หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

พระอาจารย์ชยสาโร - รู้สึก นึกคิด

พระอาจารย์ชยสาโร - รู้สึก นึกคิด

https://youtu.be/di6pR86yR8k?si=hDTWR2rOaYE7HBZf

          นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

          นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

          นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

          พุทธัง ธัมมัง สังฆัง อะนุตระรัง ปัจจายัง นะมะสามิ.

          วันนี้จะพูดเรื่อง อ่า เรื่องความคิด กับ ความรู้สึก.

          ในการรับรู้ ในการพิจารณา ในการตัดสิน อะไรต่างๆ เรามักจะมองว่าความ...เอ่อ ความรู้สึก จะเป็นอุปสรรค ทำให้จิตใจไม่เป็นกลาง ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงเหมือนกัน แต่ว่า ไม่เสมอไป เราจะวิเคราะห์เรื่องความรู้สึกต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์ มีผลต่อความคิด เริ่มตั้งแต่ว่าเรามองชีวิต ที่สลับซับซ้อน ที่ยุ่งเหยิงมาก ที่เราจำเป็นต้องตัดสิน ในวันหนึ่ง เรื่องเล็กเรื่องน้อย เรื่องใหญ่เป็นครั้งเป็นคราว แต่ต้องยอมรับว่า เวลาที่จะคิด ใช้เหตุใช้ผล มีจำกัด ไม่เพียงพอ แต่ในหลายกรณี เราอาจจะ อยากจะคิดว่าเราใช้เหตุผล แต่เรามักจะใช้ความรู้สึกมากกว่า ก็ถือว่าเป็นเรื่องจำเป็น เราต้องหาทางลัด ในการดำเนินชีวิต ดังนั้นถ้าเราดำเนินชีวิตด้วยเหตุด้วยผลอย่างเดียว เราไม่มีเวลา แต่ละเรื่องจะต้องคิดจะเอายังงั้นดีมั้ย จะเอาอย่างนั้นดีมั้ย ข้อดีข้อเสีย ไม่มีเวลา.

ฉะนั้นความรู้สึก เท่าที่อาตมาพิจารณานะ ความรู้สึกจะมีบทยบาทสำคัญข้อแรก ในการเลือกว่า เราจะให้เวลากับสิ่งใดบ้าง เมื่อเวลาเราจำกัด เราจะสนใจศึกษา เราจะใส่ใจ จะเรียนรู้เรื่องอะไรบ้าง คือเราไม่ได้ใช้เหตุผลตัดสินว่า เราจะใช้เหตุผลในเรื่องไหน จะส่วนใหญ่ ส่วนใหญ่ใช้ความรู้สึก ความรู้สึกทำให้มี focus ความรู้สึกทำให้มี อันนั้นน่ะไม่เอา เอาเรื่องนี้แหละ ความรู้สึกตัวนี้ ที่เลือกเฟ้น ตัวที่จะดเป็นผู้กำหนดว่า จะให้เวลา จะคิด จะพิจารณาจะสนใจ ศึกษา ในเรื่องไหนบ้าง อาจจะให้ชื่อว่าศรัทธาก็ได้ มันคือศรัทธา.

ฉะนั้นความรู้สึกเป็นตัวกำหนดว่า เราจะให้เวลากับอะไร และความรู้สึกจะเป็นตัวกำหนดว่า เราให้เวลาอย่างไร ศึกษาอย่างไร คือความรู้สึกต่างๆนี้ ถ้าเราเอาตามหลักพุทธศาสนา เราแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ว่าฝ่ายกุศล กับฝ่ายอกุศล ถ้าพูดภาษาชาวบ้านนั่น ดีกับชั่ว หรือฝ่ายดี ฝ่ายชั่ว แต่อาจจะมีข้อสงสัยว่า อ้าว และใครเป็นผู้ตัดสินว่า อารมณ์นี้อยู่ฝ่ายดี อารมณ์นี้อยู่ฝ่ายชั่ว ใครมีอำนาจจะตัดสินอย่างนี้? ด้วยหลักอะไร? อะไรคือหลักตัดสิน? คือเราจะตัดสินอะไรก็ต้องมีหลักตัดสินเสียก่อน อะไรคือหลักตัดสิน? หลักตัดสินสำหรับชาวพุทธ ก็คือว่า ความรู้สึกที่เกิดขึ้น จากการรู้การเห็นตามความเป็นจริง ก็ถือว่าเป็นความรู้สึกฝ่ายกุศล ก็มีรากอยู่ในปัญญา ส่วนความรู้สึกต่างๆที่เกิดขึ้นจากอวิชชา หรือความไม่เข้าใจ หรือเข้าใจผิด ความรู้สึกเหล่านั้น อยู่ฝ่ายอกุศล.

คำว่ากุศลหรือดี รากศัพท์มาจากคำว่า ฉลาด ในทางพุทธศาสนาเราจึงถือว่า ความดีกับความฉลาด เป็น 2 หน้าของสัจธรรมเดียว ถ้าฉลาดจริงก็ต้องดี ดีจริงต้องฉลาด เพราะความดีคือสิ่งที่เกิดขึ้น จากความรู้ ความเห็น ตามความเป็นจริง อาจจะมีปัญหาต่อไปว่า เอาที่ว่ารู้เห็นตามความเป็นจริง เป็นอย่างไร? หลักใหญ่ก็คือกฎแห่งกรรม ตรงนี้เราก็ต้องยอมรับว่า เรายังสามารถพิสูจน์กฎแห่งกรรมได้ในทุกๆข้อ และในทุกๆประเด็น ทุกๆแง่ ทุกๆมุม ดังนั้น เราอาศัยความไว้วางใจในปัญญาของพระพุทธเจ้า.

ทำไมเราถึงกล้าไว้วางใจในพระพุทธเจ้า? ในสิ่งที่เรามองไม่เห็น ยังเข้าไม่ถึง ก็ด้วยเหตุผลว่า พระพุทธเจ้าสอนธรรมะ สอนหลักความจริงมากมายก่ายกอง ในคัมภีร์บอกว่ามี 84,000 คำสอน 84,000 ธรรมขันธ์ แต่ใน 84,000 ที่จริงมันน่าจะมีมากกว่านั้น มีหลายข้อมากที่เราสามารถพิสูจน์ได้ ง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน แบบไม่ต้องใช้ปัญญาอะไรมาก เมื่อเราเรียน เราศึกษาคำสอนพระพุทธเจ้าในลักษณะว่า ไม่เชื่องมงาย เอาคำสอนของท่านแต่ละข้อ มาเทียบเคียงกับชีวิตจริง ของตัวเอง ชีวิตของคนรอบข้าง เพื่อพิสูจน์ว่าใช่หรือไม่ใช่ ถ้าทุกครั้งที่เรานำคำสอนของพระพุทธองค์ มาพิสูจน์ ได้คำตอบว่าใช่ ถูกต้อง ใช่ ถูกต้อง ใช่ ถูกต้อง และไม่เคยเจอแม้แต่ครั้งเดียว ที่มีความรู้สึกว่า ไม่ใช่เลย เมื่อเป็นเช่นนั้นด้วยการพิสูจน์ ในคำสอนระดับพื้นฐาน จำนวนมากว่า ใช่ ใช่ ใช่ ใช่ ใช่ ใช่ ใช่ ใช่ และไม่มีคำตอบว่า ไม่ใช่ ควสามรู้สึกก็เกิดขึ้น จากการใช้เหตุผล.

ก็เมื่อกี้นี้บอกว่า ความรู้สึกก็นำไปสู่เหตุผล และการใช้เหตุผลก็นำไปสู่ความรู้สึกเหมือนกัน ความรู้สึกว่าพระพุทธองค์สอนจริง พระพุทธองค์ไว้ใจได้ ฉะนั้นเหตุผลในการเชื่อกับพระพุทธองค์ตรัสเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เป็นต้น เพราะในสิ่งที่พระพุทธองค์สอน ทุกคนปุถุชนธรรมดา พิสูจน์ได้ ถูกหมด เราจึงใช้เหตุผลง่ายๆ ว่า นี่พระพุทธเจ้าท่านสอนถูกต้องในทุกๆเรื่องที่เราพิสูจน์ได้ ทำไมเราจึงจะสงสัยในสิ่งที่เราพิสูจน์ไม่ได้ หรือยังพิสูจน์ไม่ได้ เราเชื่อไว้ก่อนดีกว่า คือพระพุทธองค์ไม่ให้เราเชื่อ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่เชื่อในลักษณะเอาคำสอนนี้ไว้เป็นหลักในการคิด หลักในการพิจารณา แล้วดูว่าเกิดผลดีมั้ย.

ดังนั้น พระพุทธองค์ก็ตรัสว่า โลก โลกแห่งสิ่งมีชีวิต มีการเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ และเครื่องขับเคลื่อน ไอ้สิ่งกำหนดว่าจะขึ้นจะลง จะเกิดตรงไหนอย่างไร คือการกระทำ แต่ว่าการกระทำ มีเงื่อนไขว่า การกระทำซึ่งประกอบด้วยเจตนา กรรมคือเจตนา ข้อนี้จำไว้ให้ดี ถ้าหากว่าเราทำสิ่งใดด้วยเจตนา เจตนาดี แต่ผลออกมาไม่สู้จะดี ก็เป็นสิ่งที่น่าเสียดาย และอาจจะเป็นบทเรียน สำหรับอนาคต แต่ไม่ถือเป็นบาปกรรม เพราะไม่มีเจตนา เจตนาเป็นตัวตัดสิน ว่าเป็นกรรมดี ว่าเป็นกรรมชั่ว.

ฉะนั้นความคิด มีมุมมองที่ยอมรับในกฎแห่งกรรม ว่าเราจะเจริญ เราจะเสื่อม จะทุกข์ จะสุข ก็อยู่ที่เจตนา อยู่ที่การกระทำด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ซึ่งประกอบด้วยเจตนา พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า ถ้าเจตนาประกอบด้วย ความโลภ ความโกรธ ความหลง จะนำไปสู่ทุกข์ แล้วจะทำนำให้เราสร้างทุกข์ สร้างความเดือดร้อน ให้คนอื่นด้วย อันนี้ก็หลักการใหญ่ของพุทธศาสนาว่า ชีวิตของคน ของสรรพสัตว์ สัตว์ทั้งหลายเป็นกฏแห่งกรรม และความรู้สึกต่างๆ ที่เกิดขึ้นด้วยจิตใจที่ประกอบด้วย เราโกรธหลง ก็เป็นความรู้สึกฝ่ายกรรมชั่ว ฝ่ายอกุศล ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการยอมรับความเป็นจริง คือกฎแห่งกรรม และด้วยเจตนาที่ปลอดจาก ความโลภ ความโกรธ ความหลง แม้จะชั่วคราวก็ตาม ก็ถือว่าเป็นความรู้สึก ฝ่ายกุศล.

อันนี้คุยอย่างนี้ก็เป็นนามธรรมมาก ยกตัวอย่างง่ายๆ ว่า ความโกรธ ความโลภ ก็คือ emotion คือ ความรู้สึก ก็อยู่ฝ่ายอกุศล เพราะอะไร? ก็เพราะเกิดจากความยึดมั่นถือมั่น ว่าในเรา ในของเรา ในการโทษคนอื่น และการถือว่าเค้า อย่างเช่นว่าเค้าไม่น่าทำอย่างนั้น ไม่ควรทำอย่างนั้น ทำอย่างงี้ว่าแย่ เพราะมีความรู้สึกว่า มันควรจะเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือเค้าควรจะเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เราไม่พอใจว่า มันไม่ตรง มันไม่ตรงกับที่เราต้องการให้เป็น ที่เราเห็นว่าสมควรจะเป็น ฉะนั้นจึงเห็นว่าความโกรธนี้ลึก ถ้าดูอย่างที่รากของมัน มันเกิดจากการไม่ยอมรับความจริง คือถ้าเรามองตามความเป็นจริงตามกฎแห่งกรรมว่า ในกรณีนั้นสิ่งนั้นเกิดขึ้น หรือคนนั้นทำอย่างนั้น เพราะเหตุปัจจัยต่างๆ เพราะการกระทำ เพราะเจตนา เมื่อสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างนี้ เมื่ออดีตที่ผ่านมาเป็นอย่างนี้ เหตุปัจจัยต่างๆเป็นอย่างนี้ เจตนาของคนต่างๆเป็นอย่างนี้ นี่คือผล มันจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นการที่เราปล่อยให้ต่อต้าน ไม่ยอมรับความจริง เพราะไม่ตรงกับที่เราต้องการให้เป็น ความโกรธก็จะเกิดขึ้น เราจึงถือว่าความโกรธก็อยู่ฝ่ายโง่ ความโกรธก็อยู่ฝ่ายอวิชชา ความโกรธก็อยู่ฝ่ายทำร้าย ความโกรธไม่มีผลดี ต่อความคิด.

ส่วนความเมตตาสงสาร ก็เป็นความรู้สึกอย่างหนึ่ง แล้วเป็นความรู้สึกที่อยู่ฝ่ายดี เพราะอะไร เพราะว่าเมื่อเรารู้เห็นตามความเป็นจริง ว่า โอ้ คนนั้น อย่าง สมมติว่า เค้าหลง เค้าหลงอารมณ์ตัวเอง เค้าหลงอารมณ์ตัวเอง แล้วก็ไปทำไปพูดไปคิด แล้วทำในสิ่งที่ตัวเองทุกข์เดือดร้อน สร้างความทุกข์ความเดือดร้อน เข้าใจในกฎแห่งกรรม เข้าใจว่าคนไหนทำกรรม ก่อกรรมอะไรไว้ก็ต้องรับผลของกรรมนั้น เห็นตามความเป็นจริง และไม่มีอัตตาตัวตนของเราไปยุ่ง ไม่เอาศักดิ์ศรีของเรา ไม่เอาผลประโยชน์ตัวเองเข้าไปยุ่ง  แต่ดูตรงตามอาการ ตรงตามเรื่อง ตรงตามสภาวะที่เกิดขึ้น ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ไม่ใช่โกรธ ไม่ใช่หดหู่ ไม่ใช่อะไร...คือความรู้สึกที่เกิดขึ้นคือ เมตตา กรุณา สงสาร อยากช่วย.

สรุปแล้วว่า ถ้าเรามองด้วยความคิดผิด อารมณ์ที่เกิดขึ้นก็จะเป็นฝ่ายอกุศล โดยธรรมชาติ ถ้าเรามองด้วยสติ ด้วยการไม่เข้าข้างตัวเอง ไม่ยึดมั่นถือมั่นตัวเอง ความรู้สึกที่เกิดขึ้น จะเป็นฝ่ายกุศล ฉะนั้นในการทำให้โลกนี้ดีขึ้น ทำยังไงจะทำให้คนชั่วน้อยลง ทำความดีมากขึ้น ทำให้สังคมสงบสุข ขึ้นมาบ้าง คือไม่ใช่ว่าจะไปบังคับ จะขู่ อย่าให้ทำความชั่ว ทำความชั่วจะลงโทษอย่างแรง แล้วไม่ใช่ว่าขอร้อง เอ้อ จะต้องเป็นคนดีนะ พยายามเป็นคนดีนะ แล้วดูประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ไม่ว่าที่ไหน ประเทศไหนที่ใช้วิธีขู่คนให้กลัว ไม่ทำบาปกรรมไม่ทำความชั่ว แล้วล่อทำความดี โดยให้รางวัลต่างๆ ตั้งแต่เรื่องเงิน เรื่องทอง เรื่องศักดิ์ศรี เรื่องอำนาจ หรือความหวังว่าตายแล้วจะขึ้นสวรรค์ จะให้ ล่อให้คนทำความดีด้วยการให้รางวัล หรือให้หวัง ให้อยากได้รางวัล.

เท่าที่อาตมาศึกษาประวัติศาสตร์ ไม่เคยเห็นได้ผลอะไร คำตอบของพุทธศาสนาต่อเรื่องนี้คือ ให้ชวนให้คนมีปัญญา ขวนให้คนดูให้ดี พิจารณาให้ดี ลืมหูลืมตา เรียนรู้ศึกษาเรื่องชีวิตจริงของตัวเอง ทั้งด้านนอกด้านใน ศึกษาความเป็นมนุษย์ของตัวเอง พอรู้เห็นมากขึ้น ชัดขึ้น ความดีจะเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เป็นผลจากความรู้เห็นตามความเป็นจริง ความชั่วกำเริบเพราะเราขาดความรู้ ความเห็นตามความเป็นจริง นี้เพราะคนไม่ศึกษา ไม่รู้เท่าทันความรู้สึก เหตุผลต่างๆกลายเป็น ผู้รับใช้ความรู้สึกฝ่ายอกุศลมาก คือการที่ความคิดความเห็นจะต้องอยู่กับความรู้สึก อันนี้จะต้องมี ไม่มีไม่ได้ ธรรมดาของมนุษย์ จะคิดว่าเรา เราจะฝึกให้คนใช้เหตุผลล้วน ๆ ไม่มีความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้องเลย มันเป็นไปไม่ได้ แต่เราก็ต้องพยายามศึกษา และก็พัฒนาตัวเอง พัฒนาชุมชน ให้มีความรู้คว่ามเห็นชัด ถึงทางที่ว่าความดี หลั่งไหลออกมา เป็นธรรมดา แล้วมีความหวังได้ คือไอ้ความดีนี่ไม่ใช่สิ่งเหลือวิสัย แต่ว่าเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ ในเมื่อคนสนใจศึกษา เห็นความจริง.

ฉะนั้นในความรู้สึกที่มีประโยชน์ ที่เราควรจะพัฒนา มีอะไรบ้าง? ก็มีตั้งแต่เรื่องของหิริโอตัปปะ นั่นเอง ความละอายต่อบาป ความเกรงกลัวต่อบาป ถ้ามีแล้วก็ต้องวิเคราะห์ก่อน ใช่มั้ยว่า เอ้ะ ความละอายความเกรงกลัวต่อบาป คืออะไร? บาปกรรมก็คือกรรม ที่ประกอบขึ้นด้วยเจตนาที่มีโลภ มีโกรธ มีหลง บาปก็คือกรรมชั่วนั่นเอง คือการกระทำ บาปไม่ใช่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง บาปคือการกระทำ ที่เรียกง่ายๆว่า กรรมดำหรือว่ากรรมชั่ว ฉะนั้นเราก็ต้องกลัว เราก็ต้องละอาย เราก็ต้องละอายต่อการกระทำชั่ว แต่ความละอายความเกรงกลัวจะเกิดขึ้น ได้อย่างไร? ถ้ายังไม่มี หรือยังมีน้อย ก็ปัญญานั่นแหละ รู้เห็นตามความเป็นจริง .

อย่างเรื่องของความละอาย ความละอายจะเกิดขึ้นเพราะความสำนึก ความสำนึกในเป้าหมายชีวิต ความสำนึกในอุดมการณ์ ควสามสำนึกในหน้าที่ต่างๆ ถ้าเราไม่คิดบ่อยๆ ไม่ทบทวนบ่อยๆ ในสิ่งที่เป็นอุดมการณ์ สิ่งที่เป็นเป้าหมาย สิ่งที่เป็นหน้าที่ สิ่งที่เป็นหลักชีวิต ก็คิดไม่ทัน กิเลสเกิดขึ้นเร็ว มันคล่องแคล่วมาก เพราะเราได้เรียงกิเลสไว้ไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้ว เพราะฉะนั้นถ้ากิเลสเกิดขึ้นจะให้ทำจะให้พูดจะให้คิด แต่ในสิ่งที่ไม่เหมาะสมไม่ดีไม่งาม ถ้าเราเอาความคิดในทางกุศล ไม่เร็วพอ มันวิ่งมาไม่ทัน ทันทำไปแล้วพูดไปแล้วคิดไปแล้ว แล้วเมื่อทำแล้วพูดแล้วคิดแล้ว จึงรู้สึกเสียดาย รู้สึกมีความผิด รู้สึกตัวเองแย่ ดังนั้นเราต้องให้เวลากับการทบทวน ในสิ่งที่เป็นอุดมการณ์ในชีวิต หรือสิ่งที่เป็นหน้าที่ ในฐานะอะไรบ้าง ในฐานะเราเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ในฐานะที่เราเป็นลูก หรือเป็นพี่เป็นน้อง หรือเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นเพื่อน หรือเป็นประชาชน หรือว่าเป็นชาวพุทธ อะไรคือสิ่งที่เหมาะสม การกระทำ การพูด การคิด ที่เหมาะสมที่เราต้องการจะพัฒนาให้ เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เป็นลูกที่สมบูรณ์ เป็นพ่อเป็นแม่ที่สมบูรณ์ เป็นพี่เป็นน้องที่สมบูรณ์ เป็นต้น ต้องคิดบ่อยๆ เมื่อคิดบ่อยๆแล้วจะต้องอยู่ในสมอง เมื่อกิเลสเกิดขึ้นมีการกระตุ้น มีการยั่วยุ กิเลสจะเกิดขึ้น ความสำนึก ไอ้ตัวสติก็วิ่งมาว่า โอ้ ไม่ใช่ มันขัดกับหลักการ มันขัดกับอุดมการณ์ มันขัดกับเป้าหมาย ขัดกับหน้าที่ ถ้าทำอย่างนั้นเรียกว่าไม่ทำหน้าที่เป็นลูกที่ดี ไม่ทำหน้าที่เป็นพ่อที่ดี ไม่ทำหน้าที่เป็นชาวพุทธที่ดี เป็นต้น.

ไอ้ในความรู้สึกที่ว่าเป็นความขัดแย้ง ระหว่างสิ่งที่คิดว่าจะทำ และสิ่งที่เราถือว่าสมควรสำหรับเรา เนี่ยะ ความละอายเกิดขึ้นตรงนี้ ถ้าเรา...เบื้องต้นนี่เราก็ต้องฝึกความคิดให้คล่องอย่างที่ว่า แต่ถ้าทำบ่อยๆแล้ว ความคิดและความสำนึกก็มีความคล่องของมันเหมือนกัน จนกระทั่งมันคล่องเท่าหรือว่าคล่องเกินความคล่องแคล่วของกิเลส พอกำลังคิดจะ ความละอายเกิดขึ้น ไม่...ไม่ต้องคิดวิเคราะห์ไม่ต้องใช้เหตุผลแล้ว เพราะว่าเหตุผลมันถึงขั้นที่ว่ากลายเป็นความรู้สึก  อันนี้คือความสัมพันธ์ระหว่างความคิดกับความรู้สึก.

ความคิด ถ้าคิดในแนวทางเดียวกันบ่อยๆ มัน...ถ้าภาษา เอ่อ ภาษาวิทยาศาสตร์ เหมือนกับเป็น algorithm มันก็คิดตามกระบวนการดั้งเดิม บ่อยๆๆๆๆๆ มันจะเกิดทางลัด มันจะเกิดความรู้สึกผุดขึ้นมาทันที ไม่ต้องคิดแล้วว่าจะทำดีหรือว่าไม่ทำดี อยากทำนะแต่ว่า อู้ย ไม่ต้องเสียเวลา เพราะมีความรู้สึกวิ่งมาช่วย แต่ว่าเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากปัญญา ไม่ใช่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากสัญชาตญาณ หริอเกิดจากอวิชชา.

อันที่สองก็คือ ความกลัว ความละอายนี่จะเป็น อ่า จะเน้นที่การกระทำ และยิ่งความละอาย ขอโทษ...ความเกรงกลัวนี่ จะเน้นที่ผลกรรม คือเราทุกคน เวลาเรากำลังจะทำอะไรที่มันรู้สึกอยู่ลึกๆว่าไม่ดี ไม่ถูกต้อง แต่ว่าจะมีความคิด จะมีอะไรสักอย่างหนึ่งในใจว่า ไม่รับฟัง อย่ามายุ่ง อู้ย ถ้าคิดอย่างนี้ก็ไม่ต้องทำอะไรสิ อ้าว เราก็ไม่เป็นพระอรหันต์สิ เราก็เป็นฆราวาสธรรมดา อู๊ย ช่างมันเถอะ ใครๆก็ทำ มันจะมีเหตุผลของกิเลสอย่างนี้ที่บอกว่า อย่าไปคิดมาก ว่าถูกหรือผิด สมควรไม่สมควร อย่าไปคิด เดี๋ยว เดี๋ยวจะไม่ได้ทำ แบบนี้ก็คือตรงข้ามกับความเกรงกลัวต่อบาป และถ้าเราฝึกบ่อยๆ ให้รู้ว่าไอ้การกระทำด้วยกิเลส มันก็ได้ ไม่ได้กำไร จะมีความรู้สึก มีความสุข รุนแรงชั่วคราว อาจจะมีการกระตุ้นประสาท ในลักษณะที่ชอบ ชั่วคราว แต่ผลภายหลัง  ไม่คุ้ม ผลกระทบต่อความรู้สึกเคารพนับถือตัวเอง ผลกระทบต่อความสัมพันธ์คนรอบข้าง ผลกระทบต่อสุขภาพกาย สุขภาพใจ.

หลายอย่างเนี่ยะ ถ้าเรานั่งคิดดีๆ ชั่งน้ำหนัก ข้อดีข้อเสีย ของการทำตามกิเลส ว่าไม่คุ้ม กิเลสก็รู้ว่าไม่คุ้ม มันจึงไม่อยากให้เราคิด เพราะนั้นก็ต้องฝืนความรู้สึก ให้คิดบ่อยๆ เอาเรื่องที่อดีตที่เราเคยผิดพลาดไปแล้วก็ได้ เอาเป็นบทเรียน แต่ว่าถ้าเราคิดบ่อยๆ มันจะกลายเป็นกระบวนการความคิด จะบิดเป็นแนวทางความคิดที่เราจะคล่อง แล้วไม่ต้องคิด คือมันจะพ้นจากกระบวนการคิด แนวทางความคิด เป็นความรู้สึก เหมือนกับเป็นทางลัด เพราะความรู้สึกจะเป็นตัวกระตุ้นการกระทำ ด้วยการไม่กระทำ อันกำลังจะคิดอะไรแล้วก็ โอ๊ย ไม่ทำหรอก ถ้าทำแล้วนี่สุขนิดเดียว แค่นั้นแหละ แต่ตอนหลังนี่ โห ไม่ไหวล่ะ ไม่คุ้ม.

คือเป็นการยอมรับความจริง  ทุกประเด็น ทุกแง่ทุกมุม ไม่เอาจิตไม่จดจ่อเฉพาะความสุขที่จะได้เร็วๆนี้ คือถ้ากิเลสฺนี่ก็คิดว่า ช่างมันเถอะ จะเป็นยังไง อนาคตจะเป็นยังไง ไม่รู้หรอก อยากจะได้ความสุขอย่างนี้ ต้องการได้ความสุขอย่างนี้ คุ้มทุกสิ่งทุกอย่าง เอ้า ขอให้ได้อย่างเดียว อันนี้ก็คือการกิเลส การคิดแบบกิเลส เพราะฉะนั้นเราจะต่อต้านคความรู้สึกอย่างนี้ ความต้องการอย่างนี้ ด้วยเหตุผลในขณะนั้นไม่ได้ มันไม่ทัน จิตใจไม่มีคุณสมบัติที่จะไปโต้วาทีกันในเวลานั้น สิ่งที่จะช่วยชีวิตเราได้ ป้องกันอันตรายเราได้คือความรู้สึก และความรู้สึกนั้นก็คือ  โอตัปปะ ความกลัวต่อบาปกรรมหรือผลของการกระทำ.

เพราะฉะนั้นความรู้สึก 2 ข้อนี้เป็นตัวอย่าง ที่ไม่ใช่ความรู้สึกที่เกิดจากสัญชาตญาณ หรือเป็นไปได้ว่าบางคนที่เคย รักษาศีล หลายภพหลายชาตินี่มีบุญมีบารมี และรู้สึกว่าการไม่ทำสิ่งไม่ดี เป็นเรื่องง่าย ไม่เห็นจะยาก อันนี้ดเรีนยกว่าเป็นบุญเป็นบารมี แต่ส่วนมากเราก็ต้องพัฒนา ถึงจะมีอยู่ในระดับหนึ่ง จะเอาเป็นเครื่องป้องกันอันตรายในทุกๆเรื่อง ยังไม่ได้ ต้องฝึก ฝึกอย่างไร? ฝึกด้วยการคิด ฝึกด้วยการทบทวน ด้วยการพิจารณา ความละอายก็ด้วยอุดมการณ์ ด้วยหน้าที่ ด้วยสิ่งที่เราเชิดชูว่าเป็นสิ่งที่เราต้องการจะมีในชีวิต แล้วความเกรงกลัวก็ด้วยการพิจารณาใน เหตุผล การกระทำ ที่จะเกิดขึ้นในระยะสั้น ในระยะยาว ภายในกาย ภายในใจ กับการสัมพันธ์กับ อ่า คนรอบข้าง เป็นต้น หรือกับทรัพย์สมบัติ ทรัพย์สินต่างๆ ถ้าเป็นการเล่นการพนันเป็นต้น.

ฉะนั้น ความคิดก็นำไปสู่ความรู้สึก ความรู้สึกก็นำไปสู่ความคิด คือถ้าคิดอย่างไหนแล้ว ถ้ารู้สึกอย่างไหน ความคิดที่จะเกิดขึ้น มันจะสอดคล้องกับอารมณ์นั้น  เหมือน...เหมือนอารมณ์ความรู้สึก เหมือนเป็นนิเวศน์ ไอ้พืชต่างๆที่จะเกิดขึ้นในนิเวศน์ ยังไงก็ต้องสอดคล้องกับนิเวศน์ อ่า ถ้าเมืองไทยเราก็ปลูก...ปลูกต้นอะไรล่ะ...ปลูกต้นสับปะรด แต่อังกฤษนี่ปลูกไม่ได้  เพราะดินฟ้าอากาศไม่เหมือนกัน ทีนี้เมื่อเราคิดด้วยเมตตา เราตรวจรู้สึกเมตตา รู้สึกสงสาร ความคิดต่างๆที่เกิดขึ้น มันก็จะเป็นไปในทางที่เอื้ออาทร มันรู้สึก อ่า โอ้ น่าเอ็นดู โอ้ ทำอย่างไรเราจึงจะช่วยเค้าได้ และเรา พอเราความคิด อ่า เกิดขึ้นจากอารมณ์ ความคิดนั้นก็ปรุงแต่งอารมณ์อีกที มันจะหมุนๆๆๆอยู่ยังงั้นน่ะ ถ้ามันจิตเป็นอกุศล มันก็ตรงกันข้าม เกิดโกรธ พอโกรธแล้ว ความคิดด้วยความโกรธ ก็ปรุงแต่งไป เสร็จแล้วก็ปรุงแต่งไปปรุงแต่งไป มันก็เป็นการเติมเชื้อของความโกรธอีกที.

ฉะนั้น อยากจะให้เห็นความสัมพันธ์ อ่า เรื่องอาศัยความคิดกับความรู้สึก ถ้าเป็นฝ่ายอกุศล ก็น่ากลัว ถ้าเป็นฝ่ายกุศลนี่ก็เป็นสิ่งที่นำไปสู่ความสุขความเจริญ การที่จะไม่ให้มีความรู้สึกซะเลย ไม่ได้ ฉะนั้นเราก็พัฒนาความรู้สึก อ่า หิริโอตัปปะ เป็นต้น เป็นความรู้สึก ที่เกิดจากการพิจารณา ความเมตตาสงสารก็เกิดจากการรู้การเห็นตามความเป็นจริง ของมนุษย์ เรื่องนี้เราดูจาก อ่า พุทธประวัติ พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ด้วยปัญญา เมื่อพุทธองค์ตรัสรู้ด้วยปัญญา แล้วเสวยนิพพานสุขแล้ว อะไรคือสิ่งที่เกิดขึ้นในพระทัยของพระพุทธองค์? ก็ความกรุณา ความมหากรุณาธิคุณ เพราะเมื่อพระพุทธองค์ได้ค้นพบความจริงว่า มนุษย์สรรพสัตว์ทั้งหลายเป็นทุกข์ และเป็นทุกข์โดยไม่จำเป็น ไม่จำเป็นต้องเป็นทุกข์ เป็นทุกข์เพราะสมุทัย และมนุษย์มีศักยภาพมีความสามารถจะละสมุทัยได้ เข้าถึงนิพพานเหมือนพระพุทธองค์ ถ้าเพื่อประพฤติปฏิบัติตามหลักอริยมรรค มี องค์ 8.

เพราะพระพุทธองค์เข้าใจว่า ความทุกข์ของมนุษย์ไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำใจ ไม่ใช่การดลบันดาลของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่แผนการขแองพระผู้เป็นเจ้า แต่ก็เป็นเพราะตามเหตุตามปัจจัย และมนุษย์มีปัญญา จะรู้จะเข้าใจ พอที่จะละบาปบำเพ็ญกุศล ชำระจิตใจของตนให้ขาวสะอาดได้ พระพุทธองค์ทรง ลุกขึ้น เริ่มการเผยแผ่ เริ่มการประกาศพระสัทธรรม แล้วจากนั้น 45 ปี พระพรรษาของพระพุทธองค์ ตั้งแต่เช้ามืดจนดึกจนดื่น พระพุทธองค์ก็ทรงใช้เวลาในการโปรดสัตว์ พระพุทธองค์โปรดสัตว์โดยเจตนา ด้วยความรู้สึก คือความกรุณา มหากรุณาธิคุณ แต่กุศโลบายต่างๆที่ หลักคำสอนต่างๆที่พระพุทธองค์ใช้ในการสั่งสอน พระสาวกทั้งหลาย สรรพสัตว์ทั้งหลาย ใช้ปัญญา ฉะนั้นไปด้วยกัน นั่นคือ...คือถ้าเป็นหลักสูงสุดน่ะ ปัญญากับกรุณาไปด้วยกัน ความกรุณาก็เป็นสิ่งที่ให้แรงดลบันดาลใจ ที่จะให้ยอมเหน็ดยอมเหนื่อย เพื่อทำประโยชน์ เพื่อโปรดสัตว์ ปัญญาก็คือความสามารถในการเลือกแนวคิดเลือกคำพูด เลือกหลักการต่างๆที่ผู้ฟังสามารถเอาไปใช้ เอาไปแก้จิตใจตัวเอง ให้เข้าถึงหลักธรรมได้.

ฉะนั้นเมื่อกี้ก็ได้กล่าวถึง อ่า หิริโอตัปปะ แล้วต้นๆก็เรื่องศรัทธา คือศรัทธาก็คือความรู้สึก ที่ในทางพุทธศาสนาน่าต้องมี เหตุผลเป็นพื้นฐาน แต่ว่าในขณะเดียวกัน มีความอ่อนน้อมถ่อมตนว่า ยังไม่รู้ ยังไม่เห็นทั้งหมด แต่เชื่อไว้ก่อน เพราะเรารู้สึกว่า พระศาสดาของเรานี่ น่าไว้ใจที่สุด ในเมื่อเรามีศรัทธาแล้ว เราก็จึงมีเข็มทิศว่า เอ๊ะ เรื่อวงนี้มันน่าสนใจนะ รึว่าแต่ว่าไม่มีเวลาหรอก ชีวิตมันสั้นเกินไป โอ้ เรื่องนั้นมันสนุกดี มันน่า น่าบันเทิงนี่ ชอบเหมือนกัน แต่ไม่เอาล่ะ ไม่มีเวลา มันไม่ได้ประณามว่ามันเลวร้ายหรอก แต่ว่าเราเกิดมาในโลกนี้ก็ไม่รู้ว่าอยู่กี่ปี ฉะนั้นเมื่อเรามีศรัทธาในคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็ต้องทำชีวิตของเราให้เรียบง่าย ให้มีโอกาสเจริญในธรรมให้มากที่สุด เท่าที่จะเป็นได้ เพราะศรัทธาจะทำให้ เรามี focus ที่ชัดเจน และก็มีความมุ่งมั่น.

ทีนี้มันมี...มีความรู้สึกอย่างอื่น ข้อหนึ่งที่กล่าวถึงบ่อยๆ นั้นก็เรื่องฉันทะกับตัณหา คือทางโลกก็มักจะมีการ อ่า โดยเฉพาะในทางตะวันตกจะเห็นชัดเลยว่า มีการใช้ตัณหา เป็นเครื่องกระตุ้นคน ทำให้คนอยาก ก็เข้าใจว่าความขยันเกิดจากความอยาก นั้นเห็นว่าความเห็นแก่ตัวเป็นสิ่งที่ดี ทำให้คนแบบ แข่งขัน ถือว่าสังคมเจริญด้วงยการแข่งขัน หากมีความแข่งขันที่ไหน มีความเจริญที่นั่น ที่จริงการแข่งขันก็เป็นสิ่งที่นำไปสู่ความเจริญได้ แต่ว่าเป็นสิ่งที่นำไปสู่ความเสื่อมได้เหมือนกัน มันแล้วแต่บริบท แล้วการรู้จักการทำงานเป็นทีม เสียสละเพื่อส่วนรวม ก็เป็นสิ่งที่นำไปสู่ คว่ามเจริญได้เหมือนกัน และอาจจะเป็นเหตุให้เกิดความเสื่อมบ้าง แต่ไม่บ่อย แต่ถ้าเป็นผู้มีปัญญา จะต้องรู้ว้ากรณีไหน บริบทไหนที่ตรงไหนอย่างไร จึงจะเน้นความแข่งขัน ตรงไหนที่จะเน้นความเสียสละเพื่อ ส่วนรวม ถ้าจะเอาแต่แข่งขันในทุกๆเรื่อง อ่า องค์กร สถาบัน ก็ไม่ค่อยจะมั่นคงเท่าไหร่ ก็ต่างคนต่างคิดที่จะเอาตัวรอด ที่จะหาผลฃประโยชน์ส่วนตัว.

ทีนี้ในเรื่อง แรงดลบันดาลใจ ที่ว่าความอยาก ทางพุทธศาสนาจะแยกแยะความอยากออกเป็น 2 อย่างเหมือนกัน กุศลกับอกุศล ถแป็นอกุศลก็เรียกว่าตัณหา เพราะมันเป็นความอยากได้ผล อยากได้ อยากดี อยากเป็น หรือว่าอยากให้พ้นจากสิ่งนั้น ไม่อยากได้ในสิ่งนี้ ความอยากอย่างนี้มีพลัง  แต่ว่ามักจะมีผลข้างเคียงมาก แล้วเมื่อตัณหาและความอยาก นี้ยิ่งเน้นที่ผลการกระทำ มันจะมีปัญหาอยู่เสมอว่า ไอ้ตัวการกระทำ ก็เป็นแค่เงื่อนไขที่ต้องทำ เพื่อจะได้สิ่งที่อยากได้ คือเงินเดือน คือลาภยศสรรเสริญสุข ซึ่งนำไปสู่ หนึ่ง งานฉาบฉวยไม่เรียบร้อย สอง ความทุจริต อันนี้เห็นได้ชัด ทางพุทธศาสนาได้เน้นให้เราเปลี่ยนแรงดลบันดาลใจ จากความอยากที่เป็นตัณหา ให้เป็นความอยากหรือเป็นความรู้สึก แต่ความรู้สึกที่เป็นฉันทะ คือมีความอยากในตัวการกระทำ ต้องการทำสิ่งที่เป็นหน้าที่ ให้ดีที่สุด ให้มีความภาคภูมิใจ ให้มีความปลาบปลื้ม ให้มีการคิดสร้างสรรค์ ให้มีการพัฒนา ในตัว การกระทำ โดยถือว่า ไอ้เรื่องลาภยศสรรเสริญเจริญสุขนี่มันก็มาเองอยู่หรอก นี่ไม่ต้องสงสัยถ้าทำงานด้วยความรัก ด้วยความเคารพ ด้วยความตั้งอกตั้งใจ จะทำให้มันดีขึ้นเรื่อย ๆ มีความพอใจมีความปลื้มใจในตัวงาน ในตัวเหตุ.

ฉะนั้น ความรู้สึก ถ้าเป็นตัณหา ความคิดในการตัดสินสว่าอะไรควร อะไรไม่ควร เวลาทำด้วยตัณหาก็อย่างหนึ่ง ถ้าทำด้วงยฉันทะ ก็อย่างหนึ่ง อย่างเช่นคนทำงาน ถ้าคิดด้วยตัณหา เอาแต่เงินเป็นใหญ่ ถ้าเอาแต่เงินใหญ่ก็ต้องคิดว่า ทำยังไงค่าใช้จ่ายจะน้อยที่สุด จะจ้างลูกน้องให้ต่ำที่สุด เพื่อเราจะได้กำไรให้มากที่สุด ในไอ้เรื่องสุขภาพกาย สุขภาพจิต ของลูกน้อง ไม่สนใจ สนใจแต่เงินอย่างเดียว โดยอ้างการแข่งขัน อ้างอย่างนั้นอ้างอย่างนี้ เป็นต้น อันนี้เรียกว่า เป็นผู้บริหารแบบตัณหา แต่ถ้าเป็นผู้บริหารแบบฉันทะ ว่านี่คืองานที่ต้องทำ อยากทำให้มันดี อยากจะเป็นบริษัท อยากจะเป็นองค์กรที่ดีที่สุด เท่าที่จะเป็นได้ และในการเป็นองค์กรเป็นบริษัทที่ดีที่สุดนั้น ส่วนหนึ่งคือ สุขภาพกายสุขภาพจิตของลูกน้อง ต้องการทำประโยชน์ทั้งทางโลก ทั้งทางธรรมด้วย ต้องการทำให้ทุกคนที่ทำงานที่นี่ มีความภาคภูมิใจ มีความสุข มีความรู้สึกเหมือนกับ เป็นครอบครัว เสียสละเพื่อซึ่งกันและกัน.

ทำงานขยันเหมือนกัน แต่ว่ามีความสุขในการขยัน ไม่ใช่ว่า คอยดูว่า อ่า วันเสาร์อีกกี่วัน วันอาทิตย์อีกกี่วัน จะได้...จะได้พักผ่อน จะได้ไม่ต้องทำงาน ฉะนั้นความ...เมื่อมีความ มีฉันทะ มีความรักความพอใจ ความมุ่งมั่นในตัวการงาน ตัวองค์กร คุณภาพของชีวิตของทุกคนที่เกี่ยวข้องละ มีความสร้างสรรค์ที่จะปรับปรุงแก้ไข จะทำให้มันดี มันก็จะผุดขึ้นมาเรื่อย ๆ  แต่ทำด้วยอยาก อยากได้ผล อยากได้ผลมาก ได้ผลเร็ว อ่า มันก็จะทำให้คุณภาพชีวิตทุกคนเสื่อมไป.

ฉะนั้น ความคิดที่ประกอบด้วยฉันทะ การทำให้ไอ้ตัวการกระทำในปัจจุบันนี้ให้ดีที่สุดที่จะเป็นไปได้ และดีสำหรับทุกคน ความคิดมันจะต่างกันมาก กับความคิดของผู้ที่ถือว่า ใช้...ใช้ลูกน้องเหมือนเป็นวัตถุ ใช้แล้วใช้เต็มที่ บีบให้เต็มที่แล้วก็ทิ้ง เอาคนใหม่มา ช่างมันไม่เป็นไร ฉะนั้นความคิดในทุกทาง สังเกตว่าแรงบันดาลใจจะอยู่ฝ่ายตัณหาหรือจะฝ่ายฉันทะ อ่า จะเป็นเพื่อผลประโยชน์หรือจะให้ความสำคัญมากน้อยกับปัจจุบัน กับการกระทำ กับความเป็นอยู่ของทุกๆคนที่เกี่ยวข้อง.

ดังนั้นในวันนี้อาตมาก็เลยได้ให้ข้อคิด ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง ความคิดกับความรู้สึก  ความรู้สึกที่เป็นอกุศล มักจะทำให้เรื่องยุ่งเหยิง แล้วทำให้เกิดปัญหามาก เพราะว่าเป็นฝ่ายอกุศลนั้นก็คือ อารมณ์ที่เกิดขึ้นจากการไม่รับรู้ต่อกฎแห่งกรรม ไม่รับรู้ต่อความเป็นจริง และหลักความเสื่อม หลักความเจริญ เพราะเช่นนั้น ไอ้ความโกรธ ความ อ่า ทะเยอทะยานอยากได้ ความอิจฉาพยาบาท ไอ้ความถือตัวถือตน หรือว่าความรู้สึกที่เป็นฝ่ายโมหะ เช่น ความวิตกกังวล ความซึมเศร้า ความหดหู่ ความรู้สึกเหล่านี้ที่เกิดจากความคิด ผิด จะทำให้ความคิดปรุงแต่งต่างๆนาๆ มีแต่เพิ่มความทุกข์ เพิ่มความเดือดร้อน ทั้งตัวเองและคนอื่น.

แต่ถ้าเราฝึกให้พิจารณา ให้มีสติ รับรู้ต่อความจริง มีศรัทธาในกฎแห่งกรรม มีศรัทธาในความสามารถของตน ในการละบาปบำเพ็ญกุศล ชำระจิตใจของตนให้ขาวสะอาด ในความรู้สึกดีๆ ความรู้สึกที่ทำให้ชีวิตเราสดชื่นเบิกบาน ผุดขึ้นมาเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องบังคับความรู้สึกที่ดีที่งาม เกิดขึ้นเพราะเราเพียรพยายามรับรู้ต่อความเป็นจริง.

เอาละวันนี้ก็ได้แสดงธรรมพอสมควร.  

...สาธุ...

https://youtu.be/di6pR86yR8k?si=WXbR_icQb25I5pwO

                                                                   

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น