บุญศักดิ์ แสงระวี – ระบอบประชาธิปไตยของฝ่ายตะวันตก – (ต่อ 2) (15 ธันวาคม 1989)
(จากหน้า 184 – 188)
ศาสตราจารย์วิขาการเมืองในอเมริกา
2 คน คือโทมัส เดจและฮามอน ซิกเลอร์ เขียนหนังสือเรื่อง “การยิ้มเยาะประชาธิปไตย”
ได้บรรยายประชาธิปไตยของคนมั่งมีอเมริกาว่าเป็น “ประชาธิปไตยยอดคน”
กล่าวคือ “ผู้ที่ดำเนินการปกครองอเมริกาอยู่นั้นคือยอดคน มิใช่มวลประชาน”
ภูมิหลังทางชนชั้นของยอดคนเหล่านี้คือ “ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มสังคมที่ร่ำรวย ได้รับการศึกษามาอย่างดี
มีชื่อเสียงแพร่หลาย เป็นบุคคลชั้นสูง เป็นชาวผิวขาว พวกเขาถือกำเนิดมาจากชนชั้นสูง
กล่าวคือชนชั้นซึ่งมีฐานะครอบงำหรือควบคุมที่มีจำนวนมากกว่าใครอื่นในองค์กรสังคม
เช่นในอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม การศึกษา การทหาร การคมนาคม เมืองนครกฎหมายเป็นต้น”
ประชาธิปไตยของฝ่ายตะวันตก-ภายใต้การปกครองของยอดคนในชนชั้นนายนทุน ละเมิดต่อหลักการีพื้นฐานที่ว่าประชาธิปไตยถือการปกครองของคนส่วนมากโดยมูลฐาน
เป็นการเหยียบย่ำและเย้ยหยันประชาธิปไตยอย่างโจ่งแจ้ง+
แต่ไหนแต่ไรมาลัทธิมาร์กซ์เห็นว่า
ประชาธิปไตยลัทธิสังคมนิยม มิใช่วิมานในอากาศ หากแต่เป็นหผลิตผลที่แน่นอนแห่งการพัฒนาทางประวัติศาสตร์ของความคิดประชาธิปไตยและระบอบประชาธิปไตยของมนุษยชาติ.
ใน “สงครามภายในฝรั่งเศส” พรน้อม ๆ
กับที่ได้ปฏิเสธหลักการแบ่งแยกอำนาจ 3 ฝ่ายก็ได้ชี้ออกมาว่า “ต้องขจัดองค์กรที่มีลักษณะกดขี่แท้
ๆ ในอำนาจรัฐเก่าออกไป ส่วนการทำหน้าที่ของอำนาจรัฐเก่าที่สมเหตุสมผลก็ควรจะยึดเอามาจากทางการที่แฝงเร้นและอยู่เหนือสังคมให้หมด
มอบคืนให้แก่เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบต่อสังคมไป” เองกลส์ได้ชี้ชัดยิ่งขึ้นถึงความสัมพันธ์ในการสืบทอดระหว่างระบอบสาธารณรัฐประชาธิปไตยของลัทธิสังคมนิยมและระบอบสาธารณรัฐของลัทธิทุนนิยม “สาธารณรัฐคือรูปแบบการเมืองที่สำเร็จรูปแล้วซึ่งชนชั้นกรรมาชีพจะใช้มาดำเนินการปกครองในอนาคต”
ส่วนเลนินมีความเห็นว่า “ทางออกแห่งการหลุดพ้นจากระบอบรัฐสภา
ย่อมจะมิใช่อยู่ที่การยกเลิกองค์กรตัวแทนและระบอบเลือกตั้ง หากอยู่ที่เอาองค์กรตัวแทนมาเปลี่ยนจากการถกเถียงอันไร้สาระมาเป็นองค์กรที่
“ทำงาน” “. เติ้งเสี่ยงผิงได้ชี้ออกมาในขณะที่พูดถึงระบอบประชาธิปไตยของลัทธิสังคมนิยมที่มีลักษณะจำเพาะของประเทศจีนว่า
“ระบอบเราจะสมบูรณ์ขึ้นทุกวัน
มันขะซึมซับเอาปัจจัยที่ก้าวหน้าที่เราสามารถจะเอามาได้จากประเทศต่างๆ ทั่วโลก กลายเป็นระบอบที่ดีที่สุดในโลก”
ประชาธิปไตยเป็นดอกผลแห่งการพัฒนาของวัฒนธรรมทางการเมืองของมนุษยชาติ
ทั้งก็เป็นความเรียกร้องต้องการทั่วไปของประชาชนประเทศต่างๆ ทั่วโลก
ประชาธิปไตยของประเทศต่างๆ เกิดขึ้นภายในประเทศนั้นๆ เอง ไม่ใช่อิทธิพลภายนอกยัดเยียดเข้าไปให้ระบอบหารเมืองของประเทศหนึ่งใด
มีแต่จะต้องสอดคล้องกับสภาวะของประเทศ สมบูรณ์ขึ้นและพัฒนาไปอย่างไม่ขาดสาย
จึงจะมีประสิทธิภาพเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต การลอกเลียนเอามแบบของประเทศอื่นแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยได้รับความสำเร็จ
วิธีการที่ประเทศใหญ่ทางตะวันตกที่พยายามส่งแม่แบบประชาธิปไตยของตนออกไปยังประเทศอื่นก็ไม่เคยมีผลสำเร็จเลยแม้สักประเทศเดียว
การประเทืองปัญญาที่การเมืองระหว่างประเทศทิ้งไว้ให้แก่สังคมระหว่างประเทศในยุคนี้เป็นเรื่อง
หวนให้คิดคำนึงเป็นอย่างยิ่ง
ผลลัพธ์อันร้ายแรงที่การเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงของโซเวียตและยุโรปตะวันออกนำมาสู่ประเทศชาติและประชาชนของพวกเขานั้นให้การอธิบายว่า
กสนลอกเลียนแม่แบบของประเทศอื่นไปไม่รอด “การปฏิรูปขั้นมูลฐาน”
ต่อพรรคและระบอบรัฐที่อดีตผู้นำของพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตได้ดำเนินไปภายใต้ชื่ออันสวยหรูที่เรียกว่า
“ความคิดใหม่” นั้น ธาตุแท้ของมันคือดำเนินตามแบบตะวันตกแต่หัวจรดเท้า
ผลลัพธ์ของมันมิใช่แต่จะมิได้นำมาซึ่งประสิทธิภาพและความยุติธรรม
กลับก่อให้เกิดการสลายตัวของรัฐลัทธิสังคมนิยมโซเวียต การขนเอาแม่แบบของต่างประเทศมาใช้ทั้งดุ้น
ทำให้รัสเซียตกลงไปในความยากลำบากอย่างร้ายแรง หลังจากนั้น. จนกระทั่งทุกวันนี้ ประธานาธิบดี
วลาดิมีร์ ปูตินยังคงถอนหายใจว่า “รัสเซียกำลังอยู่ในระยะประวัติศาสตร์ที่ยากลำบากที่สุดในหลายร้อยปีของตน
อาจจะเป็นไปได้ว่ารัสเซียกำลังเผชิญกับอันตรายแห่งการตกลงไปเป็นประเทศชั้นสองหรือชั้นสามอย่างแท้จริงใน
200 – 300 ปีมานี้” ประธษนาธิบดีปูตินิเผยว่า
มูลค่าการผลิตภายในประเทศของรัสเซียในปัจจุบันมีเพียง 1 ใน 10 ของอเมริกา
ประมาณ 1 ใน 5 ของประเทศจีน โซเวียตเดิมเคยเป็นยประเทศใหญ่ทางเศรษฐกิจอันดับ
2 แต่รัสเซียปี 1998 ตกลงไปเป็นอันดับที่ 16 รัสเซียล้าหลังกว่าสเปน
เนเธอร์แลนด์ กระทั่งล้าหลังกว่าประเทศกำลังพัฒนาอย่างบราซิล อินเดีย
เกาหลีใต้ด้วยซ้ำไป ผลลัพธ์โดยตรงแห่งความล้มเหลวของการปฏิรูปของโซเวียตเดิม
มิใช่แต่จะก่อให้เกิดความสูญพรรคสูญประเทศเท่านั้น หากยังทำให้ระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนรัสเซียในปัจจุบันตกต่ำลงไปอย่างสุดจะประเมินได้
ความร่ำรวยกับความยากจนแตกต่างห่างไกลกันใหญ่หลวง สังคมปั่นป่วนหาความสงบมิได้
ในหกลายปีมานี้ รายได้ของชนชั้น 10 เปอร์เซ็นต์ที่มีรายได้สูงสุดกับชนชั้นที่มีรายได้ต่ำสุดห่างกันถึง
14 เท่า นับแต่ปกี 1992 เป็นต้นมา จำนวนประชากรของรัสเซียลดลงเรื่อย ๆ อัตราการตายสูงกว่าการเกิด
1.8 เท่า อัตราการยืนยาวชีวิตลดลง 5 ปีต่อคน
สภาพทางประชากรเป็นที่น่าวิตกเป็นอย่างยิ่ง
ทศวรรษที่
60 ของศตวรรษที่ 20 ประเทศแอฟริกาที่ได้รับเอกราชแล้วก็เผชิญหน้ากับปัญหาการเลือกเฟ้นหนทางแห่งการพัฒนาทางการเมืองของตนเช่นกัน
มีบางประเทศลอกเลียนแม่แบบการพัฒนาของลัทธิทุนนิยมตะวันตก
ดำเนินประชาธิปไตยแบบรัฐสภา ระบอบหลายพรรคและมีแบบแผนต่าง ๆ เยี่ยงตะวันตกเป็นการใหญ่
ผลลัพธ์ของดำเนินการดังนี้มิใช่แต่มิได้นำมาซึ่งความรุ่งเรืองและเสถียรภาพ กลับก่อให้เกิดการรัฐประหารขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
ประชาชนต้องถูกเหยียบย่ำทำร้าย เศรษฐกิจแห่งชาติล้มละลาย สังคมก็ถอยหลัง
หลักจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงของโซเวียตและยุโรปตะวันออกแล้ว
ก็มีประเทศอีกส่วนหนึ่งหันไปดำเนินระบอบประชาธิปไตยของฝ่ายตะวันตก ผลสุดท้ายก็เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายไม่สิ้นสุด
ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนดี ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนยิ่งลำบากยากแค้นมากขึ้น
หลังจากอเมริกาก่อสงครามอิรักโค่นซัดดัมได้สำเร็จแล้ว
ก็ยัดเยียด “แผนการตะวันออกกลาง” มาให้ หมายมุ่งจะส่งระบอบประชาธิปไตยของอเมริกาเป็นสินค้าส่งออกมายังอิรักและทั่วอาณาบริเวณตะวันออกกลาง
“เพื่อแก้ไขสภาพแวดล้อมความปลอดภัยของอเมริกาจากต้นตอ” แต่นั่นก็เป็นความใฝ่ฝันของอเมริกาโดยลำพัง
อิรักในเวลานี้เสมือนกับบ่อที่ไม่มีก้นบึ้ง กลืนกำลังคน กำลังวัตถุและกำลังเงินของอเมริกาไปจำนวนมหาศาลจนถึงวันนี้
ทหารอเมริกันตายในอิรักแล้วกว่า 2,000 คน การลอบโจมตีและการระเบิดพลีชีพในอิรักเกิดขึ้นทุกแห่งหน
การสร้างสรรค์ใหม่ทางการเมืองไม่มีอะไรเป็นที่แน่นอน จะสามารถเป็น “แบบฉบับ”
ตามที่อเมริกาคาดหวังไว้ก็ไม่มีอะไรเป็นหลักประกัน แต่ประชาชนอิรักกลับต้องสังเวยชีวิตอย่างเจ็บปวดและต้องสูญเสียทรัพย์สินมหาศาลเป็นค่าตอบแทนการทดลอง
“ประชาธิปไตย” ของอเมริกา.
การดำเนินประชาธิปไตยจะต้องสอดคล้องกับสภาวะของแต่ละประเทศ
ประชาธิปไตยภายใต้ปลายปืนของกองทัพต่างประเทศ ไม่สามารถจะทำให้ประชาชนในประเทศนั้น
ๆ ยินยอมพร้อมใจด้วยได้. นอกจากนี้ ในการสนับสนับสนุน “การปฏิวัติประชาธิปไตย”
ของประเทศอื่นก็ใช้สองมาตรฐาน ผลการเลือกตั้งหากสอดคล้องกับผลฃประโยชน์และความประสงค์ของตนก็ยอมรับ
ถ้ากลับตรงกันข้ามก็ยุงยงส่งเสริมให้โค่นล้มผลการเลือกตั้ง จนกระทั่งผลการเลือกตั้งได้ผู้นำที่ตนพอใจ
พฤติการณ์ดังนี้ย่อมจะหาคนที่เห็นชอบด้วยยาก ฉะนั้น
การสนับสนุนประชาธิปไตยของอเมริกาในประเทศเหล่านี้ จึงเป็นเรื่องจอมปลอม
การบ่มเพาะให้เป็นประเทศที่ขึ้นต่อตนอย่างไม่มีเงื่อนไขต่างหาก นี่แหละคือของจริง.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น