หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2568

พระอาจารย์ชยสาโร - ชีวิตนี้เพื่ออะไร

 พระอาจารย์ชยสาโร - ชีวิตนี้เพื่ออะไร

          https://youtu.be/6zk_z6rdwQU?si=S_qBOEvgCYkv8bd9

          นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

          นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

          นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

          พุทธัง ธัมมัง สังฆัง อะนุตตะรัง คุณุตตะรัง อุปัชฌาย์ยัง นะมัสสามิ.

          ในการทำงานทุกอย่าง ไม่ว่าทางโลก ทางธรรม เราต้องเข้าใจอย่างชัดเจน ทั้งในเรื่องเป้าหมายและวิธีการ บางคนจะเน้นที่เป้าหมายมาก ถ้าเกินพอดีก็จะเกิดเป็นรำคาญกับรายละเอียด มันจะเกิดความผิดพลาดบ่อย เพราะไม่เห็นความสัมพันธ์ที่ถูกต้อง ระหว่างวิธีการกับผลงาน.  เรื่องนี้มีการกล่าวถึง นานหลายพันปี เคยมีการล้อเลียน ว่าคนประเภทนี้เหมือน คนมัวแต่ดูดาวแล้วไม่มองทาง ที่กำลังเดินอยู่ จนตกเหว ตกเหวเพราะมัวแต่ดูดาว เป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่ดูผลงาน แต่ไม่สนใจวิธีการที่จะเข้าถึงผลงาน.

ถ้าเป็นอย่างนั้น เมื่อมีใครวิพากษ์วิจารณ์ และให้คำตักเตือนกัน ก็จะรำคาญ คนประเภทนี้จะหาว่า เราไม่...ไม่ยอมรับ และทำไมเราไม่เห็นเป้าหมาย อันสูงส่งอันงดงาม ที่เค้ากำลังแสวงหา ทำไมมัวแต่ว่า เรื่องเล็กเรื่องน้อย แต่ถ้าเราดูเพื่อเป็นการเปรียบเทียบ ดูเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีส่วนประกอบมากมาย แต่ถ้าเสียแม้แต่ส่วนเดียว คอมพิวเตอร์ก็ไม่ทำงาน และโซ่...ที่ว่าโซ่นี่ ความแข็งแรงของโซ่อยู่ที่ส่วนที่อ่อนที่สุด ของโซ่ ถ้าโซ่ที่มันแข็งแรง 99 เปอร์เซ็นต์ ก็มีจุดหนึ่งที่...ที่ไม่แข็งแรง โซ่นั้นก็แตก.

ฉะนั้นในเมื่อเราทำงาน เป้าหมายที่สำคัญต้องการ เป้าหมายที่นึกถึงแล้ว มีกำลังใจ แต่ที่เราต้องระมัดระวัง ก็เมื่อเราเจอปัญหาในการปฏิบัติ ก็นึกถึงเป้าหมายเพื่อเป็นการปลอบใจ คือการนึกถึงเป้าหมาย ก็เหมือนกับการตั้งเข็มทิศเอาไว้ แต่ถ้าเราไม่ยอมรับในปัญหาของสิ่งที่กำลังทำอยู่ ความผิดพลาดของกำลัง...สิ่งที่กำลังทำอยู่ แล้วอ้างแต่ว่า เราทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ หรือเราทำในสิ่งที่ดีงาม แล้วความดีงามปลายทางเป็นการปลอบใจ แทนที่จะแก้ปัญหาในปัจจุบัน แล้วเป็นสิ่งเศร้าหมองเกิดขึ้นในจิตใจของนักปฏิบัติได้ง่าย.

ส่วนบางท่านจะตรงกันข้าม คือจะหมกหมุ่น จะง่วนกับรายละเอียด ข้อวัตรปฏิบัติ มากเกินไป อืม อย่างที่ในวัดป่านี่จะเห็นบ่อย โดยเฉพาะในเรื่องของพระวินัย ทีนี้พระวินัยมีความละเอียดอ่อนมาก ญาติโยมคงเข้าใจว่า วินัยสงฆ์มีแค่ 227 ข้อ ที่จริงหลวงพ่อชาบอกว่ามีเป็นกัปเป็นกัลป์ หมายถึงว่ามีเยอะมาก เพราะแต่ละข้อก็จะมีข้อปลีกย่อย มาก 227 ข้อนั้นมี ข้อใหญ่ๆก็ปาราชิก ก็มีข้อปลีกย่อยเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่น อย่างเช่นยกตัวอย่าง ปาราชิกข้อที่ 3 พระฆ่าคน ฆ่าคนก็ต้องปราชิก แต่สมมติว่าตั้งใจจะฆ่านาย A ยิงนาย A แต่ยิงไม่แม่น ไปยิงนาย B จะปาราชิกมั้ย? คือในเมื่อเจตนาเป็นตัวสำคัญที่จะตัดสินว่า ปาราชิกหรือไม่ปาราชิก พระองค์นั้นก็ไม่มีเจตนาจะยิงนาย B ก็มีเจตนาจะยิงนาย A มันไม่ครบองค์ปาราชิก แต่ในกรณีนี้ก็ติดคุกติดตารางเหมือนกันนะ หึหึหึ แต่...เอาแต่วินัยล้วนๆนะ หรือว่าตั้งใจจะฆ่าไปยิงไม่แม่น มันก็ยังต้องปรับอาบัติ ที่รองๆมา อย่างนี้เป็นต้น.

เพราะวินัยละเอียดอ่อนมาก พระบางท่านนี่จะ ง่วนกับวินัย จนกระทั่งลืมว่า วินัยเพื่ออะไร? คือพระวินัย เป็นสิ่งที่พุทธองค์บัญญัติไว้ คือการที่พระธรรมเป็นสิ่งที่พุทธองค์ทรงค้นพบ เป็นความจริงตามธรรมชาติ แต่วินัยเป็นสิ่งที่พุทธองค์ทรงบัญญัติ คือไม่มีโดยธรรมชาติ แต่พุทธองค์บัญญัติเพื่อ สร้างสิ่งแวดล้อม ที่...หรือว่าพฤติกรรมที่เอื้อที่สุดต่อความเจริญงอกงามในธรรม ทั้งของตัวบุคคลและชุมชน แต่พระบางท่าน โห กลายเป็นตำรวจเลย เห็นใครทำผิดนี่ ทนไม่ได้เลย โกรธ โกรธว่าทำไมพระองค์นั้นไม่รักษา ครูบาอาจารย์ก็สอนอยู่ตลอดเวลาว่า ผิดวินัย ทำไมถึงไม่ละอายเลย ทำไมท่าน? แทนที่วินัยซึ่งเป็นที่ดี เป็นเครื่องมือที่พุทธองค์ ทรงฝากไว้ใช้ เพื่อขัดเกลากิเลส เพื่อสร้างชุมชนที่ดีงาม กลายเป็นเหตุให้จิตใจเดือดร้อน โกรธองค์นั้นไม่พอใจองค์นี้ เป็นต้น.

อย่างนี้ก็นำไปสู่มานะ ถือตัวถือตน เจอพระที่วินัยไม่เข้มงวด ก็ถือว่าเราดีกว่า หรือสูงกว่า ทีนี้ก็ผิดจุดประสงค์ของวินัย แต่พระเอง แต่พระลักษณะอย่างนี้จะภาคภูมิใจตัวเองว่า รู้วินัย เก่งวินัย เคร่งวินัย ใช่มั้ย? แต่เป็นความเคร่งที่แปลกปลอม เพราะผิดจุดประสงค์ ของวินัย.

การเรียนพระอภิธรรมก็เหมือนกัน พระอภิธรรมก็ละเอียดอ่อนมาก ต้องใช้สมองมากถึงจะ...จะเข้าใจต้องลงทุน ลงทุนเวลา ลงทุนสมอง แต่มันละเอียดเสียจน บางท่าน การเรียนพระอภิธรรม เพื่อพระอภิธรรม ไม่ได้เรียนอภิธรรมเพื่อความก้าวหน้าในไตรสิกขา ก็ผิด...ผิดหลักพรพะอภิธรรม ผิดหลักของปริยัติธรรม ความรู้น่ะความรู้พร้อมเลย ท่องได้หมดเลย รู้ได้หมดเลย แตกฉานมาก แตกฉานในรายละเอียด แต่ไม่แตกฉานในธรรม แตกฉานในพระอภิธรรม แต่ไม่แตกฉานใน “พระธรรม” เพราะขาดความสัมพันธ์ที่ถูกต้อง ระหว่าง วิธีการ กับ ผลงาน หรือว่าจุดหมายปลายทางของ การศึกษา กับ การปฏิบัติธรรม.

แล้วพุทธองค์เคยมี หลักฺที่ท่านฝากไว้ที่ ที่ฟังแล้วง่าย แต่ลึกซึ้ง แล้วเป็นประโยชน์มากที่สุด นั้นก็คือ หลักตัดสินว่า เรากำลังทำสิ่งที่ ถูก หรือ ผิด หรือว่าในกรณีที่ขอบข่ายหรือทำงานที่ไหน เราทำอะไรก็แล้วแต่ จะรูได้ยังไงว่า ใช่ หรือ ไม่ใช่ ถูกหรือผิด ก็หลักที่พื้นฐานที่สุดก็ ศีล 5 ถือว่าถ้าเราอยู่ที่ไหน คบกับใคร เกี่ยวข้องกับสิ่งไหน ไม่สามารถรักษาศีล 5 ได้ ก็เรียกว่าไม่ควร ควรจะห่างไกล แต่ถ้าไม่ผิดกับศีลธรรมพื้นฐานโดยตรง หลักที่ท่านฝากไว้คือ การพิจารณาว่า กุศลธรรมเพิ่มขึ้น หรือลดน้อยลง หากกุศลธรรมเพิ่มขึ้นหรือลดน้อยลง คือเรื่องนี้ไม่ได้ดูรายวันนะ ต้องดูรายเดือน หรือรายปี โดยภาพรวมแล้ว สิ่งดีงามในจิตใจของเรามีเพิ่มมากขึ้นมั้ย? ไอ้เรื่องสติเรื่องสมาธิ เรื่องความมักน้อย ความสันโดษ ความเมตตากรุณา ความอดทน อย่างนั้นเป็นต้น นี่เราเอาคุณธรรม ความเจริญหรือความเสื่อม ของคุณธรรม ในภาพรวม ในระยะเวลาพอสมควร เป็นหลัก.

ถ้าเราดูพฤติกรรมของเราว่า เอ้ แต่ก่อนนะ เราก็ทำวัตรสวดมนต์นั่งสมาธิ เป็นประจำ หลังๆนี้พอเราเปลี่ยนงาน เราเปลี่ยนเพื่อน สิ่งแวดล้อม ขี้เกียจขี้คร้าน เป็นเครื่องเตือนสติว่า ผิดทางเสียแล้ว ส่วนอกุศลธรรม คือกิเลสต่างๆก็เช่นเดียวกัน ความโลภ ความเห็นแก่ตัว ความอิจฉาพยาบาท ความฟุ้งซ่าน ความวุ่นวาย ต่างๆนั้น เพิ่มมากขึ้นหรือลดน้อยลง ฉะนั้นถ้าเรารู้สึกว่ากุศลธรรมที่แต่ก่อนไม่ค่อยมี นี้ดเริ่มปรากฏแล้ว ไอ้ที่ปรากฏแล้ว รู้สึกโดยภาพรวม ไม่ใช่รายวัน ภาพรวมรายเดือนรายปีว่า มีแนวโน้มจะเพิ่มมากขึ้น ไอ้กิเลสต่างๆเนี่ยะ รู้สึกจะลดน้อยลง ไม่มากก็น้อย แต่แนวโน้มโดยภาพรวม อันนี้ก็ ใช้ได้แล้ว คือไม่ใช่ว่า พักผ่อนได้ สบายใจได้ แต่หมายถึงเรา อย่างน้อยเราก็ไม่ผิดทาง.

แต่ในเรื่องความ การหาความพอดี ระหว่างวิธีการกับจุดหมาย เป้าหมาย เราก็ดูที่กุศลธรรม อกุศลธรรม ช่วยพิจารณาด้วย ในคุณธรรมของพระโสดาบัน พระโสดาบันเป็นผู้ที่ อ่า ละกิเลส ที่อยู่ในกลุ่มสังโยชน์1 3

          1https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C

ข้อ ข้อหนึ่งคือ สีลลัพพตปรามาส ความลูบคลำหรือความยึดมั่นถือมั่น ในวิธีการ ลืมเป้าหมาย ยึดมั่นถือมั่น ต้องอย่างนี้ อย่างอื่นไม่ได้ ต้องเทคนิคอย่างนี้ เทคนิคอย่างอื่นไม่ได้ ก็จะให้ความสำคัญกับรายละเอียดมากเกินไป ถือว่า รายละเอียดมันขลังเสียจนอย่างอื่นไม่ได้เป็นอันขาด.

ดังนั้น คนเราจะปฏิบัติ ไม่ว่าทางโลกทางธรรม ต้องตั้งคำถามกับตัวเอง บ่อยๆว่า ทำเพื่ออะไร? ไม่ใช่เป้าหมายสำหรับวันนี้ แต่โดยภาพรวมสำหรับชีวิตของเรา นี่เรากำลังทำอะไร? เพื่ออะไร? อย่างการทำงาน การทำงานคืออะไร? เป็นงานเลี้ยงชีพมั้ย? งานเพื่อชีพ ชีพคือชีวิต ใช่มั้ย? เลี้ยงชีวิต งานเป็นปัจจัย เลี้ยงชีวิต เลี้ยงชีพ แล้วที่งาสนกลายเป็นเป้าหมายของเรา และกลายเป็น ชีวิตเพื่องาน มากกว่า งานเพื่อชีวิต แล้วตัวเหตุผลที่ต้องถือว่างานเนี่ยะ สำคัญกว่าชีวิต แต่เรามองในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ ผู้ที่มีบุญบารมี ได้เกิดเป็นมนุษย์ในประเทศอันสมควร ผู้มีโอกาสเข้าใกล้พระรัตนตรัย เป็นผู้มีโอกาสในการที่จะตัดเวลา ที่เราจะยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร จะได้เข้าถึงธรรมได้ หรือว่าโอกาสทอง ถ้าเราเอาเรื่องการงานสำคัญกว่าครอบครัว สำคัญกว่าชีวิต สำคัญกว่าการปฏิบัติธรรม จะสมควรมั้ย?

นี่เรื่องที่เราเห็นโทษบ่อยๆ เวลาคนทำงานจนลืมความเป็นมนุษย์ ลืมความ...เป้าหมายชีวิต ในทางจิตใจ ในทางศาสนา จิตใจก็ผูกพันกับงานมาก ความขึ้นความลงของเศรษฐกิจ กลายเป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อจิตใจมาก ไอ้เรื่องการได้กำไร การขาดทุน ก็กลายเป็นเรื่องการมีอำนาจเหนือจิตใจ พอสมควร และเมื่อต้องเกษียณแล้ว กลายเป็นคนไม่มีค่าเลย เป็นภาระกับลูกหลาน เพราะอะไร? เพราะไม่ได้ทำงาน เหมือนกับคุณค่าของตัวเอง อยู่ที่งาน คำว่า “ยึดมั่นถือมั่น” นั้นเราก็แปลจาก “อุปาทาน” อีกสำนวนหนึ่งคือ “สำคัญมั่นหมาย” นี้อันหนึ่งก็คือ “เห็นค่า” “เห็นมีค่า” โดยว่า เห็นมีค่าเกินความจริง ดังนั้นเรายึดมั่นถือมั่นในสิ่งไหนไม่ว่า เราเห็นสิ่งนั้นมคุณค่ามากกว่าที่เป็นจริง นั้นก็คือคสวามหมายของ “อุปาทาน”.

ฉะนั้นเราชาวพุทธต้องเคร่งในการตั้งคำถามกับตัวเอง เราไม่ใช่ว่าเราจะ ท่องคำตอบอยู่ในคัมภีร์ หรือของครูบาอาจารย์แล้วเชื่อมั่น เข่นนั้น แต่พระพุทธเจ้าต้องการให้เรา ใช้สติใช้ปัญญาของเรา ตั้งคำถามกับตัวเองว่า เรากำลังทำอะไรอยู่? อย่างในบทสวด วันคืนล่วงไป ล่วงไป อันนี้ข้อสังเกต แต่หลังจากข้อสังเกต จะต้องมีคำถามว่า แล้วกำลังทำอะไรอยู่? ใช่มั้ย? คือการที่ วันคืนล่วงไป ล่วงไป มันก็เป็นปัญหาใช่มั้ย? เพราะชีวิตของเรามีจำกัด แล้วเราก็ไม่รู้จำกัด มากน้อยแค่ไหน ฉะนั้น สำหรับผู้มีปัญญา พบพิจารณาข้อนี้ว่า วันคืน วันคืนล่วงไป ต้องตั้งคำถามในตัวเองว่า เอ๊ะ เรากำลังทำอะไรอยู่? ให้มันเหมาะสมกับเวลามีค่า อืม ฉะนั้นการคำนึงถึงเป้าหมายโดยเฉพาะ เป้าหมายในการปฏิบัติ จะต้อง อ่า เพิ่มมิติ ไปในการมองชีวิตตัวเอง คือชีวิตในการ...ในเรื่องของการ ทางด้านครอบครัว ทางด้านสังคม ทางด้านการเลี้ยงชีพ อันนี้เราต้องรับผิดชอบแน่นอน แต่เราต้องคำนึงถึง เป้าหมายในความเป็นมนุษย์ของเรา ในการสำนึกในความเป็นผู้มีบุญ ที่ได้เกิดมาตรงนี้ ที่โอ...อ่า มีสิ่งแวดล้อมเช่นนี้.

ในขณะเดียวกันต้องมีความสุขุมรอบคอบ ความละเอียด ความประณีต ในเรื่องขั้นตอน ในเรื่องการปฏิบัติอย่างเป็นองค์รวม  อย่างอาตมายังจำได้ เคยมีโยม ลูกศิษย์วัด เค้าอยากทำอะไรซักอย่างที่ อาตมาขออภัยจำไม่ได้ว่า ว่าเรื่องอะไร ก็เรื่องส่วนตัวเค้าก็แล้วกัน แต่เค้าอยากทำเรื่องหนึ่ง แล้วเค้าไปถามอาตมาว่า ทำอย่างนี้จะเหมาะสมมั้ย? อาตมาก็ตอบว่า ไม่เหมาะสม เค้าขออบคุณ ขอบคุณมากที่ให้คำตอบที่มีค่าสำหรับเขา ตอนหลังก็ได้ข่าวว่า ออกจากวัดอาตมาก็ไปวัดอื่นต่อ ไป 2 วัด 3 วัด 4 วัด จนกระทั่งได้ครูบาอาจารย์ที่บอกว่า เหมาะสม หลังจากนั้นเวลาใครไปว่าเค้า เค้าก็ ครูบาอาจารย์เค้าก็ว่าเหมาะสมแล้ว หุหุ ครูบาอาจารย์หลายท่านที่ไม่เห็นด้วยไม่อ้างถึง.

ทีนี้ในการปฏิบัติมักจะเป็นอย่างนี้ นี่คือก็มักจะเลือกข้อวัตรปฏิบัติ ที่ถูกกิเลสมากกว่าคำ อ่า ข้อปฏิบัติที่ขัดกิเลส อย่างเช่นในเรื่องของการภาวนา พุทธองค์ก็ตรัสไว้ ระหว่างการนั่งสมาธิถ้าจิตเผลอไป เราก็ดึงกลับมาตั้งต้นใหม่ เผลอไปก็ตั้งต้นใหม่ อย่างไม่ท้อแท้ใจ ไม่รำคาญ แต่ทีนี้มีอยู่บางวาระบางช่วง บางทีรู้สึกว่าจิตจะตกร่อง คือจะมีเรื่องเดิม ดึงกลับมาไม่นานก้กลับไปหาเรื่องนั้นอีก กี่ครั้งกี่ครั้งก็กลับไปที่เดิม เมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็ต้องใช้วิธีแก้เรื่องนั้นโดยเฉพาะ ไม่ใช่แค่ดึงกลับมาอยู่กับลมหายใจหรืออารมณ์กัมมัฏฐาน อย่างเช่นถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับทางกาม ความสวยความงามทางเพศทั้งหลายที่ทำให้จิตใจว้าวุ่น ท่านให้พิจารณาอสุภกัมมัฏฐาน ให้สำนึกในความไม่สวยไม่งามของร่างกาย เพื่อจะได้แก้ความหลงใหลในสิ่งสวยงาม หรือในกรณีที่จิตมันเกิด กำลังโกรธ กำลังแค้นใจ คนใดคนหนึ่ง มีความหงุดหงิดรำคาญตลอดเวลา นั่นก็ไม่ใช่ นี้ก็ไม่ถูก ท่านให้เราแผ่เมตตา แก้ ท่านเมตตาเพื่อแก้โทสะจริต อสุภกัมมัฏฐานเพื่อแก้โลภะจริต แต่อาตมาก็สังเกตนักปฏิบัติหลายท่าน ที่โลภะจริตแต่ชอบเมตตาภาวนา และพวกที่โทสจริตนี้ชอบอสุภกัมมัฏฐาน คือ คนเราเนี่ยะมันเป็นปัญหาอย่างนี้ ใช่มั้ย? มันก็ชอบตามกระแสมากกว่าที่จะทวนกระแส.

และอันนี้ความสำคัญของครูบาอาจารย์ คือถ้าเป็นผู้ที่จะให้เราทำในสิ่งที่เราไม่อยากทำ เพราะถ้าเราอยู่คนเดียว ปัญหานี่ถ้าเราอยู่คนเดียวนี่ไม่ใช่ว่า เรื่องเทคนิคเท่าไหร่ที่จะทำผิดหลักการ แต่มันอยู่ที่ว่าจะเข้าข้างตัวเองมากเกินไป คำสอนที่ถูกใจ เราก็ย้ำเราก็เน้น คำสอนที่ไม่ถูกใจเราก็ไม่ค่อยจะเข้าใกล้ อันนี้ก็จะทำให้เกิดปัญหา ในการปฏิบัติ ฉะนั้นในขั้นตอนของการปฏิบัติต้องระลึกอยู่เสมอว่า พระพุทธเจ้าสอนธรรมะในลักษณะเป็นองค์รวม ศีล สมาธิ ปัญญา แยกออกจากกันไม่ได้ หมายถึงการภาวนาการปฏิบัติ การขัดเกลา กาย วาจา ใจ ต้องพร้อมกันเลย อย่างในเรื่องของศีลธรรม อย่างน้อยที่สุด เราต้องมีปัญญาเห็นโทษ เห็นทุกข์ในการไม่รักษาศีลแต่ละข้อ เห็นคุณเห็นประโยชน์ ในการรักษาแต่ละข้อ ถ้าศีลข้อไหนเรายังไม่ชัดเจน เรื่องโทษในการไม่รักษา คุณในการรักษา คงรักษาไม่ได้.

ทีนี้ในเรื่องศีลธรรม และถึงแม้ว่าเรามีปัญญาระดับพื้นฐานว่า ต้องรักษา ควรรักษา จำเป็นต้องรักษา เรียกว่ามีสัมมาทิฏฐิอยู่ในระดับหนึ่งแล้ว แต่ถ้าเราขาดสติ ขาดความอดทน จิตใจฟุ้งซ่านวุ่นวาย ก็ยังรับรองตัวเองไม่ได้ ใช่มั้ย? แต่เป็นคนขี้โกรธ ขี้โมโห ตั้งใจจะรักษาศีล  แต่เพราะอารมณ์ครอบงำ ลืมเลย ผิดศีลไปเลย พอรู้สึกตัวขึ้นมา เช่น เสียใจ เดือดร้อนใจว่าตัวเองแย่ ตัวเองไม่ดี เพราะอะไร? เพราะขาดการฝึกจิต หรือว่าขาดในส่วนของสมาธิ ในการรักษาศีล คือคำว่าสมาธิในกรณีหรือว่าในบริบทของไตรสิกขา หมายถึงการฝึกจิต ไม่ได้หมายถึงความ ตั้งใจมั่น เหมือนในสัมมาสมาธิ ฉะนั้น จะรักษาศีลได้ หนึ่งก็ต้องมีปัญญา สองก็ต้องมีสมาธิ ช่วย มันจึงจะรักษาได้ดี.

ทีนี้ผู้รักษาศีล ในความหมายของ เรียกว่าของไตรสิกขา จะวัดผลว่าจิตต้องปราศจากความเดือดร้อน เพราะการกระทำด้วยกาย ด้วยวาจา คือลดนิวรณ์อยู่ในใจระดับหนึ่ง แล้วทำให้เรามีความเคารพนับถือตัวเอง ไว้ใจตัวเองได้ ว่าเราเป็นผู้ที่สามารถบริหารกายวาจาภายใน ขอบเขตขอบข่ายที่งดงาม ทั้งๆที่มีความกดดัน หรือมีการยั่วยุให้ละเมิด เราก็รู้ตัวแล้วว่ายังไงๆก็ไม่ละเมิด อันนี้จะทำให้จิตใจมีความเชื่อมั่น ความมั่นคง ในเมื่อเรารักษาศีลได้ ปัญหากับคนรอบข้าง ลดน้อยลง จิตใจก็สบาย ฉะนั้นเมื่อทำสมาธิภาวนา ผู้ที่ฝึกตนในทางด้านศีลธรรม จะได้เปรียบ ก็จะได้โอกาสมากขึ้น มันเอื้อต่อการเจริญสมาธิภาวนา เอื้อต่อการฝึกจิต แล้วการฝึกจิตเอื้อต่อการรักษาศีล การรักษาศีลเอื้อต่อการฝึกจิต มันเป็นระบบที่งดงามมากเลย ถ้าเราดูความสัมพันธ์เนื่องอาศัยกัน สวยงามมาก.

ทีนี้ในการปฏิบัติเพื่อละนิวรณ์2 เพื่อให้จิตเป็นสัมมาสมาธิได้ จะบังคับได้มั้ย? บังคับไม่ได้ ถึงจะตั้งอกตั้งใจอย่างไร แต่ถ้าขาดปัญญา การรู้เท่าทันนิวรณ์ รู้...ไม่มีเทคนิค ไม่มีวิธี ไม่มีโยนิโสมนสิการ มาช่วย มันคงไม่ได้  

2https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C

เป็นงานละเอียด ต้องใช้ปัญญา และแม้แต่ในการ...ในเบื้องต้นของการทำสมาธิ ที่จิตรู้ว่า เผลอแล้วปล่อย ก่อนที่จะปล่อย คืออย่าไปปล่อยทันที พอรู้เผลอ บางคนก็ดึงจิตกลับมา อันนี้ปัญญาจะไม่เกิดง่าย คือถ้าเรารู้ว่าจิตกำลัง ยึดอะไรสักอย่าง รู้ด้วยว่าเป็นสิ่งไร้ค่า เป็นของไม่แน่ เป็นของไม่เที่ยง รู้ว่าเรากำลังปล่อย กำลังวาง สิ่งที่ไม่เที่ยงแท้ถาวร ดึงคืนกลับมา นี้ก็เป็นการวางเมล็ดของปัญญา ระดับวิปัสสนา แม้แต่ในเรื่อที่เรากำลังตะเกียกตะกายต่อสู้กับนิวรณ์ต่างๆ คือเป็นการมองนิวรณ์ต่างๆ ตามหลักไตรลักษณ์ แบบง่ายๆ แต่ว่าเป็นการเริ่มในทางด้านปัญญา.

          ฉะนั้น ต้องมีปัญญา ในระดับโยนิโสมนสิการ คิดพิจารณาหาแนวทางที่เหมาะสม หากุศโลบาย(วิธีการอันแยบคาย วิธีการอันชาญฉลาด – ผู้ถอดความ) จัดการกับนิวรณ์ สนับสนุนคุณธรรมอย่างเช่น โพชฌงค์ แล้วก็เริ่มมีเรื่องของวิปัสสนา ปัญญาถึงต้องมีความเรียบร้อย ความปราศจากความเดือดร้อนใจ ความเคารพนับถือตัวเอง ที่เป็นอานิสงส์ของศีล แล้วต้องมีจิตเป็นกลาง จิตมั่นคง จิตมีความตื่นรู้ อยู่อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ เป็นพื้นฐานของการรู้เห็นตามความเป็นจริง จะรู้อะไรตามความเป็นจริง? ในภาษาบาลีมีคำว่า ยถา พุทธญานทัศนา ซึ่งคำว่า ยะถา พุทธะ ขออภัย รู้ว่าคนไม่ชอบภาษาบาลีนะ ยะถา พุทธะ ยถา แปลว่า อย่างนั้น พุทธะ แปลว่า เกิดขึ้น การรู้สิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง คือ รู้สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ตามความเป็นจริง คือ การรู้สิ่งที่เกิดขึ้นดับไปว่า เป็นแค่สิ่งเกิดขึ้นดับไป ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ อัตตา/ตัวตน อันนี้เรื่องของอนัตตา เราก็เรียนได้ เพราะเข้าใจได้ แต่ต้องภาวนา จึงจะเข้าถึง เข้าใจและรู้เรื่องได้ ด้วยสมอง แต่จะรู้ตัวของมัน รู้จริงๆแล้ว ต้อง จิตที่พ้นจากความคิด ใช้ความคิดในส่วนของความคิด เราไม่ได้ละเลย ไม่ประมาท ในการใช้ความคิด มันมี...มันเป็นเครื่องมือที่สำคัญในระดับหนึ่ง แต่ว่าจะเข้าถึงจริงๆแล้ว ต้องกล้าปล่อยวางความคิด เข้าสู่การรู้การเห็น ด้วยจิตใจที่เป็นสมาธิ.

          ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นระบบองค์รวม นั้นในการปฏิบัติ วันนี้จึงให้ข้อคิดเรื่อง ไอ้การหาความพอดี ทางสายกลางระหว่างเป้าหมายซึ่งเป็นเข็มทิศ และเป็นสิ่งที่ให้กำลังใจ และวิธีการ เป้าหมายไม่ใช่เพื่อปลอบใจ แต่เป้าหมายเป็นเครื่องเตือนสติ เรียกว่า เรากำลังทำอะไรอยู่? สิ่งที่กำลังทำอยู่ ถึงแม้ว่าจะบอกว่า ทำเพื่อ ปล่อยวาง อะไร แต่สิ่งที่ทำจริงๆมันตรงหรือไม่ตรงมากน้อยแค่ไหน? บางทีเราก็หลอกลวงตัวเอง ว่าเพราะเรามีเป้าหมายที่ดี เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ก็น่าจะดี ลางทีมันก็เพี้ยนจากที่ควรจะเป็น ทีละเล็กทีละน้อยที่เราไม่รู้ตัว ฉะนั้นเราต้องเปรียบเทียบ สิ่งที่กำลังทำอยู่ กับสิ่งทมี่จะเอื้อต่อเป้าหมายเราจริงๆ แล้วก็ค่อยปรับไปเรื่อยๆ รายละเอียดนี่ต้องให้ความเคารพ ให้ความสำคัญกับทุกขั้นตอน ไม่ใช่ว่าเรื่องนั้นเรื่องเล็กน้อย ไม่สำคัญเท่าไหร่ มันสำคัญเท่ากันหมด เพราะถ้าผิดพลาด ประมาท แม้แต่ในเรื่องเล็กน้อย อ่า มันก็จะทำให้เรื่องที่สูงขึ้นไป อ่า ไม่ปรากฏ ไม่เกิดผลดี.

          ดังนั้นในวันนี้ก็ได้ ให้ข้อคิดเรื่องการ ไปปฏิบัติพอสมควรแก่เวลา ขอยุติเพียงแค่นี้.

          ...สาธุ...

          https://youtu.be/6zk_z6rdwQU?si=HnJksy72i7h--y5p

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น