หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2568

พระอาจารย์ชยสาโร - สุดโต่งเพราะไม่รู้

 พระอาจารย์ชยสาโร - สุดโต่งเพราะไม่รู้

          https://youtu.be/nu2bLd1wa4M?si=Uju_fit-NwQgXFwu




          นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

          นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

          นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

          พุทธัง ธัมมัง สังฆัง อะนุตตะรัง คุณุตตะรัง อุปัชฌาย์ยัง นะมัสสามิ.

          อ่า วันนี้ลูกศิษย์คนหนึ่ง ขอให้อาตมาบรรยายเรื่อง “ทางสายกลาง” ทางสายกลางคืออะไร?

เสียงโอเคนะ ไม่ก้อง อ่า เวลาเราต้องการจะจำกัดความ จะนิยามสิ่งใด ทางเข้าสู่เนื้อเรื่องก็ ถามว่า อะไรไม่ใช่สิ่งนั้น? ก็จะทำให้ชัดเจนขึ้น อย่างเช่น สติคืออะไร? ความระลึกได้ สติไม่ใช่อะไร? ไม่ใช่ความลืม แ ความระลึกได้คือไม่ลืม ฉะนั้นอะไรไม่ใช่ทางสายกลาง? ในพระไตรปิฎก จะสังเกตว่าทางสายกลาง อันนี้จะมี 2 อย่าง หรือว่าใช่ใน 2 บริบท ข้อแรกเกี่ยวกับ ธรรมชาติเป็นอย่างไร แล้วก็ในข้อที่สอง เมื่อธรรมชาติเป็นเช่นนี้ เราควรจะปฏิบัติอย่างไร?

ในคำสอนพระพุทธเจ้า ทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์ ก็แบ่งออกเป็น 2 ส่วนนี้ได้เหมือนกันว่า ธรรมะที่เกี่ยวกับธรรมชาติ ธรรมชาติคืออะไร? ความเป็นจริงของโลกของชีวิต เป็นอย่างไร? อันนี้ข้อแรก ข้อที่สอง เมื่อเป็นเช่นนี้ เราควรจะทำอะไรบ้าง? ยกตัวอย่าง ปัจฉิมวาทของพระพุทธเจ้า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมีความเสื่อมเป็นธรรมดา นี่คือข้อสังเกตกับธรรมชาติ ข้อถัดไปก็คือ เพราะฉะนั้นพวกเธอ ควรถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท อันนี้ก็เมื่อเราอยู่ในโลก แห่วงความไม่เที่ยงแท้ถาวร ความเปลี่ยนแปลงแปรปรวน ความเสื่อม ผู้มีปัญญาต้องปฏิบัติด้วยความไม่ประมาท.

ฉะนั้นคำสอนมี 2 ส่วน นั้น อ่า หลวงพ่อสมเด็จพระโฆษาจารย์ท่านก็ใช้บาลีว่า มัชเฌนะ กับ อ่า จำไม่ได้ ภาษาบาลี กับ มัชฌิมาปฏิปทา ก็เป็นเรื่องของทฤษฎี เรื่องของการปฏิบัติ ทีนี้มันเรื่องของธรรมชาติ คำว่า ทางสายกลาง เกี่ยวกับวัตถุทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีผู้สร้าง เป็นธรรมชาติของมันเช่นนั้นเอง ในการที่ต้องการหาจุดเริ่มต้น อันนั้นก็เป็นความคิดผิดของมนุษย์ต่างหาก ตามความเคยชิน.

ทีนี้พระพุทธองค์ก็ได้กำหนด ความคิดสุดโต่ง ความคิดผิด 2 อย่าง หนึ่งคือความคิดผิดในเรื่องนิรันดร สวรรค์นิรันดร นรกนิรันดร อะไรพวกเนี่ยะ และคนที่เชื่อว่ามีภาวะ ได้ภาวะหนึ่ง มีภพภูมิ ได้ภพภูมิหนึ่ง ที่เป็นนิรันดร เค้าเรียกว่าเป็นความคิดผิด ความคิดสุดโต่ง แล้วความคิดซึ่งคนปัจจุบันเป็นกันมาก แต่มีตั้งแต่สมัยพุทธกาล หรือก่อนพุทธกาล และเค้าถือว่าตายแล้วสูญ คือเรื่องชีวิตเป็นเรื่องของวัตถุ จิตใจก็เป็นแค่อาการ เป็นผลข้างเคียงของการทำงานของสารเคมีในสมอง ถ้าสมองตาย ทุกสิ่งทุกอย่างต้องตายหมด เพราะมีแต่กายอย่างเดียว เรียกว่าตายแล้วสูญ เรามีชาติชาติเดียว.

ฉะนั้นตายแล้วขึ้นสวรรค์นิรันดร ตกนรกนิรันดร เป็นความคิดสุดโต่ง ความเชื่อ ความคิดตายแล้วสูญ ก็สุดโต่ง ทีนี้ที่สำคัญมาก ที่ควรจะสังเกตในเรื่องทางสายกลาง ไม่เหมือนว่า กลางถนน คือไม่ใช่ว่าเรากำหนดที่สุด 2 ข้อ แล้วถือว่าที่ถูกต้องที่เป็นทางสายกลาง ก็อยู่ตรงกลาง ระหว่าง 2 ข้อนั้น พุทธองค์ก็ไม่ได้ตรัสอย่างนั้น พุทธองค์ก็ตรัสไว้ว่า ไม่เข้าไปสู่ความคิดสุดโต่ง 2 ข้อ แต่ไม่ได้บอกว่าอยู่ระหว่างนั้นอยู่ตรงไหน? แล้วพุทธองค์ก็ตรัสว่า ผู้เจริญสติ จิตสงบ ไม่ปรุงแต่ง ก็มีคุณสมบัติพิเศษ คือสามารถ เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ในจิตใจ ชัดมาก ปกติจะมองไม่เห็น ไม่ทัน แต่ถ้าสมาธิตั้งมั่นแล้ว ความเกิดขึ้น ดับไป ของอารมณ์ต่างๆ ปรากฏ ปกติจะไม่ปรากฏ.

เหมือนในชีวิตประจำวัน ก่อนจะรู้สึกว่า โอ้ เราโกรธเสียแล้ว อิจฉาเสียแล้ว อะไรเสียแล้วน่ะ แต่มันโกรธมันหงุดหงิด มันเครียด ตั้งแต่จุดไหน? วินาทีไหน? นาทีไหน? กี่นาทีแล้ว? กี่วินาทีแล้ว? ตอบไม่ได้ แต่หลายอย่างนี่ มันก็ดับตัวมันเอง เราก็ไม่รู้สึกจนกระทั่ง เอ้ ตอนนี้รู้สึกค่อนข้างดีเน๊าะ อารมณ์ดีแล้ว แต่มันดีตั้งแต่ตอนไหน กี่นาทีแล้ว กี่วินาทีแล้ว ตอบไม่ได้ เพราะฉะนั้นในประสบการณ์จริง ในการเกิดขึ้นของอารมณ์ แล้วการดับไปของอารมณ์ นอกจากจะเป็นเรื่องแบบฉุกเฉิน เป็นเรื่องตกใจ แบบเรียกว่า ฟังข่าวแล้วก็ปลื้มปีติ เราก็พอจะรู้ตัวว่าอารมณ์เปลี่ยน แต่ในชีวิตประจำวัน ถึงว่ามีหลายเรื่องเกินที่ต้องรับผิดชอบ ต้องเผชิญหน้านี่ มันจับไม่ทัน.

เพราะฉะนั้นในการทำสมาธิ ที่เราทำทุกอย่างให้มันง่ายที่สุด ให้มีเรื่องให้น้อยที่สุด ในเมื่อจิตตั้งมั่น เราเห็นความเกิดขึ้น และดับไป ของอารมณ์ มันจะเห็นอารมณ์ ตลอดกระบวนการของมัน ซึ่งเรื่องนี้มันจะทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป มุมมองก็เข้าใจในชีวิตตัวเอง ความเข้าใจในโลก ย่อมเปลี่ยนไป ฉะนั้น โอ้ มันเป็นสักแต่ว่า อารมณ์นี่มันเป็นเหตุการณ์ เป็นเหตุการณ์หนึ่ง เกิดขึ้นดับไป.

ทีนี้ ที่น่าสนใจคือ พระพุทธองค์ก็ตรัสไว้ว่า ผู้ที่เห็นความเกิดขึ้นของอารมณ์ อย่างชัดเจนด้วยจิตใจที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ ผู้นั้นจะไม่เชื่ออีกแล้ว ในทฤษฎี ในความเชื่อในความคิดว่า ตายแล้วสูญ แล้วผู้ที่เห็นความดับของอารมณ์อย่างชัดเจน ในจิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ หมดความเชื่อในเรื่องนิรันดร อันนี้มันลึกซึ้งมากนะ. ก็เป็นอันว่า ผู้ที่เชื่อว่า ตายแล้วสูญ เชื่อได้เพราะไม่เคยเห็นความจริงของจิตใจตัวเอง คนที่เชื่อว่าตายแล้วขึ้นสวรรค์นิรันดร ตกนรกนิรันดร เพราะไม่เคยเห็นความดับไปของอารมณ์ในจิตสงบ คือมันเป็นความคิด ที่อยู่ได้เพราะขาดปัญญา เพราะขาดประสบการณ์ตรงในธรรมชาติ.

อันนี้ก็คือการวิเคราะห์ ความคิดของศาสนาของลัทธิอื่นๆ ว่าไม่ได้ต่อว่าที่ในระดับเหตุผล มันก็มีอยู่บ้าง แต่ที่สำคัญคือ ผู้ที่จะหมดสงสัย หมดงมงาย เรื่องตายแล้วสูญ ตายแล้วนิรันดร คือผู้ที่เห็น เห็นชัด อยู่ในปัจจุบัน ถึงความเกิดดับ ของอารมณ์ ฉะนั้นผู้ที่รู้เห็นตามความเป็นจริง ย่อมไม่เข้าไปสู่ความคิดสุดโต่ง ความคิดสุดโต่งต่างๆ เกิดเพราะไม่รู้ไม่เห็น.

อันนี้ก็คือเรื่อง อ่า ทางสายกลาง ในความหมายในเชิง เรียกว่าปรัชญา เรียกว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ ว่าความคิดผิดเกิดขึ้น เรียกว่าทำให้คนหลงเชื่อได้ เพราะอะไร? เราจะพ้นจากความสุดโต่ง ต้องทำอะไร?

ทีนี้ ในภาคปฏิบัติ พุทธองค์ก็กล่าวถึง ทางสายกลางตั้งแต่ต้นเลย ตั้งแต่ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร ตั้งแต่บทแรก ประโยคแรก ซึ่งก็มีเหตุผลว่า พุทธองค์จ้องเริ่มด้วยการกล่าวถึงความคิดสุดโต่ง ในอ่า ในบริบทนี้ เนื่องจากว่า ลูกศิษย์ยังไม่ศรัทธาในพระตถาคต จิตใจยัง ยังไม่พอใจพระพุทธเจ้า ไปเข้าใจผิดว่า การปฏิบัตินี่ต้องทรมานกาย จึงจะหลุดพ้นได้ซึ่งเป็นปรัชญาว่า ว่าร่างกายและความต้องการของร่างกาย เช่นความต้องการในกาม สิ่งต่างๆนั่นเหมือนเป็นเรือนจำ จิตใจเหมือนนักโทษ ถูกขังไว้ในร่างกาย ซึ่งอยากจะให้มันดี อยากจะให้มันบริสุทธิ์ อะไร มันไม่ได้เพราะร่างกายมัน กายไม่ให้ พอพยายามฝึกจิตให้ปล่อยวาง ก็มีความอยากได้ รูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส ร่างกายเป็นศัตรู เป็นปฏิปักษ์ต่อการพัฒนาจิตใจ ฉะนั้นต้องทรมานร่างกาย ถ้าร่างกายอ่อนแอ ก็เหมือนเรือนจำไม่แข็งแรง ที่จะแหกคุก อ่า ที่จะออกจากเรือนจำ ก็มีง่ายขึ้น เหมือนทำว่า ให้เรือนจำดูปรักหักพัง พร้อมที่จะพัง แล้วจะออกไปได้ง่าย นี้คือปรัชญา นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีความเชื่อว่า ทุกคนเคยทำกรรมเอาไว้ แล้วการทรมานกายเป็นทุกข์ และทุกข์นั้นก็เป็นการใช้กรรม ทรมานกายมาก ก็ใช้กรรมมาก กรรมหมดเมื่อไหร่ จิตใจก็มีสิทธิจะได้พ้นทุกข์ ความคิดอย่างนี้สุดโต่ง.

แต่ก่อนที่พุทธองค์จะตำหนิ ความคิดอย่างนี้พุทธองค์ต้องกล่าวถึง เรื่องความหมกหมุ่น ความหลงใหล อยู่กามสุข ซึ่งพุทธองค์ก็ยืนยันเลยว่า ไม่ใช่เป็นของท่าน เป็นของหยาบคาย เป็นทางตัน เพื่อปลอบใจปัญจวัคคีย์ ซึ่งกำลังสันนิษฐานว่า พระพุทธเจ้าไม่ทรมานกายแล้ว ต้องกลับไปหากามสุขเหมือนเดิม เพราะคิดว่ามีแค่ 2 อย่าง ใช่มั้ย? มีหลงใหลอยู่ในกามกับทรมานกาย จะเอายังไงดี? ฆราวาสเอาหมกหมุ่น นักบวชต้องเอาทรมาน คือไม่เคยรู้ว่า มันมีหนทางที่ 3 พุทธองค์ก็ตรัสไว้ว่า ไอ้เรื่องการหมกหมุ่นอยู่ในกามนี่ ไม่ใช่ เป็นของต่ำทราม ปัญจวัคคีย์สันนิษฐานได้ว่า ปัญจวัคคีย์ก็คงต้องโล่งใจว่า อ๋อ ครูบาอาจารย์ของเรานี่ไปหลงไปพักหนึ่ง ตอนนี้ท่านก็กลับมาปกติแล้วเหมือนเดิมแล้ว แต่พุทธองค์พูดต่อ ตรัสต่อไปว่า การทรมานกายก็ไม่ใช่ เหมือนกัน ไม่ใช่ทางไปสู่การหลุดพ้น เมื่อพุทธองค์ปูพื้นเรียบร้อยแล้ว ก็พูถึงทางสายกลาง และทางสายกลางของพระพุทธเจ้านั้น ในภาคปฏิบัติก็คือ อริยมรรค มีองค์ 8 นั่นเอง ทางที่นำไปสู่การหลุดพ้นโดยแท้.

ดังนั้นในภาคปฏิบัติ ความ...พฤติกรรม แนวทาง วิถีชีวิต ที่ผิดก็คือ หมกหมุ่นอยู่ในกาม สอง-ทรมานกายแล้วลำบาก ผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ก็ไม่เข้าไปสู่ 2 สิ่งนี้ แต่เมื่อกี้นี้ก็ได้  ก็ได้พูดไปแล้วว่า ทางสายกลางไม่ใช่ว่าจะต้องเป็น อะไร...ไอ้จุด(กึ่ง)กลาง เหมือนกลางถนน แจ่ขอยกตัวอย่างสมมติว่าเรากำลังเดินทาง แล้วไม่มั่นใจในเส้นทาง แล้วมีคนกลุ่มหนึ่งบอกว่าต้องเดินทางทางทิศตะวันออก อีกกลุ่มหนึ่งก็บอกว่าไม่ใช่ ไม่ใช่ มันทิศตะวันตกถึงจะถูก ทีนี้ถ้าเราดู 2 กลุ่มนี้ในทางสายกลางน่ะไม่ได้หมายความว่า เพราะกลุ่มนี้ว่าตะวันตก กลุ่มนี้ว่าตะวันออก แล้วมันน่าจะเป็นทิศเหนือ อยู่ตรงกลางระหว่างตะวันออกกับตะวันตก อาจจะเป็นตะวันออกเฉียงเหนือก็ได้ อาจจะเป็นตะวันตกเฉียงเหนือก็ได้.

ฉะนั้นไอ้การ...ความคิดสุดโต่งมันไม่ใช่ตัวพิสูจน์หรือตัวชี้ให้เห็นว่า ทางที่ถูกต้องตรงไหน ฉะนั้น...เราต้องระมัดระวัง เราก็นึกว่า โอ้ตรงนี้เป็นทางสายกลางดี พวกนั้นก็เอายังงั้น เราก็เอากลาง เอาแบบให้เค้าประนีประนอม อะลุ่มอะหล่วย เราจะได้หาทางสายกลาง คืออาจจะผิดทั้งสองก็ได้ แล้วถ้าผิดทั้งสอง แล้วอะลุ่มอะหล่วยระหว่างผิด น่ะ ทิศตะวันตกก็ผิด มันไม่ใช่ว่าจะได้เส้นทาง ที่ถูกเพียงเพราะเราไม่...ไม่ดื้อ ยอมเสียสละ ผลประโยชน์บางส่วน ช่วยกันอะลุ่มอะหล่วย แล้วก็จะหาทางสายกลาง อันไม่ได้หมายความว่า เราจะได้แนวทาง.

ฉะนั้นเราจำเป็นต้องมีอุดมการณ์ร่วม มันจึงจะใช่ แล้วก็ต้องเป็นอุมการณ์ที่เป็นตัวสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ แต่ในทางสายกลาง ที่ตรงกับอริยมรรค มีองค์ 8 แล้วก็มีนิพพาน เป็นจุดหมายปลายทาง หรือเป็นเป้าหมายสูงสุด ฉะนั้นเราจะประเมิน จะวัด การปฏิบัติของเรา เราไม่ต้องไปเปรียบเทียบ กับการหมกหมุ่นในกามและการทรมานกายตลอด เพียงแต่ว่าระวัง อย่าให้ตกไป คิดหรือหลงอยู่ กับ 2 อย่างนี้ แต่เมื่อมีมรรคผลนิพพานเป็นจุดหมายปลายทาง ตัวตัดสินในระยะสั้น ในชีวิตประจำวัน ก็คือกุศลธรรม อกุศลธรรม.

กุศลธรรมคือเป็นส่วนประกอบ หรือว่าเป็นเอกลักษณ์ ของจิตที่กำลังเจริญ ในทางที่ถูกต้อง อกุศลธรรมคือเป็นจุด...ปรากฏ หรือว่าเป็นเอกลักษณ์ เป็นเครื่องชี้บอกว่า ผิดทาง. ฉะนั้นเอาสิ่งที่ปรากฏอยู่ อยู่ในปัจจุบันเป็นหลัก ด้วยการโยงไปถึงสิ่งสูงสุด คือนิพพาน ก็คือการไม่มีกิเลส และการถึงพร้อมด้วยปัญญา ด้วยความเมตตากรุณา ด้วยความบริสุทธิ์ใจ.

ดังนั้น ในปัจจุบัน การหาทางสายกลางนี่ พอเราไม่มีสัมมาทิฏฐิ เครื่องรองรับ หรือไม่มีข้อตกลงกันว่า เรากำลังทำงาน กำลังพัฒนา เพื่ออะไร? คือพอเราเอาแต่เป้าหมายในระยะสั้น เป้าหมายในทางด้านวัตถุ เป้นต้น มันจึงทำให้เกิดความไม่ชัดเจน ทีนี้ในทางสายกลางนี่ ในบางช่วงเราอาจจะต้อง หวุดหวิดหน่อย แต่เมื่อกี้นี้บอกว่าตะวันตก ตะวันออก อาจจะเป็นทิศตะวันออกเฉียงเหนือก็ได้ และในการปฏิบัติมันจะเอียงไปทาง การทรมานกายมากกว่าการหมกหมุ่นในกาม และพุทธองค์ก็ตรัสตำหนิการทรมานกาย ให้ลำบากเปล่าๆ โดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นอัตตกิลมาถานุโยค การทรมานตนให้ลำบาก นั่นคนก็ศึกษาไม่ทั่วถึง ศึกษาผิวเผิน ลำบากเมื่อไหร่ก็หาว่า โอ้ ไม่ใช่ทางสายกลางเสียแล้ว พุทธองค์ไม่ห้ามความลำบาก คือห้ามความลำบากที่เกิดเพราะการปฏิบัติโดยมีความคิดผิดว่า เพราะลำบากแล้วเราจะบริสุทธิ์ หรือว่ากำลังใช้กรรม แต่ถ้าเรากลัวลำบาก จิตใจเราคับแคบ และหลายสิ่งหลายอย่างที่มีคุณค่า ที่จำเป็นต้องผ่านความลำบาก จึงได้ผล ก็เรียกว่าหมดสิทธิ ใช่มั้ย? ถ้าเราจะทำ เราจะพัฒนาเฉพาะในส่วนที่ไม่ลำบาก ก็คงไม่มีทางสำเร็จเหมือนกัน.

ส่วนการหมกหมุ่นในกาม เราก็ต้องระวังเหมือนกัน คือไม่ได้หมายความว่า จะมีความสุขกายไม่ได้เลย อย่างที่อาตมาสังเกตว่า นักบวช...พระบวชใหม่ มักจะกังวลว่าจะทุกข์เรื่องกิเลสที่เกิดขึ้น ในระหว่างการฉันอาหาร มากเกินไป คือในเมื่อพระท่าน ฉันมื้อเดียวยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อครั้ง ร่างกายต้องการอาหาร แล้วเป็นกลไกของธรรมชาติ และว่าเมื่อร่างกายต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และก็ทำให้สิ่งนั้นให้สุขเวทนาเป็นรางวัล ฉะนั้นถ้าฉันวันละมื้อ ต้องหิวบ้าง และหิวแล้ว ทานอาหารเพื่อตอบสนองความต้องการของร่างกาย สุขเวทนาก็ย่อมเกิดขึ้น ทีนี้พระบางท่าน ท่านก็จะรังเกียจสุขเวทนามาก กลัวตัวเองเป็นบาป หรือว่าจิตใจไปหลงใหลกับสุขเวทนา แล้วรู้สึก“guilty”ภายหลัง รู้สึกตัวเองไม่ดี อันที่จริงแล้วในวัดสายหลวงปู่ชา ส่วนมากก็ใช้เวลาฉัน 15 นาที 20 นาที อย่างมาก ก็เรียกว่าในถ้าพักผ่อนวันละ 5-6 ชั่วโมง ถ้าขาดสติ เรียกว่าหลงอยู่กับกาม 5 นาที 10 นาที ใน 18-19 ชั่วโมง ก็ไม่ถึงกับเสียหาย จริงๆนะ เป็นสิ่งที่ค่อยๆขัดเกลา แต่พระอายุ 20 ต้นๆเองก็...ก็ไม่แปลก.

ฉะนั้นในทางสายกลาง ไม่เข้าไปสู่ความหลงใหล หมกหมุ่นยินดีในกาม ไม่หลงใหลในการทรมานกาย หรือเราคิดว่า ยิ่งยากยิ่งลำบาก ยิ่งทรมานยิ่งได้ผลแน่นอน  มันก็มีสัมมาทิฏฐิด้วย แล้วก็ต้องเข้าใจในเรื่องธรรมชาติของกาย ธรรมชาติของโลก ไว้ด้วย ฉะนั้นในทางสายกลาง บางทีรู้สึกว่าหลงทาง รู้สึกงง ท่านจึงให้ใช้ธุดงควัตร มาก ก็คือขัดเกลาพิเศษ อย่างท่านอาจจะ อ่า ท่านอยากจะผ่อนอาหาร ทานอาหารน้อยลง หรืออาจจะ เนสัสชิ - ไม่นอน 1 คืน 7 คืน 1 เดือน 1 พรรษาก็ยังมี แต่นั้นก็ยอมรับว่า ไม่เป็นทางสายกลางทีเดียว แต่เพื่อให้ตั้งมั่นในทางสายกลางในระยะยาว ก็จะขัดเกลาเป็นพิเศษ นั่นเฉพาะเวลาที่เรากำหนดไว้ เพื่อผลบางอย่าง แต่เมื่อพระท่านรู้สึกว่า...โอ่ ช่วงนี้ขี้เกียจเหลือเกิน นอนมากเกินไป ทำยังไงดี พยายาม พยายามยังไงมันก็ไม่ได้ผล อ้าว ยังงั้นก็อดนอนซะเลย สัก 7 วัน ลองดูซิเอ้า ฝืนความรู้สึก แต่ว่าถ้าทำโดยสัมมาทิฏฐิ มันจะเป็นลักษณะการทดลอง เหมือนนักวิทยาศาสตร์ เอ่อ ทำยังงี้มันจะเกิดความเปลี่ยนแปลงยังไงมั้ย? มีผลยังไงมั้ย? แล้วก็คอยประเมินผล แต่ทำชั่วคราว.

ฉะนั้นทางสายกลาง หลักปฏิบัติอริยมรรค มีองค์ 8 คือไม่คิด หลง ในการทรมานกาย อย่างเปล่าประโยชน์ ไม่ให้หมกหมุ่นในกาม ถ้ามีการพัฒนาทางพฤติกรรม ทางจิตใจและทางปัญญานั้น ทางสายกลางก็คืออริมรรค มีองค์ 8 อริยมรรคมีองค์ 8 ก็คือไตรสิกขา ทางสายกลางก็คือไตรสิกขา นั่นเอง และในไตรสิกขา 3 ข้อ ศีล สมาธิ ปัญญา แต่ในอริยมรรค มีองค์ 8 ก็เริ่มด้วยปัญญา สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ 2 ข้อแรก จากนั้นก็นำไปสู่สติ ขออภัย...อ่า นำไปสู่ศีล แล้วก็ศีลสู่สมาธิ ซึ่งสมาธิในไตรสิกขา รวมถึง วายามะ-ความเพียรชอบ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ และไม่ใช่ตัวสมาธิ ความตั้งใจมั่นอย่างเดียว แต่หมายถึงการฝึกจิต จิตภาวนา นั่นเอง.

ในอริยมรรคในความ ให้ความสัมพันธ์กับปัญญา ว่าต้องเริ่มต้นด้วยปัญญา เพราะถ้าเรา...ถ้าเรามีความเข้าใจผิด แนวความึคิด ปรัชญา ทุกสิ่งทุกอย่าง มันต้องสอดคล้องกับความเชื่อ ด้วยความคิดเบื้องต้น ซึ่งพุทธองค์ก็เคยตรัสไว้ว่า มิจฉาทิฏฐิ – ความเห็นผิด เป็นบาปอย่างยิ่ง อย่างว่ามีความเข้าใจผิดในเรื่องบุญ เรื่องบาป ตั้งแต่แย่สุดว่า บุญไม่มีหรอก บาปไม่มี เราจึงว่าพวกนี้ไม่มีหรอก อันนี้ถ้าเราไม่เชื่อว่าบุญมีจริง บาปมีจริง ก็ต้องนำไปสู่อุดมการณ์ชีวิต เป้าหมายชีวิต แนวความคิด การมองตัวเอง การมองคนอื่น การมองอดีต มองอนาคต ทุกอย่าง แล้วก็ต้องสืบมาจากความเชื่ออย่างนี้ หรือว่าถ้าเรามีความคิดผิด ว่าบุญคือบาป บาปคือบุญ หรือว่าความ คุณงามความดีบ่างอย่างนี่มันไม่ใช่ ความไม่ดีบางอย่างมันก็ดีอยู่ ถ้าเกิดความสับสน หรือเกิดความคิดผิด มันก็มีผลกระทบมากเหมือนกัน เพราะความละอายต่อบาป ความเกรงกลัวต่อบาป คือความละอายต่อสิ่งที่เราเชื่อว่าบาป ความเกรงกลัวต่อสิ่งที่ตนเชื่อว่าบาป แต่ถ้าความเชื่อในสิ่งที่เป็นบาป ไม่ถูกต้อง อาจจะเกิดความยับยั้งชั่งใจในสิ่งที่ควรทำก็ได้ อาจจะทำให้เกิดความยินดีทำในบางสิ่งบางอย่าง โดยไม่มีความคิดที่จะยับยั้งชั่งใจ ไม่เห็นโทษของมันเลย.

ฉะนั้นความคิด ความเชื่อ อันนี้สำคัญ ดังนั้นในเมืองไทย เราเห็นปัญหาปัจจุบันคือ ไม่ได้สอนหลักสัมมาทิฏฐิ ไม่ได้เผยแผ่หลักสัมมาทิฏฐิ ในสังคมทั่วไป คนจำนวนมากถึง...ไม่ว่าอาจจะถือตัวเองเป็นพุทธ เรียกว่าเป็นพุทธโดยทะเบียนบ้านก็ตาม แต่ว่ามีมิจฉาทิฏฐิ ไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ ในหลายเรื่อง เรื่องของบุญของบาป ของเชื่อว่าเราเกิดมาชาติเดียว หรือว่าเกิดมาบริสุทธิ์เป็นกระดาษขาว หรือว่าตายแล้วสูญ อะไรก็...ความคิดอย่างนี้ มันก็ อ่า เรียกว่ามีทั่วไป แผ่ทั่วไปในสังคม โดยเฉพาะในคนรุ่นใหม่ เพราะไม่มีการศึกษา ทำไมไม่มีการศึกษา ก็ต้องโทษผู้ที่ควรให้การศึกษาด้วย แล้วไม่ใช่โทษสถาบันการศึกษา โทษผู้ปกครองด้วย โทษผู้เป็นพ่อเป็นแม่ด้วย ก็เลยไม่แปลกใจ ว่าทุกวันนี้มีความขัดแย้ง ในสังคมมาก อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ในเมื่อหลักสัมมาทิฏฐิ หายไป ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมต่างๆ อย่างเช่น การที่ทุกวันนี้ คนมีลูกคนเดียว หรือสองคน ในการที่มีลูกคนเดียว แล้วก็รับอิทธิพลจากตะวันตก ก็สอนลูกว่า ลูกทำได้ทุกอย่าง ลูกดีที่สุด เก่งที่สุด คือให้กำลังใจ ลูกมาก แล้วก็ให้ลูกเชื่อมั่น ในตัวเองมาก ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี แต่ว่ามันเกิน เพราะขาดสัมมาทิฏฐิ มันเกิน แล้วว่าเมื่อความรักของพ่อแม่ ทุ่มเทที่ลูกคนเดียว มันก็เลยสังคม ไม่ว่าสังคมไทยหรือสังคมของโลก เปลี่ยนแปลงที่....ให้เด็กเป็น narcissist (บุคลิกภาพหลงตัวเอง - ผู้ถอดความ) มากขึ้น narcissist narcissism1 แปลไทยมันก็อะไรล่ะ คลั่งไคล้ในตัวเอง ก็เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับฉัน นั่นไม่ยุติธรรม ไม่อยากทำ นั่นไม่ยุติธรรม ไม่...ทุกอย่าง คือทุก  

1https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%87

อย่างก็ต้องมองผ่านความต้องการของตัวเอง ผ่านภาพลักษณ์ของตัวเองแหละ คือความรู้สึกใน ในส่วนรวม ก็อ่อนลง อันนี้ก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยหลายอย่าง ฉะนั้นในเรื่องของการเรียกร้องในสิทธิ หรือความต้องการ หรือความเสมอภาค อะไรทำนองนี้ มันไม่ใช่ว่า อาตมาจะแอนตี้(anti) หรือจะต่อต้านอะไรมันก็เป็นสิ่งที่ดีอยู่ในส่วนหนึ่ง.

          แต่ในขณะเดียวกัน ก็ต้องฝังอยู่ในบริบท หรือของวัฒนธรรม สัมมาทิฏฐิจึงจะมีคุณมากกว่าโทษ แล้วสัมมาทิฏฐิไม่ใช่ว่าจะต้องเชื่ออะไรงมงาย ก็หมายถึงว่า ยอมอยู่กับความจริง ของกายของใจ แล้วถามคำถามง่ายๆว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร? ไอ้คุณค่าชีวิตมนุษย์ มันอยู่ตรงไหน? ใช่มั้ย? อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด ที่สูงที่สุด ที่เราควรจะได้จากการเกิดเป็นมนุษย์?

          คือทุกวันนี้คนก็มองเฉพาะจุด มองแคบ ๆ เรื่องอาชีพการงาน เรื่องชื่อเสียง เรื่องวัตถุอะไร ต่างๆ แล้วก็ฉลาดในแต่ละเรื่อง ก็มองว่าฉลาดในเรื่องนั้น จะฉลาดเฉพาะเรื่อง แต่ตาบอดต่อภาพรวมของชีวิต ในการที่เราเกิดแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ในเวลาที่จำกัดเนี่ยะ เราจะทำอะไรให้มัน ให้มันดีที่สุด? อะไรคือดีที่สุด? แต่เมื่อเรามี อ่า ทุกวันนี้ อาตมาว่า ขอสันนิษฐานว่า ไอ้เรื่องที่ว่า เอาตัวเรา ไอ้อัตตา ตัวตน มี generation น่ะ เพราะเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง อย่างนี้ อาจมาว่าไม่ใช่ โดยบังเอิญ ว่าโรคที่ระบาดมากที่สุด ไม่ใช่โควิด โรคที่ระบาดมากที่สุด ใน 10, 20 ปี ที่ผ่านมา พุ่งขึ้นมาอย่างน่าตกใจ คือโรคซึมเศร้า คือการที่หมกหมุ่นกับเรื่องตัวเอง เกินพอดี ก็เป็นส่วนสำคัญ ปัจจัยสำคัญ ในโรคจิตต่างๆ โดยเฉพาะโรคซึมเศร้า นี่คือคำสันนิษฐานนะ ให้ลองดูว่า ใช่หรือไม่ใช่?

          ฉะนั้น พุทธศาสนา ก็ให้เราภาคภูมิใจในความเป็นมนุษย์ แล้วต้องการฝึกตน แล้วฝึกตนอย่างไร? อย่างไรคือการฝึกตน? ก็ทำให้ สิ่งที่ทำให้กิเลส สิ่งเศร้าหมองในจิตใจ ลดน้อยลง ทำใหคุณธรรมเพิ่มมากขึ้น อันนี้ก็คืองานสำคัญในชีวิต งานอื่นๆนั้น ถ้าได้หลักนี้นะ วิชาดับความทุกข์ของพระพุทธเจ้า ฉันทะ ความตั้งอกตั้งใจ กระตือรือร้นในการฝึกตน การพัฒนาชีวิต ถ้าได้มีเป็นหลักใหญ่ อย่างอื่นมันก็ จะเข้าล็อคได้พอสมควร คือถ้าขาดตรงนี้ เอาแต่ว่า อยากได้ความสะดวกสบาย อยากได้ความรัก อยากได้เงิน อยากได้ทอง อยากได้ชื่ออยากไกด้เสียง อยากได้นั่นอยากได้นี้ แล้วก็น้อยใจ โกรธเมื่อไหร่ เมื่อไม่ได้สิ่งที่อยากได้ อย่างถือว่าเราควรจะได้ ก็กลายเป็นเอา concept ต่างๆในเรื่องสิทธิ เรื่องยุติธรรม เรื่องอะไรซึ่งที่จริงแล้ว ก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เอาเป็นข้ออ้าง ในจิตใจก็หมกหมุ่นไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าเอาความจริง ไม่เอาความคิด ทฤษฎี ปรัชญา ตรงไหน ไม่ว่าตะวันออก ตะวันตก เอาความจริงของกายของใจเป็นที่ตั้ง อันนี้ทางพุทธศาสนาว่า แน่นอนที่สุด จะได้คำตอบ แล้วก็จะได้แนวทาง ที่ดีที่สุด.

          เอาละ วันนี้ก็ได้แสดงธรรมพอสมควร เจริญพร.

          ...สาธุ...

          https://youtu.be/nu2bLd1wa4M?si=nLeQpGVYy-HsQGQw

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น