หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2557

พุทธทาสภิกขุ - ถ้ามันเป็นพรรคการเมืองเพื่อเห็นแก่พรรคแล้ว มันเป็นสิ่งเลวร้ายที่สุด



สังคมที่มีความถูกต้อง

          ระบบการเป็นอยู่ การควบคุม การปกครอง ของบุคคลเหล่านั้น ที่มักจะเรียกรวมๆกันว่าระบบการเมือง ระบบเศรษฐกิจ, เรียกง่ายๆก็ว่าที่จะเป็นผู้ปกครองก็แล้วกัน เป็นคณะผู้ปกครอง จะเรียกว่ารัฐบาลหรืออะไรก็จะยังไม่หมดเพราะว่ามันยังมีหลายฝ่ายที่รวมกันทำหน้าที่ปกครองทุกๆระบบที่เป็นระบบการปกครอง  ระบบการควบคุมมนุษย์จะต้องถูกต้องด้วย, มนุษย์แต่ละคนมีความถุกต้องแล้ว, ระบบการควบคุมการเป็นอยู่มนุษย์จะต้องถูกต้องด้วย นี้เป็นเรื่องที่ 2 คือว่า สังคมนั้นจะต้องมีความถูกต้อง.

        ข้อแรก  แรกเริ่มก็จะต้องมีระบบเศรษฐกิจที่ถูกต้องในสังคมนั้น.
          ในสังคมมนุษย์นั้นมีระบบเศรษฐกิจที่ถูกต้องเป็นข้อแรก เพราะมันมีอิทธิพลมาก.  เขามีระบบที่อาตมาเรียกชื่อเอาเองว่าธัมมิกสังคมนิยม คนมั่งมีกับคนยากจนบวกกันเข้าแล้วทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม, เป็นระบบเศรษบกิจที่ไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ แต่กลับส่งเสริมทรัพยากรของธรรมชาติ จะออกผลออกประโยชน์มาได้อย่างไร เขาก็ไม่ทำลาย, นอกจากจะเก็บเอาผลประโยชน์รนั้นแล้ว ยังส่งเสริมให้มีผลประโยชน์ยิ่งๆขึ้นไป, ต้องเป็นระบบเศรษฐกิจที่ไม่ทำลายทรัพยากรของธรรมชาติ, ต้องเป็นระบบที่ทำสิ่งที่มีค่าน้อยให้มีค่ามาก หรือถึงกับว่าระบบที่ทำให้สิ่งที่ไม่มีค่ากลายเป็นของมีค่า.  นี่เป็นเศรษฐกิจทางวิญญาณไปแล้ว, เศรษฐกิจทางวิญญาณทางธรรมะ ทำร่างกายหรือชีวิตที่ไม่มีค่าให้กลายเป็นของมีค่า, ร่างกายอันเน่าเหม็นก็ไม่มีค่า ตายแล้วให้ใครก็ไม่มีใครเอานี้ แต่กลับทำให้มีประโยชน์ถึงสูงสุดบรรลุมรรคผลนิพพานได้ นี่เป็นยอดเศรษฐกิจ.  เราจะต้องถือว่า พระพุทธเจ้านั้นท่านทรงเป็นยอดนักเศรษบกิจ, เป็นนักเศรษฐกิจชั้นยอด คือทำสิ่งที่ไม่มีค่าให้เป็นของมีค่าสูงสุดขึ้นมาได้, เป็นนักเศรษฐกิจชั้นยอด คือทำสิ่งที่ไม่มีค่าเป็นของมีค่าสูงสุดขึ้นมาได้.  แต่เอาละเดี๋ยวนี้ไม่ต้องถึงนั้นดอก,คนธรรมดาสามัญทั่วไปนี้ มีระบบเศรษฐกิจชนิดที่ไม่ทำลายที่มาแห่งประโยชน์ ทรัพยากรธรรมชาติทั้งหลาย แต่กลับทะนุบำรุงส่งเสริม.

          ทีนี้ข้อที่สอง  มีระบบการอยู่ร่วมกัน  ระหว่างคนด้อยกับคนเด่น.
          คนยากคนจนคนพิการคนอะไรก็ตาม เป็นฝ่ายหนึ่ง, แล้วคนมั่งมีคนมีอำนาจวาสนา นั้นอีกฝ่ายหนึ่ง, บวกกันเข้าแล้วร่วมทำประโยชน์แก่สังคมมนุษย์ เพราะมีหลัก เกิด แก่ เจ็บ ตายร่วมกัน.
          ถ้าไปพูดที่เมืองนอกเมืองนา หรือว่าคนที่เขามุ่งกันแต่วัตถุนิยมแล้ว เขาคงโห่ เขาคงหัวเราะฮาโห่ เห็นเป็นเรื่องบ้าบอไปก็ได้ ว่าเป็นเรื่องที่มันทำไม่ได้.  แต่ความจริงมันก็มีอยู่อย่างนั้น ถ้าเราจะมีระบบเศรษฐกิจที่ดีไม่ให้สูญเสียไปเลยทั้งฝ่ายคนมั่งมีและคนยากจนแล้ว มันก็ต้องบวกกันเข้า เกิดประโยชน์แล้วก็ปันกันเต็มที่, แล้วทำให้มีส่วนเหลือเพื่อทำประโยชน์แก่สังคม.  อาตมาเรียกเอาเองว่าธัมมิกสังคมนิยม คือมันมันต้องเป็นระบบสังคมนิยม ต้องเอาสังคมเป็นใหญ่, เอาบุคคลเป็นใหญ่ไม่ได้ แล้วมันต้องประกอบไปด้วยความถูกต้องที่ทำให้มันอยู่กันได้ จึงต้องเรียกว่าธัมมิกะ ธัมมิกะ.
          ในโลกนี้มันต้องมีทั้งคนมั่งมีและคนยากจน; ถ้าเห็นแก่คนมั่งมี แล้วจะเอาคนยากจน; ถ้าเห็นแก่คนมั่งมี แล้วจะเอาคนยากจนไปทิ้งเสียที่ไหนเล่า? ถ้าจะเห็นแก่คนยากจน แล้วจะเอาคนมั่งมีไปทิ้งเสียที่ไหนเล่า? เอาไปทิ้งได้เมื่อไรเล่า มันก็ต้องมีทางจะประสานให้มันร่วมมือกันได้ : ผลิตประโยชน์ออกมากินใช้เพียงพอด้วยกันแล้ว ที่เหลือก็เอาไปทำประโยชน์ส่วนรวม.  นี่เรียกว่าเศรษฐกิจชั้นเลิศ.  ระบบธัมมิกสังคมนิยม อยากจะเรียกว่าสังคมนิยมตามแบบของพระพุทธเจ้าด้วยซ้ำไป มันต้องมีอย่างนี้ สำหรับระบบการปกครองในโลก.

          แล้วทีนี้อันถัดมา ข้อที่สาม มีระบบการเมืองที่ถูกต้อง.
          คำว่า การเมือง การเมือง เขาจะพูดกันอย่างไรก็ไม่รู้ตามปรัชญาการเมืองของเขาอาตมาไม่รู้ดอก แล้วไม่อยากจะรู้ด้วย, จะรู้แต่เพียงว่าการเมืองคือระบบที่ทำให้อยู่กันเป็นผาสุกโดยไม่ต้องใช้ศาสตรา โดยไม่ต้องใช้อาชญา, ไม่ต้องใช้ศาสตรา ไม่ต้องใช้อำนาจอะไร, เราอยู่กันได้ ตกลงได้ เข้าใจกันได้ อยู่กันด้วยความเป็นสุข สงบสุข เป็นผาสุก โดยไม่ต้องใช้ศาสตรา, นั้นแหละคือระบบการเมืองที่เราต้องการในที่นี้; แต่มันก็ต้องประกอบด้วยส่วนประกอบหลายๆอย่าง เช่นว่ามันจะต้องเป็นอย่างที่มีอยู่นี้ จะต้องมีรัฐบาล มีการบริหาร มีตุลาการ มีนิติบัญญัติ มีสภา มีตุลาการเอาละ, เรายอมรับสิ่งเหล่านี้ว่าต้องมีในระบบการเมือง แต่ขอให้มันถูกต้อง.
          ให้มีรัฐสภาหรือสภาประชาชน ที่ออกกฎหมายมาโดยถูกต้องสมควรแก่สถานการณ์จริงๆ; แต่ถ้าเอาคนโง่มาเป็นสมาชิก มันก็ทะเบาะกันไม่มีที่สิ้นสุดแหละ, มันต้องมีคนที่มีธรรมะ มีศีลธรรม หรือเป็นมนุษย์อย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้นถุกต้องนั้น มาเป็นสมาชิกของรัฐสภา หรือสภาประชาชน.  อย่าละเมอเพ้อฝันว่า เพื่อประชาชน โดยประชาชน ของประชาชน; ถ้ามันประชาชนคนโง่คนบ้า คนเห็นแก่ตัว คนอันธพาล แล้วทนไหวที่ไหนล่ะ, ใครมันจะทนไหว, มันก็เป็นคำพูดที่ถือตามนั้นไม่ได้, มันต้องเติมเข้าไปว่าประชาชนที่มีศีลธรรม, มีสภา รัฐสภาหรืออะไรสภาก็ตามที่ออกกฎหมายมาถูกต้องแก่สถานการณ์.
          แล้วจะต้องมีการควบคุมรัฐบาลอย่างถูกต้อง ควบคุมรัญบาล สภาต้องควบคุมรัฐบาลด้วยจิตใจที่เป็นธรรม, ไม่ใช่เพื่อจะล้มรัฐบาลอยู่ตลอดเวลา.  เดี๋ยวนี้เรามีพรรคการเมืองที่พร้อมที่จะล้มรัฐบาลอยู่ตลอดเวลาจนไม่มีเวลาทำงานทำหน้าที่, พรรคการเมืองนี้ที่จริงส่วนใหญ่แล้ว มันเป็นของที่ไม่น่าเสน่หา เพราะว่าพรรคการเมืองมันเห็นแก่พรรคยิ่งกว่าเห็นแก่ชาติ, พรรคการเมืองไหนๆก็ตาม มักเห็นแก่พรรคยิ่งกว่าเห็นแก่ชาติทั้งนั้นแหละ.  อาตมาคิดว่าทั้งโลกเลย จะเอาพรรคอยู่รอดและเอาพรรคเจริญก่อนชาติเจริญ, เพราะมันมีพรรคอย่างนี้แหละมันจึงยุ่ง; ถ้ามันไม่มีพรรค มันมีพรรคเดียว ทุกคนมุ่งหน้าต่อประเทศชาติแล้ว มันคงจะไม่ยุ่ง.
          ฉะนั้นคำว่าพรรคการเมืองนั้นไปคิดดูให้ดี ว่าถ้ามันเป็นพรรคการเมืองเพื่อเห็นแก่พรรคแล้ว มันเป็นสิ่งเลวร้ายที่สุด; แต่ดูๆแล้วไม่เห็นว่าพรรคการเมืองไหนจะเห็นแก่ชาติยิ่งกว่าเห็นแก่พรรค, แล้วมันต้องการความเจริญให้แก่พรรคโดยไม่ต้องคิดว่าผิดถูกชั่วดี มีสติปัญญาที่จะโค่นฝ่ายตรงกันข้ามลงได้เท่าไรก็ใช้กันหมด.  แม้จะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามทางธรรม เป็นการคดโกง เป็นการอะไร พรรคการเมืองก็เอามาใช้ เพื่อการทำลายล้างระหว่างกันและกัน; ถ้าอย่างนี้มันไม่มีความสงบ; เรียกง่ายๆว่าไม่ต้องมีพรรคฝ่ายค้าน มีแต่ฝ่ายที่ร่วมมือกันทุกฝ่ายเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมของประเทศชาติ, ไม่ต้องมีพรรคฝ่ายค้าน.  แต่ถ้าคนยังเลวยังไม่ดีพอมันก็ต้องมีพรรคฝ่ายค้าน, ถ้าเรามีพลเมืองดีอย่างที่ว่ามาแล้ว ประชุมกันในรัฐสภาควบคุมรัฐบาล ไม่ต้องมีพรรคฝ่ายค้านก็ได้;  เพราะพรรคฝ่ายค้านนั้นเขาจะต้องหลับหูหลับตาค้านท่าเดียว.  ดูเอาเองก็แล้วกัน : เรื่องไม่ควรค้านก็ค้าน, หายใจเป็นการค้านอยู่ตลอดเวลา แล้วเพื่อนจะเอาเวลาไหนมาทำงานให้ถุกต้องได้.  ฉะนั้นไม่ต้องมีพรรคฝ่ายค้านดอก ว่าที่จริง.
          แล้วจะต้องมีรัฐสภาหรือผู้แทนราษฎร ที่สื่อความประสงค์ของประชาชนอย่างถูกต้องอย่างครบถ้วน; ถ้ามันเป็นหน้าที่ของสมาชิกสภามันก็ต้องเป็นผู้แทนราษฎรชนิดที่สื่อความประสงค์ของราษฎร ให้แก่สภาหรือแก่รัฐบาลอย่างถูกต้องและครบถ้วน.
          เดี๋ยวนี้เขาไม่มีเวลาที่จะทำอย่างนั้น, มีเวลาสำหรับจะป้องกันตัวเอง รักษาตัวเอง เลื่อนชั้นตัวเองอะไรจนหมดเวลา, มันก็ไม่มีเวลาที่จะทำหน้าที่ช่วยเหลือส่งเสริมให้ความประสงค์ของประชาชนสำเร็จประโยชน์.  เขาจะต้องรับผิดชอบ พิทักษ์สิทธิ พิทักษ์ความเป็นธรรมดาความถูกต้องของประชาชนให้ดีที่สุด ให้สมบูรณ์ที่สุด;  แต่เขาก็เอาเวลาไปพิทักษ์ประโยชน์ของตนเสียหมด, ไม่มีเวลาที่จะพิทักษ์สิทธิและความถูกต้องของประชาชนผู้ยากจนหรือผู้ลำบากยากแค้น, เพราะว่าประโยชน์ของตนมันไม่รู้จักพอ ก็เอาเวลา เอากำลัง เอาอำนาจอะไรก็ตาม ไปพิทักษ์ประโยชน์ของตนเสียหมด โดยไม่ได้พิทักษ์สิทธิและความเป็นธรรมที่ควรพิทักษ์ของประชาชนการเมืองอย่างนี้มันก็ไม่ไหว.
          ในที่สุดเราจะพูดว่า เขาจะต้องถือหลักในการปฏิบัติหน้าที่ทุกแขนง; รัฐบาลก็ดี รัฐสภาก็ดี ตุลาการก็ดี อะไรก็ดี ที่รวมกันเป็นระบบการปกครองนี้ จะต้องมีศีลธรรมเป็นหลัก ให้เรามีความเป็นชาติหรือชาติที่มีศีลธรรม ซึ่งจะต้องรวมถึงว่า มีวัฒนธรรม มีศาสนา มีขนบธรรมเนียมประเพณี อะไรที่ถูกต้อง.  แต่เราใช้คำว่าศีลธรรมคำเดียวก็พอ ถ้ามีศีลธรรมได้จริง มันไม่จะไปในทิศทางไหน จะต้องมีความเป็นธรรม คือมีศีลธรรม ในการปฏิบัติหน้าที่การงาน.
          อาตมาเคยพูดไปตามที่ไม่มีอำนาจอะไร แต่ก็พูด ว่าเราควรจะมีกระทรวงศีลธรรม, มีกระทรวงศีลธรรมขึ้นมา สำหรับควบคุมกระทรวงทุกกระทรวงหรือทุกบุคคลให้มีศีลธรรม.  เดี๋ยวนี้ดูสิในโลกนี้ ประเทศไหนบ้างที่มีกระทรวงศีลธรรม จะมีก็แต่ชื่อดูไม่ค่อยมี, จะมีกระทรวงวัฒนธรรมและศาสนาดูเหมือนจะได้ยินอยู่บ้าง, แต่ว่ากระทรวงศีลธรรมนี้ไม่เคยได้ยิน.  แต่เราต้องการให้โลกนี้ ทุกประเทศมีกระทรวงศีลธรรมซึ่งมีศีลธรรมจริง แล้วมันควบคุมทุกกระทรวง ให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างมีศีลธรรม, แล้วประเทศชาติก็มีวิเศษ เป็นโลกพระศรีอารยเมตไตรยโดยแน่นอน.
          เดี๋ยวนี้ความไม่มีศีลธรรมมันมากขึ้นๆแผ่กระจายไปทั่วทุกหัวระแหงและยิ่งขึ้นๆ, คิดดูก็น่าเศร้าน่าห่วง.  แต่ว่าเรายังคิดว่า เราคงตายเสียก่อน, เราคงตายไปก่อนที่เหตุร้ายเหล่านั้นจะได้มาปรากฏแก่เรา แต่ก็อดหวังไม่ได้ว่า คนที่อยู่ข้างหลังจงอยู่กันอย่างมีกระทรวงศีลธรรมทุกประเทศ ควบคุมกระทรวงทุกกระทรวงให้มีศีลธรรม, กระทรวงเกษตรก็มีศีลธรรม, กระทรวงมหาดไทยก็มีศีลธรรม, ทุกกระทรวงมีศีลธรรม แล้วมันก็จะไม่มีปัญหา.  นี้เราต้องการระบบการเมืองอย่างนี้ สำหรับระบบการปกครองสังคม ปกครองมนุษย์.

          ข้อที่สี่ต้องการระบบการปกครองที่มีธรรมะเป็นหลัก.
          แยกออกมาเฉพาะระบบการปกครอง ที่เป็นธัมมิกประชาธิปไตย คือ เป็นประชาธิปไตยที่ประกอบไปด้วยธรรม, ประชาธิปไตย ถ้าว่าประชาชนหรือคนแต่ละคนมันไม่มีศีลธรรมแล้วมันก็วินาศแหละ, วินาศในเวลาอันสั้น; ถ้าประชาชนทุกคนไม่มีศีลธรรม แล้วก็เอามาเป็นส่วนใหญ่สำหรับการปกครองบ้านเมือง พักเดียวมันก็วินาศหมด.  เราต้องมีประชาธิปไตยที่ประกอบไปด้วยธรรมเรียกว่าธัมมิกประชาธิปไตย, นี้เกี่ยวกับการปกครอง, ธัมมิกสังคมนิยม นั้นมันเกี่ยวกับเศรษฐกิจ, ถ้าธัมมิกประชาธิปไตยนี้มันเกี่ยวกับการปกครอง เอาธรรมะเป็นใหญ่ เอาความถูกต้องเป็นใหญ่ ไม่ใช่ประชาธิปไตยของคนที่เห็นแก่ตัว, เอาคนที่เห็นแก่ตัวเต็มอัดทุกๆคนมาเป็นระบบปกครองเป็นประชาธิปไตย มันก็ฆ่ากันตายหมดแหละ ด้วยความแตกต่างเห็นแก่ตัว ต่างคนต่างเห็นแก่ตัว.  ฉะนั้นประชาธิปไตยต้องจำกัดความให้ดีๆ ว่าต้องของประชาชนที่มีศีลธรรมเลยต้องใช้คำว่า ธัมมิกประชาธิปไตย, มีธรรมะเป็นหลัก มีความถุกต้องเป็นหลัก อย่าเห็นแก่ตัว แต่เห็นแก่ธรรมะ, เห็นแก่ธรรมะ แล้วก็อย่าเห็นแก่ตัว.
          นี่เรียกว่ามีธรรมะเป็นหลัก มีระบบการปกครองชนิดนี้ แล้วก็จะมีการปกครองสังคม หรือโลกให้มีสันติภาพได้โดยง่าย.

          ข้อที่ห้าต่อไปคือระบบศีลธรรมและศาสนา.   
 ระบบศีลธรรมและศาสนา วัฒนธรรม ศิลปะ ประเพณี อะไรเหล่านี้ด้วย มันรวมอยู่ในคำว่าวัฒนธรรมนั่นแหละ.  แล้ววัมนธรรมมันก็รวมอยู่ในคำว่าศีลธรรมวัฒนธรรม เครื่องทำความเจริญ มันก็ถุกต้องนะ.
          คำว่าวัฒนธรรม, วัฒนธรรมนี้เป็นคำกำกวมแล้วน่าอันตราย; เพราะคำว่า วัฒน, วัฒนที่เป็นภาษาบาลีที่ยืมมาใช้ คำนี้กำกวม, คำว่า วัฒนะ วัฒนะนี้ไม่ได้เล็งไปถึงว่าดีหรือชั่ว.  มันเล็งแต่ว่ามากขึ้นเท่านั้นแหละ มากขึ้นๆ, เต็มมากขึ้นเรียกว่า วัฒนะ.  อย่างว่าผมมันรกบนหัวอย่างนี้ โดยหลักบาลีมันก็วัฒนะเหมือนกัน, ผมมันวัฒนะ วัฒนาเหมือนกัน, หรือว่าคนบ้ามันเต็มขึ้นมาในโลก นี้ก็เรียกว่าวัฒนาเหมือนกัน.  คำว่าวัฒนะในภาษาบาลีแปลว่า มันมากขึ้นเท่านั้น, ดีก็ได้ ชั่วก็ได้;  ฉะนั้นเราต้องมาคัดเลือกให้มันเป็นไปแต่ในทางวัฒนะที่ดี, วัฒนะที่ดี.
          มีประโยคภาษาบาลีว่า อย่าทำโลกวัฒนา : น สิยา โลกวฑฺฒโน, ที่เขาแปลกันว่า อย่าเป็นคนรกโลก, ตัวหนังสือแท้ๆมันแปลว่า อย่าทำโลกให้วัฒนา ก็คือว่าอย่าทำโลกให้รก, มันรกมากไปด้วยอะไรก็ไม่รู้ จนเต็มอัดไปหมด โลกมันวัฒนา.  ฉะนั้นเราจะต้องมีความหมายที่ถูกต้อง วัฒนาให้เป็นไปแต่ในทางถุกต้องหรือเจริญถูกต้อง ไม่ใช่มากขึ้นๆแล้วก็จะเรียกว่าวัฒนา.
          มีคนค้นพบว่า คำว่า progress ที่แปลว่า เจริญวัฒนานั้น คำนี้ รากศัพท์แปลว่า บ้า, โปรเกรสนี้มันแปลว่าบ้า, คือมันมากเกินกว่าธรรมดา.  แต่เดี๋ยวนี้คำว่าโปรเกรสเอามาใช้ในความหมายทางดี เจริญดี; แต่คำเดิมๆของมันหมายถึงบ้าก็ได้คือ วัฒนาด้วยความคิดที่ไม่ถูกต้องมันก็เลยบ้า.
          นี่เราจะต้องมีวัฒนธรรมชนิดที่ถูกต้อง คือเป็นไปเพื่อสันติภาพ, อย่าปล่อยไปตามความหมายของคำว่าพัฒนา พัฒนา คือรกมากขึ้นเท่านั้น, มันจะต้องเป็นระบบศีลธรรมที่ถุกต้อง แล้วก็ศาสนาที่ถูกต้อง.
          คำว่าถูกต้องนี้มันถูกต้องในทางทฤษฎีก็มี, ถูกต้องในการให้สำเร็จประโยชน์เป็นผลก็มี, ถูกต้องในการให้สำเร็จประโยชน์เป็นผลก็มี, ถูกต้องในทางเหตุผล สบหลักเหตุผล สบหลักวิทยาศาสตร์ อย่างนี้ก็เรียกว่าถูกต้องเหมือนกัน.  แต่เรามุ่งหมายความถูกต้องที่มากกว่านั้น คือถุกต้องชนิดที่ทำให้เกิดสันติภาพ; เพราะว่าถูกต้องตามเหตุผล ตามตรรก ตาม logic อะไรนั้นมันไปทางไหนก็ได้, เราเอาให้มันถูกต้องมาในทางที่ว่าให้เกิดที่ควรปรารถนาที่เหมาะสมแก่ความเป็นมนุษย์.  นี่เราจะต้องมีศาสนาที่ถูกต้อง.
          เดี๋ยวนี้เรามีศาสนามาก, มีศาสนาหลายศาสนา เราจะต้องทำให้เป็นที่แน่ใจว่า มันถุกต้องสำหรับที่จะให้เกิดสันติภาพแก่มนุษย์, และยิ่งกว่านั้นอีกคือว่ามนุษย์สามารถจะรับได้ หรือสามารถปฏิบัติไหว; ถ้ามันถูกต้องหรือดี แต่มนุษย์ไม่สามารถสนองรับมาปฏิบัติได้ มันก็ใช้ไม่ได้เหมือนกัน.  ฉะนั้นคำว่าถูกต้องการนี้ ต้องถูกฝาถูกตัว, ต้องสามารถรับมาปฏิบัติได้ด้วย, แล้วเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ด้วย ไม่ใช่เหลือวิสัย, แล้วก็ถูกต้องตามที่ควรจะถูกต้อง คือว่ามันถูกต้องเพื่อสันติภาพของทุกคน, ไม่ใช่เพียงเพื่อของบางคน หรือที่วงการที่มันมีอำนาจ แล้วมันจะถูกต้อง อย่างนี้มันถูกต้องไปไม่ได้.

          ทีนี้ข้อต่อไปข้อที่หก ก็อยากจะพูดว่ามีการศึกษาถูกต้อง.  ระบบการปกครองของโลกที่มีการศึกษาถูกต้อง,  ก็เหมือนกับที่กล่าวมาแล้วในส่วนของบุคคล ที่ว่ามีการศึกษาถูกต้องนี้.   เดี๋ยวนี้ยิ่งมาเป็นระบบการปกครองของทั้งหมดของส่วนเป็นตัวระบบใหญ่แล้ว  ก็ยิ่งต้องมีการศึกษาที่ถูกต้อง.  ให้เป็นไปตามหลักการศึกษาที่ถูกต้อง  ถูกต้องแก่ความเป็นมนุษย์คือให้เป็นมนุษย์กันให้ได้ มิฉะนั้นมันจะไม่มีความเป็นมนุษย์ มันถูกต้องสำหรับอะไรก็ไม่รู้ มันถูกต้องสำหรับแต่ทำอาชีพ มันไม่มีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องมันพอ. 
          เราเลือกเอาฝ่ายไหนละ คิดดู : จะเลือกเอาคนที่มีความรู้ กับคนที่มีความถุกต้องหรือมีศีลธรรม; ถ้ามันต้องเลือกเอาในระหว่าง 2 ฝ่าย คือว่ามีความรู้ความสามารถ กับคนที่ดีมีศีลธรรมจะเลือกเอาส่วนไหน?  หรือพูดง่ายๆว่า คนไม่รู้หนังสือแต่มันดี กับคนรู้หนังสือเปรื่องปราชญ์เป็นอันธพาล หรือว่าไม่อันธพาลก็เถอะ เอาเป็นกลางๆด้วยกันนี้ คนไหนมันปลอดภัยกว่า, เราเลือกฝ่ายไหนปลอดภัยกว่า?  เลือกคนมีความรู้หรือเลือกคนที่มีศีลธรรม; เลือกเอาคนมีความรู้ความฉลาดนะถ้ามันเกิดเป็นอันธพาลขึ้นมาแล้วก็วินาศหมด เพราะมันไม่มีอะไรรับประกัน มันเพียงแต่มีความรู้ความสามารถ.  แต่ถ้าคนมีศีลธรรม คือคนดี มันเป็นอันธพาลไม่ได้;  เพราะฉะนั้นมันปลอดภัย, ฉะนั้นเลือกเอาคนดี ก่อนที่จะเลือกเอาคนมีความรู้ จะดีกว่า, แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่นิยมกันอย่างนั้นใช่ไหม?  ถ้าเขานิยมกันอย่างนี้ ก็ไม่ต้องไปเรียนเมืองนอกเมืองนาให้ปริญญาเป็นหางดอก เพราะมันหาความดี ความถูกต้อง ความอะไรได้ในวงจำกัดของคนไทยเรา ที่มีพุทธศาสนาเป็นหลักนี่.  นี่เรียกว่าจะต้องมีการศึกษาที่ถุกต้องสมแก่ความเป็นมนุษย์.
          ยึดความหมายของคำว่ามนุษย์ไว้ให้ดีๆนะ, มันผิดกันมากกับคำว่าคน.  คำว่า คน นี้มันมาจากคำว่า ชน ชน ชะ-นะ ช-น แปลว่าเกิดมา, ส่วนคำว่ามนุษย์นี่มาจาก มน-อุณย แปลว่าใจสูง; เป็นคน เป็นเพียงเกิดมาก็เป็นคน, แต่ถ้าเป็นมนุษย์ มันต้องมีการกระทำจนใจสูงด้วย.  เราต้องมีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องคือมีจิตใจสูง ไม่เป็นแต่เพียงคน; การศึกษานี้ต้องทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ และเต็มแห่งความเป็นมนุษย์.
          อาตมาเคยเสนอแนะว่า ให้มันมีลำดับมาตั้งแต่ต้น เมื่อเราประชุมกันทำหลักสูตรจริยศึกษาที่นี่, อาตมาเสนอว่า ให้เรามีหลักสูตรประถมศึกษา ให้เด็กๆเขาเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา คือให้บิดามารดาชื่นใจ, และให้เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ คือให้สอนได้ พาไปได้ นำไปได้, ให้เป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อน คืออยู่กันอย่างเพื่อน ช่วยเหลือจริง, ให้เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศชาติ คือเป็นประโยชน์แก่ชาติ, ให้เป็นสาวกที่ดี, แล้วก็เป็นมนุษย์ที่เต็ม.  การศึกษาจะต้องเพื่อความเพื่อความเป็นมนุษย์ที่เต็ม, ไม่เป็นการศึกษาชนิดสุนัขหางด้วน.  ถึงภาษาฝรั่งก็คิดว่าจะใช้ได้ ถ้าเผื่อเขาวินิจฉัยกัน คำว่า sentient being นี่มันสักแต่ว่าเกิดมา มันตรงกับคำว่า คน; แต่ถ้าเป็น human being แล้ว มันจะเป็นมนุษย์.  คำว่า human มันมีรากศัพท์คล้ายๆกับมนุษย์อยู่แล้ว, ให้มันเป็น human being มันจะมีความเป็นมนุษย์; แต่ถ้ามันเป็นเพียง sentient being เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้.  ก็ระวังความหมายของคำว่าเป็นคน กับ ความเป็นมนุษย์ นี้ไว้ให้ดีๆเถอะ จะไม่เดินผิดทาง.
          การศึกษาจะต้องเพื่อความเป้นมนุษย์ที่เต็ม.  เมื่อพูดว่าเต็ม แล้วก็ไม่ต้องพูดถึงความถูกต้องดอก ถ้าไม่ถูกต้องมันเต็มไม่ได้ดอก; ถ้ามันเต็มแล้วก็หมายความว่ามันต้องมีความถูกต้องมันก็มีความเป็นมนุษย์ที่เต็ม.
          ถึงแม้เดี๋ยวนี้เราจะโตๆกันแล้วอย่างนี้ เราก็ยังต้องเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดานะ แม้ว่าบิดามารดาจะตายไปแล้ว เราอยู่ข้างหลัง ก็ยังจะต้องเป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา อย่าปฏิเสธนะ.  แล้วเราต้องเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ จนกว่าจะเข้าโลงไป, จะต้องทำตนให้เป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์, แล้วเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อนจนตลอดชีวิต, เป็นพลเมืองที่ดีของชาติ, เป็นสาวกที่ดีของศาสนา แล้วก็เป็นมนุษย์ที่เต็ม; นี่จะเรียกว่าการศึกษานั้นถูกต้อง ถ้ามันให้ผลอย่างนี้.
          เดี๋ยวนี้ลองไปเปรียบเทียบดูเอาเอง การศึกษาระดับประถม มัธยมมหาวิทยาลัย มันได้ความเป็นอย่างนี้หรือเปล่า? ทำไมจะต้องมียกพวกตีกันในโรงเรียนมัธยม ในระดับวิทยาลัยหรือแม้ในระดับมหาวิทยาลัย ให้สัตว์เดรัจฉานมันหัวเราะเล่า? ถ้าคนเรายังทะเลาะวิวาทกันในระดับโรงเรียนวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแล้ว จะไม่ให้สัตว์เดรัจฉานมันหัวเราะอย่างไรเล่า? บางทีคนป่าจะหัวเราะเยาะด้วยซ้ำไป, คนป่าก็ยังไม่เลวมากถึงนักศึกษาสมัยปัจจุบัน ที่มันยังมีการยกพวกตีกัน ทำลายล้างกัน ขัดแย้งกัน, แม้ในสถาบันการศึกษานั้นเอง เพราะว่าสถาบันการศึกษานั้นไม่ถูกต้อง มันก็ทำให้มีมนุษย์ที่เต็มไม่ได้, ขอให้ภาวนาหวังว่าจะมีมนุษย์ที่เต็ม.

          เอ้า, ทีนี้ข้อสุดท้าย  ข้อที่เจ็ด  ระบบการปกครองของโลกที่จะต้องมี  อีกสักข้อหนึ่งข้อสุดท้ายว่าจะต้องมีระบบนิเวศวิทยาที่ดี.  คำว่านิเวศวิทยา  ในความหมายของอาตมาไม่ใช่หมายแต่เพียงว่า ชำระ pollution ดอก มันเด็กเกินไป มันเล็กเกินไป คำว่า นิเวศวิทยาต้องหมายกว้าง จนถึงว่า วิทยาการสำหรับการเป็นอยู่, ความหมายของคำว่านิเวศ นิเวศ นั้นมันก็มีความถูกต้องไปหมดแหละ ไม่ใช่เพียงแต่ระบบกำจัดมลภาวะอย่างเดียว แล้วก็จะว่ามีนิเวศวิทยาถุกต้องก้หาไม่, มันก็ต้องมีระบบการเป็นอยู่ทุกแขนง ทุกทิศทาง ทุกระดับ ที่ถูกต้องซึ่งไม่เกิดปัญหาขึ้นมา.
          ก็อยากจะยกตัวอย่าง เช่นว่า เราอยู่กันอย่างเป็นหมู่บ้าน ดีกว่าจะเป็นนคร, อยู่กันอย่างเมืองธรรมดาเล็กๆ ดีกว่าที่จะเป็นอยู่อย่างมหานคร.  กรุงเทพฯเป็นมหานครหรือยังก็ไม่รู้ แต่มันบ้าเกือบจะตายแล้วใช่ไหม? มันควบคุมไม่ได้นี่ เพราะมันเหลือกำลังที่จะควบคุม; ถ้าว่ามันอยู่กันในลักษณะที่ควบคุมกันได้ เช่นเป็นหมู่บ้านๆมีมากๆก็ดี มันควบคุมกันได้ มันจะไม่เกิดปัญหาอย่างที่กำลังเกิด,

          เอ้า, ทีนี้ข้อสุดท้าย ข้อที่เจ็ด  ระบบการปกครองของโลกที่จะต้องมี  อีกสักข้อหนึ่งข้อสุดท้ายว่าจะต้องมี ระบบนิเวศวิทยาที่ดี.  คำว่านิเวศวิทยา ในความหมายของอาตมาไม่ใช่หมายแต่เพียงว่า ชำระ pollution ดอก มันเด็กเกินไป มันเล้กเกินไป คำว่า นิเวศวิทยาต้องหมายกว้าง จนถึงว่า วิทยาการสำหรับการเป็นอยู่.  ความหมายของคำว่านิเวศ นิเวศ นั้นมันก็มีความถุกต้องไปหมดแหละ ไม่ใช่เพียงแต่ระบบกำจัดมลภาวะอย่างเดียว แล้วก็จะว่ามีนิเวศวิทยาถุกต้องก้หาไม่, มันก็ต้องมีระบบการเป็นอยู่ทุกแขนง ทุกทิศทุกทาง ทุกระดับ ที่ถุกต้องซึ่งไม่เกิดปัญหาขึ้นมา.
          ก็อยากจะยกตัวอย่าง เช่นว่า เราอยู่กันอย่างเป็นหมู่บ้าน ดีกว่าที่จะเป็นนคร, อยู่กันอย่างเมืองธรรมดาเล็กๆ ดีกว่าที่จะเป็นอยู่อย่างมหานคร.  กรุงเทพฯเป็นมหานครหรือยังก้ไม่รู้ แต่มันบ้าเกือบจะตายแล้วใช่ไหม?  มันควบคุมไม่ได้นี่ เพราะมันเหลือกำลังที่จะควบคุม; ถ้าว่ามันอยู่กันในลักษณะที่ควบคุมกันได้ เช่นเป็นหมู่บ้านๆมีมากๆก็ดี มันควบคุมกันได้ มันจะไม่เกิดปัญหาอย่างที่กำลังเกิด, กำลังเกิดถึงขนาดวินาศหรือฆ่ากันตาย;  มลภาวะก็กำจัดไม่ได้เพราะมันเหลือกำลังนี่ ถ้าอยู่กันอย่างมหานคร.  อยู่กันอย่างหมู่บ้านใหญ่ๆ, หรือว่าอยู่อย่างเมืองเล็กๆ, อย่าอยู่กันอย่างมหานคร ซึ่งมีพลเมืองหลายสิบล้าน สิบล้าน ยี่สิบล้าน แล้วจะเป็นนิเวศวิทยาที่พอดี, พอดีแก่การที่จะควบคุมรักษาดูแล มีความสงบสุขได้โดยง่าย นี้ก็จะขอเรียกว่ามีนิเวศวิทยาที่ถูกต้อง คืออยู่ในขนาดที่พอดี ในลักษณะที่พอดี, บางทีจะต้องใช้คำว่ายิ่งเล็กยิ่งดีด้วยซ้ำไป.
          เมื่อเร็วๆนี้มีนักคิดอะไรคนหนึ่ง เขาพูดขึ้นว่า ยิ่งเล็กยิ่งดี, ยิ่งเล้กยิ่งดีเพราะว่าควบคุมง่าย, ถ้ามันใหญ่จนควบคุมไม่ไหว มันก็จะเป็นอันตรายหรือเป็นบ้าไปเลย, มันอยู่ในขนาดที่ควบคุมกันได้ ดูแลกันได้รักษากันได้นั่นแหละมันพอดี, ยิ่งเล็กยิ่งควบคุมกันง่าย ยิ่งควบคุมกันง่าย ยิ่งควบคุมกันได้มันก็ยิ่งสวยงาม ยิ่งเล็กก็ยิ่งสวยยิ่งงาม เพราะมันควบคุมกันได้ รักษากันได้ดี.  ถ้าบ้านของเราใหญ่เกินไป เราก็รักษาให้สะอาดเรียบร้อยไม่ได้; ถ้าบ้านของเราพอดีหรือเล็กๆนี่ เราทำให้สวยงามวิเศษไปทุกระเบียดนิ้วก็ยังได้.
          นี่ต้องมีในลักษณะที่ควบคุมกันได้ หรือพอดี อย่างนี้อาตมาจะเรียกว่านิเวศวิทยาที่ถูกต้อง; มันไม่ใช่จะควบคุมแต่มลภาวะ, มันต้องควบคุมไปทุกอย่างที่มันถูกต้อง : สงบเรียบร้อย ราบรื่นมีความสงบสุข สันติสุข, หรืออาชญากรรมอะไรต่างๆเหล่านี้มันก็ต้องไม่มี.  เราจะมีนิเวศวิทยาที่ถุกต้องแก่เหตุผล เหมาะสมแก่ความมีสันติภาพ.
          เอาละ ทบทวนกันอีกทีหนึ่งว่า เราจะมีระบบการปกครองมนุษย์ ที่ประกอบไปด้วยระบบเศรษฐกิจอันถูกต้อง, ระบบการเมืองที่ถุกต้อง ระบบสังคมที่ถูกต้อง ระบบการปกครองที่ถุกต้อง ระบบศีลธรรมและศาสนาที่ถูกต้อง ระบบการศึกษาที่ถุกต้อง ระบบนิเวศที่ถุกต้อง.

          คำว่า ถูกต้อง คืออย่างไร.
          ได้ยินคำว่า ถูกต้อง เต็มไปหมดแล้ว ก็จะมีปัญหาเกิดขึ้นมาว่า ถูกต้องนั้นคืออย่างไร.  ถ้าถูกต้องของคนอันธพาลมันก็อย่างหนึ่ง; เราถูกต้องด้วยไม่ไหว ถ้าถูกต้องอย่างของอันธพาล.  มันก็ต้องถูกต้องอย่างของวิญญูชน ของสุภาพบุรุษ มันก็ต้องถุกต้อง; แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเถียงกันไม่รู้จักจบ ตรรกวิทยา logic ก็ดี, ปรัชญา philosophy นั้นก็ดี มันก็ล้วนแต่มุ่งหมายจะหาความจริง หรือคำยุติของคำว่าถูกต้องหรือความจริง, แล้วมันก็เถียงกันจนตายก็ยังไม่พบใช่ไหม?  มันยุติกันไม่ได้นี่ ถ้าเอาหลักชนิดนั้นมาเป็นหลักหาความตีความถุกต้อง.  มันก็มีเหตุผลที่จะแย้งยันขยายไกลออกไป, เรียกว่ามันมีคู่เถียงกันไปไม่มีทางพบกันได้ว่าถุกต้องอย่างไร.
          มีคนเขาเปรียบเทียบว่า สถานะของปรัชญาของ philosophy นั้นมันเหมือนกับทางรถไฟ 2 เส้น ซึ่งมันเป็นทางคู่กันไม่มีทางจะพบกัน, ทางรถไฟนั้นจะยาวกี่โยชน์ กี่ร้อยโยชน์พันโยชน์อะไรก็ตาม มันก็ไม่มีทางจะพบกันดอก, ถ้ามันพบกันแล้วมันก็ไม่เป็นทางรถไฟ.  นี่เรียกว่าเรื่องปรัชญาที่จะหาเหตุผลของความถูกต้องหรือความจริงนี้ มันมายุติอย่างนี้ เพราะว่ามันมีเหตุผลที่จะแยกออกมายืนยันอยู่เสมอ มันมีสมมตฐานใหม่ๆสร้างขึ้นมาเรื่อย  มันก็เลยไม่พบว่า อะไรถุกต้อง หรืออะไรดีอะไรจริง.
          ฉะนั้น ขอให้ถือเอาหลักง่ายๆทางศาสนา โดยเฉพาะทางพุทธศาสนามีหลักง่ายๆที่สุดว่า ถ้าถูกต้องแล้วมันไม่มีอันตราย หรือเป็นทุกข์เป็นโทษแก่ฝ่ายใด มีแต่คุณและประโยชน์แก่ทุกฝ่าย;  นี่คือความถูกต้อง, ถ้ามันมีโทษแก่ฝ่ายใดแม้แต่นิดเดียว ถือว่าเป็นผิดแล้ว ไม่ถูกต้องแล้ว ถ้ามันไม่เป็นพิษเป็นภัยเป็นโทษอันตรายต่อแก่ฝ่ายใด มีแต่ความดีความได้ประโยชน์ก็เรียกว่าความถุกต้อง เอาเพียงเท่านี้ไม่ต้องเถียงกัน.  ไว้ให้พวกนักปรัชญาเขา หรือว่านักตรรกวิทยาเขา นักคำนวณอะไรเขาก็เถียงกันไปเถอะ จนไม่รู้ว่ามันจะไปดีตรงที่ไหน ไม่มีวันที่จะพบว่าถูกต้องหรือดีนั้นเป็นอย่างไร.  เดี๋ยวนี้เราเอง่ายๆตามภาษาเด็กๆ เด็กวัดก็ได้ ดีหรือถูกต้อง คือไม่เบียดเบียนใคร ได้รับประโยชน์แก่ทุกฝ่าย คือถุกต้องในทุกๆสิ่งที่ควรจะถุกต้อง;  นั่นคือระบบการปกครองของมนุษย์ที่ดีหรือของโลกที่ดี ในโลกมนุษย์ที่ดี จะต้องมีความถุกต้องอย่างนี้ แล้วก็มีสันติภาพ.
          เป็นอันว่า บุคคลแต่ละคนๆต้องมีความถูกต้องอย่างที่กล่าวมาแล้ว, ระบบการปกครองของบุคคลทั้งหมดนั้น ก็ต้องมีความถูกต้องอย่างที่กล่าวมาแล้ว.  เมื่อมีความถูกต้องทั้งของส่วนบุคคล และของระบบทั้งระบบที่จะใช้ปกครองบุคคลเหล่านั้น ล้วนแต่เป็นความถุกต้อง มันก็หมดปัยหาก็มีสันติภาพ.
          อาตมาก็ขอเสนอหนทางแห่งสันติภาพไว้ในลักษณะอย่างนี้ เป็นเรื่องสุดท้ายของการบรรยายชุดนี้ เป็นที่ระลึกแก่ปีสันติภาพสากลปีนี้; ใช้หลักพระพุทธศาสนามาเป็นหลัก คือความถูกต้อง 8 ประการ ที่เรียกว่ามรรคมีองค์แปด : ถูกต้องทางความคิดเห็น ถูกต้องตามความต้องการ ถูกต้องทางการพูดจา ถูกต้องทางการทำการงาน ถูกต้องทางการดำรงชีวิต ถูกต้องในการใช้ความเพียร ถูกต้องในการมีสติควบคุมและถูกต้องในการตั้งใจไว้มั่น; เรียกว่าถูกต้อง 8 ประการ เป็นอริยมรรคมีองค์แปด.  นี่เป็นหลักที่เอามากระจายออกเป็นความถูกต้อง สำหรับบุคคลและสังคม.
          เมื่อมีความถุกต้อง 8 ประการนี้แล้ว ก็จะมีความถูกต้องอันสำคัญเกิดขึ้น คือความถูกต้องของความรู้-ญาณะ แปลว่าคงวามรู้; เมื่อรู้ถุกต้องแล้วมันก็ทำอะไรไม่ผิด,  ในที่สุดมันก็เกิดผล คือหลุดพ้นถูกต้อง, หลุดพ้นจากปัญหาทั้งปวงอย่างถูกต้อง, ไม่มีอะไรที่เป็นสิ่งที่จะต้องเกิดความยุ่งยากลำบากใจเป็นทุกข์ทรมานใจ; นี่มันเป็นความถูกต้องอย่างนี้.  แต่เป็นสิ่งที่เราจะต้องประพฤติปฏิบัติ หรือสร้างมันขึ้นมา ในฐานะเป็นหน้าที่, จะมาถือไสยศาสตร์หวังความช่วยเหลือจากภูติผีปีศาจ ผีสางเทวดา หรือแม้แต่พระเจ้า ก็ไม่มีทางจะเป็นไปได้, พระเจ้าไม่ช่วยคนที่ไม่ปฏิบัติความถูกต้อง.
          ฉะนั้นเราจะต้องปฏิบัติความถูกต้องทุกประการอย่างที่กล่าวแล้ว แล้วความถูกต้องทุกประการนั้น ก็จะแปลงรูปออกมาเป็นพระเจ้าที่ช่วยเราได้จริงกว่าพระเจ้าชนิดไหน แล้วก็ไม่ต้องอ้อนวอนไม่ต้องติดสินบน ว่าจะให้อย่างนั้น ให้อย่างนี้.  พระเจ้าที่เกิดขึ้นมาจากการกระทำที่ถูกต้องอขงเรา; พระเจ้าอย่างที่เขามีๆกันอยู่นั้น ต้องเซ่นสรวง ต้องอ้อนวอน ต้องบูชายัญ คล้ายๆกับว่าต้องจ้างพระเจ้าจึงจะทำหน้าที่.  แต่ถ้าพระเจ้าเกิดมาจากความถูกต้องที่เราประพฤติปฏิบัติขึ้นเอง  เราไม่ต้องเซ่นสรวง  ไม่ต้องบูชา ไม่ต้องอ้อนวอน การบูชาอ้อนวอนเซ่นสรวงพระเจ้าชนิดนี้ มีแต่การพยายามทำใหก้มันถูกต้อง การพยายามทำให้มันถูฏต้องนั่นแหละคือ การบูชา เซ่นสรวง อ้อนวอน, พระเจ้าชนิดที่จะช่วยเราได้จริง คือผลแห่งการทำหน้าที่ถูกต้อง.
          นี่ขอสรุปเป็นบทสุดท้ายว่า เราจะมีสันติภาพได้ โดยสรุปย่ออย่างที่เป็นการบรรยายในครั้งสุดท้ายนี้ว่า มีบุคคลถูกต้อง, แล้วมีระบบการปกครองบุคคลหรือสังคมของบุคคลอย่างถูกต้อง, แล้วเราก็มีสันติภาพ. 1

       1                ธรรมโฆษณ์ของพุทธทาส  เรื่อง  สันติภาพของโลก  ลำดับที่ 18.ซ  บนแถบพื้นสีแดง, เรื่องที่ 13 จนกว่าโลกจะมีสันติภาพ.  บรรยายวันที่ 27 กันยายน 2529, หน้า 404-420.


วันอังคารที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2557

จะเอาวัวลากเกวียนมารีดนม มันจะพอกินหรือ?



บรมธรรม  กับระบบการเมือง


          วันนี้จะได้พูดกันถึงเรื่อง  บรมธรรม กับระบบการเมืองในโลกปัจจุบันซึ่งบางคนอาจจะคิดว่า บรมธรรม กับระบบการเมืองนี้มันจะเกี่ยวข้องกันอย่างไร มันเป็นคนละเรื่อง.  เมื่อกล่าวโดยแท้แล้วไม่ใช่อย่างนั้น มันเป็นเรื่องที่สัมพันธ์กันอย่างยิ่ง, ถ้าระบบการเมืองในโลกไม่ดี โลกนี้ก็ไม่มีหวังที่จะได้รับบรมธรรม แม้ที่จะเป็นอย่างจริยธรรมสากล.
ขอให้ระลึกไว้เสมอว่า บรมธรรมอย่างจริยธรรมสากล เขาเล็งถึงปรากฏ ลักษณะ และมูลเหตุ จึงแจกเป็นว่า : อยู่เป็นสุข, มีความเต็มแห่งความเป็นมนุษย์, มีหน้าที่เพื่อหน้าที่, และความรักสากล.  ส่วนคำว่าบรมธรรมตามหลักพระพุทธศาสนา หรือวัฒนธรรมอินเดียทั้งหมด เล็งถึงความไม่เบียดเบียนกันแต่อย่างเดียว คำเดียวคือไม่เบียดเบียนตนเอง มีความสุขอย่างที่เรียกว่า มีนิพพานเป็นสิ่งสูงสุด หรืออย่างน้อยก็เป็นนิพพานชั่วคราว;  สำหรับผู้อื่นนั้น ก็คือไม่มีการกระทบกระทั่งกันเลย.  บรมธรรมตามหลักจริยธรรมสากลใหม่ๆหยกๆนี้ก็ดี  บรมธรรมตามความหมายดั้งเดิมในประเทศอินเดียก็ดี ไม่มีแก่โลก ที่มีระบบการเมืองอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน.
สำหรับระบบการเมืองในโลก เวลานี้ เป็นอย่างไร ก็เห็นๆกันอยู่แต่จะดูไม่มีใครสนใจว่าโดยส่วนลึก หรือทั้งหมด ตามที่ธรรมชาติต้องการนั้น ระบบการเมืองของโลกเราสมัยนี้เป็นอยู่ในลักษณะเช่นไร, ข้อนี้รู้ได้ยากเพราะว่าสิ่งที่เรียกว่าความจริง นั้นมันมีเท่าที่บุคคลนั้นจะรู้สึกได้เท่านั้น ที่เหนือหรือลึกไปกว่านั้นมันรู้ไม่ได้.  ฉะนั้นเรากำลังบูชาระบบการเมืองในระบบไหนกัน ก็รู้แค่เท่านั้น นี่อาจจะมีลักษณะเหมือนกับกบ ในหนองเล็กๆ หรือในรอยเท้าควายก็ได้ คือมันรู้เท่านั้น เพราะไม่ได้ศึกษาเรื่องมนุษย์กันในแง่อื่นในทุกด้านทุกมุม มัวแต่ศึกษากันสำหรับแสวงหาประโยชน์อย่างเดียว เอาการเมืองเป็นเครื่องมือหาประโยชน์อย่างเดียว ไม่ใช่การเมืองเพื่ออะไร ที่สูงไปถึงเรื่องจิตใจของมนุษย์ที่อยู่เป็นผาสุก ซึ่งเป็นประโยชน์อันสูงสุด.  แปลว่าไม่รู้จักประโยชน์สูงสุด รู้จักหาประโยชน์ทางวัตถุทางเนื้อหนังกันไปเท่านั้น เพราะฉะนั้นการเมืองของโลกสมัยนี้ มันจึงเป็นแต่เรื่องอย่างนี้ คือ เพื่อประโยชน์สุขทางวัตถุ หรือทางเนื้อหนัง.
ทีนี้เมื่อพูดถึงการเมือง-การเมือง ก็อยากจะพูดถึง เรื่องอธิปไตยในทางธรรม ให้เป็นที่เข้าใจกันสักหน่อย เพราะว่าเดี๋ยวนี้เราก็ใช้คำว่าอธิปไตย เช่น ประชาธิปไตย ราชาธิปไตย อัตตาธิปไตย คณาธิปไตย อะไรก็ตาม มีคำว่า อธิปไตยมาใช้.  ทีนี้ควรจะรู้ว่า คำว่า “อธิปไตย” ในทางหลักธรรมที่เก่าแก่ บรมโบราณเป็นพันๆปีนั้น มีอะไรบ้าง.  อธิปไตยตามหลักธรรมมีอยู่ 3 อย่าง;
อัตตาธิปไตย    เอาประโยชน์หรือความคิดเห็นของตนเป็นใหญ่
โลกาธิปไตย    เอาประโยชน์หรือความคิดเห็นจของสังคมรวมๆกันเป็นใหญ่ คือเอาโลกเป็นใหญ่
ธรรมธิปไตย    เอาความถูกต้องของธรรมชาติเป็นใหญ่

คุณลองเปรียบเทียบกันดูว่า มันอยู่กันอย่างไร และมันต่างกันอย่างไร.  การเอาความคิดหรือประโยชน์ของตนเป็นใหญ่ กับการเอาความคิดหรือประโยชน์ของสังคมทั้งหมด เช่น โลกเป็นต้นนี้เป็นใหญ่ กับเอาความถุกต้องของธรรมชาติเป็นใหญ่ นี่เรียกว่าอธิปไตย มีอยู่ 3 อย่างตามหลักธรรม.
เดี๋ยวนี้ระบบการปกครอง เรามีอธิปไตยอะไรกันบ้าง แต่ก่อนก็มีราชาธิปไตยแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์.  เดี๋ยวนี้ก็มีราชาธิปไตยแบบจำกัดอำนาจ  ที่เขาเคยเรียกกันว่า ปรมิตาญา-สิทธิราชย์ แล้วเราก็มาเรียกกันเสียใหม่ว่า ประชาธิปไตยแบบมีพระราชาหรือแบบมีกษัตริย์.  แล้วก็มีแบบประชาธิปไตยล้วนๆที่ไม่มีกษัตริย์.  แต่แล้วในอธิปไตยทั้งหมดนี้ มันมีลักษณะเป็นอย่างไร เป็นอัตตาธิปไตยจริงๆหรือเป็นโลกาธิปไตยจริงๆ เป็นประชาธิปไตยจริงๆ หรือกระทั่งว่าเป็นธรรมาธิปไตยจริงๆกันหรือไม่ที่ตรงไหน;  เขาถือหลักที่จะใช้ระบบการปกครองการเมืองนี้กันอย่างไร; ดูก็แตกต่างกันไปมากในโลกนี้,  เพราะฉะนั้น ชื่อที่ใช้เรียกนั้น ดูจะเป็นแต่เพียงชื่อเสียงมากกว่า  เพราะว่าจุดที่เขาเพ่งเล็งนั้น มันอยู่ที่ประโยชน์เขาจะใช้ระบบการปกครองระบบไหนกัน ในสมัยนี้ก็เพ่งเล็งอยู่ที่ประโยชน์ประเทศไหนใช้อธิปไตยแบบไหน ก็เพ่งเล็งอยู่ที่ประโยชน์อย่างเดียว นี่ตรงกันหมดเลย.  โดยเนื้อแท้มันเป็นประโยชน์อธิปไตย หรือประโยชนาธิปไตย แล้วก็ยักไปเรียกเสียว่าประชาธิปไตย แล้วก็ให้คำจำกัดความ หรือว่าคำขวัญว่าของประชาชน เพื่อประชาชน โดยประชาชน.  แต่แล้วมันก็มีปัญหาตรงที่ว่า ประชาชนนั้นเป็นอย่างไร ถ้าประชาชนเป็นวัตถุนิยม ประโยชน์นั้นก็เป็นวัตถุนิยม ถ้าประชาชนเป็นธรรมนิยม เป็นมโนธรรม หรือเป็นอย่างที่เรียกว่า วิญญาณนิยม อะไรก็แล้วแต่ ประโยชน์นั้นมันก็เป็นเรื่องธรรมนิยม.
แต่เดี๋ยวนี้ ในโลกนี้ ไปดูเถอะ วัตถุนิยมเข้าตา ที่เรียกว่าเลือดเข้าตา เป็นเลือดของวัตถุนิยมเข้าตา เพราะฉะนั้นการเมืองแม้จะเรียกว่า ประชาธิปไตยมันก็เพื่อวัตถุนิยม เพราะคนทุกคนมันเป็นวัตถุนิยม โลกนี้มันกำลังตกอยู่ในอำนาจของวัตถุนิยม ของปีศาจแห่งวัตถุนิยม เพราะฉะนั้น ที่ว่าของประชาชน เพื่อประชาชน โดยประชาชนนั้น มันก็ของวัตถุนิยมเป็นแน่นอน ไม่เกี่ยวกันเลยกับธรรมนิยมหรือธรรมธิปไตย;  มันไม่เกี่ยวกันเลย เพราะนั่นมันเป็นเรื่องทางมโนธรรม.
ทีนี้ นักศึกษา หรือคนสมัยนี้ เขาเอาวัตถุนิยมมาเป็นมโนธรรม ที่ว่าเลือดเข้าตา นั้นมันหมายอย่างนี้ คือมองไม่เห็นอะไร จนเอาวัตถุนิยมเนื้อหนังนี้เป็นมโนธรรม.  มันก็พูดถึงมโนธรรม ถึงธรรมะ ถึงอะไรกันอยู่มาก แต่มันไม่ใช่ มันไม่ตรงกับคำว่าธรรมาธิปไตย ความถูกต้องของธรรมชาติเป็นหลัก.  ดังนั้นมันจึงกลายเป็นเพียงโลกาธิปไตยเอาความคิด ความเห็น ความต้องการของประชาชนนั้นเป็นหลัก แล้วในที่สุดมันก็อวดดีไปไม่ได้ คือจะเอาคนดี คนจริง คนยุติธรรมมาจากไหนเป็นฝูงๆ มันไม่ใช่วัวควายที่จะหามาได้เป็นฝูงๆ.  มันก็ต้องมอบอำนาจให้คนใดคนหนึ่ง ให้ประธานาธิบดี หรือให้ใครก็ตาม ในที่สุดมันก็เป็นอัตตาธิปไตย หรือเอกาธิปไตยไปโดยไม่รู้สึกตัว.  ทั้งที่ปิดฉลากว่าประชาธิปไตย มันก็คืออัตตาธิปไตย ตามความคิดหรือสติปัญญา ของบุคคลคนใดคนหนึ่งเป็นหลัก ตามที่เขามอบอำนาจให้ใครชั่วเวลากี่ปี หรือตลอดกาลก็ตาม.  เพราะฉะนั้น ระบบการเมืองหรือการปกครองในโลกมันจึงสับสนชนิดพูไม่ได้ว่ามันเป็นอะไรแน่ นอกจากจะพูดได้เป็นอย่างเดียวว่า มันเป็นกิเลสาธิปไตย คืออธิปไตยของกิเลสของคนทุกคนในโลกรวมกัน.  อย่างนี้เราเรียกว่า ที่แท้จริงนั้นคือ กิเลสธิปไตย.
ถ้าพูดถึงกิเลส มันก็คือซาตาน หรือพญามาร ไม่มีอะไรอื่น ฉะนั้น โลกทุกวันนี้ถูกปกครองด้วยซาตาน เป็นซาตานอธิปไตย หรือมาราธิปไตย มันจึงเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ไม่เดือดร้อนทางกาย ก็เดือดร้อนทางจิต ไม่เดือดร้อนทางจิต ก็เดือดร้อนทางวิญญาณ มันมีผลเป็นความนอนไม่หลับ แก่บุคคลธรรมดา คือบุคคลที่ยังปล่อยวางไม่ได้;  หรือที่เรียกล้อๆกันอยู่เดี๋ยวนี้ว่า ทำจิตว่างไม่ได้ มันก็นอนไม่ค่อยหลับกันอยู่ทุกหย่อมหญ้า เพราะว่าการปกครองเป็นระบอบมาราธิปไตย ซาตานอธิปไตย ในเมื่อพูดโดยบุคคลาธิษฐาน;  ถ้าพูดโดยธรรมาธิษฐาน มันก็เป็น กิเลสาธิปไตย-อธิปไตยของกิเลส ของทุกคนในโลกรวมกัน.  ถ้าพูดอย่างภาษาธรรมชาติอย่างนักวิทยาศาสตร์สักหน่อยก็พูดว่า “วัตถุนิยมาธิปไตย” คือมีวัตถุนิยม materialism นั่นแหละเป็นอธิปไตย.  วัตถุนิย-มาธิปไตย หรือวัตถุอธิปไตยก็แล้วแต่จะเรียก.
          ลองเปรียบเทียบกันดู จะเห็นได้ว่า มันไกลกันเท่าใด กับธรรมาธิปไตยตามหลักของพุทธศาสนา ซึ่งเอาธรรมหรือพระธรรมเป็นหลัก เอาความจริงความถูกต้องตามธรรม คือตามกฏเกณฑ์อันลึกซึ้งของธรรมชาติเป็นหลักซึ่งเราเรียกได้อย่างหนึ่งว่าพระเจ้า.  ถ้ามีพระเจ้าเป็นอธิปไตยกัน โลกนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรกัน เดี๋ยวมีพระเจ้ากันแต่ปาก ในกองทัพออกชื่อพระเจ้ากันแต่ปาก ที่บ้านก็ออกชื่อพระเจ้ากันแต่ปาก ในโบสถ์ก็ออกชื่อพระเจ้ากันแต่ปาก ไม่รู้ว่าพระเจ้าที่แท้จริงคืออะไร อยู่ในภาพอย่างไร.
          พุทธศาสตร์เราก็เรียกว่า ธรรม หรือพระธรรม แต่ส่วนใหญ่พุทธบริษัทก็ออกชื่อกันแต่ปาก ก็พลอยตามก้นพวกฝรั่ง ซึ่งเป็นเจ้าตำรับตำราเรื่องประชาธิปไตย เรื่องอะไรไปโน่น มันจึงสับสนวุ่นวายกันไปหมด ไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไรกันแน่.
          สำหรับคำว่าธรรมาธิปไตยนี้ มันเล็งถึงความดี ความสงบ ความจริง ความยุติธรรม เรียกสั้นๆว่าความดี ก็แล้วกัน แล้วคุณจะต้องพิจารณากันแง่ที่ว่าเดี่ยวนี้มันขาดคนดี มันขาดความดีในโลก คือขาดคนดี มีแต่คนวัตถุนิยม มีแต่คนต้องการประโยชน์ส่วนตัวและพวกของตัว, ถ้าว่ามีความดีหรือมีคนดีแล้ว  ระบบการปกครองชนิดไหนก็เป็นเรื่องถูกต้องไปหมด มันเป็นธรรมาธิปไตยไปหมด.  ถ้าเรามีคนดีจริงเพียงคนเดียวเท่านั้น มันหาง่ายกว่าหาตั้งฝูง แม้ให้เป็นเผด็จการ เขาก้เป็นเผด็จการไปอย่างดีที่สุดและรวดเร็วที่สุด ระบอบเผด็จการมันก้ดี เป็นของดี;  หากเราหาคนดีมาได้ตั้งฝูง มาเป็นประชาธิปไตย มันก็ดีได้เท่านั้น และดีเท่ากันนั่นแหละ จะดีมากไปกว่านั้นไม่ได้.  ถ้าเรามีคนดีอย่างเดียวเท่านั้น มันก็เป็นการปกครองระบอบธรรมาธิปไตยขึ้นมาทันที แม้จะให้คนดีคนเดียวปกครองหรือจะให้คนดีตั้งฝูงปกครองก็ตาม.
          เรื่องนี้คุณพิจารณาดูเถอะ  คนดีหาทำยายามก จนเกือบจะเรียกว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว มันมีอยู่บ้างแต่ก้ไม่ปรากฏ หรือมันมีขึ้นมาอย่างมีอำนาจไม่ได้ มันต้องว่อนเร้นต้องมุดอยู่ เพราะฉะนั้นที่มาทำหน้าที่ปกครองคนทั้งโลกอยู่นี้ คือกิเลส กิเลสรวมหมดของคนทั้งโลก ไม่แหวกโอกาส ไม่เปิดโอกาสให้คนดีหรือความดี เพราะฉะนั้นเราต้องถือว่า มันเป็นระบอบเผด็จการทารุณ เป็นประชาธิปไตย ที่อาจจะสร้างโลกนี้ให้เป็นนรกไปได้ในพริบตาเดียว.  คนทั้งโลกเป็นวัตถุนิยม เห็นแก่เนื้อหนัง แล้วเอาทั้งหมดนั้นมาเป็นรัฐสภา เป็นอะไรก็ตาม เป้นผู้ปกครองโลก มันก็พลิกโลกนี้ให้กลับเป็นนรกได้ทันที คือเป็นโลกแห่งการแข่งขันแย่งชิง เบียดเบียนบูชาวัตถุนิยมเป็นพระเจ้า แล้วก็ไม่เห็นแก่หน้าใคร ฉะนั้นจึงทำอะไรได้อย่างนี้ไม่น่าทำ  อย่างเดี๋ยวนี้ปัญหาทางศีลธรรม เกิดขึ้นอย่างที่เรียกว่ามันจะเหลือทนอยู่แล้ว;  ปัญหาทางความสงบเรียบร้อย มันเกิดขึ้นอย่างที่ว่าเหลือทนอยู่แล้ว;  จนจะทำให้นึกไปว่า คนดีสูญพันธุ์ไปแล้วจากโลกหรืออย่างไร.  ถ้าคนดีสูญพันธุ์ไป  มันก็หมายความว่าธรรมะไม่มีในโลก  ธรรมาธิปไตยไม่อาจจะมีได้ในโลก  มันก็มีแต่อัตตาธิปไตย  โลกาธิปไตยตามแบบของวัตถุนิยมไป  สรุปอยู่ที่วัตถุเป็นใหญ่  เป็นเหยื่อของกิเลส  ซึ่งเป็นผู้ต้องการวัตถุ มันก็เป็นกิเลสาธิปไตย มาราธิปไตย ซาตานอธิปไตยไป ดังที่กล่าว.
          ทีนี้เราลองนึกดูกันใหม่ว่า ครั้งพุทธกาลโบราณจริงนั้น มีระบบการเมืองหรือระบบการปกครองเป็นอย่างไร.  เราจะเห็นได้ว่า พ้องๆสมัยกัน ในโลกเวลานั้น ทางฝ่ายอินเดียชมภูทวีปนี้ก็ดี ทางฝ่ายตะวันตกพวกกรีกอะไรก็ดี  เขามีระบบการปกครองอะไรชนิดหนึ่ง ซึ่งน่าสนใจ คือไม่เหมือนสมัยนี้.  ในอินเดียมีระบบวรรณะ คือกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร แบ่งกันมีวรรณะ 4 ชั้น  แบ่งคนเป็น 4 วรรณะ วรรณะกษัตริย์มาหน้า มีความหมายเป็นกษัตริย์อย่างที่เรารู้ๆกันอยู่ เพราะว่ามีหน้าที่ที่จะปกครองหรือคุ้มครอง.  ยามปกติมีหน้าที่ปกครอง คือวรรณะที่เป็นใหญ่ในการปกครอง หรือระบบการเมือง มีการปกครองโดยวรรณะกษัตริย์.  ส่วนวรรณะพราหมณ์นั้น คือเจ้าตำรับตำรา เจ้าวิชา ครูบาอาจารย์ ตั้งแต่เบื้องต่ำขึ้นไปจนถึงขั้นทางจิตทางวิญญาณ ทางศาสนาเหล่านี้ ตกอยู่ในกำมือของวรรณะพราหมณ์  ทีนี้การทำมาหากินต่างๆเป็น artificer หรือผู้มี craftsmanship นี้ ในทุกแขนงของวิชาเทคนิคอย่างที่เรียกกันเดี๋ยวนี้ทุกแขนง รวมกระทั่งการค้า การเศรษฐกิจ อะไรก็ตาม มันอยู่ในวรรณะแพศย์ หรือแต่เดิมเขาเรียกกันว่า ไวศยะ แปลมาเป็นไทย เป็น แพศย์ คือพลเมืองที่มีฝีไม้ลายมือ มีสิลปะตามหน้าที่การงานของตนๆ วรรณะอันที่สี่คือวรรณะศูทร วรรณะสุดท้าย ได้แก่พวกไม่มีสติปัญญา พวกไม่มีฝีไม้ลายมือ จึงเป็นกรรมกรกระทั่งเป็นผู้รับใช้ หรือเป็นบ่าวเป็นทาส ทำงานต่ำๆโดยไม่ต้องมีสติปัญญา.  นี่เขาแบ่งเป็น 4 วรรณะอย่างนี้.
          ที่เขามีการแบ่งวรรณะทั้งสี่อย่างนี้ เขาก็อยู่กันได้ ในเมื่อมันแบ่งวรรณะกันโดยหน้าที่การงาน.  ต่อมามันเหลวแหลก  ไม่แบ่งวรรณะกันโดยหน้าที่การงาน เกิดไปแบ่งวรรณะกันโดยชาติหรือกำเนิด  เกิดมาอย่างไรในวรรณะไหน  ก็จะเป็นวรรณะนั้นไป จนยกตัวเหนือผู้อื่นเหนือวรรณะอื่น;  ผลมันต่างกัน  คุณต้องเข้าใจให้ดี  ว่าระบบวรรณะ caste system มันมี 2 ความหมาย  อนัหนึ่งเลวร้ายที่สุด  ก็คือถือเอาชาติกำเนิดเป็นหลัก  อีกอันหนึ่งถุกต้องตามธรรมชาติที่สุด  ก็คือเอาหน้าที่การงานเป็นหลัก.  อย่างหลังนี้ ธรรมชาติจัดสรร เอาหน้าที่การงานเป็นหลัก;  ถ้ามนุษย์ผู้มีกิเลสจัดสรร ก้เอาชาติกำเนิดเป็นหลัก.  วรรณะที่เอาชาติกำเนิดเป็นหลักนี้ พระพุทธเจ้าท่านติเตียน ท่านสอนให้เลิก แล้วท่านตรัสเรื่องกรรม ว่ากรรมเป็นผู้จำแนกสัตว์ให้เป็นประเภทๆหรือเป็นพวกๆไป.
          นี่ก็แปลว่าวรรณะตามหน้าที่การงาน ก็ให้มันยังคงมีอยู่ตามเดิม ใครทำหน้าที่ปกครองและคุ้มครองประเทศชาติ ก็เป็นพวกวรรณะกษัตริย์, ใครเป็นครูบาอาจารย์ในทุกแขนง ก็เป็นวรรณะพราหมณ์, ใครประกอบกรรมอันเป็นกระดูกสันหลังของประเทศชาติ  เขาก็เป็นวรรณะแพศย์ คนนอกนั้นไม่มีสติปัญญาเขาก็เป็นวรรณะศูทร.  เรื่องนี้พวกกรีกบางพวก บางสมัยเขาก็มีหลักอย่างนี้ คือว่าทำหน้าที่กันเป็นพวกๆไป แล้วก็เตรียมๆ เตรียมให้มันได้อย่างนั้น มีการเตรียมให้ได้อย่างนั้น วรรณะไหน พวกไหน ก็มีการเตรียม ให้เขาได้ทำหน้าที่ของเขาโดยสมบูรณ์ ให้พร้อมให้เหมาะ ที่จะทำหน้าที่โดยสมบูรณ์ มันก็มีความสมบูรณ์กันทั้ง 4 วรรณะ ในหน้าที่การงานของตน.  ประเทศชาติมันก็เป็นปึกแผ่น หรือมั่นคงไม่ก้าวก่าย.
          นี่เราจะเห็นได้ทันทีว่า การแบ่งวรรณะก็มีอะไรดี มันไม่ปนกันยุ่งเหมือนอย่างสมัยนี้ วรรณะกัตริย์ก็เตรียมไว้สำหรับการปกครองโดยเฉพาะ แล้วเขาก็รักษาหน้าที่ รักษาเครดิตของตัวไว้ ก็มีแต่คนที่เหมาะสมที่จะเป็นผู้ปกครองหรือคุ้มครอง.  ยกตัวอย่างเช่นประเทศศากยะ ที่เป็นประเทศที่พระพุทธเจ้าถือชาติกำเนิด แม้จะเป็นประเทศเล็กๆเช่นเดียวกับประเทศลิจฉวี ที่ว่าเก่งนักในการรบก็เป็นประเทศเล็กๆแล้วยังมีประเทศอื่นๆอีกมาก  ที่เป็นประเทสเล็กอย่างนี้ปกครองกันโดยวรรณะกัตริย์.  วรรณะกษัตริย์ก็มีจำนวนมากมายเหมือนกัน เพราะอยู่ในวรรณะกษัตริย์.  วรรณะกษัตริย์ก็มีจำนวนมากมายเหมือนกัน เพราะอยู่ในวรรณะกษัตริย์ อบรมกันอย่างกษัตริย์ เอากัตริย์เท่านั้นมาเป็นสมาชิกแห่งรัฐสภา  ไม่มีวรรณะอื่นเข้ามาเลย.  รัฐสภาคือที่ประชุมของวรรณะกษัตริย์ มีจำนวนร้อยจำนวนพัน แล้วพระราชาองค์หนึ่งนั้น ก้แล้วแต่จะสมมติ เช่นประเทศศากยะก็สมมติให้กัตริย์คนใดคนหนึ่ง ที่ได้รับเลือกดีแล้วนี้ หรือตามระบบมณเฑียรบาลหรืออะไรก็ตาม เป็นกษัตริย์จนตลอดชีวิตก็มีอย่างประเทศศากยะ; หรือเป็นกษัตริย์เพียงชั่วกำหนดปี อย่างพวกลิจฉวีอย่างนี้ก็มี; หรือจะผลัดกันเป็นเพียงเดือนๆนี้ก็มีในบางคราว  มันก็คล้ายๆกับประธานสภา  ประธานรัฐสภา.  ทุกคนเป็นกษัตริย์อบรมมาอย่างกษัตริย์ ก็ต้องทำหน้าที่ให้ดี ทั้งในการปกครองและการคุ้มครอง เพราะฝึกฝนแต่หน้าที่นั้นโดยเฉพาะ.  อย่างที่ผมเล่าให้ฟังเกี่ยวกับกัตริย์ลิจฉวีครั้งนั้น ซึ่งจะต้องตื่นตั้งแต่ตี 3 ตี 4 ฝึกเพลงอาวุธ ไม่เห็นแก่นอนเหมือนคนสมัยนี้แล้วก็ให้ความนับถือแก่สตรี นั่นก็เป็นเรื่องของสุภาพบุรุษที่สุด  และเป็นนักรบที่สุภาพที่สุด  จึงเก่งขนาดรบกับประเทศใหญ่ๆอย่างประเทศมคธได้.
          นี่เราดูตรงที่รัฐบาลเป็นกษัตริย์ล้วน ก็ย่อมทำหน้าที่ได้ดี ตามลักษณะของบุคคล ที่จัดไว้เพื่อการนี้โดยเฉพาะ มันเป็นกฏของธรรมชาติที่สุดแล้ว.  เราต้องการนมที่ดีและมาก เราก็ต้องจัดสรรพันธุ์วัวไว้โดยเฉพาะ เพื่อเป็นวัวนม.  ถ้าเราต้องการเนื้อของมัน เราก็ต้องจัดสรรพันธุ์เนื้อโดยเฉพาะ เพื่อจะให้มันมีเนื้อดีและมาก ถ้าเราต้องการวัวใช้งาน เราก็จะต้องจัดสรรพันธุ์วัวใช้งาน ไถนาลากเกวียนโดยเฉพาะ มันจึงดีที่สุด.  ผมไปเห็นวัวที่อินเดียมันมีนมโตกว่าปีปน้ำมันก๊าด เท่าโอ่งเล็กเห็นจะได้ แล้วรีดนมได้ทีหนึ่งก็ปีปหนึ่งก็มี  มันคล้ายๆสัตว์ครึ่งวัวครึ่งความอะไรก็ไม่รู้ วัวชนิดนี้ตัวมันก็โตพอสมควร ไม่ใช่ใหญ่โตอะไรนัก แต่นมของมันใหญ่ จนขาหุบไม่ได้ แล้วเป็นวัวชนิดที่เดินไปไนหมาไหนไม่ค่อยได้ ต้องนอนอยู่กะที่เป็นส่วนใหญ่ เพราะมันถุกจัดสรรไว้โดยเฉพาะ จึงได้วัวนมพันธุ์นี้.
          ทีนี้คนก็เหมือนกัน  ที่ตจะเป็นวรรณะกัตริย์หรือพราหมณ์ แพศย์หรือศูทรก็ต้องเป็นเรื่องจัดไว้เฉพาะ มันจึงจะได้ผลดี.  เดี๋ยวนี้ไปเก็บเอาตาสีตาสามาเป็นสมาชิกรัฐสภา มันเป็นเรื่องบ้าหรือเรื่องดีลองคิดดู แล้วก็ร้องตะโกน ว่าประชาธิปไตนย-ประชาธิปไตย ให้ทุกคนมีสิทธิ์ มีอะไรเสมอกัน แล้วมันเป็นได้หรือ? จะเอาวัวนมชนิดนี้ไปลากเกวียน มันจะทำได้หรือ? จะเอาวัวลากเกวียนมารีดนม มันจะพอกินหรือ? เพราะฉะนั้นผมจึงบูชาระบบวรรณะกษัตริย์ ซึ่งมีไว้เฉพาะเพื่อการคุ้มครองและการปกครองอยู่ในใจ ว่าถ้าได้จัดสรรให้ดีโดยเฉพาะ ให้มีกลุ่มหนึ่งไว้สำหรับเป็นนักการเมือง มันก็ดีเท่านั้น.  วรรณะกษัตริย์นั่นแหละ คือนักการเมืองของสมัยพุทธกาลอย่างที่ว่านี้ เพราะว่ารัฐสภานั้นมีแต่วรรณะกษัตริย์ล้วนจัดไว้เฉพาะเพื่อการนั้น.  ก็มีเหมือนกัน ที่เกิดเหลวไหลกันขึ้นในวรรณะกัตริย์บ้านแตกสาแหรกขาดอย่างนี้ก็มี แต่มันเป็นเรื่องทำผิดหลักการ เป็นไปนอกหลักการ.  ถ้าไปตามหลักการแล้ว มันก็จะดี, แล้วมันก็ควรจะมีการเข้มงวดจัดสรรกันให้ดี เหมือนพวกสะปาตาร์ เอากันอย่างรุนแรงขนาดนั้นมันก็ยังดี แต่ว่าถ้าจะเกินไปบ้าง ก็ลดลงมาเสีย เรื่องอย่างนี้ พวกกรีกพวกโรมันสมัยหนึ่งจึงวเจริญด้วยการรบหรือการปกครองเป็นต้น เพราะเขามีการจัดสรรเฉพาะ.
          เดี๋ยวนี้ตาสีตาสาก็ไปเป็นสมาชิกรัฐสภา นายทุนก็เป็นสมาชิกรัฐสภา กรรมกรก็เป็นรัฐสภา มันก็ปนกันยุ่งไปหมด มันก็เป็นที่ทะเลาะวิวาท.  ทีนี้ก็”ปเกิดระบบพรรค ก้าวหน้าไปในระบบพรรค มันก็คือการด่ากันอย่างที่สุนัขก็ไม่ฟัง  เหมือนเมื่อเร็วๆนี้ มีการโฆษณาระหว่างพรรค มีการคุ้ยอะไรมาด่ากันอย่างที่ถ้าพูดตามภาษาพุทธบริษัทแล้ว เรียกว่าคำพูดอย่างนั้นแม้สุนัขก็จะไม่ฟัง.  นี่คือความก้าวหน้าของระบบการเมืองอย่างแบบวัตถุนิยม หรือประโยชนาธิปไตย, มาราธิปไตย.  แล้วใช้เงิน ใช้อะไรไปเป็นเครื่องมือหาอำนาจทางการเมือง อย่างนี้มันไม่เป็นธรรมาธิปไตยได้ มือใครยาวก็สาวเอา ใครดีใครได้ ใช้เงินเพื่อมีอำนาจในการปกครองบ้านเมือง เพื่อจะเป็นสมาชิกรัฐสภาด้วยกันทุกๆวรรณะ แม้แต่วรรณะศูทรซึ่งมีหน้าที่เทขยะ กวาดถนนก็ต้องการจะเป็นสมาชิกรัฐสภา มันก็เลือกไปตามอารมณ์ ตามใจชอบ ตามประโยชน์อีกนั่นเอง ฉะนั้นมันก็เป็นลัทธิประโยชนาธิปไตยอยู่เรื่อยไป ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น.
          ย้อนกลับไปดูระบบการเมืองครั้งพุทธกาลอีกนิดหนึ่งว่า วรรณะกษัตริย์อันมหาศาล คือมีมาก และอบรมมาโดยเฉพาะ ประชุมกันเป็นรัฐสภา แล้วก็มอบอำนาจเผด็จการให้แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ในขอบเขตจำกัด หรือชั่วเวลาจำกัด เป็นประธานรัฐสภา.  คุณมองดูเถอะ ว่าความถูกต้องหรือความสะอาดบริสุทธิ์ มันมีได้ง่าย หรือมีได้ยากเพียงไร ผิดกันอย่างไร; แล้วไม่ปรากฏการทะเลาะวิวาทในรัฐสภา ซึ่งเดี๋ยวนี้มีการด่ากัน มีการขว้างกันด้วยขวดหมึก ขว้างกันด้วยรองเท้า ชักปืนยิงกันท่ามกลางรัฐสภามันก็มาราธิปไตย คือเอาอำนาจเป็นใหญ่.  ผมจึงกล้าพูดด้วยใจจริงว่า ชอบระบบเผด็จการโดยคนดี เผด็จการโดยธรรม โดยคนดีมีธรรม โดยเห็นว่าพระพุทธเจ้า ท่านทำถูกแล้ว คือพระพุทธเจ้าท่านเป็นเผด็จการ.  ครั้งพระองค์ท่านมีชีวิตอยู่ ท่านปกครองคณะสงฆ์โดยวิธีเผด็จการ 100 เปอร์เซ็นต์ทั้งทางวินัยและทั้งทางธรรม.  ทางระเบียบวินัย พระพุทธเจ้าอยู่เหนือวินัย เป็นเผด็จการ ท่านว่าอะไรเป็นนั่น ถอนก็ได้ เพิ่มก็ได้ แล้วอาบัติที่ภิกษุต้อง พระองค์ไม่ต้อง คือว่าทรงเป็นเผด็จการทางวินัยอย่างนี้.  ส่วนเผด็จการทางธรรม คือบัญญัติหลักธรรมตามความตรัสรู้ ที่ยืนยันความถูกต้อง เรียกพระองค์เองว่าเป็นธรรมราชา.
          พระพุทธเจ้าเป็นเผด็จการเต็มเนื้อเต็มตัว ทั้งเนื้อตัว ผมมองแล้วก็รู้สึกชอบเผด็จการโดยคนดี.  ทีนี้เดี๋ยวนี้เขามาแก้ตัวว่า คนดีมันหาไม่ได้; ก็แน่ละซิ จะเอาทั้งฝูงมาเผด็จการ แล้วมันจะดีได้อย่างไร ในเมื่อคนดีคนเดียวก็ยังหาไม่ได้ แล้วจะหาคนดีเป็นฝูงๆได้อย่างไร มันก็เปะปะไปหมด.  ฉะนั้นมันจึงควรจะเตรียม มีการเตรียมสมาชิกของประเทศไว้เป็นพวกๆโดยถือธรรมเป็นหลัก  ให้ผู้มีธรรมเป็นผู้ปกครองประเทศ เป็นธรรมาธิปไตยขึ้นมา.  เมื่อพระพุทธเจ้าจะนิพพานแล้ว ท่านตรัสว่า “ธรรมวินัยอันใด ที่เราตถาคตบัญญัติไว้ แสดงไว้ อันนั้นจะอยู่เป็นศาสดาแก่พวกเธอ หลังจากตถาคตล่วงลับไปแล้ว” นี่ลองคิดดู พระองค์ให้เอาธรรมวินัยเป็นศาสดา มีธรรมวินัยเป็นพระศาสดา คือถ้าระบบการปกครองให้ถือเอาวินัยเป็นหลัก, ถ้าระบบปฏิบัติดับทุกข์ ให้เอาธรรมเป็นหลัก.  เอาวินัยเป็นหลัก คือเป็นไปในรูปคณะสงฆ์ มีลักษณะเป็นประชาธิปไตยที่เอาวินัยนั้นเป็นหลัก คือเป็นไปในรูปคณะสงฆ์ มีลักษณะเป็นประชาธิปไตยที่เอาวินัยนั้นเป็นหลัก ไม่ใช่เอามติเอาเสียงคนเป็นหลัก.  ถึงแม้ว่าจะมอบให้คณะสงฆ์เป็นใหญ่ ยังทรงกำชับว่า ให้ฟังเสียงพระเถระ ผู้รู้มาก ผู้มีอายุมาก, คือผู้มีอายุมาก ผู้มีราตรียาวนาน นั้นหมายความว่าท่านเป็นผู้มี experience มาก ให้เชื่อฟังหรือปรึกษาคนอย่างนั้น.  ให้เอาวินัยเป็นหลักให้ถือว่าพระศาสดายังมีชีวิตอยู่ โดยธรรมวินัย.  นี่กล่าวให้ถุกต้องที่สุดแล้วก็คือ ธรรมาธิปไตย มีธรรมเป็นหลักอยู่เสมอไป แล้วก็ให้ธรรมวินัยนั่นแหละเผด็จการ.  ในก็มีวิญญาณแห่งเผด็จการอยู่เรื่อย ฉะนั้น พุทธบริษัทเราจึงมีการปกครองอย่างเผด็จการโดยธรรมของธรรมอยู่เรื่อยไป เป็นธรรมาธิปไตยทั้งเนื้อทั้งตัว โดยประการทั้งปวงเลย.
          เดี๋ยวนี้ ระวังให้ดี แม้พุทธบริษัทนี้ก็กำลังทิ้งพระบรมธรรม กำลังทิ้งพระวินัย มีธรรม มีวินัยกันแต่ปากเสียโดยมาก มันก็รวนเร แล้วก็เผลอไปเดินตามก้นชาวบ้าน เกิดจะมีรัฐสภาแบบชาวบ้าน จะมีสมาชิกสังฆสภาแบบชาวบ้าน แล้วก็จะมีอะไรกันตามก้นฝรั่ง ก็เลยทำให้น่าสงสารที่สุด.  มีอยู่คราวหนึ่งซึ่งเกิดเมาประชาธิปไตยขึ้นมาในหมู่คณะสงฆ์ ไปเอาแบบชาวบ้านมาใช้ มันก็”ปไม่รอด คือมันเป็นธรรมาธิปไตยยากขึ้นทุกที เพราะไปเมาแบบชาวบ้าน ก็เลยเป็นธรรมาธิปไตยยากขึ้นทุกที; มันต้องเป็นตัวเอง ตัวเองเป็นธรรมะ ธรรมะเป็นตัวเอง จึงจะมีธรรมาธิปไตยเหลืออยู่.  เพราะฉะนั้นเมื่อเรามีปัญหาเกิดขึ้นในเรื่องนี้ ก็จะต้องนึกถึงสปิริตดัง้เดิมของพุทธบริษัท มีธรรมะ มีวินัย นี่แหละเป็นหลัก เป็นเผด็จการ.
          เมื่อเป็นไปอย่างว่านี้ การบริหาร จะบริหารไปโดยบุคคลก็ได้ โดยหมู่คณะก็ได้ หากว่ามันเป็นธรรมาธิปไตย คือมีธรรมเป็นหลัก และมีคนดี.  บุคคลเผด็จการก็ดี หมู่คณะเผด็จการก็ดี หรือว่าถ้าทำได้ก็เอาทั้งหมดเผด็จการก็ดี แต่มันเป็นไปไม่ได้ จะเอาคนดีที่ไหนมาเป็นฝูงๆ เหมือนที่ว่าแล้ว.  แล้วยิ่งมาถึงเดี๋ยวนี้ เป็นประชาธิปไตยถึงขนาดที่ว่า ไม่ยอมใครให้ใครมีอะไรพิเศษตามแบบของตัว  มีแต่จะให้มันเหมือนกันไปหมด เลยกลายเป็นหลับตาทำ หลับตาคิด หลับตาพูด : วรรณะกษัตริย์ก็ไม่ได้รับโอกาสที่จะเป็นวรรณะกษัตริย์, วรรณะครูบาอาจารย์ก็ไม่มีโอกาสที่จะเป็นครูบาอาจารย์เต็มตัว, วรรณะช่างเทคนิคผู้ประกอบการงาน ก็ไปเป็นนักการเมือง ไม่มีการทำอะไรตามหน้าที่ของตนๆ, วรรณะศูทรก็มีสิทธิที่จะตะโกนด่า ซึ่งเมื่อก่อนเขาเจียมตัว มัธยัสถ์ไม่อ้าปาก.  เดี๋ยวนี้วรรณะชนกรรมาชีพอะไรก็ตาม มีสิทธิที่จะตะโกนด่าและจับอาวุธขึ้นต่อสู้ ไม่รู้ว่าเป็นระบบการเมืองประเภทไหน ผมจึงเรียกว่า ปีศาจอธิปไตย มาราธิปไตย ซาตานอธิปไตย ถูกหรือไม่ถูก คุณไปคิดกันดู.  แล้วก็โฆษณาในนามประชาธิปไตยอย่างหรูหรา อย่างไพเราะที่สุดว่าของประชาชน เพื่อประชาชน โดยประชาชน แล้วประชาชนแต่ละคนอยู่ใต้อำนาจของกิเลสหรือซาตานเลยดูไม่ออก ว่าเป็นอะไรกันแน่.
          ด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้ บรมธรรม เข้ามาไม่จุ ไม่มีใครทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ ไม่มีใครมความรักสากล ไม่มีความเต็มเปี่ยมแห่งความเป็นมนุษย์ ไม่มีความสงบสุขตามที่มนุษย์ควรจะได้รับ นี่คือผลของระบบการเมืองที่สับสน จนไม่รู้ว่าเป็นอะไร เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรียกว่า นิพพาน จึงหายาก แม้แต่นิพพานชั่วขณะจิตหนึ่ง ชั่วขณะหนึ่งๆ.  นี้มันเลวกว่าธรรมชาติ ถ้าปล่อยไปตามธรรมชาติ มันก็ยังมีนิพพานชั่วคราวมากพอที่จะดูได้ มีความสงบเย็นไปตามธรรมชาติ ตามความบังเอิญ ตามความประจวบเหมาะ นี้ก็ยังมีให้ดูอยู่มาก.  ฉะนั้นควรจะตะโกนกันใหม่ว่า ธรรมาธิปไตย-ธรรมาธิปไตย ใครมีสติปัญญาก็ควรที่จะตะโกนหาธรรมาธิปไตย อย่าตะโกนหาประชาธิปไตย เพราะว่ามันกำกวมไม่รู้ว่าประชานั้นยเป็นประชาของซาตาน หรือว่าประชาชนของธรรมะ ของพระเจ้า.  ถ้าเป็นประชาชนของพระเจ้า ก็วิเศษ ถ้าเป็นประชาชนของซาตาน ก็ฉิบหายหมดเลย.  ซาตานนั้นเป็นภาวะทดสอบของพระเจ้า มายั่วให้คนแสดงการประพฤติ หรือกระทำออกมาผิดจะได้ลงโทษให้สาสม ถุกจะให้รางวัล; พระเจ้าส่งซาตานมาทดสอบมนุษย์อย่างนี้.  เดี๋ยวนี้มนุษย์ตกหลุมพรางของซาตาน มีประโยชน์เป็นใหญ่ มีเนื้อหนังเป็นใหญ่ พระเจ้าก็หัวเราะอยู่ แล้วก็ลงโทษมนุษย์เรื่อยไป ให้มีวิกฤตกาลถาวรนานาชนิด.  นี่เราจะต้องตะโกนกันใหม่ เรียกหาธรรมาธิปไตย เรียกหาพระเจ้าที่ถูกต้อง มให้พ้นอำนาจซาตานกันเสียที.  เรียกหาธรรมะที่ถูกต้อง แล้วมันก็จะมีบรมธรรมงอกงามขึ้นมาๆมีความสุข มีความเต็มเปี่ยมแห่งความเป็นมนุษย์ ทุกคนทำหน้าที่ของมนุษย์เพื่อหน้าที่ ไม่เรียกร้องสิทธิอะไร เรียกร้องสิทธิเพื่อจะทำหน้าที่ของมนุษย์อย่างเดียว.
          เมื่อเป็นอย่างนี้ ประโยชน์หรืออาหาร หรืออะไรก็ตาม เครื่องอุปโภคบริโภคอะไรก็ตาม มันก็เหลือ คือเหลือกิน เหลือใช้ เพราะไม่มีใครอยากกิน อยากใช้ที่เกินกว่าจำเป็น มันก็เหลือกิน-เหลือใช้.  เดี๋ยวนี้เอาไปพล่าเป็นเหยื่อทางกามารมณ์ ยกตัวอย่างสักอย่างหนึ่ง ในหลายร้อยหลายพันอย่าง เช่นน้ำมันรถยนต์ที่เอามาเผากัน วันหนึ่งๆนั้น มันเพื่ออะไร เพื่อความจำเป็นแก่ชีวิตมนุษย์นั้นไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นก็เพื่อกามารมณ์ความสนุกสนานในการไปเที่ยวกับเพื่อนระหว่างเพศ หรือว่าไปสนุกสนานอย่างอื่น และที่มากที่สุดก็คือเผาไปในการรบราฆ่าฟัน หรือการทำสงครามเพื่อล้างผลาญมนุษย์เพื่อประโยชน์เป็นวัตถุของตนเอง เพื่อกามารมณ์ในที่สุดอีกเหมือนกัน. คุณต้องมองสงครามนี้ให้เห็นว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและทำไปเพื่อผลสุดท้ายคือกามารมณ์.  เขาต้องการได้รับชัยชนะเพื่อได้อะไรมามากๆเพื่ออยู่ดี-กินดีของตัว เลยระดับธรรมชาติ ไปเป็นระบบกามารมณ์ทั้งนั้น ก็เหมือนกับพวกชฎิลบูชายัญ บอกว่าทั้งหมดนี้เพื่อผล คือสตรี.  มนุษย์ในโลกดิ้นรนนานาชนิด ทุกวันนี้ เพื่อผลทางวัตถุหรือเนื้อหนัง เพราะฉะนั้นน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิด จึงถูกเผาไปเพื่อซาตานเพื่อพญามารตั้ง 99 เปอร์เซ็นต์ เพียง 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่ใช้ไปเพื่อความจำเป็นของมนุษย์ที่แท้จริง.  แล้วคุณต้องรู้จักคำนวณว่า ที่มันขยายอะไรออกไปให้มากนั้น มันขยายเพื่อกามารมณ์ เพื่อความฟุ้งเฟ้อเกินจำเป็นทั้งนั้น ขยายนั่น ขยายนี่ ที่จริงคนก็ไม่ต้องไป ไม่ต้องบินไปไหน-มาไหนในโลกนี้ก็ได้ ก็ยังทำความผาสุกได้.  นี้มันเหมือนกับแกล้ง แกล้งขยายเรื่องให้มันมากออกไป จนต้องบินไปนั่น-มานี่ ต้องวิ่งไปนั่น-มานี่ ต้องใช้น้ำมัน แต่ความจริงไม่ต้องไปก็ได้ คุณไปคิดดูเองที่คุณอยากจะไปเมืองนอกเมืองนานั้นไปคิดดูเอง ความจริงไม่ต้องไปก็ได้ ธรรมชาติไม่ได้ต้องการอะไรมากถึงขนาดนั้น อยู่กันได้เป็นสงบสุขตามเดิม โดยไม่ต้องมีอะไรมากถึงขนาดนั้น.  เดี๋ยวนี้ทำเรื่องให้เป็นเรื่องของเปรต คือหิวไม่มีสิ้นสุดเสียแล้ว ฉะนั้นจึงต้องมีอะไรมาก จนไม่พออยู่เรื่อยไป.  น้ำมันก็ไม่พอใช้ อะไรก็ไม่พอใช้ กระทั่งข้าวสารก็ไม่พอใช้  นี้เพราะขยายระบบวัตถุนิยมออกไปไม่มีที่สิ้นสุด เพราะฉะนั้นการเป็นอยู่ การครองชีพ อะไรๆมันก็ไม่พออยู่เรื่อยไป เพิ่มเงิน เพิ่มเงินเดือน เพิ่มรายได้ กันอีกสักเท่าไร มันก็จะไม่พออยู่เรื่อยไป เพราะมันเป็นระบบเปรต คือหิวไม่มีที่สิ้นสุด.
          ระบบการเมืองนี้ ถ้าตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลสแล้ว มีนก็เป็นการหิวไม่มีที่สิ้นสุด เรียกว่าพลเมืองเป็นเปรตทั้งนั้น เพราะหิวไม่มีที่สิ้นสุด เพราะฉะนั้นระบบการปกครองก็คือกิเลสาธิปไตย คือทำให้หิวไม่มีสิ้นสุด.  จะแก้ได้ก็โดยตะโกนกันเสียใหม่ ตะโกนหาธรรมาธิปไตย หาพระเจ้า หาธรรมะ หาบรมธรรมก็ยิ่งดี.  คำเหล่านี้ก็เข้าใจกันแล้ว ในการบรรยายครั้งก่อนๆ.
          เดี๋ยวนี้ เราดูกันให้ดี ว่าระบบการเมือง การปกครองที่แท้จริง เป็นอย่างไร.  คนรู้จักบางคน เพื่อนฝูงบางคน กำลังเสียผลเลิศ เขียนเล่ามาถึงผมก็มี ว่าเดี๋ยวนี้การเมืองกำลังจะเป็นธรรมะ กำลังจะหมุนกลับไปเป็นธรรมะ แล้วยังคุยอีกว่า ประเทศไทยจะเป็นประเทศแรก และเป็นต้นกำเนิดที่การเมืองจะกลับไปเป็นธรรม ผมก็อนุโมทนาสาธุด้วย ยินดีด้วยภาวนาอย่างยิ่ง ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ.  ให้ระบบการเมืองนี้ กลับไปเป็นธรรม ประกอบไปด้วยธรรม ให้ประเทศไทยนี้เป็นจุดแรก ประเทศแรกเป็นที่ก่อกำเนิดของการเมืองระบอบใหม่ที่เป็นธรรม.  การเมืองทั้งโลกมันเป็นระบอบกิเลสาธิปไตย เป็นอธรรมอธิปไตยไปหมดแล้ว ให้ประเทศไทยเป็นจุดกำเนิดของการเมืองที่เป็นธรรม ก็ขอโมทนาสาธุ ขออธิษฐาน ขอภาวนาแป็นอย่างยิ่ง ถ้าคุณเห็นด้วย ก็ให้ช่วยกันภาวนาให้เป็นอย่างนั้น ให้การเมืองเป็นธรรม ให้ธรรมปกครองโลก แล้วบรมธรรมอันเป็นอย่างวิเศษนี้ ก็จะเต็มไปหมดทุกหนทุกแห่ง ไม่มีความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าเหมือนเดี๋ยวนี้.
          แต่ดูแล้วยังหวังยาก เพราะระบบการเมืองได้ก้าวหน้ามาถึงระบบพรรคที่สาวไส้มาด่ากันจนสุนัขไม่ฟังแล้ว เหมือนอย่างที่ว่าแล้ว มันจะเป็นไปได้หรือไม่ คุณก็คอยดูกันต่อไป.
          เวลาของเราจะหมดแล้ว ผมก็อยากจะพูดนิดหนึ่งว่า ผมพูนี้เป็นการพูดอย่าง emotional หรือเปล่า?  มีบางคนมักจะหาว่า ผมด่าคนตามอารมณ์ emotional;  ผมยืนยันได้ ว่าผมพูดไปตามความรู้สึก พูดไปตามความจริงที่มองเห็น ไม่ปล่อยจิตให้เป็นไปตามอารมณ์ หรือเป็นเจ้าอารมณ์ หรือใช้อารมณ์ขัดแค้น แล้วด่าใคร.  ผมนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก และอยากจะทำอะไรๆให้เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านแนะ ท่านต้องการ และท่านทำเป็นตัวอย่าง อยากจะให้มีธรรมราชาครองโลก ในลักษณะเผด็จการ ให้มันเร็วกว่า ดีกว่า ง่ายกว่า;  มีคนดีคนเดียว หาได้ง่ายกว่าหาคนดีมาเป็นฝูงๆ ให้พยายามที่จะมีระบบจัดสรร เหมือนจัดสรรวัวนมเพื่อกินนม จัดสรรวัวเนื้อเพื่อกินเนื้อ จัดสรรวัวแรงงานเพื่อใช้แรงงาน นั่นแหละดี มันจะได้ผลเต็มตามความมุ่งหมายให้ระบบการเมืองของเรามีการจัดสรรอย่างนี้ อย่าเอาไปปนกันยุ่งจนไม่รู้ว่าในรัฐสภานั้น มีสมาชิกชนิดไหน จะได้เป็นสมาชิกของรัฐบาลที่ถูกต้อง.  มีพุทธภาษิตว่า ถ้าไม่มีสัตบุรุษในที่ประชุมนั้นแล้ว นั่นไม่ใช่สภา.  สัตบุรุษคือบุคคลที่มีศีละรรมะ มีความสงบ เขาเรียกว่า “สัตบุรุษ” ถ้าไม่มีในที่ประชุมใดที่ประชุมนั้นไม่เรียกว่าสภา.  ในรัฐสภานั้นถ้าไม่มีสัตบุรุษก็เป็นรัฐสภาไปไม่ได้ มันเป็นกลุ่มคนขี้เมา คนเห็นแก่ตัว คนเลือดเข้าตาด้วยเอาประโยชน์เป็นใหญ่ไปหมด ไม่มีบรมธรรม.  เมื่อไม่มีบรมธรรมในรัฐสภา ไม่มีบรมธรรมในหมู่คนที่มีอำนาจปกครองและคุ้มครอง จะมีบรมธรรมในหมู่คนทั้งหลายทั่วประเทศได้อย่างไร ขอให้ไปคิดดู.
          ถ้าใครสมัครจะเป็นพลเมืองของประเทศ พลเมืองของโลกที่ดี ก็ต้องนึกถึงระบบการปกครองหรือระบบการเมืองที่ดี ที่จะเป็นธรรมาธิปไตยอื่นๆลบออกไปหมดได้ ให้เหลือแต่คำว่า ธรรมาธิปไตยรูปเผด็ตจการก็ได้ ได้ทั้งนั้น ขอให้เป็นดีแล้ว มันก็ใช้ได้ดี.  เดี๋ยวนี้ทั่วไปทุกหนทุกแห่งขาดคนดีเห็นไหม?  แผนการหรือหลักการ หรือเทคนิคถุกต้องและดีหมด แต่แล้วปฏิบัติไปไม่ได้ เพราะขาดคนดี เราจึงยากลำบากอยู่ในการที่จะสร้างความสงบ และง่ายที่สุดที่จะสร้างความโกลาหลวุ่นวายไปตามๆกัน;  ทุกชาติ ทุกประเทศ สร้างความเจริญแบบรกไปด้วยความโกลาหลวุ่นวาย.
          คำว่า “เจริญ” นี้ แปลว่า รก คุณเป็นถึงนิสิตมหาวิทยาลัยแล้ว คุณอาจจะไม่รู้ก็ได้ ว่าคำว่าวัฑฒนะ นี้ แปลว่า รก รกหนาแน่นขึ้นมา.  ถ้ารกไปในทางที่ดี มันก็ดี ถ้ารกไปในทางไม่ดี มันก็ไม่ไหว. เผ้าผมรกรุงรังจนต้องตัด นี่ก็ใช้คำว่าวัฑฒนะเหมือนกัน ในภาษาบาลี.  เส้นผมขึ้นรกรุงรัง จนต้องไปโกนไปตัด นี่เรียกว่าผมมันวัฑฒนะ.  หญ้านั้นมันรกจนทำให้ลำบาก ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ นั่นก็เรียกว่าวัฑฒนะเหมือนกัน.  คำว่า วัฑฒนะ นี้ มันแปลว่า รกมากขึ้น รกหนามากขึ้น; จึงมีคำว่า “อย่าเป็นโลกวัฑฒนะ” คือ ย่าเป็นคนรกโลก – น สิยา โลกวฑฺฒโน; ไปเปิดดูในสมุดพุทธภาษิตนั้น มีคำว่า “อย่าเป็นคนรกโลก” คำนั้นคือ โลกวัฑฒนะ.  หนาแน่นรกไปในโลก เป็นคนรกโลก.  ถ้าแปลตามตัวหนังสือ ตามความรู้ของคุณแล้ว มันก็จะได้ความว่า อย่าเป็นคนทำโลกให้เจริญ อย่างนี้ก็บ้าเต็มที่ “อย่าเป็นคนทำโลกให้เจริญ”.  ถ้าแปลให้ถูกก็ต้องว่าเป็นคนรกโลก, วัฑฒนะตัวนี้ แปลว่ารก นั้นถูกแล้ว, อย่าเป็นรกโลก คือรกรุงรังไม่มีประโยชน์อะไร.  เดี๋ยวนี้เราใช้คำว่า วัฑฒนะ หรือ พัฒนา เช่น ไปพัฒนานั่น พัฒนานี่ ระวังให้ดี มันจะรกโลก คือรกไปด้วยความโกลาหลวุ่นวายหาความสงบไม่ได้.  ไม่ใช่ว่าเราจะมีกินมีใช้ หรูหราฟุ่มเฟือยกันแล้ว มันจะเป็นความสงบสุข ที่แท้จะโกลาหลวุ่นวายยิ่งไปกว่าเดิม เพราะฉะนั้น การพัฒนาทางวัตถุที่ล้ำหน้า ยิ่งกว่าพัฒนาทางจิตใจนี้ มันจะต้องนำมาซึ่งผลร้าย นี่ผมกล้าท้าอย่างนี้.
          ประเทสไหนก็ตาม จะทำการพัฒนาเป็นการใหญ่โตมโหฬาร ถ้ามันพัฒนาไปจนเกิน เกินความพัฒนาทางจิตใจแล้ว  จะมีแต่ผลร้ายอย่างเดียว เพราะฉะนั้นผมไม่นับถือ ไม่บูชาการพัฒนา ที่เขากำลังตื่นตูมกันอยู่ในเวลานี้ นี้ก็เนื่องมาจากระบบการเมืองไม่เป็นธรรมาธิปไตยนั่นเอง นักการเมืองจึงอนุญาตให้มีการพัฒนากันไปในทางรกโลก และสร้างความโกลาหลวุ่นวายในโลกให้มากขึ้นกว่าเดิม.1








1          ธรรมโฆษณ์ของพุทธทาส  เรื่องบรมธรรม, ลำดับที่ 19 บนแถบพื้นสีแดง, เรื่องที่ 9  บรมธรรม กับระบบการเมือง.    
            บรรยายวันที่ 14 เมษายน 2512, หน้า 155-172.