หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2563

แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต - ดูน พิภพทราย (5)

 

 

    ด้วยท่านหญิงเจสสิกา และ อาร์ราคิส, ระบบการถักทอของเบเน เกสเสอริท

ที่ได้ ปลูกเพาะ-ตำนาน ผ่านไปทาง มิสชั่นนาเรีย โพรเทตติวา ก็ได้ บรรลุสู่

การออกผลอุดมเต็มที่.  ปัญญาคติของการหว่านเมล็ดในจักรวาลที่รู้จักกันด้วย

กระสวนคำพยากรณ์สำหรับการพิทักษ์ของ บ.ก. เป็นการส่วนตัวได้รับความ

นิยมนับถือกันมาช้านาน, แต่มิได้เคยที่เราจะเห็นสถานะ-สัมบูรณ์ด้วยการจับ

คู่บุคคลตามอุดมคติและการเตรียมพร้อมนั้น.  ตำนานพยากรณ์ทั้งหลายนี้ได้แพร่

ครอบงำยัง อาร์ราคิส แม้กระทั่งการขยายเขตของป้ายตราอุปถัมภ์ (รวมทั้ง

 แม่อธิการ, โคลงฉันท์ และกาพย์กลอน, และส่วนมากของ ชาริ-อา พาโนพลิเอ

 โพรเฟติคัส). และมันเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในตอนนี้ว่า ความสามารถที่แฝง

อยู่ของท่านหญิงเจสสิกานั้นได้ถูกประเมินต่ำไปอย่างเห็นได้ชัด.

 

       - จาก “การวิเคราะห์: วิกฤติการณ์ชนอาร์ราคีน” โดย เจ้าหญิง อีร์อูลาน

       [วัฏจักรส่วนบุคคล: บ.ก. แฟ้มหมายเลข อร-81088587]

 

 

       ทั้งหมดที่รายล้อมท่านหญิงเจสสิกา—กองรวมที่ในมุมหนึ่งของโถงใหญ่แห่ง อาร์ราคีน, พะเนินสูงในพื้นที่เปิดโล่ง—เรียงอยู่ด้วยหีบห่อที่บรรจุเพื่อขนส่งของการดำรงชีวิตพวกเขา: กล่อง, กระเป๋า, ลัง, หีบ—บ้างแกะเปิดออกบางส่วน.  เธอสามารถได้ยินเสียงการลำเลียงขนย้ายจากยานกระสวยของ กิลด์ มาจอดส่งของลงที่ทางเข้า.

       เจสสิกา ยืนอยู่ในกลางห้องโถง.  เธอเคลื่อนไหวหันไปอย่างช้าๆ, เงยขึ้นมองและมองไปรอบๆยังหลืบเงาของหน้าต่างสลักเสลาเว้าเป็นช่องเรียวเหล่านั้น. ความผิดยุคสมัยยักษ์ใหญ่ของห้องนี้ทำให้เธอหวนคิดไปถึง โถงภคิณี ที่สำนักเบเน เกสเสอริท. แต่ที่สำนักสิกขานั้นให้ผลถึงความรู้สึกอบอุ่น.  ที่นี่, ทั้งหมดคือศิลาเย็นยะเยือก.

       สถาปนิกบางคนได้เอื้อมไกลกลับไปในประวัติศาสตร์สำหรับผนังค้ำยันและสิ่งห้อยแขวนลอยอยู่เหล่านี้, เธอคิด. เพดานโค้งยืนขึ้นไปได้ถึงสองชั้นเหนือร่างของเธอด้วยคานขวานขนาดยักษ์ที่เธอรู้สึกแน่ใจว่าคงถูกขนส่งเข้ามายังที่ อาร์ราคีส นี้ข้ามห้วงอวกาศในค่าใช้จ่ายที่แพงมหาศาล. ไม่มีดาวเคราะห์ของระบบนี้ที่ปลูกต้นไม้ทั้งหลายพอที่จะทำคานเช่นนี้ได้—นอกเสียจากว่าคานพวกนี้ถูกทำเป็นเลียนแบบไม้.

       เธอคิดว่าไม่ใช่เช่นนั้น.

       นี้เป็นคฤหาสน์รัฐบาลในวันเวลาของ จักรวรรดิเก่า. ค่าใช้จ่ายเป็นสิ่งที่สำคัญน้อยนักในตอนนั้น. มันได้อยู่มานานก่อนพวกฮาร์คอนเนนส์ และมหานครแห่ง คารธัค ใหม่ของพวกนั้น—สถานที่ราคาถูกและก๋ากั่นราวสองร้อยกิโลเมตร”ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือข้าม แดนปรักพัง(Broken Land). เลโต ได้ฉลาดที่จะเลือกสถานที่นี้เพื่อเป็นที่ตั้งรัฐบาลของเขา.  ชื่อนั้น, อาร์ราคีน, มีน้ำเสียงที่ดี, เติมเต็มไว้ด้วยจารีตประเพณี. และนี้คือนครเล็กๆ, ง่ายกว่าที่จะฆ่าเชื้อและป้องกัน.

       อีกครั้งที่มีเสียงโครมครามของหีบกล่องที่ถูกขนลงมายังในทางเข้า, เจสสิกา ถอนหายใจ.

       ติดพิงอยู่กับกล่องภาชนะข้างๆที่เธอกำลังยืนอยู่นี้คือภาพวาดของบิดาของดยุค. เชือกร้อยห่อหุ้มพันมัดรอบมันเหมือนยังกับด้ายลุ่ยระย้าตกแต่ง. ชิ้นส่วนของเชือกร้อยฟั่นยังคงถูกกำอยู่ในมือซ้ายของเจสสิกา. ข้างของภาพวาดนั้นวางนอนอยู่ด้วยหัวของวัวดำตรึงติดบนกระดานขัดมัน. หัวนั้นเป็นเหมือนเกาะดำทมึนอยู่ในท่ามกลางทะเลของกระดาษเกลื่อนกระจาย. แผ่นของมันวางราบอยู่บนพื้นห้อง, และหัวยื่นของวัวมันวาวชี้ขึ้นไปยังเพดานโถงราวกับสัตว์ร้ายที่พร้อมจะคำรามเข้าใส่ผู้ท้าทายในห้องโถงก้องเสียงกังวานนี้.

       เจสสิกา สงสัยใจว่าแรงกดดันอะไรที่ได้นำเธอให้ต้องมาเปิดแก้ห่อของสองสิ่งนี้ก่อนอันอื่น—หัวนี้กับภาพวาด. เธอรู้ดีว่ามีบางอย่างเป็นเหมือนสัญลักษณ์ในการกระทำนี้. ไม่ตั้งแต่เมื่อวันที่ผู้ซื้อของดยุคได้นำเธอมาจากสำนักสิกขาที่เธอได้ตื่นกลัวและไม่แน่ใจในตนเองเช่นนี้.

       หัวนี้กับภาพวาด.

       พวกมันเพิ่มปริมาณความรู้สึกของเธอของความสับสน. เธอสั่นระริกด้วยความกลัว, เหลือบไปยังช่องหน้าต่างเรียวยาวเหนือศีรษะของเธอเหล่านั้น. มันเพิ่งยังเป็นตอนบ่ายต้นๆของที่นี่, และที่ดินแดนแถบเส้นรุ้งนี้ท้องฟ้าดูดำมืดและเย็นเยียบ—ดำมากยิ่งกว่าสีฟ้าอบอุ่นของ คาลาดาน. วาบหนึ่งของความคิดถึงบ้านทิ่มแทงเจ็บปลาบผ่านร่างเธอไป.

       ช่างไกลเหลือเกิน, คาลาดาน.

       “นี่ไงเรา!

       เสียงนั้นเป็นของ ดยุคเลโต.

       เธอหมุนร่าง, เห็นเขากำลังเคลื่อนจากช่องทางเดินซุ้มโค้งมายังโถงจัดเลี้ยง. ชุดทำงานสีดำของเขาที่มีเกราะประจำตระกูลจงอยเหยี่ยวสีแดงประดับที่หน้าอกดูมอมแมมและยับย่น.

       “ฉันคิดว่าเธอคงไม่พาตนเองหลงหายไปกับในที่ใหญ่โตน่ากลัวนี้,” เขาพูด.

       “มันเป็นบ้านที่หนาวเย็น,” เธอพูด. เธอมองดูร่างสูงของเขานั้น, ที่ผิวคล้ำซึ่งทำให้เธอคิดสวนมะกอกและตะวันสีทองบนผืนน้ำสีฟ้า. มีควันไม้กรุ่นในดวงตาสีเทาของเขา, แต่ใบหน้านั้นคือ นักล่า: ผอมเรียว, เต็มไปด้วยเหลี่ยมมุมและหลายระนาบ.

       ความกลัวทันทีทันใดต่อเขาพุ่งขึ้นมาในอกของเธอ.  เขาได้กลายเป็นคนโหดเหี้ยม, ชักนำผู้คนขั้นมาถึงขนาดนี้, ตั้งแต่การตัดสินใจที่จะค้อมคำนับรับบัญชาของ จักรพรรดิ.

       “ทั้งนครนี้รู้สึกหนาวเย็น,” เธอบอก.

       “มันเป็นเมืองกองทหารรักษาการณ์เล็กๆเปื้อนฝุ่น, สกปรก.” เขาเห็นด้วย. “แต่เราจะเปลี่ยนแปลงนั่น.” เขามองไปรอบๆห้องโถง. “มีห้องสาธารณะสำหรับจัดงานรัฐ. ฉันเพิ่งไปแอบดูส่วนที่พักครอบครัวบางห้องมาแล้วที่ในปีกด้านใต้. พวกนั้นงดงามน่ารักกว่านี้.” เขาก้าวเข้ามาใกล้, สัมผัสแขนของเธอ, ชื่นชมในความงามสง่าของเธอ.

       และอีกครา, เขาสงสัยไปถึงวงศ์ตระกูลที่ไม่มีใครทราบได้ของเธอ---ตระกูลขบถ, บางที? ราชสำนัก-บัญชีดำ บางราย? เธอดูเป็น ราชวงศ์ เสียยิ่งกว่าสายโลหิตของจักรพรรดิเองเสียด้วยซ้ำ.

       ภายใต้แรงกดดันจากการมองของเขา, เธอหันไปครึ่งทาง, เผยให้เห็นเค้าโครงรูปลักษณ์ด้านข้างของเธอ. และเขาก็ตระหนักได้ว่าไม่มีสิ่งโดดเดียวหรือแม่นยำชัดเจนที่นำพาความงามของเธอไปสู่จุดรวมความสนใจได้. ใบหน้านั้นรูปไข่อยู่ภายใต้มาลาผมครอบที่สีสันเป็นบร็อนซ์มันวาว. ดวงตาของเธอวางกว้าง, เขียวขจีและใสกระจ่างดุจท้องฟ้ายามรุ่งอรุณของ คาลาดาน. จมูกนั้นเล็ก, ปากกว้างและอวบอิ่ม. ร่างของเธองดงามแต่ขัดสน: สูงและด้วยส่วนโค้งเว้าของมันดูจะไปสู่ความผอมบาง.

       เขาจำได้ว่าเหล่าภคิณีที่สำนักได้เรียกเธอว่า ยัยผอม, แล้วเหล่าผู้ซื้อของเขาก็บอกกับเขาเช่นนั้น. แต่คำบรรยายนั้นดูจะเกินเลยมากไป. เธอได้นำความงามสง่าเยี่ยงราชวงศ์กลับเข้ามาสู่เชื้อสาย อะไทรดีส. เขาดีใจที่ พอล โปรดปรานเธอ.

       “พอล อยู่ที่ไหนรึ?” เขาถาม.

       “ที่ไหนสักแห่งรอบราชสำนักนี้กำลังรับบทเรียนของเขากับ หยัว.”

       บางทีอาจจะทางปีกด้านใต้,” เขาบอก. “ฉันคิดว่าฉันได้ยินเสียงของ หยัว, แต่ฉันไม่มีเวลาจะแวะเข้าไปดู.” เขาชำเลืองลงไปที่เธอ, ลังเล.  “ฉันมาที่นี่ก็แค่จะแขวนกุญแจของ ปราสาทคาลาดันในโถงทานอาหาร.”

       เธอพยายามสงบลมหายใจ, หยุดหยุดกระแสประสาทเพื่อเอื้อมออกไปหาเขา. แขวนกุญแจ—มีความเด็ดเดี่ยวออกมาในกิริยากระทำนั้น.  แต่นี่ไม่ใช่เวลาหรือสถานที่ที่จะปลอบโยน.  “ฉันเห็นธงของเราแขวนอยู่เหนือราชสำนักตอนที่เราเข้ามา,” เธอพูด.

       เขาเหลือบมองไปยังภาพวาดบิดาของเขา. “เธอกำลังจะแขวนภาพนั้นที่ไหนหรือ?”

       “ที่ไหนสักแห่งในนี้.”

       “ไม่.” คำบอกนั้นราบเรียบและเด็ดขาด, กำลังบอกกับเธอว่าเธอสามารถใช้เล่ห์กลที่จะชักจูงได้, แต่การเปิดข้อถกเถียงนั้นไร้ประโยชน์.  กระนั้น, เธอยังต้องลองพยายาม, ถึงแม้ว่าการบ่งชี้นั้นให้มาเพื่อเตือนตัวเธอเองว่าเธอจะไม่ใช้เล่ห์หลอกเขา.

       “ฝ่าบาท,” เธอพูด, “ถ้าท่านจะเพียงแต่...”

       “คำตอบก็ยังคงว่า- ไม่.  ฉันยอมตามใจเธออย่างน่าละอายมามากสิ่งแล้ว, แต่ไม่ใช่อันนี้.  ฉันเพิ่งมาจากโถงทานอาหารที่มี---“

       “ฝ่าบาท! ได้โปรด.”

       “การเลือกคือระหว่างการย่อยอาหารของเธอกับศักดิ์ศรีของบรรพบุรุษของฉัน, ที่รัก,” เขาบอก.  “พวกนี้จะแขวนที่ในโถงทานอาหาร.”

       เธอถอนหายใจ. “เพคะ, ฝ่าบาท.”

       “เธออาจจะเริ่มอีกครั้งกับการทานอาหารในห้องของเธอเมื่อใดที่เป็นไปได้.  ฉันจะคาดหวังเธอตามตำแหน่งเฉพาะของเธอเพียงแค่ตอนโอกาสที่เป็นทางการเท่านั้น.”

       “ขอบคุณค่ะ, ฝ่าบาท.”

       “แล้วก็อย่าทำเป็นเย็นชาและเป็นทางการไปเสียหมดกับฉัน! จงขอบคุณที่ฉันไม่ได้แต่งงานกับเธอ, ที่รัก.  มิเช่นนั้นมันจะเป็นหน้าที่ของเธอที่จะต้องร่วมที่โต๊ะกับฉันในทุกมื้ออาหาร.”

       เธอตรึงใบหน้าของเธอให้ไม่ขยับเขยื้อน, และผงกศีรษะลง.

       “ฮาวัตได้เตรียมพร้อมเครื่องตรวจยาพิษของเราเองทั่วทั้งโต๊ะทานอาหารแล้ว,” เขาบอก. มีแบบเคลื่อนย้ายได้ที่ห้องของเธอ.”

       “ท่านได้เตรียมการล่วงหน้านี้ไว้...ไม่อาจโต้แย้ง,” เธอพูด.

       “ที่รัก, ฉันคิดด้วยเช่นกันถึงความสะดวกสบายของเธอ.  ฉันได้ติดต่อข้ารับใช้ทั้งหลายไว้ให้แล้ว.  พวกนั้นเป็นคนท้องถิ่น, แต่ ฮาวัต ได้ตรวจกรองพวกเขาแล้ว---พวกนั้นเป็น ฟรีเมน ทั้งหมด.  พวกเขาจะทำงานนี้ไปจนกว่าคนของเราเองสามารถว่างจากภารกิจอื่นแล้ว.”

       “ใครก็ตามจากที่แห่งนี้สามารถปลอดภัยได้จริงหรือ?”

       “ใครก็ตามที่เกลียดพวกฮาร์คอนเนนส์. เธออาจจะอาจจะกระทั่งต้องการที่จะรักษาหัวหน้าผู้ดูแลราชสำนักเอาไว้: เจ้า ชาเดาท์ มาเพส.

       “ชาเดาท์,” เจสสิกา พูด. “ยศของ ฟรีเมน หรือ?”

       “ฉันได้รับการบอกว่ามันหมายถึง กระบวย-บ่อน้ำ. ความหมายที่ค่อนข้างสำคัญในน้ำเสียงของที่นี่.  หล่อนอาจจะไม่กระแทกใจเธอเหมือนแบบข้ารับใช้, ถึงแม้ว่า ฮาวัต จะพูดในเชิงยกย่องถึงหล่อนบนพื้นฐานจากรายงานของ ดันแคน.  พวกเขาปักใจว่าหล่อนต้องการจะรับใช้—โดยเฉพาะหล่อนต้องการจะรับใช้เธอ.”

       “ดิฉันรึ?”

       “พวกฟรีเมน ได้เรียนรู้ว่าเธอเป็น เบเน เกสเสอริท,” เขาพูด.  “มีหลายตำนานที่นี่เกี่ยวกับ เบเน เกสเสอริท.”

       คณะ มิชชั่นนาเรีย โพรเท็คติวา, เจสสิกา คิด. ไม่มีที่ใดหลบหนีพวกเขาได้.

       “นี่หมายถึงว่า ดันแคน ได้ประสบสำเร็จหรือคะ?” เธอถาม. “พวกฟรีเมนจะเป็นพันธมิตรของเราหรือ?”

       “ยังไม่มีอะไรสิ้นสุดชัดเจนนัก,” เขาพูด. “พวกเขาหวังจะสังเกตการณ์เราสักระยะหนึ่งก่อน, ดันแคน เชื่อเช่นนั้น. พวกเขา, อย่างไรก็ตาม, ทำสัญญาที่จะหยุดการโจมตีหมู่บ้านด้านนอกของเราระหว่างช่วงสงบศึกชั่วคราวนี้. นั่นเป็นประโยชน์สำคัญที่ได้มามากกว่าที่ดูจะเป็นไป. ฮาวัต บอกฉันว่าพวกฟรีเมนคือหนามลึกในสีข้างของพวกฮาร์คอนเนนส์, ว่าการขยายตัวของการปล้นสดมภ์ของพวกนั้นเป็นความลับที่ถูปปกป้องกันอย่างระแวดระวัง. มันไม่ช่วยอะไรดีขึ้นมาได้ถ้าหากว่าองค์จักรพรรดิจะได้รับรู้ถึงความไร้ประสิทธิผลของกองทัพฮาร์คอนเนนส์.”

       “แม่บ้านชาวฟรีเมนน่ะ,” เจสสิกา รำพึง, หันหัวเรื่องกลับมาที่ ชาเดาท์ มาเพส. “หล่อนจะมีตาสีฟ้าทั้งหมดเลย.”

       “อย่าให้กายปรากฏของผู้คนพวกนี้หลอกลวงเธอ,” เขาบอก. “มีพละกำลังที่แข็งแกร่งซ่อนเร้นอยู่ภายในพวกเขา. ฉันคิดว่าพวกจะเป็นทุกอย่างที่เราจำเป็นต้องการ.”

       “เป็นเกมพนันที่อันตรายนะ.” เธอพูด.

       “เราอย่าได้เข้าไปสู่นั่นกันอีกครั้งเลย,” เขาพูด.

       เธอฝืนยิ้มออกมา. “เราถูกผูกมัด, ไม่ต้องสงสัยในเรื่องนั้นเลย.” เธอผ่านกฏเกณฑ์สู่การสงบนิ่งไป---ด้วยการสูดลมหายใจลึกๆสองครั้ง, พิธีกรรมสติ, แล้ว: เมื่อดิฉันจัดวางห้องทั้งหลาย, มีอะไรเป็นพิเศษที่ดิฉันควรสำรองเก็บไว้ให้ท่านไหมคะ?

       “เธอต้องสอนฉันสักวันว่าเธอทำนั่นได้อย่างไร,” เขาพูด, “วิธีที่เธอผลักดันความกังวลไปข้างๆแล้วหันมาสู่ภารกิจตามจริง. มันต้องเป็นเวทย์ของ เบเน เกสเสอริท.”

       “เป็นเวทย์ของอิสตรีน่ะค่ะ,” เธอบอก.

       เขายิ้ม. “เอาละ, มอบหมายกำหนดใช้งานห้องทั้งหลายไป: ทำให้แน่นอนว่าฉันมีพื้นที่สำนักงานขนาดใหญ่ถัดจากภาคหลับนอนทั้งหลายของฉัน. จะมีงานเอกสารที่นี่มากมายกว่าบน คาลาดาน. ห้องยามรักษาการณ์, แน่นอน. นั่นควรปกปิดมัน. อย่ากังวลเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยของราชสำนักนี้. คนของฮาวัตได้ตรวจสอบควบคุมมันในชั้นลึกหมดแล้ว.”

       “ดิฉันแน่ใจว่าพวกเขาทำ.”

       เขาเหลือบมองนาฬิกาข้อมือของเขา. “และเธออาจจะตรวจดูอีกทีว่าเครื่องบอกเวลาของเราทุกชิ้นได้ปรับแก้ให้เข้ากับท้องถิ่นอาร์ราคีน. ฉันได้มอบหมายช่างเทคให้มาจัดการมันไปแล้ว. เขาคงมาถึงในไม่ช้านี้ง” เขาปัดผมเปียของผมเธอไปทางด้านหลังจากหน้าผากเธอ.  “ฉันต้องกลับไปที่สนามลงจอดยานในตอนนี้. กระสวยลำที่สองคงลงอีกในไม่กี่นาทีพร้อมกับคณะทำงานสำรองของฉัน.”

       “ฮาวัต ไปพบพวกนั้นเองไม่ได้หรือคะ, ใต้เท้า? ท่านดูอ่อนเพลียมากเกินไป.”

       “ธูเฟอร์ คนดีน่ะงานยุ่งมากยิ่งกว่าฉันอีก. เธอรู้ไหมว่าดาวเคราะห์นี้ถูกฝังวางเล่ห์ของพวกฮาร์คอนเนนไว้เต็มไปหมด.  นอกจากนั้น, ฉันต้องลองพยายามชักจูงพวกนักล่าเครื่องเทศบางคนไม่ให้หนีจากไป. พวกเขามีสิทธิในการเลือก.  เธอรู้ไหม, ด้วยการเปลี่ยนศักดินาสิทธิ์---และนักดาวเคราะห์วิทยานี้ที่จักรพรรดิและลานสราอาดได้ตั้งไว้เป็น ตุลาการแห่งการถ่ายโอน (judge of the Change) ไม่สามารถถูกบังคับซื้อได้. เขาได้รับอนุญาตให้มีสิทธิเลือก. ราวแปดร้อยลูกมือที่ได้รับการฝึกฝนมาคาดว่าจะเดินทางออกไปกับกระสวยยานเครื่องเทศและมียานลำเลียงของกิลด์จอดรอเตรียมอยู่...”

       “ใต้เท้าคะ....” เธอโพล่งออกมา, ลังเลใจ.

       “อะไรรึ?”

       เขาไม่ควรถูกชักจูงให้เลิกล้มความพยายามที่จะทำให้ดาวเคราะห์นี้ปลอดภัยสำหรับเรา. เธอคิด. และฉันไม่สามารถใช้เล่ห์กลกับเขาได้.

       “เวลาเท่าไหร่ที่ท่านจะมาทานดินเนอร์คะ?” เธอถาม.

       นั่นไม่ใช่อะไรที่เธอได้กำลังจะพูด, เขาคิด.  อา-ห-ห-ห, เจสสิกา ที่รัก, เราน่าจะไปอยู่ที่ไหนอื่น, ที่ไหนอื่นที่ไกลไปจากสถานที่มหันตภัยร้ายกาจนี้---ตามลำพัง, เพียงเราสองคน, ไม่มีอะไรให้ห่วงใย.

       “ฉันจะทานที่โรงอาหารเจ้าหน้าที่ที่ในสนาม,” เขาบอก. “อย่าได้คอยฉันจนสายไปมากเกินล่ะ. และ...อ้า, ฉันจะส่งรถคุ้มกันคันหนึ่งมาให้ พอล.  ฉันอยากให้เขาได้เข้าร่วมประชุมยุทธศาสตร์กับเราด้วย.”

       เขากระแอมลำคอราวกับว่าจะพูดอะไรบางอย่างอื่นอีก,แล้ว, โดยไม่บอกเตือน, หันร่างและก้าวออกไป, มุ่งหน้าไปยังทางเข้าที่ซึ่งเธอสามารถำได้ยินเสียงกล่องลังทั้งหลายกำลังถูกขนส่งลง. เสียงของเขาดังมาอีกครั้งจากที่นั่น, ในสำเนียงสั่งการและปั้นปึ่ง, วิธีที่เขามักจะใช้พูดอยู่เสมอกับคนรับใช้เมื่อเขากำลังรีบด่วน: “คุณหญิงเจสสิกาอยู่ที่ในท้องพระโรง. ไปพบเธอที่นั่นเดี๋ยวนี้เลย.”

       ประตูด้านนอกปิดดังปัง.

       เจสสิกาหันร่างกลับ, เผชิญหน้าภาพวาดของบิดาของลีโต. มันถูกวาดโดยจิตรกรชื่อดัง, อัลเบ, ในระหว่างช่วงปีกลางยุคสมัยของท่านดยุคเฒ่า. เขาถูกวาดอยู่ในชุดมาทะดอร์มีเสื้อคลุมสีแดงม่วงห้อยพาดแขนขวาของเขา. ใบหน้านั้นดูหนุ่ม, แทบจะแก่กว่าของลีโตในตอนนี้, และดูเฉียบคมดุจวิหคเหยี่ยว, ดวงตาสีเทาจ้องเขม็งเช่นเดียวกัน.  เธอรวบกำปั้นของเธอที่ข้างกาย, จ้องดูภาพวาดนั้น.

       “ห่าท่านเถิด! ห่าท่านเถิด! ห่าท่านเถิด!” เธอกระซิบ.

       “ท่านบัญชาอะไรหรือ, ท่านราชนิกูล”

       เป็นเสียงของสตรี, บางและเรียวยาว.

       เจสสิกา หมุนร่างไป, จ้องลงมายังสตรีผมปุ่มปมสีเทา, อยู่ในชุดกระสอบไร้รูปทรงของทาสสีน้ำตาล. สตรีนั้นท่าทางยับย่นและแห้งกรังเหมือนเช่นฝูงชนที่ได้ไปต้อนรับพวกเขาตามเส้นทางจากสนามบินเมื่อเช้านี้. เหมือนทุกชนพื้นเมืองที่เธอได้เห็นบนดาวเคราะห์นี้, เจสสิกา คิด, ดูแห้งพรุนและต่ำกว่าความอิ่มเอิบสมบูรณ์. กระนั้น, ลีโต ได้บอกไว้แล้วว่าพวกเขานั้นแข็งแรงและมีพลังชีวิต. และพวกเขามีดวงตาเหล่านั้น, แน่นอน---ที่กระจ่างด้วยสีฟ้าลึก,และเข้มสุดปราศจากสีขาว---ลี้ลับและเก็บงำ. เจสสิกา บังคับตนเองให้ไม่จ้องดู.

       สตรีนั้นผงกศีรษะรับด้วยลำคอที่แข็งทื่อ, พูด; “ดิฉันถูกเรียกขานว่า ชาเดาท์ มาเพส, ท่านราชนิกูล. คำบัญชาของท่านคืออะไรหรือ?”

       “เธอควรจะเรียกขานฉันแค่เพียง ท่านผู้หญิงก็พอ,” เจสสิกา บอก. “ฉันไม่ได้เป็น ราชนิกูล หรอก. ฉันเป็นแค่เพียงพระสนมของ ท่านดยุคเลโต.”

       อีกครั้งกับการผงกศีรษะรับแปลกๆนั้น, และสตรีนั้นก็เผยอขึ้นมาอย่างใกล้ชิดยัง เจสสิกา ด้วยคำถามด้วยเล่ห์. “มีภริยาอื่นอยู่, งั้นรึ?”

       “ไม่มีหรอก, หรือเคยมีก็หาไม่. ฉันเป็นคู่เคียงของท่านดยุคเพียงผู้เดียว.....เท่านั้น, มารดาของรัชทายาทของเขา.”

       แม้กระทั่งตอนที่เธอได้พูดออกไป, เจสสิกา หัวเราะอยู่ข้างในกับความภาคภูมิใจเบื้องหลังคำพูดของเธอ.  เซนต์ออกัสทีนพูดไว้ว่าอย่างไรนะ? เธอถามตัวเธอเอง.  “จิตบัญชากายและมันก็เชื่อฟัง. จิตออกคำสั่งตนเองและพบการต่อต้าน.” ใช่---เมื่อครู่นี้ฉันกำลังพบการต่อต้านมากยิ่งกว่า. ฉันควรจะใช้การถอนตัวอย่างเงียบๆด้วยตนเอง.

       เสียงร้องแปลกพิกลดังมาจากถนนด้านนอกราชวัง. มันร้องซ้ำวนกันไปว่า: “ซูวว-ซุวว-ซูค!” แล้วก็: “อิคหุต-เอห์! อิคหุต-เอห์!” และอีกครั้ง: “ซูวว-ซูวว-ซูค!

       นั่น คือ อะไรน่ะ?” เจสสิกา ถาม. “ฉันได้ยินหลายครั้งตอนที่เราขับผ่านถนนเมื่อเช้านี้.”

       “แค่คนขาย-น้ำ, ท่านผู้หญิง.  แต่ท่านไม่จำเป็นต้องนำตนเองไปสนใจเยี่ยงพวกเขาเหล่านั้น. ซิสเทิร์นที่เก็บน้ำทของที่นี่จุได้ห้าหมื่นลิตรและมันถูกคอยทำให้เก็บเต็มไว้อยู่เสมอ.” หล่อนเหลือบลงมองชุดของตนเอง.  “ทำไม, รู้ไหม, ท่านผู้หญิง, ดิฉันแทบไม่จำเป็นต้องสวมชุดสติลสูทในที่นี้เลย?” หล่อนหัวเราะคิกคัก. “และดิฉันก็ไม่ตายลงไปด้วย!

       เจสสิกา ลังเล, อยากจะถามสตรีชาวฟรีเมนนี้อีก, ต้องการข้อมูลที่จะชี้แนะเธอ.  แต่การนำระเบียบมาจัดการความสับสนวุ่นวายในปราสาทนี้ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้.  กระนั้น, เธอพบว่าความคิดทนั้นยังไม่ตกตะกอนเรื่องที่ว่า น้ำคือจุดหลักสำคัญของความมั่งคั่งที่นี่.

       “สามีของฉันได้บอกฉันแล้วเรื่องตำแหน่งของเธอ. ชาเดาท์,” เจสสิกา พูด. “ฉันจำคำๆนี้ได้. มันเป็นคำศัพท์โบราณมาก.”

       “ท่านรู้ถึงเหล่าลิ้นคำโบราณเช่นนั้นหรือ?” มาเพส ถาม, และหล่อนรอคอยคำตอบอย่างท่าทางตั้งใจพิกล.

       “ลิ้นคำ เป็นการเรียนรู้อันดับแรกของ เบเน เกสเสอริท,” เจสสิกา บอก.  “ฉันรู้ โภตานิ จิบ และ ชาคอปสา , ภาษาของการล่าทั้งหมด.”

       มาเพส พยักหน้ารับ. “เป็นเช่นที่ตำนานว่าไว้.”

       และ เจสสิกา กังขาใจ: ทำไมฉันต้องเล่นบทขมังเวทย์นี้ออกมา? แต่วิถีแห่ง เบเน เกสเสอริท นั้นเป็นเช่นการหลอกลวงและบีบคั้น.

       “ฉันรู้ถึง ไสยมืด และวิถีทั้งหลายของ พระมหามารดา,” เจสสิกา บอก. เธอได้อ่านสัญญานอันชัดแจ้งจากกิริยาของมาเพสและปรากฏออกมา. การแอบซ้อนเล่ห์กลเล็กน้อยเหล่านั้น.  “มิสซีเซส พรีจิอา,” เธอพูดด้วยลิ้น ชาค็อปสา.  “แอนดราล ทเร ปีรา! ทราดา ซิค บุสคากริ มิซีเซส เปรากริ---“

       มาเพส ถอยหลังไปหนึ่งก้าว, ทำท่าทางเหมือนจะหลบหนี.

       “ฉันรู้มากมายหลายอย่าง,” เจสสิกา พูด. “ฉันรู้ว่าเธอนั้นให้กำเนิดเด็กๆ, ที่เธอได้สูญเสียรายที่รักนั้นไป, แต่เธอได้หลบซ่อนอยู่ในความกลัวที่ว่าเธอได้ทำร้ายและกระนั้นก็จะยังทำความรุนแรงร้ายอีก. ฉันรู้มากมายหลายอย่าง."

       ในน้ำเสียงลดต่ำลง, มาเพส พูด: “ดิฉันไม่ได้ตั้งใจก้าวร้าว, ท่านผู้หญิง.”

       “เจ้าพูดถึงตำนานและเสาะหาคำตอบเหล่านั้น,” เจสสิกา บอก. “จงระวังในคำตอบที่เธอจะได้พบ. ฉันรู้ว่าเธอได้เตรียมใช้ความรุนแรงด้วยอาวุธที่ในเสื้อชั้นในของเธอง”

       “ท่านผู้หญิง, ดิฉัน.....”

       “มีโอกาสห่างไกลที่เจ้าสามารถเรียกเลือดจากชีวิตฉันได้,” เจสสิกา พูด, “แต่ในการทำเช่นนั้นเจ้าจะนำความเสียหายลงมามากกว่าความหวาดกลัวลมๆแล้งทั้งหลายที่เจ้าจะจินตนาการออกมาได้. มีบางอย่างเลวร้ายยิ่งไปเสียกว่าการตาย, เจ้ารู้ดี---แม้กระทั่งเพื่อผู้คนทั้งหมด.”

       “ท่านผู้หญิง! “มาเพส วิงวอน. หล่อนปรากฏเกือบร่วงลงไปคุกเข่าของเธอ. “อาวุธนั้นส่งมาเป็นเช่นของกำนัลแก่ท่าน ที่ท่านควรจะพิสูจน์ได้ว่าเป็น ผู้นั้น.”

       “และเป็นหนทางแห่งความตายของฉันถ้าฉันถูกพิสูจน์ว่าเป็นอีกอย่าง,” เจสสิกา บอก. เธอรอคอยอยู่ในอาการผ่อนคลายที่มาจากการฝึกฝนของสำนักเบเน เกเสอริตเพื่อข่มขู่ให้กลัวในการปะทะต่อสู้.

       ตอนนี้เราจะได้เห็นกันว่าทางใดที่การตัดสินใจเปิดปลายออก, เธอคิด.

       อย่างช้าๆ, มาเพส เอื้อมไปที่คอของชุดคลุมของเธอ, ดึงฝักสีมืดดำอันหนึ่งออกมา. ด้ามสีดำมีสันริ้วร่องนิ้วลึกยื่นออกมาจากฝักนั้น. หล่อนกุมฝักในมือข้างหนึ่งและกุมด้ามด้วยมืออีกข้าง, ดึงมีดขาวดุจน้ำนมออกมา, ชูมันขึ้น. มีดนั้นดูเหมือนจะส่องแสงและเป็นประกายด้วยแสงของตัวมันเอง. มันเป็นแบบสองคมเหมือนกริชคินด์จัลและมีดนั้นน่าจะยาวยี่สิบเซนติเมตร.

       “ท่านรู้จักสิ่งนี้ไหม, ท่านผู้หญิง? มาเพส ถาม.

       มันน่าจะเป็นสิ่งนั้น, เจสสิกา รู้, มีดกริช-คริสไนฟ์ ในนิทานตำนานของ อาร์ราคิส, มีดที่ไม่เคยถูกนำออกไปจากดาวเคราะห์นี้ได้, และถูกรู้จักกันก็แค่เพียงคำเล่าลือและคำนินทาลมๆแล้งๆ.

       “มันคือ มีดกริช-คริสไนฟ์,” เธอบอก.

       “พูดมันไม่ลังเลเลย, “ มาเพส พูด. “ท่านรู้ถึงความหมายของมันไหม?”

       และ เจสสิกา คิด: มีคมขอบกับคำถามนั้น. นี่คือเหตุผลที่ เฟรเมน ผู้นี้ได้ถูกส่งมารับใช้กับฉัน, เพื่อถามหนึ่งคำถามนั้น. คำตอบของฉันสามารถเร่งให้ความรุนแรงเกิดได้เร็วขึ้นหรือ...อะไร? หล่อนแสวงหาคำตอบจากฉัน: ความหมายของมีดนี้. หล่อนเรียกฉันว่า ชาดอม ในลิ้นของ ชาคอปสา. มีด, นั่นคือ “ผู้สร้างความตาย”ใน ลิ้น ชาคอปสา. หล่อนดื้อรั้น. ฉันต้องตอบเดี๋ยวนี้แล้ว. การล่าช้าคืออันตรายเช่นเดียวกับคำตอบที่ผิด.

       เจสสิกา: “มันคือ ผู้สร้าง---“

       “อี๊จห์-อี-อี-อี-อี-อี! มาเพส ร้องโหยหวน. มันเป็นเสียงของทั้งคร่ำครวญและปีติใจ. หล่อนสั่งเทาอย่างหนักเสียจนคมมีดนั้นสั่นไหวแวววับสะเก็ดสะท้อนยิงไปทั่วรอบๆห้องนั้น.

       เจสสิกา รอคอย, วางท่า. เธอได้ตั้งใจที่จะพูดว่ามีดนี้คือ ผู้สร้างความตาย แล้วก็จะเติมเพิ่มด้วยคำโบราณ, แต่ทุกเจตสิกได้เตือนเธอในตอนนี้, ทั้งหมดของการฝึกฝนความตื่นตัวที่แสดงความหมายออกมาในการบิดขมวดของกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง.

       คำกุญแจนั้นคือ...ผู้สร้าง.

       ผู้สร้าง? ผู้สร้าง.

       กระนั้น, มาเพส ยังคงกุมมีดนั้นราวกับพร้อมที่จะใช้มัน.

       เจสสิกา พูด: “เจ้าคิดว่าฉัน, รู้เรื่องราวลึกลับทั้งหลายของ พระมหามารดา, จะไม่รู้ถึง ผู้สร้าง หรือ?”

       มาเพส ลดมีดนั้นลง.  “ท่านผู้หญิง, เมื่อคนหนึ่งได้มีชีวิตอยู่มากับคำพยากรณ์อย่างแสนนาน, ชั่วขณะของการเผยวจนะย่อมตกใจสุดขีดได้.”

       เจสสิกา คิดถึงเรื่องคำพยากรณ์นั้น---ชาริ-อา และบรรดาคำทำนายฝังรากลึก – panoplia propheticus ทั้งหลายนั้น, เบเน เกเสอริต แห่ง คณะมิชชั่นอาเรีย โพรเทคติวาMissionaria Protectiva ทิ้งไว้ที่นี่นานหลายศตวรรษมาแล้ว---ตายไปนานแล้ว, ไม่ต้องสงสัย, แต่เจตจำนงของเธอสัมฤทธิผล: ตำนานพิทักษ์ได้ปลูกฝังลงในผู้คนเหล่านี้ฝ่าฟันวันเวลาดังความต้องการของ เบเน เกสเสอริต.

       เอาละ, วันนั้นได้มาถึงแล้ว.

       มาเพส กลับคืนมีดยังฝัก, พูด: “นี่เป็นมีดที่ถูกปลดปล่อย, ท่านผู้หญิง. เก็บไว้ใกล้กับท่าน. มากกว่าหนึ่งสัปดาห์ที่ห่างจากเลือดเนื้อแล้วมันจะเริ่มเสื่อมลง. มันเป็นของท่าน, เขี้ยวของ ไช-ฮูลุด, นานตราบเท่าท่านมีชีวิต.”

       เจสสิกา เอื้อมออกไปด้วยมือขวา, เสี่ยงในพนัน: “มาเพส, เจ้าคืนฝักมันโดยที่คมไร้เลือด.”

       โดยหอบสำลัก, มาเพส ปล่อยมีดในฝักนั้นลงบนในมือของ เจสสิกา, ฉีกเปิดเสื้อคลุมสีน้ำตาลออก, ร้องครวญ: “จงเอาน้ำแห่งชีวิตของข้าเถิด!

       เจสสิกา ดึงมีดออกจากฝักของมัน. มันช่างแวววับยิ่งนัก! เธอชี้ปลายแหลมไปยัง มาเพส, มองเห็นความหวาดกลัวที่มากไปกว่าความตายอย่างเจ็บปวดมาหาทั่วร่างของผู้หญิงนั้น . ยาพิษในปลายแหลมนี้รึ? เจสสกา สงสัย. เธอเอียงปลายแหลมนั้นขึ้น, ลากรอยบางด้วยคมมีดเหนือหน้าอกดานซ้ายของ มาเพส. มีเลือดข้นหนาผุดออกมาและหยุดเกือบจะในทันที. ลิ่มเลือดแข็วตัวอย่างรวดเร็ว, เจสสิกา คิด. ผู้กลายพันธุ์ในการถนอมความชื้น?

       เธอเก็บมีดเข้าฝัก, พูด: “กลัดกระดุมชุดของเจ้าเถิด, มาเพส.”

       มาเพส ทำตามสั่ง, ร่างสั่นเทา. ดวงตาที่ปราศจากสีขาวจ้องยัง เจสสิกา. “ท่านคือพวกเรา,”  หล่อนพึมพำ. “ท่านเป็น ผู้นั้น.

       มีเสียงการขนย้ายของที่ทางเข้ามาอีก. อย่างว่องไว, มาเพส ตะครุบมีดในฝักนั้น, ซุกมันเข้าไปในร่างของ เจสสิกา. “ใครที่เห็นมันต้องถูกทำให้สะอาดหรือถูกสังหาร!” หล่อนขู่คำราม. “ท่านรู้เช่นนั้น, ท่านผู้หญิง.”

       ฉันรู้แล้วในตอนนี้, เจสสิกา คิด.

       ผู้ดูแลการขนย้ายสินค้าบรรทุกจากไปโดยไม่ล่วงล้ำเข้ามาในท้องพระโรง.

       มาเพส จัดแจงกับตนเอง, พูด: “ผู้ที่ไม่สะอาดซึ่งได้เห็นมีดกริชนี้ไม่อาจออกจากอาร์ราคิสไปอย่างมีชีวิต. อย่าได้ลืมเช่นนั้น, ท่านผู้หญิง. ท่านได้ถูกไว้วางใจจากคริสไนฟ์อันหนึ่งแล้ว.” หล่อนสูดหายใจลึก. “บัดนี้สิ่งนี้ต้องได้รับตามขั้นตอนของมัน. มันไม่สามารถถูกเร่งรีบได้.” หล่อนชำเลืองมองกล่องกองซ้อนเหล่านั้นและสิ่งของที่สุมทับกันที่รายรอบพวกเขาอยู่. “และก็มีงานเต็มล้นขณะที่เราใช้เวลาในที่นี้.”

       เจสสิกา ลังเล. “สิ่งนี้ต้องได้รับตามขั้นตอนของมัน.” นั่นเป็นบทกลอนจำเพาะจากบรรดามนตร์คาถาของ มิชชั่นนาเรีย โพรเท็คติวา---การมาถึงของคุณแม่อธิการ เพื่อปลดปล่อยพวกเจ้า.

       แต่ฉันไม่ใช่ คุณแม่อธิการ, เจสสิกา คิด.  และแล้ว: พระมหามารดา! พวกเขาปลูกเพาะสิ่งนี้ไว้ที่นี่! นี่ต้องเป็นสถานที่น่ากลัวยิ่ง!

       ในน้ำเสียงที่คืนสู่ตัวตนแท้จริง, มาเพส พูด: “ท่านจะต้องการให้ข้าทำอะไรก่อนหรือ, นายหญิง?”

       สัญชาตญาณเตือน เจสสิกา ให้หวนกลับมาเข้ากันกับน้ำเสียงนั้น. เธอบอก: “ภาพวาดของท่านดยุคเฒ่า ตรงโน้น, มันต้องถูกแขวนบนด้านหนึ่งของผนังโถงทานอาหาร. และศีรษะของวัวนั่นไปอยู่บนผนังด้านตรงกันข้ามของภาพวาด.”

       มาเพส เดิมข้ามไปหาศีรษะของวัวนั้น. “ช่างเป็นสัตว์ร้ายยิ่งที่มีศีรษะเป็นเช่นนี้,” หล่อนพูด. หล่อนหยุด. “ข้าจะทำความสะอาดสิ่งนี้ก่อน, หรือไม่เจ้าคะ, นายหญิง?”

       “ไม่ต้อง.”

       “แต่มีฝุ่นติดผิวหน้าบนเขาของมันอยู่.”

       “นั่นไม่ใช่ฝุ่นหรอก, มาเพส. นั่นคือเลือดของบิดาท่านดยุคของเรา. เขาพวกนั้นถูกพ่นเคลือบติดเอาไว้ด้วยสารโปร่งใสภายในชั่วโมงแรกทันทีหลังจากที่เจ้าสัตว์ร้ายนี้ฆ่า ดยุคเฒ่า.

       มาเพส ยืนขึ้น. “อ้า, นี่เอง!” หล่อนพูด.

       “มันเป็นแค่เลือด,” เจสสิกา พูด. “เลือดชราบนนั้น. ไปเอาคนมาช่วยแขวนพวกนี้ตอนนี้เถิด. เจ้าสัตว์ร้ายนี้หนักมาก.”

       “ท่านคิดว่าเลือดพวกนี้รบกวนใจของข้าหรือ?” มาเพส ถาม. “ข้ามาจากทะเลทราย. ข้าเห็นเลือดมามากมายแล้ว.”

       “ฉัน....มองเห็นว่าเจ้าเคยเช่นนั้น,” เจสสิกา พูด.

       “และบางอันก็เป็นของข้าเอง,” มาเพส พูด. “มากมายกว่าจากแผลเล็กน้อยที่ท่านได้ข่วน.”

       “เจ้าอยากให้ข้ากรีดลึกกว่านั้นหรือ?”

       “อ้า, ไม่เจ้าค่ะ! น้ำของร่างขัดสนยิ่งกว่าที่จะปล่อยให้ไหลทิ้งมากมายไปในอากาศ. ท่านทำสิ่งถูกต้องแล้วค่ะ.”

       และ เจสสิกา สังเกตได้ถึงคำพูดและอากัปกิริยานั้น, จับได้ถึงนัยยะของวลีนั้น. “น้ำของร่างง” อีกครั้งที่เธอสำนึกได้ถึงภาวะบีบบังคับถึงความสำคัญของน้ำบน อาร์ราคิส.

       “ด้านไหนของผนังโถงทานอาหารที่ข้าจะหนึ่งในอันงดงามนี้ล่ะเจ้าคะ, นายหญิง?” มาเพส ถาม.

       เคยเป็นมือทำงานมาล่ะ, มาเพส คนนี้, เจสสิกา คิด. เธอพูด: “ใช้พิจารณาตัดสินของตนเองสิ, มาเพส. มันไม่แตกต่างอะไรนักหรอก.”

       “ตามท่านสั่งค่ะ, นายหญิง.” มาเพส ค้อมคำนับ, เริ่มแก้ห่อของและเชือกพันรัดของศีรษะนั้นง “ฆ่าท่านดยุคเฒ่าเลยรึ, เจ้าตัวร้าย?” หล่อนฮัมเป็นเพลง.

       “ให้ข้าไปตามคนมาช่วยเจ้าเลยไหม?” เจสสิกา ถาม.

       “ข้าจะจัดการเองค่ะ, นายหญิง.”

       ใช่, เธอจะจัดการเอง, เจสสิกา คิด. นั่นเป็นเรื่องของพวกฟรีเมนนี้: แรงขับดันที่จะจัดการ.

       จสสิกา รู้สึกถึงความเย็นเยือกของฝักคริสไนฟ์ภายใต้ร่างของเธอ, คิดถึงสายโซ่อุบายอันยาวของ เบเน เกสเสอริท ที่ได้หล่อหลอมลูกโซ่ที่นี่. เพราะว่าสายโซ่นั้น, เธอได้รอดพ้นจากวิกฤติแห่งความตายง “มันไม่สามารถถูกรีบเร่ง,” มาเพส ได้บอก. กระนั้นก็มีจังหวะของพุ่งหัวออกไปยังสถานที่นี้ที่เติมใส่ เจสสิกา ด้วยลางสังหรณ์. และไม่ใช่การเตรียมพร้อมทั้งหมดของ มิชชั่น โพรเท็คติวา หรือ การสงสัยตรวจสอบอย่างละเอียดของ ฮาวัต ต่อปราสาทของกองหินทั้งหลายนี้ที่สามารถขับไล่ความรู้สึกนี้ออกไปได้.

       “เมื่อเจ้าเสร็จการแขวนพวกนี้แล้ว, ก็เริ่มต้นแก้เปิดหีบกล่องพวกนั้นเสีย, “เจสสิกา บอก. “หนึ่งในพวกขนของที่ทางเข้ามีกุญแจทั้งหมดของมันและรู้ว่าที่ไหนที่ของพวกนี้จะไป. เอากุญแจกับรายการพวกนั้นมาจากเขา. ถ้ามีคำถามอะไร, ฉันจะอยู่ที่ปีกด้านใต้.”

       “ตามที่ท่านสั่งเจ้าค่ะ, นายหญิง,” มาเพส พูด.

       เจสสิกา หันจากไป, กำลังคิดว่า: ฮาวัต อาจจะได้ผ่านว่าทำเนียบนี้ปลอดภัยแล้ว, แต่มีอะไรบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับสถานที่นี้. ฉันสามารถรู้สึกถึงมันได้.

       ความต้องการรีบด่วนที่จะพบบุตรชายของตนเกาะกุม เจสสิกา. เธอเริ่มเดินไปยังซุ้มประตูโค้งที่นำเข้าไปในทางเดินของโถงทานอาหารและด้านปีกของครอบครัว. เร็วขึ้นและเร็วขึ้นที่เธอเดินจนกระทั่งเธอเกือบจะวิ่ง.

       ด้านหลังของเธอ, มาเพส หยุดการเอาห่อรัดทั้งหลายออกจากหัวของวัวนั้น, มองผู้ที่ถอยจากไป. “เธอคือ ผู้นั้น อย่างแน่นอน,” หล่อนพึมพำ. “น่าสงสารจริง.”

 

วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2563

แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ท - ดูน พิภพทราย (4)

 

หยัว (ยูอี), เวลลิงตัน (เวลิง-ตัน), มตรฐ 10, 082-10,191;  แพทย์เวชกรรมแห่ง สิกขาวิทยาลัย(สำเร็จกศ. มตรฐ. 10,112); วก: วรรณา มาร์คัส, บ.จ. (มตรฐ 10,092-10,186?); หลักใหญ่บันทึกว่าคือผู้ทรยศต่อ ดยุค เลโต อะไทรดิส.  (ลก: อัตประวัติ, ภาคผนวก 7 [สถานะแห่งจักรวรรดิ] และการทรยศ.)

        

         -- จาก “พจนานุกรม แห่ง มวดดิบ” โดย เจ้าหญิงอีร์รูลาน

 

         ถึงแม้ว่าเขาจะได้ยิน ดร.หยัว เข้ามาในห้องฝึกฝน, สังเกตได้จากการก้าวอย่างหนักแน่นสุขุมรอบคอบของชายผู้นี้,พอล ยังคงเหยียดยาวคว่ำใบหน้าอยู่บนโต๊ะฝึกฝนที่ซึ่งผู้นวดได้ทิ้งเขาไว้เช่นนั้น.  เขารู้สึกผ่อนคลายอย่างเพลิดเพลินหลังจากการฝึกหนักกับ เกอร์นีย์ ฮัลเล็ค.

         “เธอดูท่าทางสบายเลยนะ,” หยัว กล่าว, ในน้ำเสียงสงบ, เรียบสูงของเขา.

         พอล ยกศีรษะของเขาขึ้น, มองเห็นร่างทื่อแข็งของชายนั้นกำลังยืนห่างไปหลายก้าว, ชำเลืองเห็นเสื้อคลุมดำสั่นไหว, ศีรษะรูปเหลี่ยมจตุรัสของชายผู้นี้ที่มีริมฝีปากสีม่วงและไว้เคราห้อย, รอยสักรูปเพชรแห่ง สถานะแห่งจักรวรรดิบนหน้าผากของเขา, ผมสีดำยาวมวยมัดแบบสิกขาวิทยาลัยด้วยแหวนเงินเคลียละอยู่ที่ไหล่ซ้าย.

         “เธอจะมีความสุขมากที่ได้ยินว่าเราไม่มีเวลาสำหรับบทเรียนตามปกติในวันนี้,” หยัว บอก.  “บิดาของเธอจะตามมาในไม่ช้านี้.”

พอล ลุกขึ้นนั่ง.

         “อย่างไรก็ดี, ฉันได้ปรับเปลี่ยนสำหรับเจ้าให้ได้มีเครื่องดูฟิล์มหนังสือและหลายๆบทเรียนระหว่างที่เดินทางไปยัง อาร์ราคิส.”

         “โอ.”

         พอล เริ่มต้นสวมเสื้อผ้าของตน.  เขารู้สึกถึงความตื่นเต้นที่ว่าบิดาของเขาจะกำลังมาหา.  พวกเขาใช้เวลาอยู่ด้วยกันน้อยนิดมากตั้งแต่ จักรพรรดิมีโองการบัญชาให้ไปครองศักดินาที่ อาร์ราคิส นั้น.

         หยัว ข้ามมายังโต๊ะรูปวงรี, คิดอยู่ว่า: เด็กชายผู้นี้ช่างเติบใหญ่ขึ้นชั่วสองสามเดือนที่ผ่านมานี้.  ช่างน่าสูญเปล่าเหลือเกิน! โอ, ช่างน่าสูญเปล่าเศร้าใจยิ่งนัก.  และเขาหวนนึกได้ถึงตนเอง: ข้าต้องไม่ลังเลขึ้นมา.  อะไรที่ข้าต้องทำได้เสร็จสิ้นแน่ชัดแล้วว่าวันนาของฉันจะไม่ถูกทำให้เจ็บปวดอีกต่อไปโดยพวกสัตว์ป่าฮาร์คอนเนน.

         พอล ร่วมกับเขาที่โต๊ะ, กลัดกระดุมเสื้อแจ็คเก็ตของเขา.  “ข้าจะต้องเรียนรู้อะไรในระหว่างการเดินทางข้ามไปนั้หรือ?”

         “อา-อา-อา, รูปแบบสิ่งมีชีวิตแห่ง อาร์ราคิส.  ดาวเคราะห์นั้นดูเหมือนว่าได้เปิดอ้าแขนของมันให้กับรูปแบบสิ่งมีชีวิตที่จำเพาะเจาะจง.  มันไม่แน่ชัดนักว่าอย่างไร.  ฉันต้องเสาะค้นหาตัวนักนิเวศวิทยาดาวเคราะห์นี้ให้ได้เมื่อเราเดินทางไปถึง---ดร.ไคนิ์ส—และเสนอความช่วยเหลือของฉันให้กับเขาในการสืบค้นตรวจสอบ.”

         และ หยัว คิด: ข้ากำลังพูดอะไรอยู่รึ? ข้าเล่นตีสองหน้าแม้กระทั่งกับตนเอง.

         “จะมีอะไรเกี่ยวกับพวกฟรีเมนบ้างไหม?” พอล ถาม.

         “พวกฟรีเมนรึ?” หยัว เคาะนิ้วรัวลงบนโต๊ะนั้น, เมื่อเห็น พอล กำลังจ้องมองอากัปกิริยากระวนกระวายนี้, ก็ถอนมือของเขาขึ้นมาทันที.

         “บางทีท่านทราบอะไรบางอย่างในเรื่องประชากรอาร์ราคีนทั้งหมดนั้น,” พอล พูด.

“ใช่, ให้แน่ใจได้เลย,” หยัว พูด.  “โดยทั่วไปแล้วแยกกันอยู่สองประเภทของผู้คนเหล่านั้น—ฟรีเมน, พวกเขาเป็นกลุ่มหนึ่ง, และอีกพวกหนึ่งคือผู้คนแห่งถิ่นที่พื้นผิว, ที่หล่ม, และที่กว้าง.  มีการแต่งงานข้ามกลุ่มกัน, ฉันบอกได้.  สตรีในหมู่บ้านถิ่นที่กว้างและที่หล่มชอบมีสามีฟรีเมนมากกว่า; พวกบุรุษของพวกเขาก็ชอบที่จะมีภรรยาฟรีเมนเช่นกัน.  พวกเขาได้พูดกันว่า: “ผู้เงางามนั้นมาจากในเมือง; แต่ผู้มีปัญญามาจากทะเลทราย.”

         “ท่านมีรูปภาพของพวกเขาไหม?”

         “ฉันจะดูว่าพอจะหาให้เธอได้.  สิ่งรูปโฉมที่น่าสนใจมากที่สุด, แน่นอน, คือดวงตาของพวกเขา—เป็นสีฟ้าทั้งหมดยิ่งนัก, ไม่มีสีขาวในพวกนั้นเลย.”

         “การกลายพันธุ์รึ?”

         “ไม่หรอก; มันเชื่อมโยงกับความอิ่มตัวของเลือดด้วยเครื่องเทศเจือเมลานจิ์.”

         “พวกฟรีเมนต้องเป็นกล้าหาญอย่างมากที่อาศัยอยู่ริมขอบของทะเลทรายนั้นได้.”

         “ทั้งหลายทั้งปวงแล้ว,” หยัว พูด.  “พวกเขาประพันธ์กวีให้กับมีดของพวกเขา.  สตรีของพวกเขานั้นดุร้ายได้เท่าๆกับบุรุษ.  กระทั่งเด็กๆฟรีเมนก็ดุร้ายและอันตรายยิ่ง.  เธอจะต้องไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปปะปนกับพวกนั้น, ฉันกล้าบอกได้เลย.”

         พอล จ้องมอง หยัว, พบว่าในเหลือบชำเลืองเล็กน้อยยังพวกฟรีเมนมีพลังในคำเหล่านั้นที่จับความสนใจทั้งหมดของเขาได้.  ช่างเป็นผู้คนที่น่าเอาชนะมาเป็นเช่นพันธมิตรนัก!

         “และหนอนพวกนั้นล่ะ?” พอล ถาม.

         “อะไรหรือ?”

         “ข้าอยากจะศึกษาให้มากขึ้นเกี่ยวกับพวกหนอนทะเลทราย.”

         “อา-อา-อา, แน่ใจได้เลย.  ข้ามีฟิล์มหนังสืออยู่หนึ่งในตัวอย่างเล็กๆนั่น, แค่ยาวหนึ่งร้อยสิบเมตรและมีเส้นผ่าศูนย์กลางยี่สิบ-สองเมตร. มันมีอยู่ทางดินแดนเส้นรุ้งตอนเหนือ.  พวกหนอนที่มีความยาวมากกว่าสี่ร้อยเมตรได้ถูกบันทึกไว้โดยประจักษ์พยานที่น่าเชื่อถือ, และมีเหตุผลที่เชื่อได้ว่ากระทั่งใหญ่กว่านั้นก็น่าจะมีอยู่.”

         พอล เหลือบลงมองยังตารางรูปกรวยฉายชี้ที่ทางเส้นรุ้งตอนเหนือของอาร์ราคีสบนโต๊ะ.  “แนวคาดทะเลทรายและแถบขั้วโลกใต้ถุกลงบันทึกไว้ว่าไม่มีผู้คนอยู่อาศัย.  มันเป็นเพราะพวกหนอนนั่นรึ?”

         “และพวกพายุ.”

         “แต่ที่ไหนก็น่าจะสามารถอาศัยอยู่ได้ง”

         “ถ้ามันคือความเป็นไปได้ทางเศรษฐกิจ,” หยัว พูด.  “อาร์ราคิส มีภาวะอันตรายในค่าใช้จ่ายอยู่มาก.”  เขาลูกเรียบเรียวเคราที่ห้อยอยู่ของตน.  “บิดาของเธอจะมาที่นี่ในไม่ช้านี้.  ก่อนที่ฉันจะไป, ฉันจะให้ของขวัญกับเธอ, บางอย่างที่ฉันเจอเข้าตอนจัดเก็บข้าวของ.”  เขาวางวัตถุหนึ่งลงบนโต๊ะระหว่างพวกเขาทั้งสอง—ดำ, ยาว, ไม่ใหญ่ไปกว่าปลายนิ้วหัวแม่มือของ พอล.

         พอล มองดูมัน.  หยัว สังเกตได้ว่าเด็กชายนี้ไม่ได้รีบอื้อมมือเข้าไปหามันอย่างไร, และคิด: เขาช่างระมัดระวังตัวนัก.

         “มันเป็นไบเบิ้ล โอเรนจิ์ คาธอลิค ที่เก่ามาก ทำขึ้นมาสำหรับผู้เดินทางในอวกาศ.  ไม่ใช่ฟิล์มหนังสือ, แต่พิมพ์ลงบนกระดาษไส้ไฟฟ้าเส้นใย.  มันมีระบบขยายและชาร์จประจุของตนเอง .”  เขาหยิบมันขึ้นมาสาธิต.  “หนังสือถูกยึดไว้ใกล้กับที่ชาร์จ, ซึ่งบังคับอยู่ด้วยสปริงล็อคฝาปิด.  เธอกดที่ขอบ—กระนั้น, และหน้ากระดาษที่เธอเลือกแยกเปิดออกจากกันแล้วหนังสือก็จะเปิดออก.

         “มันช่างเล็กมาก.”

         “แต่มันมีอยู่หนึ่งพันแปดร้อยหน้า.  เธอกดที่ริมขอบ—กระนั้น, แล้วก็...และตราขยับข้างบนทีละหน้าในแต่ละครั้งเมื่อเธออ่าน.  อย่าได้แตะที่หน้ากระดาษจริงด้วยนิ้วของเธอ.  เยื่อเส้นใยนี้บอบบางมาก.”  เขาปิดหนังสือ, ยื่นมาให้ พอล.  “ลองมันดูสิ.”

       หยัว เฝ้าดู พอล ทำงานปรับเลื่อนหน้ากระดาษ, และคิด: ฉันช่วยบรรเทาสำนึกของตัวฉันเอง.  ฉันให้เขาด้วยการยุติของศาสนาก่อนการทรยศต่อเขา.  กระนั้นบางทีขอให้ฉันได้พูดกับตัวฉันเองว่าเขาได้จากไปในที่ซึ่งฉันไม่สามารถไปได้.

       “นี่ต้องถูกทำขึ้นมาก่อนมีฟิล์มหนังสือแน่ๆ,” พอล พูด.

       “มันค่อนข้างเก่าแก่.  ให้มันเป็นความลับของเรากันนะ, เอ๋?  บิดามารดาของเธออาจจะคิดว่ามันมีค่าเกินไปสำหรับคนที่ยังหนุ่มอยู่.”

       และ หยัว คิด: มารดาของเขาแน่เลยว่าคงจะสงสัยในแรงกระตุ้นของฉัน.

       “เอาละ...” พอล ปิดหนังสือ, ถือมันไว้ในมือของเขา.  “ถ้ามันมีค่ามากนัก.”

       “ดื้อดึงตามใจชั่วแล่นของคนชราเถิด,” หยัว พูด.  “มันถูกให้มาที่ฉันเมื่อตอนฉันยังเด็กมาก.”  และเขาคิด: ฉันต้องกุมจับจิตใจของเขาให้ดีดังเช่นความอยากได้ของเขา.  “เปิดมันที่หน้าสี่-หกสิบเจ็ด คาลิมะ สิ—ที่มันบอกไว้ว่า: จากน้ำนั้นเองที่ชีวิตทั้งหมดเริ่มต้น.  มีร่องเครื่องหมายบางๆ บนขอบของหน้าปกเพื่อกำหนดที่ตรงนั้น.”

       พอล สัมผัสที่ปก, ตรวจพบสองปุ่ม, หนึ่งนั้นตื้นกว่าอีกอัน.  เขากดที่ร่องที่ตื้นกว่านั้นและหนังสือคลี่เปิดออกบนฝ่ามือของเขา, มันขยายเลื่อนเข้าที่.

       “อ่านมันดังๆสิ,” หยัว บอก.

       พอล ทำริมฝีปากของตนให้เปียกชื้นด้วยลิ้นของเขา, และอ่าน: คิดว่าเจ้าแห่งความสัจที่ผู้หนวกใบ้ไม่สามารถได้ยิน.  แล้ว, อะไรที่ความหนวกใบ้นั้นอาจที่เราทั้งหมดไม่ได้ครองอยู่หรือ?  ผัสสะใดหรือที่เราขาดหายไปซึ่งเราไม่สามารถมองเห็นและไม่สามารถได้ยินโลกอื่นๆที่รายล้อมรอบเราอยู่หรือ?  อะไรอยู่ที่นั้นรอบเราที่เราไม่สามารถ—“

       “หยุดมัน!” หยัว ต วาด.

       พอล หยุดชะงัก, จ้องมองเขา.

       หยัว หลับตาของเขาลง, ต้อสู้เพื่อเรียกคืนความสงบของจิตใจกลับคืนมา.  ช่างวิปริตอะไรหรือ ที่ทำให้หนังสือนี้ถูกเปิดเข้าตรงประโยคตอนที่ วันนา ของฉันโปรดปราน? เขาลืมตาขึ้น, เห็น พอลกำลังจ้องมาที่เขา.

       “มีอะไรผิดปกติหรือ?” พอล ถาม.

       “ฉันเสียใจ,” หยัว พูด.  “นั่นเป็น...บทที่ภรรยาที่เสียชีวิตไปของฉันโปรดปราน.  มันไม่ใช่บทอันที่ฉันตั้งใจให้เธออ่าน.  มันนำความทรงจำขึ้นมาที่...ปวดร้าว.”

       “มีอยู่สองรอยบาก,” พอล บอก.

       แน่นอนสิ, หยัว คิด.  วรรณา ทำรอยเน้นกำหนดบทของเธอไว้เอง.  นิ้วของเขาช่างอ่อนไหวได้มากไปกว่าของฉันที่พบรอยเครื่องหมายของเธอ.  มันเป็นแค่อุบัติเหตุเท่านั้นเอง, ไม่มากไปกว่านี้.

       “เธอคงจะพบว่าหนังสือนี้น่าสนใจ,” หยัว บอก.  “มันมีสัจจะเชิงประวัติศาสตร์ในนั้นเช่นเดียวกับปรัชญาเชิงจริยธรรมที่ดี.”

       พอล มองลงไปยังหนังสือเล็กๆนั้นในมือของเขา—ช่างเป็นสิ่งที่เล็กเหลือเกิน.  กระนั้น, มันบรรจุไว้ด้วยความลึกลับ...อะไรบางอย่างได้บังเกิดขึ้นขณะที่เขาอ่านจากมัน.  เขาได้รู้สึกถึงอะไรบางอย่างก่อกวนเจตจำนงอันร้ายกาจของเขา.

       “บิดาของเธอจะมาที่นี่ในอีกไม่กี่นาทีนี้,” หยัว พูด.  “เอาหนังสือนั่นเก็บไว้เสียและอ่านมันในยามที่เธอว่าง.”

       พอล แตะที่ริมขอบของมันอย่างที่ หยู ได้แสดงให้เขาดู.  หนังสือนั้นปิดผนึกตนเอง.  เขาหย่อนมันใส่ลงไปในกระเป๋ากางเกงทูนิคของเขา.  ชั่วขณะหนึ่งนั้นที่ หยัว ได้ตวาดใส่เขา, พอล ได้กลัวว่าเขาจะเรียกเอาหนังสือนั้นกลับคืนไปเสีย.

       “ข้าขอบคุณท่านสำหรับของขวัญนี้, ดร.หยัว,” พอล พูด, ตามแบบทางการ.  “มันจะเป็นความลับของเรา.  ถ้ามีของขวัญใดที่ท่านประสงค์ปรารถนาจากข้า, ได้โปรดอย่าได้ลังเลใจที่จะบอก.”

       “ฉัน...มิได้มีอะไรจำเป็นเช่นนั้น,” หยัว พูด.

       และเขาคิด:  ทำไมฉันยืนอยู่ตรงนี้ทรมานตนเอง?  และกำลังทรมานพ่อหนุ่มที่น่าสงสารนี้...ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้รู้ถึงมัน.  ไอ้ย๊า! เจ้าห่าพวกฮาร์คอนเนนสัตว์ร้ายเอ๊ย!  ทำไมพวกมันถึงได้เลือกฉันสำหรับสิ่งเลวทรามน่าชังของพวกมันนี้?

 

 

         เราจะเข้าไปสู่การศึกษาเรื่องบิดาของ มวดดิบ ได้อย่างไรกันหรือ? ชายผู้

ละเลยความอบอุ่นและเย็นชาจนน่าประหลาดใจนั่นคือ ดยุค เลโต อะไทรดีส. 

กระนั้น, ความจริงมากมายได้เปิดหนทางต่อท่าน ดยุ ผู้นี้: ความรักที่เฝ้าคอยของ

เขาต่อท่านหญิงแห่ง เบเน เกสเสอริต ของเขา; ความฝันที่เขายึดเอาไว้เพื่อบุตรชาย

ของเขา; ความอุทิศตนให้กับผู้คนที่ได้รับใช้เขามา.  ท่านเห็นเขาที่นั้น—ชายผู้ถูกกับดักแห่งโชคชะตา, ร่างโดดเดี่ยวด้วยแสงสลัวเลือนของเขาที่เบื้องหลังความโชติช่วงชัชวาลของบุตรชายของเขา.  กระนั้น, ใครก็ย่อมต้องถามว่า: อะไรคือบุตรชายอีกเล่าถ้ามิใช่สิ่งสืบทอดมาจากบิดาของเขา?

 

           - จาก  “มวดดิบ, คำอธิบายทั้งหลายถึงครอบครัว” โดย เจ้าหญิงอีร์รูลาน

 

       พอล เฝ้าดูบิดาของเขาเข้ามาสู่ห้องฝึกฝน, เห็นพวกองครักษ์ประจำการอยู่ที่ด้านนอก.  หนึ่งในพวกนั้นปิดประตู.  ดังเช่นเคยเสมอ, พอล ประสบได้ถึงสัมผัสของ การมีปรากฏ ในบิดาของเขา, ใครบางคนสัมบูรณ์สุดใน ที่นี้.

       ดยุค เป็นผู้ร่างสูง, ผิวสีมะกอก.  ใบหน้าเรียวผอมของเขาดูขมึงเข้มในมุมมองอบอุ่นได้ก็ด้วยดวงตาสีเทาคู่นั้น.  เขาสวมเครื่องแบบทำงานสีดำมีตราประจำตระกูลสีแดงรูปเหยี่ยวที่หน้าอก.  เข็มขัดโล่ห์พลังสีเงินพร้อมสนิมคร่ำคร่าของการใช้งานมานานรัดรอบเอวขอดของเขา.

       ท่านดยุค พูด: “ทำงานหนักอยู่รึ, ลูก?”

       เขาข้ามมาที่โต๊ะรูปไข่, ชำเลืองดูที่เอกสารทั้งหลายบนมัน, กวาดการมองของเขาไปรอบๆห้องนั้นและกลับมาที่ พอล.  เขารู้สึกเหนื่อยล้า, เต็มเปี่ยมไปด้วยความปวดของการไม่แสดงความเหน็ดเหนื่อยของตนออกมา.  ข้าต้องใช้ทุกโอกาสที่จะพักระหว่างการเดินทางข้ามไปยัง อาร์ราคิส, เขาคิด.  จะไม่มีการพักผ่อนที่บน อาร์ราคิส.

       “ไม่หนักมากหรอกครับ,” พอล พูด.  “ทุกสิ่งช่าง.....” เขายักไหล่.

       “ใช่.  เอาละ, พรุ่งนี้เราจะไปกัน.  มันจะดีที่ได้ตั้งหลักในบ้านใหม่ของเรา, ทิ้งบรรดาความกลัดกลุ้มเหล่านี้ไว้ที่ข้างหลัง.”

       พอล พยักหน้า, ทันใดนั้นก็ท่วมท้นกลับมาด้วยความทรงจำในคำพูดของแม่อธิการ: “....สำหรับผู้บิดาแล้ว, ไม่มีอะไรเลย.”

       “ท่านพ่อ,” พอล พูด, “อาร์ราคิส จะเป็นอันตรายอย่างที่ทุกคนบอกหรือเปล่าครับ?”

       ดยุค บังคับตนเองให้มีอิริยาบถตามปกติ, นั่งลงที่มุมหนึ่งของโต๊ะนั้น, ยิ้ม.  รูปกระบวนทั้งปวงของการสนทนาพวยพุ่งขึ้นมาในจิตใจของเขา—อะไรชนิดที่เขาน่าจะใช้ที่จะขับไล่ไอหมอกในจิตใจทหารของเขาก่อนเข้าสู่การยุทธ.  รูปกระบวนนั้นนิ่งแข็งตัวไปก่อนที่มันจะถูกเปล่งเสียงออกมา, เมื่อถูกเผชิญหน้ากับความคิดเพียงสิ่งเดียว:

       นี่เป็นบุตรชายของข้า.

       “มันจะเป็นอันตราย,” เขายอมรับ.

       “ฮาวัต บอกกับผมว่าเรามีแผนการสำหรับพวกฟรีเมน,” พอล พูด.  และเขาก็สงสัยใจ:  ทำไมข้าถึงไม่บอกกับเขาไปว่าหญิงชรานั้นพูดว่าอย่างไร?  นางปิดผนึกลิ้นของข้าได้อย่างไรกันนะ?

       ดยุค สังเกตเห็นถึงความทุกข์ใจของบุตรชาย, และพูด: “อย่างเช่นที่เคยเป็นเสมอ, ฮาวัต มองเห็นโอกาสหลักใหญ่.  แต่มีอยู่อีกมากมายกว่านั้น.  พ่อเห็นอีกด้วยเช่นกันถึง Combine Honnete Ober Advance Mercantiles---CHOAM Company.  โดยการยก อาร์ราคิส ให้พ่อ, องค์จักรพรรดิถูกบีบบังคับให้เราเป็นผู้กำกับการใน CHOAM ด้วย.....ผลตอบแทนที่แฝงมา.”

       CHOAM ควบคุมเครื่องเทศเหล่านั้น,” พอล พูด.

       “และ อาร์ราคิส พร้อมด้วยเครื่องเทศนั้น คือถนนเข้าไปสู่ CHOAM,” ดยุค บอก.  “มีอะไรอีกมากสำหรับ CHOAM นอกเหนือจากเครื่องเทศเมลานจิ์”

       “แม่อธิการได้บอกเตือนท่านพ่อหรือเปล่า?” พอล หลุดออกมา.  เขากำมือของตนแน่น, รู้สึกได้ถึงความลื่นในอุ้งมือของเขาจากการไหลหลั่งออกมาของเหงื่อ. จากควงามพยายาม ที่มันใช้ในการถามคำถามนั้นออกมาได้.

       “ฮาวัต บอกกับพ่อว่านางทำให้เจ้าตื่นกลัวด้วยคำเตือนเกี่ยวกับ อาร์ราคิส,” ดยุค บอก.  “อย่าปล่อยให้ความกลัวของสตรผู้หนึ่งบดบังจิตใจของลูก.  ไม่มีสตรีใดต้องการให้คนที่นางรักตกอยู่ในอันตราย.  มือที่อยู่เบื้องหลังคำเตือนพวกนั้นคือมารดาของลูก.  รับเอาสิ่งนี้ว่าเป็นสัญญานความรักของเธอที่มีต่อเราเถิด.”

       “แม่รู้เรื่องพวกฟรีเมนไหม?”

       “ใช่แล้ว, และรู้อีกมากด้วย.”

       “อะไรหรือครับ?”

       และ ดยุค คิด: ความสัจจริงคงจะเป็นสิ่งเลวร้ายสำหรับเขามากกว่าที่จินตนาการไว้, แต่กระทั่งความสัจจริงที่อันตรายก็มีค่ายิ่งถ้าเจ้าได้รับการฝึกฝนมาในการจัดการกับพวกมัน.  และมีสถานที่เดียวที่ไม่มีอะไรได้เก็บสำรองเอาไว้ให้บุตรชายของข้า—การจัดการกับความจริงที่อันตราย.  สิ่งนี้ต้องถูกถนอมไว้, ถึงกระนั้น; เขายังเด็กอยู่.

       “ผลผลิตเล็กน้อยหลบหนีไปจากสัมผัสของ CHOAM,” ดยุค พูด.  “ซุง, ลา, ม้า, วัว, ท่อนไม้, ปุ๋ย, ฉลาม, ขนปลาวาฬ—สิ่งธรรมดาสามัญที่สุดและแปลกใหม่จากแดนอื่นมากที่สุด.....แม้กระทั่งข้าวปันดิแย่ๆของเราจาก คาลาดาน.  อะไรก็ตามที่ สมาพันธ์จะขนส่งได้, รูปทรงศิลป์แห่ง อีคาซ, เครื่องจักรแห่ง ริเชสสิ์ และ อิกซ์.  แต่ทั้งหมดนี้จางหายไปด้วย เมลานจิ์.  เครื่องเทศเต็มกำมือนี้จะซื้อบ้านบน ทูไพล์ ได้.  มันไม่สามารถผลิตในโรงงานได้, มันต้องถูกขุดทำเหมืองที่บน อาร์ราคิส.  มันเป็นหนึ่งเดียวและมันเป็นคุณลักษณะอายุวัฒนะ.”

       “และตอนนี้เราควบคุมมันหรือ?”

       “ในระดับที่ชัดเจน.  แต่สิ่งสำคัญคือการที่จะพิจารณาราชสำนักทั้งหมดที่พึ่งพาอยู่กับผลกำไรของ CHOAM.  และคิดถึงสัดส่วนมหึมาของผลกำไรพวกนั้นขึ้นอยู่กับผลผลิตเดียวนี้—เครื่องเทศ.  จินตนาการว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้ามีบางอย่างที่ทำให้ผลผลิตนี้ลดลงไป.

       “ใครก็ตามที่มีกักตุนเมลานจิ์เอาไว้สามารถสั่งฆ่าได้,” พอล พูด.  “คนอื่นๆคงถูกทอดทิ้งออกไป.”

       ดยุค ยอมอนุญาตให้ตนเองยิ้มเล็กน้อยออกมาในชั่วขณะของความพึงใจนี้, มองยังบุตรชายของเขาและคิดถึงว่าช่างเจาะทะลวงได้นัก, ช่างมี การศึกษา ที่เป็นการสังเกตนั้นยิ่งนัก.  เขาพยักหน้า.  “พวกฮาร์คอนเนนส์ ได้กักตุนมานานกว่ายี่สิบปีแล้ว.”

       “พวกเขาตั้งใจจะให้ผลผลิตเครื่องเทศล้มเหลวและท่านพ่อถูกกล่าวโทษ.”

       “พวกเขาปรารถนาจะให้ชื่อตระกูลอะไทรดิสได้หมดชื่อเสียงลงไป,” ดยุค พูด.  “คิดถึงว่า ราชสำนักลานสราอาด ที่มองมายังพ่ออย่างคาดหวังชัดเจนที่จะให้เป็นผู้นำ—เลขาธิการของสภาอย่างไม่เป็นทางการ.  คิดว่าพวกนั้นจะมีปฏิกิริยาเช่นไรถ้าพ่อต้องวรับผิดชอบต่อผลผลิตที่ลดลงในรายได้ของพวกเขา.  จะอย่างไรก็ดี, กำไรของใครก็ย่อมต้องมาก่อน.  การประชุมมหาสภาก็จะเป็นที่ฉิบหาย! เจ้าไม่สามารถปล่อยให้ใครบางคนทำเจ้ายากจนลงได้!  ริมฝีปากของดยุคบิดรอยยิ้มกร้าวแกร่งขึ้น.  “พวกเขาจะหันหน้ามองไปทางอื่นไม่ว่า อะไร จะถูกกระทำกับพ่อ.”

       “แม้กระทั่งว่าเราถูกโจมตีด้วยอาวุธปรมาณู?”

       “ๆไม่มีอะไรปรากฏชัดขนาดนั้น.  ไม่มี  เปิด ท้าทายของสภาประชุม.  แต่เกือบจะเป็นอะไรอื่นก็ได้ที่สั้นกว่านั้น.....บางทีกระทั่งฝุ่นหรือดินถูกวางยาพิษ.”

       “แล้วทำไมเราถึงกำลังเดินเข้าไปสู่สิ่งนี้ล่ะ?”

       “พอล!” ท่านดยุคขมวดคิ้วให้กับบุตรชาย. “การที่ได้รู้ว่าที่ไหนคือกับดัก—นั่นแหละคือก้าวแรกในการหลบเลี่ยงมันได้.  สิ่งนี้เปรียบเสมือนการปะทะเดี่ยว, ลูก, เพียงแต่ขนาดใหญ่กว่า—เล่ห์ลวงในเล่ห์ลงในเล่ห์ลวง.....ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด.  ภารกิจคือการคลี่คลายมัน.  การที่ได้รู้ว่าพวกฮาร์คอนเนนส์กักตุนเมลานจิ์ไว้, เราก็จะถามอีกคำถาม:  ใครอื่นอีกที่กำลังกักตุน?  นั่นคือบัญชีรายชื่อศัตรูของเรา.”

       “ใครรึ?”

       “ราชสำนักที่แน่ชัดซึ่งเรารู้ว่าไม่เป็นมิตรและบางราชสำนักที่เราคิดว่าเป็นมิตร.  เราไม่จำเป็นต้องพิจารณาพวกเขาสำหรับขณะนี้เพราะว่ามีผู้อื่นอีกที่สำคัญกว่า: จักรพรรดิปาดิชาห์ ผู้เป็นที่รักของเรา.”

       พอล พยายามที่จะกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผากขึ้นมาในทันทีทันใด.  “ท่านพ่อไม่สามารถเรียกเปิดประชุม ลานสราอาด, เปิดเผย—”

       “ทำให้ศัตรูของเราตื่นระแวดระวังว่าเรารู้ตัวว่ามือไหนที่กุมมีดน่ะหรือ?  อา, ตอนนี้, พอล—เรา มองเห็น มีด, ตอนนี้.  ใครจะรู้ว่ามันอาจเหวี่ยงเปลี่ยนไปอยู่ที่ไหนต่อไปอีก? ถ้าเราเรื่องนี้ไปอยู่ตรงหน้า ลานสราอาด มันก็เพียงแค่สร้างกลุ่มเมฆหมอกยิ่งใหญ่ของความปั่นปวนขึ้นมา.  จักรพรรดิ คงจะปฏิเสธมัน.  ใครจะสามารถกล่าวหาเขาได้?  ทั้งหมดที่เราจะได้รับก็คือเวลาอีกเล็กน้อยขณะที่กำลังเสี่ยงตายกับจราจล.  และจากที่ไหนกันหรือที่การโจมตีจะมาหาอีก?”

       “ราชสำนักทั้งหมดอาจจะกำลังเริ่มต้นกักตุนเครื่องเทศ.”

       “ศัตรูของเราได้ลเริ่มต้นล่วงหน้าไปแล้ว—นำหน้าไปอยู่มากเกินไปที่จะตามได้ทัน.”

       “จักรพรรดิ,” พอล พูด.  “นั่นหมายถึง หน่วย ซาร์เดาการ์.”

       “ปลอมแปลงอยู่ในคราบเครื่องแบบของพวกฮาร์คอนเนน, ไม่ต้องสงสัยเลย,” ดยุค บอก.  “แต่ทหารนั้นบ้าคลั่งไม่มีสิ้นสุด.”

       “พวกฟรีเมนจะช่วยเราต่อต้าน ซาร์เดาการ์ ได้อย่างไรกันหรือ?”

       “ฮาวัต ได้คุยกับลูกในเรื่องเกี่ยวกับ ซาลูซา เซกันดัส หรือเปล่า?”

       “ดาวคุกของจักรพรรดิน่ะหรือ? ไม่ครับ.

       “ถ้ามันเป็นอะไรที่มากไปกว่าดาวคุกราชทัณฑ์ล่ะ, พอล?  มีคำถามหนึ่งที่ลูกไม่ได้เคยได้ยินใครถามเกี่ยวกับ กองกำลังจักรพรรดิ ซาร์เดาการ์: ว่าพวกเขามาจากที่ไหนกัน?”

       “จากดาวคุกราชทัณฑ์น่ะรึ?”

       “พวกเขามาจากที่ไหนสักแห่ง.”

       “แต่ทหารเกณฑ์สนับสนุนนั้นเป็นจักรวรรดิบัญชาโองการมา---”

       “นั่นคืออะไรที่เราถูกชักนำไปให้เชื่อ: ว่าพวกเขาเป็นแค่ทหารเกณฑ์ของจักรพรรดิถูกฝึกมาตั้งแต่ยังเด็กและเก่งกาจ.  ลูกได้ยินคำเล่าลือในบางโอกาสเกี่ยวกับการฝึกนักเรียนนายสิบทหารของจักรพรรดิ, แต่ความสมดุลย์ของอารยธรรมของเรายังคงเป็นเหมือนกัน: กองกำลังทหารแห่ง มหาราชสำนักแห่งลานสราอาด อยู่ในอีกฝ่ายหนึ่ง, ซาร์เดาการ์ และทหารเกณฑ์อยู่อีกฝ่ายหนึ่ง.  และ ทหารเกณฑ์สนับสนุนนั้น, พอล.  ซาร์เดาการ์ ยังคงเป็น ซาร์เดาการ์.”

       “แต่ทุกรายงานบน ซาลูซา เซกันดัส บอกว่า ซ.ซ. คือนรกภพ.”

       “ไม่ต้องกังขาเลย.  แต่ถ้าลูกได้กำลังจะสร้างทหารที่กร้าวแกร่ง, แข็งแรง, ดุร้าย, สถานะแวดล้อมอะไรกันล่ะที่ลูกน่าจะจัดไว้ให้กับพวกเขา?”

       “ท่านพ่อจะเอาชนะได้รับความภักดีจากพวกเขาได้อย่างไรกัน?”

       “มีหนทางที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว: เล่นไปกับความรู้ที่แน่ชัดของความเหนือกว่า, ความลึกลับของพันธสัญญาลับของพวกเขา, จิตวิญญาณที่แบ่งปันความทุกข์ทรมานร่วมกัน.  มันสามารถทำได้สำเร็จ.  มันได้ถุกทำสำเร็จบนหลายพิภพในหลายกาลเวลา.”

       พอล พยักหน้ารับ, กุมความสนใจของเขาอยู่ที่ใบหน้าของบิดาตน.  เขารู้สึกได้ถึงความเปิดเผยที่แสดงออกมาให้เห็น.

       “พิจารณา อาร์ราคิส สิ,” ดยุค บอก.  “เมื่อลูกออกไปด้านนอกเมืองและยังหมู่บ้านกองโจร, มันเป็นทุกอย่างของสถานที่ที่เดือดร้อนสาหัสอันตรายเหมือนเช่น ซาลูซา เวกันดัส.”

       พอล ตาเบิกกว้าง.  “พวกฟรีเมน รึ?”

       “เรามีนั่นกองกำลังที่มีศักยภาพแข็งแกร่งและดุร้ายอันตรายเท่ากันกับ ซาร์เดาการ์.  มันจะต้องการความอดทนที่จะใช้ประโยชน์พวกเขาลับๆและมั่งคั่งที่จะเพิ่มเครื่องมือให้กับพวกเขาอย่างเหมาะสม.  แต่พวกฟรีเมนอยู่ที่นั่น.....และเครื่องเทสอุดมมั่งคั่งอยู่ที่นั่น.  ลูกเห็นในตอนนี้แล้วว่าทำไมเราถึงต้องเดินเข้าไปสู่ อาร์ราคิส, ทั้งที่รู้ว่ากับดักอยู่ที่นั่น.”

       “พวกฮาร์คอนเนนส์ไม่รู้เกี่ยวกับพวกฟรีเมนรึ?”

       “พวกฮาร์คอนเนนส์ดูถุกพวกฟรีเมน, ไล่ล่าพวกเขาเป็นเกมกีฬา, ไม่เคยที่จะใส่ใจในการพยายามยอมรับนับถือพวกนั้น.  เรารู้จักนโยบายของพวกฮาร์คอนเนนส์กันดีในเรื่องประชากรของพิภพ---ใช้จ่ายให้น้อยที่สุดในการคงรักษาพวกนั้นเอาไว้.”

       เส้นสายโลหะในตราเครื่องหมายเหยี่ยวที่หน้าอกบิดาของเขาแวววาววับขึ้นเมื่อ ดยุค ขยับท่าทางตำแหน่ง.  “ลูกเข้าใจแล้วนะ?”

       “เรากำลังเจรจาต่อรองกับพวกฟรีเมนในตอนนี้,” พอล พูด.

       “พ่อได้ส่งคณะผู้แทนนำโดย ดันแคน ไอดาโฮ ไป,” ดยุค บอก.  “ชายผู้ดุดันและทะนงตน, ดันแคน, แต่ชื่นชอบในความสัจจริง.  พ่อคิดว่าพวกฟรีเมนจะนิยมยกย่องเขา.  ถ้าเราโชคดี, พวกเขาอาจจะตัดสินเราโดยตัวเขา: ดันแคน, ผู้ทรงธรรม.”

       “ดันแคน, ผู้ทรงธรรม” พอล พูด,  “และ เกอร์นีย์ ผู้องอาจ.”

       “ลูกตั้งนามให้พวกเขาได้ดี,” ดยุค พูด.

       และ พอล คิด: เกอร์นีย์ เป็นหนึ่งในที่ แม่อธิการ หมายถึง, ผู้สนับสนุนแห่งพิภพทั้งหลาย---“... ความองอาจของผู้กล้า.”

       “เกอร์นีย์บอกกับพ่อว่าลูกทำได้ดีกับการใช้อาวุธในวันนี้,” ดยุค บอก.

       “นั่นไม่ใช่อะไรที่เขาบอกกับข้าเลยนี่.”

       ท่านดยุคหัวเราะดังลั่น.  “พ่อคาดว่า เกอร์นีย์ คงมัธยัสถ์คำชมของเขา.  เขาบอกว่าลูกมีความตระหนักรู้ได้ดี—ตามคำของเขาเอง—ของความแตกต่างระหว่างคมดาบและปลายแหลมของมัน.”

       “เกอร์นีย์ บอกว่าไม่มีศาสตร์ศิลป์ใดในการฆ่าด้วยปลายดาบ, กับที่มันควรจะได้ทำด้วยคมดาบ.”

       “เกอร์นีย์ เป็นคนโรแมนติค,” ท่านดยุคกร่นในลำคอ.  การคุยถึงเรื่องการฆ่ากวนใจเขาขึ้นมาในทันใด, มาจากบุตรชายของเขาเอง.  “พ่อจะยังไม่ให้ลูกต้องฆ่าฟันในเร็ววันนี้...แต่ถ้าความจำเป็นได้บังเกิดขึ้น, ลูกทำมันไม่ว่าลูกจะทำอย่างใดก็ตาม—ไม่ว่าจะปลายดาบหรือคมดาบ.” เขาแหงนหน้าขึ้นมองหลังคารโปร่งแสง, ที่ซึ่งสายฝนกำลังสาดกระหน่ำใส่ลงมาอยู่.

       มองเห็นทิศทางที่บิดาของเขากำลังจ้องมองไปอยู่, พอล คิดถึงท้องฟ้าเปียกฉ่ำข้างนอกนั้น—สิ่งที่ไม่มีวันได้เห็นบนพิภพอาร์ราคิสจากทุกแง่มุมไหน—และความคิดถึงเรื่องของท้องฟ้าพวกนี้พาให้เขาเข้าไปในหก้วงกังวลถึงอวกาศไกลโพ้นนั้น.  “ยานอวกาศของ กิลด์ ใหญ่โตจริงๆหรือครับ?” เขาถาม.

       ดยุคหันมามองยังเขา.  “นี้จะเป็นการเดินทางออกไปนอกดาวเคราะห์ครั้งแรกของลูก,” เขาพูด.  “ใช่, ยานพวกนั้นใหญ่โต.  เราจะได้ขี่ไปบนยานลำเลียงสินค้าไฮไลเนอร์ เพราะว่ามันเป็นการเดินทางที่ยาวนาน.  ยานไฮไลเนอร์นี้ใหญ่โตมากจริงๆ.  ความจุของมันบรรทุกยานรบฟีเกทและสัมภาระทั้งหมดของเราเข้าไปได้แค่ที่มุมเล็กๆ—เราจะเป็นแค่ส่วนเล็กๆของรายการสินค้าของเรือยานนั้น.”

       “และเราจะไม่สามารถไปจากยานรบฟรีเกทของเราได้หรือ?”

       “นั่นเป็นส่วนหนึ่งของราคาที่เจ้าต้องจ่ายสำหรับความปลอดภัยของ กิลด์.  มันอาจมียานของฮาร์คอนเนอยู่เคียงไปกับเราและเราไม่ต้องไปกลัวอะไรจากพวกเขา.  พวกฮาร์คอนเนนส์รู้ดีไปกว่านั้นที่จะเสี่ยงต่อสิทธิพิเศษในการขนส่งสินค้าของพวกเขา.”

       “ข้าจะเฝ้าดูจอภาพของเราและพยายามที่จะมองหา กิลด์แมน สักราย.”

       “เจ้าจะไม่.  ไม่แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ของพวกเขาจะได้เคยเห็น กิลด์แมน.  พวกกิลด์นั้นหวงแหนความเป็นส่วนตัวของพวกตนเช่นเดียวกับที่มันเป็นกิจการผูกขาดนี้. อย่าได้ทำอะไรที่เสี่ยงอันตรายต่อสิทธิพิเศษในการขนส่งสินค้าของเรา, พอล.”

       “ท่านพ่อคิดว่าพวกเขาหลบซ่อนจากเราเพราะว่าพวกเขากลายพันธุ์และไม่ได้ดูเป็น...มนุษย์อีกต่อไปแล้วไหมครับ?”

       “ใครจะรู้ได้ล่ะ?” ดยุค ยักไหล่.  “มันเป็นความลึกลับที่เราไม่อยากจะคลี่คลายรู้หรอก.  เรามีปัญหาในขณะนี้มากมายยิ่งกว่า—และในท่ามกลางพวกนั้น: คือเจ้า.”

       “ข้ารึ?”

       “มารดาของเจ้าต้องการให้ข้าเป็นคนที่จะบอกกับเจ้า, เจ้าหนู.  เห็นไหม, เจ้าอาจมีความสามารถคุณสมบัติของ เมนทาต.”

       พอล จ้องยังบิดาของเขา, ไม่สามารถจะพูดอะไรออกมาได้ไปชั่วขณะ, นั้น: “ เมนทาต? ข้ารึ? แต่ข้า.....”

       “ฮาวัต เห็นด้วย, เจ้าหนู.  มันเป็นความจริง.”

       “แต่ข้าคิดว่าการฝึกฝน เมนทาต จำเป็นต้องเริ่มต้นระหว่างวัยทารกและเป้าหมายไม่สามารถที่จะถุกบอกได้เพราะว่ามันอาจจะกั้นขวางในตอนต้น.....” เขาหยุดชะงักลง, เหตุการณ์สำคัญในอดีตของเขาทั้งหมดเข้ามารวมสู่สมาธิในเป็นหนึ่งของการคำนวณขึ้นวาบเดียวนั้น.  “ข้าเข้าใจแล้ว,” เขาบอก.

       “วันเวลามาถึงแล้ว” ดยุค พูด, “เมื่อศักยภาพของความเป็นเมนทาตอะไรที่ต้องเรียนรู้ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว.  มันก็จะไม่นานที่จะเสร็จสิ้นลงสู่เขา.  เมนทาต นั้นต้องแบ่งปันในโอกาสเลือกว่าจะดำเนินการต่อไปหรือว่าเลิกละไปหรือไม่ในการฝึกฝน.  บางคนสามารถดำเนินต่อไป; บางคนมีความสามารถในมันที่จะทำได้.  มีเพียงเมนทาตที่มีศักยภาพเท่านั้นที่สามารถบอกเรื่องนี้ได้ให้แน่ชัดเกี่ยวกับตัวตนของเขาเอง.”

       พอล ถูคางของเขา. การฝึกฝนพิเศษทั้งหลายจาก ฮาวัต และมารดาของเขา—การช่วยความจำ, การเพ่งสมาธิไปยังเจตสิก, การควบคุมกล้ามเนื้อและความเฉียบแหลมของผัสสะ, การศึกษาของภาษาทั้งหลายและสำเนียงแตกต่างเล็กน้อยของการเปล่งเสียง—ทั้งหมดนี้ของมันลั่นคลิ๊กเข้าไปสู่ชนิดใหม่ของการเข้าใจในจิตใจของเขา.

       “เจ้าจะเป็น ดยุค ในวันหนึ่ง, เจ้าหนู,” บิดาของเขาพูด.  “เมนทาต ดยุค เป็นที่น่าเกรงขามจริงแท้.  เจ้าสามารถตัดสินใจได้ในตอนนี้เลย...หรือเจ้าจำเป็นต้องใช้เวลามากกว่านี้อีก?”

       ไม่มีการลังเลในคำตอบของเขา.  “ข้าจะดำเนินไปต่อกับการฝึกฝน.”

       “น่าเกรงขามจริงๆ,” ดยุค พึมพัม, และ พอล มองเห็นรอยยิ้มอย่างพากภูมิใจบนใบหน้าของบิดาของเขา.  รอยยิ้มนั้นทำให้ พอล ตกตะลึง: มันมีท่าทางเหมือนหัวกะโหลกร้ายบนร่างบอบบางของดยุค.  พอล หลับตาของเขาลง, รู้สึกได้ถึงเจตจำนงร้ายกาจตื่นฟื้นขึ้นมาอีกภายในกายของเขา.  บางทีการเป็น เมนทาต นั้นเป็นเจตจำนงร้ายกาจ, เขาคิด.

       แต่แม้กระทั่งขณะที่เขาเพ่งสมาธิไปบนความคิดของเขา, เจตสิกใหม่ของเขาได้ปฏิเสธมัน.