หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2568

โรเบิร์ต ไรซ์ - เราควรกำจัดพวกเศรษฐีพันล้านทั้งหลาย?

โรเบิร์ต ไรซ์ - เราควรกำจัดพวกเศรษฐีพันล้านทั้งหลาย? 

Should We Abolish Billionaires? | Robert Reich

          https://youtu.be/TNvSg7TJBbs?si=o_B8C467A0gYQbYc


          อเมริกาในตอนนี้มีเศรษฐีพันล้านทั้งหลายมากกว่ายุคสมัยใดในประวัติศาสตร์, ในขณะที่คนอเมริกันส่วนใหญ่ที่สุดกำลังดิ้นรนต่อสู้เพื่อมีรายได้พอประทังชีวิต. ด้วยความไม่เสมอภาค/ไม่เท่าเทียนมกันอันน่าตกใจ, มันคือความเป็นธรรมที่จะภามว่า; เราควรกำจัดเศรษฐีพันล้านทั้งหลายไหม? (America now has more billionaires than at any time in history, while most Americans are struggling to make end meet. With such staggering inequality, it’s fair to ask: Should we abolish billionaires?)


          ทีนี้, มี 4 หนทางโดยพื้นฐานที่จะสามารถสะสมหนึ่งพันล้านดอลลาร์, และไม่มีอะไรที่พวกนี้ต้องผลิตสร้างขึ้นมาเลยในสิ่งที่เรียกกันว่าระบอบตลาดเสรีทุนนิยม. พันล้านทั้งหลายไม่ใช่ปัญหา. ความล้มเหลวอย่างแท้จริงก็คือการที่เศรษฐกิจของเราได้ถูกจัดระเบียบการรวมเข้าด้วยกันอย่างไร. (Now, there are basically only 4 ways to accumulate a billion dollars, and none of them is a product of so-called free market capitalism. Billionaires themselves aren’t the problem. The real failure is in how our economy is organized.)

                                                                                    

          1. หนทางแรกที่จะทำเงินพันล้าน ก็คือการที่จะเอารัดเอาเปรียบโดยวิธีผูกขาด. จอร์จ เบซอส มีมูลค่า 150 พันล้านดอลลาร์. (1. One way to make a billion is to exploit a monopoly. Jeff Bezos1 is worth $150 billion.)

          1https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%9F%E0%B8%9F%E0%B9%8C_%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%8B%E0%B8%AA

คุณอาจจะพูดว่าเขาสมควรกับเรื่องนี้ เพราะว่าเขาได้เป็นผู้ก่อตั้งและสร้างอะเมซอน(เว็บไซท์ขายของออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา - ผู้แปล)ขึ้นมา. แต่อะเมซอนเป็นการผูกขาด ด้วย 50 เปอร์เซ็นต์ของการขายปลีกออนไลน์ทั้งหมดในอเมริกา (และอี-คอมเมิร์ช-การค้าออนไลน์ เป็นหนึ่งในภาคส่วนที่โตของการขายปลึกทั้งหลายทั้งหมด). ผู้บริโภคทั้งหลาสยมีทางเลือกที่น้อย. หรือกระทั่งผู้ผลิต/ค้าสินค้าอีกมากมายด้วยเช่นกันที่ขายผ่านอะเมซอน; สำหรับใน 25 ปีแรกของการที่มันได้มีขึ้น, อะเมซอนจะไม่ยอมให้พวกเขาได้ขายสินค้าในราคาต่ำกว่าในที่อื่นๆใดเลย. และธุรกิจของอะเมซอน ได้ลับการปกป้องด้วยทะเบียนลิขสิทธิ์ทั้งหลาย, เอื้อหนุนอะเมซอนโดยรัฐบาลสหรัฐอเมริกา และได้รับกำลังเสริมโดยรัฐบาล. ถ้าเรามีกฎหมายต่อต้านการผูกขาดอย่างเข้มแข็ง และถ้ารัฐบาลไม่ได้เอื้อหนุนอะเมซอนด้วยลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการทั้งหลายที่มากมายเกินไป, เบซอสก็จะมีมูลน้อยลงไปกว่านี้อย่างมาก. (You might say he deserves this because he founded and built Amazon. But Amazon is a monopoly with nearly 50 percent of all e-commerce retail sales in America (and e-commerce is one of the large sectors of all retail sales). Consumers have few alternatives. Nor do many suppliers who sell through Amazon; for the first 25 years of its existence, Amazon wouldn’t let them sell at a lower price anywhere else. And Amazon’s business is protected by patents, granted Amazon by the U.S. government and enforced by government. If we had tough anti-monopoly laws, and if the government didn’t grant Amazon so many patents and trademarks, Bezos would be worth far less.)

          ในเรื่องเดียวกันนี้ประยุกต์ได้เข้ากับผู้คนเหมือนเช่น จอร์จ ลูกัส(ต้นตำหรับภาพยนต์STARWARS), โอปราห์ วิมฟรีย์(เจ้าของรายการโทรทัศน์โด่งดังในอเมริกา), หรือรายอื่นๆอีกมากมายที่เป็นเจ้าของตรา/ยี่ห้อสินค้า, ความคิด หรือการสร้างสรรค์ทั้งหลายขึ้นอยู่กับลิขสิทธิ์และเครื่องหมายการค้าทั้งหลายนั้น, ที่เป็นกฎหมายทั้งหลายซึ่งได้ถูกแผ่ขายออกไปอย่างตื่นตาตื่นใจในหลายทศวรรษที่ผ่านมา. ถ้าสิ่งเหล่านี้ได้ถูกจำกัดตัดทอนให้สั้นลง, ผู้คนเหล่านี้ก็จะมีมูลน่าน้อยลงไปยิ่งนัก, ด้วยเช่นกัน. (The same applies to people likes George Lucas, Oprah Winfrey, or any figure whose brands, ideas or creations depend on copyrights and trademarks, which are laws that have been dramatically extended in recent decades. If these were shortened, these people would be worth far less, too.)


          2. หนทางที่สองที่จะทำเงินพันล้านคือ เข้าไปเป็นวงในของข้อมูลข่าวสารซึ่งนักลงทุนรายอื่นๆไม่สามารถทำได้. ผู้เชี่ยาญกองทุนบริหารความเสี่ยง/ เฮ็ดจ์-ฟันด์, สตีเฟน เอ. โคห์น มีมูลค่าโดยประมาณ 12.8 พันล้านดอลลาร์. ทีนี้, เขาทำมันอย่างไร? อ้างตามที่ได้มีการยื่นฟ้องกล่าวหาทางอาญา โดยกระทรวงยุติธรรม, ในข้อหากระทำการซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้ข้อมูลวงในกับบริษัท SAC Capital ของโคห์น เป็นทั้ง “มโหฬาร, บิดเบือน, และเต็มพิกัดโดยไม่เคยเป็นที่รู้กันมาก่อนในประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมเฮ็ดจ์ ฟันด์.” พนักงานปัจจุบันและอดีต 8 รายของโคห์น ได้สราภาพและถูกตัดสินว่ามีความผิดในการใช้ข้อมูลวงใน. (2. A second way to make a billion is to get insider information unavailable to other investors. The hedge-fund* maven Steven A. Cohen2 is worth an estimated $12.8 billion. Now, how did he do it? According to a criminal complaint filed by the Justice Department, insider trading** at Cohen’s SAC Capital was “substantial, perversive, and on a scale without known precedent in the hedge fund industry.” Eight of Cohen’s present or former employees pleaded guilty or convicted for using insider information.



       *https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87

          ** https://en.wikipedia.org/wiki/Insider_trading

          2 https://en.wikipedia.org/wiki/Steve_Cohen_(businessman)

โคห์นรอดตัวได้ด้วยการจ่ายค่าปรับ, ได้เปลี่ยนชื่อบริษัท/กิจการ, และยังปรากฏอยู่กับมันในตอนนี้. (Cohen got off with a fine, changed the name of the firm, and apparently is still at it.)


          3. หนทางที่สามในการที่จะทำเงินพันล้านคือ จ่ายเงินให้นักการเมืองทั้งหลาย. การตัดลดภาษีของทรัมป์ ได้ถูกประมาณการว่าจะช่วยเหลือ ชาร์ลสิ์และเดวิด ค็อค – แต่ละมูลค่าสุทธิได้ถูกประมาณการว่าอยู่ในราว 50 พันล้านดอลลาร์ – และอุตสาหกรรมค็อคทั้งหลายของพวกเขา – 1 ถึง 1.4 พันล้านดอลลาร์ต่อปี, ไม่รวมถึงการประหยัดภาษีกำไรจากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ และการลดหย่อนภาษีอสังหาริมทรัพย์. (3. A third way to make a billion is to pay off politicians. The Trump tax cut was estimated to save Charles and David Koch – each of net worth is estimated to be about $50 billion – and their Koch industries – 1 to 1.4 billion dollars a year, not even counting tax saving offshore profits and shrunken estate tax.)  



     พวกค็อคและกลุ่มเป็นทางการของพวกเชาได้ใช้จ่ายเงินไปในประมาณ 20 ล้านดอลลาร์เพื่อการ “ล็อบบี้”- การวิ่งเต้น*** สำหรับการตัดลดภาษีของทรัมป์, รวมทั้งการบริจาคตัวหลักให้กับนักการเมืองทั้งหลาย. การได้กลับคืนมานั้นไม่เลวเลยกับการลงทุนนี้
: มากกว่าหนึ่งพันล้านดอลลาร์ต่อปีที่ได้กลับคืนมา จากการใส่ลงไป 20 ล้านดอลลาร์. อุตสาหกรรมค็อคทั้งหลายยังเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์รายใหญ่จากโครงการทั้งหลายของรัฐบาล ในการที่จะเพิ่มยุทธศาสตร์การสำรองปีโตรเลียม และทางเข้าถึงผ่านผืนป่าเติบโตบริสุทธิ์ทั้งหลาย, การเวนคืนที่ดินของเอกชน เพื่อการวางท่อน้ำมันและแก๊ส, การได้รับการสงเคราะห์น้ำมัน, และกำไรจากที่ดินของรัฐทั้งหลาย. (The Kochs and their affiliated groups spent an estimated 20 million dollars lobbying for the Trump tax cut, including major donations to politicians. Not a bad return on investment: More than a billion dollars a year back for $20 million put in. Koch industries has also been a major beneficiary of government programs to fill the strategic Petroleum Reserve, provide roads and access to virgin growth forests, use eminent domain to seize private land for oil and gas pipelines, get oil subsidies, and profit of federal lands.)

***https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%99

 


          4. หนทางที่สี่ที่จะเป็นเศรษฐีพันล้าน คือได้เงินจากพ่อแม่หรือญาติทั้งหลายที่ร่ำรวย. (4. A fourth way to be a billionaire is to get the money from rich parents or relatives.  


          ในราว 60 เปอร์เซ็นต์ของบรรดาความมั่งคั่งทั้งหมดในอเมริกาทุกวันนี้คือได้รับมรดก. และเพราะว่า, ภายใต้กฎหมายภาษีของอเมริกา – ที่ตัวมันเองคือผลผลิตของการวิ่งเต้น/ล็อบบี้ โดยผู้มั่งคั่ง – กำไรส่วนทุนทั้งหลายของหนึ่งชั่วรุ่นอายุได้ถูกกวาดออกไป เมื่อสินทรัพย์ทั้งหลายเหล่านั้นได้ถูกเปลี่ยนถ่ายไปสู่ทายาทรุ่นถัดไป, และภาษีมรดกนั้นก็ช่างน้อยนิดเหลือเกินแค่ 0.2 เปอร์เซ็นต์ของมรดกทั้งหลายกระทั่งอยู่ภายใต้การบังคับโดยกฎหมายนี้ในปี 2017. อเมริกาได้สร้างสรรค์ชนชั้นอภิชนาธิปไตยใหม่ขึ้นมาของผู้คนที่ไม่ได้ทำงานแม้แต่วันเดียวในชีวิตของพวกเขา. (About 60 percent of all the wealth in America today is now inherited. And because, under U.S. tax law – which is itself largely a product of lobbying by the wealthy – the capital gains of one generation are wiped out when those assets are transferred to the next, and the estate tax is so tiny that only 0.2 percent of estates were even subject to it in 2017. America is creating a new aristocracy of people who never worked a day in their lives.)


          เรามากำจัดเศรษฐีพันล้านทั้งหลายกัน โดยเปลี่ยนวิถีทางเศรษกิจที่ได้รวมตัวเข้ากันอยู่นี้. ทีนี้, สิ่งนี้ไม่ได้หมายความถึงการยึดทรัพย์จากความมั่งคั่งหรือมรดกทั้งหลายนั้นชองผู้ร่ำรวย, แต่เป็นการกำจัดการผูกขาดทั้งหลาย, หยุดการใช้ข้อมูลวงในซื้อขายหลักทรัพย์, ป้องกันคนร่ำรวยจากการซื้อนักการเมือง, และการทำให้มันยากยิ่งขึ้นสำหรับอภิมาเศรษฐีที่จะหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษี. พูดอีกอย่างหนึ่ง, คือการสร้างสรรค์ระบบที่ทรัพย์สมบัติที่ได้มาทางเศรษฐกิจทั้งหลาย ได้ถูกแบ่งปันกว้างไกลมากยิ่งกว่า. (Let’s abolish billionaires by changing the way the economy is organized. Now, this doesn’t mean confiscating the wealth and assets of the super-rich, but getting rid of monopolies, stop the use of insider information, preventing the rich from buying off politicians, and making it harder for the super-rich to avoid paying taxes. In other words, creating a system in which economic gains are shared more widely.)

          ผู้ประกอบการเยี่ยง เจฟฟ์ เบซอส ควรที่จะถูกจูงใจแค่เพียงพูดได้ว่า, 100 ล้านดอลลาร์ หรือกระทั่ง 50 ล้านดอลลาร์. แต่ราคาต่อระบอบประชาธิปไตยของเราแห่งเศรษฐีพันล้านทั้งหลาย ด้วยความมั่งคั่งและอำนาจอย่างเพียงพอที่จะบงการกำหนดควบคุมกฏกติกาทั้งหลายของระบอบทุนนิยมเพื่อกำไรของตัวพวกเขาเอง ก็เป็นที่ไม่สามารถคำนวณออกมาได้. (Entrepreneurs like Jeff Bezos would be just as motivated by say, a $100 million or even $50 million. But the cost to our democracy of billionaires with enough wealth and power to dictate the rules of Capitalism for their own benefit is incalculable.)

          คุณคิดว่าอย่างไร? คุณคิดว่ากฎกติกาทั้งหลายของตลาด-เสรีได้ถูกจัดการโกงไปเป็นกำไรของอภิมหาเศรษฐีไหม? ให้เราได้รู้จากการแสดงความคิดเห็นทั้งหลาย. และด้วยเช่นกัน, ถ้าคุณได้พบว่าวิดีโอนี้มีข้อมูลข่าวสารที่ดี, ให้แน่ใจที่จะรับชมวิดีโอของเรากับทุกสิ่งที่คุณจำเป็นต้องการที่จะรู้เกี่ยวกับเศรษฐกิจใหม่.

และเช่นเคย, ให้แน่ใจว่าได้กดติดตามช่องนี้เพื่อรับชมวิดีโอมากยิ่งขึ้นเหมือนอันนี้. (What do you think? Do you think the rules of the free-market have been manipulate to benefit the super-rich? Let us know in comments. Also, if you found this video informative, be sure to watch our video on everything you are need to know about the new economy.


          And as always, be sure to subscribe to his channel for more video like this one.)

          https://youtu.be/TNvSg7TJBbs?si=rvz6lCgPWaMg5fIw


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น