ธรรมะ ในฐานะ
ที่เป็นตัวแท้ของศาสนา.
15 เม.ย. 22
ท่านสาธุชน
ผู้มีความสนใจในธรรม ทั้งหลาย,
การบรรยายปาฐกถาธรรมในวันนี้ อาตมาจะได้กล่าวโดยหัวข้อว่า
“ธรรมะในฐานะที่เป็นตัวแท้ของศาสนา” คงจะมีหลายท่านมีความฉงนว่าอะไรเป็นตัวแท้ของศาสนา?
ทำพไมต้องมีตัวแท้ของศาสนา?
นั่นแหละคือปัญหาที่จะต้องทำความเข้าใจกันให้เพียงพอและจะได้ทำความเข้าใจกันในวันนี้.
ตัวแท้ของศาสนาอยู่ที่ความถูกต้อง.
ตัวแท้ของศาสนาอยู่ที่ไหน? จะต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า
ตัวแท้ของศาสนามิได้อยู่ที่ศาสนวัตถุ ศาสนพิธี ศาสนาบุคคล,
หรือแม้แต่ศาสนาธรรมที่ชอบเรียกกัน.
สิ่งเหล่านั้นเป็นอุปกรณ์บ้านเป็นที่ตั้งที่อาศัย เป็นผู้ดำเนินงาน,
หรือเป็นระเบียบงานที่จะต้องดำเนินบ้าง จนกว่าจะเกิดผลเป็นตัวแท้ของสิ่งที่เรียกหว่า
“ศาสนา” ขึ้นมา.
ศาสนวัตถุ
วัตถุศักดิ์สิทธิ์ในศาสนา วัตถุที่เป็นสัญลักษณ์ของพระศาสนา
กระทั่งสถานที่ที่เกี่ยวกับศาสนา เหล่านี้ก็ยังไม่ใช่ตัวแท้ของศาสนา; เป็นเพียงที่ตั้งที่อาศัย อันประกอบเป็นส่วนภายนอก. วัตถุศักดิ์สิทธิ์เช่นพระเครื่องที่แขวนคอ
เป็นต้น ก็ยังไม่ใช่ตัวแท้ของศาสนา; แต่อาจจะใช้เป็นอุปกรณ์สำหรับเข้าถึงตัวแท้ของศาสนาก็ได้.
สำหรับศาสนพิธี ศาสนกิจ นี่มันเป็นเรื่องของพิธี.
เรื่องของกิจกรรมที่เกี่ยวกับศาสนา ศาสนาตัวแท้อยู่ที่ตรงไหน?
ก็จะต้องคอยดูกันต่อไป.
ที่เรียกกันว่า “ศาสนบุคคล” บุคคลที่เกี่ยวกับศาสนา
มีพระผู้ปฏิบัติ มีเจ้าหน้าที่ที่ดำเนินงานเกี่ยวกับศาสนา; แม้แต่คนเฝ้าวัดเฝ้าศาลาก็ยังรวมอยู่ในคำว่า “ศาสนบุคคล”
ไม่ใช่ตัวแท้ของศาสนา.
แม้แต่ ศาสนธรรม
ที่เป็นตัวหลักวิชา เป็นรูปแบบของการปฏิบัติที่ปฏิบัติอยู่.
นี้ก็เป็นเรื่องวิชา เป็นเรื่องการปฏิบัติเพื่อให้ได้ลุถึงตัวแท้ของศาสนา.
ทีนี้ตัวแท้ของศาสนาอยู่ที่ไหน? จะเอาอะไรเป็นหัวใจของศาสนา
หรือเป็นจุดศูนย์กลาง nucleus
ของสิ่งที่เรียกว่า “ศาสนา”?
ข้อนี้จำเป็นต้องดูให้ลึกเข้าไปเป็นชั้นๆเพื่อให้เข้าถึงหัวใจหรือตัวแท้ของศาสนา.
อาตมาอยากจะกล่าวบทนิยามให้เป็นที่ทราบกันเสียก่อนว่า
“ตัวความถูกต้อง
ที่มีอยู่ในความเปลี่ยนแปลงของชีวิตที่ประพฤติปฏิบัติพระศาสนาทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของมัน”. โปรดสังเกตว่า อาตมาระบุไปยัง ตัวความถูกต้อง
ที่มีอยู่ที่ความเปลี่ยนแปลง อันเกิดขึ้นแก่ชีวิต ซึ่งได้ประพฤติปฏิบัติพระศาสนา,
ได้มีความถูกต้องอันสืบเนื่องกันไปทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการ.
ความถูกต้องคือธรรมะที่ไม่ทำให้เกิดทุกข์.
ทีนี้ปัญหาก็จะเกิดขึ้นมาว่า อะไรคือความถูกต้อง?
ความถูกต้องในที่นี้ถือตามหลักของพระศาสนา
หรือพระพุทธศาสนาโดยตรงไม่ใช่ความถูกต้องตามหลักปรัชญาหรือหลักตรรกวิทยา
ซึ่งฝากไว้กับเหตุผลแห่งการวิพากษ์วิจารณ์. เดี๋ยวนี้ เราจะเอาตัวความถูกต้อง
ที่ปรากฏอยู่แก่ชีวิตจิตใจ ที่มีการประพฤติปฏิบัติพระศาสนามาเป็นอย่างดีแล้ว.
จำเป็นจะต้องขอทบทวนความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่า
“ธรรม” หรือ “ธรรมะ” อีกครั้งหนึ่ง เพราะว่า ตัวความถูกต้องนี้เป็นตัวธรรมะ
ซึ่งมีความหมายอยู่ถึง 4 ประการ :
ธรรมะ คือ ตัวธรรมชาติ. ธรรมะ คือ ตัวกฏของธรรมชาติ. ธรรมะ คือ
หน้าที่ตามกฏธรรมชาติ. ธรรมะ คือ
ตัวผลที่ได้รับจากการปกฏิบัติหน้าที่ถูกต้องตามกฏธรรมชาติ.
เดี๋ยวนี้ก็เป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่า
มี การปฏิบัติหน้าที่ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ แล้วเกิดธรรมะในความหมายที่ 4 คือ “ผลแห่งการปฏิบัติตามหน้าที่”
ในที่นี้หมายถึงความถูกต้องที่ได้เกิดขึ้นมาจากการปฏิบัติหน้าที่.
ความถูกต้องนั้นปรากฏอยู่ในความเปลี่ยนแปลงของชีวิตที่เคยโง่เคยหลง เคยเลว
เคยระทมทุกข์ต่างๆ มาเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ตรงกันข้าม เพราะมันมีตัวความถูกต้อง.
ความถูกต้องตามหลักพุทธศาสนา
พิสูจน์ได้.
คำว่า “ถูกต้อง”
ตามหลักของพระพุทธศาสนา นั้น หมายถึง
ลักษณะที่ไม่ทำให้เกิดปัญหาแก่ตัวเองและแก่ผู้อื่น;
ถูกต้องต่อการที่จะไม่ทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาทั้งแก่ตัวเองและแก่ผู้อื่น.
เมื่อมีการพิสูจน์ความมีประโยชน์เป็นอย่างนี้แล้ว ก็เรียกว่า
“ความถูกต้องตามหลักของพระพุทธศาสนา” ไม่ต้องใช้หลักปรัชญา
หลักตรรกวิทยาใดๆทั้งสิ้น. ถ้าไม่เกิดความทุกข์ขึ้นแก่ตัวผู้นั้น
และไม่ให้เกิดความทุกข์ขึ้นแก่ผู้อื่นที่เนื่องกันละก็เรียกว่า “ความถูกต้อง”.
ถูกต้องตามหลักมัชฌิมาปฏิปทา
ซึ่งเป็นหลักใหญ่ของพระพุทธศาสนา คือ ไม่มาก ไม่เกิน ไม่เอียง
ไปทางกามสุขัลลิกานุโยค ไม่เอียงไปทางอัตตกิลมถานุโยค คือ ไม่เปียกแฉะ
แล้วก็ไม่ไหม้เกรียม นี้คือความหมายของมัชฌิมาปฏิปทา.
หรือ ถูกต้องตามกฏของปฏิจจสมุปบาท ซึ่งหมายถึงการ
ขจัดเสียได้หรือป้องกันเสียได้ ซึ่งกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทที่จะทำให้เกิดทุกข์
จึงเกิดทุกข์ไม่ได้แก่ตัวผู้นั้น,
แล้วก็ไม่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์แก่บุคคลอื่นได้.
นี่เรียกว่า “ความถูกต้อง”
ความถูกต้องชนิดนี้เป็นที่ยอมรับของผู้มีปัญญาหรือวิญญูชน
คือผู้มีความรู้อันแท้จริง;
ยกเว้นอันธพาลซึ่งเขามีความถูกต้องเป็นอย่างอื่น.
ความถูกต้องในที่นี้เป็นของบัณฑิต ของวิญญูชนของผู้มีปัญญา.
นี่คือบทนิยามที่เอาความถูกต้องเป็นหลักของพระพุทธศาสนา.
หาความถูกต้องได้จากชีวิต
ที่เป็นไปอย่างถูกต้อง.
เดี๋ยวนี้เรามีความถูกต้องชนิดนี้อยู่ที่ตัวชีวิตของผู้ประพฤติปฏิบัติ
ซึ่งความเปลี่ยนแปลงจากปุถุชนคนไม่รู้ มาเป็นอริยชนคนที่รู้ และมีความประเสริฐ
ในตัวความเปลี่ยนแปลงนั้นต้องมีความถูกต้อง.
ถ้าไม่มีความถูกต้องมันก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงจากความผิดพลาด,
หรือมันเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่มีประโยชน์อะไร.
มันต้องมีความถูกต้องอยู่ในตัวการเปลี่ยนแปลง; การเปลี่ยนแปลงจึงเป็นไปในทางที่จะมีประโยชน์. ถ้าพูดตรงๆก็ว่า คนนั้นเปลี่ยนแปลง,
ชีวิตจิตใจนั้นมันเปลี่ยนแปลง. ในตัวความเปลี่ยนแปลง มีความถูกต้องของพระธรรม
ที่เป็นผลของการปฏิบัติหน้าที่ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ. ถ้าจะหาความถูกต้อง
ก็ต้องหาที่ชีวิตจิตใจซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างถูกต้อง.
ความถูกต้องนี้มีทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ; หมายความว่า
เกิดมาเป็นเด็ก แล้วก็เป็นวัยรุ่น, แล้วก็เป็นหนุ่มสาว, แล้วก็เป็นพ่อบ้านแม่เรือน
เป็นคนเฒ่าคนแก่ จนกระทั่งจะเน่าเข้าโลงไปในที่สุด;
ทุกตอนต้องมีความถูกต้อง
นี้เรียกว่าถูกต้องทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการของชีวิต. ขอให้สนใจ ให้รู้จักความถูกต้อง ดังที่กล่าวนี้
ก็จะพบตัวแท้ของสิ่งที่เรียกว่า “พระศาสนา”.
ตัวแท้ของพระศาสนามิได้อยู่ภายนอกของบุคคล. พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสว่า โลกก็ดี เหตุให้เกิดโลกก็ดี
ความดับสนิทแห่งโลกก็ดี ทางถึงความดับสนิทแห่งโลกก็ดี ตถาคตบัญญัติว่ามีอยู่
ดูได้ในร่างกายยาววาหนึ่งที่ยังเป็นๆ” มันต้องเป็นชีวิตที่กำลังเป็นอยู่
มีความเป็นไปเปลี่ยนแปลงได้เพราะการปฏิบัติธรรม,
ในตัวความเปลี่ยนแปลงนั้นต้องมีความถูกต้อง.
เมื่อพบ ตัวความถูกต้อง นั้นแล้วจะพบ
ตัวแท้ของพระศาสนา มิได้อยู่ที่ศาสนวัตถุ, มิได้อยู่ที่ศาสนพิธี,
มิได้อยู่ที่ศาสนบุคคล, และมิได้อยู่ที่แม้แก่ศาสนธรรม ที่เป็นเพียงหลักวิชา
หรือระบบการปฏิบัติที่กำลังปฏิบัติอยู่; แต่ยังมิได้รับผลของการปฏิบัติ; ตัวการปฏิบัติ ถ้ายังไม่ได้รับผลของการปฏิบัติ
ก็ยังไม่ถึงตัวแท้หรือหัวใจของพระศาสนา ซึ่งหมายถึง แก่นของพระศาสนา; อย่างที่สมเด็จพระบรมศาสดาท่านก็เคยตรัสเรียก
ซึ่งเราก็จะได้ดูกันต่อไป.
ข้อสังเกตว่ามีตัวแท้ของศาสนา.
ทีนี้จะขอร้องให้ตั้งข้อสังเกต
มีวิธีการที่จะสังเกตว่า เมื่อไรเรามีตัวแท้แห่งพระศาสนา? หรือว่า เราจะประเมินผลกันได้อย่างไร?
เรื่องทางจิตใจนี้ มันประเมินผลได้โดยวิธีอื่น;
ไม่ใช่ประเมินผลอย่างเดียวกับเรื่องทางวัตถุ.
แต่ก็มีทางที่จะประเมินผลได้โดยบุคคลนั้นเองเป็นผู้ประเมิน เพราะ ประเมินจากความรู้สึกที่อยู่ภายใน; ผลที่ประเมินได้เพื่อเป็นที่สังเกตเมื่อมีตัวแท้แห่งพระศาสนานั้น.
อาตมาอยากจะจำกัดความให้สั้นที่สุด ให้ง่ายที่สุด สำหรับผู้ที่สนใจจะศึกษา:-
ทางที่หนึ่ง คือ จิตเป็นอิสระ นี่เป็นผลที่จะสังเกตกันก่อนสิ่งอื่นทั้งหมดก็คือจิตเป็นอิสระ,
และ ถัดมา ก็คือ เกิดความรักผู้อื่น.
สำหรับจิตเป็นอิสระนั้น, เดี๋ยวนี้ จิตเป็นอิสระจากกิเลสคือไม่มีกิเลส,
กิเลสทำอะไรไม่ได้, ปราศจากความทุกข์, ไม่มีความทุกข์อันเกิดจากกิเลส,
หรือแม้ความทุกข์ที่มีอยู่ตามธรรมดาสามัญ
แม้จะเกิดอยู่ตามธรรมชาติก็ไม่ทำให้จิตใจนี้เป็นทุกข์ได้. แม้แต่การเป็นอยู่ประจำวัน
ก็ไม่มีนิวรณ์รบกวนจิตใจ. นี้เรียกว่าเป็นอิสระ, เป็นอิสระจากสิ่งที่กีดกันจิตไม่ให้มีสันติสุขหรือความสุข
ไม่ให้จิตตกเป็นทาสของวัตถุปัจจุบันใด ๆ
ไม่หลงใหลในสิ่งใดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของส่วนเกิน ที่มนุษย์เป็นทาสกันอยู่ในบัดนี้กินเกิน
แต่งเนื้อแต่งตัวเกิน บำรุงบำเรอเกิน อะไรก็ล้วนแต่เกิน. เดี๋ยวนี้ จิตเป็นอิสระจากสิ่งที่เรียกว่า”ส่วนเกิน”.
อีกทางหนึ่ง เรียกว่า “ความรักผู้อื่น”
บางคนจะฉงนว่า ทำไมความรักผู้อื่นนี้มันยากเย็นอะไรหนักหนา
จึงต้องอามาเป็นหัวใจของศาสนา, และเอามาไว้หลังจากที่จิตเป็นอิสระแล้ว?
อาตมาอยากจะขอร้องให้ท่านทั้งหลายทุกท่านพิจารณาดูว่า
ความรักผู้อื่น นี่มันยากหรือง่ายสักเท่าไร? อาตมาอยากจะพูดว่า ความรักผู้อื่น
นั้น กำลังหาไม่ได้ในโลกนี้ยิ่งขึ้นทุกที.
“รักผู้อื่น” ในที่นี้หมายถึงรักผู้อื่นจริงๆ ไม่ใช่รักลูกรักเมีย
รักผัวรักเพื่อน ที่มีประโยชน์ร่วมกันผูกพันกัน;
อย่างนี้มันไม่ใช่ผู้อื่น มันเป็นตัวเองอีกส่วนหนึ่ง อย่าไปเรียกว่าผู้อื่น.
ถ้า รักผู้อื่นมันหมายความว่า
รักผู้อื่นจริงๆ : รักเพื่อนบ้านจริงๆ ที่ไม่ใช่ลูกไม่ใช่เมีย ไม่ใช่เพื่อนกินเหล้าเมายา
ไม่ใช่เพื่อนกอบโกย ไม่ใช่เพื่อนสมคบกันหาประโยชน์เป็นพรรคเป็นพวกอย่างนี้. พวกเหล่านี้มันรวมอยู่ในตัวเอง
เป็นส่วนของตัวเองที่จะหาประโยชน์ให้แก่ตัวเอง.
ถ้า รักผู้อื่น มันต้อง หมายถึงผู้อื่นจริงๆ. ขอให้พิจารณาดูว่าใครบ้างกำลังรักผู้อื่น.
มันต้องมีจิตใจที่เป็นอิสระ
หลุดพ้นจากความเห็นแก่ตัวเท่านั้นจึงจะรักผู้อื่นได้; มิฉะนั้นแล้วมันก็ยากที่จะรักผู้อื่น. เราจะกล่าวได้ว่า ความรักผู้อื่นในโลกนี้
เดี๋ยวนี้จะหาทำยาหยอดตาก็ไม่ได้. อย่าว่าแต่จะหามาดูเล่นมากๆเลย,
หรือหามาดูให้ชื่นอกชื่นใจเลย หาทำยาหยอดตาก็แทบจะไม่ได้.
ทุกคน ไปสำนึกดูถึงความรู้สึกของตัวเอง
เรายังรักผู้อื่นไม่ได้ : เรากลัวเขาจะสวยกว่าเรา
เราก็ไม่รักเขา, เรากลัวเขาจะแต่งตัวสวยกว่าเรา เราก็ไม่รักเขา, เขาจะมีอะไรดีกว่าเรา
เราก็ไม่รักเขา. เขาจะมีเครื่องเพชรเครื่องพลอยเท่าเรา เราก็ไม่รักเขา,
เขาจะมีรถยนต์หรือบ้านดี สวย แพงกว่าเรา เราก็ไม่รักเขา, เขาจะมีเกียรติยศมากกว่าเรา
เราก็ไม่รักเขา, เขาเป็นคู่แข่งขันคู่ช่วงชิง คู่อิจฉาริษยา ในการทำงาน
ในชีวิตประจำวัน ในการเป็นอยู่ เราก็ไม่รักเขา.
นี้ตัวอย่างง่ายๆ ตัวอย่างต่ำๆ ที่เด็กก็พอเข้าใจได้,
และผู้ใหญ่ก็พอจะรู้สึกเพราะว่าเคยเป็นเด็กมาก่อน.
ต้องทำลายความเห็นแก่ตัวจึงจะรักผู้อื่นได้.
เมื่อเราอยากที่จะรักผู้อื่น
เปิดจิตใจของตัวเองดู ค้นหาให้พบความรักผู้อื่น. รักลูก รักเมีย รักผัว
นี่ยกเว้น; นี่ไม่ใช่ผู้อื่น.
ต้องเป็นผู้อื่นจริงๆ มันจะมีได้แต่พระอรหันต์ผู้หมดกิเลสแล้ว,
หรือจอมอรหันต์คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะรักผู้อื่นได้จริงๆ. ถ้ายังมีกิเลสที่เป็นเหตุให้เห็นแก่ตัวอยู่แล้ว
มันก็ครอบงำจิตใจของคนนั้นไม่ให้ลอดไปรักผู้อื่นได้.
ต้องทำลายความเห็นแก่ตัวได้แล้วเท่านั้น จึงจะรักผู้อื่นได้.
นี่ขอให้สังเกตให้ดีๆ
ตามหลักพระศาสนาว่า ถ้ายังมี “อหังการ มมังการ มานานุวัย” แล้ว
ไม่มีทางที่จะรักผู้อื่นได้. สิ่งนั้น
คือ ความเคยชินแห่งการยุดมั่นถือมั่นหมายว่าเรา ว่าของเรา. ปุถุชนทุกคนมีความเคยชินแห่งความมั่นหมายว่าของกู
ว่าของกูอยู่เป็นนิสัย; นี่คือสิ่งที่ทำให้รักผ฿อื่นไม่ได้. มัน ต้องหมดอหังการ มมังการ
มานานุสัย แล้ว จึงจะรักผู้อื่นได้; จึงมีแต่พระอรหันต์เท่านั้น; เว้นเสียแต่ว่าเขาจะมีจิตเป็นตอิสระ หลังจากที่ได้เข้าถึงตัวแท้แห่งพระศาสนาแล้ว
อย่างที่กล่าวมาหยกๆ ว่ามีความถูกต้องอยู่ในความเปลี่ยนแปลงแห่งชีวิต
ของผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมะ ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติถึงที่สุด ถึงตัวแท้ของพระศาสนา
กล่าวคือจิตเป็นอิสระ จิตเป็นอิสระก็รักผู้อื่นได้.
ทุกศาสนาสอนให้รักผู้อื่น.
ศาสนาทั้งหลายสอนเรื่องความรักผู้อื่น; ศาสนาที่ไม่สอนเรื่องความรักผู้อื่นไม่ใช่ศาสนา. ศาสนาคริสเตียนดูจะเน้นมากที่สุดเท่าที่ปรากฏอยู่. ศาสนาพุทธก็เน้นความรักผู้อื่นในอุดมคติพระโพธิสัตว์,
หรือให้ถือหลักว่า “สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ
ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น” นี่แหละจะต้องรักผู้อื่น; ไม่รักผู้อื่นแต่ปากพูดว่า “สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ
ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น”
นี้คือคนโกหกเป็นพุทธบริษัทที่โกหก, ปากว่า “สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์
เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น”;
แต่ไม่รักผู้อื่น.
ขอให้สนใจดูให้ดีเป็นพิเศษว่า ความรักผู้อื่นนั้นเป็นหัวใจของทุกศาสนา.
ถ้ามีความรักผู้อื่นแล้ว
เราฆ่าเขาไม่ได้, ถ้าเรามีความรักผู้อื่นแล้ว เรา ลักขโมยของเขาไม่ได้,
เรารักผู้อื่นแล้วเรา ล่วงกาเมฯ ในของรักของใคร่ของผู้อื่นไม่ได้, เรารักผู้อื่นแล้วเรา
พูดโกหกพูดเท็จหลอกลวงไม่ได้, เรารักผู้อื่นแล้วเราก็จะ ไม่ทำตนให้เป็นคนมึนเมาด้วยของเมา
ซึ่งมันกระทบกระทั่งผู้อื่น.
เรารักผู้อื่นแล้วเราก็ไม่กินเกิน, เราจะได้มีอะไรเหลือไว้ช่วยสงเคระห์ผู้อื่น
ทำให้โลกนี้อยู่กันเป็นผาสุก. นี่คือประโยชน์ของการรักผู้อื่น; ถือศีลเพียงข้อเดียวว่า “รักผู้อื่น” แล้วศีลทุกข้อก็จะสมบูรณ์,
จะเป็นการถือศาสนาทีเดียวทุกศาสนา พุทธ คริสต์ อิสลาม อะไรก็ตาม.
ทุกศาสนามีเน้นเรื่องรักผู้อื่น. การถือศีล “รักผู้อื่น”
ข้อเดียวเป็นการถือศีลในทุกศาสนา เป็นศาสนิกที่ดีของทุกศาสนาพร้อมกันไปในตัว.
ความรักผู้อื่นเพราะจิตเป็นอิสระ
นึคือผลแห่งการมีตัวแท้แห่งพระศาสนา. ขอให้ดูให้เห็นว่าเรามีหรือไม่?
“ธรรมะในฐานะที่เป็นตัวแทนแห่งศาสนา” คือ ความถูกต้องตามหลักของพระธรรม
ที่มีอยู่ที่ความเปลี่ยนแปลงของชีวิตจิตใจ ที่กำลังประพฤติปฏิบัติธรรมะในศาสนานั้นๆอยู่.
ไปหาดูที่อื่นไม่ได้; ต้องหาดูที่ตัวชีวิตจิตใจของตน ในขณะปฏิบัติธรรมะอยู่อย่างถูกต้อง; แล้วก็มีความถูกต้องอยู่ที่ความเปลี่ยนแปลง,
เปลี่ยนแปลงจากปุถุชนคนโง่คนพาล มาเป็นอริยชน
มาเป็นสัตบุรุษกระทั่งขั้นสูงสุดแห่งพระศาสนา, คือความเป็นพระอรหันต์
พุทธศาสนามีวิมุตติเป็นแก่น.
ส่วนเรื่องศาสนวัตถุ ศาสนพิธี ศาสนบุคคล
นั่นไม่ใช่ตัวแท้แห่งศาสนา; เป็นเครื่องรองรับเหมือนกับว่าต้นไม้;
ส่วนสำคัญที่ประเสริฐที่สุดคือแก่น. พระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างนี้ว่า พระศาสนามีวิมุตติเป็นแก่น
นอกนั้นเป็นเพียงของรอบนอก เป็นขุยแห้งๆอยู่ที่เปบลือก,
หรือว่าเป็นเปลือกชั้นนอกสุด, แล้วก็เป็นเปลือกชั้นใน, แล้วก็ถึงกระพี้
แล้วจึงจะถึงแก่นแห่งไม้นั้น. ศาสนวัตถุ
ศาสนพิธี ศาสนบุคคล ศาสนอะไรก็ตาม นี่เป็นเพียงขุยแห้งๆที่เปลือกนอก, เป็นเปลือกชั้นนอก
เป็นชั้นในแล้วก็เป็นกระพี้ กว่าจะถึงแก่น คือวิมุตติ
คือความถูกต้องของจิตใจจนจิตเป็นอิสระ ปรากฏออกมาเป็นบุคคลที่รักผู้อื่นได้; แก่นคือวิมุตติ. นี่กล่าวตาม พระพุทธภาษิตในพระบาลี.
เมื่อใดจิตวิมุตติเป็นอิสระออกมาได้จากความมีตัวกู-ของกู
เมื่อนั้นแหละคือแก่นแท้ของพระศาสนา, เป็นตัวแท้ของพระศาสนา, เป็นตัวธรรมะ
ในฐานะเป็นตัวแท้ของพระศาสนา, เน้นลงไปที่ตัวความถูกต้อง
ที่มีอยู่ในกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงของมนุษย์เรา. ที่ปฏิบัติธรรมะถูกต้องแล้ว
เกิดความเปลี่ยนแปลงในชีวิต,และเป็นไปได้ตามขั้นตอนแห่งวัฒนาการ. จึงเป็นเรื่องที่ยืดยาวมีความเปลี่ยนแปลงกว่าจะถึงที่สุด.
แต่ว่าในกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงนั้น
ต้องมีความถูกต้องของการประพฤติปฏิบัติจนเกิดผลขึ้นมา.
ขอให้มีตัวแท้ของพระศาสนาที่นี่,
มีหัวใจ มีแกนกลางของพระศาสนาปรากฏอยู่ในความรู้สึกของเราจงทุกๆคนเถิด, ก็จะไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา.
เวลาของปาฐกถาธรรมสิ้นสุดลงแล้ว
อาตมาขอยุติการบรรยายในวันนี้ไว้เพียงเท่านี้.
*********