หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

บุญศักดิ์ แสงระวี – ระบอบประชาธิปไตยของฝ่ายตะวันตก – (2)

 บุญศักดิ์ แสงระวี – ระบอบประชาธิปไตยของฝ่ายตะวันตก – (ต่อ 2) (15 ธันวาคม 1989)

(จากหน้า 184 – 188)

          ศาสตราจารย์วิขาการเมืองในอเมริกา 2 คน คือโทมัส เดจและฮามอน ซิกเลอร์ เขียนหนังสือเรื่อง “การยิ้มเยาะประชาธิปไตย” ได้บรรยายประชาธิปไตยของคนมั่งมีอเมริกาว่าเป็น “ประชาธิปไตยยอดคน” กล่าวคือ “ผู้ที่ดำเนินการปกครองอเมริกาอยู่นั้นคือยอดคน มิใช่มวลประชาน” ภูมิหลังทางชนชั้นของยอดคนเหล่านี้คือ “ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มสังคมที่ร่ำรวย ได้รับการศึกษามาอย่างดี มีชื่อเสียงแพร่หลาย เป็นบุคคลชั้นสูง เป็นชาวผิวขาว พวกเขาถือกำเนิดมาจากชนชั้นสูง กล่าวคือชนชั้นซึ่งมีฐานะครอบงำหรือควบคุมที่มีจำนวนมากกว่าใครอื่นในองค์กรสังคม เช่นในอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม การศึกษา การทหาร การคมนาคม เมืองนครกฎหมายเป็นต้น” ประชาธิปไตยของฝ่ายตะวันตก-ภายใต้การปกครองของยอดคนในชนชั้นนายนทุน ละเมิดต่อหลักการีพื้นฐานที่ว่าประชาธิปไตยถือการปกครองของคนส่วนมากโดยมูลฐาน เป็นการเหยียบย่ำและเย้ยหยันประชาธิปไตยอย่างโจ่งแจ้ง+

          แต่ไหนแต่ไรมาลัทธิมาร์กซ์เห็นว่า ประชาธิปไตยลัทธิสังคมนิยม มิใช่วิมานในอากาศ หากแต่เป็นหผลิตผลที่แน่นอนแห่งการพัฒนาทางประวัติศาสตร์ของความคิดประชาธิปไตยและระบอบประชาธิปไตยของมนุษยชาติ.  ใน “สงครามภายในฝรั่งเศส” พรน้อม ๆ กับที่ได้ปฏิเสธหลักการแบ่งแยกอำนาจ 3 ฝ่ายก็ได้ชี้ออกมาว่า “ต้องขจัดองค์กรที่มีลักษณะกดขี่แท้ ๆ ในอำนาจรัฐเก่าออกไป ส่วนการทำหน้าที่ของอำนาจรัฐเก่าที่สมเหตุสมผลก็ควรจะยึดเอามาจากทางการที่แฝงเร้นและอยู่เหนือสังคมให้หมด มอบคืนให้แก่เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบต่อสังคมไปเองกลส์ได้ชี้ชัดยิ่งขึ้นถึงความสัมพันธ์ในการสืบทอดระหว่างระบอบสาธารณรัฐประชาธิปไตยของลัทธิสังคมนิยมและระบอบสาธารณรัฐของลัทธิทุนนิยม  สาธารณรัฐคือรูปแบบการเมืองที่สำเร็จรูปแล้วซึ่งชนชั้นกรรมาชีพจะใช้มาดำเนินการปกครองในอนาคต” ส่วนเลนินมีความเห็นว่า “ทางออกแห่งการหลุดพ้นจากระบอบรัฐสภา ย่อมจะมิใช่อยู่ที่การยกเลิกองค์กรตัวแทนและระบอบเลือกตั้ง หากอยู่ที่เอาองค์กรตัวแทนมาเปลี่ยนจากการถกเถียงอันไร้สาระมาเป็นองค์กรที่ “ทำงาน” “.  เติ้งเสี่ยงผิงได้ชี้ออกมาในขณะที่พูดถึงระบอบประชาธิปไตยของลัทธิสังคมนิยมที่มีลักษณะจำเพาะของประเทศจีนว่า “ระบอบเราจะสมบูรณ์ขึ้นทุกวัน มันขะซึมซับเอาปัจจัยที่ก้าวหน้าที่เราสามารถจะเอามาได้จากประเทศต่างๆ      ทั่วโลก กลายเป็นระบอบที่ดีที่สุดในโลก

          ประชาธิปไตยเป็นดอกผลแห่งการพัฒนาของวัฒนธรรมทางการเมืองของมนุษยชาติ ทั้งก็เป็นความเรียกร้องต้องการทั่วไปของประชาชนประเทศต่างๆ ทั่วโลก ประชาธิปไตยของประเทศต่างๆ เกิดขึ้นภายในประเทศนั้นๆ เอง ไม่ใช่อิทธิพลภายนอกยัดเยียดเข้าไปให้ระบอบหารเมืองของประเทศหนึ่งใด มีแต่จะต้องสอดคล้องกับสภาวะของประเทศ สมบูรณ์ขึ้นและพัฒนาไปอย่างไม่ขาดสาย จึงจะมีประสิทธิภาพเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต การลอกเลียนเอามแบบของประเทศอื่นแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยได้รับความสำเร็จ วิธีการที่ประเทศใหญ่ทางตะวันตกที่พยายามส่งแม่แบบประชาธิปไตยของตนออกไปยังประเทศอื่นก็ไม่เคยมีผลสำเร็จเลยแม้สักประเทศเดียว การประเทืองปัญญาที่การเมืองระหว่างประเทศทิ้งไว้ให้แก่สังคมระหว่างประเทศในยุคนี้เป็นเรื่อง หวนให้คิดคำนึงเป็นอย่างยิ่ง

          ผลลัพธ์อันร้ายแรงที่การเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงของโซเวียตและยุโรปตะวันออกนำมาสู่ประเทศชาติและประชาชนของพวกเขานั้นให้การอธิบายว่า กสนลอกเลียนแม่แบบของประเทศอื่นไปไม่รอด “การปฏิรูปขั้นมูลฐาน” ต่อพรรคและระบอบรัฐที่อดีตผู้นำของพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตได้ดำเนินไปภายใต้ชื่ออันสวยหรูที่เรียกว่า “ความคิดใหม่” นั้น ธาตุแท้ของมันคือดำเนินตามแบบตะวันตกแต่หัวจรดเท้า ผลลัพธ์ของมันมิใช่แต่จะมิได้นำมาซึ่งประสิทธิภาพและความยุติธรรม กลับก่อให้เกิดการสลายตัวของรัฐลัทธิสังคมนิยมโซเวียต การขนเอาแม่แบบของต่างประเทศมาใช้ทั้งดุ้น ทำให้รัสเซียตกลงไปในความยากลำบากอย่างร้ายแรง หลังจากนั้น. จนกระทั่งทุกวันนี้ ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูตินยังคงถอนหายใจว่า “รัสเซียกำลังอยู่ในระยะประวัติศาสตร์ที่ยากลำบากที่สุดในหลายร้อยปีของตน อาจจะเป็นไปได้ว่ารัสเซียกำลังเผชิญกับอันตรายแห่งการตกลงไปเป็นประเทศชั้นสองหรือชั้นสามอย่างแท้จริงใน 200 – 300 ปีมานี้”  ประธษนาธิบดีปูตินิเผยว่า มูลค่าการผลิตภายในประเทศของรัสเซียในปัจจุบันมีเพียง 1 ใน 10 ของอเมริกา ประมาณ 1 ใน 5 ของประเทศจีน โซเวียตเดิมเคยเป็นยประเทศใหญ่ทางเศรษฐกิจอันดับ 2 แต่รัสเซียปี 1998 ตกลงไปเป็นอันดับที่ 16 รัสเซียล้าหลังกว่าสเปน เนเธอร์แลนด์ กระทั่งล้าหลังกว่าประเทศกำลังพัฒนาอย่างบราซิล อินเดีย เกาหลีใต้ด้วยซ้ำไป ผลลัพธ์โดยตรงแห่งความล้มเหลวของการปฏิรูปของโซเวียตเดิม มิใช่แต่จะก่อให้เกิดความสูญพรรคสูญประเทศเท่านั้น หากยังทำให้ระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนรัสเซียในปัจจุบันตกต่ำลงไปอย่างสุดจะประเมินได้ ความร่ำรวยกับความยากจนแตกต่างห่างไกลกันใหญ่หลวง สังคมปั่นป่วนหาความสงบมิได้ ในหกลายปีมานี้ รายได้ของชนชั้น 10 เปอร์เซ็นต์ที่มีรายได้สูงสุดกับชนชั้นที่มีรายได้ต่ำสุดห่างกันถึง 14 เท่า นับแต่ปกี 1992 เป็นต้นมา จำนวนประชากรของรัสเซียลดลงเรื่อย ๆ อัตราการตายสูงกว่าการเกิด 1.8 เท่า อัตราการยืนยาวชีวิตลดลง 5 ปีต่อคน สภาพทางประชากรเป็นที่น่าวิตกเป็นอย่างยิ่ง

          ทศวรรษที่ 60 ของศตวรรษที่ 20 ประเทศแอฟริกาที่ได้รับเอกราชแล้วก็เผชิญหน้ากับปัญหาการเลือกเฟ้นหนทางแห่งการพัฒนาทางการเมืองของตนเช่นกัน มีบางประเทศลอกเลียนแม่แบบการพัฒนาของลัทธิทุนนิยมตะวันตก ดำเนินประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ระบอบหลายพรรคและมีแบบแผนต่าง ๆ เยี่ยงตะวันตกเป็นการใหญ่ ผลลัพธ์ของดำเนินการดังนี้มิใช่แต่มิได้นำมาซึ่งความรุ่งเรืองและเสถียรภาพ กลับก่อให้เกิดการรัฐประหารขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ประชาชนต้องถูกเหยียบย่ำทำร้าย เศรษฐกิจแห่งชาติล้มละลาย สังคมก็ถอยหลัง หลักจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงของโซเวียตและยุโรปตะวันออกแล้ว ก็มีประเทศอีกส่วนหนึ่งหันไปดำเนินระบอบประชาธิปไตยของฝ่ายตะวันตก ผลสุดท้ายก็เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายไม่สิ้นสุด ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนดี ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนยิ่งลำบากยากแค้นมากขึ้น

          หลังจากอเมริกาก่อสงครามอิรักโค่นซัดดัมได้สำเร็จแล้ว ก็ยัดเยียด “แผนการตะวันออกกลาง” มาให้ หมายมุ่งจะส่งระบอบประชาธิปไตยของอเมริกาเป็นสินค้าส่งออกมายังอิรักและทั่วอาณาบริเวณตะวันออกกลาง “เพื่อแก้ไขสภาพแวดล้อมความปลอดภัยของอเมริกาจากต้นตอ” แต่นั่นก็เป็นความใฝ่ฝันของอเมริกาโดยลำพัง อิรักในเวลานี้เสมือนกับบ่อที่ไม่มีก้นบึ้ง กลืนกำลังคน กำลังวัตถุและกำลังเงินของอเมริกาไปจำนวนมหาศาลจนถึงวันนี้ ทหารอเมริกันตายในอิรักแล้วกว่า 2,000 คน การลอบโจมตีและการระเบิดพลีชีพในอิรักเกิดขึ้นทุกแห่งหน การสร้างสรรค์ใหม่ทางการเมืองไม่มีอะไรเป็นที่แน่นอน จะสามารถเป็น “แบบฉบับ” ตามที่อเมริกาคาดหวังไว้ก็ไม่มีอะไรเป็นหลักประกัน แต่ประชาชนอิรักกลับต้องสังเวยชีวิตอย่างเจ็บปวดและต้องสูญเสียทรัพย์สินมหาศาลเป็นค่าตอบแทนการทดลอง “ประชาธิปไตย” ของอเมริกา.

 

          การดำเนินประชาธิปไตยจะต้องสอดคล้องกับสภาวะของแต่ละประเทศ ประชาธิปไตยภายใต้ปลายปืนของกองทัพต่างประเทศ ไม่สามารถจะทำให้ประชาชนในประเทศนั้น ๆ ยินยอมพร้อมใจด้วยได้. นอกจากนี้ ในการสนับสนับสนุน “การปฏิวัติประชาธิปไตย” ของประเทศอื่นก็ใช้สองมาตรฐาน ผลการเลือกตั้งหากสอดคล้องกับผลฃประโยชน์และความประสงค์ของตนก็ยอมรับ ถ้ากลับตรงกันข้ามก็ยุงยงส่งเสริมให้โค่นล้มผลการเลือกตั้ง จนกระทั่งผลการเลือกตั้งได้ผู้นำที่ตนพอใจ พฤติการณ์ดังนี้ย่อมจะหาคนที่เห็นชอบด้วยยาก ฉะนั้น การสนับสนุนประชาธิปไตยของอเมริกาในประเทศเหล่านี้ จึงเป็นเรื่องจอมปลอม การบ่มเพาะให้เป็นประเทศที่ขึ้นต่อตนอย่างไม่มีเงื่อนไขต่างหาก นี่แหละคือของจริง.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น