หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2565

สวามี อภิฑะนันฑะ - 5 สภาวะของ จิต(วิวัฒนาการของ จิต)

 5 สภาวะของ จิต(วิวัฒนาการของ จิต) - สวามี อภิฑะนันฑะ

5 States of Mind (Evolution of Mind) | Swami Abhedananda   

: ท่านสวามี อภิฑะนันฑะ(1866 – 1939) ได้รับการตระหนักรู้กันว่าเป็น โยคี(yogi), ผู้เรืองเวทย์(mystic)และพระผู้ถือศีล(monk). เขาเป็นหนึ่งในสาณุศิษย์ทั้งหลายโดยตรงของท่าน ศรี รามากฤษณะ ประมะหัมสา(Sri Ramakrishna Paramahamsa).


ปราชญ์ฮินดูทั้งหลาย(the Hindu sages)ได้แยกแยะลักษณะการกระทำทางจิต(have classified mental activity)ออกเป็น 5 สภาวะที่แตกต่างกัน(into five different states):

         1) ชีพตะ(Kshipta1- ละทิ้ง/กระจัดกระจาย); 2) มุธะ(Mudha2- โง่); 3) วิชีพตะ(Vikshipta3- ว้าวุ่น); 4) เอกะกรา(Ekagra – จิตหนึ่งเดียว/เอกัคคตา4); 5) นิรุฑธะ(Niruddha – สิ้นสุด/สูญ5).

         1 https://www.wisdomlib.org/definition/kshipta#sanskrit

         2 https://www.wisdomlib.org/definition/mudha#mahayana

         3 https://www.wisdomlib.org/definition/vikshipta#mahayana

         4 https://www.wisdomlib.org/definition/ekagra#mahayana

         5 https://www.wisdomlib.org/definition/niruddha#mahayana

         อย่างแรกหมายความว่า “กระจัดกระจาย(scattered)”, นั้นคือ, มักจะเคลื่อนไหวเสมอ(always active), ประเภทของจิตที่กำลังทำงานอย่างต่อเนื่อง(the kind of mind which is constantly at work)และไม่เคยหยุดพักสงบ(never restful).

         ในสภาวะนี้(in this state), จิตทั้งปวง(the whole mind)วิ่งตะบึงไปเหมือนช้างบ้าคลั่ง(rushes like a mad elephant)ในไม่ว่าทิศทางใดที่มันเลือก(what ever direction it chooses).

         มันตระเวนไปนี่ไปนั่น(it wanders here and there)โดยปราศจากเป้าหมายหรือจุดประสงค์ใดๆ(without any aim or purpose)และไม่สามารถถูกนำมาอยู่ใต้การควบคุมไว้ได้(cannot be brought under control).

         ผู้ที่อยู่ในสภาวะเช่นนี้ของจิตก็ไม่กระทั่งจะพยายามที่จะหยุดการกระทำอันไร้จุดประสงค์นี้(do not even try to stop this purposeless activity).

         ...เพราะว่าพวกเขาเชื่อว่ามันเป็นสภาวะปกติธรรมดาของพวกเขา(their normal state)และบรรดาสภาวะอื่นทั้งหมดนั้นคือความผิดปกติ(abnormal), ป่วยไข้(morbid)หรือเป็นโรคร้าย(diseased).

         พวกเขาหวาดกลัวการจมลงไปสู่ความเป็นกลางไม่ลำเอียง(sinking into indifferent) หรือสูญเสียความเป็นตัวตนของพวกเขาไป(losing their individuality)ถ้ามีใครบางคนบอกต่อพวกเขาให้ลดความเร็วเร่งอย่างมโหฬาร(to reduce tremendous speed)กับการที่ซึ่งจิตของเขากำลังวิ่งอยู่(with which their mind is running)...และแนะนำให้พวกเขาได้หยุดพักสักเล็กน้อย(advises to take a little rest). พวกเขาคิดว่าการหยุดพักหมายถึงไม่นอนหลับก็คือตาย(rest means either sleep or death).

         ชั้นประเภทที่สอง(the second class) คือ มุธะ(Mudha), หมายถึง “โง่ และ สับสนวุ่นวาย(Stupid and confused).” ผู้คนที่ทึมทึบ(dull), เกียจคร้าน(lazy), ไม่กระตือรือร้น(inactive), โง่บ้า(idiotic), เป็นสมาชิกของชั้นประเภทนี้(belong to this class).

         ในสภาวะนี้(in this state)ปัญญาความคิด(intellect), การเข้าใจและเหตุผล(understanding and reason)ได้ถูกห่อหุ้ม(are enveloped), ดังที่มันเป็น, ด้วยความมืดมิดของอวิชชา(with the darkness of ignorance - ความไม่รู้).

         สองสภาวะเหล่านี้คือสองสภาวะสุดขีดของ การกระตือรือร้น และ การเกียจคร้าน ของจิต(the two extreme states of activity and inactivity of mind).

         สภาวะที่สาม(the third state)ถูกเรียกว่า วิชีพตะ(Vikshipta), นั่นคือ, บางครั้งก็กระตือรือร้น(activity)และบางครั้งก็ทึมทึบ(dull).

         สภาวะที่สี่(the fourth state), เอกะกรา(Ekgra), หมายถึง “หนึ่งเดียวชัดเจน(one-pointed)”, หรือ, ในอีกคำอื่น, จิตที่แน่วแน่ในอารมณ์หนึ่งเดียว(concentrated mind – เอกะคัตตา.

         สภาวะทางจิตใจอย่างที่ห้า(the fifth mental condition), รู้จักกันว่าคือ นิรุฑธะ(Niruddha), เป็นสภาวะนั้นที่มีสมาธิได้รับการควบคุมอย่างดี(state of well controlled concentrate)ซึ่งการกระทำเคลื่อนไหวใดโดยไม่รู้สึกตัวทั้งหมดนั้นถูกกำราบให้สงบลง(all involuntary activity is subdued)...

         ...และจิตนั้น(the mind), กำลังมีชัยอยู่เหนือข้อจำกัดธรรมดาสามัญทั้งหลายของมัน(transcending its ordinary limitations)ไปถึงยังสภาวะมหาจิตสำนึกแห่ง สมาธิ(reaches the superconscious state of samadhi), สภาวะแห่ง จิตสำนึก-พระเจ้า(the state of God – consciousness).

         สามสภาวะแรกนั้น(the first three states)ถูกพบได้ในบุคคลธรรมดาสามัญ(are to be found in ordinary persons), และไม่มีใครในพวกเขาที่ได้รับความช่วยเหลือใดในชีวิตทางจิตวิญญาณ(is of any help in spiritual life).

         สภาวะทางจิตใจสองอย่างสุดท้ายนั้น(the last two mental states), เอกะกรา และ นิรุฑธะ(Ekgra and Niruddha), โดยลำพังแล้วเป็นการช่วยที่นำไปสู่การเจริญเติบโตทางจิตวิญญาณ(are conducive to spiritual growth).

         ในสภาวะที่สี่นั้น(in the fourth state), นั่นคือ, เมื่อจิตทั้งปวงนี้ได้ถูกเพ่งเป็นสมาธิ(the whole mind is concentrated)หรือ “หนึ่งเดียวชัดเจน(one-pointed – เอกะคัตตา)”, ), เราก็สามารถตระหนักได้ถึงธรรมชาติที่แท้จริงของสิ่งทั้งหลาย(we can realize the true nature of things);

         ...การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายอันเจ็บปวดของจิต(all painful modifications of the mind)กลายเป็นน้อยลงและน้อยลง(becomes less and less);

         ...ปมเงื่อนทั้งหมดของกิเลส/ความปรารถนา(all knots of desire)ต่อสิ่งทางโลกทั้งหลายและตัณหา(for worldly things and sense-pleasure)ได้ถูกหย่อนยานลง(are slacked), และพวกนั้นต่างหยุดที่จะรบกวนความสันติสุขของจิต(and they cease to disturb the peace of mind).

         สภาวะจิตชั้นนี้(this state of mind)อย่างทีละเล็กทีละน้อยนำไปสู่การบรรลุผลสภาวะชั้นที่ห้า(gradually leads to the attainment of the fifth state), เมื่อมาถึงการควบคุมอย่างสมบูรณ์เหนือจิต(when comes perfect control over the mind).

         เมื่อถึงชั้นที่ห้า(when the fifth), หรือสภาวะอภิจิตสำนึกของสมาธิ(superconscious of concentration)ได้บรรลุผล(is attained), ธรรมชาติที่แท้จริงของผู้รู้ หรือ วิญญาณขันธ์(the true nature of the knower or Spirit)ก็ถูกเข้าใจแจ่มแจ้งชัดเจน(is manifested).

         ผู้นั้น(those), เพราะเช่นนั้น, ที่ปรารถนาซึ่งความสมบูรณ์ในจิตวิญญาณ(who aspire to spiritual perfection), ควรทำทุกความเพียรพยายามที่จะไปให้ถึงสภาวะทางจิตใจในสองขั้นสุดท้ายนี้(should make every effort to reach these last two mental states).

-          สวามี อภิฑะนันฑะ(Swami Abhedananda).

https://youtu.be/Icz2eZfrEn0