หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2562

คนแก่กับเด็ก - หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี






คนแก่กับเด็ก

จะเทศน์ให้ฟังถึงเรื่อง “คนแก่กับเด็ก” ซึ่งมันอยู่ห่างไกลกันนัก คนแก่ทำอย่างไรจึงเรียกว่าคนแก่ เด็กทำอย่างไรจึงเรียกว่าเด็ก แล้วมันวิเศษกว่ากันอย่างไร จะเทศน์ให้ฟังตอนยนี้ พระพุทธเจ้าทรงเทศนาว่า
โย  จ  วสฺสสตํ                    อปสฺสํ  อุทยพฺพยํ
เอกานํ  ชีวิตํ  เสยฺโย             ปสฺสโต  อุทยพฺพยํ
คนแก่  คือคนไม่พิจารณาถึงเรื่องความสิ้นความเสื่อมของชีวิตของตน มีอายุตั้งร้อยปี ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย สู้เด็กมันเกิดวันนั้นไม่ได้ เด็กเกิดวันนั้น แต่หากมันมีความคิดความอ่าน พิจารณาเห็นความเสื่อมความสิ้นไปของสังขารร่างกาย อันนั้นประเสริฐกว่า ท่านว่าอย่างนั้น ท่านเปรียบเฉยๆนี่แหละ ไม่ใช่ความจริง เด็กเกิดวันนั้นมันจะรู้จักพิจารณาอะไร ท่านเปรียบคนแก่กับเด็กเท่านั้น
คนแก่ ที่ไม่รู้เดียงสาอะไร เฒ่าเสียดาย ตายเสียเปล่า ท่านว่าอย่างนั้น เฒ่าแดดเฒ่าฝน ไม่คิดถึงชีวิตของตน ไม่เป็นผลอะไรแก่ตนเลย มัวเมาประมาทไปกับลูกหลาน มัวเมาประมาทไปกับสิ่งของ เก็ยบโน่นเก็บนี่ สะสมอะไรต่ออะไรต่างๆมากมาย กลัวแต่ลุกหลานจะไม่ได้อยู่ไม่ได้กิน กลัวแต่ลูกหลานจะไม่มี กลัวจะจน อันเราจนไม่รู้ตัว คนแก่ของเรามักเป็นอย่างนั้น อาตมาก็แก่คนหนึ่งเหมือนกัน มันต้องมักเป็นอย่างนั้น
ท่านจึงสอนให้คนแก่รู้ตัว  คนแก่ควรจะทำตนให้เป็นตัวอย่างกับคนหนุ่ม ให้กับเด็ก ตัวอย่างในทางที่ดี รู้จักสุภาพเรียบร้อย รู้จักพูดจาอ่อนหวาน ไม่พูดกระโชกโฮกฮาก ไม่พูดเหยียดหยามคนอื่น ไม่ทำอะไรให้วุ่นวี่วุ่นวายวู่วาม ไม่รู้จักมัธยัสถ์รักษาตัว ให้เป็นแบบอย่างแก่เด็ก
เรื่องคนแก่ที่ไม่หยุด ยังไม่เพียงพอ เราต้องรู้ดีทุกๆคน เราแก่มาแล้วเราต้องรู้ทุกๆคน รู้อยู่แต่ว่ายับยั้งไม่ได้ พูดอะไรต่างๆกระโชกกระชาก พูดโฮกฮาก สิ่งที่ไม่ควรพูดก็พูด เอาแต่ใจตน ไม่ได้อะไรตามใจตนแล้วก็เกิดโทสะมานะ อันนั้นแหละเป็นเหตุเป็นครูเด็กๆ เป็นผู้ใหญ่แล้วไม่ควรที่จะนำเด็กในทางที่ชั่ว อันเมื่อเด็กชั่ว ก็เชื่อว่ามันชั่วยิ่ง ด่าว่าด้วยประการต่างๆ มันชั่วมันเลวยิ่งกว่าเลว เราเลวกว่าเขาแล้วไม่ว่า ไม่รู้ตัวเอง
อย่างเช่นความโกรธ เกิดโกรธขึ้นมาก็พูดกระโชกโฮกฮากเสียงดัง อันที่แท้จริงนั่น เรามันเสียงดังกว่าเขาเสียอีก เขาเสียงดังไม่เท่าเรา ของเรามันดังยิ่งกว่าเขา อันนั้นเรียกว่าเราเลวกว่าเขา อย่าเข้าใจว่าเราดีกว่าเขา นี่พูดถึงเรื่องเด็กกับผู้ใหญ่
ผู้เฒ่าผู้แก่เข้าใจว่าดีทั้งหมด  อย่างที่ท่านเทศน์ไว้ว่า คนแก่เฒ่าไม่รู้จักพิจารณาถึงชีวิตสังขารของตน ว่าแก่เฒ่าชำรุดทรุดโทรมไปแล้ว มีอายุตั้งร้อยปี ก็ไม่มีประเสริฐอะไรเลย ยิ่งอยู่ไปนานเท่าไร ยิ่งเป็นเครื่องรกโลก คนไม่ดีอยู่นานปีเท่าไร ยิ่งรกโลก  อันนั้นเป็นเป็นคนแก่ในทางที่ไม่ดี
คนแก่ของคนไม่เหมือนต้นไม้ ต้นไม้แก่เท่าไรมันยิ่งมีแก่นแข็งแรงขึ้นทุกที แก่ของคนไม่เหมือนแก่ลูกไม้ผลไม้ ลูกไม้แก่เท่าไรยิ่งสุก ยิ่งหวาน แก่เหมือนมะพร้าวค่อยยังชั่วหน่อย แก่เท่าไรยิ่งมัน อันนั้นก็ยังดี
ความแก่ของคนนั่น อย่าพูดถึงเรื่องผมหงอกผมขาวแล้วจึงเรียกว่าแก่ แท้ที่จริงมันแก่มาตั้งแต่เกิด มันเปลี่ยนแปลงไปโดยลำดับ มันแก่มาโดยลำดับ แต่ไม่ได้พิจารณาถึงความแก่ของเรา ก็ไม่รู้เรื่องคนแก่ อยู่ด้วยความเพลิดเพลินด้วยความมัวเมา มัวเมาเข้าใจว่าเราจะไม่แก่ แท้ที่จริงแก่ทุกวี่ทุกวัน
เข้าใจว่าเราจะไมเจ็บ มัวเมาประมาท แต่แท้ที่จริงมันก็เจ็บอยู่ทุกวัน เจ็บไข้นั้นเข้าใจว่าล้มหมอนนอนเสื่อ จึงเรียกว่าไข้ ไม่ใช่อย่างนั้น คำว่า “ไข้” ว่า “อาพาธ” ในที่นี้หมายถึงความเมื่อย ความหิวกระหาย ความหิวโหย อยากกินนั่นกินนี่ มันป่วยไข้ด้วยกันทั้งนั้น ตายก็เข้าใจว่าเราจะไม่ตาย
ความประมาทมัวเมาเหล่านี้ ท่านเปรียบได้ว่า เกิดในวันนั้นแต่หากรู้จักความเสื่อมความสิ้นไปของสังขารร่างกาย ก็ประเสริฐกว่าคนแก่นั้นเสียอีด คนเราเกิดขึ้นมามันเป็นเอง อย่างที่โบราณท่านว่า หนามมันคมตั้งแต่ออกมาทีแรก ธรรมดาหนามนั้นมันคมตั้งแต่ผลิออกมาทีแรก คนเราจะมีสติปัญญาเฉียบแหลม มันต้องคมมาตั้งแต่เบื้องต้นเหมือนกัน
คนคืออะไร? ความคิดความอ่านมันต้องแปลกเพื่อน มันไม่เหมือนเพื่อน คิดอย่างเพื่อนแต่มันไม่เหมือนเขา อาตมายังจำได้คำโบราณท่านว่า คิดอย่างเขา แต่อย่าให้คิดอย่างเขา แต่ให้คิดอย่างเขา คือคิดอย่างเขานั่นแหละ แต่ไม่เหมือนเขา มันแปลกเขา มันมีแวววาวในตัว
เช่น ธรรมดาเกิดมาต้องรู้จักตัวของเราดีทุกคน แต่เด็กบางคนที่ผิดแปลกมันจำไม่ลืมเลย ตั้งแต่เกิดจำไม่ลืม มันผิดแปลกเพื่อนแล้วนั่น มันให้มีแตกต่างอยู่ในนั่นแหละ บางคนเกิดขึ้นมาแล้ว เกิดความศรัทธาเลื่อมใส ที่จะบวชในศาสนา มันเป็นอย่างนั้น
บางคนเกิดขึ้นมาแล้ว มาคิดถึงชีวิตร่างกายของตน หรือคนอื่นทั่วไปหมดทั้งโลก ทำไมหนอคนเราถึงต้องเกิดขึ้นมา ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย อย่างนั้นแหละมันให้มีอยู่ในนั้น ทำไมคนเราเกิดขึ้นมาแล้วถึงต้องมาเบียดเบียนกันและกัน มันให้มีอยู่ในใจของเขา ทุกคนมันมีอยู่คนละอย่างไม่เหมือนกัน อันนั้เนเรียกว่าแหลมคมมาแต่เบื้องต้น ตั้งแต่เกิดมาทีแรก
ครั้นเมื่อเติบโตได้ศึกษาเล่าเรียน เกิดความรู้ความฉลาด ก็ได้จากอันนั้น จนกระทั่งตั้งตัวตั้งตนเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ได้ ก็ดำเนินตามแนวความคิดความฉลาดแหลมคมของตน ที่เป้นมานั่น อย่างนี้จะเป็นวาสนาบารมีก็ใช่ หรือบางคนไม่คิดไม่นึกอะไรเลย เฉยๆเรื่อยๆเป็นไปตามบ้านตามเมืองตามหมู่ตามเพื่อน เขาจะทำอะไรก็ทำอันนั้น เขาคิดอะไรก็ไปตามเรื่องตามราวกับของเขา นี่จะเรียกว่าวาสนาก็ใช่
แต่ว่า นิสัยวาสนานั่นเราต้องช่วย วาสนาส่งเสริมมาให้เขาเป็นผู้เป็นคน ให้เป็นผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาด นั่นเรียกว่า วาสนาช่วยเหลือ ให้เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ แต่เราต้องช่วยวาสนาอีกทีหนึ่ง ไม่ใช่จะให้แต่วาสนาช่วยเราอย่างเดียว  เมื่อเราไม่เป็นเช่นเราภาวนาไม่เป็น บุญวาสนาก็ไม่มี เราต้องหัดต้องทำต้องอบรม นี่เรียกว่าเราช่วยวาสนา บุญบารมีของเราไม่มี เราทำไม่เป็นไม่รู้ไม่เข้าใจ เราต้องพิจารณา ต้องคิดต้องนึก ต้องจำต้องตั้งสติ พิจารณาให้รอบคอบรอบรู้ เรียกว่าเราช่วยวาสนา จะไปให้แต่วาสนาส่งเสริม อยากจะเป็นอยากจะได้ คอยท่าวาสนาส่งเสริม อย่างนั้นไม่ได้
การเกิดมาเรียกว่ามาสร้างบารมี มาสร้างวาสนา การกระทำนั่นแหละเป็นการสร้างบารมี สร้างวาสนา  ทำให้มันเคยชินจนชำนาญ จนติดนิสัย ตั้งสติกำหนดพิจารณาอันใด ก็ให้มันแน่วแน่เต็มที่ เมื่อเรายังไม่เคยปฏิบัติ สติสตังก็ยังไม่แน่วแน่ ฟุง้งซ่านส่งส่ายคือสติไม่มี เมื่อเรามาหัดสติเข้า แล้วควบคุมจิตอยู่ ให้แน่วแน่อยู่กับที่ เมื่อเราหัดได้แล้ว เรียกว่าช่วยวาสนาให้เจริญขึ้น ดีกว่าแต่ก่อน ดีกว่าไม่ได้หัด เมื่อทำให้มันดีอย่างนั้นแล้ว จะเอาอย่างไรกันอีกล่ะคราวนี้ จะเอาที่ไหน เมื อเห็นตัวเราแล้ว เมื่อเราอบรมฝึกฝนเห็นตัวของเราแล้ว มันเป็นไปอย่างนั้นแล้ว ก็ดีขึ้นแล้ว อย่างเช่น เราละชั่ว แต่ก่อนไม่เคยละ หรือไม่เคยพิจารณาเรื่องความชั่ว คราวนี้เรามารักษาศีล มาอบรมจิตใจให้ตั้งมั่นอยู่ในศีล ก็รู้จักว่า อ้อ! มันผิดข้อนั้นๆ ตรงนั้นๆ เราก็ระมัดระวัง เราก็ตั้งใจรักษาความดี ตั้งสติมั่นอยู่ตลอดเวลา  นั่นก็เป็นการช่วยเหลือนิสัยวาสนาของเรา มันก็ดีขึ้นแล้ว
นี่พอภาวนาเข้านิดๆหน่อยๆ ก็อยากจะให้บรรลุมรรคผลนิพพาน โอย! มรรคผลนิพพานนั่นเอาไว้ก่อนเถิด เอาเท่านี้เสียก่อน รักษาสติควบคุมจิตให้มันตั้งมั่นอยู่ ให้มันแน่วแน่นี่เสียก่อน มรรคผลนิพพานเอาไว้ต่างหาก มรรคผลนิพพานไม่ใช่ใครจะมายื่นให้ ไม่มีใครมาหยิบยานให้หรอก หยิบยื่นให้ได้แต่เพียงแค่หัดสติ ทำสมาธิให้แน่วแน่เท่านั้น หยิบยื่นให้ได้เพียงแค่นั้น ถ้าเอามันก็ได้ ถ้าไม่เอามันก็ไม่ได้ ถ้าทำอันนี้แก่กล้าแล้ว มรรคผลนิพพานมันก็ค่อยเป็นไปเอง มันไหลมาเอง
นี่เราพูดถึงเรื่อง “คนแก่กับเด็ก” เมื่อคนแก่ไม่ทำประโยชน์อะไร เกิดมาก็ไม่มีประโยชน์เลย อายุมากเท่าไรก็ไม่มีประโยชน์ สู้เด็กๆไม่ได้ เด็กมีอายุวันเดียว แต่หากมันช่างคิดช่างนึก ช่างพิจารณาถึงความเสื่อมความสิ้นของสังขารร่างกาย ว่ามันเป็นจริงย่างนั้นๆ ก็ดีกว่าคนแก่ นี่เปรียบเทียบคนแก่กับเด็ก
เอาละ.

***************


คำโบราณท่านว่า
คิดอย่างเขา
แต่อย่าคิดอย่างเขา
แต่ให้คิดอย่างเขา



นำนั่งสมาธิ


อธิบายให้ฟังแล้ว คนแก่สู้เด็กไม่ได้ คราวนี้เราจะให้ดีกว่าเด็ก เด็กเกิดวันนั้นมันพิจารณาอย่างไร มันจึงดีกว่าคนแก่
เราต้องเอาตัวของเรา พิจารณาตัวของเราคนแก่นี่แหละ ว่าเรานี้แก่แล้ว ความแก่เรามีอยู่ประจำตัว เอาความแก่เป็นอารมณ์ตรงนั้นก็แก่ ตรงนี้ก็แก่ เนื้อหนังมังสา รูปร่าง อัตภาพ ผิวพรรณ ทุกสิ่งทุกอย่างแก่หมด ซูบซีดไปทุกสิ่งทุกอย่าง เหี่ยวแห้งไปหมด เนื้อหนังมังสะหายไปไหน มันจึงเหี่ยวแห้ง ค่อยหมดสิ้นไป มันหายไปไหน? พิจารณาตรงนั้นแหละ แล้วมันจะดำเนินไปยิ่งกว่านั้นอีก
มันจะเป็นอะไรอีก?  มันเหี่ยวแห้งเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก หนังจะเหี่ยวแห้งไปจนติดกระดูก จนกระทั่งหลุดออกจากกระดูก เหลือแต่กระดูกแล้ว กระดูกจะเป็นอย่างไร มันก็ต้องกองอยู่ที่ดิน จะให้อยู่ยืนยาวนักก็อยู่ไม่ได้ เมื่ออาศัยไม่ได้มันก็หนี ตกลงเขาเรียกว่าอสุภะ ซากอสุภะ ยังเหลือแต่ซาก ตัวมันหนีไปแล้ว
แล้วเราจะยึดอะไรถืออะไร? ไม่มีเครื่องยึด พิจารณาลงอย่างนั้น เอาเฉพาะกายนี่แหละ เราพิจารณาอย่างนี้ก็จะชนะเด็ก การพิจารณาความเสื่อมความสิ้นก็พิจารณาอันนี้แหละ ให้เห็นอยู่ตลอดเวลา พิจารณาอยู่ทุกเมื่อ มันจะเห็นคุณค่าภายหลัง เมื่อเจ็บเมื่อป่วยตอนโนมันจึงค่อยเห็น พิจารณาให้เห็นตามเป็นจริงเสียในเวลานี้ เมื่อถึงคราวมันเป็นจริงขึ้นมา จิตใจจะไม่เดือดร้อนวุ่นวาย มีแต่ความสงบเยือกเย็น
พิจารณาเอาไว้ให้มากๆ ให้สมกับที่ว่าเป็นนักภาวนา เป็นนักกัมมัฏฐานนักภาวนา นักกัมมัฏฐานมันต้องเก่ง จึงจะเรียกว่า “นัก”  ให้มันชำนาญเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ เมื่อมันแก่เฒ่าชรามา ถึงคราวนั้นแล้วจะได้อาศัย ถ้ารอไว้จวนจะตายเสียก่อนค่อยพิจารณา จวนจะตายเสียก่อนจึงค่อยให้มันเห็น โอย! ถึงเวลานั้นมันไม่ได้หรอก  ต้องพิจารณาเวลานี้ละ ให้มันชำนิชำนาญ มันจะเห็นคุณประโยชน์ในเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย จะเห็นตามความเป็นจริง คือเราหัดพิจารณาของที่เป็นจริงเหล่านั้นแล้เว คราวนี้เราป่วยไข้ก็จะเห็นว่า มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เป็นจริงเหมือนดังที่เราภาวนา ดังที่เรารู้เห็นอยู่นั้น มันก็ปลงลงไปได้ มรณานุสติก็อยู่ในนั้น
คนเรามีการสิ้นสุดในขณะนั้นแหละ ทำอะไรๆทั้งหมดมันสิ้นสุดลงในขณะนั้นทั้งนั้น ทำดีก็ได้ในขณะนั้น ทำชั่วก็เห็นในขณะนั้น  อย่างที่อธิบายมาแล้วเรื่อง กรรมนิมิต-คตินิมิต  ที่เราทำอยู่นั้นเรียกกรรมนิมิต ทำดีอยู่เสมอๆ มันก็เห็นชัดอย่างนั้น เมื่อพิจารณาอย่างนั้นอยู่ เวลามันจะเกิดกรรมนิมิต มันก็เห็นอย่างนั้น เวลามันจะแตกจะดับก็ชัดอยู่อย่างนั้น คตินิมิตคือที่ๆ จะไปเกิดในภูมิอะไรต่างๆก็ปรากฏให้เห็นให้รู้ เราไม่ได้แต่งเอาหรอก
นี่แหละสิ่งที่ต้องช่วยตัวเอง ไม่มีใครช่วย หมู่เพื่อนก็ดี ครูบาอาจารย์ก็ดี ไม่มีใครไปช่วยได้ เราช่วยตนเองทั้งนั้นแหละ เวลาเราจะตายไม่ทราบว่าเราจะตายตรงไหน ตายในป่าในรก รถคว่ำตายก็มี ตกน้ำตายก็มี ใครจะไปตามแนะนำพร่ำสอนกัน ก็ต้องพึ่งตนเองน่ะซี

***************
วาสนาช่วยเราแล้ว
แต่เราต้องช่วยวาสนาอีกทีหนึ่ง
ไม่ใช่จะให้แต่วาสนาช่วยเราอย่างเดียว
การกระทำนั่นแหละ
เป็นการสร้างวาสนา สร้างบารมี


ดับไฟ - หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี








คำนำ

          ขณะที่ท่านหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ยังดำรงชีพอยู่ ท่านปรารภเสมอว่า ท่านมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ เพื่อปฏิบัติหน้าที่ช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนาสืบต่อจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ศาสนาพุทธยืนยงต่อไป
          บัดนี้ ท่านได้ละขันธ์จากไปแล้ว ดังนั้นเหล่าศิษย์ขอโอกาสนำธรรมเทศนาคำสอนอันไพเราะ และมีคุณค่ายิ่งของท่าน (ถอดออกมาจากเทป โดยคงสำนวน รูปประโยค ตามที่ท่านเทศนาไว้ให้มากที่สุด) มาเผยแผ่แก่สาธุชนต่อไป เพื่อเป็นการบูชาพระคุณท่าน ที่ท่านได้อบรมสั่งสอนศิษย์ทั้งหลาย ด้วยความเมตตาเสมอ และด้วยความอดทนเป็นอย่างมาก ตลอดเวลา โดยเฉพาะในระยะหลังๆนี้ ท่านอ่อนกำลังทางกายลงมา
          อนึ่ง ท่านหลวงปู่เทสก์ มักจะบอกอยู่เสมอว่า ฟังเทศน์ หรืออ่านแล้ว ให้นำไปศึกษาพิจารณาให้ถ่องแท้ด้วยตนเอง ก็จะเกิดประโยชน์อย่างยิ่งแก่ตน
          หากมีความบกพร่องผิดพลาดประการใดก็ตาม ศิษย์ผู้เบาปัญญา ขอรับความผิดนั้นๆ และขออภัย

                                                                             คณะศิษย์ฯ
                                                                             25 กุมภาพันธ์ 2538
                                                                             วัดกินหมากเป้ง
                                                                             อ.ศรีเชียงใหม่  จ.หนองคาย



พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า
คนเรานั้นร้อนตั้งแต่ต้น
จนกระทั่งถึงที่สุด
ร้อนเพราะ ราคะ โทสะ โมหะ
ร้อนที่ตัวเรานี่เอง
ร้อนจนไปทำความเดือดร้อนให้คนอื่น


สารบัญ
หน้า
ดับไฟ                                                                                              1
          แสดง ณ วัดหินหมาเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จงหนองคาบ
          วันที่ 8 มกราคม 2521

คนแก่กับเด็ก                                                                                           11
          แสดง ณ วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
          วันที่ 3 กันยายน 2523

ชีวิตเป็นของน้อย                                                                              23
          แสดง ณ วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
          วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2523






มนุษย์คนเรามี
ราคะ โทสะ โมหะ อยู่แล้ว
เข้าใจว่าเป็นของดี
เลยไม่อยากละ ไม่อยากทิ้ง
ยินดีพอใจกับมัน จึงรักษาไว้                  


ดับไฟ

          อยู่ด้วยกันมากๆ หลายผู้หลายคน ถ้าหากว่าอยู่ด้วยความสงบ มันก็เย็น อยู่ด้วยความไม่สงบ ตาก็เป็นไฟ หูก็เป็นไฟ จมูก ลิ้น กายและใจก็เป็นไฟ เป็นไฟด้วยกันทั้งหมด ไฟไหม้เจ้าของแล้วจึงค่อยไหม้คนอื่น  เพราะเหตุว่าไฟไหม้ไม้แห้งหมดแล้วนั่นละ มันจึงค่อยลามลุกไปไหม้ไม้สด ฉันใดก็ฉันนั้น มันต้องไหม้ตัวของเราเสียก่อน ให้เห็นโทษของมัน ถ้าหากไม่เห็นโทษ มันก็ไม่มีเวลาระงับสงบได้
          ในใจของเราไปมุ่งพุ่งเห็นโทษคนอื่น ไม่เห็นโทษตัวเอง หก้เลยเป็นไฟเผาผลาญซึ่งกันและกัน อย่างที่ท่านว่า ตาเป็นไฟ  ถ้าหากเห็นโทษเกิดขึ้นที่ใจของเราแล้วว่า ไฟมันเกิดในที่นี้ ของใครก็ของมัน คนอื่นก็ของคนอื่น ก็หมดเรื่องกัน ระงับตัวเองแล้วก็แล้วกัน
          พระพุทธเจ้าทรงเทศนาว่า  ราคคฺคินา โทสคฺคินา โมหคฺคินา ความหมายว่า ราคะ โทสะ โมหะ เป็นไฟ ราคา โทสะ โมหะ เกิดขึ้นก็ร้อนตั้งแต่ทีแรกนั่น ที่ตัวของเราเกิดความร้อนขึ้นแล้ว มันจึงค่อยลุกลามไปหาคนอื่น
          ให้เห็นใจของตนทุกๆคน เพ่งพิจารณาตัวของเรา ที่มันวับแวบขึ้นมาครั้งแรกนั่น มันเกิดราคะ มันเกิดโทสะ มันเกิดโมหะ ขึ้นมาทีแรก ให้ระงับเสียในเบื้องต้น  ถ้าต่างคนต่างระงับ อยู่มากคนก็เป็นสุข กี่ร้อยกี่พันคนก็เป็นสุข ถ้าหากไม่ระงับ อยู่คนเดียวก็เป็นทุกข์ ไม่ต้องหาเพื่อนถึงสอนคนละ
          ราคะ  มันเกิดขึ้นที่ใจ  โทสะ ก็เกิดขึ้นที่ใจ  โมหะ ก็เกิดขึ้นที่ใจ
          ราคะ มันกำหนัดย้อมใจให้กระสับกระส่าย นอนอยู่คนเดียวก็นอนไม่หลับ กลิ้งเกลือกอยู่นั่นแหละ เดือดร้อนอยู่คนเดียว
          โทสะ ก็กลิ้งเกลือกอยู่นั่น โกรธคนนั่น โกรธคนนี้ ในผลที่สุดตัวของเราก็โกรธ โกรธเราแล้วเสียก่อน มันจึงค่อยโกรธคนอื่น
          โมหะ คือความหลง มีอยู่แต่ไม่รู้ มันเป็นอยู่แต่ไม่รู้ว่าโมหะ
          อวิชชา นั่นคือไม่เห็นเสียเลย ไม่เข้าใจเสียเลย ว่าอันนี้มีอยู่

          ราคะ  ความกำหนัดย้อมใจ เป็นของมีอยู่ในใจของเรา แต่ในใจนั้นไม่อยากระงับ แต่ในใจนั้นไม่อยากให้มันหาย ยังเสียดายความกำหนัดย้อมใจนั้น เสียดายที่จะละเลยจะทิ้ง นั่นแหละ ณโมหะ ณคือความหลง หลงเข้าใจผิด คิดว่าถูก
          โทสะ ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน เกลี่ยดคนอื่น เข้าใจว่าเป็นของดี มีอำนาจ มีปาฏิหารย์ สามารถกดขี่ข่มเหงคนโน้นคนนี้ได้ ถ้าหากไม่แสดงโทสะ มันก็เหมือนกับอยู่เฉยๆ ไม่ค่อยมีฤทธิ์มีเดช ฤทธิ์เดชอันนั้นได้แสดงออกมาปรากฏว่าเป็นของดีเด่น เข้าใจว่าเป็นของดีเลยไม่อยากละ ไม่อยากทิ้งยินดีพอใจกับมัน รักษาไว้
          โมหะ ความลุ่มหลง ของมีอยู่แต่ไม่เห็นโทษมัน ราคะหรือโทสะ อันนั้นเป็นเหตุให้โทษเกิดขึ้นในใจ แต่ว่าเสียดายมันไม่อยากคิดไม่อยากค้น ไม่อยากหาเหตุของเรื่อง เรื่องเกิดขึ้นมาไม่ตั้งใจคิด ไม่ตั้งใจค้นหาเหตุผลในเรื่องนั้นๆ เมื่อไม่ถึงเหตุถึงผล มันก็ไม่ถึงที่สุดของโมหะ มีความเสียดายอาลัย มันยังค่อยเกิดขึ้นมาได้
          พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า คนเรานั้นร้อนตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถึงที่สุด ร้อนเพราะราคะ เพราะโทสะ เพราะโมหะ ดังอธิบายมาแล้ว ร้อนที่ตัวของเรานี่เอง ร้อนจนไปทำความเดือดร้อนให้คนอื่น
          ร้อนนั้นคืออะไร? ก็คือนรกดีๆนี่แหละ ความเดือดร้อนเป็นทุกข์  เมื่อเป้นทุกข์ก็นรกดีๆนั่นเอง มนุษย์คนเรามีราคะ โทสะ โมหะอยู่แล้ว ก็ตกนรกทั้งเป็น นรกไม่ใช่อยู่ที่อื่น อยู่ที่ราคะ โทสะ โมหะนี่ทั้งนั้น จะไปตกนรกมันก็เกิดจาก ราคะ โทสะ โมหะนี้ ถ้าไม่มีราคะ โทสะ โมหะ มันก็ไม่ตกนรก
          ให้เห็นนรกที่ตกที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้แหละ รอบๆตัวของเราเดี๋ยวนี้ ตาเห็นรูป ก็เกิดความโลภ ความหลงขึ้น หูได้ฟังเสียง จมูกถุกกลิ่น ลิ้นถุกรส กายถูกสัมผัส ก็เกิดความกำหนัดรักใคร่ เรียกว่าราคะ ถ้าเกิดไม่พอใจโทมมนัสน้อยใจเรียกว่าโทสะ เกิดโมหะพร้อมกัน ของทั้งหลายเหล่านี้มันเป็นของร้อน เผาตัวของเราอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน แต่ไม่ยอมสละปล่อยทุกข์หรอก เรียกว่าตกนรกทั้งกหลางวันและกลางคืน เพราะไม่เห็น
          ถ้าเช่นนี้แล้ว พึงปลาอยวางเสีย เอานรกนั่นมาเปลี่ยนแปลงให้เป็นสวรรค์ เมื่อเกิดราคะขึ้น สิ่งที่มันเกิดขึ้นก็ให้รู้จัดก รู้เรื่องของมัน ระงับดับมันไป โทสะเกิดขึ้น ก็พิจารณาเหตุผลของมัน จนระงับดับไป โมหะเกิดขึ้นก็ให้ระงับ ให้พิจารณาหาเหตุผล แล้วก็ระงับดับไป ตัวของเราก็เป็นของเย็น
          มีตา ก็เป็นของเย็น ส่งส่ายไปหาสิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่นำโทษทุกข์มาให้ เช่น เห็นพระเห็นสงฆ์ เห็นครูบาอาจารย์ เห็นพระพุทธรูปปฏิมากร เพลินสนุกดีกว่าไปเห็นสิ่งอื่นแล้วเกิดราคะ โทสะ โมหะขึ้นมา สิ่งที่มันน้อยใจโทรมมนัส ก็อย่าไปดูมัน ไปดูสิ่งที่ให้เพลิดเพลินเจริญใจ มันก็กลับเป็นสวรรค์ขึ้นมา โมหะมันลุ่มหลง เราก็พิจารณาอย่าให้มันหลง เห็นความดีความเด่นปรากฏชัดขึ้นมา ด้วยปัญญาของเรา มันก็เพลิดเพลินอิ่มใจกับความเห็นอันนั้น มันก็เป็นสวรรค์ขึ้นมา

          ทั้ง 6 อย่างนี่แหละ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) เรียกว่า สวรรค์ 6 ชั้น แต่ว่าสวรรค์นั้นมันยังอยู่ใกล้นัก ใกล้ต่ออันตรายคือมันอยู่ชั้นต่ำ ฉกามาพจร สวรรค์ 6 ชั้นมันสามารถที่จะกลับกลายไปตกนรกได้ คือสามารถที่จะกลับไปเป็นสัตว์นรก จึงว่ามันอยู่ใกล้นัก อยู่ใกล้กับนรก
          เพราะฉะนั้นจึงทำสวรรค์นี่แหละ ให้เป็นพรหมขึ้นไป ทำใจให้สูง เมื่อเห็นสิ่งต่างๆก็พิจารณาเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ได้ฟังสิ่งต่างๆก็เช่นนั้นเหมือนกัน ได้กลิ่นได้รส หรือได้โผฏทัพพะ ก็พิจารณาให้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างนี้มันจึงสูงขึ้นไป ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วมันจะกลับไปนรกอีก
          ทำให้สูงขึ้นไปจนกระทั่ง จิตใจของเราเห็นสภาพตามเป็นจริงทุกสิ่งทุกอย่าง เช่น ก็ปรากฏเป็นสภาวะ ไม่ใช่รูป รูปก็สักแต่ว่ารูป ไม่คงทนถาวรอะไร ไม่ใช่เขา ไม่ใช่ตัวตน ความกำหนัดยินดีจะมีจากไหน? เสียงก็สักแต่ว่าเสียง เกิดขึ้นมาแล้วดับไป มันจะมีความกำหนัดยินดีไหม? มันเป็นอยู่ธรรมดาอย่างนั้น ตั้งแต่เรายังไม่ทันเกิดโน่น เราเกิดมาแล้วมันก็เป็นอยู่อย่างนั้น เราตายไปแล้วก็เป็นอยู่อย่างนั้น
          กลิ่น รส โผฏทัพพะ ทั้งหลาย มันเป็นของมีอยู่ในโลก เราเกิดมามันก็เป็นอยู่อย่างนั้น เราไม่เกิดมันก็เป็นอยู่อย่างนั้น แต่ไหนแต่ไรมา มันหากมีอยู่นี่ เราไม่ได้เอามา เราไม่ได้เอาไป เรามาเกิดแล้วเราไปยึดเอา คือว่าเราเกิดมาแล้วเราเห็น เรารู้สิ่งต่างๆ เลยไปยึดเอาของเหล่านั้นมาเป็นเรา เป็นตัวเป็นตน มันจึงเกิดเหตุให้เกิดราคะ ชอบใจพอใจยินดี เป็นเหตุให้เกิดโทสะ น้อยอกน้อยใจไม่พอใจ เกิดโมหะลุ่มหลงมัวเมา
          ทีนี้ถ้าหากเห็นตามสภาพเป็นจริงแล้ว การถือตนถือตัวก็ไม่มี ละทิฏฐิมานะ เรียกว่า ไม่ถืออัตตา เป็นอนัตตา ไม่มีสาระ หมดเรื่องแค่นั้น พิจารณาลงอย่างนี้จึงพ้นจากเป็นเทวดา พ้นจากพรหม สูงสุดกว่าพรหม คือ โลกุตระ
          เพราะฉะนั้นจงพากันให้เห็นว่า ตัวเรานี้เป็นบ่อเกิดของนรกก็ได้ เป็นบ่อเกิดของสวรรค์ก็ได้ เป็นบ่อเกิดของพรหมก็ได้ เป็นที่ตั้งของโลกุตรธรรมก็ได้ ถ้าหกากว่าพิจารณาได้อย่างนี้ ก็จะนำมาซึ่งความสุขความสันติ เราอยู่ในที่ใดก็สงบ ไม่มีภัยไม่มีเวร ไม่มีความเดือดร้อน

          เอาละ.

****************





ตัวของเรานี้
เป็นบ่อเกิดของนรกก็ได้
เป็นบ่อเกิดของสวรรค์ก็ได้
เป็นบ่อเกิดของพรหมก็ได้
เป็นที่ตั้งของโลกุตรธรรมก็ได้




นำนั่งสมาธิ


          ความทุกข์มันเกิดนิดเดียว  ไม่ใช่เกิดมามากมายอะไร ถ้าหากประมาท ก็เป็นเหตุให้ใหญ่โตกว้างขวางต่อไป เรามาคิดดูว่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดนิดเดียวเท่านั้นล่ะ มันงอกงามมาเป็นต้นเป้นลำใหญ่โตมโหฬารได้ ใหญ่จนกระทั่งได้ตั้งหม้อแกงหนึ่ง หรือใหญ่มากไปกว่านั้นอีก
          ราคะ   มันอยู่ที่ใจเรานั่นนิดเดียว ความกำหนัดย้อมใจ ความเพลิดเพลินความยินดี อยู่ในนั้นนิดเดียวเท่านั้นแหละ แต่ถ้าหากปล่อยตามใจมัน มันเลยขยายกว้างขวางออกไปแพร่หลายออกไป กว้างหมดทั้งโลก เดิมทีมันนิดเดียวเท่านั้น
          โทสะ   ก็เหมือนกัน มันนิดเดียวเท่านั้นแหละ แพร่หลายออกไปจนกระทั่ง ไปประหัตประหารฆ่าฟันกันตายนับไม่ถ้วน จนโลกอันนี้ฉิบหาย
          โมหะ  ก็เช่นนั้นเหมือนกัน
          ท่านบอกว่าโลกฉิบหายด้วยน้ำ ด้วยลม ด้วยไฟ ด้วยน้ำคือราคะ ด้วยลมคือโมหะ ด้วยไฟคือโทสะ มันใหญ่โตกว้างขวาง แต่เราไปประมาทเสีย ทำให้เกิดขึ้นมา แล้วแพร่ออกไปกว้างขวาง จนไม่สามารถจะระงับได้
          เพราะฉะนั้นผู้ที่จะระงับดับ ต้องดับที่ใจ อบรมที่ใจให้สงบ เห็นเฉพาะในใจของตนเท่านั้น ไม่ต้องไปไล่ขนาบฆ่าตีมันมากมายกว้างขวาง เห็นที่จิตวับแวบออกไปขณะใด ก็ระงับในขณะนั้นแหละ  ตั้งสติคุมจิตให้อยู่ เพราะมันออกไปจากจิต เบื้องต้นต้องคุมจิตให้อยู่ก่อน  เมื่อจิตอยู่แล้ว จึงค่อยเข้าไปพิจารณาเรื่อง ราคะ โทสะ โมหะ ก็จะเห็นของจริงขึ้นมา
          ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าสอนนิดเดียว ไม่ได้สอนมากสอนในที่เดียว  สอนที่ใจ ให้เห็นใจอย่างเดียวก็หมดเรื่อง ดังนั้นจงคุมใจให้อยู่ รักษาใจให้ได้ จึงจะชำระใจของตนให้บริสุทธิ์.


****************


วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2562

เศรษฐศาสตร์ของชาวพุทธ - อี.เอฟ. ชูเมกเกอร์

เศรษฐศาสตร์ของชาวพุทธ
อี. เอฟ. ชูเมกเกอร์         เขียน
รังสรรค์  ธนะพรพันธ์      แปล



“สัมมาอาชีวะ” เป็นธรรมข้อหนึ่งในมรรคแปดของพระพุทธเจ้า ดังนั้น จึงเป็นสิ่งที่ประจักษ์ชัดว่า จักต้องมีสิ่งที่เรียกว่า เศรษฐศาสตร์ของชาวพุทธ
          ในขณะเดียวกันประเทศพุทธศาสนาทั้งหลาย ก็มักจะแถลง่า จักยึดมั่นศรัทธาในศาสนานี้ ดังประเทศพม่าได้แถลงว่า “พม่าใหม่มีความเห็นว่า ความขัดแย้งระหว่างคุณค่าทางศาสนากับความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจนั้นไม่มี  สุขภาพจิตกับการกินดีอยู่ดีทางวัตถุ หาได้ขัดกันไม่ ตรงกันข้าม เป้าหมายทั้งสองนี้กลับสอดคล้องกันโดยธรรมชาติ”1 หรือถ้อยแถลงที่ว่า “เราสามารถผสมกลมกลืนคุณค่าทางศาสนาและคุณค่าทางจิตใจ ซึ่งเป็นมรดกตกทอดของเรา โดยอาศัยประยุกตวิทยาสมัยใหม่อย่างได้ผล”2 หรือถ้อยแถลงที่ว่า “เราชาวพม่ามีหน้าที่อันพึงกระทำ ในการทำให้ความฝันของเราและการกระทำของเราเป็นไปตามศรัทธาของเรา นี้เป็นสิ่งที่เราจักกระทำ”3
1. Pyidawtha, The New Burma(Economic and Social Board, Government of the Union of Burma, 1954), p.10.
2. Ibid., p. 8.
3. Ibid., p. 128.
          แม้กระนั้นก็ตาม  ประเทศเหล่านี้ก็ยังมีสมมติฐาน อันไม่แตกต่างจากประเทศอื่นในข้อที่ว่า จักสามารถวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจ โดยอาศัยเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ได้ ทั้งยังเชื้อเชิญนักเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่จากประเทศที่พัฒนาแล้วมาให้คำแนะนำปรึกษา ตลอดจนกำหนดนโยบายที่จะดำเนินการและร่างรูปแบบเพื่อการพัฒนา ซึ่งเรียกกันว่า แผนห้าปีหรือชื่ออื่นใดก็ตาม ไม่มีผู้ใดที่จักคิดว่า, วิถีชีวิตของชาวพุทธนั้น จำต้องอาศัยเศรษฐศาสตร์แบบพุทธ เฉกเช่นที่วิถีชีวิตดันพึ่งพิงวัตถุสมัยใหม่จำต้องอาศัยเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่
          นักเศรษฐศาสตร์เองนั้น ก็ดุจดังผู้ชำนัญการพิเศษทั้งหลายที่มักจะมีความมืดมัวทางอภิปรัชญา ด้วยการสมมติว่า แขนงวิชาของตนนั้นเป็นศาสตร์แห่งสัจจะที่สมบูรณ์ และไม่อาจแปรผันได้ โดยปราศจากข้อสมมติล่วงหน้าใดๆ ลางคนถึงกับกล่าวอ้างว่า กฏทางเศรษฐศาสตร์นั้น ปลอดพ้นจากสิ่งที่เรียกว่า “อภิปรัชญา” หรือ “คุณค่า” เท่าๆกับกฏความดึงดูดของโลก อย่างไรก็ตาม เรามิจำต้องอ้างอิงข้อถกเถียงทางด้านวิธีการวิเคราะห์ แต่ขอให้เราพิจารณาหลักพื้นฐานบางประการในทัศนะของนักเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ เมื่อเทียบกับทัศนะของนักเศรษฐศาสตร์ชาวพุทธ
          มีข้อที่ยอมรับร่วมกันทั่วไปข้อหนึ่งว่า แหล่งพื้นฐานของความมั่งคั่งนั้นคือแรงงานมนุษย์ นักเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ได้รับการอบรมสั่งสอนให้ยึดถือว่า “แรงงาน” หรือการงาน มิได้แตกต่างจากสิ่งชั่วร้ายที่จำเป็นอย่างหนึ่งมากนัก ในทัศนะของนายจ้าง แรงงานในกรณีใดๆเป็นเพียงรายการที่ก่อให้เกิดต้นทุน ซึ่งจำต้องลดให้เหลือน้อยที่สุด หากไม่สามารถขจัดให้หมดไป ด้วยการใช้เครื่องจักรกลไปเป็นอาทิได้ ในทัศนะของคนงาน การทำงานเป็นการสูญเสียอรรถประโยชน์ เพราะการทำงานเป็นการสละเวลาแห่งการพักผ่อนและความสบายของบุคคล และค่าจ้างเป็นเงินชดเชยประเภทหนึ่งสำหรับการเสียสละดังกล่าวนั้น ด้วยเหตุฉะนี้ อุดมทัศน์ของนายจ้างก็คือการมีผลผลิตโดยปราศจากลูกจ้าง ส่วนอุดมทัศน์ของลูกจ้างคือการมีเงินได้โดยไม่จำเป็นต้องทำงาน
          ทัศนคติดังกล่าวข้างต้นนี้ ทั้งทางทฤษฎีและในทางปฏิบัติก่อให้เกิดผลอันเหลือคณนา โดยมิพักดต้องสงสัย ถ้าหากอุดมทัศน์เกี่ยวกับการทำงานคือการไม่ทำงาน วิธีการทั้งปวงที่ช่วยลดภาระการงานย่อมถือเป็นวิธีการที่ดี สิธีการที่ทรงพลังที่สุดนอกเหนือจากการใช้เครื่องทุ่นแรง ได้แก่วิธีการที่เรียกกันว่า “การแบ่งแยกแรงงาน” ในการทำงาน  และตัวอย่างอมตะก็ได้แก่ กรณีโรงงานผลิตเข็ม ดังที่นายอดัม สมิธ ได้พรรณาสรรเสริญไว้ในหนังสือ Wealth of Nations กรณีดังกล่าวนี้มิได้ปฏิบัติมานานนมกาเล แต่เป็นการแบ่งแยกกระบวนการผลิตอันสมบูรณ์ทุกๆกระบวนการ ออกเป็นส่วนย่อยๆเพื่อว่าผลผลิตขั้นสุดท้ายสามารถผลิตได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่มีใครคนหนึ่งคนใดมีส่วนในการผลิตอย่างสำคัญ และในกรณีส่วนใหญ่เพียงแต่อาศัยการเคลื่อนไหวของแขนขาอย่างปราศจากทักษะเท่านั้น
การงาน
ตามทัศนะของพุทธศาสนิกชน การงานทมีหน้าที่อย่างน้อย 3 ประการ คือ (1) เพื่อเปิดโอกาสให้มนุษย์ได้ใช้และพัฒนาความสามารถส่วนตน (2) เพื่อช่วยให้มนุษย์ขจัดอัตตาด้วยการทำงานร่วมกับผู้อื่น (3) เพื อให้ได้มาซึ่งผลิตผลพลอยได้อย่างปราศจากจุดจบ การจัดการงานไปในในทางที่ทำให้การงานนั้นปราศจากความหมาย น่าเบื่อ ไร้ประโยชน์ หรือบีบคั้นประสาท สำหรับคนงานนั้น มิได้แตกต่างจากการก่ออาชญากรรมมากนัก เพราะแสดงให้เห็นว่า การงานลักดษณะนี้คำนึงถึงผลผลิตยิ่งกว่าตัวมนุษย์ ทั้งเป็นสิ่งชั่วร้ายที่ไร้ความเมตตากรุณา ตลอดจนแสดงให้เห็นถึงการทำลายชีวิตจิตใจ ซึ่งเหลือค้างอยู่ในส่วนที่ป่าเถื่อนที่สุด ของสิ่งที่ดำรงอยู่ในมนุษย์โลกนี้ ทำนองเดียวกัน การแสวงหาการพักผ่อนแทนการทำงานั้น นับเป็นความเข้าใจผิดอย่างมากเกี่ยวกับสัจจะพื้นฐานประการหนึ่งของการดำรงอยู่ของมนุษย์ ที่ว่าการทำงานกับการพักผ่อนเป็นองค์ประกอบซึ่งกันและกันของกระบวนการดำรงชีวิตเดียวกัน และไม่อาจแยกออกจากกันได้โดยที่ไม่ทำลายความสุขจากการทำงานและความสำราญจากการพักผ่อน
          ตามทัศนะของพุทธศาสนิกชน การใช้เครื่องทุ่นแรงในการผลิต จึงมีอยู่สองประเภท ซ่างจำต้องแยกแยะให้กระจ่างชัด  ประเภทที่หนึ่ง ได้แก่การใช้เครื่องทุ่นแรงไปในทางเพิ่มพูนทักษะและอำนาจของมนุษย์  ประเภทที่สอง ได้แก้การใช้เครื่องทุ่นแรงทำงานแทนมนุษย์ ซึ่งยังผลให้มนุษย์อยู่ในฐานะที่จักต้องรับใช้หรือเป็นข้าทาสเครื่องนั้นๆ  แต่เราจะแยกแยะเครื่องสองประเภทนี้ได้อย่างไร ข้อนี้อานันท์ กุมารสวามี ผู้ซึ่งมีความรอบรู้เกี่ยวกับตะวันตกสมัยใหม่ เท่าๆกับตะวันออกสมัยเก่า กล่าวว่า  “ช่างฝีมือนั้น ถ้าเปิดโอกาสให้เขา เขาสามารถที่จะชี้ให้เห็นความแตกต่างอันละเอียดอ่อน ระหว่างเครื่องจักร(machine) กับเครื่องมือ (tool) ได้เสมอ เครื่องทอพรมนั้นถือเป็นเครื่องมือด้วยเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ช่วยยืดเส้นด้ายเพื่อให้เส้นด้ายร้อยรอบโดยอาศัยนิ้วมือของช่างฝีมือ แต่เครื่องทอที่อาศัยไฟฟ้า ถือเป็นเครื่องจักร ความสำคัญของเครื่องจักรในฐานะผู้ทำลายวัฒนธรรม อยู่ที่ว่าเครื่องจักรเข้าไปทำงานส่วนที่เป็นงานอันสำคัญของมนุษย์”4  ดังนั้น จึงประจักษ์ชัดว่า เศรษฐศาสตร์ชาวพุทธจักต้องแตกต่างกันอย่างมากจากเศรษฐศาสตร์แบบวัตถุนิยมสมัยใหม่ ทั้งนี้ก็เพราะพุทธศาสนิกชนเห็นว่า แก่นของอารยธรรมมิได้อยู่ที่การเพิ่มพูนตัณหาของมนุษย์ หากทว่าอยู่ที่การ
4. Ananda K. Coomaraswamy, Art and Swadeshi (Madras : Ganesh & Co.), p. 30.
สร้างความบริสุทธิ์แก่คุณลักษณะแห่งการเป็นมนุษย์ และเอกลักษณ์ของมนุษย์นั้น โดยพื้นฐานย่อมก่อรูปมาจากการงานของมนุษย์นั่นเอง และการงานั้น หากดำเนินการอย่างเหมาะสมในภาวการณ์ที่มนุษย์มีเกียรติภูมิและเสรีภาพ ย่อมยังความเป็นเลิศให้แก่ผู้ทำงานและผลผลิตของผู้ทำงานโดยเท่าเทียมกัน นายกุมารัปปะ นักเศรษฐศาสตร์และนักปรัชญาชาวอินเดีย สรุปความข้อนี้ไว้ดังนี้  “ถ้าหากธรรมชาติของการงานเป็นที่ซาบซึ้งและมีการประยุกต์อย่างเหมาะสม ย่อมจักเป็นคุณมากขึ้น เช่นที่อาหารเป็นคุณแก่ร่างกายฉะนั้น ทั้งนี้ก็เพราะการงานทำให้มนุษย์ผู้สูงส่งมีกำลังวังชาและมีชีวิตชีวา ทั้งกระตุ้นให้มนุษย์กระทการอย่างดีที่สุดเท่าที่ความสามารถจะพึงมี การทำงานช่วยให้เจตจำนงเสรีของมนุษย์เป็นไปตามทำนองคลองธรรม และช่วยกำจัดความเป็นสัตว์ในตัวมนุษย์ให้อยู่ในวินัยอันดี ทั้งยังช่วยตระเตรียมภูมิหลังของมนุษย์ให้แสดงคุณค่าแห่งตนและพัฒนาบุคคลิอกลักษณะแห่งตนด้วย”5
5. J.C. Kumarappa, Economy of Permanaence (Rajghat. Kashi : Sartva-Seva-Sangh Publication, 1958), p. 117.
          ถ้าหากมนุษย์ไม่มีโอกาสที่จะได้ทำงาน มนุษย์ย่อมตกอยู่ในภาวะอันสิ้นหวัง ทั้งนี้มิใช่เป็นเพราะเขาขาดรายได้ หากเป็นเพราะว่า มนุษย์จะขาดปัจจัยที่เสริมส่งกำลังวังชา และความมีชีวิตชีวา อันเกิดจากการงานที่ทรงระเบียบโดยที่ไม่มีสิ่งอื่นใดจะทดแทนได้ นักเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่อาจสาละวนอยู่กับการคำนวณอันสลับซับซ้อนอย่างมากว่า การจ้างงานเต็มอัตราก่อประโยชน์อย่างคุ้มค่าหรือไม่ หรือว่าจะเป็นการประหยัดมากกว่า ที่จะทำให้ระบบเศรษฐกิจมีการจ้างงานไมเต็มอัตรา เพื่อว่าการเคลื่อนไหวของแรงงานจะได้มีมากขึ้น  เสถียรภาพของค่าจ้างจะได้มีมากขึ้น ฯลฯ กฏเกณฑ์พื้นฐานที่ใช้วัดความสำเร็จ ตามทัศนะของนักเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ ก็คือจำนวนสินค้าทั้งหมดที่ผลิตได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ศาสตราจารย์แกลเบรธ กล่าวไว้ว่า  “ถ้าหากความจำเป็นส่วนเพิ่ม(marginal urgency) ของสินค้ามีน้อย ความจำเป็นในการว่าจ้างคนงานคนสุดท้ายหรือล้านคนสุดท้าย ในกองแรงงาน ก็จักมีน้อยด้วย” และว่า “ถ้า.....เราสามารถทนให้มีการว่างงาน เพื่อให้มีเสถียรภาพ อันเป็นข้อเสนอ ซึ่งโดยบังเอิญ มีประวัติอันคร่ำครึอย่างยิ่งยวด เราย่อมสามารถที่จะแจกจ่ายสินค้าให้แก่คนว่างงาน เพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้ตามมาตรฐานการครองชีพที่เคยมี”6
6. J.K. Galbrauth, The Affluent Society (Penguin Books, 1962), pp.272-3.     
          ตามทัศนะของพุทธศาสนิกชน ความเห็นที่ว่า สินค้ามีความสำคัญมากกว่ามนุษย์ และที่ว่าการบริโภคมีความสำคัญมากกว่ากิจกรรมในการสร้างสรรค์นั้น เป็นความเห็นที่ตรงกันข้ามกับสัจธรรม เพราะมีความหมายว่า การให้ความสำคัญแก่คนงานได้เปลี่ยนมาเป็นการให้ความสำคัญแก่ผลผลิตของการทำงาน นั่นก็คือการเน้นความสำคัญ ได้เปลี่ยนจากตัวมนุษย์ มาเป็นสิ่งซึ่งต่ำกว่ามนุษย์(Sub-human) ซึ่งเท่ากับเป็นการพ่ายแพ้ต่อพลังของความชั่วร้าย จุดเริ่มต้นแรกสุดของการวางแผนเศรษฐ-กิจของชาวพุทธ จักเป็นการวางแผนเพื่อให้มีการจ้างงานเต็มอัตรา และจุดประสงค์เบื้องฐานของการนี้ ที่แท้จริงก็เพื่อให้มีการจ้างงานสำหรับคนทุกคนที่ต้องการงานนอกบ้าน แต่ทั้งนี้มิได้หมายถึงการจ้างงานให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และมิได้หมายถึงการผลิตให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ทั้งนี้ก็เพราะผู้หญิงโดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องมีงานนอกบ้าน การว่าจ้างผู้หญิงทำงานในสำนักงานหรือโรงงานอย่างขนานใหญ่นั้น นับเป็นสัญลักษณ์ของความล้มเหลวทางเศรษฐกิจอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปล่อยให้มารดาของลูกเล็กเด็กแดงทำงานตามโรงงาน ในขณะที่เด็กๆถูกปล่อยปละละเลยนั้น นับเป็นการไม่ประหยัดในสายตาขอวนักเศรษฐศาสตร์ชาวพุทธ พอๆกับที่ว่าจ้างแรงงานที่มีทักษะไปเป็นพลทหาร เป็นการไม่ประหยัดในทัศนะของนักเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่
          ในบณะที่นักวัตถุนิยมสนใจแต่สินค้าเป็นสำคัญ พุทธศาสนิกชนสนใจแต่การปลดแอก ให้มีอิสรเสรีภาพเป็นส่วนใหญ่ แต่ศาสนาพุทธยึดถือ “มัชฌิมาปฏิปทา” ดังนั้น จึงมิได้ขัดแย้งกับการกินดีอยู่ดีทางกายภาพ อุปสรรคของการปลดแอกให้มีอิสรเสรีภาพนั้น มิได้อยู่ที่ตัวทรัพย์ศฤงคาร หากทว่าอยู่ที่การติดในทรัพย์ศฤงคารนั้น อุปสรรคดังกล่าวมิได้อยู่ที่การหาความสุขจากสิ่งซึ่งให้ความสุขได้ หากทว่าอยู่ที่ตัณหาที่ดิ้นรนเพื่อจะให้ได้มาซึ่งสิ่งเหล่านั้น ดังนั้น หัวใจของเศรษฐศาสตร์แบบพุทธ ก็คือความเรียบง่ายและหลักอหิงสา ตามทัศนะของนักเศรษฐศาสตร์ ความอัศจรรย์ของวิถีชีวิตแบบชาวพุทธนั้น อยู่ที่ความมีเหตุมีผล อย่างยิ่งของรูปแบบแห่งการดำรงชีวิต กล่าวคือ การอาศัยวัตถุปัจจัยจำนวนน้อยอย่างน่าประหลาดใจ แต่นำไปสู่ผลอันน่าพึงใจอย่างพิสดาร

มาตรฐานการครองชีพ
สำหรับนักเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ มาตรฐานการครองชีพเป็นเรื่องที่ยากแก่การเข้าใจยิ่ง นักเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่คุ้นเคยกับการวัด “มาตรฐานการครองชีพ” ด้วยจำนวนการบริโภคประจำปี โดยสมมติอยู่ตลอดเวลาว่า ผู้ที่บริโภคมากจะ “กินดีอยู่ดี” กว่าผู้ที่บริโภคน้อย  แต่นักศรษฐศาสตร์ชาวพุทธจักถือว่าวิธีการเช่นนี้เป็นวิธีการที่ไร้เหตุผลอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพราะการบริโภคเป็นเพียงมรรคที่จะนำมาซึ่งความกินดีอยู่ดี ดังนั้นจุดมุ่งหมายจึงน่าจะอยู่ที่การทำให้มการอยู่ดีกินดีมากที่สุด โดยการบริโภคให้น่อยที่สุด อาทิเช่น ถ้าหากจุดมุ่งหมายของการสวมเสื้อผ้าอยู่ที่ความสบาย อันเกิดจากการกันหนาวร้อนพอประมาณและปกปิดความน่าเกลียดของร่างกาย ก็น่าที่จะบรรลุวัตถุประสงค์นี้ ด้วยการใช้ความพยายามที่เป็นไปได้อย่างน้อยที่สุด นั่นก็คือด้วยการทำลายเสื้อผ้าในแต่ละปีน้อยที่สุด และด้วยการออกแบบที่อาศัยความเหนื่อยยากน้อยที่สุด หากความเหนื่อยยากยิ่งน้อยเพียงใด เวลาและพลังที่เหลือไว้สำหรับการสร้างสรรค์ทางศิลปะก็จักยิ่งมีมากเพียงนั้น เป็นต้นว่า ออกจะเป็นการไม่ประหยัดอย่างมาก ที่จะอาศัยการตัดเสื้อผ้าอันสลับซับซ้อน ดังที่เป็นอยู่ในตะวันตกสมัยใหม่ ในเมื่อผลทางด้านความงามที่มีมากกว่าเป็นอันมาก สามารถก่อให้เกิดขึ้นได้ ด้วยการห่มผ้าที่ไม่ต้องตัดอย่างซับซ้อน นับเป็นความเขลายิ่งนักด ที่จะตัดเสทื้อผ้า โดยที่เสื้อผ้านั้นก็ใช้นุ่งห่มได้ในชั่วระยะเวลาแห่งสมัยนิยมเท่านั้น และนับเป็นความไร้วัฒนธรรมที่จะตัดเสื้อผ้าให้แลดูน่าเกลียดและซอมซ่อ สิ่งที่เกี่ยวกับเสื้อผ้าที่กล่าวมานี้ ใช้ได้ดีกับสิ่งจำเป็นอื่นทั้งปวงของมนุษย์ การเป็นเจ้าของและการบริโภคสินค้า เป็นเพียงมรรคอันนำมาซึ่งผล และเศรษฐศาสตร์ของพุทธศานิกชนเป็นการศึกษาเกี่ยวกับวิธีการบรรลุผลที่กำหนดไว้ โดยใช้มรรควิธีอย่างน้อยที่สุด
          ในทางตรงกันข้าม เศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ถือว่า การบริโภคเป็นผล และเป็นจุดหมายอันเดียวของกิจกรรมท่างเศรษฐกิจทั้งปวง ทั้งนี้โดยถือว่าปัจจัยการผลิตต่างๆ เช่น ที่ดิน แรงงาน และทุน เป็นมรรค กล่าวโดนสรุป เศรษฐศาสตร์ของพุทธศาสนิกชนมุ่งที่จะหาทางให้มนุษย์มีความพอใจสูงสุด ด้วยการมีรูปแบบการบริโภคที่ดีเลิศ ในขณะที่เศรษฐศาสตร์สมัยใหม่มุ่งที่จะหาทางให้มนุษย์มีการบริโภคสูงสุด ด้วยมีรูปแบบของการใช้พลังการผลิตที่ดีเลิศ เราย่อมเห็นได้โดยง่ายว่า ความพยายามอันจำเป็นแก่การธำรงไว้ซึ่งวิถีชีวิตที่มุ่งบรรลุรูปแบบการบริโภคที่ดีเลิศ น่าจะน้อยกว่าความพยายามอันจำเป็นแก่การธำรงไว้ซึ่งพลังขับดันให้มีการบริโภคสูงสุดสมาก เหตุฉะนี้จึงไม่น่าประหลาดใจที่ความกดดัน และความเครียดของการครองชีพในพม่า มีน้อยกว่าในสหรัฐอเมริกาเป็นอันมาก ทั้งๆที่จำนวนเครื่องจักรที่ประหยัดแรงงานในพม่า คิดเป็นสัดส่วนเพียงกระจิดริดของสหรัฐอเมริกาเท่านั้น

รูปแบบการบริโภค
ความเรียบง่ายกับหลักอหิงสานั้น มีความเกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิดโดยประจักษ์ชัด รูปแบบการบริโภคที่ดีเลิศ ซึ่งก่อให้เกิดความพอใจแก่มนุษย์อย่างมาก  โดยการบริโภคแต่เพียงน้อยนั้นช่วยให้มนุษย์สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากความกดดันและความเครียดมากนัก และช่วยให้มนุษย์ปฏิบัติตามธรรมเบื้องต้นของพระพุทะพเจ้า ที่ว่า “พึงละเว้นความชั่ว และพึงทำความดี”ได้ โดยเหตุที่ทรัพยากรทางกายภาพมีอยู่โดยจำกัดทุกแห่งหน หากมนุษย์หาทางสนองความต้องการแห่งตน ด้วยการใช้ทรัพยากรอย่าพอเหมาะพอควร ย่อมเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า จักทำให้ไม่ต้องไปแย่งชิงกับผู้อื่นมากเหมือนกับกรณีที่มนุษย์ต้องพึ่งพาการใช้ทรัพยากรในอัตรสูง นี้ฉันใด ผู้ที่อาศัยอยู่ในท้องถิ่นที่พึ่งพาตนเองได้มาก ย่อมมีส่วนก่อความรุนแรงขนานใหญ่ได้น้อยกว่าผู้ที่อยู่รอดได้ด้วยการพึ่งพาระบบการค้าทั่วโลก ฉันนั้น
          ดังนั้น ตามทัศนะของนักเศรษฐศาสตร์ชาวพุทธ การผลิตโดยอาศัยทรัพยากรท้องถิ่น เพื่อสนองความต้องการในท้องถิ่นนั้น จึงนับเป็นวิถีชีวิตทางเศรษฐกิจที่มีเหตุผลมากที่สุด ส่วนการพึ่งพาสินค้าเข้าจากที่ห่างไกล และความจำเป็นที่ตามมาที่จักต้องส่งสินค้าออกไปให้ผู้คนที่อยู่ห่างไกลและไม่เป็นที่รู้จัก นับเป็นการไม่ประหยัดอย่างยิ่ง มีกรณียกเว้นดเพียงบางกรณีที่มีเหตุอันสมควรเท่านั้น นักเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่จะยอมรับว่า การใช้บริการขนส่งระหว่างบ้านกับที่ทำงานในอัตราสูง เป็นเพียงเรื่องโชคไม่ดีเท่านั้น และมิใช่มาตรฐานการครองชีพที่ดีทำนองเดียวกัน นักเศรษฐศาสตร์ชาวพุทธย่อมถือว่า การสนองความต้องการของมนุษย์จากแหล่งที่ห่างไกล เป็นความล้มเหลวมากกว่าความสำเร็จ ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่อาจอาศัยสถิติการเพิ่มขึ้นของจำนวนตัน/ไมล์ต่อประชากรหนึ่งคนที่เกิดจากระบบการขนส่งของประเทศ เป็นประจักษ์พยานแห่งความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ แต่สำหรับนักเศรษฐศาสตร์ชาวพุทธ ข้อมูลสถิติเดียวกันนี้ ชี้ให้เห็นถึงความเสื่อมโทรมอันไม่น่าพึงปรารถนาอย่างยิ่งของ รูปแบบ การบริโภค

ทรัพยากรธรรมชาติ
ความแตกต่างอันเด่นชัดอีกประการหนึ่งระหว่างเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่กับเศรษฐศาสตร์ของพุทธศาสนิกชน เกิดจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ จูเวอนัล(Bertrand de Juvenal) นักปรัชญาการเมืองชาวฝรั่งเศสคนสำคัญ ได้พรรณาลักษณะของ”มนุษย์ตะวันตก” ด้วยถ้อยคำซึ่งอาจถือเป็นบทนิยามนักเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ได้ดี ดังนี้
“มนุษย์ตะวันตกดมีแนวโน้มที่จะไม่นับสิ่งอื่นใดถือว่าเป็นรายจ่าย นอกเหนือไปจากการสูญเสียพลังงานของมนุษย์ เขาไม่สนใจไยดีว่า จะทำลายแร่ธาตุมากน้อยปานใด และที่เลวร้ายยิ่งกว่าก็คือ เขาไม่ไยดีว่า เขาทำลายสิ่งมีชีวิตมากน้อยเท่าใด ดูเหมือนมนุษย์ตะวันตกจะไม่ประจักษ์แก่ใจเลยว่า ชีวิตมนุษย์นั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ซึ่งต้องพึ่งพาอาศัยส่วนอื่นของระบบชีวิต อันประกอบด้วยชีวิตรูปแบบต่างๆกัน โดยเหตุที่โลกปกครองจากตัวเมือง อันเป็นที่ซึ่งมนุษย์ถูกตัดขาดจากชีวิตรูปแบบอื่นๆนอกจากมนุษย์ด้วยกัน ดังนั้น สำนึกของการเป็นส่วนหนึ่งของระบบชีวิตทั้งหมด จึงไม่ฟื้นกลับคืนมา ยังผลให้มนุษย์ปฏิบัติต่อสรรพสิ่งอันมนุษย์ต้องพึ่งพาในที่สุด เช่น น้ำละต้นไม้ อย่างหยาบและอย่างไม่คำนึงถึงอนาคตเอาเลย”7
7. Richard B. Gregg,  A Philosophy of Indian Economic Development (Ahmedabad : Navajivan Publishing H ouse, 1958), pp. 140-1.
ในทางตรงกันข้าม พุทธธรรมมุ่งอบรมบ่มนิสัยให้มนุษย์มีความรักและยึดหลักอหิงสา มิเฉพาะต่อสรรพสิ่งที่มีชีวิต เช่นคนและสัตว์ เท่านั้น หากยังเน้นอย่างมากต่อต้นหมากรากไม้อีกด้วย สานุศิษย์ของพระพุทธองค์ทุกคน ควรจะเพาะปลูกต้นไม้ทุกๆสองสามปี และพรวนดินรดน้ำให้เติบใหญ่แข็งแรง และนักเศรษฐศาสตร์ชาวพุทธย่อมสามารถชี้ให้เห็นอย่างไม่ยากลำบากนักว่า การปฏิบัติตามกฏนี้อย่างแพร่หลาย จะยังผลให้การพัฒนาเศรษฐกิจที่แท้จริงอยู่ในอัตราสูง โดยมิจำต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากต่างประเทศแต่ประการใด ความเสื่อมโทรมทางเศรษฐกิจในเอเซียอาคเนย์เป็นอันมาก (ดังเช่นส่วนอื่นๆของมนุษยโลก)  เป็นผลจากการปล่อยปละละเลยต้นไม้ อย่างไม่ใส่ใจ และอย่างน่าละอาย โดยมิพักต้องสงสัย
        เศรษฐศาสตร์สมัยใหม่มิได้ชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างวัสดุที่สามารถสร้างขึ้นได้ใหม่ (renewable material) กับวัสดุที่ไม่สามารถสร้างขึ้นได้ใหม่ (non-renewable material) ทั้งนี้เพราะเหตุว่าวิธีการของเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ก็คือ การทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเท่ากัน และประเมินทุกสิ่งทุกอย่างเป็นปริมาณในรูปของตัวเงิน ขอให้เราพิจารณาตัวอย่างของเชื้อเพลิงประเภทต่างๆ เช่น ถ่านหิน น้ำมัน ฟืน หรือพลังน้ำ เป็นอาทิ ความแตกต่างประการเดียวระหว่างเชื้อเพลิงประเภทต่างๆเหล่านี้ ซึ่งเป็นที่ยอมรับของเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ ก็คือ ความแตกต่างในเรื่องต้นทุนสัมพัทธ์ เมื่อเทียบเป็นหน่วยที่เท่ากัน เชื้อเพลิงประเภทต้นทุนสัมพัทธ์ต่ำสุด จักเป็นประเภทที่เลือกใช้โดยอัตโนมัติ การเลือกใช้เชื้อเพลิงประเภทอื่นที่แพงกว่า ถือเป็นการกระทำที่ไร้เหตุผลและไม่ประหยัด แต่ตามทัศนะของชาวพุทธ ความข้อนี้หาได้เป็นที่ยึดถือกันไม่ ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างเชื้อเพลิงประเภทที่ไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่ เช่นถ่านหินและน้ำมัน  กับเชื้อเพลิงประเภทที่สามารถสร้างขึ้นใหม่ เช่นฟืนและพลังน้ำนั้นไม่สามารถจะมองข้ามไปอย่างง่ายดายได้ สินค้าที่ไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่ จักต้องใช้ก็ต่อเมื่อจำเป็นยิ่งยวดเท่านั้น และจักต้องใช้ความระมัดระวังยิ่ง และด้วยความคำนึงถึงการอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างมาก การใช้สินค้าประเภทนี้อย่างไม่ระมัดระวังและอย่างฟุ่มเฟือย ถือเป็นการระเมิดหลักอหิงสาอย่างหนึ่ง และแม้ว่าหลักอหิงสาที่สมบูรณ์อาจจะไม่สามารถบรรลุได้ในมนุษย์โลกนี้ แต่กระนั้น มนุษย์พึงมีหน้าที่ที่จะกระทำการใดๆโดยยึดหลักอหิงสาอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
          นักเศรษฐศาสตร์ชาวพุทธจะยืนยันความเห็นที่ว่า การที่ประชากรมีชีวิตทางเศรษฐกิจ ด้วยการพึ่งพิงเชื้อเพลิงมิอาจสร้างขึ้นใหม่นั้น เป็นการดำรงชีวิตเยี่ยงกาฝาก ด้วยการใช้ทุนแทนที่จะใช้เงินได้ ทำนองเดียวกับนักเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่จะมีความเห็นว่า การขายศิลปสมบัติของชาวยุโรปแก่ชาวอเมริกันด้วยราคาที่งามยิ่งนั้น หาใช้ความสำเร็จทางเศรษฐกิจอันยิ่งใหญ่ไม่ วิถีชีวิตเยี่ยงนี้ หาความยืนยาวมิได้ จักพึงดำเนินไปก็ด้วยเหตุผลด้านความสะดวกชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น โดยเหตุที่ทรัพยากรเชื้อเพลิงส่วนที่มิอาจสร้างขึ้นใหม่ได้ในโลกนี้เช่นถ่านหิน น้ำมันและก๊าสธรรมชาตินั้น กระจายอยู่ในโลกนี้อย่างไม่เท่าเทียมกันยิ่ง และมีปริมาณจำกัดโดยปราศจากข้อกังขา จึงเป็นการประจักษ์ชัดว่า การใช้ทรัพยากรประเภทนี้ในอัตราที่เพิ่มขึ้น เป็นการใช้ความรุนแรงละเมิดธรรมชาติ ซึ่งย่อมนำมาซึ่งการใช้ความรุนแรงในหมู่มวลมนุษย์อย่างชนิดที่เกือบจะหลีกเลี่ยงมิได้

มัชฌิมาปฏิปทา
เฉพาะเพียงข้อเท็จจริงข้างต้นนี้ คงให้ข้อคิดได้บ้างแก่คนในประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา ผู้ไม่สนใจใยดีต่อคุณค่าทางศาสนาและจิตใจที่เป็นมรดกตกทอดมา โดยปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะยอมรับแต่วัตถุนิยมของเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ในอัตราเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ก่อนที่คนเหล่านี้จะด่วนละทิ้งเศรษฐศาสตร์แบบพุทธ ว่าไม่มอะไรดีไปกว่าความฝันลมๆแล้งๆ ควรที่เขาจะได้พิจารณาดูว่าหนทางแห่งการพัฒนาเศรษฐกิจตามแบบเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่นั้น จักนำไปสู้เป้าหมายที่ต้องการจริงๆหรือไม่ ศาสตราจารย์แฮร์ริสัน บราวน์ แห่งสถาบันเทคโนโลยีคาลิฟอร์เนีย ประเมินไว้ในตอนท้ายหนังสือของเขา ดังนี้
“เราจักเห็นว่า โดยพื้นฐาน สังคมอุตสาหกรรมไม่เพียงแต่จะไร้เสถียรภาพ และยังอาจเปลี่ยนกลับเป็นสังคมเกษตรได้เท่านั้น แต่ภายในสังคมอุตสาหกรรมเอง ภาวการณ์ที่ยังผลให้ปัจเจกชนมีเสรีภาพที่ยังไร้เสถียรภาพ ในข้อที่เกี่ยวพันกับความสามารถในการหลีกเลี่ยงภาวการณ์อันจักนำมาซึ่งการจัดองค์การของสังคมที่ไม่คล่องตัว และนำมาซึ่งการควบคุมชนิดเบ็ดเสร็จอีกด้วย แท้ที่จริง เมื่อเราสำรวจดูปัญหายุ่งยากที่พอมองเห็น ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อการอยู่รอดของอารยธรรมอุตสาหกรรมทั้งปวง ออกเป็นการยากลำบากที่จะเห็นว่า กหารมีเสรีภาพกับการธำรงรักษาไว้ซึ่งเสรีภาพส่วนบุคคล จะไปด้วยกันได้อย่างไร”8
8. Harrison Brown, The Challenge of Man’s Future (New York : Viking Press, 1954), p. 255
แม้ว่าความเห็นข้างต้นนี้จักถูกละทิ้งไป ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นความเห็นเกี่ยวกับระยะยาว และดังที่ลอร์ดเคนส์กล่าวไว้ว่า ในระยะยาว เราทุกคนล้วนตายไปแล้วทั้งสิ้น แต่ก็มีปัญหาปัจจุบันทันด่วนว่า การทำให้ประเทศเป็นประเทศสมัยใหม่ (modernization) ดังที่ปฏิบัติกันทุกวันนี้ โดยไม่คำนึงถึงคุณค่าทางศาสนาและคุณค่าทางจิตใจนั้น โดยที่เป็นจริงแล้ว จักก่อให้เกิดผลอันเป็นที่ยอมรับกันได้หรือไม่ เพื่อพิจารณาผลกระทบที่มีต่อชนส่วนใหญ่ ผลที่เกิดขึ้น ดูจะเป็นหายนภัย เช่นความล่มจมของเศรษฐกิจภาคชนบท ปัญหาการว่างงานที่เพิ่มขึ้นทั้งในชนบทและตัวเมือง และการเจริญเติบโตของชนชั้นกรรมาชีพในตัวเมือง โดยที่ไม่สามารถหาความสุขได้ทั้งทางกายและทางใจ
          เมื่อพิจารณาถึงประสบการณ์ในปัจจุบันทันด่วน และอนาคตในระยะยาว เศรษฐศาสตร์ชาวพุทธมีค่าควรแก่การศึกษา แม้กระทั่งสำหรับผู้ที่มีความเชื่อว่า การจำเริญเติบโตทางเศรษฐกิจสำคัญยิ่งกว่าคุณค่าทางจิตใจหรือคุณค่าทางศาสนาใดๆ ทั้งนี้ก็เพราะ นี่มิใช่การเลือกระหว่าง “การจำเริญเติบโตสมัยใหม่” (modern growth) กับ “การชะงักงันสมัยเก่า” (tradition stagnation)หากทว่าเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับการเลือกมรรคแห่งการพัฒนาที่ถูกต้อง อันได้แก่ ทางสายกลาง ระหว่างไม่ระมัดระวังของนักวัตถุนิยม กับความไร้จลนภาพของคนหัวเก่า กล่าวโดยสรุป ก็คือ ปัญหาการแสวงหา “สัมมาอาชีวะ”
          การแสวงหาดังกล่าว เป็นสิ่งที่ทำได้โดยปราศจากข้อสงสัย แต่มใช่เพียงแต่การเลียนแบบวิถีชีวิตของนักวัตถุนิยม ในประเทศที่เรียกกัว่าประเทศที่เจริญแล้ว อย่างไม่ลืมหูลืมตา เหนือสิ่งอื่นใด การแสวงหา จำต้องอาศัยการพัฒนาทางสายกลางทางด้านประยุกตวิทยาอย่างทรงสำนึก และอย่างมีระบบ หรืออีกนัยหนึ่ง จำต้องอาศัยการพัฒนา “ประยุกตวิทยาขั้นกลาง” (intermediate technology) อย่างที่ผู้เขียนเรียก9 อันเป็นประยุกตวิทยา ซึ่งก่อผลผลิตมากกว่า และทรงพลังกว่า ประยุกตวิทยาที่เสื่อมโทรมของตะวันออกสมัยโบราณ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นประยุกตวิทยา ที่ไม่ละเมิดหลักอหิงสา ทั้งถูกกว่าและง่ายกว่าประยุกตวิทยาชนิดประหยัดแรงงานของตะวันตกสมัยใหม่มาก.

9. E. F. Schumacher, “Rural Industries” in India at Mid-passage(London : Overseas Development Institute, 1964) and “Industrialisation through Intermediate Technology” on Minerals and Industries Vol.1 No.4 Culcutta 1964).