห็นอารมณ์เกิดขึ้นในจิตใจ
ซึ่งจะชวนให้วิตกกังวล ซึมเศร้า คิดปรุงแต่ง เรื่องอดีตเรื่องอนาคต แต่รู้แล้ววาง
รู้แล้ววาง รู้แล้ววาง รู้แล้ววาง รู้แล้ววาง รู้แล้ววาง รู้แล้ววาง
มันก็เกิดน้อยลง ถ้าเผลอรู้ตัวเร็วขึ้น ปล่อยวางได้ง่ายขึ้น จิตใจเปลี่ยน
เปลี่ยนไปในทางที่ดี นี้เรียกว่าก็คือ การชำระ ถ้าจะชำระโดยแท้ ต้องชำระด้วยวิปัสสนา
ด้วยการเห็นไตรลักษณ์ เห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าสักแต่ว่า
ของธรรมชาติ ธรรมดา ไม่มีเจ้าของ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นดับไปตามเหตุตามปัจจัย
ไม่ใช่ว่าคิดเอา เห็นเอา ทะลุปรุโปร่ง อันนี้ก็เป็นการชำระ ประเภทที่ว่า กิเลสไม่กลับมากำเริบแล้ว
ถ้าชำระด้วยศีล ชำระด้วยสมาธิ ยังไม่แน่นอน แต่ควรจะทำ
เพื่อจิตจะมีคุณสมบัติที่จะเข้าสู่ การชำระโดยแท้ การชำระโดยสิ้นเชิง
ฉะนั้นทุกอย่างเนี่ยะ มันจะมีปรัชญา อยู่เบื้องหลัง มันจะเป็นสัมมาทิฏฐิ
หรือมิจฉาทิฏฐิ แต่ว่าเราก็ต้องพยายามทบทวนว่า เบื้องหลังกระแส
โดยเฉพาะคนที่ชอบบอกว่า โลกที่เป็นจริงก็เป็นอย่างนี้แหละ
เนี่ยะเป็นคำที่ควรจะระแวงที่สุด และมักจะเป็นคำเข้าข้างตัวเอง ที่จะพิสูจน์ว่า
สิ่งที่ตัวเองทำนี้ ไม่ผิด หรือถ้าผิดแล้ว ไม่มีทางเลือก จำเป็นต้องทำ แล้วทางพุทธศาสนาว่า
ทางเลือกมีอยู่ อาจจะไม่ง่าย แต่มีอยู่ แล้วชีวิตที่ดี ชีวิตที่สมบูรณ์
ชีวิตที่สมดุล ต้องมีการทำมาหากินด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ในอาชีพที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร
ในขณะเดียวกันเราก็ต้องคอยชำระจิตใจ ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยการฝึกตน
สิ่งใดทำให้กิเลสลดน้อยลง พยายามทำให้มาก สิ่งใดทำให้กิเลสเพิ่มมากขึ้น
พยายามอย่าไปทำเลยสิ่งนั้น
เมื่อเรารู้สึกว่า เอ้อ เรื่องทางโลกมีขึ้นมีลง ธรรมดา
แต่ว่าทางธรรมเนี่ยะ รู้สึกว่าค่อยเป็น รู้สึกดีขึ้นนะ ดีขึ้นทีละวัน
ทีละเล็กทีละน้อย นั่นคือความสุข จะมีความสุขความเจริญ เรื่องทางโลกไม่แน่ไม่นอนมาก
แต่เรื่องทางธรรมโดยภาพรวมนะ เราก็จะเห็น เอ้อ ชีวิตเรานี้มี
มีก้าวหน้าเหมือนกันนะ ไม่ได้เสียชาติเกิดเป็นมนุษย์ ในประเทศอันสมควร.
และวันนี้ก็ขอยุติลงเพียงแค่นี้.
...สาธุ...
https://www.youtube.com/live/dUlO-UeGml8?si=aoWfWPUVVtwoHZVe
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น