หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

พระอาจารย์ชยสาโร - เวลา

พระอาจารย์ชยสาโร - เวลา

          https://youtu.be/HyYXl12FkAI?si=ZuXBkoiIHBtLaCOS




          นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

          นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

          นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

          พุทธัง ธัมมัง สังฆัง อะนุตตะรัง คุณุตตะรัง อุปัชฌาย์ยัง นะมัสสามิ.  

สมัยก่อน เจอคำย่อ จะงง ไม่รู้จะถามใคร เมืองไทยใช้คำย่อเยอะ เมืองนอกก็เหมือนกัน ตอนหลังก็มี googles ช่วย ค่อยยังชั่ว ทีนี้อาตมาเจอคำย่อ คงเป็นของเก่าแล้วมั้ง งั้นคงรู้จักกัน โยโล เคยรู้มั้ย? มีใครรู้มั้ย โยโล อืม...ให้วิทยาทานวันนี้พร้อมกับธรรมทาน โย y-o แปลว่า you only live once อืม ก็หมายถึงว่า ทำไปเลย อืม ไม่ต้องคิดมาก justด้วยเพราะว่า you only live once.

          พออ่านแล้ว โห มิจฉาทิฏฐิอย่างแรง เน๊าะ ที่ว่าเกิดครั้งเดียวจบ อาตมาไปคิดอีกทีหนึ่งว่าจะแก้ yol-tlo อื้อ มีใครเดาได้ yol-tlo แต่ออกเสียงไม่ค่อยเท่าไหร่ ย๊ล-ตะโล แปลว่า you only live this live once อ่า อันนี้ก็เป็นข้อคิดที่ดี.

          แต่วันนี้ วันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๗ เวลา ๑๐ โมง ๕ นาที ที่ในประวัติศาสตร์ของโลก ประวัติศาสตร์ของจักรวาล  ๒๐ ตุลา ๒๕๖๗ มีวันเดียว ไม่เคยมีมาก่อนนะ อนาคตจะไม่มี ๒๐ ตุลาก็มีนับไม่ถ้วน ในอดีต แต่คนละปีกัน อนาคตต้องมี ๒๐ ตุลา ทุกๆปี แต่จะไม่ใช่ ๒๐ ตุลา ของปี ๒๕๖๗ ช่วงเช้า ๑๐ โมง ๕ นาทีเนี่ยะ ๑๐ โมง ๕ นาทีของวันที่ ๒๐ ตุลา ๒๕๖๗ มีครั้งเดียวในประวัติศาสตร์.

          ทีนี้ วันนี้เรามาอยู่ร่วมกันเนี่ยะ จะเกิดครั้งเดียวในชีวิตนะ ครั้งเดียวไมใช่ในชีวิตของเรา เป็นครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ประวัติศาสตร์ของโลก ประวัติศาสตร์ของจักรวาล เพราะ ๑๐ โมง ๕ นาที โอ๊ะ! ผ่านไปแล้ว ๑๐ โมง ๖ นาที ในวันที่  ๒๐ ตุลา ๒๕๖๗ มีครั้งเดียวใน มีครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ของไทย ของโลก ของจักรวาล แม้แต่หายใจเข้า มีครั้งเดียวในชีวิต  หายใจออกมีครั้งเดียวในชีวิต ทุกลมหายใจนั้นมีครั้งเดียวในชีวิต เราคงคิดว่าหายใจเข้าหายใจออกเรื่อย ๆตั้งแต่เกิด จนตายเนี่ยะ หายใจ ใช่ แต่ไม่ใช่หายใจเดียวกัน ทุกลมหายใจ Unique มีครั้งเดียว.

          เนี่ยะ เรา...เราคิดอย่างนี้ จึงเห็นคุณค่าของเวลา ทุกคนก็บ่นว่า ไม่มีค่อยเวลา แต่พอมีเวลา ทำอะไรล่ะ? หาทางฆ่าเวลา แล้วจะมีไว้ทำไม? แต่อย่าง...เมืองไทยลงทุนสร้างถนน อย่างถนน…highwayที่สร้างใหม่จากกรุงเทพไปโคราช อีก ๑๐ ปีก็คงจะเสร็จ หะหะ ใจเย็นๆ ผลก็คือ ในวันธรรมดาอาจจะเดินทางจากกรุงเทพมาปากช่องเร็วขึ้นมา ๑๐ นาที ๑๕ นาที ลงทุนไม่รู้กี่พันล้าน นอกจากวันงานอย่างวันสงกรานต์ วันอะไร แต่วันธรรมดา แต่แล้วคุ้มรึ? ลงทุนไม่รู้กี่พันล้านเพื่อประหยัดเวลา แล้วคนประหยัดเวลาไปทำอะไร? เอาไปเล่นเกมกัน ไปหลับกัน ประหยัดไปทำไม?

          เราไม่รู้จักเวลา ไม่รู้จักใช้เวลากัน และความประมาทก็คือรู้สึกมีเวลาอยู่ เหมือนกับมีเวลาเหมือนกับมีรเงินอยู่ในธนาคาร ยังไม่จนหรอกเรามีเวลา เราจะตายมั้ยวันไหน? ตายแน่ แต่คงไม่ใช่วันนี้ วันนี้เราก็ยังมีเวลา และทุกคนก็เกิดจะคิดอย่างนั้น เพราะรู้สึกมีเวลา ก็เลยไม่คิดที่จะใช้เวลา หรือให้เวลาใช้เรามากกว่า.

          แต่เวลาในนาฬิกา เวลาในความรู้สึก มันต่างกัน เราน่าจะให้ความสำคัญกับเวลาในความรู้สึก อย่างน้อยพอๆกับเวลาในนาฬิกา เวลาในนาฬิกาก็สำคัญ เรื่องการนัดหมาย การทำงานทุกอย่างก็ต้องมีเวลาที่เป็นของสมมติ สมมติแปลว่า ตกลงร่วมกัน บางสิ่งบางอย่างมันไม่เป็นจริงโดยธรรมชาติ แต่มันดีด้วยการตกลงกัน เราจึงเรียกว่าเป็นความจริงแบบสมมติ มนุษย์เราพัฒนาได้ถึงขนาดนี้ ก็เก่งในเรื่องการสร้างความจริงระดับ ๒ ระดับรอง ที่เรียกว่าสมมติสัจจะ1  แต่สิ่งที่โทษที่เป็นปัญหา ที่ตามมาก็มี เมื่อเราเชื่อว่าสิ่งเป็นสมมติเป็นของจริงแท้.

            1https://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=%CA%C1%C1%B5%D4%CA%D1%A8%A8%D0

ถ้านักปราชญ์ก็รู้ว่า นี่คือความจริงแท้ ความจริงสมมติ บางทีก็โกรธกันเรื่องสมมติได้ อย่างเช่น เรื่องความเคารพ ในการแสดงความเคารพ อะไรคือการแสดงความเคารพ มันก็แล้วแต่...แล้วแต่วัฒนธรรม ศาสนา แล้วแต่ประเทศ อย่างเคยเล่าไว้ว่า หลายปีที่แล้วประธานาธิบดีศรีลังกาไปวัดป่านานาชาติ ญาติโยมออกมาต้อนรับหลายร้อยคน ท่านก็เดินเข้ามาในศาลา สนทนาธรรมกับเจ้าอาวาส อาตมาตอนนั้นเป็นรองเจ้าอาวาส ท่านก็ยืนคุยกับท่านเจ้าอาวาส ยืนคุยกับท่านอาจารย์ปสันโน2 ซึ่งท่านอาจารย์ปสันโนก็ไม่สูงอยู่แล้ว ท่านก็ยืนคุย โห ชาวบ้าน

2 http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=9244

นี่เสียความรู้สึกเลย เอ๊ะ ทำไมคนเป็นผู้นำประเทศไม่มีความเคารพต่อครูบาอาจารย์เลย ยืนคุยกับท่าน อันที่จริงในศรีลังกา ผู้ใหญ่คุยกับพระต้องยืน ซึ่งอาตมาสันนิษฐานว่า เอาจากหลักฐานในพระไตรปิฎก คุยกับพระต้องยืน ยืนคุยนะ เรียกว่าผู้นำจะต้องเอาเทวดาเป็นตัวอย่าง แต่ท่านเคารพหรือไม่เคารพ ท่านก็เคารพตามสไตล์ของท่าน ตามในวัฒนธรรมของท่าน บอกว่าผู้แสดงความเคารพ ยืน ยกมือไหว้ คือเคารพ แต่ชาวบ้านในอุบลเห็นว่าไม่เคารพ ก็เลย...ความรู้สึกก็เหมือนกัน การแสดงออกก็ไม่รู้สึก ดังนั้นความรู้สึกเคารพ เป็นของสากล เป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นในจิตใจ แต่การแสดงความเคารพมันก็มีสมมติต่างๆ นี้เราต้องแยกออกจากกัน ดังนั้นเวลาเห็นใครทำอะไร ไม่เข้าท่าไม่เรียบร้อย เราอย่าเพิ่งด่วนสรุป ใช่มั้ย? เราก็ดูเจตนาเค้า เค้าแกล้งมั้ย? หรือเค้าไม่รู้ ไม่มีใครสอน หรือว่าในกลุ่มของเขา ในวัฒนธรรมของเขา เค้าสมมติไม่เหมือนกับเรา.

          อย่างอาตมาเคยโดนดุ สมัยอยู่กับครอบครัวในเตหรานในอิหร่าน เพราะในอิหร่านถือว่า เดินเข้าไปในห้องน้ำเท้าเปล่า น่าเกลียดมาก เป็นคนไม่มีวัฒนธรรม คือจะต้องมีรองเท้าห้องน้ำ โดยเฉพาะจะไว้หน้าห้องน้ำ อยู่ในบ้านก็ถอดรองเท้า แต่เวลาเข้าห้องน้ำต้องใส่รองเท้าห้องน้ำเข้าไป ถ้าไม่ใส่แล้ว อู้หู้ โดน  น่าเกลียด อย่างนี้มันสกปรก. ฉะนั้นแต่ละประเทศเค้าก็คิดไม่เหมือนกัน เค้าก็เป็นเรื่องสมมติกัน.

          ทีนี้ในเรื่องของเวลา ในการที่เราสมมติว่าเป็นวันอาทิตย์ สมมติว่าเป็นเวลานั้นเวลานี้ เป็นเรื่องสมมติ แต่ความจริงของธรรมชาติไม่มีหรอก ไม่มีตัวเลขอย่างนี้ ฉะนั้นเราดูความรู้สึกของเราต่อเวลา สิ่งที่เราสังเกตถึงบทบาทของตัณหา จะสังเกตได้ว่า ถ้าเราอยากให้เร็ว มันจะรู้สึกว่าช้า ถ้าอยากให้ช้า รู้สึกว่าเร็ว ถ้ากำลังเบื่อ จะรู้สึกว่าช้า ถ้าสนุกก็รู้สึกว่าเร็ว ดังนั้นเวลาที่เราสัมผัสได้เป็นประสบการณ์ตรง ขึ้นอยู่กับอารมณ์และขึ้นอยู่กับกิเลสเราโดยเฉพาะตัณหา ดังที่เราอ่านเราฟังเรื่องสวรรค์นรก สมมติว่าขึ้นสวรรค์ ๑๐ ล้านปี สมมติตกนรก ๑๐ ล้านปี ๑๐ ล้านปีในนรกยาวกว่า ๑๐ ล้านปีในสวรรค์ ถ้าสวรรค์นี้มีความสุขมากน่ะ ๑๐ ล้านปีอาจจะปั๊บเดียว อย่างเนี๊ยะจบล่ะ เราก็ ฮู้ ไปอยู่ในสวรรค์เป็นนานๆเป็นล้านปี แต่ในความรู้สึกอาจจะแป้บเดียว เพราะมันมีความสุขมาก และตกนรกแม้แต่ ๑ นาที ๑ ชั่วโมงก็รู้สึกยาวมาก เพราะทรมาน ฉะนั้นเวลาในนาฬิกาในปฏิทินมันก็ไม่ใช่เวลาในความรู้สึกของเราเสมอไป.

          และฉะนั้นการที่รู้เท่าทันในเวลาและการบริหารเวลา เป็นวิชาชีวิตที่ทุกคนควรจะสนใจ อย่างเรื่องความเครียด ความเครียดจะแก้ยังไง? จะป้องกันยังไง? จะแก้อย่างไร? ก็ถ้ามองทางธรรม ก็จะอยู่ที่การมีสติ เราก็แยกออกระหว่างความกดดันกับความเครียด เพราะอยู่ที่ไหนเราก็ต้องมีความกดดัน กดดันโดยเวลา กดดันโดยความคาดหวังของคนอื่น ก็แล้วแต่ สิ่งเหล่านี้ก็คงต้องยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และความกดดันก็เป็นสิ่งที่ดีได้บ่อยเหมือนกัน ทำให้เราไม่ประมาท ทำให้เราขยันหมั่นเพียรพอมีความกดดัน ไม่มีความกดดันอาจจะสบายเกินไป เมื่อไหร่ก็ได้ อืม จะทำอยู่ เพียงแต่ว่า ยังไม่มีเวลา เหมือนกับ สมมติว่าเดิน เดินทางไปขึ้นเครื่องบิน ไปต่างประเทศ เดินทางไป ๕-๖ ชั่วโมง แต่ไปถึงช้าไป ๑ นาที เรารู้สึกว่า โอ้ แค่ ๑ นาทีเอง ถ้าเทียบกับการเดินทาง ๕ ชั่วโมง มันไม่ยุติธรรมเลย ๕ ชั่วโมงแต่มันก็ไม่ทัน ไม่ทันก็ไม่ทัน เหมือนคนที่จะทำอะไรสักอย่าง คำว่าจะนี้ก็เป็นคำที่ต้องระวังมากเลย เพราะในความรู้สึกของเรานี้ในการจะทำที่จะทำให้เกิดผล ถ้าจะทำนี่เหมือนกับประสบความสำเร็จไป ๙๐% แล้ว แค่จะทำ คือมันรู้สึก มันได้แล้วในระดับหนึ่ง เพราะจะทำ การที่ตัดสินจะทำเหมือนกับว่า โอเค ตกลงละ แต่อาจจะไม่ทำเลยก็มี เพียงแต่ปลอบใจอยู่ว่า อ้าวทำไม่ยังทำ เพราะเหตุผลว่ากำลังจะทำ อ้าวจะทำอยู่แล้วให้ แต่ไม่เห็นทำเลย จะทำ จะทำ นี่เป็นความหลอกลวงตัวเอง.

          ทีนี้นอกจากความ...เอ่อ การฝึกสติไม่ปรุงแต่ง ในความกดดัน โดยความไม่อยากให้กดดันอย่างนี้ ไม่อยากให้มีเรื่องบีบคั้นอย่างนี้ โอ้ เราก็ไม่มีเวลาเสียด้วย พวกนี้ที่เราปรุงแต่งด้วยวิภาวะตัณหา ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ก็จะทำให้ความกดดันกลายเป็นความเครียด แต่ปัจจัยปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เครียดมาก โดยเฉพาะนักเรียนเจอบ่อย ก็บริหารเวลาตัวเองไม่เป็น งานที่ควรจัด อ่า ชำระวันทุกวันทุกวัน เรื่อย ๆ ที่ทิ้งไปทิ้งไปทิ้งไปทิ้งไป จนกระทั่งถึงเวลาเหลืออยู่ไม่กี่วัน งานก็ยังเยอะ เครียด เครียดเพราะกลัวจะไม่ทัน ฉะนั้นการฝึกจิตก็อย่างหนึ่ง การบริหารเวลาซึ่งเป็นเรื่องของวินัย ก็ต้องคู่กับธรรม ทุกๆเรื่องธรรมกับวินัยไปด้วยกัน ทางธรรมก็คือการดูแลจิตใจ ไม่ให้ปรุงแต่ง ในสิ่งที่ไม่ชอบ เช่น ความกดดัน จนกระทั่งเกิดเป็นความเศร้าหมอง ว่าเครียด แต่วินัยก็ช่วยป้องกัน ลดได้ ด้วยการบริหารเวลา เช่นเราแบ่งงานออกเป็น อ่า เป็นอะไรด่วนสำคัญ สำคัญไม่ด่วน ด่วนไม่สำคัญและไม่ด่วนไม่สำคัญ แค่นี้ก็ช่วยได้เยอะ ไม่ด่วนไม่สำคัญเอาไว้ก่อน ไว้ตอนท้าย ไม่ทำเลยก็ยังยินดี ด่วนและสำคัญทำก่อน แต่นี้ไอ้ข้อ ๒ ข้อ ๓ นี่จะสับสนระหว่าง ด่วนไม่สำคัญ สำคัญไม่ด่วน ถ้าขาดสตินี้จะเอา ด่วนไม่สำคัญก่อน แต่ถ้ามีสติมีปัญญา จะเอาสำคัญไม่ด่วนก่อน.

อย่างเช่นเรื่องการทำวัตรสวดมนตร์ หรือการนั่งสมาธิทุกวัน ด่วนมั้ย? ก็ถ้ามองแบบพระอริยเจ้า ผู้มีปัญญาจริงๆ ด่วนมาก เพราะไม่รู้ว่าเราจะตายเมื่อไหร่ ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสอีกสักนานอีกเท่าไหร่ จะมองว่าด่วนก็ได้ แต่คนทั่วไปก็มองว่าไม่ด่วนหรอก ค่อยๆเป็นค่อยไป บางคนก็ต้องแก่ก่อน อันนี้ก็ยังไม่ถึงเวลา ให้ผมหงอกฟันหัก หรืออะไร โอ้ หัวหงอกแล้วจะทำ ตอนนี้ยังไม่พร้อม อาตมาเคยว่าชาวบ้านเรื่องนี้ มีโยมผู้หญิงคนหนึ่ง ท่านอาจารย์ทำไมเสียงมันค่อย นี่ก็ระหว่างแสดงธรรมนะ ก็ชอบว่าเพราะเป็นกันเองน่ะ อาจารย์เสียงค่อย ฟังบ่ได้ยิน อย่างเน๊ยะ อาตมาก็บอกว่า ถ้ามาฟังเทศน์ตั้งแต่สาว ตั้งแต่หูยังดี มันก็ได้ยินอยู่หรอก ทำไมปล่อยให้แก่แล้วค่อยมาวัด จะเป็นความผิดของอาตมาได้ยังไง สมัยก่อนนั่นก็คุยกันเป็นกันเองดี อ้าว กำลังพูดเรื่องอะไรเนี่ยะ.

เราก็จัดสรรเวลา เราก็รู้จักเวลา รู้จักกาลเทศะ ความเครียดก็หายไป รู้จักใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ด่วนแต่สำคัญและไม่สำคัญ มันเยอะนะ อันนี้ก็ด่วนต้องรีบทำนะ  อืม นั่นกิเลสคนนะ คนอยากขายของ หรือว่าขายลดราคา 50% เฉพาะวันนี้หรือเฉพาะอ่ะนะ ก็ด่วนๆๆๆ ก็รีบส่ง แล้วจำเป็นต้องซื้อมั้ย? ก็ไม่มีความจำเป็น แล้วทำไมต้องซื้อ? เพราะถ้าไม่ซื้อวันนี้ก็ไม่มีโอกาสล่ะ อืม สมมติ...สมมติว่าของมีราคาพันบาท แล้วคงจะขายห้าร้อยบาทเฉพาะอาทิตย์นี้ ซื้อมั้ย? เอ้อ บางคนก็ ต้องซื้อสิ มัน...มันประหยัดห้าร้อยบาท แต่ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่ต้องการ มันก็เสียห้าร้อยบาท ใช่มั้ย? มันประหยัดห้าร้อยบาทหรือเสียเปล่าๆห้าร้อยบาท มันแล้วแต่จะมอง ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น.

ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญในชีวิต ทั้งๆที่ไม่มีความกดดัน อ้า เราทำหรือไม่ทำก็ไม่มีใครว่าอะไร ใช่มั้ย? จะตื่นแต่เช้าทำวัตรสวดมนตร์ นั่งสมาธิ อ่า หรือจะเปิดทีวี ก็ไม่มีใครว่าเรา แต่เราก็รู้ของเรา เราก็ใช้เวลา ก็เวลามันผ่านเร็วขึ้น เร็วขึ้น นี่เป็นข้อสังเกตของผู้สูงอายุ เน๊าะ ว่าอายุ เอ้ ทำไมเวลามันผ่านเร็วจัง ไม่เหมือนสมัยก่อน อืม อายุมากเวลาผ่านเร็ว งั้นเราก็ต้องยิ่งต้องสนใจ ในเรื่องการบริหารเวลา สิ่งที่ด่วนและสำคัญรีบทำแต่ตอนนี้ แต่รีบแบบพุทธนะ รีบแบบพุทธเป็นไง? รีบช้าๆ นี่คือรีบแบบพุทธ ไม่ใช่รีบร้อนนะ รีบเย็น อืม รีบเย็น โอ้ เรื่องนี้มันไม่เย็นนะ อืม จัดการ ไม่ต้องวุ่นๆวายๆน่ะ อย่างเช่นคนบริหารเวลาไม่เป็น จะไปใส่บาตรหรือจะไปทำบุญที่วัด ก็บริหารไม่พอก็ ตายแล้ว ขึ้นรถขึ้นรถไปๆๆๆ ภรรยาก็นั่งข้างๆสามีก็ขับรถ เร็วๆๆๆ ขึ้นไป มันจะไม่ทัน สามีก็รำคาญ แม่บ้านก็รำคาญ แล้วจิตใจจะเป็นบุญได้ยังไง? เครียดว่า ถ้าจะถึงวัดไม่ทัน ทำบุญนี่ไม่ใช่ว่าเฉพาะเวลาใส่บาตร พุทธองค์ให้มีความสุข ก่อนใส่บาตร ก่อนทำบุญ ในขณะที่ทำบุญ และหลังจากทำบุญไปแล้ว แม้แต่การให้ทานก็ต้องฝึกจิตนะ ถ้าก่อนทำแล้วจิตรำคาญ วุ่นวาย มันก็ขาดอยู่ตรงนั้น ขณะที่ใส่อาจจะได้ ใส่แล้วมาดู ท่านตักของเรารึเปล่า? ทำไมตักนิ๊ดดดเดียว? จิตมันก็ไม่เบิกบานแล้วนะ บุญมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับท่านตักกี่ช้อนนะ ดูแลจิตใจนี่สำคัญ.

ทีนี้ เรื่องการจัดสรรเวลา ในการปฏิบัติธรรม ในชีวิตประจำวัน เราก็แบ่งออกกเป็นช่วงๆ อย่างเช่นช่วงแรก ตื่นเช้าจนถึงเวลาออกเดินทางไปที่ทำงาน ช่วงที่สอง ก็เดินทางไปที่ทำงาน ช่วงที่สาม ทำงาน ตั้งแต่เริ่มเข้าออฟฟิช เริ่มทำงานถึงเที่ยง ช่วงที่สี่ พักกลางวัน ช่วงที่ห้า ทำงานช่วงบ่าย ช่วงที่หก เดินทางกลับบ้าน ช่วงที่เจ็ด ถึงบ้านแล้ว จากเวลาถึงบ้านถึงเวลาพักผ่อนนอนหลับ ทีนี้ถ้าเราจัดเป็นช่วงๆ แล้วก็ตั้งต้นใหม่ ตั้งต้นใหม่ ตั้งต้นใหม่ อย่างนี้ แล้วก็มีการเปรียบเทียบ เอาช่วงนี้ ช่วงเช้า ถึงเช้าตั้งแต่เท่าไหร่ ตี ๕ ถึง ๗ โมง ๘ โมงล่ะ นี้เป็นช่วงแรก ต้องทำให้มันดี ให้ดี ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ สิ่งท้าทายข้อที่สอง นั่งรถหรือขับรถ ขึ้นรถโดยสารไปที่ทำงาน ทำยังไงเราจึงจะดูแลจิตใจ ไม่ให้กิเลสเข้ามาครอบงำ ให้จิตใจเป็นบุญเป็นกุศลตลอดถึง ถึงที่ทำงาน ช่วงทำงาน ทำยังไงเราถึงจะดูแลจิตใจ ทำงานสมมติว่า ๒ ช่วง ช่วงเช้าและช่วงบ่าย เรามีสิ่งท้าทายตลอดเวลา แต่รู้สึกว่านี่ก็คือการท้าทาย ในการแบ่งออกเป็นช่วงๆนี้ จะทำให้เรากำหนดงาน กำหนดการปฏิบัติธรรมของเราง่ายขึ้น.

เราเพิ่งสอน retreat คุณครู เสร็จ อ่า เมื่อเช้านี้เอง เมื่อกี้นี้เอง ก็มีคุณครูมาตั้งร้อย ร้อยเจ็ดสิบเก้า ร้อยแปดสิบคน ทั้งครูทั้งผู้ปกครองส่วนหนึ่ง และคืนสุดท้ายก็เป็นธรรมเนียมว่า ผู้มีศรัทธาก็จะเนสัชชิก3 เนสัชชิกก็คืออยู่ทั้งคืน ไม่พักผ่อนเลย ภาวนาตลอดทั้งคืน ทีนี้ อาตมาก็ปแนะนำอย่างนี้ ให้แบ่งเวลาของกลางคืนออกเป็นช่วงๆ

3https://www.facebook.com/ybatpage/photos/a.203832874743/10157139675774744/?_rdr

อย่างสมมติว่าเริ่มตั้งแต่ สามทุ่มหรือสี่ทุ่มยังงี้ เอาเป็นช่วงแรก สี่ทุ่มถึงสี่ทุ่มครึ่ง ช่วงที่สอง สี่ทุ่มครึ่งถึงห้าทุ่ม ช่วงที่สามห้าทุ่มถึงห้าทุ่มครึ่ง ถ้าเป็นระยะยาว รู้สึกยาวตอนกลางคืนก็เริ่มง่วง เริ่มโอ้โหอีกกี่ชั่วโมงเน๊าะ? อืม เอ๊ เราตัดสินผิดมั้ยหนอ? เดี๋ยวนะ คือจิตใจเริ่มจะเฉา ท้อแท้ แต่ถ้าเรา เอ่อ ช่วงนี้ไม่ค่อยจะดีนัก ช่วงห้าทุ่มถึงห้าทุ่มครึ่ง ไม่เป็นไร ห้าทุ่มครึ่งไปล้างหน้าล้างตา เริ่มต้นใหม่ ให้ช่วงห้าทุ่มครึ่งหกทุ่มให้มันดีซะ คือเนี่ยะก็เป็นจิตวิทยาในจัดเวลายาวออกเป็นเวลาสั้นเป็นช่วงๆ ทุกครั้ง เริ่มต้นใหม่ เริ่มใหม่ พอถ้าเรามอง เรา เอ่อ ก็จะภาวนาทั้งคืน พอเราจะช่วงง่วงเหงาหาวนอน ห้าทุ่มหกทุ่มตีหนึ่งแล้วแต่ ก็รู้สึก อ๋อ มันแย่ไปแล้วคืนนี้ อ้า ไม่ดีเหมือนที่คิด เหมือนที่เราหวัง แต่ถ้ามันเป็นเฉพาะช่วงนี้ ช่วงที่สามช่วงที่สี่ แต่ช่วงต่อไป อ้าว ให้ดีกว่านี้.

          ฉะนั้นในการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ก็เช่นเดียวกัน เช่นว่า มีช่วงบ่ายนี้ทำงาน ก็เกิดความหงุดหงิดรำคาญ ก็เกิดการทะเลาะกับใคร ก็เกิดน้อยใจใคร ก็จะได้รู้สึกว่า โอ้ ช่วงบ่ายวันนี้มี มีเศร้าหมองเน๊าะ ไม่เป็นไร พอจบแล้วตั้งต้นใหม่เลย เรียนรู้จากประสบการณ์ คอยสังเกตpatternต่างๆว่า เราเผลอก็มันจะเผลอช่วงไหน? เวลาไหน? แล้ววางแผนอย่างไร? เราจึงจะป้องกันไม่ให้เผลออย่างนั้น คุณธรรมที่เป็นประโยชน์มาก ในชีวิตประจำวันที่มีการรับผิดชอบมากมาย มีนั่นมีนี่ตลอดเวลา ก็คือเมตตาภาวนา ซึ่งสมมติว่าก่อนจะ อ่า ก่อนจะตื่นตอนเช้า ก่อนจะลุกตอนเช้า อ่า ให้แผ่เมตตากับตัวเองและทุกคนในครอบครัวก่อน แต่ก่อนจะเห็นหน้าเค้าให้แผ่เมตตาไว้ก่อน ก่อนจะไปเข้าที่ทำงาน นึกถึงทุกคนในที่ทำงาน ขอให้เค้ามีความสุข ขอให้มีความสุขเถิด เตรียมจิตให้เป็นกุศลก่อนเข้าไป.

          ทีนี้ในการแผ่เมตตาให้กับตัวเอง บางคนก็ทำไม่เป็น ทำยาก อ่า การ...หลักหรือว่าเคล็ดลับของการภาวนาทุกวิธีเลย คือเริ่มตั้งแต่ง่ายๆ ค่อยๆ ไปหายาก อย่าไปเริ่มที่มันยากเกินไป และทำให้ยากเกินไปเวลาที่ยังไม่มีกำลังพอ ยังไม่พร้อม ก็จะท้อแท้ เหมือนกันกับการดูลมหายใจที่ปลายจมูก หรือจุดใดจุดหนึ่ง ถ้าเรายังไม่ค่อยชำนาญน่ะ นั้นคืองานละเอียด เริ่มต้นด้วยการรู้สึกลมหายใจในทุกส่วนของกายตั้งแต่ศีรษะลงไปถึงเท้า หัดหายใจเข้าหายใจออกเหมือนร่างกายเป็นลูกโป่งออกซิเจน อยู่กับลมหายใจแบบหลวมๆ สบายๆ ก่อน สร้างความพอใจกับงาน จึงค่อยซูม(zoom)เข้าไปที่ปลายจมูก หรือจุดที่จะกำหนดลมหายใจอย่างละเอียด.

          การภาวนาเป็นอย่างนี้ในทุกวิธีเลย และใช้เมตตาเริ่มตั้งแต่ง่ายบไปสู่ยาก โบราณเค้าถือว่าแผ่เมตตากับตัวเองง่าย ค่อยๆขยายไปสู่คนรอบข้างและคน...สรรพสัตว์ทั้งหลาย แต่บางคนทำไม่ได้ มองตัวเองในแง่ร้ายเป็นต้น ในกรณีนั้นเราก็เริ่มใด้วยการแผ่เมตตา โดยเอาภาพของลูกแมวลูกหมาอะไรที่ อ้า น่ารักเหลือเกิน นี่ตัวเมตตา ความเอ็นดูเกิดขึ้น แต่ให้อันนี้เป็นการจุดประกายเมตตา โดยนึกถึงภาพของสิ่งที่หรือบุคคลที่น่าเอ็นดู เรียกว่าง่าย ค่อยๆขยาย แต่ตัวเองนั้นก็มีง่ายมียากเหมือนกัน ฉะนั้นเราจะแผ่เมตตากับตัวเอง เริ่มต้นจากตาก่อน  ขอให้ตาของข้าพเจ้าดี ขอให้ตามีความสุข สายตาดี ไม่เป็น...ไม่เป็นกระจก ไม่เป็น...ไม่ตาบอด ขอให้หูเราดี ไม่หูหนวก เข้าไปฟังเทศน์พระ ฟังได้ทุกคำ และขอให้จมูกเราดี หายใจเข้าหายใจออกสบาย ขอให้ฟันเราดี.

          ก็เริ่มตั้งแต่อวัยวะต่างๆในร่างกาย หรือสิ่งที่ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนมองตัวเองในแง่ดี หรือดีเกินไป หรือมองในแง่ร้าย ร้ายเกินไป และทุกคนก็อยากให้ตาเขาดี หูเขาดี สมองเขาดี จมูกเขาดี ฟันเขาดี เป็นต้น ให้เขาสร้างความเคยชินที่จะ หวังสิ่งที่ดี แล้วค่อยขยาย แล้วถามว่าความสุขที่ต้องการในชีวิต ว่าเป็นแบบไหน? และบางทีขอให้มีความสุข มันเป็นคำกว้างมาก แต่ถ้าเราพูดเฉพาะ ขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้มีความสุขของการดำรงสติ ขอให้มีสติ ขอให้ข้าพเจ้ามีสมาธิ ขอให้มีปัญญา ขอให้มีความอดทน คือสิ่งเหล่านี้เป็นเหตุปัจจัยของความสุขที่มีค่า ความสุขที่ต้องการ.

ฉะนั้นเราไม่จำเป็นต้องเอาบทในหนังสือสวดมนตร์เป็นที่ตั้ง ดูว่าสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ดีที่สุด ที่เราต้องการจะปลูกฝังในชีวิตเรา เช่น สติ สมาธิ ปัญญา อดทน ความสันโดษ อะไรก็แล้วแต่ และก็ขอให้เรามีสิ่งเหล่านั้น คือเป็นการยืนยัน ในสิ่งเหล่านั้นมาเป็นเป้าหมายชีวิต ไม่ใช่ว่าจะขอใครหรอก อันนั้นเป็นแค่สำนวนเป็นเรื่องขอภาษา แต่ต้องการให้เป็นผู้ มีสติคุ้มครอง มีสมาธิแน่วแน่ มั่นคง มีปัญญาหลักแหลม มีความอดทนไม่หวั่นไหวต่อสิ่งที่ไม่ปรารถนา ที่มากระทบบ่อยๆ นึกถึงสิ่งที่ดีที่ต้องการในชีวิต แต่เริ่มต้นจากการหวังดีต่อ ตาหูจมูกลิ้นกายใจ สิ่งที่เป็นรูปธรรมเสียก่อน พอรูปธรรมมีแล้ว จึงค่อยเข้าไปสู่นามธรรม หรือไม่อย่างนั้นก็ อย่างที่ว่า เอารูปแมวรูปหมา รูปไก่ โอ๊ น่ารัก น่าเอ็นดูเหลือเกิน ก็เป็นจุดเริ่มต้น เป็นการจุดประกาย.

ฉะนั้นเมื่อเช้าก็ได้เริ่มต้น ด้วยเป็นกลางๆว่า กิเลส ไม่เคยหายด้วยการอ้อนวอน ไม่เคยหายด้วยพิธีกรรม แต่กิเลสหายได้ ด้วยความเพียรพยายาม แต่ของมนุษย์เราเป็นผู้มีศักยภาพในการฝึกตน และเข้าถึงความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ ด้วยการฝึกตน การฝึกทำให้ชีวิตรู้สึกมีความหมาย มีแก่นมีสารมีสาระน่าภูมิใจ ในแต่ละวัน เราทบทวนว่า วันนี้เราได้ทำอะไรบ้าง ได้พูดอะไรบ้าง เพราะน่าจะมีอย่างน้อยสัก ๑ ข้อ ถ้ามากกว่านั้นก็ดี เรามีอย่างน้อยหนึ่งข้อที่รู้สึกว่า อยากไหว้ตัวเอง ยิ่งดีแต่ไหว้ตัวเอง โดยไม่เขินไม่อาย รู้สึกว่า ภูมิใจตัวเอง ถ้าเรามีสิ่งที่เรารู้สึกภูมิใจได้ทุกวันนะ ความสุขไม่...ไม่มีไปไหนละ ได้แน่นอนในความสุข.

เอาล่ะวันนี้ก็ได้แสดงธรรมมาพอสมควรแก่เวลาแล้ว.

...สาธุ สาธุ...

https://youtu.be/HyYXl12FkAI?si=Ht2x07nUb15MlNa4

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น