โอ ทะเลทั้งหลาย แห่ง คาลาดาน
โอ ผู้คนของ ดยุค ลีโต---
ป้อมปราการ ของ ลีโต
ได้พังทลายลง,
พังทลายลงไปชั่วนิรันดร์.....
---จาก “บทเพลง ของ มวด’ดิบ” โดย เจ้าหญิง อีร์อูลาน
พอล รู้สึกได้ว่าทั้งหมดของอดีต, ทุกประสบการณ์รับรู้ของเขาก่อนค่ำคืนนี้,
ได้กลายเป็นเม็ดทรายม้วนขดไหลลงไปอยู่ในนาฬิกาทราย.
เขานั่งอยู่ใกล้กับมารดาของเขากอดเข่าของตนอยู่ในกระท่อมผ้าทอถักและพลาสติกเล็กๆ---กระโจมทะเลทราย(stilltent*)---ที่ได้มา,
เหมือนเสื้อผ้าของพวกฟรีเมนที่พวกเขาใส่อยู่กันในตอนนี้, จากเป้ห่อของที่ถูกทิ้งไว้ให้ในยาน’ธ็อปเปอร์นั้น.
ไม่มีความกังขาในจิตใจของ พอล
เลยว่าใครที่ได้นำเอา เฟรมคิท มาไว้ที่นั้น, ใครผู้ที่ได้กำกับเส้นทางของยาน’ธ็อปเปอร์นี้นำตัวพวกเขาเยี่ยงเชลยออกมา.
หยัว.
หมอผู้ทรยศได้ส่งตัวพวกเขาตรงออกมาเข้าไปสู่ในมือของ
ดันแคน ไอดาโฮ.
พอล
จ้องมองออกไปข้างนอกของปลายสุดโปร่งใสของกระโจมนี้ยังเงาของก้อนหินในเงาดวงจันทร์ทั้งหลายที่เป็นแหวนวงล้อมสถนที่นี้ไว้ทีซึ่ง
ไอดาโฮ ได้ซ่อนตัวพวกเขาไว้.
หลบซ่อนเหมือนเด็กคนหนึ่งในเมื่อตอนนี้ฉันคือ
ดยุค, พอล คิด.
เขารู้สึกว่าความคิดนี้ขื่นขมเขา, แต่ไม่สามารถปฏิเสธความเฉลียวฉลาดในอะไรที่พวกเขาได้ทำไป.
บางอย่างได้บังเกิดขึ้นต่อสัมปชัญญะ(awareness
- ความตระหนักรู้)ของเขาในคืนนี้---เขาเห็นด้วยความกระจ่างคมชัดในทุกสถานการณ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวของเขา.
เขารู้สึกได้ว่าไม่สามารถที่จะหยุดการไหลหลั่งของข้อมูลหรือความเที่ยงตรงอันเย็นเยือกกับสิ่งแต่ละอย่างที่ถูกเติมเพิ่มเข้าสู่ความรู้ของเขาและการคาดคำนวณคณนาที่ถูกกำหนดลงศูนย์กลางสัมปชัญญะของเขา.
มันเป็นพลังของ เมนทาต และยิ่งไปกว่านั้น.
พอล
คิดย้อนกลับไปถึงชั่วขณะของความโกรธอันไร้กำลังขณะที่ยาน’ธ็อปเปอร์แปลกหน้าดำดิ่งออกมาจากราตรีมายังพวกเขา,
ถลาโฉบลงเหมือนเหยี่ยวยักษ์เหนือทะเลทรายพร้อมด้วยสายลมกรีดร้องผ่านปีกทั้งหลายของมัน.
สิ่งที่อยู่ในจิตใจของ พอล ได้บังเกิดขึ้นในตอนนั้น. ยาน’ธ็อปเปอร์ได้ลื่นไถลและหมุนข้ามสันทรายเข้าหาร่างที่กำลังวิ่งอยู่เบื้องหน้า---มารดาของเขาและตัวเขาเอง.
พอล จำได้ว่ากลิ่นไหม้อย่างไรของกำมะถันจากการเสียดสีของยานถูขัดกับเม็ดทรายและลอยปลิวข้ามมาถึงพวกเขา.
มารดาของเขา, เขารู้ดี, ได้หันตัวกลับ,
คาดหวังว่าจะเจอเข้ากับปืนเลซในมือของพวกทหารรับจ้างของฮาร์คอนเนน,
และจำได้ว่าเป็น ดันแคน ไอดาโฮ กำลังเอนร่างออกมาจากประตูของยาน’ธ็อปเปอร์กำลังตะโกน: “มาเร็วเข้า! มีสัญญานหนอนทรายทางทิศใต้ของพวกท่าน!”
แต่ พอล ได้รู้ในขณะที่เขาหันไปว่าใครคือผู้ที่ขับยาน’ธ็อปเปอร์นั้น. การดเก็บสะสมของเรื่องละเอียดเล็กๆน้อยๆในวิธีที่มันบิน,
การโผอย่างรวดเร็วของการลงสู่พื้น---เบาะแสเล็กน้อยเหลือเกินกระทั่งมารดาของเขาก็ไม่ได้ตรวจพบพวกมัน---ได้บอกกับ
พอล อย่างชัดเจน ว่าใครนั่งควบคุมเหล่านั้นกับมัน.
ข้ามกระโจมทะเลทรายนั้นไปจาก พอล,
เจสสิกา กระสับกระส่าย, พูด:
“มีเพียงแค่หนึ่งคำอธิบายได้เดียวเท่านั้น. พวกฮาร์คอนเนนส์กุมตัวภรรยาของ หยัว ไว้.
เขาเกลียดพวกฮาร์คอนเนนส์! แม่ไม่ผิดได้แน่ในเรื่องนั้น.
ลูกอ่านบันทึกของเขาแล้ว. แต่ทำไมเขาถึงได้ช่วยชีวิตเราเอาไว้จากการสังหารหมู่นั้น?”
แม่แค่ในตอนนี้ได้เห็นมันและนั่นน่าสงสาร,
พอล คิด. ความคิดนั้นเป็นน่าตื่นตระหนก.
เขาได้รู้ความจริงนี้ราวกับเป็นเช่นสิ่งที่เป็นเช่นนั้นเองขณะที่กำลังอ่านบันทึกนั้นที่ได้แนบซุกแหวนตราประทับของดยุคเอไว้ด้วยในห่อนั้น.
“อย่าได้พยายามที่จะให้อภัยข้า,” หยัว
ได้เขียนเอาไว้. “ข้าไม่ได้ต้องการความอภัยของเจ้า.
ข้าได้มีภาระกรรมอยู่มากเพียงพอแล้ว.
อะไรที่ข้าได้ทำไปแล้วโดยปราศจากความอาฆาตหรือความหวังในความเข้าใจของใครอื่น.
มันเป็น ทาฮัดดิ อัล-บุรฮัน(tahaddi al-burhan)ของข้าเอง,
การทดสอบอันสัมบูรณ์สุดของข้า.
ข้าให้แหวนตราประทับแห่งดยุคแก่เจ้าเป็นของกำนัลสัญลักษณ์ว่าข้าได้เขียนนี้ด้วยความสัจ.
เมื่อเวลาที่เจ้าได้อ่านบันทึกนี้นั้น, ดยุค ลีโต ก็จะตายแล้ว.
รับการปลอบโยนจากการช่วยเหลือของข้าว่าเขาจะไม่ได้ตายไปตามลำพังโดดเดี่ยว,
ว่าผู้ที่เราเกลียดชังอื่นทั้งหมดได้ตายไปกับเขาด้วยเช่นกัน.”
มันไม่ได้มีที่อยู่หรือลงนามเครื่องหมายใด,
แต่ไม่มีความผิดพลาดใดอีกแล้วในลายมือที่คุ้นเคยนี้---นั่นเป็นของ หยัว.
การจำถึงจดหมายนั้น, พอล ได้ประสบการณ์รับรู้อีกในความเศร้าใจของชั่วขณะนั้น---สิ่งที่แหลมคมและแปลกประหลาดที่ดูเหมือนว่าบังเกิดขึ้นภายนอกความตื่นตัวของจิตใจใหม่ของเขา.
เขาได้อ่านว่าบิดาของเขาตาย, รู้ถึงความสัจจริงของคำเหล่านั้น,
แต่ได้รู้สึกกับพวกมันดุจำม่มากไปกว่าข้อมูลอื่นที่ถูกเข้ามาในจิตใจของเขาและถูกใช้งาน.
ข้ารักพ่อของข้า, พอล
คิด, และรู้ว่านี้เป็นความสัจ. ข้าน่าจะเศร้าอาลัยเขา.
ข้าน่าจะรู้สึกอะไรบางอย่าง.
แต่เขาไม่รู้สึกอะไรนอกจาก: นี่คือความสัจจริงอันสำคัญ.
มันคือหนึ่งกับความสัจจริงอื่นทั้งหมด.
ทั้งหมดในยามที่จิตใจของเขากำลังเติมเพิ่มเติมการประทับรับรู้,
การคาดการณ์, การคำนวณประเมินผล.
คำพูดของ ฮัลเล็ค กลับมาหา พอล: “อารมณ์คือสิ่งสำหรับวัวควายหรือสำหรับทำรัก.
เจ้าต่อสู้เมื่อความจำเป็นได้เกิดขึ้นมา, ไม่ว่าอารมณ์ของเจ้าเป็นเช่นไร.”
แต่เขารู้สึกไม่มีการหยุดลงในความเที่ยงตรงอันเยือกเย็นของตัวตนของเขา.
เขาสัมผัสรู้ว่าสัมปชัญญะใหม่ของเขานั้นเป็นแค่เพียงการเริ่มต้น,
ว่ามันกำลังเติบโต.
สัมผัสรู้แห่งเจตจำนงอันน่าสะพรึงกลัวที่เขาได้ประสบการณ์รับรู้เป็นครั้งแรกในทัณฑ์จารีตของเขากับ
แม่อธิการ ไกอัส โมฮิยัม ได้แผ่ซ่านกระจายไปทั่วเขา.
มือขวาของเขา---มือของความปวดร้าวที่จดจำได้---โดนทิ่มแทงและเต้นตุบๆ.
นี้หรือคืออะไรที่มันจะเป็น ควิทซาตซ์
ฮาเดอรัค ของพวกเขา? เขาฉงนใจ.
“ซํกพักหนึ่ง, แม่คิดว่า
ฮาวัต ได้ล้มเหลวให้กับเราอีกครั้งหนึ่งแล้ว,” เจสสิกา พูด. “แม่คิดว่าบางที หยัว
ไม่ใช่แพทย์ของสึกข์.”
“เขาเป็นอะไรทุกอย่างที่เราคิดว่าเขาเป็น.....และมากกว่านั้น,”
พอล พูด. และเขาคิด: ทำไมแม่ถึงได้ช้าเกินไปในการเห็นสิ่งเหล่านี้นะ?
เขาพูด. “ถ้า ไอดาโฮ ไม่ได้ผ่านไปหา คายนิ์ส ได้,
เราก็จะ---”
“เขาไม่ใช่ความหวังเดียวเท่านั้นของเรา,”
เธอพูด.
“เช่นนั้นไม่ใช่ข้อเสนอแนะของลูก,”
เขาพูด.
เธอได้ยินเยี่ยงเหล็กกล้าในน้ำเสียงของเขา,
สัมผัสของการบัญชา, และจ้องข้ามความมืดสีเทาของกระโจมทะเลทรายนั้นไปหาเขา. พอล
เป็นภาพเลือนลางกับสันหินผาอาบไล้แสงจันทร์เย็นเยือกนั้นที่เห็นผ่านทะลุปลายแผ่นโผร่งใสปลายกระโจมนั้นเข้ามา.
“คนอื่นในหมู่ทหารของบิดาลูกคงจะหลบหนีได้,”
เธอพูด. “เราต้องรวบรวมพวกเขาอีกครั้ง, ค้นหา---“
“เราจะพึ่งตนเอง,” เขาพูด. “เรื่องที่สำคัญกับเราในทันทีนี้คือ ระเบิดปรมาณูทั้งหลายของตระกูลเรา.
เราต้องไปถึงพวกนั้นก่อนที่พวกฮาร์คอนเนนส์จะสามารถค้นหาพวกมันพบเอาออกมาได้.”
“คงไม่ที่พวกนั้นจะค้นหาเจอ,” เธอพูด,
“วิธีที่พวกนั้นได้ถูกซ่อนอยู่.”
“มันต้องไม่ถูกทิ้งไว้ให้มีโอกาส.”
และเธอคิด: ขู่กรรโชกด้วยระเบิดปรมาณูของตระกูลคือการขู่คุกคามกับดาวเคราะห์นี้และเครื่องเทศของมัน---นั่นคืออะไรที่อยู่ในใจของลูก.
แต่ทั้งหมดที่เขาสามารถหวังได้สำหรับตอนนั้นคือการหลบหนีเข้าไปสู่การกบฏต่อระบอบศักดินาสวามิภักดิ์.
คำของมารดาเหล่านั้นได้ยั่วกระตุ้นให้กับการฝึกฝนของความคิดใน
พอล---ความสัมพันธ์ของดยุคต่อผู้คนทั้งหมดที่พวกเขาได้สูญเสียไปในคืนนี้.
ผู้คนที่เป็นกำลังเข้มแข็งแท้จริงของ มหาราชสำนัก, พอล คิด.
และเขาจำได้ถึงคำพูดของ ฮาวัต: ส่วนหนึ่งกับผู้คนคือความเศร้าโศก; ตำแหน่งแห่งหนก็เป็นเพียงแค่ตำแหน่งแห่งหนเท่านั้นแหละ.
“พวกเขากำลังใช้ ซาร์เดาการ์,”
เจสสิกา พูด. “เราต้องรอคอยจนกว่าพวกซาร์เดาการ์ได้ถอนกำลังออกไป.”
“พวกเขาคิดว่าเราติดอยู่ระหว่างทะเลทรายกับพวกซาร์เดาการ์,”
พอล พูโ. “พวกเขาตั้งใจว่าจะไม่มี อะไทรดิสใดเหลือรอดชีวิตได้---การกวาดล้างถึงที่สุด.
อย่าได้นับหวังในการหลบหนีใดของผู้คนของเรา.”
“พวกเขาไม่สามารถทำการเสี่ยงที่ไร้กำหนดต่อไปได้ซึ่งเปิดเผยว่าจักรพรรดิมีส่วนในการกระทำเรื่องนี้.”
“พวกเขาทำไม่ได้รึ?”
“ผู้คนของเราบางรายมุ่งที่จะหลบหนีอยู่.”
“พวกเขาเช่นนั้นหรือ?”
เจสสิกา หันหนีไป,
หวาดกลัวต่อความเข้มแข็งอันข่มขื่นในน้ำเสียงของบุตรชายของเธอ,
ต่อการได้ยินการประเมินอย่างเที่ยงตรงของโอกาสทั้งหลาย. เธอสัมผัสรู้ถึงจิตใจของเขาได้กระโจนไปนำหน้าเหนือเธอ,
ว่ามันในตอนนี้ได้เห็นมากกว่าในบางประเด็นทั้งหลายที่เธอเห็น. เธอได้ช่วยฝึกฝนเชาวน์ปัญญาที่ทำเรื่องนี้,
แต่ตอนนี้เธอได้พบว่าตนเองหวาดกลัวเต็มที่กับมัน. ความคิดของเธอหันกลับมา,
เสาะค้นยังที่หลบภัยอันสูญไปแล้วของดยุคของเธอ,
และน้ำตาทั้งหลายก็เผาไหม้แก้มของเธอ.
นี่คือหนทางที่มันต้องเป็นไป, ลีโต,
เธอคิด. “เวลาความรักและเวลาของความโศกา.”
เธอวางมือของเธอลงบนหน้าท้องของเธอ,
สัมปชัญญะเพ่งไปที่ทารกแรกเริ่มในครรภ์ที่นั้น. ข้ามีธิดาของ อะไทรดิส
แล้วตามที่ข้าถูกบัญชามาให้ผลิตสร้าง,
แต่แม่อธิการนั้นผิดพลาดไปกับเรื่องที่ว่าธิดานี้ไม่สามารถช่วยรักษาชีวิต ลีโต
ของข้าได้. เด็กนี้เป็นเพียงแค่ชีวิตหนึ่งที่เอื้อมไปหาอนาคตในท่ามกลางของความตาย.
ข้ามีครรภ์นี้ออกมาจากสัญชาตญาณและไม่ได้ออกมาจากการอยู่ในโอวาทใด.
“ลองเครื่องรับสัญญานสื่อสารนั่นอีกครั้งสิ,”
พอล พูด.
จิตใจทำงานของมันต่อไปไม่ว่าเราจะพยายามเหนี่ยวรั้งมันกลับคืนมาอย่างไรก็ตาม,
เธอคิด.
เจสสิกา เจอเครื่องรับอันเล็กๆที่ ไอดาโฮ
ทิ้งไว้ให้พวกเขา, เปิดสวิทช์ของมัน.
แสงสีเขียวเรืองอยู่บนหน้าปัดของเครื่องมือนั้น.
เสียงแกรกกรากเล็กน้อยดังออกมาจากลำโพงของมัน. เธอหรี่เครื่องปรับเสียงลง,
ล่าไปตามช่องสัญญานทั้งหลาย.
เสียงหนึ่งพูดในภาษายุทธการของอะไทรดิสเข้ามาสู่กระโจม.
“.....ถอยแล้วไปรวมพลที่สันแนวนั้น.
เฟดอร์ รายงานว่าไม่มีใครรอดชีวิตใน คาร์ธัจ และ กิลด์ แบ็งค์
ถูกปล้นไปแล้ว.”
คาร์ธัจ!
เจสสิกา คิด. นั่นเป็นแปลงเพาะปลูกฮาร์คอนเนน.
“พวกมันเป็น
ซาร์เดาการ์,” เสียงนั้นพูด. “ระวังพวกซาร์เดาการ์ในเครื่องแบบทั้งหลายของ
อะไทรดิส. พวกมัน.....”
เสียงคำรามดังกลบเต็มลำโพง,
แล้วก็เงียบลง.
“ลองคลื่นสัญญานอื่นสิ,”
พอล บอก.
“ลูกรู้ไหมว่านั่นหมายถึงอะไรกัน?”
เจสสิกา ถาม.
“ลูกคาดมันไว้แล้ว.
พวกเขาต้องการให้ กิลด์ กล่าวโทษเราสำหรับการพังทะลายของธนาคารพวกตน. ด้วย
กิลด์ ต่อต้านเรา, เราติดกับอยู่บน อาร์ราคิส. พยายามหาคลื่นอื่นอีกสิ.”
เธอชั่งน้ำหนักคำพูดของเขา: ฉันคาดหวังมันไว้. อะไรได้เกิดขึ้นกับลูกหรือ? อย่างช้าๆ, เจสสิกา
กลับมาหาเครื่องมือนั้น. ขณะที่เธอขยับเคลื่อนปุ่มเลื่อนหาคลื่น,
พวกเขาสะดุดเข้ากับการห้วงๆเป็นระยะของความรุนแรงในสองสามเสียงเรียกตะโกนในภาษายุทธการของอะไทรดิส:
... “ถอยกลับมา...” “...พยายามรวมพลที่.....” “...ติดกับดักอยู่ในคูหาที่.....”
และไม่มีการผิดพลาดใดกับการโห่ร้องยินดีชัยชนะในคำพูดพร่ำเปรอะของฮาร์คอนเนนที่ไหลหลั่งออกมาจากคลื่นอื่นๆ.
คำสั่งการชัดเจนทั้งหลาย, รายงานยุทธการทั้งหลาย. ไม่มีมันเพียงพอที่จะให้ เจสสิกา
จดบันทึกและตีความภาษานั้นได้, แต่น้ำเสียงนั้นชัดเจนแล้ว.
ชัยชนะของฮาร์คอนเนน.
พอล เขย่าเป้ห่อของข้างตัวเขา, ได้ยินสองกระบอกลิตร(literjon*)ใส่น้ำกระทบกันในนั้น.
* http://www.glossaria.net/en/dune/literjon
เขาสูดหายใจเข้าลึก, เงยหน้าขึ้นมองผ่านปลายสุดโปร่งใสของกระโจมยังสันเนินหินเส้นขอบแนวบดบังเหล่าดวงดาว.
มือซ้ายของเขารู้สึกถึงผนึก-หูรูดของประตูทางเข้ากระโจม.
“จะรุ่งเช้าในไม่ช้านี้แล้ว,” เขาพูด. “เราสามารถรอคอยผ่านกลางวันสำหรับ ไอดาโฮ
ได้, แต่ไม่ผ่านได้อีกหนึ่งคืน. ในทะเลทราย, เราต้องเดินทางในตอนกลางคืนและพักในร่มเงาตอนกลางวัน.”
ตำนานโบราณที่จดจำได้สอดแทรกตัวมันเข้ามาในจิตใจของ
เจสสิกา: ปราศจากชุดสติลล์สูท,
คนผู้หนึ่งนั่งอยู่ในร่มเงาบนทะเลทรายจำเป็นต้องการน้ำห้าลิตรต่อวันเพื่อรักษาน้ำหนักตัวไว้.
เธอรู้สึกถึงผิวลื่น-นุ่มของชุดสติลล์สูทนั้นกับร่างของเธอ,
คิดถึงว่าชีวิตของพวกเขาขึ้นอยู่กับเครื่องแต่งกายนี้.
“ถ้าเราไปจากที่นี่, ไอดาโฮ
ก็จะไม่สามารถหาเราเจอได้,” เธอพูด.
“มีหลายวิธีที่จะให้ผู้ใดก็ตามต้องพูดออกมาได้,”
เขาพูด. “ถ้า ไอดาโฮ ไม่ได้กลับมาตอนรุ่งเช้า, เราต้องพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่เขาอาจถูกจับกุมตัว.
นานเท่าไหร่ที่แม่คิดว่าเขาจะทนกลั้นเอาไว้ได้ล่ะ?”
คำถามนั้นไม่ต้องการคำตอบใด,
และเธอนั่งอยู่เงียบๆ.
พอล ยกแผ่นผนึกบนเป้ห่อของขึ้น,
ดึงเอาคู่มือไมโครที่มีแป้นเรืองแสงและแว่นขยายออกมา. ตัวหนังสือสีเขียวและส้มกระโจนขึ้นมาหาเขาจากหน้าต่างๆ: “กระบอกลิตร(literjon), กระโจมทะเลทราย(stilltent), หมวกพลังงาน(energy caps),
หลอดระบายของเสีย(recaths*),
* http://www.glossaria.net/en/dune/recaths
ท่อลมกระโจมทะเลทราย(sandsnork*),
กล้องส่องทางไกล(binoculars),
อุปกรณ์ซ่อมชุดสติลล์สูท(stillsuit repkit*),
ปืนส่งสัญญานบาราดาย(baradye pistol*),
ตารางแผนที่(sinkchart),
ที่อุดกรองปาก(filt-plugs*),
เข็มทิศพารา(paracompass*),
ตะขอหนอนทราย(maker hooks*),
เครื่องตบทราย(thumpers*),
ชุดพยาบาล(Fremkit*), เสาไฟ(fire
pillar).....”
* https://dune.fandom.com/wiki/List_of_Dune_terminology
สิ่งต่างๆมากมายเหลือเกินเพื่อการอย฿รอดชีวิตบนทะเลทราย.
ทันใดนั้น,
เขาวางคู่มือนี้ลงข้างๆบนพื้นกระโจม.
“เราสามารถไปทางไหนได้หรือ?” เจสสา ถาม.
“พ่อของลูกเคยพูดถึง พลังทะเลทราย,”
พอล พูด. “พวกฮาร์คอนเนนส์ไม่สามารถปกครองเวเคราะห์นี้ได้ถ้าไม่มีมัน.
พวกเขาไม่มีวันได้ปกครองดาวเคราะห์นี้, หรือจะทำได้เลย.
ไม่แม้กระทั่งด้วยหนึ่งแสนกองพันทหารของซาร์เดาการ์.
“พอล, ลูกไม่อาจคิดถึงเรื่องนั้นได้.....”
“เรามีหลักฐานทั้งหมดอยู่ในมือของเรา,”
เขาพูด. “ตรงนี้ในกระโจมนี่---กระโจมนี้ด้วยตัวมันเอง,
เป้ห่อของนี้และสิ่งของทั้งหลายข้างในมัน, ชุดสติลล์สูทนี้. เรารู้ว่าพวกกิลด์ต้องการให้ดาวเทียมภูมิอากาศทั้งหลายเป็นสิ่งต้องห้าม.
เรารู้ว่านั่น---“
“ดาวเทียมภูมิอากาศนั้นมาเกี่ยวข้องอะไรด้วยกับมันหรือ?”
เธอถาม. “พวกเขาไม่น่าจะ.....” เธอหยุดชะงักลง.
พอล
สัมผัสรู้ได้ด้วยอภิมหาสติของจิตใจตนอ่านปฏิกิริยาทั้งหลายของมารดา,
คำนวณและประเมินและแยกแยะย่อย. “แม่เห็นมันแล้วตอนนี้,” เขาพูด. “ดาวเทียมทั้งหลายนั้นเฝ้าดูภาคพื้นเบื้องล่าง.
มีหลายสิ่งในทะเลทรายตอนลึกที่จะไม่รองรับการตรวจสอบด้วยคลื่นความถี่.”
“ลูกกำลังชี้แนะว่าพวกกิลด์เองที่ควบคุมดาวเคราะห์นี้หรือ?”
เธอนั้นช่างช้าเกินไป.
“ไม่ใช่!” เขาพูด. “พวกฟรีเมนต่างหาก!
พวกเขากำลังจ่ายพวกกิลด์สำหรับความเป็นส่วนตัว,
จ่ายเป็นเหรียญที่เงินตราที่สามารถหาได้อย่างอิสระต่อใครก็ตามด้วย
พลังทะเลทราย---เครื่องเทศ. เรื่องนี้เป็นมากไปกว่าคำตอบระดับรองของการคาดประมาณ; มันเป็นการคำนวณประมวลผลออกมาตรงชัด. ขึ้นอยู่กับมันเช่นนั้น.”
“พอล,” เจสสิหา พูด, “ลูกยังไม่ใช่
เมนทาต;
ลูกไม่สามารถรู้ชัดแน่นอนได้ว่า---”
“ลูกจะไม่มีวันเป็น เมนทาต,” เขาพูด.
“ลูกเป็นอะไรบางอย่างอื่น.....ตัวประหลาด.”
“พอล!
ลูกพูดเช่นนั้นได้อย่างไรว่า---”
“ปล่อยข้าตามลำพังเถิด!”
เขาหันหนีไปจากเธอ, มองอกไปในราตรี. ทำไมฉันถึงเศร้าโศกไม่ได้รึ?
เขากังขาใจ. เขารู้สึกว่าทุกเส้นใยของตัวตนเขาปรารถนาการปลดเปลื้องนี้, แต่มันคงจะได้ปฏิเสธเขาไปตลอดกาล.
เจสสิกา
ไม่เคยได้ยินความคับแค้นใจเช่นนี้ในน้ำเสียงของบุตรชายตนมาก่อนเลย.
เธออยากจะเอื้อมออกไปหาเขา, กอดเขา, ปลอบโยนเขา, ช่วยเขา---แต่เธอสัมผัสรู้ได้ว่าไม่มีอะไรที่เธอสามารถทำได้.
เขาต้องแก้ปัญหานี้ด้วยตนเอง.
แป้นเรืองแสงของคู่มือ เฟรมคิท ระหว่างพวกเขาบนพื้นกระโจมสะดุดตาของเธอ.
เธอหยิบมันขึ้นมา, เหลือบมองยังหน้าที่เปิดไว้นั้น, อ่าน: “คู่มือ ของ ‘เพื่อนทะเลทราย,’ สถานที่เต็มไปด้วยชีวิต. นี่คือ อยัต และ บุรฮาน(ayat
and Burhani*)แห่ง ชีวิต. ศรัทธา, และ อัล-ลัต(al-Lat)จะไม่มีวันเผาไหม้เจ้า.”
มันอ่านคล้ายคัมภีร์ อาซฮาร์,
เธอคิด, หวนนึกถึงการศึกษาของเธอเรื่อง ความลับอันยิ่งใหญ่ทั้งหลาย. มี ผู้ปรับถ่ายทอด
ของ เหล่าศาสนาศรัทธา ได้มาบน อาร์ราคิส นี้หรือ?
พอล หยิบเข็มทิศพาราขึ้นมาจากเป้ห่อของ,
ใส่มันกลับลงไป, พูด: “คิดดูสิในเรื่องบรรดาเครื่องจักรของฟรีเมนที่ประยุกต์ใช้เป็นพิเศษพวกนี้.
พวกมันแสดงถึงความช่ำชองที่เหนือกว่า. ยอมรับมัน.
วัฒนธรรมที่ทำสิ่งเหล่านี้ทรยศลึกล้ำกว่าที่ใครจะคาดระแวงได้.
อย่างลังเล,
ยังคงกังวลโดยกวามกระด้างกร้าวในน้ำเสียงของเขา, เจสสิกา หันลับไปยังหนังสือนั้น,
ศึกษากลุ่มดาวที่แสดงบรรยายภาพท้องฟ้าของ อาร์ราคิส เอาไว้: “มวด’ดิบ: หนูเล็ก,” และสังเกตไว้ว่าหางนั้นชี้ไปยังทิศเหนือ.
พอล
จ้องเข้าไปในความมืดของกระโจมยังการเคลื่อนไหวเลือนลางของมารดาของเขาที่เผยออกเห็นได้ด้วยแสงเรืองจากแป้นของคู่มือนั้น.
ตอนนี้เป็นเวลาที่จะสานต่อความปรารถนาหวังของพ่อข้าให้ลุล่วง, เขาคิด. ข้าต้องให้สาส์นของพ่อกับแม่ในตอนนี้ขณะที่แม่ยังมีเวลาให้เศร้าอาลัย.
ความเศร้าอาลัยนั้นจะไม่สะดวกนักสำหรับเราในภายหลังจากนี้. และเขาพบว่าตนเองตื่นตระหนกใจกับตรรกะที่ชัดแจ้งนั้น.
“ท่านแม่,” เขาพูด.
“จ้ะ?”
เธอได้ยินถึงการเปลี่ยนแปลงในน้ำเสียงของเขา,
รู้สึกถึงความเย็นเยียบในไส้พุงของเธอกับเสียงนั้น.
ไม่เคยเลยที่เธอจะได้ยินความควบคุมอย่างรุนแรงเช่นนั้น.
“พ่อของลูกได้ตายแล้ว,” เขาพูด.
เธอค้นหาภายในตนเองเพื่อเชื่อมต่อความสัจจริงและความสัจจริงและความสัจจริง---วิธของ
เบเน เกสเสอริตของประเมินข้อมูล---และมันมาสู่เธอ: ความรู้สึกสัมผัสแห่ความสูญเสียอันน่าตื่นตระหนก.
เจสสิกา พยักหน้ารับ,
ไม่สามารถจะพูดอะไรได้.
“พ่อของลูกมอบหมายให้ลูกครั้งหนึ่ง,” พอล
พูด, เพื่อมอบสาส์นกับแม่ถ้ามีสิ่งใดก็ตามได้บังเกิดขึ้นกับพ่อ.
พ่อกลัวว่าแม่อาจจะเชื่อว่าพ่อไม่ได้ไว้ใจแม่.”
นั่นเป็นความสงสัยที่ไร้ประโยชน์, เธอคิด.
“พ่อต้องการให้แม่ได้รู้ว่าพ่อไม่เคยสงสัยในตัวแม่,”
พอล พูด, และอธิบายถึงการตบตานั้น, เพิ่มอีกว่า: “พ่อต้องการให้แม่ได้รู้ว่าพ่อไว้ใจในตัวแม่ทั้งสิ้นอยู่เสมอมา,
รักและชื่นชมในตัวแม่เสมอมา.
พ่อบอกว่าพ่อจะไม่ไว้ใจตัวเองในไม้ช้าและพ่อมีเพียงความสำนึกเสียใจอยู่เรื่องหนึ่ง---ว่าพ่อไม่เคยทำให้แม่ได้เป็น
ดัชเชส.”
เธปัดน้ำตั้งหลายที่อาบไล้ลงมาตามแก้มของเธอ,
คิด: ช่างเป็นการสูญเสียเปล่าที่โง่เขลาของน้ำจากร่างกายนี้! แต่เธอรู้ดีว่าความคิดนี้มันมาได้จากอย่างไร---ความพยายามที่จะถดถอยความโศกอาลัยไปสู่ความโกรธ.
ลีโต, ลีโตของฉัน, เธอคิด. ช่างเป็นอะไรย่ำแย่เหลือเกินที่เราได้ทำต่อผู้คนที่เรารัก! ด้วยการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง, เธอปิดดับแสงเรืองๆของคู่มือนั้น.
ความสะอื้นเขย่าตัวเธอ.
พอล
ได้ยินความโศกอาลัยของมารดาตนและรู้สึกได้ถึงความว่างเปล่าภายในตนเอง. ข้าไม่มีความโศกอาลัย,
เขาคิด. ทำไมรึ? ทำไม? เขารู้สึกถึงการไม่สามารถที่จะเศร้าโศกอาลัยได้ราวกับรอยตำหนิอันน่ากลัว.
“เวลาที่จะได้และเวลาที่จะเสีย,”
เจสสิกา คิด, อ้างคติธรรมกับตนเองจาก โอ.ซี. ไบเบิ้ล.
“เวลาที่จะเก็บไว้และเวลาที่จะทิ้งไป;
เวลาที่จะรักและเวลาที่จะชัง; เวลาของสงครามและเวาของสันติสุข.”
จิตใจของ
พอลได้จากไปในความแจ่มชัดอันเย็นเยียบของมัน. เขามองเห็นหนทางทั้งหลายข้างหน้าของพวกเขาบนดาวเคราะห์ปรปักษ์นี้.
ไร้กระทั่งวาวล์นิรภัยของความฝัน,
เขาเพ่งความสนใจในสัมปชัญญะอย่างรู้ล่วงหน้าได้ของเขา,
มองเห็นมันดุจการคำนวณประเมินในความเป็นไปได้ส่วนใหญ่ของอนาคต,
แต่ด้วยอะไรบางอย่างมากยิ่งกว่า, ริมขอบของความลึกลับ---ราวกับว่าจิตใจของเขาจุ่มลงไปในชั้นบรรยากาศไร้กาลเวลาและสุ่มตัวอย่างสายลมทั้งหลายของอนาคตนั้น.
อย่างทันด่วน,
ราวกับเขาได้พบกุญแจที่จำเป็น, จิตใจของ พอลปีนป่ายอีกรอยร่องบากในสัมปชัญญะ.
เขารู้สึกตัวเองห้อยเกาะอยู่กับระดับชั้นใหม่นี้, คว้าแน่นอยู่ที่ยึดอันไม่มั่นคงหนึ่งและมองหากับมัน.
มันเป็นดุจเขาได้มีอยู่ภายในลูกโลกที่มีถนนทั้งหลายแผ่เป็นรังสีออกไปในทุกทิศทาง.....กระนั้นสิ่งนี้ก็เป็นเพียงประมาณการต่อความสัมผัสรู้สึก.
เขาจำได้ว่าครั้งหนึ่งเห็นผ้าพันโพกศีรษะปลิวพัดไปในสายลมและตอนนี้เขาสัมผัสรู้สึกถึงอนาคตดุจราวกับมันบิดปลิวข้ามผิวพื้นบางอย่างที่เป็นดุจเกลียวคลื่นและไม่จีรังราวกับผ้าโพกที่ถูกสายลมพัดนั้น.
เขาเห็นผู้คน.
เขารู้สึกได้ถึงความร้อนระอุและความเย็นเยือกของความเป็นไปได้นับไม่ถ้วน.
เขารู้ถึงชื่อและสถานที่ทั้งหลาย,
อารมณ์ที่มีประสบการณ์รับรู้ทั้งหลาย, ปราศจากจำนวน,
ทบทวนข้อมูลของรูแคบทั้งอันไร้ที่สิ้นสุดและไร้ซึ่งการถูกค้นพบ.
ได้มีเวลาที่จะตรวจแยงและทดสอบและชิมรส, แต่ไม่มีเวลาที่จะก่อรูป.
สิ่งนั้นเป็นแถบสีของความเป็นไปได้ทั้งหลายจากอดีตไกลโพ้นมากที่สุดไปยังอนาคตไกลโพ้นมากที่สุด---จากความอาจเป็นได้มากที่สุดไปยังความไม่อาจเป็นได้มากที่สุด.
เขาเห็นความตายของตนเองในหลายหนทางไม่อาจนับได้. เขาเห็นดาวเคราะห์ใหม่ทั้งหลาย,
วัฒนธรรมใหม่ทั้งหลาย.
ผู้คน.
ผู้คน.
เขาเห็นพวกเขาในดุจฝูงผึ้งที่พวกนั้นไม่อาจถูกแยกแยะได้,
กระนั้นจิตของเขาก็ได้ลงบัญชีบันทึกแยกรายการของพวกนั้น.
กระทั้ง พวกกิลด์(Guildsmen*).
* https://dune.fandom.com/wiki/Guild_Navigator
และเขาคิด: พวกกิลด์---ได้เป็นหนทางสำหรับเรา,
ความแปลกพิกลของข้าได้ยอมรับดุจเป็นสิ่งคุ้นเคยของคุณค่าระดับสูง, มักจะมาด้วยเสบียงที่มั่นใจได้ของเครื่องเทศซึ่งจำเป็นในตอนนี้นั้น.
แต่ความคิดของการมีชีวิตของเขาอยู่นอกระบอบศักดินานั้นอยู่ในอนาคตทั้งหลายที่
จิตใจ-จัดกลุ่ม-เบื้องหน้า-ผ่าน-ความเป็นไปได้
ที่ว่ายานอวกาศซึ่งถูกนำทางกระโจนไปทำให้เขาตื่นตกใจ. มัน เป็น หนทางหนึ่ง,
เช่นนั้น. และในการประชุมกันของ อนาคตที่เป็นไปได้ ที่บรรจุอยู่ด้วยพวกกิลด์
นั้น เขาจดจำได้ถึงความแปลกพิกลของเขา.
ข้าได้ญาณทัศน์อีกชนิดหนึ่ง.
ข้าเห็นภูมิประเทศอีกชนิดหนึ่ง:
เส้นทางทั้งหลายที่ใช้เป็นประโยชน์ได้.
สัมปชัญญะนั้นถ่ายเททั้งการทำให้มั่นใจอีกและแจ้งเตือนภัย---หลายสถานที่เหลือเกินบนอีกชนิดของภูมิประเทศอื่นได้จุ่มหยดลงมาหรือออกไปจากภาพทัศน์ของเขา,
และเขาตระหนักรู้ว่าประสบารณ์รับรู้ทั้งปวงได้ยึดครองที่ว่างของจังหวะการเต้นของหัวใจ.
กระนั้น,
สัมปชัญญะส่วนตนของเขาได้พลิกกลับ, ส่องสว่างอยู่ในหนทางที่น่าตื่นตระหนกใจ.
เขาจ้องมองไปรอบๆตัวของเขา.
ราตรียังคงปิดคลุมกระโจมทะเลทรายนี้ที่อยู่ในที่กำบังปิดล้อมของสันแนวหิน.
ความโศกอาลัยของมารดาของเขายังคงได้ยินได้.
การขาดความโศกอาลัยของเขายังคงรู้สึกได้.....ที่อันกลวงเปล่าที่ไหนสักแห่งในจิตใจของเขา,
ซึ่งเดินหน้าต่อไปในความก้าวย่างอันคงที่ของมัน---ข้องเกี่ยวกับข้อมูล,
การประเมิน, การคำนวณผล, ยื่นเสนอคำตอบทั้งหลายในบางอย่างเหมือน วิถีของ เมนทาต.
และบัดนี้เขาได้เห็นว่าเขาได้มีความมั่งคั่งของข้อมูลสองสามเช่นจิตใจทั้งหลายนั้นที่เคยมีมาก่อนได้ถูกล้อมผนึกไว้.
แต่สิ่งนี้ได้ทำที่ว่างเปล่าภายในตัวของเขาไม่งายขึ้นที่จะทนรับ.
เขารู้สึกถึงบางอย่างต้องแตกละเอียด.
มันเป็นดุจราวกับนาฬิกาไขลานที่ควบคุมลูกระเบิดที่ได้ตั้งเวลาเอาไว้กำลังเดินติ้กๆภายในตัวเขา.
มันเดอนหน้าต่อไปกับกิจธุระของมันไม่ว่าอะไรที่เขาต้องการ.
บันทึกเงาสลัวเล็กจิ๋วทั้งหลายของความแตกต่างที่รายรอบตัวเขา---การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในความชื้น,
การลดลงส่วนเศษเล็กนิดของอุณหภูมิ, ความก้าวหน้าของแมลงตัวหนึ่ง
ที่คืบคลานข้ามหลังคากระโจมทะเลทรายของพวกเขา,
ความขรึมเคร่งของรุ่งอรุณที่กรายเข้ามาสู่แสงดาวพราวพร่างอยู่กับท้องฟ้าที่เขาสามารถมองเห็นออกไปได้ผ่านปลายสุดที่โปร่งใสของกระโจม.
ความว่างเปล่านั้นไม่อาจทนรับได้.
การรู้ว่านาฬิกาไขลานได้ถูกตั้งไวให้เคลื่อนที่ไม่ทำให้แตกต่างอะไร.
เขาสามารถดูยังอดีตของเขาและเห็นการเริ่มต้นของมัน---การฝึกฝน,
ความแหลมคมของความสามารถพิเศษ, แรงกดดันอันประณีตของวินัยทั้งหลายอันช่ำชอง,
กระทั่งเผยออกยัง โอ.ซี. ไบเบิ้ล ในชั่วขณะวิกฤต.....และ, ท้ายสุด,
การเสพย์กินอย่างหนักของเครื่องเทศ.
และเขาสามารถมองไปถึงภายหน้า---ทิศทางที่น่าตื่นตระหนกมากที่สุด---ที่เห็นซึ่งแห่งหนใดที่มันทั้งหมดได้ถูกชี้ไป.
ข้าเป็นสัตว์ร้าย! เขาคิด. ตัวประหลาด.
“ไม่,”
ขูด. แล้ว: “ไม่. ไม่! ไม่!”
เขาพบว่าเขาตีกระหน่ำพื้นกระโจมด้วยกำปั้นของเขา.
(ส่วนไม่สามารถทำให้สงบได้ของตัวเขาบันทึกสิ่งนี้ดุจข้อมูลทางอารมณ์ที่น่าสนใจและป้อนมันเข้าสู่การคำนวณผล.)
“พอล!”
มารดาของเขาได้อยู่ข้างตัวเขา, กำลังกุมมือของเขา,
ใบหน้าของเธอก้อนสีเทากำลังจ้องมายังเขา. “พอล, เกิดอะไรขึ้น?”
“แม่!”
เขาพูด.
“แม่อยู่นี่, พอล,” เธอพูด.
“มันไม่เป็นไรแล้ว.”
“แม่ได้ทำอะไรกับข้าไปรึ?” เขาร้องถาม.
ในการระเบิดของความกระจ่างชัด,
เธอสัมผัสรู้บางอย่างของรากทั้งหลายในคำถามนั้น, พูด: “แม่ให้กำเนิดกับลูก.”
มันคือ,
จากสัญชาตญาณมากเท่าที่ความรู้อันละเอียดของเธอ,
คำตอบที่ถูกต้องอย่างชัดแจ้งเพื่อสงบเขาลง. เขารู้สึกถึงมือของเธอกุมของเขาอยู่,
เพ่งความสนใจกับเค้าโครงเลือนรางของใบหน้าเธอ.
(ร่องรอยพันธุกรรมแน่ชัดทั้งหลายในโครงสร้างใบหน้าของเธอได้ถูกบันทึกลงในหนทางใหม่โดยจิตใจที่ไหลหลั่งอยู่ของเขา.
เบาะแสทั้งหลายได้เติมเข้าไปในข้อมูลอื่น,
และคำตอบสรุปความท้ายสุดถูกนำเอามาข้างหน้า.)
“ปล่อยข้า,” เขาพูด.
เธอได้ยินอย่างแข็งกร้าวในน้ำเสียงของเขา,
เชื่อฟัง. “ลูกอยากจะบอกกับแม่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นหรือ, พอล?”
“แม่รู้หรือเปล่าว่าแม่กำลังทำอะไรตอนที่แม่ฝึกฝนข้า?”
เขาถาม.
ไม่มีความเป็นเด็กอีกต่อไปแล้วในน้ำเสียงของเขา,
เธอคิด. และเธอพูด:
“แม่ได้หวังในสิ่งที่พ่อแม่ใดจะหวังได้---ว่าลูกจะเป็น.....สุดยอด, แตกต่างไป.”
“แตกต่างไปรึ?”
เธอได้ยินความขื่นขมในน้ำเสียงของเขา,
พูด: “พอล, แม่---”
“แม่ไม่ได้ต้องการลูกชาย!” เขาพูด. “แม่ต้อง การ ควิซาตซ์ ฮาเดอรัค!
แม่ต้องการ เบเน เกสเสอริตผู้ชาย!”
เธอหดตัวถอยจากความขื่นขมของเขา. “แต่,
พอล.....”
“แม่เคยปรึกษากับพ่อของข้าในเรื่องนี้ไหม?”
เอพูดอย่างอ่อนโยนออกมาจากความใหม่สดของโศกาอาลัยของเธอ: “อะไรก็ตามที่ลูกเป็น, พอล, คือการถ่ายทอดพันธุกรรมเป็นพ่อของลูกมากเท่าๆกับแม่.”
“แต่ไม่ใช่การฝึกฝน,” เขาพูด.
“ไม่ใช่สิ่งทั้งหลายนั่น.....การตื่นขึ้นของ...ผู้หลับใหล.”
“ผู้หลับใหล?”
“มันคือที่นี่.” พอล
เอามือของเขาไปยังศีรษะและยังหน้าอกของเขา. “ในตัวข้า.
มันไปต่อไปและต่อไปและต่อไปและ---”
“พอล!”
เธอได้ยินขอบคมของจิตประสาทหวาดผวาในเสียงของเขา.
“ฟังข้านะ,” เขาพูด. “แม่ต้องการให้แม่อธิการจะได้ยินถึงความฝันทั้งหลายของข้า: แม่ฟังแทนเธอแล้วในตอนนี้. ข้าเพิ่งได้ความฝันที่ตื่นขึ้นมา.
แม่รู้ไหมว่าทำไม?”
“ลูกต้องสงบตนเองลง,” เธอบอก.
“ถ้ามี---”
“เครือ่งเทศนั่น,” เขาบอก.
“มันอยู่ในทุกอย่างที่นี่---ในอากาศ, ในดิน, ในอาหาร. เครื่องเทศอายุรเวชนั่น.
มันเหมือนยาของผู้สอบสัจจะ. มันเป็นยาพิษ!”
เธอร่างแข็งทื่อ.
น้ำเสียงของเขาต่ำลงและเขาทวนซ้ำ: “เป็นยาพิษ---ช่างละเอียดอ่อนเหลือเกิน,
มีเล่ห์กระเท่.....ช่างไม่สามารถเรียกกลับคืนได้เหลือเกิน.
มันจะไม่กระทั่งฆ่าท่านนอกเสียจากว่าท่านหยุดเสพย์รับมัน. เราไม่สามารถออกไปจาก
อาร์ราคิส นอกเสียจากเราเข้าร่วมยึดบางส่วนของ อาร์ราคีส มากับเรา.”
การปรากฏตรงหน้าอันน่าสะพรึงกลัวของน้ำเสียงของเขายินยอมให้มีการโต้เถียงใด.
“ท่านและเครื่องเทศ,” พอล พูด.
“เครื่องเทศเปลี่ยนแปลงใครก็ตามผู้เสพย์รับมันมากไปเช่นนี้, แต่ขอบคุณต่อท่าน,
ข้าสามารถนำเอาความเปลี่ยนแปลงนั้นมาสู่จิตสำนึก.
ข้าไม่ได้ที่จะทิ้งมันในที่ในภาวะหมดสติที่การรบกวนของมันสามารถถูกทิ้งออกไปให้ว่างได้.
ข้าสามารถเห็นมัน.”
“พอล, ลูก---”
“ข้าเห็นมัน!” เขาทวนซ้ำ.
เธอได้ยินความบ้าคลั่งในเสียงของเขา,
ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี.
แต่เขาพูดอีกครั้ง,
และเธอได้ยินการควบคุมอย่างแข็งกร้าวกลับมาสู่เขา: “เราติดกับอยู่ในที่นี่.”
เราติดกับอยู่ในที่นี่,
เธอเห็นด้วย.
และเธอยอมรับในความสัจจริงของคำพูดของเขานั้น.
ไม่มีแรงกดดันของ เบเน เกสเสอริต, ไม่มีเล่ห์กลหรือกลอุบายที่จะสามารถสอดงัดแทรกพวกมันได้อย่างสมบูรณ์อิสระจาก
อาร์ราคิส: เครื่องเทศนี้เป็นสิ่งเสพย์ติดได้.
ร่างของเธอก็ได้รู้ถึงความสัจจริงนี้ยาวนานก่อนที่จิตใจของเธอตื่นรู้ต่อมัน.
แล้วที่นี้เองที่เราได้มาใช้ชีวิตอาศัยอยู่ของเรา,
เธอคิด, บนดาวเคราะห์-นรกนี้.
สถานที่ที่ถูกจัดเตรียมไว้เพื่อเรา. ถ้าเราสามารถหลบหนีจากพวกฮาร์คอนเนนส์ได้.
และไม่มีการคาดเดาในวิถีของฉัน: แม่พันธุ์ที่ถูกสงวนสายโลหิตสำคัญไว้สำหรับ
แผนการของ เบเน เกสเสอริต.
“ข้าต้องบอกท่านแม่ถึงฝันที่ตื่นขึ้นมาของข้า,”
พอล พูด. (ตอนนี้มีเสียงของความโกรธในน้ำเสียงของเขา.)
“เพื่อให้แน่ใจว่าท่านแม่ยอมรับอะไรในสิ่งที่ข้าพูด,
ข้าจะบอกท่านแม่อย่างแรกข้ารู้ว่าท่านจะให้กำเนิดลูกสาว, น้องสาวของข้า, ที่บน
อาร์ราคิส นี้.”
เจสสิกา
วางมือของเธอที่วางอยู่กับพื้นกระโจม,
กดทาบกลับมาที่ความนูนโค้งของผนังผ้าทอเพื่อหยุดนิ่งความเจ็บปวดของความกลัว. เธอรู้ว่าการตั้งครรภ์ของเธอยังไม่สามารถมองออกกันได้.
มีเพียงการฝึกฝนของตัวเธอเอง เบเน เกสเสอริต
ได้ยอมให้เธอได้อ่านสัญญาณอ่อนๆแรกของร่างกายเธอได้,
เพื่อรู้ถึงตัวอ่อนที่มีอายุแค่สองสามสัปดาห์.
“เพียงเพื่อรับใช้,” เจสสิกา กระซิบ,
แขวนห้อยอยู่กับคำขวัญของ เบเน เกสเสอริต. “เรามีอยู่ก็เพียงเพื่อรับใช้.”
“เราจะพบบ้านในท่ามกลางหมู่ชนฟรีเมน,”
พอล พูด, “ที่ซึ่ง มิชชั่นนาเรีย โพรเท็คติว่า ได้ซื้อรูลี้ภัยให้กับเราไว้.”
พวกเขาได้จัดเตรียมหนทางไว้สำหรับเราในทะเลทรายนี้,
เจสสิกา บอกกับตนเอง. แต่ว่าเขารู้ได้อย่างไรถึง มิชชั่นนาเรีย
โพรเท็คติว่า?
เธอพบว่ามันยุ่งยากเพิ่มขึ้นที่จะบังคับความสยองขวัญไว้ใต้อำนาจที่ความแปลกประหลาดมีอำนาจท่วมท้นในตัว
พอล.
เขาศึกษาเงามืดทึบของเธอ,
มองเห็นความกลัวของเธอและทุกปฏิกิริยาด้วยสัมปชัญญะใหม่ของเขาราวกับว่าเธอถูกวาดเค้าโครงร่างด้วยแสงอันเจิดจ้า.
การเริ่มต้นของความเวทนาต่อเธอได้คืบคลานมาเหนือเขา.
“สิ่งทั้งหลายที่สามารถบังเกิดขึ้นที่นี่ได้,
ข้าไม่สามารถเริ่มที่จะบอกท่านแม่ได้,” เขาบอก.
“ข้าไม่สามารถกระทั่งเริ่มที่จะบอกกับตัวข้าเอง, ถึงแม้ว่าข้าจะได้เห็นพวกมัน. สัมผัสรู้นี้ของอนาคตนี้---ข้าดูเหมือนจะไม่มีการควบคุมอยู่เหนือมัน.
สิ่งนี้เพิ่งบังเกิดขึ้น. อนาคตในทันทีทันใด---พูดได้ว่า,
หนึ่งปี---ข้าสามารถมองเนบางส่วนของการนั้น.....ถนนที่กว้างใหญ่ดุจถนนเส้นกลางสายหลัก
บน คาลาดาน. ที่บางแห่งที่ข้าก็ไม่เคยเห็น.....สถานที่เงามืดทั้งหลายนั้น.....ราวกับว่ามันไปด้านหลังของภูเขา”
(และอีกครั้งเขาคิดถึงพื้นผิวของผ้าโพกศีรษธที่ปลิวสะบัด)
“...และมีกิ่งก้านสาขา.....”
ย้อนนึกถึงประสบการณ์รับรู้นั้น,
เขาจำได้ถึงเจตจำนงอันน่าตื่นตระหนกของตนเอง---แรงกดดันของชีวิตของเขาแผ่ขยายออกไปข้างนอกเหมือนฟองสบู่ที่ขยายพอง....กาลเวลาก็ถอยกลับไก่อนหน้ามัน.....
เจสสิกา
พบแป้นควบคุมแสงเรืองสว่างของกระโจม, เปิดทำงานมัน.
แสงหรี่เขียวขับไล่เงามืดทั้งหลายกลับไป,
ผ่อนคลายความกลัวของเธอ. เธอมองที่ใบหน้าของ พอล,
ดวงตาของเขา---การจ้องมองจากภายใน. และเธอรู้ว่าที่ใดที่เธอได้เห็นการมองเช่นนี้มาก่อน:
ภาพทั้งหลายในบันทึกของหายนะทั้งหลาย---บนใบหน้าของเด็กๆผู้ที่ได้ประสบการณ์รับรู้ความอดอยากหรือบาดเจ็บร้ายแรง.
ดวงตาทั้งหลายที่เหมือหลุมทั้งหลาย, ปากเหยียดตนเป็นเส้นตรง, แก้มตอบ.
มันเป็นท่าทีของสัมปชัญญะอันน่าสยดสยอง,
เธอคิด, ของบางคนที่ถูกบังคับให้ได้รู้ถึงภาวะที่ต้องตายได้ของตัวเขาเอง.
เขานั้น, แท้จริงแล้ว,
ไม่ได้เป็นเด็กอีกต่อไปแล้ว.
สิ่งที่นำเข้าที่นอนหลบตัวอยู่ใต้คำพูดเหล่านั้นของเขาเริ่มต้นที่จะเข้าครองครองในจิตใจของเธอ,
ผลักดันสิ่งอื่นออกไปทางด้านข้าง. พอล สามารถมองเห็นายหน้าได้,
หนทางที่จะหลบหนีไปหาพวกมัน.
“มีหนทางที่จะหลบหนีพวกฮาร์คอนเนนส์,”
เธอพูด.
“พวกฮาร์คอนเนนส์!” เขาเหน็บ. “เอาเจ้ามนุษย์บิดเบี้ยวเหล่านั้นออกไปจากจิตใจของท่านเถิด.”
เขาจ้องมองยังมารดาของเขา, ศึกษาเส้นสายทั้งหลายของใบหน้าเธอในแสงของแป้นเรืองนั้น.
เส้นสายทั้งหลายทรยศของเธอ.
เธอพูด: “ลูกไม่ควรเอ่ยถึงผู้คนว่าเป็นมนุษย์ที่ปราศจาก---”
“อย่าแน่ใจไปนักว่าลูกรู้ที่ใดที่จะวาดเส้นแบ่งนั้น,”
เขาพูด. “เราแบกอดีตของเรามากับเราด้วย. และ, ท่านแม่ของข้า, มีสิ่งหนึ่งที่ท่านไม่รู้และควรที่จะต้องรู้---เรา
คือ ฮาร์คอนเนนส์.”
จิตใจของเธอได้ทำสิ่งที่น่าสยดสยอง: มันทำให้ว่างเปล่าราวว่ามันจำเป็นที่จะต้องปิดกั้นสัมผัสรู้สึกทั้งหมดลง.
แต่ เสียงของ พอล ดำเนินต่อไปในแต่ละก้าวย่างที่ไม่อาจถูกแทนที่ใดได้,
ลากเธอไปกับมัน.
“เมื่อคราวหน้าที่ท่านเจอกระจกเงา,
ศึกษาใบหน้าของท่าน---ศึกษาของข้าในตอนนี้. ร่องรอยอยู่ที่นั่นถ้าท่านไม่ตาบอดกับตนเอง.
ดูที่มือของข้าสิ, โครงรูปกระดูกของข้า.
และถ้าไม่มีอะไรในสิ่งนี้ที่จะชักจูงใจของท่านได้, งั้นก็รับเอาคำพูดของข้าถึงมัน.
ข้าได้ดำเนินอนาคตนี้, ข้าได้ดูที่บันทึก, ข้าได้เห็นสถานที่หนึ่ง,
ข้าได้อ่านข้อมูลทั้งหมดนั้น. เราคือ ฮาร์คอนเนนส์.”
“หนึ่ง.....กิ่งก้านที่ละทิ้งแยกมาของตระกูล,”
เธอพูด. “นั่นแหละมัน, ไม่ใช่นั่นรึ? บางญาติของฮาร์คอนเนนผู้ซึ่ง---”
“ท่านเป็นธิดาของเจ้าบารอนนั้น,”
เขาพูด, และเฝ้าดูวิธีที่เธอกดมือของเธอยังปากของเธอ.
“บารอนนั้นสุ่มตัวอย่างหลายความพึงใจในวัยหนุ่มของเขา, และครั้งหนึ่งยอมให้ตนเองได้ถูกชักจูงให้มีเพศสัมพันธ์.
แต่มันเป็นไปเพื่อเจตจำนงทางพันธุกรรมทั้งหลายของคณะเบเน เกสเสอริต,
โดยหนึ่งนั้นคือท่าน.”
วิธีที่เขาพูคำว่า ท่าน
กระแทกใส่เธอเหมือนตบฟาด.
แต่มันจัดจิตใจของเธอให้เข้ารูปที่จะทำงานและเธอไม่สามารถปฏิเสธคำพูดเหล่านั้นของเขาได้.
ปลายสุดที่ว่างเปล่ามากมายเหลือเกินของความหมายในอดีตของเธอได้เอื้อมออกไปในตอนนี้และเชื่อมต่อ.
ธิดานั้นที่ เบเน เกสเสอริต
ได้ต้องการ---มันไม่ได้ที่จะสิ้นสุดความพยาบาทอาฆาตระหว่างตระกูลอะไทรดิสและฮาร์คอนเนน,
แต่เพื่อซ่อมแก้ไขบางปัจจัยทางพันธุกรรมในสายโลหิตของพวกเขา. อะไรรึ?
เธอควานหาคำตอบ.
ราวกับว่าเขาได้เห็นข้างในจิตใจของเธอ,
พอล บอก: “พวกเขาคิดว่าพวกเขากำลังเอื้อมมาหาข้า.
แต่ข้าไม่ได้เป็นอะไรที่พวกเขาได้คาดหวังไว้, และข้าได้มาถึงก่อนเวลาของข้า. และ พวกเขา
ไม่รู้มัน.”
เจสสิกา กดมือเข้าที่ปากของเธอ.
อภิมหามารดาเจ้า! เขาคือ ควิซาตซ์ ฮาดเอรัค!
เธอรู้สึกเปิดเผยและเปลือยเปล่าอยู่เบื้องหน้าเขา,
ตระหนักแล้วว่าเขาเห็นเธอด้วยดวงตาที่มีเพียงเล็กน้อยที่จะหลบซ่อนพ้นได้. และ นั่น,
เธอรู้, ว่าเป็นพื้นฐานแห่งความหวาดกลัวของเธอ.
“ท่านกำลังคิดว่าข้าคือ ควิซาตซ์
ฮาเดอรัค,” เขาพูด. “เอานั่นออกไปจากจิตใจของท่าน.
ข้าเป็นอะไรบางอย่างที่ไม่ได้คาดหวังกันเอาไว้.”
ข้าต้องหาคำออกมาได่สักหนึ่งของโรงเรียนพวกนั้น,
เธอคิด. ดัชนีจับคู่นั้นอาจจะแสดงว่าได้เกิดอะไรขึ้น.
“พวกนั้นจะไม่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับข้าจนกว่ามันจะสายเกินไป,”
เขาพูด.
เธอเสาะหาที่จะผันเปลี่ยนเขากลับ,
ลดมือของเธอลงและพูด:
“เราจะหาสถานที่หนึ่งในหมู่ชนฟรีเมนหรือ?”
“พวกรีเมนได้มีคำพูดกันไว้ว่าพวกเขานับถือต่อ
ไช-ฮูลูด. พระบิดาเก่า นิรันดร,” เขาพูด. “พวกเขาพูดว่า: ‘จงเตรียมพร้อมที่จะชื่นชมยกย่องต่ออะไร
ที่เจ้าได้พบ.’”
และเขาคิด: ใช่, มารดาของข้า---ในหมู่ชนฟรีเมน. ท่านจะได้รับดวงตาสีฟ้านั้นและกระดูกที่งอกขึ้นใหม่ข้างจมูกอันน่ารักของท่านจากท่อหลอดกรองไปยังชุดสติลล์สูทของท่าน.....และท่านก็จะคลอดน้องสาวของข้า: เซนต์ อะเลีย แห่ง กริชศาสตรา.
“ถ้าลูกไม่ใช่ ควิซาตซ์ ฮาเดอรัค,”
เจสสิกา พูด, “อะไร---”
“ท่านไม่อาจะสามารถรูได้,” เขาบอก.
อ”ท่านจะไม่เชื่อมันจนกว่าท่านจะได้เห็นมัน.”
และเขาคิด: ข้าคือเมล็ดพันธุ์.
เขาในทันทีนั้นได้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์อย่างไรที่พื้นดินที่เขาได้ร่วงลงเข้าไปสู่,
และด้วยการตระหนักรู้นี้, เจตจำนงอันน่าตื่นตระหนกเติมเต็มเขา, คืบคลานผ่านสถานที่ว่างเปล่าภายใน,
ขู่เข็ญให้จะเขาสำลักด้วยความโศกเศร้าอาลัย.
เขาได้เห็นสองกิ่งก้านหลักทอดไปตามหนทางข้างหน้า---ในหนึ่งนั้นเขาเผชิญกับบารอนเฒ่าชั่วร้ายและพูด
“สวัสดี, ท่านปู่.” ความคิดของมรรคานั้นและอะไรที่ทอดวางไปกับมันทำให้เขาป่วยไข้.
อีกมรรคาหนึ่งเกาะกุมแปะติดยาวของความคลุมเคลือสีเทานอกจากเพื่อยอดสุดของความรุนแรง.
เขาได้เห็นหนึ่งนักรบศาสนาที่นั้น,
เพลิงแผ่ลามข้ามจักรวาลด้วยแถบธงอะไทรดิสสีเขียวและดำโบกสบัดอยู่เหนือหัวของเหล่ากองทหารอันคลั่งไคล้เมาอยู่กับเหล้าเครื่องเทศ.
เกอร์นีย์ ฮัลเล็ค และคนอื่นอีกสองสามรายทหารของบิดาเขา---เล็กน้อยที่น่าสงสาร---อยู่ในท่ามกลางพวกนั้น,
ทั้งหมดแสดงเครื่องหมายด้วยสัญลักษณ์เหยี่ยวจากสถูปของกะโหลกบิดาเขา.
“ข้าไม่สามารถไปในหนทางนั้นได้.”
เขาพึมพำ. “นั่นเป็นอะไรจริงๆที่แม่มดเฒ่าแห่งโรงเรียนของท่านต้องการ.”
“แม่ไม่เข้าใจลูก, พอล,”
มารดาของเขาพูด.
เขายังคงอยู่ในความเงียบ,
กำลังคิดเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่เขาเป็น,
กำลังคิดด้วยจิตสำนึกเผ่าพันธุ์ที่เขาได้ประสบการณ์รับรู้เป็นครั้งแรกดุจเจตจำนงอันน่าตื่นตระหนก.
เขาพบว่าเขาไม่ได้สามารถที่จะเกลียด เบเน เกสเสอริต หรือ จักรพรรดิ
หรือกระทั่งพวกฮาร์คอนเนนส์. พวกเขาทั้งหมดถูกติดอยู่ในความจำเป็นต้องการของเผ่าพันธุ์ของพวกเขาสร้างทายาทของมันที่แตกกระจัดกระจายของมันขึ้นมาใหม่อีกครา,
เพื่อข้ามและผสมและซึมซับสายโลหิตทั้งหลายของพวกเขาในการเทรวมใส่พันธุ์ใหม่ทั้งหลาย.
และเผ่าพันธุ์นั้นรู้เพียงหนึ่งหนทางที่แน่ใจได้สำหรับเรื่องนี้---หนทางโบราณ,
หนทาง ที่ได้พยายามและแน่ชัดทีม้วนเอาทั่วทุกสิ่งในเส้นทางของมัน:
จิฮาด.
แน่นอน, ข้าไม่สามารถเลือกหนทางนั่นได้,
เขาคิด.
แต่เขาได้เห็นอีกครั้งในดวงตาของจิตใจตนถึงสถูปกะโหลกของบิดาของเขาและความรุนแรงที่มีแถบธงสีเขียวและดำกำลังโบกสบัดในท่ามกลางของมัน.
เจสสิกา กระแอมในลำคอของเธอ,
กังวลด้วยความนิ่งเงียบของเขา.
“แล้ว.....พวกฟรีเมนจะให้ที่พำนักลี้ภัยกับเราหรือ?”
เขาเงยหน้าขึ้น,
จ้องมองข้ามแสงสีเขียวของกระโจมที่เส้นสายโครงเค้าชนชั้นสูงแต่กำเนิดของใบหน้าเธอ.
“ใช่,” เขาพูด. “นั่นเป็นหนึ่งในหนทางทั้งหลาย.” เขาพยักหน้า. “ใช่.
พวกเขาจะเรียกข้าว่า.....มวด’ดิบ,
‘ผู้ชี้หนทาง.’
ใช่......นั่นคืออะไรที่พวกเขาจะเรียกข้า.”
และเขาหลับตาของเขาลง, คิดว่า: ทีนี้, ท่านพ่อของข้า, ข้าสามารถโศกาอาลัยให้กับท่านได้แล้ว. และเขารู้สึกถึงน้ำตาที่ไหลรินลงอาบแก้มของเขา.
-จบ
คัมภีร์ที่ หนึ่ง-