พระชยสาโร - พระธรรมเทศนา เนื่องในวันวิสาขบูชา เรื่อง ’อัตโนมัติใหม่‘ วันอาทิตย์ที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๖๘
https://www.youtube.com/live/4voX-2v_m7w?si=9XyVe0E7gcxA7ENw
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
พุทธัง
ธัมมัง สังฆัง อะนุตตะรัง คุณุตตะรัง อุปัชฌาย์ยัง นะมัสสามิ.
วันวิสาขบูชามาถึงอีกแล้ว ก็เป็นวันที่เราก็ระลึกถึง คุณของพระพุทธเจ้า
ผู้เป็นที่พึ่ง เป็นสรณะของเรา.
ในคัมภีร์ได้เปรียบเทียบ พระพุทธเจ้าเหมือนหมอ เป็นนายแพทย์ผู้ที่วิเคราะห์โลกของมนุษย์
โลกทางจิตใจ แล้วก็ได้ชี้แจง ได้เปิดเผย ยารักษาโรค คือ พระธรรม.
ต่อมาได้มีพระสงฆ์ พระอริยสงฆ์ เหมือนเป็นพยาบาล เป็นผู้ที่ช่วยคนไข้
ได้ทายาถูกหลัก.
อาตมาเหมือนคนทั่วไป อายุมากขึ้น ในความจำเลยไม่เหมือนเดิม
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฝังอยู่ในความทรงจำอาตมา ตั้งแต่น่าจะประมาณ 7 ขวบ อาตมาเป็นคนรักหนังสือตั้งแต่เล็ก
ยิ่งในช่วง จาก 1 ขวบถึง 14 ขวบที่เป็นโรคหืดหอบเสีย ขาดการเรียนที่โรงเรียนบ่อย และชอบอยู่คนเดียว
ชอบอ่านหนังสือ ทีนี้ในวันหนึ่งอยู่โรงเรียน แต่ก็เข้าไปในห้องสมุด และก็มีหนังสือเล่มหนึ่งดูน่าสนใจ
เรียกว่า “ศาสนาของโลก” เป็นหนังสือใหญ่เหมือน coffee book, coffee-table
book ก็เลยเปิดออกมาเจอคำว่า Buddhism เป็นครั้งแรกในชีวิต แต่ที่ตื่นเต้นอาจจะฟังแปลกๆ ตื่นเต้นที่ว่ามี double
d-h คือไม่เคย ก็เป้นคนรักภาษา ในภาษาอังกฤษไม่เคยเจอ d-d-h มันอปลกๆ ซึ่งมันเกิดสนใจแล้วเห็นรูปมีพระพุทธรูป แล้วรู้สึกซาบซึ้ง
เรื่องข้อความนี้จำไม่ได้ แต่ก็จำคำว่า Buddhism กับพระพุทธรูป
ซึ่งก็เป็นอีกหลายปีต่อมาจึงได้สนใจศึกษาพุทธศาสนาจริงจัง
แต่ว่าเหมือนกับเป็นการปูพื้น.
ที่ใน ในศาสนาอื่นมักจะมองพุทธองค์
ถ้ามองในทางดีก็เป็นผู้มีปัญญาคนหนึ่ง เค้าจะมองเป็นคน บางทีก็บอกว่า
เรามีพระเจ้าสร้างโลก คุณมีคน แต่พระพุทธเจ้าตั้งแต่วันประสูติ
ก็ประกาศความยิ่งใหญ่ ยิ่งกว่าพระพรหมผู้สร้างโลก ยิ่งกว่าเทวดาทั้งหลาย
พระพรหมทั้งหลาย ก็ดูจากความ...ความทรงจำขอแงพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง
ว่ากัลป์หนึ่ง ท่านประเมินว่าภูเขาหินยาวหนึ่งโยชน์ ซึ่งประมาณ สมมติว่าประมาณ 14
กิโล 12 หรือ 14 กิโลนะ? กว้าง 14 กิโล สูง 14 กิโล 100 ปีต่อครั้ง
มีนกตัวหนึ่งบินมามีผ้าไหมอยู่ในปาก ผ้าไหมนั้นก็จะกระทบภูเขาหิน
จะสักนานเท่าไหร่? การกระทบของผ้าไหมที่ภูเขาหิน จะทำให้หินนั้นหายไป การสึกหลอในแต่ละครั้งแทบจะไม่มี
อันนี้เรียกว่า 1 กัลป์ พระพุทธเจ้าจำได้ 100 กว่ากัลป์ 139 กัลป์
คือไม่ใช่ว่าเป็นคนที่มีปัญญา ที่มีบารมี ที่มี อ่า นักพูดนักปราชญ์นักคิด
แต่มีคนเคยถาม คือเห็นพุทธองค์ รู่สึก โห นี่ไม่ใช่ธรรมดา คนนี้ไม่ใช่ธรรมดา
ถามว่าเป็นเทวดาหรือเปล่า? ตอบว่าไม่ใช่ ถามว่าเป็นมนุษย์หรือ? ไม่ใช่ พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ใช่มนุษย์
ก็คืออะไร? เป็นพระพุทธเจ้า เป็นcategoryใหม่
คือไม่ได้อยู่ในcategoryต่างๆ ที่มีอยู่แล้ว มีพิเศษ
มีพระพุทธเจ้า ก่อนตรัสรู้น่ะ 3 ยาม ปฐมยาม 6 โมงเย็นถึงทุ่มนึง
พระพุทธองค์เกิดญาณระลึกชาติได้ เป็นล้านๆๆชาติ นี้ ไอ้พวกเข้าทรงนี่
จำระลึกชาติได้ตั้งแต่สมัยพระเจ้าตากสินอะไรเนี่ยะ
ส่วนมากก็ต้องเป็นคนมีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ที่มีบันทึกไว้
แต่ของจริงเรื่องพระพุทธเจ้าน่ะ ระบึกเป็นล้านๆๆชาติ พระพุทธองค์จึงสามารถจับหลักความเปลี่ยนแปลง
ความเกิดแก่เจ็บตาย จากตัวอย่าง จากประสบการณ์จริงของพระองค์ได้
แล้วก็นำไปสู่ความรู้ในความเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารใน ทุติยญาณจาก 4 ทุ่มถึงตี
2 นี้ด้วยวิชา 2 ข้อนี้ 2 ข้อนี้มันเตรียมพระทัยของพระพุทธเจ้า ที่จะตรัสรู้เป็นอนุตตระสัมมาสัมโพธิญาณ
เพราะเป็นการถอดถอนความยึดมั่นถือมั่น ในตัวตนอย่างสิ้นเชิง เพราะมีความทรงจำในอดีต
เพราะเข้าใจในความเวียนว่ายตายเกิด มันจะเกิดวิชาที่ 3 เป็นวิชาที่ทำให้อาสวะกิเลสสิ้นไป.
ทีนี้พระพุทธองค์ก็ได้ตรัสรู้ ในฐานะเป็นตัวแทน ของหมู่มนุษย์
ในขณะที่ตรัสรู้ท่านก็หลุดพ้นจากความเป็นมนุษย์ คือก่อนหน้านั้น นั้นตั้งแต่ประสูติที่ลุมพินี
35 ปี ก็เรียกว่าเป็นมนุษย์ได้ แต่หลังจากตรัสรู้แล้วเป็นพระพุทธเจ้า
อยู่ในร่างของมนุษย์ แล้วร่างมนุษย์ของพระพุทธเจ้านี้ เหมือนสังขารของคนทั่วไปอายุ
80 ก็หมดสภาพแล้ว ที่ในศาสนาที่เกิดขึ้นก่อนพุทธองค์
แล้วจะมีทั้งศาสนาและปรัชญาต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถ้าเรามองศาสนาเหมือนเป็นสมมติฐาน
ที่เกิดขึ้นในสมองของมนุษย์หรือจิตของมนุษย์ ต่อปัญหาว่า ทำไมโลกมันเป็นอย่างนี้
ทำไมชีวิตเป็นอย่างนี้ ทำไมต้องเกิดแก่เจ็บตาย ทำไมสิ่งที่ดีเกิดกับคนไม่ดีได้
ทำไมสิ่งที่ไม่ดีเกิดกับคนดีได้ ทำไมมันเป็นอย่างนี้ แล้วคนก็รู้สึกหวั่นไหว
อยากที่จะมีอะไรปลอบใจ ก็เลยมีสมมติฐานต่างๆ ที่เรียกว่ายอดนิยมก็คือ เชื่อว่ามีพระผู้เป็นเจ้าเหมือนเป็นพ่อ
คอยดูแล มีแผนการ ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องกลัว ถึงแม้ว่าเรา
มนุษย์เราไม่เข้าใจ ที่จริงมันมีแผนการอยู่ มีความหมายอยู่หรอก
ก็เป็นสมมติฐานที่คนชอบมาก เพราะว่ามันให้ความอบอุ่น ทำให้รู้สึก อ๋อ
ยังงี้เราก็มี เราก็ยอมรับ เราก็ขอบคุณ หรือเราก็อ้อนวอน ก็ผมเชื่ออย่างนี้
ก็นำไปสู่ข้อวัตรปฏิบัติในทางอ้อนวอนบ้าง ประกอบพิธีกรรมบ้าง นี่ก็เป็นผลที่ตามมา
ความสมมติฐานนี้ว่ามีผู้สร้าง มีผู้มีเมตตา มีผู้ดลบันดาล
อะไรยังงี้ ซึ่งก็มีหลาย หลาย หลายลักษณะเหมือนกัน ที่คล้ายกัน.
ทีนี้ก็จะมีกลุ่มหนึ่ง กลุ่มที่ถือว่า ชีวิตเราคือการใช้กรรม กรรมเก่าจากชาติก่อนๆน่ะ
นี่ก็ยอมรับในการเวียนว่ายตายเกิด ถือว่าชีวิตเกิดเพื่อการใช้กรรม
อันนี้จะเป็นความคิดทางฝ่ายศาสนาเชน แล้วก็จะมีการทรมานตนเพื่อ
จะเร่งการใช้กรรม ให้มันหมดซะ
แล้วก็จะมีอีกกลุ่มหนึ่งที่คล้ายกับพวก อ่า วัตถุนิยมสมัยใหม่
ทุกวันนี้ทุกยุคทุกสมัย ถือว่าไม่มีเหตุไม่มีผล random
บุญไม่มีหรอก บาปก็ไม่มีหรอก เป็นการคิดเอาเอง เรื่องว่า ทำดีได้ดี
ทำชั่วได้ชั่ว นี้ก็เป็นแผนการของผู้มีอำนาจ ที่จะหลอกให้คนจนคนไม่มีอำนาจ
เชื่อฟัง บริหารง่าย และนี่ก็ กลุ่ม 3 กลุ่มนี้มีตลอดประวัติศาสตร์ กลุ่มเชื่อพระเจ้า
เชื่อกรรมเก่าเกิดมาเพื่อใช้กรรม เชื่อว่าไม่มีเหตุมีผล random จิตใจก็เป็นแค่ผลพลอยได้จากการทำงานของสมอง อะไรนี้เป็นต้น.
ทีนี้ทุกวันนี้กับสมัยพุทธกาลนี่ ไม่...แทบจะไม่
ไม่ต่างกันเลย แต่พุทธองค์บังเกิดขึ้นเป็นผู้ปฏิวัติศาสนา เพราะไม่ได้
ไม่ใช่สมมติฐานคิดเอาสิ่งที่จะทำให้ สิ่งที่ทำให้เกิดความหวั่นไหว ความกลัว
ความรู้สึกคุกคาม ความไม่มั่นใจ ให้มันสบายใจ
แต่พุทธองค์เหมือนกับเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ท่านค้นเข้าไปข้างใน มองเข้าไปข้างใน
พิจารณาภายในอย่างละเอียด ลึกซึ้ง จนรู้จนเห็น แล้วพุทธองค์ก็ตรัสไว้ว่า
ปัญหาของมนุษย์ ทุกข์ของมนุษย์ ไม่ได้เกิดเพราะผู้ดลบันดาล ไม่ได้เกิดเพราะกรรมเก่า
ไม่ได้เกิดเพราะ random แต่เกิดตามเหตุตามปัจจัย
เกิดเพราะเราขาดความรู้ความเข้าใจในชีวิต เมื่อไม่รู้ไม่เข้าใจก็จะเกิด ความรู้ผิด
ความเข้าใจผิด อาการของการรู้ผิดเข้าใจผิดก็คือตัณหา อยากได้รูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส
อยากมีอยากเป็น มีความอยากในการไม่มีไม่เป็น คือ เอ่อ อยากไล่ อยากทำลายสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ
ดังนั้นทุกข์ เป็นอาการของ อวิชชา สุขที่แท้มี แต่ไม่ได้มีด้วยการอ้อนวอน
การประกอบพิธีกรรม อะไรต่างๆ ไม่ได้เกิดจากความเชื่อ แต่เกิดจากวิชชา.
ฉะนั้น แนวทางปฏิบัติของพุทธนี้ ไม่ใช่จากสงสัยไปสู่เชื่อ
โดยถือว่าเชื่อมั่น 100% ไม่สงสัยคือผลสำเร็จ
ของพุทธคือเดินทางจากไม่รู้อวิชชา ไปสู่วิชชา แต่การจะพัฒนาชีวิตจาก
ไม่รู้ไปสู่รู้ จากไม่เข้าใจไปสู่เข้าใจ เข้าใจถูกต้องนั้น ต้องฝึกตน
ดังนั้นหัวใจของพุทธศาสนาจึงอยู่ที่การฝึกตน ฉะนั้นการแสดงออกถึง
ความจริงใจหรือศรัทธา ความเลื่อมใส ในพระศรีรัตนตรัย อยู่ที่การกระทำ เพราะถ้าเชื่อจริงว่า
มนุษย์พัฒนาตนได้ มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐได้ด้วยการฝึก ไม่ฝึกตนก็ประเสริฐไม่ได้หรอก
ไม่มีทาง แต่มนุษย์สามารถฝึกตนได้ ถ้าอดทนทำอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง
และสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความหมาย คือการฝึกตน ไม่ใช่ความเชื่อในคำสอน
แต่เมื่อฝึกตนและเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เราก็จะเกิดความรู้สึกที่ดี โอ้เรา...เราเปลี่ยนได้
เราพัฒนาได้ และเราเริ่มสังเกตได้โดยพ้นจากความเชื่อแล้วว่า โอ้
เป็นจริงเหมือนที่พระพุทธเจ้าสอนมา ได้เห็นความเห็นแก่ตัวว่า เนี่ยะ
ทำให้จิตใจเศร้าหมอง ทำให้หม่นหมอง ทำให้ไม่มีความสุข รู้สึกคับแคบ
พอไม่เห็นแก่ตัวนี่ ก็รู้สึกเป็นความสบาย รู้สึกภูมิใจในตัวเอง สร้างความสัมพันธ์กับคนรอบข้างได้ในทางที่ดี
แค่นี้เราก็เริ่มเห็นได้แล้ว พุทธองค์ว่า อยากได้อยากมีอยากเป็นนั่นน่ะ
มันไม่มีความสุขหรอก แต่เมื่อมีคุณธรรมอยู่ในใจ ปรากฏเมื่อไหร่ มีสติมีสัมปชัญญะ
มีเมตตามีความกรุณา จิตก็มีความสุข และสามารถให้ความสุขไปกับคนอื่นได้ด้วย.
พระพุทธองค์นั้นจะย้ำในเรื่องนี้ว่า
ทุกอย่างเนี่ยะ เพื่อตนด้วย เพื่อคนอื่นด้วย พร้อมๆกัน แล้วการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นการพิสูจน์ว่า
นี่ไม่ใช่ปรัชญา ไม่ใช่ทฤษฎีอะไร ไม่ใช่สมมติฐานอะไร
เกิดจากประสบการณ์ตรงของพระพุทธเจ้า และเมื่อพระพุทธองค์ทรงรู้ทรงเห็น
ว่าความปลอดภัย ชีวิตที่มีความหมาย ชีวิตที่มีความสุขแท้ อยู่ที่เรา
ไม่ได้อยู่ที่อื่นไกล โอ้ มันก็เป็นการพลิกมุมมองต่อชีวิต ต่อโลก ของเราได้ทันที ซึ่งเรื่องนี้
การสังเกตตัวเอง และการอนุมานในเบื้องต้น จะช่วยได้เยอะ อย่าง ยกตัวอย่างน่ะ คนไม่เคยเข้าสู่ข้อวัตรปฏิบัติทางพุทธศาสนาเนี่นยะ
ส่วนมากได้ ยุงกัดเป็นไงน่ะ? กัดก็ตบ( เผียะ) คือไม่ใช่ว่าโหดร้าย ใช่มั้ย?
ไม่ใช่พยาบาทอะไรใช่มั้ย? ไม่ใช่...ส่วนมากไม่ใช่อาการของโทสะ เป็นโมหะซะมากกว่า
คือ...คือทำตาม ทำไมจึงตบ? อ้าว เพราะเคยตบ ใช่มั้ย? ตบตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เป็นสัญชาตญาณ
โดยไม่มีความคิด หรือไม่มีการสำนึกว่ากำลังทำอะไรอยู่ ใช่ไหม? นี่คือโมหะ ทีนี้ถ้าใครเกิดศรัทธา
ในพระศรีรัตนตรัย สมาทานศีล 5 ข้อแรก ปานาติปาตา เวรมนีสิกขา ปะทังสมาทิยามิ
ไม่ฆ่าสัตว์แล้ว แล้วเป็นยังไง ก็คือ ถ้าจริงใจนะ กำลัง...คือจะสังเกตตัวเองว่า
กำลังจะตบยุงตามสัญชาตญาณ แต่จะรู้ตัวขึ้นมา อุ่ ไม่ได้ผิดศีล นี่ก็คือสติ
สติเกิดขึ้นโดยมีสิกขาบท คือศีลเป็นเงื่อนไข ต้องสังเกตก่อนเนี่ยะ
ความสัมพันธ์ระหว่างศีล กับการฝึกจิต ศีลก็คือบทสิกขา สิกขา-บทฝึกหัดพฤติกรรม
นึกถึงได้ ก็ตื่นจากอวิชชา ตื่นจากโมหะ รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ เป็นอิสระในการไม่ทำ
สิ่งที่เคยทำโดยไม่คิดเลย นี่เป็นขั้นตอนที่สองคือมี มีความสำรวมในศีล.
แต่ขั้นที่สาม จะน่าสนใจมาก และไม่ใช่ว่าจะต้องถึงขั้น อริยมรรค
อริยผลอะไร ซึ่งญาติโยมหลายคนที่รักษาศีลมานาน ก็คงสังเกตตัวเองว่า
แม้จะเจตนาจะตบยุงหายไป มันเกิดเป็นความเคยชินใหม่ พอยุงกัดก็จะ พู่! (ทำท่าเป่ายุงที่หลังมือ)
คือไม่คิด เป็นอัตโนมัติ แต่อัตโนมัติใหม่ แต่เราสังเกตยังงี้ คือ กระบวนการหรือวิวัฒนาการของจิต
จากโมหะ ที่ว่าฆ่าสัตว์โดยไม่คิดไม่รู้ตัวเลย เป็นรู้ตัวขึ้นมา
จนกระทั่งสร้างความปกติใหม่ นี่ท่านในคัมภีร์เรียกว่า ศีลคือปกติ ปกติอยู่ตรงเนี๊ยะ
คือปกติไม่ฆ่า ก็เป็นการสังเกตในเรื่องหนึ่ง.
หลักที่เราสามารถเห็นในการอื่นๆของชีวิต
ว่า เอ้อ เราเปลี่ยนได้นะ บางสิ่งบางอย่างที่นึกว่า เออ เราเป็นคนอย่างนี้
นิสัยใจคอก็เป็นอย่างนี้ ที่จริงมันไม่ใช่ เพราะเป็นสังขาร ไม่มีอะไรตายตัวอะไรสักอย่าง
ก็มีแต่สิ่งที่เรายึดมั่นถือมั่นมาก กลับยึดมั่นถือมั่นน้อย แต่คนที่ขี้โกรธมาก
ก็สามารถทำให้โกรธเป็นครั้งคราว ก็ยังดีน่ะ แต่นี่สังเกตกับตัวเอง โอ้ ถ้าตัวเองนะ
พอเค้าพูดอย่างนี้ ทำอย่างนี้ ฉันจะโมโหทันที ทุกวันนี้โกรธเหมือนกันแต่ว่า
ไม่เหมือนแต่ก่อน เนี่ยะ คือความก้าวหน้าในธรรม เป็นกำลังใจ
พอเราอนุมานได้ว่า เอ้อ ความเปลี่ยนนี่ จากขี้โกรธเป็นโมโหง่าย
เป็นคนที่แทบจะไม่โมโหหรือโมโหน้อยลงมาก โกรธก็ไม่เหมือนเดิม ถ้าเป็นก็ไม่นานเหมือนเดิม
เราก็ว่า ถ้าเราทำต่อ ตามคำสอนพระพุทธเจ้า มันก็น่าจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ
ความโกรธมันก็จะน้อยลงๆ ตามเหตุตามปัจจัย เพราะไม่ใช่โดยบังเอิญ
ไม่ใช่เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาล แต่เพราะเราทำถูกต้อง ตามหลักธรรมชาติที่พุทธองค์ทรงค้นพบ
ชี้แจงเปิดเผย.
ดังนั้น
พุทธองค์ต้องการให้ เอาคำสอนของพุทธองค์นั้น มาทดลอง มาดู ว่าใช่หรือมิใช่
ซึ่งพุทธองค์ไม่ต้องการให้รับทันทีเลย เพียงเพราะเป็นพุทธวจนะ
แต่ท่านชื่นชมคนที่เอาคำสอนของพุทธองค์นั้น เอามาทดลองเอามาทดสอบ ว่าใช่หรือไม่ใช่
ท่านเรียกปฏิบัติบูชา การเอาคำสอนพระพุทธเจ้า พยายามประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
นี่บุญอย่างยิ่ง เรียกว่าปฏิบัติบูชา เป็นการบูชาพระศรีรัตนตรัยในชีวิตประจำวัน
ทำยังไงเราถึงจะได้ดูแล กายวาจา อยู่ในขอบเขตขอบข่ายของศีลธรรมไม่เบียดเบียนตนเองไม่เบียดเบียนผู้อื่น
เป็นการท้าทาย เป็นกีฬาชีวิตที่สนุกมาก เราไม่ต้องไปชนะใคร แล้วก็ชนะตัวเอง
ไม่ต้องเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น เปรียบเทียบตัวเองกับตัวเราปีที่แล้ว
หรือเมื่อเดือนที่แล้ว.
คือข้อเสียของการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น
มีหลายข้อ แต่ถ้า เอาข้อเดียวว่า ถ้ามาตรฐานของคนรอบตัวต่ำ
เราอาจะดีกว่าเขาน้อยหนึ่ง แล้วก็หลงว่า เอ่อ เราก็เก่งกว่าเขา แต่อาจจะไม่เก่งจริงนะ
เพราะเราเปรียบเทียบกับคนไม่เก่ง เราก็เก่งกว่าเขาน้อยหนึ่ง
แต่ถ้าเราเปรียบเทียบตัวเองในวันนี้ กับตัวเองในอดีต เราก็มีแนวทางที่จะให้ดีขึ้นเรื่อย
ๆ ไม่ใช่ว่าแค่ เอาก็เอาว่าดีกว่าคนอื่นพอแล้ว อืม เสียดาย.
พระพุทธองค์ตรัสรู้
ก่อนตรัสรู้พุทธองค์ก็ ตรัสไว้ว่า อาศัยคุณธรรม 2 ข้อ มากที่สุดในช่วงท้ายเนี่ยะ คือการปฏิบัติสม่ำเสมอ
ต่อเนื่อง นี้ข้อนี้สำคัญมาก คนเรานี้ปฏิบัติ ส่วนมากปฏิบัติตามอารมณ์
มีทุกข์ทางใจ มีทุกข์กับครอบครัว มีทุกข์ที่ทำงาน มีทุกข์อะไร มีตัวทุกข์เป็นตัวกระตุ้น แล้วก็ขยันปฏิบัติธรรม พออาการทุกข์คลี่คลาย
เริ่มขี้เกียจแล้ว ไม่สม่ำเสมอต่อเนื่อง เราจึงควรจำคำสอนของหลวงปู่ชาเอาไว้ว่า ขยันก็ทำ
ขี้เกียจก็ทำ ทำอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ไม่ใช่ทำตามอารมณ์
ข้อที่ 2
พระพุทธองค์ก็ตรัสไว้ว่า ไม่สันโดษ ข้อดีของพระพุทธเจ้าตอนตรัสรู้ก็คือ
ไม่สันโดษ คือความสันโดษนี่ต้องระวัง เพราะว่าภาษาไทยปัจจุบัน กับความหมายในบาลี ไม่ตรงกัน
ทุกวันนี้ คำว่าสันโดษ นั้นคนจะเข้าใจว่า ชอบอยู่คนเดียว ชอบเงียบๆ
อะไรอย่างเงี๊ยะ ความ...มันไม่ใช่ สันโดษก็คือ พอใจกับสิ่งที่มีอยู่ ซึ่งพุทธองค์ก็ตัดว่า
ความสันโดษนี้เป็นคุณธรรม ที่มีอานิสงส์มาก ในเมื่อ...เป็นหลักในการปฏิบัติต่อวัตถุ
รอบตัว ความสันโดษในที่นี้หมายถึง appreciate สิ่งที่เราได้มาด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
เราappreciate ไม่งั้นได้เท่าไหร่นี่ เปรียบเทียบกับคนอื่นที่มีมากกว่าเราก็กลับ
ไม่พอใจในสิ่งที่มีอยู่ จิตใจก็ทุกข์เปล่าๆ แต่เมื่อเรามีความสันโดษ เราก็ภูมิใจ
เราก็พอใจ กับสิ่งที่มีอยู่ แต่ในขณะเดียวกัน เราก็พยายามให้ดีกว่านี้ก็ได้
ไม่เป็นไร แต่ความสันโดษแห่งวัตถุ เป็นสิ่งที่ดีเพราะ ทำให้ไม่ต้องเสียเวลา
เสียกำลังใจ เสียอารมณ์ ไปกับการหมกหมุ่นกับสิ่งที่ตัวเองยังไม่มี ค่อยเป็นค่อยไป.
แต่สิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสย้ำก็คือ
ความไม่สันโดษในคุณธรรม หมายถึงว่า เอ้อ จิตก็สงบ แค่นี้ก็สบายแล้ว
ก็หยุด อันนี้ก็จะเป็น ทางตันในการปฏิบัติ แล้วสิ่งที่ต้องระวังก็คือ ถึงแม้ว่าบางคนก็
โอ้ การปฏิบัติไม่ไปไหน มันก็อยู่กับที่มานานแล้ว ไม่ใช่ ถ้าไม่ก้าวหน้าก็ถอยหลัง อยู่กับที่ไม่มีหรอก
เพราะเช่นนั้น รู้สึกว่าอยู่กับที่มันจะหมายถึงว่า ถอยหลัง มากกว่า ฉะนั้นพุทธองค์ก็จึงมีคุณธรรมว่า
ไม่สันโดษกับคุณธรรม คือลองคิดดูสิว่า ตั้งแต่พุทธองค์ออกผนวชใหม่ๆ
ที่ไปเรียนสมาธิ กับพวกฤๅษี ท่านก็ได้ฌานฺตั้งแต่โน่นน่ะ ก่อนตรัสรู้ตั้ง 6
ปี ถึงว่าต้องมีอะไรอยู่ในใจของพระองค์ที่...อู้ สงบขนาดนี้นะ ก็ยังไม่ใช่ นี่ก็คือบารมี
ที่พระองค์ทรงสั่งสมมาหลายภพหลายชาติเหลือเกิน.
พุทธองค์ตรัสรู้ ด้วยปัญญา
เมื่อตรัสรู้ปแล้ว พุทธองค์ลุกขึ้น เสด็จไปสารนาถเพราะอะไร เพราะความกรุณา
ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เราเจอแห่งคว่ามสัมพันธ์เนื่องอาศัยกัน
เป็นความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างปัญญากับความเมตตากรุณา พระพุทธองค์เกิดปัญญาอย่างยิ่ง
มหาปัญญาธิคุณ สิ่งที่ตามมาก็คือความมหากรุณาธิคุณ
เพราะเข้าใจสิ่งทั้งหลายทั้งปวง จึงเกิดความเมตตากรุณา
แล้วก็พ้นจากทุกข์แล้ว ก็อยากแบ่งปันให้คนอื่นบ้าง ให้คนอื่นจะได้ตามยุคลบาทของพระองค์
เดินตามรอยของผู้ที่รู้แล้ว พุทธองค์จึงอดทน เสด็จไปสารนาถ ก็เพราะจะสอนจะโปรดปัญจวัคคีย์
และจะโปรดเทวดาและมนุษย์ต่อไปตลอด 45 ปี ใช้ปัญญา.
เพราะฉะนั้นจะไปด้วยด้วยกัน
คือแรงดลบันดาลใจในการเผยแพร่ ในการแบ่งปันชี้แจง ตลอดสี่สิบกว่าปีนั้น ก็อยู่ที่ความกรุณา
พุทธองค์ไม่มีความหวังสิ่งตอบแทนสำหรับพระองค์ให้อย่างเดียว นี่คือมหากรุณาธิคุณ
แต่ในรายละเอียด ในเทคนิค ในวิธีที่จะช่วยคน ความกรุณานี่ยังไม่พอ ต้องมีปัญญาด้วย
ปัญญารู้ว่าควรจะพูดกับคนนี้อย่างไรมันจึงจะถึงใจเขา ถึงจะทำให้เขาเห็นธรรมได้
ก็พุทธองค์ก็มีมหากรุณาธิคุณ มหาปัญญาธิคุณ ไปด้วยกัน แล้วก็มีความเป็นอิสระภายในความบริสุทธิคุณมาก หาบริสุทธิคุณไปด้วย.
นี้ 45 พรรษา สุดท้ายพระพุทธองค์จะปรินิพพานแล้ว
ร่างกายของพุทธองค์ก็ไม่ไหวแล้ว จิตใจของท่านเหมือนเดิม แต่ร่างกายไม่ให้แล้ว ก่อนปรินิพพาน
บางทีพุทธองค์ต้องให้พระอานนท์ เทศน์แทน พระอานนท์ พระตถาคตปวดหลัง ช่วยปูพระสังคา จะเอนหลัง จะพักผ่อนหน่อย
พระอานนท์ช่วยเทศน์ต่อ
นี้แสดงว่า แม้แต่พุทธองค์นี้ก็มี มีปวดหลัง มีก่อนปรินิพพานก็มี ท้องเสียมีอะไร
คือให้เห็นว่า ร่างกายท่านก็เป็นธรรมชาติ ธรรมดาของมนุษย์ แต่จิตใจท่านมันคนละเรื่อง
อันนี้ก็ก่อนพุทธองค์ ลา เอ่อ จากเราไป ปรินิพพานไป ท่านให้ข้อคิดสุดท้าย
ซึ่งคำสอนพระพุทธเจ้าจะเป็นอย่างนี้ จะเป็น 2 ข้อด้วยกัน คือข้อแรกก็ ก็คือการยกความจริงมาให้พิจารณา
และให้ดู ข้อที่สองก็คือ เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ ควรจะทำยังไง และในหลักในหนังสือพุทธธรรม ท่านก็เอา 2
ข้อนี้เป็น หลักอยู่ในหนังสือจะเป็นบทแรกคือ มัชเฉณะเทศนาธรรม คือความเป็นจริง แล้วก็ มัชฌิมาปะติปะทา คือข้อวัตรปฏิบัติที่สอดคล้องตรงตามเป็นจริง ก็มี มัชเฉณะเทศนาธรรม กับ มัชฌิมาปะติปะทา.
ทีนี้ในโอวาทสุดท้าย พระพุทธองค์ก็ได้ เตือนสาวกทั้งหลาย
ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมีความเสื่อมเป็นธรรมดา
นี่คือธรรมะประเภทข้อสังเกต
ไม่ใช่สิ่งที่ต้องเชื่อ เป็นข้อสังเกต ทีนี้ข้อที่สอง
เมื่อสิ่งทั้งหลายทั้งปวงมีความเสื่อมเป็นธรรมดา เปราะบางไม่แน่ไม่นอน ไว้ใจไม่ได้
พยากรณ์อะไรก็ไม่ได้ ต้องทำยังไงให้มันดีที่สุด พุทธองค์ก็ ให้ถึงความไม่ประมาท คือต้องฝึกตน
ทำอย่างไรจึงอยู่ด้วยความไม่ประมาท ไม่ใช่ว้าจะเกิดความไม่ประมาท
จะเกิดขึ้นโดยพิธีกรรม มันเกิดขึ้นด้วยการฝึกตน ฝึกกายฝึกวาจาฝึกใจ รับคำสอนของพุทธองค์ที่มีชื่อว่า อริยมรรค มีองค์
๘ เพื่อจะมีความพร้อม ที่ตจะรับมือกับ ความเปลี่ยนแปลงของโลก โลกภายนอก
โลกภายใน มีความเปลี่ยนแปลงตลอด ตามเหตุตามปัจจัย เราม่สามารถจะรู้ล่วงหน้า
ว่าจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร เพราะว่าเหตุปัจจัยมันสลับสับสนมาก
เพราะฉะนั้นเราจะควบคุมจะบังคับบัญชา ให้ความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เราพอใจไม่ได้
พุทธองค์จึงตรัสให้เราฝึกตนพร้อม อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดซะ เราก็มีความพร้อม พร้อมด้วยศีลพร้อมด้วยสมาธิ
พร้อมด้วยปัญญาที่พุทธองค์สั่งสอนไว้.
และวันนี้วันวิสาขบูชา เราได้ระลึกถึง คุณของพระพุทธเจ้า
ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าเราก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ในวันนี้ อาตมาก็คงไม่ได้มาเมืองไทยก็คงไม่ได้
เอ่อ ชีวิตอย่างนี้เลย เราก็ดูว่ามี มีอะไรบ้างที่ดีๆในชีวิต
ที่ไม่เกิดจากคุณพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ยากมาก ฉะนั้นเราก็ซาบซึ้ง ในบุญคุณแห่งของพระศรีรัตนตรัย
มีความกตัญญูแล้ว มีความกตเวทีต้องไปปฏิบัติตอบแทน ตอบแทนคุณของพระพุทธเจ้าอย่างไร
ด้วยการนำคำสอนพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติ ไปฝึกตนดเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขของตัวเองเพื่อสร้างประโยชน์สร้างความสุขแก่ส่วนรวม.
วันนี้ก็ขอยุติลงเพียงแค่นี้ เอวัง.
(สาธุ!)
https://www.youtube.com/live/4voX-2v_m7w?si=vmcIPTY2gl8SJkma
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น