หน้าเว็บ

วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2564

แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต - ดูน พิภพทราย (43)

 

         และวันนั้นได้รุ่งอรุณเมื่ออาร์ราคิสทอดนอนอยู่ที่จุดศูนย์หมุนวนแห่งเอกภพด้วยกงล้อถูกตั้งไว้ที่จะหมุนรอบ.

---จาก “การตื่นขึ้นของ อาร์ราคิส” โดย เจ้าหญิงอีร์อูลาน

        

         “ท่านดูที่สิ่งนั้นทีสิ!สติลจาร์กระซิบ.

         พอลนอนอยู่ข้างเขาในร่องยาวของหินสูงบนริมขอบกำแพงโล่พลัง, ตาตรึงอยู่กับก้องส่องทางไกลเก่าเก็บของฟรีเมน. เลนส์น้ำมันถูกปรับจุดเพ่งมองอยู่ที่เรือยานขนส่งอวกาศที่แสดงตัวปรากฏอยู่โดยแสงรุ่งอรุณในแอ่งใต้ล่างของพวกเขา. ใบหน้าสูงตะวันออกของเรือยานนั้นระยิบระยับในแสงแบนราบของดวงอาทิตย์, แต่เงาด้านข้างยังคงแสดงรูช่องท่าสีเหลืองทั้งหลายจากลูกโคมเรืองแสงของตอนราตรี. โพ้นเลยเรือยานนั้นไป, นครแห่งอาร์ราคีนนอนอยู่เยือกเย็นและเป็นประกายในแสงของดวงอาทิตย์ทางตอนเหนือ.

         มันไม่ใช่ยานขนส่งนั้นที่ทำให้สติลจาร์ตื่นเต้นหวาดกลัว, พอลรู้, แต่เป็นโครงสร้างที่ซึ่งยานขนส่งนั้นเป็นท่าเทียบศูนย์กลางหลักเพียงที่เดียว. หมู่กระท่อมโลหะโดดเดี่ยว, สูงหลายชั้น, เอื้อมออกไปในวงกลมราวหนึ่งพันเมตรจากฐานของยานขนส่ง---กระโจมที่ประกอบกันเข้าด้วยแผ่นโลหะทั้งหลาย---สถานที่พักชั่วคราวสำห้ากองพลของซาร์เดาการ์และฝ่าบาทองค์จักรพรรดิ, จักรพรรดิ ปาดิชาห์ ที่ 4.

         จากตำแหน่งของเขานั่งยองอยู่ทางด้านซ้ายมือของพอล, เกอร์นีย์ ฮัลเล็คพูด: “ข้านับได้เก้าชั้นกับมัน. ต้องเป็นค่อนข้างเล็กน้อยของซาร์เดาการ์ที่ในนั้น.

         “ห้ากองพล,” พอลพูด.

         “มันเริ่มแสงสว่างแล้ว,” สติลจาร์บ่นขู่. “เราชอบมันไม่, ท่านกำลังเผนเปิดตัวเอง, มวดดิบ. เราถอยกลับเข้าไปในหหินตอนนี้กันเถิด.”

         “ข้าปลอดภัยอย่างสมบูรณ์ที่นี่,” พอลพูด.

         “เรือนั่นติดอาวุธยิงวิถีโค้ง,” เกอร์นีย์พูด.

         “พวกเขาเชื่อว่าปกป้องเราไว้ได้แล้วด้วยโล่พลังทั้งหลายนี้,” พอลพูด. “พวกเขาจะไม่เสียเปล่ากับการยิงใส่อะไรที่ไม่สามารถระบุสามรายหรือแม้กระทั่งพวกมันเห็นเราก็ตาม.”

         พอลเหวี่ยงกล้องส่องทา

ไกลเพื่อกวาดไล่กำแพงทางด้านไกลออกไปนั้นของแอ่ง, มองเห็นหน้าผาปุปะเว้าแหว่งทั้งหลาย, ลอยลาดเลื่อนที่คือเครื่องหมายของสุสานฝังศพของกองกำลังมากมายของบิดาตน. และเขาได้มีสัมผัสรู้สึกในชั่วชณะนั้นถึงความเหมาะเจาะของสิ่งทั้งหลายที่เงาของทหารพวกนั้นน่าจะกำลังมองลงมาดูในชั่วขณะนี้. ป้อมปราการของพวกฮาร์คอนเนนและเมืองทั้งหลายตัดผ่านข้ามแผ่นดินโล่ห์พลังทั้งหลายทอดนอนอยู่ในมือของฟรีเมนหรือตัดขาดออกไปจากแหล่งต้นทางของมันเหมือนเส้นฟางขาดแหลกออกจากกอและถูกปล่อยทิ้งให้เหี่ยวแห้ง. มีเหลือเพียงแอ่งนี้และนครในนี้เท่านั้นที่ยังคงอยู่กับศัตรู.

         “พวกมันอาจจะพยายามฝ่าวงล้อมเข้ามาโจมตีด้วยยานธ็อปเปอร์,” สติลจาร์พูด. “ถ้าพวกมันเห็นเรา.”

         “ให้พวกมันทำ,” พอลพูด. “เรามีจะได้มีธ็อปเปอร์ให้เผากันในวันนี้.....และเรารู้ว่าพายุกำลังจะมา.”

         เขาเหวี่ยงกวาดกล้องส่องทางไกลไปทางด้านไกลของสนามบินอากาศยานแห่งอาร์ราคีนในตอนนี้, ไปยังยานเรือพิฆาตของฮาร์คอนเนนที่เรียงแถวอยู่ที่นั้นพร้อมด้วยป้ายริ้วธงของ โชอัม กัมปะนี โบกสะบัดแผ่วเบาจากเสารายของพวกมันบนพื้นดินใต้ยานเรือพิฆาตเหล่านั้น. และเขาคิดถึงความสิ้นหวังที่ได้บีบบังคับให้พวกกิลด์อนุญาตยอมให้สองเหล่าของยานพวกนี้ลงสู่พื้นขณะที่ลำอื่นๆถูกเก็บสำรองเอาไว้. กิลด์เป็นเหมือนคนที่กำลังทดสอบทรายด้วยนิ้วหัวแม่เท้าของเขาเพื่อวัดตรวจอุณหภูมิของมันก่อนที่จะตั้งกระโจมขึ้น.

         “มีสิ่งใดใหม่ที่มองเห็นได้จากที่นี้หรือ?” เกอร์นีย์ถาม. “เราน่าจะเข้าไปในใต้ที่กำบังได้แล้ว. พายุกำลังมา.”

         พอลหันความสนใจของเขากลับมายังป้อมกระท่อมยักษ์นั้น. “พวกมันกระทั่งนำเอาผู้หญิงของพวกมันมาด้วย,” เขาพูด. “และพวกขี้ข้าและพวกคนรับใช้. อ้า-ห-ห, จักรพรรดิที่รักของข้า, ท่านช่างมั่นอกมั่นใจในตนเองแท้.”

         “มีคนกำลังขึ้นมาตามเส้นทางลับ,” สติลจาร์พูด. “มันอาจบางทีเป็นโอธียัมกับคอร์บากำลังกลับมา.”

         “เอาละ, สติล,” พอลพูด. “เราจะกลับกันแล้ว.”

         แต่เขามองอีกเป็นครั้งสุดท้ายไปรอบๆผ่านกล้องส่องทางไกลนั้น---ศึกษาถึงแผนผังกับเรือยานเหล่านั้นของมันที่จอดอยู่, หอกระท่อมโลหะเลื่อมระยิบพวกนั้น, เมืองที่เงียบสงัด, ยานเรือพิฆาตของนักรบรับจ้างฮาร์คอนเนน. แล้วเขาก็ไถลเลื่อนกลับหลังอ้อมเนินหินชันนั้น. ตำแหน่งที่นั้นของเขาถูกแทนด้วยยามรักษาการณ์ฟีเดย์คินผู้หนึ่ง.

         พอลรีบเร่งเข้าไปในช่องแคบยุบเข้าไปในผิวหน้าของกำแพงโล่ห์. มันเป็นสถานที่ราวสามสิบเมตรในเส้นผ่าศูนย์กลางและลึกเกือบสามเมตร, รูปรอยธรรมชาติของก้อนหินที่ฟรีเมนได้หลบซ่อนอยู่ภายใต้ที่ปกปิดอำพรางสลัวนี้. เครื่องมือการสื่อสารถูกวางอยู่เป็นกลุ่มรอบรูหลุมหนึ่งในผนังด้านขวามือ. ยามฟีเดย์คินทั้งหลายเคลื่อนพลผ่านช่องเว้าเวิ้งนี้รอคอยคำบัญชาการของ มวดดิบให้บุกโจมตี.

         สองคนโผล่พรวดจากรูหลุมนั้นข้างเครื่องมือสื่อสาร, พูดไปยังยามรักษาการณ์ที่นั่น.

         พอลจ้องมองยังสติลจาร์, พยักหน้าปทางทหารสองคนนั้น. “รับรายงานมาจากพวกนั้นที, สติล.”

         สติลจาร์เคลื่อนไปอย่างเชื่อฟัง.

         พอลหมอบกายลงโดยให้หลังพิงกับก้อนหิน, เหยียดกล้ามเนื้อของเขา, หยัดหลังตรงขึ้น. เขาเห็นสติลจาร์ส่งทหารสองคนนั้นกลับเข้าไปในรูหลุมมืดในก้อนหิน, คิดถึงเรื่องการปีนไต่ลงไกลตามอุโมงค์แคบที่คนได้ทำขึ้นไปยังพื้นล่างของแอ่ง.

         สติลจาร์เดินข้ามมาหาพอล.

         “อะไรที่สำคัญนักหรือที่เขาไม่สามารถส่งข่าวด้วยซีเอลาโก(cielago – ค้างคาวนำสาส์น)?” พอลถาม.

         “พวกเขาเก็บรักษานกทั้งหลายของเขาเอาไว้สำหรับใช้ในการรบ,” สติลจาร์พูด. เขาเหลือบมองที่อุปกรณ์สื่อสาร, กลับมาที่พอล. “แม้กระทั่งด้วยคลื่นควบแน่น, มันก็ผิดที่จะใช้สิ่งเหล่านั้น, มวดดิบ. พวกมันสามารถค้นพบท่านโดยการตรวจหาทิศทางการปล่อยประจุของมันได้.”

         “พวกมันในไม่ช้าก็จะยุ่งวุ่นวายอยู่กับการค้นหาข้า,” พอลพูด. “ทหารพวกนั้นรายงานมาว่าอย่างไรบ้าง?”

         “สัตว์เลี้ยงซร์เดาการ์ของเราได้ถูกปล่อยไว้ใกล้ช่องเก่าแก่ต่ำอยู่ระหว่างบนชายขอบและอยู่ในเส้นทางของพวกมันไปหานายของมัน. เครื่องปล่อยจรวดและอาวุธวิถีโค้งอื่นๆถูกติดตั้งไว้เข้าที่แล้ว. ผู้คนกำลังระดมพลตามที่ท่านบัญชาไป. มันเป็นไปตามกิจวัตรทั้งหมด.”

         พอลชำเลืองข้ามอ่างช่องแคบนั้น, ศึกษาคนของเขาในแสงสว่างผ่านเครื่องกรองทำไว้ให้สอดคล้องกับการปกปิดอำพรางตน. เขารู้สึกได้ว่าถึงเวลาที่กำลังคืบคลานเหมือนแมลงทำงานในหนทางของมันข้ามไปตามก้อนหินเปิดโล่ง.

         “มันจะทำให้ซาร์เดาการ์เสียเวลาไปบ้างเล็กน้อยในการเดินเท้าก่อนที่พวกมันจะสามารถส่งสัญญาณไปถึงยานลำเลียงพลได้,” พอลพูด. “พวกมันถูกเฝ้าจับตาดูไว้แล้วนะ?”

         “พวกมันถูกเฝ้าดูไว้อยู่,” สติลจาร์พูด.

         ข้างตัวของพอล, เกอร์นีย์ ฮัลเล็คกระแอมในลำคอของตน. “เราไมดีที่สุดกว่าที่จะไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยหรอกหรือ?”

         “ไม่มีสถานที่เช่นนั้นหรอก?” พอลพูด. “รายงานสภาพอากาศยังพอช่วยหาได้บ้างไหม?”

         “มหามารดาพายุกำลังมา,” สติลจาร์พูด. “ท่านไม่สามารถรู้สึกถึงมันได้หรือ, มวดดิบ?”

         “อากาศรู้สึกว่าปั่นป่วนจริงๆ,” พอลยอมรับ. “แต่ข้าชอบความแน่นอนที่เสาตรวจวัดสภาพอากาศมากว่า.”

         “พายุจะมาถึงที่นี่ในราวหนึ่งชั่วโมง,” สติลจาร์พูด. เขาพยักหน้าไปยังช่องว่างที่มองออกไปเห็นหอกระโจมของจักรพรรดินั้นและยานเรือพิฆาตของฮาร์คอนเนน. “พวกเขารู้นั่นด้วย, เช่นกัน. ไม่ใช่แค่ยานธ็อปเปอร์ในท้องฟ้า. ทุกอย่างถูกดึงเข้าเก็บและตรึงมัดลงแน่น.  พวกเขาได้มีรายงานกับสภาวะอากาศจากเพื่อนของพวกเขาในอวกาศ.”

         “มีพวกลาดตระเวนออกมาไล่หาบ้างไหม?” พอลถาม.

         “ไม่มีเลยตั้งแต่การลองจอดเมื่อคืนที่ผ่านมา,” สติลจาร์พูด. “พวกเขารู้ว่าเราอยู่ที่นี่. ข้าคิดว่าในตอนนี้พวกเขารอคอยที่จะเลือกเวลาเหมาะกับของพวกมันเอง.”

         “เราเลือกเวลานั้น,” พอลพูด.

         เกอร์นีย์เหลือบมองขึ้นไปข้างบน, ก่นคำราม: “ถ้าพวกมันให้เราทำ.”

         “กองเรือนั่นจะต้องอยู่ในอวกาศ,” พอลพูด.

         เกอร์นีย์สั่นศีรษะของตน.

         “พวกเขาไม่มีทางเลือก,” พอลพูด. “เราสามารถทำลายเครื่องเทศนี้ได้. พวกกิลด์ไม่กล้าเสี่ยงในเรื่องนั้น.”

         “ผู้คนที่สิ้นหวังเป็นสิ่งอันตรายมากที่สุด,” เกอร์นีย์พูด.

         “เราไม่สิ้นหวังหรือ?” สติลจาร์พูด.

         เกอร์นีย์ขู่ใส่เขา.

         “เจ้าไม่ได้อาศัยอยู่กับความฝันของชนฟรีเมน,” พอลเตือนให้ระวังตัว. “สติลกำลังคิดถึงบรรดาน้ำทั้งหมดที่เราได้ใช้ในการให้สินบนไปแล้ว, หลายปีของการรอคอยที่เราได้เพิ่มให้ก่อนที่อาร์ราคิสจะสามารถเติบโตผลิบาน. เขาไม่ได้---”

         “อ๊ารรรจห์,” เกอร์นีย์ก่นคำราม.

         “ทำไมเขาถึงช่างอารมณ์เสียเช่นนี้นัก?” สติลจาร์ถาม.

         “เขามักจะอารมณ์ขุ่นมัวเสมอก่อนการสู้รบ,” พอลพูด. “มันเป็นแค่รูปแบบของอารมณ์ขันดีๆของเกอร์นีย์ที่อนุญาตให้กับตัวเอง.”

         อย่างช้าๆ, รอยยิ้มเยี่ยงสุนัขป่าแผ่พาดใบหน้าของเกอร์นีย์, ฟันเผยซี่ขาวเรียงเหนือที่ครอบปากของชุดสติลล์สูทของเขา. “มันทำให้ข้าขุ่นมัวมากที่คิดกับบรรดาวิญญาณน่าสงสารทั้งหมดของพวกฮาร์คอนเนนที่เราจะเด็ดฆ่าไปสดๆ,” เขาพูด.

         สติลจาร์หัวร่อในลำคอ. “เขาพูดคุนเหมือนฟีเดย์คิน.”

         เกอร์นีย์เป็นหน่วยโจมตีมรณะมาแต่กำเนิด,” พอลพูด. และเขาคิด: ใช่, ปล่อยให้พวกเขาสาระวนอยู่ในจิตใจของพวกเขาด้วยการพูดคุยเล็กๆน้อยๆก่อนที่เราทดสอบตัวเราเองต่อกองกำลังนั่นบนพื้นราบ.  เขามองผ่านช่องว่างในผนังหินนั้นออกไปและกลับมาที่เกอร์นีย์, พบว่านักรบ-วณิพกนั้นได้เริ่มก่นขู่คำรามในคอต่อไปใหม่อีก.

         “ความกังวลนั้นลดทอนกำลัง,” พอลพึมพำ. “เจ้าเคยบอกกับข้ามาครั้งหนึ่ง, เกอร์นีย์.”

         ดยุคของข้า,” เกอร์นีย์พูด, “หัวหน้าความกังวลของข้าก็คือระเบิดปรมาณู. ถ้าท่านใช้พวกมันที่จะระเบิดรูในกำแพงโล่ห์.....”

         “ผู้คนเหล่านั้นที่อยู่ข้างบนนั้นจะไม่ใช่ระเบิดปรมาณูกับเรา,” พอลพูด. “พวกเขาไม่กล้าหรอก.....และสำหรับเหตุผลเดียวกันคือพวกเขาไม่สามารถเสี่ยงต่อการที่เราจะทำลายแหล่งทรัพยากรเครื่องเทศนี้.”

         “แต่จคำสั่งห้ามต่อ---”

         “คำสั่งห้าม!พอลคำราม. “มันคือความกลัว, ไม่ใช่คำสั่งห้ามอะไรที่คอยกันให้ราชสำนักทั้งหลายไว้ออกจากการเขวี้ยงระเบิดปรมาณูใส่กันและกัน. ภาษาของมหาราชสภานั้นชัดเจนเพียงพอ: การใช้ระเบิดปรมาณูต่อมนุษย์จะถือว่ามีความผิดฐานลบล้างกฎหมายระหว่างพิภพ. เรากำลังจะระเบิดกำแพงโล่พลัง, ไม่ใช่มนุษย์.”

         “มันดีเกินไปในจุดนั้น,” เกอร์นีย์พูด.

         “นักแยกแยะละเอียด-ประณีตทั้งหลายข้างบนนั่นจะยินดีต้อนรับในจุดใดๆทั้งนั้น,” พอลพูด. “เลิกคุยกันถึงเรื่องนี้กันอีกเถิด.”

         เขาหันไป, หวังว่าเขาจะรู้สึกมั่นใจได้เช่นนั้นจริงๆ. ในทันทีนั้น, เขาพูด: “อะไรเกี่ยวกับประชาชนในนครนั่นล่ะ? พวกเขาอยู่ในตำแหน่งกันแล้วหรือ?”

         “ใช่,” สติลจาร์พึมพำบ่น.

         พอลมองดูเขา. “อะไรกัดกินท่านอยู่รึ?”

         “ข้าไม่เคยรู้เลยว่าคนเมืองพวกนั้นจะสามารถไว้วางใจได้อย่างสมบูรณ์,” สติลจาร์พูด.

         “ข้าเคยเป็นคนเมืองด้วยตนเองมาครั้งหนึ่ง.” พอลพูด.

         สติลจาร์ตัวแข็ง. ใบหน้าของเขามืดคล้ำลงด้วยเลือดฉีด. “มวดดิบรู้ว่าข้าไม่ได้หมายความเช่น---”

         “ข้ารู้ว่าท่านหมายความถึงอะไร, สติล. แต่การทดสอบของคนนั้นไม่ใช่อะไรอย่างที่ท่านคิดว่าเขาจะทำ. มันคืออะไรที่เขาได้ทำจริงๆ. พวกคนเมืองเหล่านี้มีเลือดฟรีเมน. มันเป็นแค่พวกเขายังไม่ได้เรียนรู้ว่าจะหลบหนีจากโซ่ตรวนของพวกเขาได้อย่างไร. เราจะสอนพวกเขา.”

         สติลจาร์พยักหน้า, พูดในน้ำเสียงสลดใจ: “เป็นนิสัยชั่วชีวิต, มวดดิบ. บนทุ่งสุสานเราได้เรียนรู้ที่จะดูแคลนพวกคนแห่งชุมชนทั้งหลาย.”

         พอลเหลือบมองยังเกอร์นีย์, เห็นเขากำลังศึกษาดูสติลจาร์อยู่. “บอกเราสิ, เกอร์นีย์, ทำไมพวกคนเมืองข้างล่างนั้นถูกต้อนจากบ้านเรือนของพวกเขาโดบพวกซาร์เดาการ์?”

         “ลูกไม้เก่าแก่, ท่านดยุคของข้า. พวกเขาคิดจะโยนภาระมาให้เราด้วยผู้ลี้ภัย.”

         “มันได้นานมาแล้วตั้งแต่พวกกองโจรปฏิบัติการได้ผลที่ผู้ยิ่งใหญ่ได้ลืมไปแล้วว่าจะต่อสู้กับพวกเขาอย่างไร,” พอลพูด. “พวกซาร์เดาการ์ได้เล่นเกมเข้ามาอยู่ในมือของเรา. พวกเขาตะครุบผู้หญิงคนเมืองบางรายไปเพื่อเกมกีฬาของตน, ประดับประดามาตรฐานการยุทธสงครามของพวกมันด้วยศีรษะของผู้ที่ต่อต้าน. และพวกมันก็ได้สร้างไข้ระบาดแห่งความเกลียดชังขึ้นในหมู่ประชาชนที่ถ้าไม่เช่นนั้นก็จะมองเฝ้ารอสงครามที่กำลังมาถึงดุจอะไรที่ไม่มีที่ไร้ความสะดวกสบายไปยิ่งกว่านี้ได้อีกแล้ว....และความเป็นไปได้ของการแลกเปลี่ยนเจ้านายทั้งหลายอีกหนึ่งชุดไปเป็นอีกชุดหนึ่ง. ซาร์เดาการ์เกณฑ์คัดสรรคนมาให้กับเราเอง, สติลจาร์.”

         “คนเมืองนั่นดูเหมือนจะกระเหี้ยนกระหือรือ,” สติลจาร์พูด.

         “ความเกลียดชังของพวกเขากำลังสดใหม่และใสชัด,” พอลพูด. “นั่นคือทำไมเราใช้พวกเขาเป็นกองกำลังสร้างความตื่นตกใจ.”

         “นักฆ่าในท่ามกลางพวกเขานั้นจะน่ากลังยิ่ง,” เกอร์นีย์พูด.

         สติลจาร์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย.

         “พวกเขาคือตัวบอกถึงแต้มต่อ,” พอลพูด. “พวกเขารู้ทุกซาร์เดาการ์การฆ่าของพวกเขาผลลัพธ์หนึ่งที่เราไม่ต้องคำนึง. เห็นไหม, ท่านสุภาพบุรุษ, พวกเขามีบางอย่างที่จะตายเพื่อแล้ว. พวกเขาได้ค้นพบว่าพวกเขาคือผู้คน. พวกเขาได้กำลังตื่นขึ้นมาแล้ว.”

         เสียงอุทานพึมพำมาจากยามเฝ้ามองที่กล้องส่องทางไกล. พอลเคลื่อนร่างไปที่รอยแยกก้อนหินนั้น: “มีอะไรที่ข้างนอกนั่นหรือ?”

         “มีการเคลื่อนไหววุ่นวายใหญ่โต, มวดดิบ,” ยามเฝ้าดูนั้นบอก. “ที่กระโจมโลหะยักษ์ร้ายนั่น. ยานผิวพื้นคันหนึ่งออกมาจากกำแพงขอบตะวันตกและมันเหมือนเหยี่ยวหนึ่งพุ่งเข้าไปหารังของนกกระทาหิน.”

         “เชลยซาร์เดาการ์ของเราได้มาถึงแล้ว,” พอลพูด.

         “พวกมันมีโล่พลังรอบสนามลงจอดยานทั้งหมดในตอนนี้,” ยามเฝ้าดูนั้นบอก. “ข้าสามารถมองเห็นอากาศกระเพื่อมเต้นระบำอยู่กระทั่งกับริมขอบของลานโกดังที่พวกมันเก็บเครื่องเทศไว้.”

         “ตอนนี้พวกมันรู้ว่าใครที่พวกมันต่อสู้อยู่,” เกอร์นีย์พูด. “ให้พวกสัตว์ฮาร์คอนเนนทั้งหลายได้ตัวสั่นและกังวลในตัวพวกมันที่อะไทรดิสยังมีชีวิตอยู่กันไปเถิด.”

         พอลพูดกับฟีเดย์คินที่ส่องกล้องทางไกลอยู่. “คอยดูเสาธงบนยอดเรือยานของจักรพรรดินั่น. ถ้าธงของข้าได้ขึ้นไปสู่ยอดเสานั้น---”

         “มันจะไม่เป็นเช่นนั้น,” เกอร์นีย์พูด.

         พอลมองเห็นใบหน้าขมวดย่นอย่างฉงนใจของสติลจาร์, พูด: “ถ้าจักรพรรดิจดจำได้ถึงการเรียกร้องอ้างสิทธิของข้า, เขาจะส่งสัญญาณโดยการฟื้นคืนธงของอะไทรดิสต่ออาร์ราคิส. เราจะใช้แผนที่สองตอนนั้น, เคลื่อนเข้าจัดการต่อพวกฮาร์คอนเนนส์เท่านั้น. พวกซาร์เดาการ์จะยืนอยู่ด้านข้างและปล่อยให้เราลงลงมือแก้ปัญหากับเรื่องราวของพวกเรากันเอง.”

         “ข้าไม่มีประสบการณ์รับรู้กับเรื่องของชาวนอกพิภพแบบนี้,” สติลจาร์พูด. “ข้าเคยได้ยินเรื่องพวกนั้น, แต่มันดูไม่เหมือนกับ---”

“เจ้าไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์หรอกที่จะรู้ว่าพวกมันกำลังจะทำอะไร,” เกอร์นีย์พูด.

“พวกมันกำลังส่งธงใหม่ขึ้นไปสู่ยอดเสาบนเรือสูงนั่น,” ยามเฝ้าดูพูด. “ธงนั่นสีเหลือง...มีวงกลมสีดำกับสีแดงอยู่ตรงกลาง.”

“เป็นการทำธุรกิจชิ้นนี้ที่ละเอียดประณีตยิ่ง,” พอลพูด. “ธงของ โชอัม กัมปะนี.”

“มันเป็นเหมือนเช่นเดียวกับธงที่อยู่บนเรือยานอื่นๆ,” ยามฟีเดย์คินนั้นพูด.

“ข้าไม่เข้าใจ,” สติลจาร์พูด.

“งานธุรกิจที่ละเอียดประณีตจริงแท้เลย,” เกอร์นีย์พูด. “ถ้าเขาส่งธงอะไทรดิสขึ้นไปสู่ยอดเสานั้น, เขาก็ต้องมีชีวิตอยู่กับอะไรที่นั่นหมายถึง. มีผู้สังเกตการณ์อยู่มากหลายเกี่ยวกับเรื่องนี้เกินไป. เขาสามารถส่งสัญญาณกับธงพวกฮาร์คอนเนนกับคณะทำงานของเขา---การประกาศตนอย่างอย่างราบเรียบที่ควรจะเป็น. แต่ไม่---เขากลับส่งผ้าขี้ริ้วของโชอัมขึ้นไป. เขากำลังบอกต่อผู้คนข้างบนนั้นว่า.....” เกอร์นีย์ชี้ขึ้นไปยังอวกาศ. “.....ที่ไหนเป็นจุดทำกำไร. เขากำลังพูดว่าเขาไม่ใส่ใจว่ามันจะมีอะไทรดิสอยู่หรือไม่.”

“อีกนานเท่าไร่ที่พายุจะเข้าปะทะกับกำแพงโล่พลังนี้?” พอลถาม.

สติลจาร์หันเดินออกไป, ปรึกษาคนหนึ่งของฟีเดย์คินในชามอ่าง. ทันทีนั้น, เขาก็กลับมา, พูด: “ในเร็วมากนี้, มวดดิบ. เร็วกว่าที่เราคาดเอาไว้. มันเป็นมหา-ใหญ่-มารดาทวดใหญ่ของพายุ.....บางทีกระทั่งยิ่งกว่าที่ท่านปรารถนาเอาไว้.”

“มันคือพายุของข้า,” พอลพูด, และเห็นความเงียบตื่นตระหนกอยู่บนใบหน้าของฟีเดย์คินที่ได้ยินคำพูดนั้นของเขา. “แม้ว่ามันเขย่าพิภพทั้งปวงได้มันก็จะไม่ยิ่งไปกว่าที่ข้าปรารถนามันเอาไว้. มันจะซัดเข้ากับกำแพงโล่ห์นี้เต็มที่ไหม?”

         “ใกล้เพียงพอที่จะไม่ทำความแตกต่างได้,” สติลจาร์พูด.

         ผู้นำสาส์นเดินข้ามมาจากรูช่องที่นำลงไปสู่แอ่งด้านล่าง, พูด: “หน่วยลาดตระเวนของซาร์เดาการ์และฮาร์คอนเนนกำลังถอนกลับ, มวดดิบ.”

         “พวกมันคาดหวังว่าพายุนั้นจะกระหน่ำทรายมากมายเข้าใส่แอ่งลุ่มนี้จนบดบังทัศนวิสัยไปสิ้น,” สติลจาร์พูด. “พวกมันคิดว่าเราจะถูกตรึงไว้ด้วยเช่นกัน.”

         “บอกพลปืนของเราให้จัดตั้งมุมยิงของพวกเขาให้ดีก่อนทัศนวิสัยจะลดลง.” พอลพูด. “พวกเขาต้องซัดจมูกของยานเรือเหล่านั้นทันทีที่พายุได้ทำลายโล่ห์พลังป้องกันนั้นแล้ว.” เขาก้าวไปยังผนังของชามอ่าง, ดึงกลับแผ่นพับที่ปกปิดอำพรางไว้และมองออกไปยังท้องฟ้า. หางม้าบิดม้วนของลมทรายสามารถถูกมองเห็นได้ตัดกับท้องฟ้ามืดครึ้ม. พอลปล่อยม่านกำบังปิดกลับคืน, พูด: “เริ่มต้นส่งคนของเราลงไปได้, สติล.”

         “ท่านจะไม่ไปกับเราหรือ?” สติลจาร์ถาม.

         “ข้าจะรออยู่ที่นี่อีกนิดกับฟีเดย์คิน,” พอลพูด.

         สติลจาร์ยักไหล่อย่างบอกรู้ไปยังเกอร์นีย์, เคลื่อนร่างยังช่องรูในกำแพงหิน, หายลับไปในเงามืดของมัน.

         “ไกกดที่จะระเบิดกำแพงโล่ห์นี้ให้ทะลายลงไปด้านข้าง, ที่ข้าทิ้งไว้ให้อยู่ในมือของท่าน, เกอร์นีย์,” พอลพูด. “เจ้าจะทำมันไหม?”

         “ข้าจะทำมัน.”

         พอลทำสัญญาณไปยังผู้หมวดฟีเดย์คิน, พูด:โอธียัม, เริ่มเคลื่อนที่หน่วยตรวจออกไปจากพื้นที่บริเวณระเบิดได้แล้ว. พวกเขาต้องอยู่นอกออกไปจากที่นั้นก่อนที่พายุจะเข้าปะทะ.”

         ชายนั้นโค้งคำนับ, ตามสติลจาร์ไป.

         เกอร์นีย์เอนร่างพิงกับแผ่นหิน, พูดยังยามที่อยู่กับกล้องส่องทางไกล. “คอยสนใจจับอยู่ที่กำแพงทางด้านทิศใต้. มันจะไร้การคุ้มกันอย่างสมบูรณ์สิ้นจนกระทั่งเราระเบิดมัน.”

         “ปล่อยซิเอลาโก(cielago - ค้างคาวส่งสาส์น)ไปกับสัญญาณบอกเวลา,” พอลบัญชา.

         “ยานรถพื้นดินทังหลายกำลังเคลื่อนไปทางกำแพงด้านทิศใต้,” ยามเฝ้าดูที่กล้องส่องทางไกลพูด. “บางคันกำลังใช้อาวุธวิถีโค้ง, ทดสอบ. ผู้คนของเรากำลังใช้ตัวโล่พลังดังที่ท่านได้บัญชา. ยานรถพื้นดินหยุดวิ่งแล้ว.”

         ในความเงียบสงัดทันทีนั้น, พอลได้ยินเสียงลมปีศาจทั้งหลายกำลังบรรเลงอยู่เหนือศีรษะ---แนวหน้าของพายุ. ทรายเริ่มต้นไหลลงมาสู่ชามอ่างผ่านช่องว่างทั้งหลายในที่กำบัง. การระเบิดของลมปะทะเข้ากับม่านปิดกำบัง, ฟาดกระชากมันปลิวออกไป.

         พอลส่งสัญญาณให้ฟีเดย์คินของเขาให้เข้าที่กำบัง, เดินข้ามไปหาทหารเหล่านั้นที่เครื่องมือสื่อสารทั้งหลายใกล้ปากอุโมงค์. เกอร์นีย์อยู่ที่ข้างหลังของเขา. พอลคู้กายลงเหนือพลส่งสัญญาณ.

         คนหนึ่งพูด: “มหามารดา-สุดยิ่งใหญ่ของพายุเลย, มวดดิบ.”

         พอลเลือบขึ้นมองความมืดมิดของท้องฟ้า, พูด: เกอร์นีย์, ให้คนสังเกตการณ์กำแพงทิศใต้นั่นถอนตัวออกมา.” เขาต้องทวนซ้ำคำสั่งนั้น, ตะโกนไปเหนือเสียงก่นคำรามของพายุ.

         เกอร์นีย์กันร่างไปตามคำสั่ง.

         พอลรัดสายเครื่องกรองที่ใบหน้าให้แน่นขึ้น, รัดกมวกคลุมศีรษะของชุดสติลล์สูท.

         เกอร์นีย์กลับมา.

         พอลแตะไหล่ของเขา, ชี้ไปที่ไกกดระเบิดที่ติดตั้งอยู่เข้าไปในปากอุโมงค์เลยพลส่งสัญญาณไป. เกอร์นีย์เดินเข้าไปในอุโมงค์นั้น, หยุดอยู่ที่นั่น, มือข้างหนึ่งของเขาอยู่ที่ไกกด, สายตาของเขามองมายังพอล.

         “เรารับสัญญาณข่าวอะไรไม่ได้,” พลส่งสัญญาณข้างพอลบอก. “ประจุไฟฟ้าสถิตมากเกินไป.”

         พอลพยักหน้า, คงสายตาของเขาอยู่กับน้าปัดบอกเวลา-มาตรฐานที่ตรงหน้าของพลส่งสัญญาณ. ทันทีนั้น, พอลมองไปยังเกอร์นีย์, ยกมือขึ้นข้างหนึ่ง, หันความสนใจของเขากลับมาที่น้าปัดนาฬิกา. เวลานั้นนับคืบคลานไปรอบวงจรสุดท้ายของมัน.

         “เอาเลย!พอลตะโกน, และหันมือที่ชูไว้ลง.

         เกอร์นีย์กดไกระเบิดนั้น.

         มันดูเหมือนหนึ่งวินาทีเต็มผ่านไปก่อนที่พวกเขาจะรู้สึกว่าพื้นดินใต้พวกเขาฉีกออกและเขย่า. เสียงรัวกระหึ่มเติมเข้ามาในคำรามของพายุ.

         ยามเฝ้าดูฟีเดย์คินจากกล้องส่องทางไกลปรากฏตัวขึ้นข้างพอล, กล้องส่องถูกหนีบอยู่ในซอกรักแร้ข้างหนึ่ง. “กำแพงโล่ห์แตกออกแล้ว, มวดดิบ!” เขาตะโกน. “พายุนั่นกำลังปะทะมันอยู่และพลปืนของเราเริ่มต้นยิงแล้ว.”

         พอลคิดถึงพายุที่กำลังกวาดข้ามไปทั่วแอ่งลุ่ม, ประจุไฟฟ้าสถิตภายในกำแพงของทรายที่ทำลายทุกโล่พลังป้องกันในค่ายพักของศัตรู.

         “พายุนั่น!” ใครบางคนตะโกน. “เราต้องเข้าใต้ที่กำบัง, มวดดิบ!

         พอลกลับมายังสัมผัสรู้ขึ้น, รู้สึกได้ถึงเข็มทรายทั้งหลายทิ่มแทงแก้มที่เปิดอยู่ของเขา. เราทำตามพันธะสัญญาแล้ว, เขาคิด. เขาเอาแขนโอบไหล่ของพลส่งสัญญาณ, พูด: “ทิ้งเครื่องมือเอาไว้! ยังมีอีกมากที่ในอุโมงค์นั่น.” เขารู้สึกตนเองถูกดึงออกไป, ฟีเดย์คินดันอยู่รอบร่างของเขาเพื่อปกป้องเขา. พวกเขาบีบกันเข้าไปในปากอุโมงค์, รู้สึกถึงความเงียบเชียบของมันตัดแย้ง, เลี้ยวอ้อมหัวมุมเข้าไปในห้องโถงเล็กๆด้วยลูกโคมลอยเรืองแสงทั้งหลายอยู่เหนือศีรษะและอีกอุโมงค์หนึ่งอยู่โพ้นเลยไป.

         พลส่งสัญญาณอีกรายนั่งอยู่ที่นั้นกับเครื่องมือ.

         “ประจุไฟฟ้าสถิตมากเกินไป,” ชายนั้นบอก.

         ม้วนหนึ่งของทรายเติมใส่อากาศที่รายล้อมพวกเขา.

         “ผนึกปากอุโมงค์!พอลตะโกน. แรงกดดันฉับพลันของความนิ่งสงัดแสดงถึงคำบัญชาของเขาได้รับการทำตาม. “ทางลงไปหาแอ่งลุ่มข้างล่างนั่นยังคงเปิดอยู่ไหม?” พอลถาม.

         ฟีเดย์คินกนึ่งออกไปตรวจดู, กลับมา, พูด: “การระเบิดนั่นทำใกก้อนหินเล็กๆหล่นลงมาแต่พวกวิศวกรบอว่ามันยังคงเปิดอยู่. พวกเขากำลังทำความสะอาดมันด้วยเลซบีม(lasbeams - ปืนแสงเลเซอร์ทั้งหลาย).”

         “บอกพวกเขาให้ใช้มือของตัวเอง!พอลตวาด. “มีโล่พลังทั้งหลายทำงานอยู่ที่ข้างล่างนั่นหรือเปล่า?”

         “พวกเขากำลังระมัดระวังกันอยู่ขอรับ, มวดดิบ,” ชายนั้นพูด, แต่เขาก็กันกลับออกไปตามคำสั่ง.

         พลส่งสัญญาณจากด้านนอกดันตัวผ่านพวกเขาแบกเครื่องมือไป.

         “ข้าบอกให้พวกนั้นทิ้งเครื่องมือเอาไว้ที่นั่น!พอลบอก.

         ฟรีเมนไม่ชอบละทิ้งเครื่องมือ, มวดดิบ,” หนึ่งในฟีเดย์คินของเขาติเตียน.

         “คนน่ะสำคัญกว่าเครื่องมือในตอนนี้,” พอลบอก. “เราจะมีเครื่องมือกันอีกมากยิ่งขึ้นกว่าที่เราสามารถมีได้ในไม่ช้านี้หรือก็ไม่จำเป็นต้องใช้พวกมันกันอีกต่อไป.”

         เกอร์นีย์ ฮัลเล็คเข้ามาอยู่ข้างพอล, พูด: “ข้าได้ยินพวกเขาบอกว่าทางลงข้างล่างเดอยู่.เราอยู่ใกล้กับผิวพื้นมากในที่นี้, ฝบาท, พวกฮาร์คอนเนนน่าจะพยายามตอบโต้แก้แค้นเอาได้.”

         “พวกมันไม่อยู่ในตำแหน่งที่จะตอบโต้แก้แค้นอะไรได้,” พอลพูด. “พวกมันแค่ในตอนนี้พบว่าพวกมันไม่ได้มีโล่ห์พลังป้องกันทั้งหลายแล้วและไม่สามารถที่จะหนีออกจากอาร์ราคิส.”

         “ป้อมบัญชาการใม่ได้ถูกเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว, กระนั้นด้วย, ฝบาท,” เกอร์นีย์พูด.

         “พวกเขาไม่จำเป็นต้องมีข้าในป้อมบัญชาการนั้นในตอนนี้,” พอลพูด. “แผนการจะดำเนินไปข้างหน้าโดยปราศจากข้า. เราต้องรอคอยสำหรับ---”

         “ข้ากำลังได้รับข่าว, มวดดิบ,” พลส่งสัญญาณบอกที่เครื่องมืออุปกรณ์สื่อสาร. ชายนั้นสั่นศีรษะ, กดกระบอกรับเสียงเข้ากับหูของตน. “ประจุไฟฟ้าสถิตมากเกินไป!” เขาเริ่มต้นเขียนเขี่ยลงบนแผ่นตรงน้าของเขา, ส่ายศีรษะของตนรอคอย, แล้วเขียน.....รอคอย.

         พอลข้ามไปยังด้านข้างของพลส่งสัญญาณนั้น. ฟีเดย์คินก้าวถอยหลัง, เปิดที่ว่างให้เขา. เขาก้มมองยังอะไรที่ชายผู้นั้นได้เขียนไว้, อ่าน:

         “โจมตี.....ที่ทับร์สิฐ.....ยึด.....อาเลีย(ว่าง)ครอบครับของ(ว่าง)ตายได้.....พวกเขา(ว่าง)บุตรของมวดดิบ.....”

         อีกครั้ง, พลส่งสัญญาณสั่นศีรษะของตน.

         พอลเงยหน้าขึ้นมาเห็นเกอร์นีย์กำลังจ้องมองมายังเขา.

         “ข่าวนั้นสับสนปนเป,” เกอร์นีย์พูด. “ประจุไฟฟ้าสถิต. เจ้าไม่รู้ว่านั่น.....”

         “ลูกชายของข้าตายแล้ว,” พอลพูด, และรู้ในขณะที่เขาพูดไปนั้นว่ามันเป็นความสัจจริง. “ลูกชายของข้าตายไปแล้ว.....และอาเลียถูกจับกุมตัวไว้.....เป็นตัวประกัน.” เขารู้สึกว่างเปล่า, เปลือกที่ปราศจากอารมณ์ใด. ทุกอย่างที่เขาแตะต้องนำมาซึ่งความตายและโศกเศร้า. และมันเป็นเหมือนโณคร้ายที่สามารถระบาดแพร่ข้ามไปทั่วจักรวาล.

         เขาสามารถรู้สึกได้ถึงปัญญาของชาย-ชรา, การสั่งสมออกมาจากประสบการณ์รับรู้จากความเป็นไปได้ของชีวิตทั้งหลายอย่างนับไม่ถ้วน. บางอย่างดูเหมือนที่จะหัวเราะกับตนเองและถูมือของมันภายในตัวของเขา.

         และพอลคิด: จักรวาลที่ช่างรู้เล็กน้อยเสียเหลือเกินเกี่ยวกับธรรมชาติของความโหดร้ายที่แท้จริง!

 

 

         และมวดดิบยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา, และเขาพูด: “แม้ว่าเราจะเข้าใจคิดว่าผู้ถูกจับกุมตาย, กระนั้นก็ยังที่เธอมีชีวิตอยู่. เพราะเมล็ดพันธุ์ของเธอก็คือเมล็ดพันธุ์ของข้าและวจนะของเธอก็คือวจนะของข้า. และเธอเห็นไปสู่อย่างไกลที่สุดเอื้อมของความเป็นไปได้. เย้, ไปสู่หุบเขาแห่งความไม่อาจรู้ได้ที่เธอได้เห็นก็เพราะข้า.”

---จาก “การตื่นขึ้น ของ อาร์ราคิส” โดย เจ้าหญิง อีร์อูลาน.

วันเสาร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2564

แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ต - ดูน พิภพทราย (42)

 

และมันมาถึงในปีที่สามแห่ง สงครามทะเลทราย ที่ พอล-มวดดิบ นอนทอดกายตามลำพังอยู่ใน ถ้ำคูหาแห่งเหล่านกภายใต้ คิสวา(kiswa*)แขวนลอยอยู่ข้างในห้องเล็กขัง. และเขานอนดุจผู้ที่ตายไปแล้ว, ถูกกุมติดอยู่ในวิวรณ์แห่งชีววารี, ชีวิตของเขาเปลี่ยนผ่านโพ้นเลยขอบเขตทั้งหลายแห่งกาละ/เวลาโดยยาพิษซึ่งให้ชีวิต. กระนั้นเองที่คำพยากรณ์สร้างทำความสัจจริงที่ไลสาน อัล-กาอิบ อาจเป็นได้ทั้งตายและมีชีวิต.

---“ตำนานที่ถูกรวบรวมไว้ แห่ง อาร์ราคิส” โดย เจ้าหญิงอีร์อูลาน

 

         ชานิมาถึงดานนอกของแอ่งฮับบานยะในความมืดก่อนรุ่งอรุณ, ได้ยินเสียงธ็อปเปอร์ที่นำเธอมาจากตอนใต้บินวนตีวงออกไปยังที่หลบซ่อนในความกว้างใหญ่ของแอ่งนั้น. รอบตัวเธอ, ผู้ดูแลคุ้มครองทั้งหลายรักษาระยะห่างไว้, กระจายโอบไปยังหมู่ก้อนหินของสันผาเพื่อตรวจสอบหาซึ่งอันตราย---และมอบให้แก่คู่ครองของมวดดิบ, มารดาของบุตรชายแรก, ด้วยสิ่งที่เธอได้ร้องขอไว้: ชั่วขณะที่จะเดินไปตามลำพัง.

         ทำไมเขาถึงส่งหมายเรียกข้ามา? เธอถามตัวเอง. เขาได้บอกข้าก่อนหน้านี้ว่าข้าต้องยังคงอยู่ที่มรตอนใต้กับลีโตน้อยและอาเลีย.

         เธอรวบเสื้อคลุมของเธอและกระโจนอย่างแผ่วเบาข้ามแนวกั้นของก้อนหินและขึ้นไบนเส้นทางปีนป่ายที่มีเพียงผู้ที่ฝึกฝนกับทะเลทรายมาแล้วเท่านั้นที่สามารถจดจำมันได้ในความมืด. กรวดเล็กไหลเลื่อนอยู่ใต้ฝ่าเท้าและเธอเต้นระบำข้ามพวกมันไปโดยปราศจากการพินิจพิจารณาอันจำเป็นในการคล่องแคล่วว่องไวใดเลย.

         การปีนป่ายนั้นเป็นความเบิกบานใจยิ่ง, ผ่อนคลายความหวาดกลัวที่ได้บ่มเพาะในตัวเธอมาเพราะการส่งผู้คุ้มครองดูแลอย่างเงียบงันในการออกเดินทางมาและการที่ยานธ็อปเปอร์อันล้ำค่าถูกส่งให้ไปรับเธอ. เธอรู้สึกถึงภายในร่างกระโจนไปที่ความใกล้ของการที่จะกลับมาอยู่ร่วมกันอีกกับพอล-มวดดิบ, อูซุลของเธอ. ชื่อของเขาอาจจะเป็นการกรีดร้องในการยุทธไปทั่วทั้งหมดของดินแดน: มวดดิบ! มวดดิบ! มวดดิบ!แต่เธอรู้ดีถึงชายที่แตกต่างไปด้วยชื่อที่แตกต่าง---บิดาของบุตรชายของเธอ, คนรักที่อ่อนโยน.

         ร่างใหญ่โตโผล่พรวดออกมาจากหมู่ก้อนหินเหนือเธอ, กวักมือโบกให้เธอเร็วขึ้น. เธอสาวเท้าของเธอเร่งเร็วขึ้น. นกอรุณทั้งหลายได้ส่งเสียงเรียกแล้วอยู่และลอยเข้าไปในท้องฟ้า. แสงสลัวแผ่กระจายข้ามขอบฟ้าทิศตะวันออก.

         ร่างที่อยู่เหนือเธอขึ้นไปนั้นไม่ใช่ผู้คุ้มครองของเธอเอง. โอธียัม? เธอฉงนใจ, สังเกตได้ถึงการเคลื่อนไหวและกิริยาที่คุ้นเคย. เธอขึ้นมาถึงเขา, จำได้ในแสงสว่างที่กำลังรุ่งขึ้นแผ่กว้าง, ร่างแบนเรียบของผู้หมวดฟีเดย์คิน, หมวกคลุมศีรษะของเขาถูกเหวี่ยงเปิดออกและเครื่องกรองที่ปากถูกคลายสายรัดออกในวิธีที่ใครในบางครั้งทำเมื่อเสี่ยงอันตรายอยู่ข้างนอกบนทะเลทรายในชั่วขณะหนึ่ง.

         “เร็วเข้า,” เขาทำเสียงขู่ฟ่อ, แล้วนำเธอลงไปตามช่องแตกลับของหินเข้าสู่ถ้ำคูหาที่ซ่อนหลบ. “มันจะสว่างในไม่ช้านี้แล้ว,” เขากระซิบขณะที่เขาถือประตูผนึกเปิดไว้ให้เธออยู่. “พวกฮาร์คอนเนนส่งหน่วยลาดตระเวนสะเปะสะปะออกมาถึงบางแห่งของภูมิภาคนี้ทั่วไปหมด. เราไม่กล้าเปิดโอกาสให้ถูกค้นพบในตอนนี้.”

         พวกเขาโผล่พรวดเข้ามาในทางเข้าของช่องทางเดินด้านข้างแคบๆสู่ถ้ำแห่งเหล่านก. ลูกโคมลอยแขวนเรืองแสงสว่างขึ้น. โอธียัมดันตัวผ่านเธอไป, บอก: “ตามข้ามา. เร็วด้วย, เดี๋ยวนี้.”

         พวกเขาเร่งความเร็วลงไปตามช่องทางเดิน, ผ่านประตูวาวล์อีกอันหนึ่ง, ช่องทางเดินอีกอันหนึ่งและผ่านม่านแขวนกั้นบังเข้าไปในอะไรที่ได้เป็นเวิ้งห้องของเสย์ยาดินาในหลายวันเมื่อที่นี้ได้เป็นคูหาที่พัก. พรมและหมอนอิงทั้งหลายตอนนี้ปิดคลุมไปทั่วพื้นห้อง. ม่านทอแขวนด้วยสีแดงรูปลักษณ์ของเหยี่ยวบังซ่อนผนังหินทั้งหลายไว้. โต๊ะสนามเตี้ยอยู่ที่ด้านหนึ่งถูกกองสุมอยู่ด้วยกระดาษจากที่ส่งกลิ่นอายของเครื่องเทศซึ่งแหล่งกำเนิดที่ใช้ทำขึ้น.

         แม่อธิการนั่งอยู่ตามลำพังที่ด้านตรงข้ามของทางเข้า. เธอเงยหน้าขึ้นด้วยการจ้องจากภายในที่ทำให้สั่นเทาโดยไม่สามารถลอกเลียนกันได้.

         โอธียัมกดฝ่ามือเข้าหากัน, พูด: “ข้าได้นำชานิมาแล้ว.” เขาโค้งคำนับ, ล่าถอยผ่านม่านกั้นบังออกไป.

         และเจสสิกาคิด: ข้าจะบอกกับชานิอย่างไรดีนะ?

         “หลานของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?” เจสสิกาถาม.

         แล้วมันก็ต้องเป็นการทักทายตามจารีตพิธี, ชานิคิด, และความหวาดกลัวของเธอก็กลับมา. มวดดิบอยู่ที่ไหน? ทำไมเขาถึงไม่อยู่ที่นี่เพื่อทักทายข้า?

         “เขาแข็งแรงดีและมีความสุข, ท่านแม่ของข้า,” ชานิพูด. “ข้าทิ้งเขาไว้กับอาเลียในการดุแลของฮาราห์.”

         ท่านแม่ของข้า, เจสสิกาคิด. ใช่, เธอมีสิทธิที่จะเรียกข้าเช่นนั้นในการทักทายอย่างเป็นทางการ. เธอได้ให้ข้าด้วยหลายชาย.

         “ข้าได้ยินมาว่าเสื้อผ้าของขวัญได้ถูกส่งมาจากโคอะนัวสิฐคาม,” เจสสิกาพูด.

         “มันเป็นผ้าที่น่ารักมาก,” ชานิพูด.

         อาเลียฝากข่าวสารอะไรมาด้วยบ้างไหม?”

         “ไม่มีข่าวสาร. แต่สิฐนั่นเคลื่อนไปได้ราบรื่นดียิ่งขึ้นในตอนนี้มี่ผู้คนกำลังเริ่มที่จะยอมรับความมหัศจรรย์ในตัวเธอ.”

         ทำไมเธอถึงลากเรื่องนี้ออกมาด้วยล่ะ? ชานิกังขาในใจ. บางอย่างดูจะเป็นเรื่องฉุกเฉินเหลือเกินที่พวกเขาได้ส่งยานธ็อปเปอร์ไปรับตัวข้ามา. ตอนนี้, เราได้แต่ลากผ่านพิธีการทั้งหลายไปกันอยู่.

         “เราต้องมีบางผ้าใหม่ๆบ้างมาตัดเป็นเครื่องแต่งกายทั้งหลายสำหรับลีโตน้อย,” เจสสิกาพูด.

         “ตามแต่ที่ท่านปรารถนาเถิด, ท่านแม่ของข้า,” ชานิพูด. เธอลดสาตาลงต่ำ. “มีข่าวเกี่ยวกการสงครามบ้างไหม?” เธอเก็บอาการแสดงออกทางใบหน้าที่เจสสิกาอาจไม่เห็นถึงทีท่าทรยศต่อน้ำเสียง---นั่นคือคำถามเกี่ยวกับพอล มวดดิบ.

         “ชัยชนะใหม่ทั้งหลาย,” เจสสิกาพูด. “แร็บบานได้ส่งคำโหมโรงอย่างระมัดระวังมาเกี่ยวกับการสงบศึก. ผู้ส่งสาส์นทั้งหลายต่างกลับไปโดยปราศจากน้ำของพวกตน. แร็บบานได้กระทั่งเบาภาระทั้งหลายของผู้คนในบางแห่งของหมู่บ้านในแอ่งลุ่มทั้งหลาย. แต่เขาสายเกินไป. ผู้คนรู้ว่าเขาได้ทำมันไปก็เพราะหวาดกลัวต่อเรา.”

         “เช่นนั้นมันก็ดำเนินไปดังที่มวดดิบได้พูดไว้,” ชานิพูด. เธอจ้องมองยังเจสสิกา, พยายามที่จะรักษาความกลัวไว้กับตัวเธอเอง. ข้าได้พูดชื่อของเขาไปแล้ว, แต่เธอไม่ได้ตอบสนอง. ใครก็ไม่สามารถเห็นอารมณ์ใดในหินผาเลื่อมมันที่เธอเรียกว่าใบหน้า.....แต่เธอเยือกเย็นเกินไป. ทำไมเธอช่างสงบนิ่งเหลือเกิน? อะไรได้บังเกิดขึ้นต่ออูซุลของข้าหรือ?

         “ข้าปรารถนาให้เราอยู่กันที่ทางตอนใต้,” เจสสิกาพูด. “โอเอซิสที่นั่นช่างสวยงามเหลือเกินในตอนที่เราจากมา. เจ้าไม่ได้โหยหาถึงวันที่เมื่อดินแดนทั้งปวงอาจผลิบานแบบนั้นได้หรอกหรือ?”

         “ดินแดนนั้นงดงาม, จริงๆ,” ชานิพูด. “แต่มีความเศร้าโศกอย่างมากในมัน.”

         “ความโศกเศร้าคือราคาของชัยชนะ,” เจสสิกาพูด.

         นี่เธอกำลังเตรียมตัวให้ข้าพร้อมสำหรับความโศกเศร้าหรือ? ชานิถามตนเอง. เธอพูด: “มีผู้หญิงมากมายเหลือเกินที่ปราศจากผู้ชาย. มีความอิจฉากันเมื่อมันถูกเรียนรู้ว่าข้าได้ถูกเรียกตัวมายังทางเหนือนี้.”

         “ข้าเป็นผู้ส่งหมายเรียกเจ้ามาเอง,” เจสสิกาพูด.

         ชานิรู้สึกหัวใจของเธอกำลังเต้นดุจฆ้อนทุบ. เธอต้องการที่จะเอามือปิดหูของเธอ, หวาดกลัวอย่างเต็มเปี่ยมของอะไรที่พวกเขาอาจได้ยิน. ก็ยังนิ่งอยู่, เธอรักษาน้ำเสียงเสมอราบเรียบ: “สาส์นนั้นถูกลงนามโดยมวดดิบ.”

         “ข้าลงนามมันเช่นนั้นตามการเสนอของผู้หมวดทั้งหลายของเขา,” เจสสิกาพูด. “มันเป็นอุบายหลบเลี่ยงที่จำเป็น.” และเจสสิกาคิด: นี่คือผู้หญิงที่กล้าหาญ, ของพอลของข้า. เธอยังกุมคงความพิถีพิถันแม้กระทั่งเมื่อความกลัวได้เกือบท่วมท้นเธอ.  ใช่. เธออาจเป็นผู้ที่เราจำเป็นต้องการในตอนนี้.

         มีเพียงระดับเสียงบางเบาที่สุดของการยอมรับสภาพคืบคลานเข้ามาในน้ำเสียงของชานิขณะที่เธอพูด. “ตอนนี้ท่านควรจะพูดสิ่งที่ท่านต้องพูดได้แล้ว.”

         “เจ้าเป็นที่จำเป็นต้องการที่นี่เพื่อช่วยเหลือฟื้นคืนสติให้พอล,” เจสสิกาพูด. และเธอคิด: นั่นล่ะ! ข้าพูดมันออกมาในวิธีที่ถูกต้องตรงชัด. ฟื้นคืน. เช่นนั้นเธอก็รู้ว่าพอลฺยังคงมีชวิตอยู่และรู้ว่ามีภยันตราย, ทั้งหมดในคำเดียวกัน.

         ชานิมองอยู่ชั่วขณะเพื่อสงบตนเอง, แล้ว: “มันคืออะไรที่ข้าควรทำหรือ?” เธอต้องการกระโจนเข้าใส่เจสสิกา, เขย่าตัวเธอและกรีดร้อง: “พาข้าไปหาเขา!แต่เธอรอคอยอย่างเงียบสงบสำหรับคำตอบนั้น.

         “ข้าสงสัย,” เจสสิกาพูด, “ว่าพวกฮาร์คอนเนนส์ได้จัดการส่งสายลับทั้งหมดมาในหมู่พวกเราเพื่อวางยาพิษต่อพอล. มันเป็นแค่การอธิบายเช่นนี้ได้เท่านั้นที่ดูเหมือนจะลงตัวที่สุด. ยาพิษท่ำม่ใช่ปกติทั่วไปมากที่สุด. ข้าได้ตรวจดูเลือดของเขาแล้วในวิธีที่ละเอียดประณีตมากที่สุดซึ่งำม่อาจตรวจหามันเจอได้.”

         ชานิดันตัวเองไปข้างหน้าทรุดลงกับเข่าของเธอ. “ยาพิษ? เข้าอยู่ในความเจ็บปวดไหม? ข้าจะ.....”

         “เขาหมดสติไป,” เจสสิกาบอก. “ขบวนการท้งหลายแห่งชีวิตของเขาลดลงต่ำมากเหลือกระทั่งพวกนั้นถูกตรวจพบได้เพียงแค่ด้วยกลวิธีอย่างละเอียดประณีตเท่านั้น. ข้าสั่นกลัวที่จะคิดว่าอะไรที่สามารถบังเกิดขึ้นได้ถ้าหากว่าข้าไม่ได้เป็นผู้ที่ค้นพบตัวเขา. เขาปรากฏเป็นเช่นคนตายในสายตาของผู้ไม่ได้รับการฝึกมา.”

         “ท่านมีเหตุผลทั้งหลายอื่นใดมากไปกว่าการเอื้อเฟื้อสำหรับที่มีหมายเรียกตัวข้ามา,” ชานิพูด. “ข้ารู้ท่านดี, แม่อธิการ. อะไรที่ท่านคิดว่าข้าอาจทำได้ในสิ่งที่ท่านไม่สามารถทำได้?”

         เธอช่างกล้าหาญ, น่ารัก และ อา-ห-ห-ห, ช่างสามารถหยั่งรู้ได้เหลือเกิน, เจสสิกาคิด. เธอน่าจะถูกทำให้เป็น เบเน เกสเสอริต ที่ดีเยี่ยมได้.

         ชานิ,” เจสสิกาพูด, “เจ้าอาจจะพบว่าเรื่องนี้ยากที่จะเชื่อแต่ข้าไม่รู้เลยอย่างชัดแน่ว่าทำไมข้าส่งไปรับตัวเจ้ามา. มันเป็นสัญชาตญาณ.....ญาณสังหรณ์พื้นฐาน. ความคิดนี้ขึ้นมาเอง: ‘เรียกหาชานิมา.....

         เป็นครั้งแรก, ชานิมองเห็นความเศร้าใจในการแสดงออกมาของเจสสิกา, ความปวดร้าวที่ไร้ปิดบังซึ่งได้เปลี่ยนแปลงจากการมองกลับเข้าข้างใน.

         “ข้าได้ทำทุกอย่างที่ข้ารู้ที่ทำไปแล้ว,” เจสสิกาพูด. “นั่นทั้งหมด.....มันช่างไกลโพ้นเลยอะไรที่ปกติธรรมดาจะคาดไปถึงได้ว่าคือทั้งหมดที่เจ้าจะค้นพบในจินตานการอันยุ่งยากลำบากถึงมัน. กระนั้นก็ยัง.....ข้าล้มเหลว.”

         “สหายเก่าผู้นั้น, ฮัลเล็ค,” ชานิถาม, “เป็นไปได้ไหมว่าเขาคือผู้ทรยศ?”

         “ไม่ใช่เกอร์นีย์,” เจสสิกาพูด.

         สองคำนั้นแบกเอาการสนทนาทั้งปวง, และชานิเห็นการค้นหา, ทดสอบ.....ความทรงจำทั้งหลายของความล้มเหลวเก่าๆทั้งหลายที่เข้ามาในการปฏิเสธนี้.

         ชานิโยกกลับไปอยู่บนเท้าของตน, ยืนขึ้น, ไล้ลูบเสื้อคลุมที่มีรอยเปื้อนทะเลทรายของเธอ. “พาข้าไปที่เขา,” เธอพูด.

         เจสสิกาลุกขึ้น, หันร่างผ่านม่านแขวนบังกั้นบนผนังทางด้านซ้ายมือออกไป.

         ชานิติดตาม, พบตัวเองในอะไรที่เป็นห้องเก็บของ, ผนังหินของมันถูกปิดไว้อยู่ใต้ผ้าม่านหนาหนักทั้งหลาย. พอลนอนอยู่บนแผ่นเบาะสนามติดกับผนังด้านไกล. ลูกโคมแขวนลอยเรืองแสงหนึ่งอันเหนือร่างเขาส่องสว่างต้องใบหน้าของเขา. เสื้อคลุมสีดำปิดตัวของเขาไว้ถึงหน้าอก, ปล่อยให้แขนของเขาอยู่ข้างนอกมันเหยียดไปตามข้างตัวของเขา. เขาปรากฏอยู่ว่าไม่สวมเสื้อผ้าใดอยู่ใต้เสื้อคลุมนั้น. ผิวกนังของเขาเปิดออกเหมือนขี้ผึ้ง, แข็งแกร่ง. ไม่มีการเคลื่อนไหวใดให้เห็นกับร่างเขา.

         ชานิกดกลั้นความปรารถนาที่จะพุ่งไปข้างหน้า, เหวี่ยงตัวของเธอข้ามหาเขา. เธอพบความคิดทั้งหลายของเธอ, แทนที่นั้น, กำลังไปหาบุตรชายของเธอ---ลีโต. และเธอตระหนักได้ว่าในทันทีทันใดนี้ที่เจสสิกาครั้งหนึ่งได้เผชิญเช่นชั่วขณะนี้---ผู้ชายของเธอถูกกุมไว้ด้วยความตาย, ใช้กำลังบังคับเข้ามาในจิตใจของเธอเองเพื่อพิจารณาว่าอะไรที่อาจจะต้องทำเพื่อช่วยชีวิตบุตรชายหนุ่มของตน. การตระหนักรู้ได้ก่อรูปสิ่งผูกมัดกับหญิงชรานี้จนชานิเอื้อมออกไปและกุมมือของเจสสิกา. คำตอบรับกุมคือตความปวดร้าวในมันอย่างเข้มข้น.

         “เขามีชีวิตอยู่,” เจสสิกาพูด. “ข้ายืนยันแก่เจ้าว่าเขายังมีชีวิตอยู่. แต่เส้นใยชีวิตของเขานั้นช่างบางเบาเหลือเกินมันสามารถหลบหนีการตรวจหาได้อย่างง่ายดาย. มีบางคนในหมู่ผู้นำได้บ่นกันว่านั่นเป็นแม่พูดและไม่ใช่แม่อธิการพูด, ว่าบุตรชายของข้านั่นได้ตายแล้วอย่างแท้จริงและข้าไม่ต้องการที่จะยอมรับให้น้ำของเขาแก่เผ่า.”

         “เขาเป็นเช่นนี้มานานเท่าไรแล้ว?” ชานิถาม. เธอแกะมืออกจากมือของเจสสิกา, เคลื่อนร่างไกลเข้าในห้องนั้น.

         “สามสัปดาห์,” เจสสิกาพูด. “ข้าใช้เวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์พยายามที่จะฟื้นคืนเขาขึ้นมา. มีการประชุม, โต้เถียงกัน.....สืบสวนตรวจสอบทั้งหลาย. แล้วข้าก็ส่งคนไปรับตัวเจ้ามา. เดย์คินเชื่อฟังคำสั่งทั้งหลายของข้า, มิเช่นนั้นข้าก็คงไม่อาจจะสามารถเลื่อนช้าออกไปอีกได้.....” เธอไล้ริมฝีปากให้หายแห้งผากด้วยลิ้นของเธอเฝ้าดูชานิเดินข้ามห้องไปหาพอล.

         ชานิยืนอยู่เหนือร่างของเขาในตอนนี้, มองลงไปที่เคราอ่อนหนุ่มของความเยาว์วัยที่รายล่อมกรอบของใบหน้า, ไล่เลาะร่องรอยด้วยดวงตาของเธอในเส้นสายสีน้ำตาล, จมูกแข็ง, ดวงตาที่ปิด---รูปลักษณ์อันสงบสันติในทีท่านอนลับแข็งทื่ออยู่นั้น.

         “เขารับอาหารหล่อเลี้ยงอยู่ได้อย่างไรหรือ?” ชานิถาม.

         “การเรียกร้องต้องการแห่งเลือดเนื้อของเขานั้นบางเบามากเสียจนเขายังม่จำเป็นต้องการอาหาร,” เจสสิกาพูด.

         “มีมากมายเท่าไหร่ที่รู้ว่าอะไรนี้ได้บังเกิดขึ้น?” ชานิถาม.

         “มีเพียงที่ปรึกษาที่ใกล้ชิดที่สุดของเขาเท่านัน, ผู้นำสองสามราย, ฟีเดย์คินและ, แน่นอน, ใครก็ตามที่ได้จัดการยาพิษนี้.”

         “ไม่มีเบาะแสใดของผู้ที่วางยาพิษนี้หรือ?”

         “และมันไม่มีอะไรที่ต้องการให้กับการสอบสวนนี้เลย,” เจสสิกาพูด.

         “พวกฟีเดย์คินพูดว่าอย่างไรบ้างหรือ?” ชานิถาม.

         “พวกเขาเชื่อว่าพอลอยู่ในภวังค์สักการะการ, รวบรวมพลังศักดิ์สิทธิ์ก่อนที่จะทำการยุทธครั้งสุดท้ายทั้งหลาย. นี่ป็นความคิดที่ข้าได้เพาะหว่านไว้.”

         ชานิลดตัวเธอต่ำลงไปคุกเข่าของเธออยู่ข้างเบาะนอนนั้น, ก้มลงไปเหนือใบน้าของพอล. เธอสัมผัสรู้ได้ถึงความแตกต่างอย่างฉับพลันในอากาศใกล้ใบหน้าของเขานั้น.....แต่มันเป็นเพียงเครื่องเทศเท่านั้น, เครื่องเทศที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งซึ่งกลิ่นอายของมันฟุ้งแผ่ซ่านอยู่ในทุกสิ่งในชีวิตฟรีเมน. กระนั้นยังคง.....

         “ท่านแม่ไม่ได้กำเนิดขึ้นมากับเครื่องเทศเหมือนที่พวกเราเป็น,” ชานิพูด “ท่านแม่ได้สอบสวนถึงความเป็นไปได้ที่ร่างของเขาได้กบฏต่อเครื่องเทศซึ่งมากเกินไปในการบริโภคของเขาบ้างหรือม่?”

         “ปฏิกิริยาอาการภูมิแพ้เป็นลบทั้งหมด,” เจสสิกาพูด.

         เธอปิดดวงตาของเธอลง, มากเท่าที่จะอุดกั้นฉากทัศน์ได้เพราะความตระหนักทันทีทันใดของความอ่อนล้า. นานเท่าไหร่ที่ข้าได้อยู่อย่างปราศจากการนอนหลับ? เธอถามตนเอง. นานเกินไปแล้ว.

         “เมื่อท่านเปลี่ยนชีววารี/น้ำแห่งฺชีวิตินั้น,” ชานิพูด, “ท่านทำมันภายในตัวท่านเองโดยสัมปชัญญะกลับเข้าข้างใน. ท่านแม่ได้ใช้สัมปชัญญะนี้ในการทดสอบเลือดของเขาไปหรือไม่?”

         “เลือดฟรีเมนทั่วไป,” เจสสิกาพูด. “ได้ถูกทำให้กลมกลืนอย่างสมบูรณ์สิ้นต่อการบริโภคและชีวิตที่นี่.”

         ชานิเอนหลักลับข้นมาอยู่บนส้นเท้าของเธอ, เก็บกลั้นระงับความกลัวของเธอในการคิดขณะที่เธอศึกษาใบหน้าของพอล. นี่เป็นกลเม็ดที่เธอได้เรียนรู้จากการเฝ้าดูแม่อธิการทั้งหลาย. กาละเวลาสามารถถูกทำเพื่อรับใช้จิต. ผู้ที่เพ่งสมาธิไปยังการวิปัสสนาทั้งปวง.

         ทันทีนั้น, ชานิพูด: “มีผู้สร้างอยู่ที่นี่หรือไม่?”

         “มีอยู่มากมาย,” เจสสิกาพูดด้วยสัมผัสของความอ่อนล้า. “เราไม่เคยปราศจากพวกเขาในทุกวันนี้. แต่ละชัยชนะต้องการพรของมัน. แต่ละพิธีกรรมก่อนที่จะบุกโจมตี---”

         “แต่พอล มวดดิบได้รั้งตัวของเขาเองปลีกออกไปจากพิธีกรรมเหล่านี้,” ชานิพูด.

         เจสสิกาพยักหน้าให้กับตัวเอง, จำได้ถึงความรู้สึกลังเลไม่แน่ใจบุตรชายของเธอต่อยาเสพย์เครื่องเทศนี้และสัมปชัญญะการมองเนล่วงหน้าที่มันตกตะกอน.

         “เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?” เจสสิกาถาม.

         “มันได้ถูกพูดกัน.”

         “มากเกินที่ถูกพูดกัน,” เจสสิกาพูอย่างขมขื่น.

         “เอาชีววารีดิบมาให้ข้า.” ชานิพูด.

         เจสสิกาตัวแข็งทื่อกับสัมผัสของคำบัญชาในน้ำเสียงของชานิ, แล้วสังเกตเห็นได้ถึงสมาธิอันแรงกล้าของหญิงวาวผู้นี้และพูด: “ทันทีเลย.” เธอผ่านม่านแขวนบังกั้นนั้นออกไปเพื่อเรียกสั่งผู้ดูแลน้ำ.

         ชานินั่งจ้องมองยังพอล. ถ้าเขาได้พยายามจะทำสิ่งนี้, เธอคิด. และมันคือชนิดของสิ่งที่เขาอาจพยายาม.....

         เจสสิกฺคุกเข่าลงข้างชานิ, ยื่นส่งเหยือกหูหิ้วเรียบง่ายอย่างที่ใช้ในค่ายพักใบหนึ่งให้เธอ. กลิ่นอายของยาพิษที่พุ่งเข้าปะทะนั้นแหลมแสบต่อรูจมูกของชานิ. เธอจุ่มนิ้วลงไปในของเหลวนั้น, ยื่นนิ้วนั้นไปใกล้กับจมูกของพอล.

         ผิวหนังไล่ไปตามสันของจมูกของเขากระตูกอย่างเบาบาง. อย่างช้าๆรูจมูกก็บานขึ้น.

         เจสสิกากลั้นหายสำลัก.

         ชานิแตะนิ้วที่ชุ่มนั้นที่ริมฝีปากด้านบนของพอล.

         เขาดึงยาว, สะอื้นสูดหายใจเข้า.

         “อะไรกันนี่,” เจสสิกาสั่ง.

         “อยู่นิ่งไว้,” ชานิบอก. “ท่านต้องเปลี่ยนอันเล็กน้อยของน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้. เร็วเข้า!

         โดยปราศจากคำถามใด, เพราะว่าเธอจำได้ถึงระดับลักษณะของสัมปชัญญะในน้ำเสียงของชานินั้น, เจสสิกายกเหยือกนั้นขึ้นสู่ปากของเธอ, ดื่มมันลงไปเพียงจิบเล็กน้อย.

         ดวงตาของพอลเปิดออก. เขาจ้องขึ้นมายังชานิ.

         “มันไม่จำเป็นที่ท่านแม่ต้องเปลี่ยนน้ำนั้นหรอก,” เขาพูด. เสียงของเขาอ่อนล้า, แต่แน่วแน่.

         เจสสิกา, จิบของของเหลวนั้นอยู่ที่บนลิ้นของเธอ, พบว่าร่างขอเธอกำลังฟื้นตัว, กำลังเปลี่ยนยาพิษนั้นเกือบจะเป็นไปอย่างอัตโนมัติ. ในการยกระดับขึ้นอย่างเบาของพิธีการมักจะถูกแจ้งให้รู้เสมอ, เธอสัมผัสรู้ถึงแสงชีวิตเรืองรองจากพอล---รังสีที่นั้นกำลังแสดงออกบนประสาทสัมผัสของเธอ.

         ในฉับพลันนั้น, เธอรู้.

         “ลูกดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์นั้น!” เธอโพล่งออกมา.

         “หนึ่งหยดของมัน,” พอลพูด. “เล็กน้อยเหลือเกิน.....หนึ่งหยด.”

         “ลูกทำเรื่องโ.เขลาเช่นนั้นไปได้อย่างไรกัน?” เธอถามสั่ง.

         “เขาเป็นลูกชายของท่าน,” ชานิพูด.

         เจสสิกาจ้องมองเธอ.

         รอยยิ้มที่หาได้ยาก, อบอุ่นและเต็มเปี่ยมด้วยความเข้าใจ, สัมผัสริมฝีปากของพอล. “ฟังที่รักของข้าสิ,” เขาพูด. “ฟังเธอ, ท่านแม่. เธอรู้แล้ว.”

         “สิ่งที่คนอื่นๆสามารถทำได้, เขาต้องทำ,” ชานิพูด.

         “เมื่อข้าได้หยดนั้นอยู่ปากของข้า, เมื่อข้ารู้สึกถึงมันและได้กลิ่นมัน, เมื่อข้ารู้ว่ามันกำลังทำต่อข้า, แล้วข้าก็รู้ว่าข้าสามารถทำสิ่งที่ท่านแม่ได้ทำ,” เขาพูด. “ผู้ควบคุมดูแลเบเน เกสเสอริตทั้งหลายพูดถึงเรื่อง ควิทสาตซ์ ฮาเดรัค, แต่พวกเขาไม่สามารถเริ่มต้นที่จะเดาได้ถึงสถานที่มากมายทั้งหลายที่ข้าได้เข้าไปอยู่. ในชั่วสองสามนาทีข้า.....” เขาหยุดชงัก, มองที่ชานิด้วยคิ้วขมวดฉงน. “ชานิ? เจ้ามาที่นี่ได้ยังไง? เจ้าถูกคาดว่าจะอยู่.....ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่?”

         เขาพยามที่จะดันตัวเองลุกขึ้นมาอยู่บนศอกของเขา. ชานิกดเขากลับลงไปอย่างนุ่มนวล.

         “ได้โปรด, อูซุลของข้า,” เธอพูด.

         “ข้ารู้สึกว่าอ่อนเปลี้ยเหลือเกิน,” เขาพูด. เขามองพุ่งไปรอบข้องนั้น. “นานเท่าไร่ที่ข้ามาอยู่ที่นี่หรือ?”

         “ลูกได้มาอยู่ที่นี่สามสัปดาห์แล้วในอาการไม่รู้สึกตัวที่ลึกมากจนประกายของชีวิตดูเหมือนจะได้โบยบินไป,” เจสสิกาพูด.

         “แต่มันเป็น.....ข้าดื่มมันไปเมื่อชั่วครู่มานี้เองและ.....”

         “ชั่วครู่สำหรับลูก, สามสัปดาห์ของความกลัวสำหรับแม่,” เจสสิกาพูด.

         “มันเป็นแค่หนึ่งหยดเท่านั้น, แต่ข้าได้เปลี่ยนมัน,” พอลพูด. “ข้าได้เปลี่ยนชีววารี/น้ำแห่งชีวิต.” และก่อนที่ชานิหรือเจสสิกาจะทันสามารถหยุดเขาได้, เขาจุ่มมือลงไปในเหยือกที่พวกเขาวางไว้อยู่บนพื้นข้างตัวเขา, และเขานำมือเปียกชุ่มอุ้มนั้นไปที่ปากของตน, กลืนของเหลวเต็มในอุ้งมือลงไป.

         พอล!เจสสิกากรีดร้อง.

         เขาตะครุบมือของเธอ, เผชิญหน้าของเธอด้วยรอยยิ้มเยาะของความตาย, และเขาส่งสัมปชัญญะของเขาพุ่งเข้าไปทั่วเธอ.

         ไมตรีจิตนั้นไม่ได้เป็นที่อ่อนโยน, ไม่ใช่เป็นเช่นการแบ่งปัน, ไม่ได้เป็นเช่นการโอบล้อมรวมเข้ากันราวกับมันได้เป็นเช่นเดียวกับอาเลียและแม่อธิการชราในถ้ำคูหาคราวนั้น.....แต่มันก็มีความเป็นมิตรปรองดอง: การแบ่งปันในสัมผัสสำนึกแห่งการมีอยู่ทั้งปวง. มันสั่นเขย่าเธอ, ทำให้เธออ่อนแอ, และเธองอก่อหงอของในจิตของเธอ, หวาดกลัวต่อตัวเขา.

         ดงอกมา, เขาพูด: “ท่านแม่พูดถึงสถานที่ซึ่งท่านไม่สามารถเข้าไปได้? สถานที่นี้ที่ซึ่งแม่อธิการไม่สามารถเผชิญหน้าได้, แสดงมันต่อข้าสิ.”

         เธอสั่นศีรษะของเธอ, ตื่นกลัวโดยความคิดสุดโต่งนั้น.

         “แสดงมันต่อข้า!” เขาสั่ง.

         “ไม่!

         แต่เธอไม่สามารถหลบหนีเขาไปได้. เหมือนถูกตีด้วยกระบองสั้นโดยแรงกำลังของความตื่นกลัวแต่อเขานั้น, เธอหลับดวงตาของเธอและเพ่งกลับเข้าไปข้างใน---ในทิศทาง-ที่-เป็น-ความมืดมิด.

         จิตสำนึกของพอลไหลผ่านท่วมทะลุและรายล้อมเธอและเข้าไปในความมืดมิดนั้น. เธอหรี่ตาดูสถานที่นั้นก่อนที่จิตของเธอจะว่างเปล่าในตัวมันเองจากไปพ้นความตื่นกลัวนั้น. โดยปราศจากการรู้ว่าทำไม, การมีอยู่ทั้งปวงของเธอสั่นรัวที่อะไรซึ่งเธอได้เห็น---ขอบเขตหนึ่งที่ซึ่งสายลมพัดและมีประกายเจิดจ้าเลื่อมพราย, ที่ซึ่งวงแหวนทั้งหลายของแสงแผ่ขยายออกและหดตัว, ที่ซึ่งแถวของรูปทรงบวมทั้งหลายเปล่งสีขาวไหลลอยไปทั่วบนและล่างและรอบแสงสว่างทั้งหลาย, ขับไล่ความมืดมิดและพัดพาออกไปยังที่ใดสักแห่ง.

         ทันทีนั้น, เธอเปิดตาของเธอลืมขึ้น, มองเห็นพอลเงยจ้องมาที่เธอ. เขายังคงกุมมือของเธออยู่, แต่ความไมตรีอันน่าตื่นกลัวนั้นจากไปแล้ว. เธอเงียบสงบการสั่นเทาของตัวเธอลง. พอลปล่อยมือของเธอ. มันเป็นราวกับว่าสิ่งค้ำพยุงบางอย่างได้ถูกเคลื่อนย้ายออกไป. เธอโซเซลุกขึ้นและถอย, เกือบจะล้มคะมำลงไปถ้าชานิไม่กระโดดเข้ามารองรับเธอไว้ทัน.

         ท่านแม่อธิการ!ชานิพูด. “เกิดอะไรขึ้น?”

         “เหนื่อยน่ะ,” เจสสิกากระซิบ. “ช่าง.....เหนื่อยเหลือเกิน.”

         “นี่,” ชานิบอก. “นั่งลงที่นี่.” เธอช่วยเจสสิกาไปที่หมอนอิงพิงอยู่กับผนัง.

         แขนแข็งแรงของวัยเยาว์รู้สึกดีต่อเจสสิกา. เธอเกาะอิงกับชานิ.

         “เขาได้, ตามสัจจริง, เห็นถึงน้ำแห่งชีวิตหรือ?” ชานิถาม. เธอปลดตนเองออกจากการกุมของเจสสิกา.

         “เขาได้เห็น,” เจสสิกากระซิบ. จิตของเธอยังคงม้วนและกระตุกจากผัสสะนั้น. มันเป็นเหมือนการก้าวสู่แผ่นดินแข็งหลังจากลอยเท้งเต้งอยู่กลางทะเลมาสามสัปดาห์. เธอสัมผัสรู้ถึงแม่อธิการชราภายในตัวเธอ.....และบรรดาผู้อื่นทั้งหมดได้ตื่นขึ้นและถามำถ่: นั่นอะไรกัน? อะไรบังเกิดขึ้น? ที่แห่งนั้นอยู่ไหนกัน?

         ผ่านทะลุมันทั้งหมดของเส้นใยทั้งหลายของความตระหนักรู้ที่บุตรชายของเธอคือ ควิทสาตซ์ ฮาเดรัค, ผู้ที่สามารถดำรงอยู่ในที่แห่แหนมากมายในทันที. เขาคือความจริงที่ออกมาจากความฝันของเบเน เกสเสอริต. และความสัจจริงนั้นไม่ให้เธอซึ่งสันติสุขใด.

         “เกิดอะไรขึ้น?” ชานิถามสั่ง.

         เจสสิกาสั่นศีรษะของเธอ.

         พอลพูด: ในเราแต่ละคนมีพลังโบราณที่รับและให้. การเป็นชายนั้นพบว่ายากลำบากเพียงเล็กน้อยในการเผชิญหน้ากับสถานที่ภายในตัวเขาเองนั้นซึ่งพลังการรับอาศัยอยู่, แต่มันเกือบเป็นไปไม่ได้สำหรับเขาที่จะมองเห็นเข้าไปถึงพลังของการให้โดยปราศจากการเปลี่ยนแปลงเข้าไปสู่บางอย่างอื่นที่ยิ่งไปกว่าเป็นชาย. สำหรับผู้หญิง, สถานการณ์นั้นตรงกันข้าม.”

         เจสสิกาพบว่าชานิกำลังจ้องดูเธอขณะทั่งพอลพูด.

         “ท่านเข้าใจหรือข้าหหรือไม่, ท่านแม่?” พอลถาม.

         เธอสามารถทำได้แต่เพียงพยักหน้ารับ.

         “สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ช่างโบราณเหลือเกินภายในตัวเรา,” พอลพูด, “ที่พวกเขาได้วางพื้นฐานเข้าไปในแต่ละเซลล์แยกจากกันของร่างกายเราทั้งหลาย. เราได้ถูกขึ้นรูปร่างโดยแรงพลังเยี่ยงนั้น. ท่านสามารถบอกกับตนเองได้ว่า, ใช่, ข้าเห็นว่าสิ่งเช่นนั้นอาจเป็นได้อย่างไร. แต่เมื่อท่านมองกลับเข้าไปด้านในและเผชิญหน้ากับแรงพลังดิบเดิมของชีวิตท่านเองที่ไน้โล่ห์กำบัง, ท่านเห็นภยันตรายของท่าน. ท่านเห็นว่าสิ่งนี้สามารถท่วมท้นเอาชนะท่านได้. ภยันตรายอันยิ่งใหญ่ต่อผู้ให้นั้นคือแรงพลังที่รับเอาไป. ภยันตรายอันยิ่งใหญ่ของผู้รับไปคือแรงพลังที่ให้. มันง่ายดายดังเช่นการเอาชนะท่วมท้นโดยการให้เช่นเดียวกับการรับเอาไป.”

         “และเจ้า, ลูกรักของข้า,”เจสสิกาถาม, “เจ้าเป็นผู้ที่ให้หรือผู้ที่รับเอาไป?”

         “ข้าอยู่ที่จุดศูนย์กลางของการหมุนวน,” เขาพูด. “ข้าไม่สามารถให้โดยปราศจากการรับเอามาและข้าไม่สามารถรับเอามาโดยปราศจาก.....” เขาหยุดชงักลง, มองไปยังผนังที่ด้านขวามือของเขา.

         ชานิรู้สึกกระแสลมสัมผัสเข้าที่แก้มของเธอ, หันไปเพื่อเห็นม่านแขวนบังกั้นทั้งหลายปิดอยู่.

         “เป็นโอธียัม,” พอลพูด. “เขากำลังฟังอยู่.”

         โดยยอมรับในคำพูดนั้น, ชานิถูกสัมผัสด้วยบางอย่างของการเห็นล่วงหน้าที่ได้ตามหลอกหลอนพอล, และเธอรู้สิ่ง-ที่-ยัง-ไม่-เป็น ดุจราวกับว่ามันได้บังเกิดขึ้นไปแล้ว. โอธียัมจะพูดถึงอะไรที่เขาได้เห็นและได้ยิน. คนอื่นๆก็จะแผ่กระจายเรื่องราวนั้นออกไปจนกระทั่งมันเป็นไฟลามไหม้ไปทั่วดินแดนนี้. พอล-มวดดิบไม่ได้เป็นเช่นผู้คนอื่น, พวกเขาจะพูดกันเช่นนั้น. ไม่มีความสงสัยอะไรกันอีกต่อไปแล้ว. เขาคือชายผู้หนึ่ง, กระนั้นเขาก็ยังเห็นผ่านทะลุชีวะวารี/น้ำแห่งชีวิตในวิถีแห่งแม่อธิการ. เขาจริงแท้แล้วคือ ไลสาน อัล-กาอิบ.

         “ลูกได้เห็นอนาคต, พอล,” เจสสิกาพูด. “ลูกจะพูดในสิ่งที่ลูกได้เห็นหรือ?”

         “ไม่ใช่อนาคต,” เขาพูด. “ข้าได้เห็น บัดนี้.” เขาบังคับตนเองลุกขึ้นอยู่ในท่านั่ง, บอกมือให้ชานิหลีกไปขณะที่เธอขยับเคลื่อนเข้ามาช่วยเขา. “อวกาศที่อยู่เหนืออาร์ราคิสได้เต็มไปด้วยยานอวกาศของกิลด์.

         เจสสิกาสั่นเทากับความเที่ยงแท้ชัดเจนในน้ำเสียงของเขา.

         จักรพรรดิ ปาดิชาห์ตัวเขาเองก็อยู่ที่นั้น,” พอลพูด. เขามองไปที่เพดานหินของห้องของเขานี้. “ด้วยผู้กล่าวสัจวจนะคนโปรดของเขาและห้ากองทัพแห่งซาร์เดาการ์. เข้าเฒ่า บารอน วลาดิมีร์ ฮาร์คอนเนนอยู่ที่นั้นกับธูเฟอร์ ฮาวัตเคียงข้างเขาและเจ็ดเรือรบซึ่งอัดแน่นด้วยทุกทหารเกณฑ์ที่เขาจะสามารถหารวบรวมมาได้. ทุกมหาราชสำนักมีหน่วยจู่โจมของมันอยู่เหนือเรา.....”

         ชานิสั่นศีรษะของเธอ, ไม่อาจจะหันมองนีไปจากพอลได้. ความแปลกประหลาดของเขา, ระดับที่ราบเรียบในน้ำเสียงของเขา, วิธีที่เขาได้มองทะลุเธอ, เติมเต็มเธอด้วยความตระหนหวาดผวา.

         เจสสิกาพยายามที่จะกลืนก้อนเหนียวผ่านลำคอที่แห้งผากของเธอลงไป, พูด: “เพื่ออะไรหรือที่พวกเขากำลังรออยู่?”

         พอลเงยขึ้นมองเธอ, “เพื่อคำอนุญาตจากกิลด์ที่จะลงสู่พื้น. พวกกิลด์จะไม่ให้ความช่วยเหลือบนอาร์ราคิสต่อกองกำลังใดที่ลงสู่พื้นโดยปราศจากการอนุญาต.”

         “พวกกิลด์กำลังปกป้องเราอยู่หรือ?” เจสสิกาถาม.

         “ปกป้องเรา! พวกกิลด์มันเองเป็นสาเหตุของเรื่องนี้โดยการแผ่กระจายนิทานทั้งหลายเกี่ยวกับอะไรที่เราทำที่นี่และด้วยการลดค่าธรรมเนียมการขนส่งกองกำลังทั้งหลายไปยังจุดที่กระทั่งราชสำนักที่ยากจนที่สุดก็มาอยู่บนนั้นได้ในตอนนี้รอคอยที่จะปล้มสมภ์เรา.”

         เจสสิกาสังเกตเห็นการขาดแคลนซึ่งความขมื่นในน้ำเสียงของเขาไป, สงสัยในใจกับมัน. เธอไม่สามารถคาดเดาคำพูดทั้งหลายของเขาได้---พวกมันมีความเข้มที่เหมือนกันที่เธอเคยได้เห็นในเสียงของเขาเมื่อคืนนั้นเขาได้เผยเส้นทางของอนาคตที่ได้ถูกนำตัวมาในหมู่พวกฟรีเมน.

         พอลสูดหายใจลึก, พูด: ท่านแม่, ท่านต้องเปลี่ยนแปลงน้ำแห่งชีวิตจำนวนหนึ่งให้กับพวกเรา. เราจำเป็นต้องมีตัวเร่ง. ชานิ, ส่งกองสอดแนมหนึ่งออกไป....เพื่อค้นหามวลปฐม-เครื่องเทศ. ถ้าเราผลิตเพาะน้ำแห่งชีวิตจำนวนมากพอบนเหนือมวลปฐม-เครื่องเทศนั้น, เจ้ารู้ไมว่าอำรจะบังเกิดขึ้น?”

         เจสสิกาชั่งน้ำหนักน้ำคำพูดทั้งหลายของเขา, ทันทีนั้นมองเห็นทะลุไปถึงความมายของเขา “พอล!” เธอสำลักลมหายใจ.

         มรณาวารี/น้ำแห่งความตาย,” เขาพูด. “มันเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่.” เขาชี้ไปที่พื้น. “แผ่ขยายความตายไปในท่ามกลางหมู่ผู้สร้างตัวเล็กๆ, การฆ่าพาหะแห่งวัฏจักรชีวิตที่รวม-ปถึงเครื่องเทสและผู้สร้างทั้งหลาย. อาร์ราคิสจะกลายเป็นแผ่นดินรกร้างอย่างแท้จริง---ปราศจากเครื่องเทศหรือผู้สร้าง.”

         ชานิยกมือขึ้นยังปากของเธอ, ตื่นตกใจที่จะใบ้นิ่งเงียบโดยคำหมิ่นแคลนลบล้างคำสั่งสอนแห่งลัทธิศาสน์ที่ไหลพูออกมาจากริมฝีปากของพอล.

         “เขาผู้สามารถทำลายสิ่งใดนั้นคือผู้ ที่ควบคุมต่อมันอย่างแท้จริง,” พอลพูด: “เราสามารถทำลายล้างเครื่องเทศได้.”

         “อะไรอยู่ในกำมือของพวกกิลด์หรือ?” เจสสิกากระซิบ.

         “พวกเขากำลังค้นหาตัวข้า,” พอลพูด. “คิดถึงเรื่องนั้น! การนำร่องทั้งหลายอันแสนประณีตเลิศเลอของพวกกิลด์, คนที่สามารถเสาะหาไปข้างหน้าทะลุผ่านกาลเวลาเพื่อค้นพบเส้นทางอันปลอดภัยที่สุดสำหรับการเดินเรือขนส่งทั้งหลายที่รวดเร็วที่สุด, ทั้งหมดของพวกมันในการเสาะหาตัวข้า.....และไม่สามารถค้นพบข้าได้. พวกมันสั่นกลัวแค่ไหนล่ะ? พวกมันรู้ว่าข้าได้พบความลับของพวกมันแล้วที่นี่!พอลยื่นอุ้งมือของเขาออกมา. “ปราศจากเครื่องเทศพวกมันก็ตาบอด!

         ชานิค้นพบเสียงของตน. “ท่ายบอกว่าท่านเห็นบัดนี้?”

         พอลเอนกายกลับลงไป, ค้นหาปัจจุบันที่แพร่กระจาย, ขอบเขตจำกัดของมันได้ถูกยืดขยายออกเข้าไปในอนาคตและเข้าไปในอดีต, ยึดกุมอยู่กับสัมปชัญญะด้วยความยากลำบากขณะที่การส่องสว่างของเครื่องเทศเริ่มที่จะจางหายไป.

         “ไปทำตามที่ข้าบัญชา,” เขาพูด. “อนาคตกำลังกลายเป็นเช่นความสับสนวุ่นวายสำหรับพวกกิลด์ดุจเดียวกับที่มันเป็นต่อข้า. เส้นทั้งหลายแห่งภาพทัศน์กำลังแคบลง. ทุกสิ่งรวมเพ่งมายังที่นี่ที่ซึ่งเครื่องเทศคือ.....ที่ซึ่งพวกเขามิอาจหาญกล้าที่จะเข้ายุ่งก่อกวนมาก่อน.....เพราะว่าการที่จะเข้ายุ่งก่อกวนนั้นคือการที่จะสูญเสียอะไรที่พวกเขาต้องมี. แต่บัดนี้พวกเขาได้สิ้นหวัง. หนทางทั้งหมดนำเข้าไปสู่ความมืดมิด.

 

 

         และวันนั้นได้รุ่งอรุณเมื่ออาร์ราคิสทอดนอนอยู่ที่จุดศูนย์หมุนวนแห่งเอกภพด้วยกงล้อถูกตั้งไว้ที่จะหมุนรอบ.

---จาก “การตื่นขึ้นของ อาร์ราคิส” โดย เจ้าหญิงอีร์อูลาน