หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

พระอาจารย์ชยสาโร - โลก ณ ปัจจุบัน

 พระอาจารย์ชยสาโร โลก ณ ปัจจุบัน

          https://youtu.be/py61kfhNNw4?si=b5yLrPu2xCFjVda1



          ...เช่นนั้น พุทธศาสนาสอนให้เรา มีสติ ทีนี้ถ้าเราดูในพระไตรปิฎก พุทธองค์อธิบายขยายคว่ามว่าการมีสติเป็นอย่างไร

           ทั้งว่าจะอธิบายว่าสิ่งที่เคยทำ สิ่งที่เคยพูด สิ่งที่เคยเรียน เคยรู้ในอดีต จำได้หมด หมายความว่าความทรงจำมีส่วนสำคัญ ในการเจริญสติ แล้วเราถ้าพระหรือว่านักปฏิบัติ ต้องอยู่ในปัจจุบันด้วย แล้วก็ต้องจำไว้ จำได้ สิ่งที่มีประโยชน์ต่อชีวิตด้วย แล้วมันจะไม่ขัดแย้งอยู่ในตัวเรา.

อย่างหนึ่งในการทำงาน พุทธองค์ให้เราแยกระหว่าง สิ่งที่สำคัญมีสาระ และสิ่งที่มีสาระน้อย หรือมีสาระหรือมีประโยชน์หรือว่าไม่มีสาระประโยชน์เลย และสิ่งที่มีสาระประโยชน์ทำก่อน ฉะนั้นก็ต้องจัดลำดับการทำงาน โดยเอาสิ่งที่มีสาระเป็นที่ตั้งการตัดสินว่า ทำอะไรก่อนทำอะไรหลัง.

ฉะนั้นทำความเข้าใจว่าอยู่ในปัจจุบัน คือแบบอยู่ในปัจจุบันแบบลอย ๆ ไม่มีความคิดในสมอง อันนั้นไม่ใช่การอยู่ในปัจจุบันของพระพุทธเจ้า ไอ้การอยู่ในปัจจุบันของพระพุทธเจ้าก็คือ รู้เท่าทัน ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในใจในปัจจุบัน อยู่ในปัจจุบันอย่างรู้เท่าทัน นี่คือการอยู่ในปัจจุบันของพุทธศาสนา แล้วสิ่งที่ต้องรู้เท่าทัน มีอะไรบ้าง? ก็คือความรู้สึกนึกคิดทั้งหลาย ฉะนั้นถ้าเรากำลังเจอปัญหา ปัญหาใหม่ ผู้มีปัญญาจะต้องทบทวนในความทรงจำใช่มั้ยว่า ไอ้ปัญหาที่คล้าย ๆอย่างนี้ เราเคยเผชิญมั้ย? เคยแก้ได้มั้ย? ใช้วิธีอย่างไรมั้ย? หรือว่าในปัญหานี้ครูบาอาจารย์ท่านเคยสอนอย่างไร? และว่าเราควรจะปฏิบัติอย่างไร กับปัญหาตัวนี้.

นี้ก็คือเราเอาเรื่องจากอดีตมาคิด โดยรู้ตัวว่านี่คือการใช้ความทรงจำให้เป็นประโยชน์ และว่ารู้เท่าทันความทรงจำ ใช้ความทรงจำในปัจจุบันโดยไม่หลุดออกจากปัจจุบัน สิ่งพุทธองค์ทรงเตือนคือการหลงอยู่ในความทรงจำ เพลินอยู่กับความจำเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเรื่อย ๆ ไม่มี อ่า ไม่มีจุดมุ่งหมาย ไม่ได้เอาความจำมาใช้เพื่อประโยชน์ต่อปัจจุบัน หรือว่าคิดในเรื่องที่คนนั้นเคยล่วงเกิน เรื่องไม่ดีต่าง ๆ ไปคิดวกไปเวียนมา อันนี้ก็คือหลงอยู่ในอดีต หรือหลงอยู่ในความทรงจำ.

ทีนี้ในการทำงานเราจะต้องจัดว่า ทำอะไรก่อนทำอะไรหลัง อย่างที่ท่านอาจารย์เคยเตือนบ่อย ๆในเรื่องความเครียด ไอ้ความเครียดมันจะเกิดจากการบริหารเวลาไม่ค่อยเป็น เป็นหลักใหญ่ ฉะนั้นการบริหารเวลาคือการจัดสรรว่า ทำอะไรอย่างไรเมื่อไหร่ ซึ่งก็เป็นการคิดเรื่องอนาคต  อ่า คิดแบบนี้เราบอกว่าวางแผน ใช่มั้ย? คือการวางแผนเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะปัญหาหลายอย่างต้องใช้เวลาแก้ปัญหา  หลายปี หรือจะเป็นหลายสิบปี เพราะฉะนั้นเราจะเอาแต่ปัจจุบันได้อย่างไร ใช่มั้ย?

สมมติว่าเรา นักวิทยาศาสตร์บอกว่าภายใน 5 ปี จะเป็นปัญหาอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่ใช่ว่าเราจะรอถึงวันที่ปัญหาเกิด เราจึงไปหาวิธีแก้ ใช่มั้ย? เราต้องไม่ประมาท คิดวางแผนว่าจะป้องกัน หรือจะบรรเทาปัญหาได้อย่างไร เพราะฉะนั้นการใช้ความคิดในเรื่องที่สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น เพื่อเป็นประโยชน์ มีจุดมุ่งหมาย มีเหตุมีผล แล้วก็รู้สิ่งในความคิด ซึ่งก็มีปัญญาคอยกำกับว่า อะไรใหม่มันก็ไม่แน่นอน เพราะสิ่งทั้งหลายก็เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาทั้งในรูปแบบที่เราพอพยากรณ์ได้บ้าง ในสิ่งที่เราพยากรณ์ไม่ได้เลยก็มี.

ฉะนั้นเราอยู่ในปัจจุบัน ก็คืออยู่อย่างรู้เท่าทัน รู้เท้าทันความทรงจำ ใช้ความทรงจำให้เกิดประโยชน์ นั้นก็คืออยู่ในปัจจุบัน ใช้ความคิดอย่างเรื่องการบริหารเวลา และการวางแผน และสำหรับอนาคตด้วยเหตุด้วยผล ก็เรียกว่าอยู่ในปัจจุบัน อย่างรู้เท่าทัน.

อย่างใน...ถ้าเราดูในไตรปิฎก ก็มีตัวอย่าง อย่างเช่นพุทธองค์ ก็มีบางโอกาสที่พุทธองค์ทรงเล่าถึงอดีตชาติของพระพุทธองค์ ตั้งแต่ยังเป็นพระโพธิสัตว์ แล้วเรียกว่าเป็นเรื่องของชาดก นี้เป็นตัวอย่างที่พุทธองค์เอาเรื่องอดีตมาพูด เพื่อประโยชน์ในปัจจุบัน แล้วพุทธองค์ก็ยังตรัสถึงอนาคตเหมือนกัน แต่พุทธองค์ไม่ได้ตรัสในอนาคตเหมือนเป็นหมอดู เพราะอนาคต สิ่งที่จะเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในอนาคต มันมากมายก่ายกอง จริงๆ มันเหลือที่จะ...เหลือที่จะ อ่า จะเข้าใจได้ แม้แต่พุทธองค์เอง เพราะไอ้ตัวแปรที่ไม่แน่ไม่นอน มันเยอะมาก แต่พุทธองค์ตรัสถึงเรื่องอนาคต พุทธองค์ก็จะตรัสในตามหลักการว่า ถ้าทำอย่างนี้ อย่างเช่นตัวอย่างเนี่ยะ ถ้าทำอย่างนี้พุทธศาสนาจะอยู่ได้นาน ถ้าทำอย่างนี้พุทธศาสนาอยู่ไม่ได้นาน ถ้าทำอย่างนี้จะเจริญ ถ้าทำอย่างนี้อย่างนี้อย่างนี้ในอนาคต พุทธศาสนาจะเจริญ ทำอย่างนี้อย่างนี้อย่างนี้ในอนาคตพุทธศาสนาไม่เจริญ ถ้าทำอย่างนี้อย่างนี้อย่างนี้ในอนาคตสังคมจะเจริญ อย่างนี้นี้นี้อนาคตสังคมไม่เจริญ คือพุทธองค์เอาหลักธรรม

สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ เปิดเผย อ่า ชี้แจงให้เป็นหลักให้เห็นความไม่แน่นอนในอนาคต ก็ยังมีมุมมองที่เรายังพอจะพิจารณาให้เกิดประโยชน์ได้ อย่างเช่นพุทธองค์ก็ตรัสไว้ว่า ถ้าเป็นรัฐบาลหรือเป็นประเทศ หรือเป็นชุมชน องค์กร  ท่านจะเน้นในเรื่องการพร้อมเพรียงกัน ประชุมพร้อมเพรียงกัน จัดการกับธุระ เขาต้องพร้อมเพรียงกันเลิกการประชุม คือเน้นที่ความสามัคคี และการสื่อสารที่ดี เป็นหลักประกันความเจริญ พุทธองค์ก็ตรัสไว้ว่า ประเทศไหนที่ดูแลปกป้องให้เกียรติผู้หญิง สังคมนั้นจะเจริญ สังคมไหนเอารัดเอาเปรียบผู้หญิง อ่า จะไม่เจริญ สังคมไหนให้เกียรติแก่นักปราชญ์ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แล้วก็จะเจริญ แต่ไม่ให้เกียรติไม่ให้ความสำคัญกับผู้ที่ทรงปัญญา เป็นผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ก็จะเสื่อม.

ทีนี้มีข้อหนึ่งที่น่าสนใจ คือพุทธองค์ก็ตรัสไว้ว่า ตราบใดที่พระภิกษุสงฆ์ยินดีในสิ่งอาสนะป่า ชอบอยู่กับต้นไม้ พุทธศาสนาจะไม่หายจากโลก พุทธศาสนาจะไม่เสื่อม แต่ถ้าพระยุคไหน พระไม่ยินดีอยู่กับธรรมชาติ ไม่ยินดีอยู่กับป่าแล้ว พุทธศาสนาจะเสื่อม นั้นก็เป็นพุทธวจนะข้อหนึ่งที่ มีย้ำถึงความสำคัญของการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ที่ดี เวลา อ่า เราก็รู้ อ่า ความสัมพันธ์นี้ปรากฏแม้แต่ในพุทธประวัติ ตั้งแต่พุทธองค์ทรงประสูติใต้ต้นไม้ บรรลุพระอนุตตราสัมมาสัมโพธิญาณใต้ไม้ และยังปรินิพพานใต้ต้นไม้ และมนุษย์กับต้นไม้นี่มีความสำคัญมาก แล้วพระตั้งแต่สมัยพุทธกาล พระออกธุดงค์ออกจาริก แล้วก็จะอยู่รุกขมูล อยู่ใต้ต้นไม้ มีต้นไม้เป็นร่ม ซึ่งเราดูความพิเศษ และอานิสงส์ของต้นไม้ได้ว่า ถ้าเราอยู่...อยู่กลางแจ้ง บางทีไม่กี่นาทีนะ เราจะทรมานแล้ว ใช่มั้ย? ถ้าเราไม่มีหมวก ไม่มีอะไรป้องกันความร้อน.

และทุกวันนี้ประเทศที่เราเรียกว่าประเทศร้อน แถบร้อน แม้แต่ประเทศทางยุโรป ตอนนี้ก็เจอความร้อนอย่าง อ่า อย่างรุนแรงมาก 40 กว่าองศา ลองสังเกตว่าถ้าอยู่กลางแจ้งอย่างเนี้ยะ ป่วยนะ ไม่สบายหรืออย่างน้อยก็ทรมาน แต่ถ้ามีต้นไม้แม้แต่ต้นเดียว เดินเข้าร่มของต้นไม้ หายทุกข์เลยนะ โอ้ ทำไมต้นไม้นั้นมีอำนาจขนาดนี้มีอำนาจเหนือพระอาทิตย์นะ พระอาทิตย์จะทรมานแต่ต้นไม้ทำให้อยู่ได้ อืม ฉะนั้นต้นไม้มีบุญคุณของมนุษย์เรามาก เริ่มตั้งแต่การให้ร่ม และให้สถานที่ที่เรียกว่ารมณีย เป็นรมณียสถาน.

ตอนนี้โรงเรียนของเราก็เริ่มเป็นรมณียสถาน ใช่มั้ย? เราเดินเข้ามาในโรงเรียนนี่ นักเรียนอาจจะสังเกตบางทีอาตมาก็พาแขกมาจากต่างประเทศ ล่าสุดก็มีท่านทูตจากประเทศอินเดีย มาชมโรงเรียน พอเดินเข้ามาในโรงเรียนทูตก็ โห น่าอยู่มาก เหมือนสวรรค์ ก็จะ...สำหรับคนมาใหม่ไม่เคยมามาก่อนนะ แล้วทำไมถึงชื่นชมมาก อาคารอาจจะมีส่วนหนึ่ง แต่อาคารก็ไม่มีอะไร อ่า พิเศษมาก แต่สิ่งที่ทำให้เกิดบรรยากาศที่ประทับใจก็คือธรรมชาติ ในการที่เรามีต้นไม้เยอะแยะ แล้วอาคารกับต้นไม้อยู่ด้วยกัน อย่าง...อย่างสามัคคีกัน กลมกลืนกัน.

ฉะนั้นธรรมชาติจึงเป็น สิ่งที่มีอานิสงส์ต่อเรามาก และการอยู่กับต้นไม้ก็มีส่วนหนึ่งที่ทำให้จิตใจเย็นลง อ่า อารมณ์ที่จะเกิดขึ้นเอง ในเมื่อเราอยู่กับต้นไม้มันจะต่างกับการอยู่ในเมือง และการอยู่แต่มองข้างในเห็นแต่คอนกรีต เห็นแต่อาคาร เห็นแต่สิ่งที่มนุษย์สร้างอย่างเดียว ไอ้การอยู่กับสิ่งที่เป็นธรรมชาติ อย่างต้นไม้ เป็นต้นนั้น มันเป็นยาบำบัดจิตในระดับหนึ่ง อาตมาก็ยังเคยอ่านบทการวิจัย ทำที่อังกฤษที่อเมริกา จำไม่ได้ ได้ดูผลการสอบของ อ่า ของเด็กที่อยู่ในโรงเรียนที่มีต้นไม้เยอะแยะ และที่ไม่มีต้นไม้ ในโรงเรียนที่ต้นไม้มาก โดยเฉพาะที่มองเห็นจากห้องเรียน ก็ผลการสอบดีกว่า เรียกว่ามีผลขนาดนี้ด้วย.

ในตอนนี้เราอยู่ในโลกที่เราถือว่ามนุษย์ฉลาด มนุษย์เราเจริญ แต่สิ่งที่น่าคิดก็คือ มนุษย์อยู่ในโลก อยู่กับธรรมชาติ ล้านกว่าปี อ่า จำตัวเลขไม่ได้ อ่า อยู่ด้วยกัน แต่หลังจากปฏิวัติอุตสาหกรรมซึ่งเริ่มที่อังกฤษ เกือบจะ 300 ปี 250 เกือบ 300 ปี มนุษย์ใช้เทคโนโลยี เปลี่ยนโลก ทำให้อนาคตชองโลกดูจะน่าเป็นห่วงมาก จนกระทั่งนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำหลายท่านก็ยังไม่แน่ใจว่า 100 ปีข้างหน้าโลกของเราจะยังอยู่รอดได้หรือเปล่า ในขณะที่มนุษย์อยู่แบบธรรมดาๆ กี่พันกี่หมื่นกี่แสนปีล้านปี ก็อยู่ด้วยกันไปเรื่อย ๆ แต่พอมนุษย์มีอำนาจเหนือธรรมชาติ มนุษย์ก็ทำลายธรรมชาติและกลายเป็นว่า ทำลายตัวเองอยู่ในตัว เพราะว่ามนุษย์แยกออกจากธรรมชาติไม่ได้.

ทีนี้ในอิทธิพลของอารยธรรมตะวันตก ความคิดของตะวันตก ชาวพุทธซึ่งเคยซาบซึ้งเข้าใจในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ แล้วก็ยังมองธรรมชาติเหมือนเป็นสินค้า หรือเป็นวัตถุดิบ หรือเป็นสิ่งที่มนุษย์มีสิทธิจะเอาไปใช้ เพื่อความต้องการ และการทำลายธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม เพื่อสิ่งที่เป็นประโยชน์แท้ของมนุษย์ ก็มีแน่นอน แต่ในขณะเดียวกันมีการทำลายในทางที่ไม่จำเป็น ไม่เหมาะสม ว่าเพียงเพื่อตอบสนองกิเลสของคน ซึ่งอาจจะเป็นช่วงหนึ่งที่เรายัง อ่า ยังไม่ต้อง อ่า ระวังมาก จะถือว่าช่วง 200 ปี 300 ปีที่แล้วตอบสนองกิเลสบ้าง ไม่เป็นไร เดี๋ยวนี้ไม่ได้แล้ว เพราะว่ายุคเรานี้เป็น ยุครับผลกรรม ที่บรรพบุรุษสร้าง ที่มนุษย์เราสร้างตลอด  2-300 ปีที่ผ่านมา ที่เราเห็นชัดขึ้นทุกวัน ๆ ก็ปัญหาธรรมชาติสิ่งแวดล้อมซึ่งก็ทำให้เกิดความ อ่า ความทุกข์ใจ และเมื่อทุกข์ใจเรื่องสิ่งแวดล้อม คนส่วนมากใช้วิธีหลับหูหลับตาไม่อยากฟัง ฟังแล้วหดหู่ใจ ไม่คิดดีกว่า อันนี้ก็รูปธรรมชาติของปุถุชนอยู่เหมือนกันเน๊าะ อ่า สิ่งใดที่ทำให้สบายใจก็พยายามไม่คิดดีกว่า แต่พุทธศาสนาสอนเราว่า เราต้องฝึกจิตให้เข้มแข็ง ให้กล้าเผชิญหน้ากับความจริง แล้วก็ดูความจริงที่ปรากฏ แล้วก็พิจารณาว่า ทำไมมันเป็นอย่างนี้? ด้วยเหตุปัจจัยอะไรบ้าง? และเราจะแก้ได้มั้ย? มีทางแก้มั้ย? และมี...ไม่มีทางแก้สิ้นเชิง ทางที่จะทำใหม่ให้ดีขึ้น ได้มั้ย? และเราต้องทำยังไง? นี้ก็เป็นหลักอริยสัจ 4 ประยุกต์ กับปัญหารอบตัว.

ทีนี้ในเรื่องของธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม สิ่งที่ทุกคนทำได้ ก็เป็น...หนึ่งก็เป็นเรื่องของความประหยัดในความใช้วัตถุดิบของโลก สองอาจจะต่อไป อาจจะเริ่มต้องมีการเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง อย่างที่อาตมาเคยอธิบายเรื่องว่า เหตุปัจจัยสำคัญของการทำลายสิ่งแวดล้อม คือการเลี้ยงสัตว์ เพราะเมื่อมนุษย์อยู่ในการกินการทานเนื้อสัตว์ ซึ่งในอนาคตถ้าเราอยากจะ...หรือว่าปัจจุบันเราอยากจะช่วยสิ่งแวดล้อม สิ่งที่ทำได้ทันทีเลย คือทานเนื้อสัตว์น้อยลง คือบางท่านบางคนอาจจะอยากทานเจไปเลยนะ แต่ถ้านั่นไม่ไหว อย่างน้อยเราก็ลด ลดน้อยลง อย่างเช่นว่า ทานอาหาร 3 มื้อ ให้ทานอาหารเหลือ 1 มื้อ ไม่ทานเนื้อสัตว์ 2 มื้อ เนี่ยะ ก็เป็นตัวอย่างของการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่ไม่จำเป็นซึ่งเกิดจากนิสัยการกิน.

และความสัมพันธ์ระหว่างการกินเนื้อสัตว์ กับการทำลายสิ่งแวดล้อม ก็ในข้อหนึ่งทุกวันนี้ก็มีการปลูกพืชปลูกพืชให้สัตว์กิน เพื่อเราจะได้กินเนื้อของสัตว์ แต่แล้วแต่ว้าเป็นสัตว์ประเภทไหน แต่โดยเฉลี่ยต้องปลูกพืชประมาณ สมมติว่า 15 กิโล อย่างน้อยถึง 20 กิโล เพื่อจะได้เนื้อสัตว์ 1 กิโล ซึ่งเป็นแลกเปลี่ยนที่ ที่ขาดประสิทธิภาพ สมติว่าที่เราปลูกพืชให้สัตว์กิน ก็ปลูกให้คนกินจะไม่ดีกว่าหรือ?

นอกจากนั้นสัตว์ทั่วไปมันก็มีการปล่อยแก๊สมีเธน2 พวกวัวควายเนี่ยะ โดยเฉพาะวัว ซึ่งถ้าวัวเป็นล้าน ๆตัว

2 https://en.wikipedia.org/wiki/Methane

นั้น ก็มีเศษแก๊สที่ปล่อยออกไปแต่ละวัน ก็มีผลกระทบต่อโอโซน เป็นการทำลายธรรมชาติที้สำคัญ. นอกจากนั้นที่อเมริกาใต้ มีการทำลายป่าเพื่อทำเป็นที่เลี้ยงสัตว์ เพื่อฆ่าสัตว์ เพื่อให้คนกินเนื้อสัตว์ ดังนั้นจึงมีการฆ่าเพื่อเลี้ยงสัตว์โดยเฉพาะ ไม่ใช่น้อย อย่างเช่นในอมาซอน(Amazon3)ในสิบกว่าปีที่ผ่านไปหลายร้อยล้านต้นนะ ต้นไม้ที่ถูกตัดไป.

 3 https://en.wikipedia.org/wiki/Amazon_rainforest

ฉะนั้นในเมื่อเราอยู่ในปัจจุบัน สิ่งที่เราเห็นได้ในปัจจุบัน อาจจะรู้ปีนี้ร้อนเป็นพิเศษ อ่า แล้งเป็นพิเศษ แล้วเราก็ดูข่าว ดูความ...ปีนี้ก็เป็น อ่า เดือนกรกฎา เป็นเดือนกรกฎาทั่วโลกที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ ในปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ใน 5 ปีที่ร้อนที่สุด 3 หรือ 4 ปีก็มาในเวลาที่เพิ่งผ่านไปเนี่ยะ 4-5 ปีที่ผ่านมา แสดงว่าโลกมันร้อนขึ้นมากๆ และพร้อมกับความร้อนของโลก ก็จะเห็นเรื่องของการ...ปัญหาน้ำท่วม ไฟไหม้ พายุอะไรพวกนี้ รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แล้วเราจะทำยังไง เราก็เลือกเรื่องประหยัดก็ช่วยได้ เปลี่ยนนิสัยการกินก็ช่วยได้.

แต่อีกข้อหนึ่งที่เหมาะกับมาก กับชาวพุทธเรา ก็คือการปลูกต้นไม้ เพราะว่าการปลูกต้นไม้ก็มีการ...เป็นการส่งเสริมสิ่งที่ดูดเอาคาร์บอนไดออกไซด์จาก...จากอากาศแล้วก็ปล่อยออกซิเยน ซึ่งเป็นสิ่งที่โลกต้องการมากที่สุดตอนนี้ ต้องการให้คาร์บอนไดออกไซด์น้อยลง ต้องการให้ออกซิเยนมากขึ้น ฉะนั้นการปลูกต้นไม้ ถือว่าก็เป็นการทำสิ่งที่ดี เรียกว่าเป็นการทำบุญ หนึ่ง เพราะว่าต้นไม้ให้ความร่มเย็นกับมนุษย์ ต้นไม้หลายต้นก็ให้ผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อมนุษย์ ปลูกต้นไม้ก็เป็นการสร้างรมณียสถาน ก็เป็นสถานที่มี อ่า มีผลต่อจิตใจของมนุษย์ ทำให้จิตใจของมนุษย์ได้คลายคว่ามเครียดได้ ถ้าเราปลูกต้นไม้แล้ว ไปเดินอยู่ในป่า โห มีความสุขง่ายๆ ไม่ต้องไปใช้เงิน ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรเลย.

ในยุโรปตอนนี้ก็มี โครงการใหญ่หลายประเทศ ที่อังกฤษ ที่สก็อตแลนด์ ที่ยุโรปหลายประเทศ ที่เค้าเรียกว่า rewilding…rewilding ก็คือให้มันเป็น wild เหมือนสมัยก่อน มีการปลูกต้นด้วยปลูกต้นไม้เป็นแถวๆ เป็นอาหารเพื่อการค้า ไม่ใช่เป็นธุรกิจ อ่า ต้นไม้ เพื่อจะรื้อฟื้น ระบบนิเวศดั้งเดิมของอังกฤษ ของสก็อตแลนด์ ถ้าใครเคยไปเที่ยวสก็อตแลนด์และเคยเห็นรูปของสก็อตแลนด์ มันก็มีเสน่ห์มาก คนชอบไปเที่ยว แต่ที่คนไม่ค่อยคิดก็คือสก็อตแลนด์เป็นอย่างนี้ เพราะเค้าตัดต้นไม้ อ่า ทิ้งหมดแล้ว คือสก็อตแลนด์ก็เป็นประเทศที่มีการทำลายป่ามากที้สุดในโลก แต่ว่าเป็นเนื่องจากว่า ตัดต้นไม้นานมากแล้ว เกือบ 100-200 ปี คนก็ไม่รู้ว่าอดีตของสก็อตแลนด์เป็นยังไง ถ้าไม่มีโครงการปลูกต้นไม้ อีกรอบหนึ่งให้มันกลับเหมือนเดิม เพื่อประโยชน์กับธรรมชาติด้วย และเพื่อช่วยในด้านสิ่งแวดล้อม ในการเปลี่ยนแปลงของอากาศ.

ตอนนี้อาตมาก็เป็นที่ปรึกษา เป็นประธานที่ปรึกษาของ...เป็นที่ปรึกษาเฉยๆมั้ง จำตำแหน่งตัวเองไม่ได้ ของมูลนิธิ ชื่อว่า ปลูกต้นไม้ ปลูกธรรมะ ซึ่งมีอุดมการณ์ อ่า อยากจะสร้างกระแสใหม่ในสังคมไทย ให้เห็นว่าการปลูกต้นไม้คือการทำบุญ ไปวัดเนี่ยะ ไม่ต้องไปเอาอาหาร เอา อ่า...สิ่งที่เป็นบริวารต่างๆที่...ผ้าไตร หรือว่า ยา อะไรต่างๆไปถวายสงฆ์ อย่างเดียว ถ้ามีโอกาสไปปลูกต้นไม้ในวัด หรือว่าที่ไหนที่มีโครงการ ก็ไปช่วย มีส่วนร่วม ซึ่งมูลนิธินี้ก็มีจัดทุกปี อ่า วัดที่เข้าในโครงการทั่วประเทศ ให้ผู้ที่ต้องการทำบุญด้วยการปลูกต้นไม้ ก็จะได้ไปร่วมกิจกรรม อาตมาว่า บางทีนะ เมื่อวันอาทิตย์ที่แล้วก็ไปปลูก...ที่แล้วเราก็ไปปลูกต้นไม้กันที่อำเภอสีคิ้ว ที่เรากำลังจะสร้างศูนย์พักฟื้นพระภิกษุอาพาธ แล้วใรนโครงการนี้จะมี 2 ด้าน ด้านตะวันตก ก็เป็นศูนย์พักฟื้น แล้วทางตะวันตกเราก็จะสร้างเป็นวัด เพื่อให้พระจิตอาสาก็จะได้มาพักในวัดแล้วก็ไปช่วยดูแลพระอาพาธได้ และที่ดินก่อนหน้านี้ก็เป็น หน้าข้าว ยังไม่มีต้นไม้ เราต้องเริ่มจากศูนย์ แล้วเริ่มปลูก วันอาทิตย์ที่แล้วก็ปลูกต้นกล้าบ้างต้นใหญ่บ้าง และก็ต้นหนุ่มสาวบ้าง และพรุ่งนี้เราก็จะ...นักเรียนของเรา ม.1 ม.2 ก็จะไปปลูกต้นชบาเพื่อจะทำรั้วรอบ อ่า รอบวัด ก็เป็นกิจกรรมที่ อยากให้มีบ่อยๆ ต่อไป.

เพราะว่าในโรงเรียนเรา เราก็มีหลักภาวนาศีลนี่ สร้างความสัมพันธ์ที่ดี  ถูกต้อง ดีงามและวางมนุษย์กับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ที่ว่าเป็นเป้าหมาย ของการศึกษาที่รับผิดชอบสำนึก ก็พยายามมีกิจกรรมในการช่วย ในการตอบสนองความ บุญคุณ เค้าเรียกว่า การแสดงความกตัญญู ต่อโลก ที่ให้ชีวิตเรา ในร่างกายเราเนี่ยะ ธาตุดินน้ำไฟลม เป็นสิ่งที่เรายืมมาใช้ ที่จริงไม่ใช่ของเรา ดินน้ำไฟลมทุกอย่าง ยืมธรรมชาติมาใช้ ถึงวันตายก็ต้องคืนให้กับธรรมชาติ อยู่ได้เพราะธรรมชาติ ถ้าไม่มีออกซิเยน เราก็หายใจไม่ตายรึ? ตายสิไม่มีพืช ไม่มีอาหาร ที่ปลูกไว้ในดินแล้ว ก็ตาย ไม่มีน้ำบริสุทธิให้กินเราก็ตาย นี้เรามีชีวิตได้เพราะอะไรบ้าง?

นี้นัก...พวกเราจะเกินความซาบซึ้งในบุญคุณ ซาบซึ้งในบุญคุณของคุณพ่อคุณแม่ และของครูบาอาจารย์ ของธรรมชาติสิ่งแวดล้อม ด้วยการหยุดคิดหยุดสำนึก หยุดทำว่าทุกวันนี้ ที่เป็นอย่างนี้ ด้วยเหตุปัจจัยยังไง? ทำไมเราจึงอยู่ได้? ทำไมเรามีชีวิตได้? ในเมื่อทุกคนรักชีวิตตัวเอง ก็ต้องคำนึงถึงสิ่งและบุคคล ผู้ที่ให้ชีวิตเรามา ในคว่ามรู้สึกกตัญญู เป็นึความรู้สึกที่งดงาม เป็นอาริยะทรัพย์อยู่ในใจ.

เอาละ วันนี้ก็ได้คุยไปเล็กน้อย ถึงเรื่องของปัจจุบัน และความสัมพันธ์ ความสำคัญของการรู้เท่าทันอดีตและอนาคต แล้วการกล่าวถึงอนาคต ที่เราควรจะคำนึงถึงบ่อยๆ นั้นก็คือเรื่องธรรมชาติสิ่งแวดล้อม  แล้วก็พิจารณาว่า เราคนเดียวก็ทำอะไรไม่ได้มากหรอก แต่เราอยากจะมีอะไรสักอย่างที่ เรารู้สึก โอ้ อย่างน้อยเราก็รับผิดชอบในส่วนที่พอไปได้.

So now I’m gonna to give short summary in English. And I began talking about the Buddhist teachings that everyone knows about Living in the Present moment. But what is that really means because we cannot function as human being without Memories or without Thoughts and planning. So, it’s the Buddha challenge us we should not make use about Memories as apart Experiences in dealing with a challenge in daily life that we shouldn’t plan anything that we just be completely in one day at a time. O no of course, he did not. So, the Buddha said we should Living in Present moment knowing Thoughts, as Thoughts and Memories.

So, Living in Present moment with Wisdom. So, the Past now, what’s a Past? Buddha means the Past what the Past is Memory, isn’t it? As it…as something that we can experience directly in alive. And so when we consciously make use of our Memories that we’ve learned things with experiences in the Past for benefit and happiness in Present. Then it is not considered to be in conflict with the teaching’s Living in the Present. We’re living in the Present aware of the Past as Memories to be use appropriately.

We also as to think and plan and priory times and manage our times …So, this’s a…also importance activities. But again, we’re aware of Thoughts as thoughts, now we’re using the thinking mind for searching, go to achieve searching goals. So, what the Buddha was advising us to abandon or let go, it is quoted up in Memory, let’s going over, over, over for the gaining the things that hurt or upset in the Past, to think what’s the people has done and sad or think what you’ve done and sad. And just losing all awareness in that…um in Memory.

And similarly the Thoughts, imagination, using sorts of imaginations as and escape from the Present moment or present responsibility, playing to Dreamworld. And believing in your Thoughts and imagination too much.

So, knowing Thoughts as thoughts and knowing Memories as memories, we abide in the Present moment.

So, that just was also the first 5 minutes I’ve talked, that I think that just be my English summary.

https://youtu.be/py61kfhNNw4?si=o5MiBJg3_AsPGpcn

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น