พระอาจารย์ชยสาโร
- เป็นฟืน เป็นไฟ
https://youtu.be/1kXrswiZwrY?si=_61Wj-qzlQMsGVQX
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
พุทธัง
ธัมมัง สังฆัง อะนุตตะรัง คุณุตตะรัง อุปัชฌาย์ยัง นะมัสสามิ.
...ใช้ได้ใช่มั้ย? ไมโครโฟน...
ในภาษาไทยมีสำนวนว่า “โกรธเป็นฟืน เป็นไฟ” โทสะหรือว่าความโกรธ
เป็นไฟ.
ไม่นานมานี้มี มีคนต่างชาติถามอาตมาเรื่องความโกรธ
คล้ายๆกับว่าไม่ได้เป็นปัญหาอะไรมาก เพราะเป็นครั้งเป็นคราว จะเสียหายอะไร? นี้อาตมาก็เปรียบเทียบ
อ่า เหมือนป่าไม้มีกว้างใหญ่ หลายแสนหลายล้านไร่ จุดไฟจุดเดียว ที่เดียว
ไม้ขีดก้านเดียว ก็สามารถทำลายได้หมด ต้นไม้ที่เสียเวลาในการเติบโต
หลายสิบปีหลายร้อยปี ก็ทำลายได้หมดเลย เพราะไฟมีธรรมชาติว่าลาม.
ทีนี้ไฟของมนุษย์ ในขณะที่เราโกรธ ในเวลานั้นปัญญารู้บาปบุญคุณโทษดับ คือความโกรธและปัญญาอยู่ด้วยกันไม่ได้
ในขณะที่โกรธทำได้ทุกอย่าง พูดได้ทุกอย่าง ทั้ง ๆที่ก่อนโกรธรู้เลยว่าอะไรถูกอะไรผิด
อะไรน่าเกลียดอะไรไม่น่า...รู้หมด พอหายโกรธแล้ว รู้หมด แต่ในขณะที่โกรธ ไม่รู้อะไรสักอย่าง
ในขณะที่โกรธ การศึกษาทางโลกไม่มีความหมาย ไม่ว่าจบ ป.6 ม.6 จบปริญญาตรีปริญญาโทปริญญาเอก
จบมหาเปรียญ 9 ประโยค ไม่มีความหมาย ในขณะที่โกรธทำได้ทุกอย่าง พูดได้ทุกอย่าง. ฉะนั้น
ในขณะเดียว ในวินาทีเดียว คนเราสามารถจุดไฟที่ทำลายบุญกุศล ที่สั่งสมมาหลายนภพหลายชาติ
แสนภพล้านชาติ ได้ มันจึงน่ากลัวเหลือเกิน.
ฉะนั้นในการพัฒนาชีวิต ให้เราเป็นมนุษย์ที่ดีที่สุดที่เราเป็นได้
คือจัดการกับความโกรธ มันสำคัญยิ่ง หลายๆคนก็ยอมรับในหลักการ
แต่ในภาคปฏิบัติ ขี้เกียจ แต่คนเราไม่ค่อยอยากจะยอมรับว่าตนเองขี้เกียจ หรือใช้คำว่า
“ยังไม่พร้อม” ไม่พร้อม แปลจากบาลีแปลว่า ขี้เกียจ ขี้เกียจทำ
กลัวลำบาก แต่เราต้องพร้อม คือชีวิตที่ดีงาม คือชีวิตที่พร้อม พร้อมที่จะทำความถูกต้องในทุกสถานการณ์
ทุกเหตุการณ์ นี่แหละคือชีวิต ที่ไม่ประมาท ความไม่ประมาทก็คือความพร้อม
ที่จะกระทำ พร้อมที่จะพูด พร้อมที่จะคิด ในสิ่ง...ในทางที่ถูกต้อง ทั้ง ๆที่ไม่ถูกใจบ้าง.
ถ้าเราแบ่งเรื่องราวต่างๆในชีวิต ออกเป็น ๔ อย่าง คือ ถูกต้องถูกใจ
ถูกต้องไม่ถูกใจ ไม่ถูกต้องแต่ถูกใจ ไม่ถูกต้องไม่ถูกใจ ไอ้เรื่องไม่ถูกต้องไม่ถูกใจ
ไม่มีใครอยากทำแล้ว ไม่อันตรายน่ะ ไอ้เรื่องถูกต้องด้วยถูกใจด้วย ใครๆก็อยากขยันนะ
แต่เราจะดูคนออกในข้อที่ ๒ ข้อที่ ๓ นะ เราจะดูวุฒิภาวะของคน ในเมื่อเราเจอสิ่งที่ถูกใจเหลือเกินแต่ไม่ถูกต้อง
ถูกต้องแต่ไม่ถูกใจเลย ถ้าคนเราสามารถทำในสิ่งที่ถูกต้องได้ทั้ง
ๆที่ไม่ถูกใจ อันนั้นแหละที่เป็น มนุษย์ที่งดงาม น่าชื่นชม สิ่งที่ถูกต้องแต่ไม่ถูกใจทำได้
ไม่ถูกต้องแต่ถูกใจไม่ทำเป็นอันขาด อันนี้คือชีวิตของผู้ไม่ประมาท พร้อมที่จะอยู่กับความถูกต้องตลอดเวลา.
ฉะนั้นสิ่งใดเป็นอุปสรรคขัดข้อง ไม่ให้เราทำพูดคิดอย่างถูกต้อง
สิ่งนั้นเราต้องจัดการ แล้วคอยไม่ได้ เพราะยิ่งปล่อย อ่า ยิ่งคอยยิ่งยาก ด้วยความคิดผิดของคนจำนวนมากก็คือ
ระหว่างนี้เราก็อยู่ไป อ่า เฉยๆไว้ก่อน แต่ว้าทำมาหากินธรรมดาไว้ก่อน พอมีเวลาว่างเราจคงจะปฏิบัติ
เหมือนกับว่าทุกวันนี้ อยู่ไปกลางๆ ไม่ดีมากและไม่...ไม่ชั่วมาก แท้ที่จริงแล้วพุทธองค์ทุกขณะจิต
ถ้าจิตไม่อยู่ในสิ่งที่เป็นบุญ ไม่ยินดีในสิ่งที่เป็นบุญ ต้องยินดีในสิ่งที่เป็นบาป
ถึงจะเป็นบาปเล็กๆ บาปอ่อนๆ มันไอ้...ตัวเล็กๆตัวอ่อนๆ มันจะสะสม ไปเรื่อย ๆ จนกลายเป็นความเคยชิน
เป็นนิสัยใจคอ เป็นสิ่งที่แก้ยาก ยากมาก.
อย่างในที่อาตมา อยู่ที่วัดที่อุบลนะ มีชาวต่างชาติมาปฏิบัติธรรม
ปีหนึ่งหลายสิบคน แล้วมีผู้มาขออุปสมบทปีละ อ่า แล้วแต่แต่ละปี
แต่ทั้งหมดนี้อาตมาได้เห็นแล้ว อ่า ก็เป็นร้อยเหมือนกัน แล้วอาตมาสังเกตว่า ถ้าผู้มาขอบวชในวัดเรา
อายุเกิน ๓๐ โอกาสยากมากที่จะเอาตัวรอด ต้องมี...มีบารมีมาก ตัวอย่างที่ดีก็คือหลวงพ่อสุเมโธ
ท่านอุปสมบทตอนอายุ ๓๒ แต่ส่วนมากส่วนใหญ่ ในเรื่องทิฐิ มานะ
ความเคยชินในสิ่งที่ไม่เป็นบุญเป็นกุศล มันจะ...พอถึงอายุประมาณ ๓๐
มันจะเริ่มแข็งตัว ดังนั้นแก้ยาก ฉะนั้นอายุเกิน ๓๐
น่ะก็เป็นเวลาที่สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องทำความเพียร ไม่ใช่เอาไว้ตอน ๕๐-๖๐ ขึ้นไป
คือไม่ใช่ว่าไม่มีหวังเลยนะ มัน...มันก็ทำได้ แต่ที่อยากจะให้ทราบก็คือ
ยิ่งนานยิ่งยาก เพราะความเคยชิน ไอ้...ไอ้พลังของกิเลส ความเคยชินที่จะโต้ตอบ
สิ่งท้าทายและสิ่งยั่วยุ สิ่งกดดันด้วยกิเลส มันก็มีเพิ่มขึ้น ทุกวันๆๆๆ
เวลาเราไม่รู้ว่าจะเหลือไว้กี่วัน กี่ชั่วโมง กี่ลมหายใจ เราต้องทำไม่ประมาท.
ฉะนั้นในชีวิตของเรา งาน เอ่องานเราก็มีหลายอย่าง
ความรับผิดชอบมีหลายอย่าง แต่เราก็ไม่ควรจะมองข้ามความรับผิดชอบต่อชีวิตตัวเอง
ในการจัดการกับกิเลส สิ่งเศร้าหมอง ทั้งความโลภ ความโกรธ ความหลง ถือว่าเป็นงานเลย
ถึงว่าเป็นงาน ที่ว่าผลงานไม่ค่อยชัดเจน นี่จะหาตัวชี้วัดได้ยาก
แล้วจะไม่มีสิ่งตอบแทนที่เป็นวัตถุที่นับได้ ที่ฝากธนาคารได้
แต่ที่ได้ก็คือ อริยทรัพย์ อริยทรัพย์ผู้ที่มองด้านในนี้จะสัมผัส สำนึกได้
เราจึงรู้ว่าเป็นสิ่งมีค่ายิ่งกว่า ทรัพย์สมบัติเงินทองที่ อ่า ที่เป็นรูปธรรม.
ฉะนั้นในการ...ในการปฏิบัติ เราจึงต้องวางยุทธศาสตร์
ยุทธวิธีในการแก้กิเลสแต่ละตัว พุทธองค์สอนเรื่องความรู้อย่างน่าสนใจ หลายข้อ
อาตมาเคยพูดบ่อยๆว่า พุทธองค์บัญญัติศัพท์ที่น่าสนใจเกิด สัจจนุรักษ์ คือคำว่าอนุรักษ์เราก็คุ้นเคย
ใช่มั้ย? อนุรักษ์ธรรมชาติ เป็นต้น คำว่า สัจจะ สัจจะทำความจริง
เราก็คุ้นเคน แต่งั้นเอา ๒ คำนี้เชื่อมกันว่า สัจจนุรักษ์
ไม่ค่อยมีใครคุ้นเคยเท่าไหร่ แต่ความหมายก็คือ อนุรักษ์ความจริง แล้วอนุรักษ์ความจริงอย่างไร?
อนุรักษ์คว่ามจริงก็คือ ไม่ยืนยัน ไม่ด่วนสรุป ไม่ผูกขาดว่า ใช่หรือไม่ใช่
ในสิ่งเรายังไม่รู้ ยังไม่เป็นประสบการณ์จริงด้วยจิตที่พ้นจากนิวรณ์
ที่พ้นจากกิเลส นี้หมายความว่า ในขณะที่เกิดความเชื่อ เกิดศรัทธา
อ่านอะไรฟังอะไรแล้ว โอ้ ศรัทธา ใช่ ใช่ ใช่! อันนั้นเราไม่ควรจะบอกว่ารู้แล้ว
เราไม่รู้หรอก เราแค่เชื่อ.
รู้กับเชื่อ ไม่เหมือนกัน อันนี้เป็นปัญญาในพุทธศาสนาที่อยากบริจาคให้กับศาสนาอื่นบ้าง
เพราะทุกวันนี้ โลกสับสนวุ่นวาย เพราะศาสนิกชนทั่วไป ไม่รู้จักการอนุรักษ์สัจจะ
ด้วยการแยกแยะระหว่างความเชื่อกับความรู้ อย่างนี้เราก็ฌต้อวงพัฒนาความรู้
และในระหว่างนี้ก็อยู่กับความเชื่อได้ แต่เราไม่ลืมว่าเป็นแค่ความเชื่อ
ไม่ใช่ความรู้ อย่างเวลาเราดู...เราดูในชีวิตประจำวัน คนเค้าแสดงอาการ
เค้าพูดอะไรบางสิ่งบางอย่าง มีการกระทำบางสิ่งบางอย่าง คนส่วนใหญ่ก็ด่วนสรุปว่า
โอ้ เค้าอิจฉาเรานะ หรือเค้าโกรธเรา คือ...นี่ก็คือการไม่อนุรักษ์สัจจะ เพราะอะไร?
เพราะเราไม่มี...ไม่มีญาณ รู้วาระจิตของใคร ใช่มั้ย?
ที่จริงถ้าเราจะพูดอย่างอนุรักษ์สัจจะ
ก็ต้องพูดว่า ที่พูดอย่างนั้น ที่ทำอย่างนั้นชวนให้คิดว่า เค้าโกรธเรา ชวนให้คิดว่าเค้าอิจฉาเรา
ชวนให้คิดว่าเค้าเป็นศัตรูเรา เป็นต้น คือจะต้องมีคำว่า ชวนให้คิด
ชวนให้เข้าใจ คือไม่ได้สรุปว่า เค้าโกรธเค้าอะไรแน่ ๆ เค้าอิจฉาเราแน่ ๆ เค้ารักเราแน่
ๆ คือเราอาจจะเชื่อถึง ๙๐% ก็ได้
อาจจะมีการแสดงออกที่ชัดเจนมาก แต่ด้วยการอนุรักษ์สัจจะ เราไม่ตัดสินว่าทั้ง
๑๐๐% อย่างในกาลามสูตร1(วิธีปฏิบัติต่อสิ่งที่ตนสงสัย)
ที่หลังๆนี้ ทาง...คงเป็นที่รู้จักกันมาก ได้มีถูกเอาไปอธิบายผิดๆเยอะเลยว่า ไม่ต้องเชื่อใคร
ไม่ต้องเชื่อครุ
บาอาจารย์ ไม่ต้องเชื่อพระพุทธเจ้า
เชื่อใคร? ก็เชื่อตัวเอง อันนี้...อันนี้มันจะเข้ากับยุคสมัยมาก
เชื่อใคร? เชื่อตัวเอง พระพุทธเจ้าบอกว่า เราเชื่อเอง เชื่อได้หรือ? เรารู้จักตัวเองหรือ?
แต่ความหมายในกาลามสูตรก็คือ ถึงแม้ว่าเป็นผู้ที่(น่า)เชื่อถือที่สุดในโลกคือพระพุทธเจ้า
(น่า)เชื่อถือที่สุดคือพระอรหันต์ เรายังไม่เชื่อ ๑๐๐% เพราะเรายังไม่เห็นเอง คือไม่ใช่ปฏิเสธกับผู้รู้ทั้งหลาย
ไม่ปฏิเสธผู้มีปีระสบการณ์มากกว่าเรา ว่าเราต้องหาเส้นทางของเราเอง และถึงแม้ว่าผู้ที่พูดเป็นนักปราชญ์
เป็นผู้มีปัญญา เป็นผู้ที่ซื่อสัตย์สุจริต อย่างไรก็ตาม
เรายังไม่ควรสรุปว่า ใช่ ๑๐๐%
เพราะเรายังไม่เห็นกับตัวเอง นี่เรียกว่าเกิดอนุรักษ์สัจจะดูแล.
ทีนี้ในการรู้ เรารู้ยังไง?
อะไรคือลักษณะที่ว่า รู้? พระพุทธเจ้าบางโอกาสท่านบอกว่ามี ๕ ข้อนะ ส่วนประกอบของความรู้
หนึ่งต้องรู้ว่าสิ่งนั้นเกิดจากอะไร? ต้องรู้จักว่าสิ่งนั้นดับอย่างไร? ต้องรู้ว่าส่วนดีของสิ่งนั้นน่ะ
เสน่ห์ของมัน สิ่งที่มันเป็น ทำให้เรายึดติดในสิ่งนั้นมันคืออะไร?
อยู่ตรงไหน และโทษของมัน ทุกข์ของมัน อยู่ตรงไหน?
แล้ววิธีที่จะหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้น อยู่ตรงไหน? ต้องครบทั้ง ๕
ข้อ ถึงระบุว่าเรารู้สิ่งนั้น.
อย่างเช่นในกรณีของความโกรธ
เราต้องศึกษาความโกรธ คือความโกรธไม่ใช่สิ่งที่ จะหายไปด้วยศรัทธา
หายไปด้วยการทำพิธีกรรมอะไร ใช่มั้ย? ไม่ใช่คำว่า อวยพร รดน้ำมนต์ แล้วความโกรธจะหาย
แต่ความโกรธจะหายด้วยความรู้ เริ่มต้นนั้นก็ศึกษาว่าปกติเวลาเราโกรธ
เราโกรธด้วยเหตุใด? เหตุปัจจัยอะไรบ้าง? อะไรที่ทำให้เราโกรธ?
ส่วนมากเราก็จะโทษคนอื่น ใช่มั้ย? โทษสิ่งอื่นว่าเค้าทำให้เราโกรธ ทีนี้ถ้าเราพบว่าคนนั้นเค้าทำให้เราโกรธ
ก็แปลว่าไม่มีปัญญาใน...ในภาษา ถึงจะเป็นภาษาแม่ เราก็ยังหลงภาษา
ภาษามันก็เหตุผลของภาษา เหตุผลในไวยากรณ์ของมัน แต่มัน...ภาษากับสัจธรรม
ความจริง ไม่ต้องตรวงกันทีเดียว ไม่...คำว่าในภาษาไทย ถ้าพูดว่า เค้าทำให้เราโกรธ
ถูกต้องตามหลักภาษาไทย ใช่มั้ย? แต่ตามหลักความจริงเนี่ยะ ไม่ถูกต้องเพราะ ไม่มีใครสามารถทำให้อีกคนหนึ่งโกรธได้
คนเราจะโกรธ ก็จะมี อาจจะมีการกระทำ หรือคำพูดของผู้อื่นเป็น ตัวกระตุ้น
หรือชวนให้โกรธ ยั่วยุให้โกรธ กดดันให้โกรธ แต่ความโกรธจะสำเร็จ จะปรากฏอยู่ในใจ เพราะมีการผสมโรงจากตัวเรา
มีการยอม ยอมโกรธ ปล่อยให้โกรธ ถ้าหากว่ามีแต่การทำของเขาอย่างเดียว
คำพูดของเขาอย่างเดียว แล้วไม่มีอะไรอยู่ในใจเรา มันโกรธไม่ได้.
ถ้าหากว่าความโกรธเกิดเพราะการกระทำและการพูดของคนอื่น
เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ก็ต้องโกรธด้วยสินะ ใช่มั้ย? ทำไมพระอรหันต์ไม่โกรธ ทั้ง ๆที่บางครั้งก็มีผู้กลั่นแกล้ง
ใส่ร้ายเบียดเบียนทำร้ายร่างกาย แต่ท่านไม่โกรธเพราะอะไร? เพราะมีแต่การกระทำขแองคนอื่น
แต่ไม่มีกิเลสอยู่ในจิตใจของท่าน ไม่ต้อนรับ มาสร้างความโกรธขึ้นมาได้ ฉะนั้นพระอรหันต์เป็นผู้ที่ให้ความหวังกับเราว่า
ไอเความโกรธไม่จำเป็นต้องเกิดในจิตใจของเราได้ ถ้าเราฝึกหัดจิตใจ ให้...ให้ครบวงจร
หรือว่าให้ถูกต้องตามกระบวนของอริยมรรค มีองค์ ๘ ก็คือ
ถ้าเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้แล้ว ความโกรธเกิดไม่ได้ ถ้าโกรธนะ เราจะบอกโทษที่เราโกรธ
เราจะไปว่า...เราจะไปหเมเค้า ใช่มั้ย? ห้ามเค้าไม่อยู่ ห้ามเขาไม่ได้
แต่ส่วนใหญ่จะรู้ว่า ถ้าโกรธเนี่ยะ ต้องรู้ว่า อืม เรายังปฏิบัติไม่ถึง ไม่ถึงธรรม
อาจจะโทษใครแต่ไม่โทษตัวเองนะ โทษว่าธรรมะหรือว่ากุศลธรรมอยู่ในใจเรา
ยังไม่ถึงขั้นที่จะปกป้องตัวเราได้.
ความโกรธเกิดเพราะอะไร? พุทธองค์ให้คำตอบง่าย ๆ แต่เราต้องเอาไปย่อยต่อ
เอาไปดู ก็เอาไปเทียบเคียงกับประสบการณ์ พระพุทธเจ้าบอกว่าจะทุกข์เมื่อไหร่? ก็เพราะตันหา
เราถึงหยุด...เอ่อ ตัณหาก็คือ อยากให้เป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง
และไม่เป็นอย่างนั้น ใช่หรือเปล่า? อย่างเค้าทำอะไรแล้วอยาก ทำไมเราถึงโกรธ?
เราบอกว่าเพราะทำอย่างนั้นมันน่าโกรธจริงๆ อืม อาจจะมีส่วนอยู่
แต่ต้องถามตัวเองต่อว่า เคยมีใครอย่างนั้นเรามาก่อนมั้ย? แล้วเราโกรธทุกครั้งมั้ย?
แล้วโกรธแบบพอๆกันทุกครั้งมั้ย? หรือว่าเป็นไปได้มั้ยว่าบางครั้งที่เคยโดนอย่างนี้
แต่โกรธมากกว่านี้ก็มี? โกรธน้อยกว่านี้ก็มี ไม่โกรธเลยก็มี อ้าว แล้วทำไมล่ะ?
ถ้าเป็นเหตุเป็นผล เค้าทำอย่างนั้นเกิดโกรธ มัน...มันก็อยู่ที่เราใช่มั้ย?
เอ้า
เราพยายามพิจารณาต่ออีก อะไรที่เป็นตัวแปร ที่ทำให้บางครั้งโกรธมาก
บาครั้งโกรธน้อย? ที่จะเจอบ่อยๆ คือความคาดหวัง ใช่มั้ย? คนรอบข้างน่ะ ทำมั้ยคนที่เรามักจะโกรธที่สุดคือคนที่เรารักที่สุด
เพราะความคาดหวังนี้สูง เพราะเราต้องการให้เค้าเป็นอย่างหนึ่ง แล้วก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง
ไม่อยากให้เค้าพูดอย่างนั้นก็ยังพูดได้ ถ้าเป็นคนที่เราไม่รู้จัก เราก็เฉยๆได้ แต่ถ้าเป็นคนรักที่เราอยู่ด้วยกันมีความคาดหวัง
มีความเป็นห่วงเนี่ยะ นั้นจะทนได้ยาก ความโกรธเนี่ยะ เกิดขึ้นได้มาก.
อย่างหนึ่งความโกรธนั้นก็สัมพันธ์กับความกลัว
ใช่หรือเปล่า? ถ้าสิ่งไหนที่เรากลัวนี่เราจะกลัวในสิ่งที้กลัว เพราะเราก็โทษว่าเค้าทำให้เรากลัว
เราไม่ต้องการรู้สึกกลัว เราจึงโกรธผู้ที่ทำให้เรารู้สึกกลัว เป็นต้น
ดังนั้นก็วิเคราะห์อย่างนี้ มันเกิดอะไร? แล้วอะไรเป็น...เป็นส่วนของอารมณ์ล่ะ?
เราก็สังเกตว่า เมื่อไหร่เราเหนื่อย เราทำงานหนัก สติเราไม่เข้มแข็ง อ่อนลง
มันก็พร้อมที่จะหงุดหงิดรำคาญในสิ่งที่ปกติไม่ค่อยจะรู้สึกเท่าไหร่
เราจึงเห็นได้ว่า โอ้ ในเรื่องสตินี้ สำคัญมาก ถ้าเราไม่ดูแลสติของเรา
มันจะมีปัญหาได้ตลอดเวลา อืม เราต้องฝึกสติ.
ทีนี้การสติก็คือ
รู้กาย รู้ใจ รู้กายรู้ใจในปัจจุบัน และพร้อมทั้งการรู้กายรู้ใจในปัจจุบัน
ก็มีสัมปชัญญะ รู้บาปบุญคุณโทษด้วย อย่าง...อย่างปัญหาว่า เอ่
นักปลันธนาคารเค้ามีสติมั้ย? ก็ค่อย ค่อย ค่อย เอ้ ตำรวจมารึเปล่า? คืออยู่ในปัจจุบันมากนะ
ตื่น ไม่ง่วง ใช่มั้ย? แต่เราไม่ถือว่าเป็นสติ เพราะมันขาดความละอายต่อบาป
ความเกรงกลัวต่อบาป ขาดความสำนึกในบริบทในสิ่งแวดล้อม ในความหมายของสิ่งที่กำลังทำอยู่
เพราะฉะนั้นสติเราก็จะแยกออกจากสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ ถ้ายังงั้นเราก็บอกว่า
มันก็อยู่ในปัจจุบัน แต่เราไม่ให้เกียรติว่าเป็นสติ หรือสัมมาสติ
รู้กายรู้ใจเหมือนกันไม่ใช่แค่ รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ กำลังคิดอะไรอยู่
ซึ่งมันก็ยากอยู่แล้ว แต่ก็ยังต้องสำนึกว่า ดีหรือไม่ดี
ดีหรือชั่ว ควรทำหรือไม่ควรทำ เป็นกุศลเป็นอกุศล อันนี้ต้องรู้อย่างนี้ด้วย.
ทีนี้เมื่อเรา
อ่า ดูกายดูใจ ก็สังเกตได้ว่าอารมณ์ โดยเฉพาะอารมณ์หยาบคายอย่างเช่นความโกรธ
เป็นต้นนะ มันจะเป็น...อารมณ์นั้น
คือนามธรรม สิ่งที่เกิดในใจ แต่พร้อมกับนามธรรม มันจะมีอาการทางกาย
อาหการทางกายมันจะจับได้ง่ายกว่าอาการของใจเป็นส่วนใหญ่ แล้วก่อนที่เราจะโกรธใครเต็มที่
มันจะต้องมีเหมือนกับเป็น pattern มันจะมีความผิดปกติของร่ายกาย
เกิดแบบอ่อนๆไว้ก่อน นั่นคือสัญญาณเตือนภัย ว่าต้องระวังนะ เอ่อ
ถ้าเกิดความเกร็งตรงนั้น เกิดไอ้เรื่องหัวใจเต้นเร็วขึ้น เหงื่อออก
หรืออะไรบางสิ่งบางอย่าง แล้วแต่ละคนไม่เหมือนกันทีเดียว แต่ต้องสังเกตของเรานะ อะไรก็เป็นนิมิตรหมายว่า
ความโกรธกำลังจะเกิดขึ้น เพราะถ้าเรามีสาติตรงนั้นนี่ ตัด มันตัดง่ายมาก
มันยังไม่โกรธเต็มที่ นี่คือความสำรวมโดยสติ สติสังวร.
และต้องการความอดทนด้วย
ฉะนั้นบางทีความโกรธจะเริ่มเกิดขึ้น แต่เราก็ยังไม่ต้องแสดงออกทั้งกายทั้งวาจาได้ เราก็ระงับไว้ได้
กลืนลงไปได้ ถ้าเราเห็นคุณค่า และถ้าเราทำบ่อยๆ ทีนี้ถ้าเราเคยโกรธ เราแสดงออกทางกายทางวาจา
แม้แต่ครั้งเดียวนะ พอมีเรื่องซ้ำเติมน่ะ สมมติว่ามีคนเรา ที่ทำงาน อ่า
พฤติกรรมอะไรต่ออะไรของเขาเนี่ยะ ใช้ไม่ได้ เราไม่ค่อยยอมรับ แต่เราพยายามสำรวม
ไม่พูด วันใดวันหนึ่งเนี่ยะไม่ไหวแล้ว พูดออกไป โกรธ โกรธเค้า
ทีนี้ถ้าเรื่องมันเกิดซ้ำ นี่จะอดทนยากขึ้นมาก เพราะเราเคยระเบิด
เราเคยระบายออกไป มันเกิดแรงเฉื่อยของมัน มันเกิดเคยชินของมัน
มันจะกลายเป็นการตกร่องว่า ถ้าเคยโกรธทุกครั้งที่เราโกรธ แสดงความโกรธออกมา
โอกาสที่จะแสดงต่อไปก็เพิ่มมากขึ้น.
ถ้าเราสำรวมครั้งแรกนี่
ถ้าเราเคยด่าเคยว่า เคยระบายอารมณ์ออกไป ทีนี้ครั้งแรกที่อดทน อดทน อดทน
คือไม่เก็บกดนะ รู้ว่าโกรธแต่ ไม่แสดงออกด้วยกายด้วยวาจา โอ้ ยากมาก ยากทีเดียว
แต่ถ้าเราทำได้แล้ว ครั้งที่ 2 ง่ายขึ้น ครั้งที่ 3 ง่าย...ง่ายขึ้นไปอีก
อันนี้ก็คือ กฎแห่งกรรม ที่เราเห็นได้ในชีวิตประจำวัน ทำอะไรพูดอะไรด้วยเจตนา
ก็จะเพิ่มพลัง เพิ่มความเคยชิน และเพิ่ม...เพิ่มพลังเพิ่มเคยชินและเพิ่มโอกาสที่จะเป็นอย่างนั้นต่อไป
ทั้งไม่ว่ากุศลธรรมและอกุศลธรรม นี่ก็คือเราสร้างชีวิตสร้างโลกที่เราอยู่อาศัยด้วยการกระทำ
การพูด คิด.
ทีนี้เมื่อกี้นี้ก็พูดถึง
ส่วนที่ดีของมันคือ กิเลสที่มันเรื้อรังเนี่ยะ ที่ยังไงมัน...มันไม่ค่อยจะหาย
เพราะอะไร? เพราะส่วนหนึ่งใจ...ใจส่วนหนึ่งมันยังชอบอยู่ รับรองได้ว่ามีกิเลสตัวไหนที่มัน
อ่า ฝังลึกน่ะ ส่วนหนึ่งของเรานี้ยัง...ยังต้องการอยู่ ดังนั้นมันยังมีความขัดแย้งอยู่ในใจ
ใจหนึ่งมันก็ไม่อยากจะเป็นแบบนั้นเลย ไม่อยากจะไปโกรธใครเลย
แต่อีกใจหนึ่งมันยังชอบ ฉะนั้นอะไรคือเสน่ห์ของความโกรธ โดยการแสดงออกมา? ว่าทำให้รู้สึกว่ามีพลังอ่ะนะ
อืม อย่างถ้าเราอยู่ในที่ที่เราเป็นผู้ไม่มีอำนาจ และอย่างในประวัติศาสตร์ของมนุษย์
ส่วนมากผู้หญิงก็อยู่ใน อ่า อยู่ใต้อำนาจของผู้ชาย ไม่ค่อยมีอำนาจ
พูดอะไรผู้ชายก็ไม่ค่อยให้เกียรติ ไม่ค่อยรับฟังเท่าไหร่เป็นเหตุเป็นผล
เว้นแต่โกรธขึ้นมา เวลาเราโกรธน่ะทุกคนก็หยุด รับฟัง ใช่มั้ย?
อันนี้เสน่ห์ของมันก็คือผู้ไม่มีอำนาจ มีอำนาจขึ้นมาได้ทันที
เวลาแสดงอารมณ์ออกมาทำให้คนกลัว คนต้องฟัง.
แต่ความรู้สึกมีพลัง
มันเป็นของเสพติดอย่างหนึ่ง และก็ทำ...เวลาเราโกรธเราทำอะไรบางที คนที่ไม่เคยทำตามเค้าก็ทำตาม
เค้าคงกลัว กลัวเราจะรุนแรง กลัวเราจะ มันจะเริ่ม...ไม่อยากมีเรื่อง
ยิ่งในเมืองไทยนี่ ไม่มีใครอยากมีเรื่อง ไม่อยากจะยุ่ง มันก็เหมือนกับสนับสนุนให้คนแสดงความโกรธ
เพราะว่าจะได้ดังใจ ฉะนั้นเราต้องดูว่า เรามีความยินดีในความโกรธมั่งมั้ย? เราเคยโกรธมั้ย
แล้วเราลองทบทวนว่า มันรู้สึกยังไงมั้ย ในขณะที่กำลังโกรธ?
ส่วนมากก็จะเห็นว่ามีส่วนหนึ่ง ที่ยินดี หายโกรธแล้วรู้สึกเดือดร้อน เสียใจ
เอาอีกแล้ว ทำไมเราเป็นอย่างนี้ เราเป็นคนแย่มาก ไปว่าตัวเอง แต่ในขณะที่โกรธ
มันก็ส่วนที่มันยินดี เพราะฉะนั้นมันก็ไม่โกรธ แต่เราก็ต้องปล่อยวางตัวเองนี้ด้วย
แล้วพิจารณาในโทษ เมื่อกี้นี้ก็เอาโทษใหญ่ว่า ทำลายบุญกุศลที่สะสมมา
หลายภพหลายชาตินั้นได้ และในระดับรองลงมานี่ ก็ทำให้เกิดมีปัญหามาก
เพราะในขณะที่เราโกรธ เราจะมองทุกสิ่งทุกอย่าง ว่าเป็นขาวเป็นดำหมด
ในการพิจารณาเหตุการณ์ พิจารณาว่าอะไรควร อะไรไม่ควร มันหายไป เพราะในขณะที่โกรธมักจะตัดสินอะไรที่ผิดพลาด
บ่อยๆ.
ฉะนั้นจะดูว่าที่ไหนเมื่อมีการแข่งขัน
หรือมีการ...ไม่ว่าจะเป็นรับสงครามหรือว่ากีฬา วิธีที่ อ่า ที่ได้ผลมาก
ก็ยุให้เค้าโกรธ อีกฝ่ายหนึ่งเขาโกรธเดี๋ยวเค้าใบแดง เดี๋ยวเค้าเสียสติ อารมณ์เสีย
เค้าเล่นไม่ออก เค้าทำไม่ถูก เพราะอารมณ์ครอบงำ ฉะนั้นคสวามโกรธทำให้เราคงไม่รู้จักกาลเทศะ
เราไม่สามารถพิจารณาดเรื่องอย่างละเอียดว่า เอ้อ ถ้าทำอย่างนี้
ผลกระทบระยะสั้นระยะยาวเป็นยังไง? ผลกระทบต่อตัวเอง ผลกระทบต่อผู้อื่น เราไม่คิด
มันมีแต่อยากแสดง มีแต่อยากระบาย มีแต่อยากได้ความรู้สึกว่าสะใจ
นั่นเป็นเป้าหมายของเรา แล้วมันทำให้เกิดปัญหามากในครอบครัว ในชุมชนที่ทำงาน และคนที่ใช้อารมณ์คนที่หลงอารมณ์
เจ้าอารมณ์ ใช้ความโกรธนั้น ปัญหาเยอะเลย.
แล้วที่อาตมา
เอ่อ พยายามพูดบ่อยๆในเรื่องศีลธรรม ศีลธรรมคือการให้ความรู้สึกปลอดภัย
กับคนรอบข้าง เป็นสิ่งเราให้ไว้กับโลก ในบางคนมันจะน้อยใจว่า โอ้ เงินทองเราก็น้อย
การให้ทานนี้มันก็มีจำกัด ไม่ค่อยได้ทำบุญอะไรมาก
ทีนี้การทำบุญที่พุทธองค์ยกย่องว่า มหาทาน คือการให้ความรู้สึกปลอดภัย
ให้กับคนรอบข้าง และการที่เราถึงจะอารมณ์เสียบ้าง โมโหบ้าง อะไรบ้าง ถ้าเราสัญญาไว้กับคนรอบข้างว่า
จะไม่เบียดเบียนด้วยกาย ด้วยวาจาเป็นอันขาด อันนี้ก็คือ ทุกคนก็โล่งใจ
มีความสบาย เป็นการให้ทานที่มีค่ามาก ศีลแต่ละข้อ ไม่ใช่ข้อห้าม แต่ว่าเป็นอุบายที่จะ
ให้ความรู้สึกปลอดภัยกับคนรอบข้าง แต่ละแง่มุมของชีวิต. ทีนี้ความโกรธก็เป็นพลัง
และเราก็ชอบรู้สึกว่ามีพลัง อันนี้ก็เป็นเสน่ห์ของมัน ที่ว่าเมื่อกี้นี้
แต่ไม่ใช่ว่าจะต้องอดทนแบบกัดฟัน อย่างเดียว แต่ถ้าเราฉลาด
เราสามารถเอาพลังนั้นไปใช้ในทางที่เป็นบุญเป็นกุศลได้ เหมือนกับเป็นกระแส
เราก็เปลี่ยนเส้นทางของกระแส เปลี่ยนการแสดงออก เป็นพลังที่นำมาใช้ใน...ในสิ่งดีงามได้.
แต่ไอ้การที่เป็นพลังนี้
ก็ทำให้เกิดความคิดผิดหลายประการ อย่างในโลกตะวันตก
โดยเฉพาะเค้ามีความเชื่อว่า ความโกรธนั่นแหและเป็นพลัง ที่จะสู้
กับความไม่ยุติธรรม ความไม่ดีในสังคม ถ้าไม่โกรธแล้วก็จะเฉยๆ
แล้วก็ความไม่ยุติธรรม ความ อ่า ความไม่ดีต่างๆ ก็ไม่มีวันจบ ต้องใช้พลังความโกรธ สิ่งที่ไม่ดี
เพื่อชนะความไม่ดี และที่...สิ่วงที่มองข้ามก็พอเราโกรธ
สิ่งที่ไม่ดีก็กลายเป็นคนไม่ดี ทั้งที่ดี แล้วก็เป็นไม่ต่างกับเขาเท่าไหร่
แต่ที่สำคัญก็คือ อ่า ผู้ที่ภาวนาได้แล้วก็จะรู้ว่า จิตที่ปล่อยวางความโกรธนั้น
ไม่ใช่ว่าเฉยๆอย่างเดียว คืออุเบกขากับความเฉยเมยนี่ มันคนละเรื่องกัน
จิตใจเป็นกลาง นั้นก็คือยอมรับสิ่งต่างๆตามความเป็นจริง ว่าเป็นเรื่องกฎแห่งกรรม
คือไม่ให้เกิดอารมณ์ปฏิเสธธรรมชาติ ปฏิเสธความเป็นจริง และไม่ได้เสียพลังกับอารมณ์โกรธเคือง
อะไรต่างๆ แต่ว่ามีพลังที่จะให้เป็นฉันทะในการสร้างคุณวงามความดีขึ้นมา
นี่ก็คือเปลี่ยนโกรธเป็นฉันทะ ทำให้เราสามารถทำความดี แล้วก็ทำความดีที่ถูกต้อง
ถูกกาลเทศะ ได้มากขึ้น.
อย่างเรื่อง
เหตุที่ทำให้เกิดโกรธ มีพระสูตรๆหนึ่งว่าพุทธองค์ว่า มีสาเหตุ ๑๐ อย่าง ถ้าจำถูกนะ
คือมองเพราะว่าเค้าเบียดเบียนเรา เค้าทำอะไรแบบขัดข้อง ขัดขวาง แกล้งๆ เราแล้ว
อันนี้จะเป็นเหตุให้เกิดความอาฆาต หรือเค้ากำลัง...กำลังเบียดเบียน กำลังขัดขวาง
กำลังแกล้ง เราก็อาฆาต หรือเขาจะ เขากำลังจะ เบียดเบียน เพราะเช่นนั้น มันมีอดีต
ปัจจุบัน อนาคต และข้อที่ ๒ ก็คือ เค้าเบียดเบียน เค้าขัดขวางผลประโยชน์
เขากลั่นแกล้งอะไรคนที่เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา หรือว่าเขากำลังทำอยู่
หรือว่าจะทำอยู่ อันนี้ก็อีก ๓ ข้อ แล้วก็เค้ากำลังทำสิ่งที่เป็นประโยชน์
ทำสิ่งที่อนุการ...อนุเคราะห์คนที่เป็นศัตรูของเรา หรือคนที่เราไม่ชอบเลย หรือว่าเค้า...เค้าช่วยเหลือ
สนับสนุนคนที่เราไม่ชอบ เราก็อาฆาตได้ หรือเขากำลังทำ หรือเค้าจะทำ เป็น ๙ ข้อ ข้อที่
๑๐ ก็คือโกรธไม่มีสาเหตุ อันนี้ก็หมายถึงว่า ไปเดิน...เดอินชนอะไร สมมติว่าชนเสา
เลยโกรธเสา แหะแหะแหะ หรือว่า โดนหนามอะไรเนี่ยะ เลยโกรธหนาม โกรธสิ่งที่ไม่มีชีวิต
ทั้งที่เพราะว่าเราไม่ระมัดระวัง เลยโกรธ บางครนถึงกับตีต้นไม้ก็มี
ไอ้นี่คือความโกรธ ทำให้เราบ้าได้นะ อืม.
ดังนั้นพุทธองค์เปรียบเทียบมนุษย์ที่ยินดีในความโกรธ
เหมือนงูมีพิษ บางคนก็บอก โอ๋ เหมือนกับอวดว่า ฉันเนี่ยะ โกรธง่ายแต่หายเร็ว
เหมือนกับเป็นคุณธรรมที่น่า...ที่น่าได้รับความชื่นชม ใช่ คุณหายเร็ว แต่คนที่เค้าถูกด่าที่ว่าไปกลั่นแกล้งเค้านั้นหายเร็วหรือเปล่าล่ะ?
คนละเรื่อง เอาแต่ตัวเอง ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร หายแล้ว อันนั้นไม่ใช่
ไม่ควรจะเป็นข้ออ้าง.
ฉะนั้นเราต้องรู้งานจริง
ในชีวิตของเรานี่อะไรบ้าง? มีการจัดการกับความโกรธ ไม่ใช่ว่า ฟังเทศน์แล้ว
ซาบซึ้งแล้ว ก็ไปไหว้พระ ต่อจากนี้ไปข้าพเจ้าจะไม่โกรธใครเลย
ข้าพเจ้าจะมีแต่ความเมตตา กรุณา จะมองทุกคนเป็นพี่เป็นน้อง เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นลูกเป็นหลาน
คน...หึหึหึ คือถ้ากล่าวอธิษฐานอย่างนี้ รู้สึกดีมาก แต่...แต่มันไม่ยั่งยืน
ใช่มั้ย? พอ คือเราไม่ฉลาดเรื่องอารมณ์ ไม่ได้ฝึกตัวเอง มันก็เป็นไปไม่ได้
เพราะมันเป็นการคาดหวังเกิน ที่จะเป็นได้ ฉะนั้นพุทธองค์จึงให้เราปฏิบัติ ๓ ใน ๓
ด้านพร้อมทั้งพฤติกรรม ใช้เจตนางดเว้นว่า โกรธเท่าไร โมโหเท่าไร เราจะไม่แสดงออกทางกาย
ทางวาจา ให้ความรู้สึกปลอดภัยแก่คนทุกคน แล้วก็ไม่เพิ่มความเคยชิน ในการ เอ่อ
ในการหลงอยู่กับความโกรธ ส่วนจิตใจเราจะสร้างคุณธรรมที่เป็นปฏิบัติโดยตรงกับความโกรธ
เช่น สติ ความอดทน เมตตา สามเราก็จะฝึกปัญญา พิจารณา
พยายามดูในความโกรธว่าเป็นสักแต่ว่าอาการ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา พยายามดูความคิด
ที่อยู่เบื้องหลัง เป็นความคาดหวัง แล้วก็พยายามปล่อยวาง
จนกระทั่งในที่สุด จิตใจ เกิดวิปัสสนา จนเห็นว่า ความโกรธเป็นอาการ ที่เกิดขึ้นแล้วดับไปตามเหตุตามปัจจัย
ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา อันนี้ในคำวิปัสสนาเหมือนกันตัด ตัดให้มันตายไปเลย
แต่ตัดหัวมัน มันจะหมด แต่ว่าอีกนาน ในระหว่างนี้เราต้องฝึกในด้านศีล
ด้านสมาธิ ในด้านปัญญาระดับของความคิดเสียก่อน จึงจะถึงปัญญา
ในระดับไม่ต้องคิด ที่จะรู้เหตุการณ์ตามความเป็นจริง.
เอาละ
วันนี้ก็คงพอสมควรแก่เวลา.
สาธุ สาธุ
สาธุ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น