หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2562

พุทธทาสภิกขุ - ธรรมะ ในฐานะ ที่เป็นตัวแท้ของศาสนา.

ธรรมะ ในฐานะ
ที่เป็นตัวแท้ของศาสนา.
15 เม.ย. 22




ท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจในธรรม ทั้งหลาย,
          การบรรยายปาฐกถาธรรมในวันนี้ อาตมาจะได้กล่าวโดยหัวข้อว่า “ธรรมะในฐานะที่เป็นตัวแท้ของศาสนา” คงจะมีหลายท่านมีความฉงนว่าอะไรเป็นตัวแท้ของศาสนา? ทำพไมต้องมีตัวแท้ของศาสนา? นั่นแหละคือปัญหาที่จะต้องทำความเข้าใจกันให้เพียงพอและจะได้ทำความเข้าใจกันในวันนี้.

ตัวแท้ของศาสนาอยู่ที่ความถูกต้อง.
          ตัวแท้ของศาสนาอยู่ที่ไหน? จะต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า ตัวแท้ของศาสนามิได้อยู่ที่ศาสนวัตถุ ศาสนพิธี ศาสนาบุคคล, หรือแม้แต่ศาสนาธรรมที่ชอบเรียกกัน.  สิ่งเหล่านั้นเป็นอุปกรณ์บ้านเป็นที่ตั้งที่อาศัย เป็นผู้ดำเนินงาน, หรือเป็นระเบียบงานที่จะต้องดำเนินบ้าง จนกว่าจะเกิดผลเป็นตัวแท้ของสิ่งที่เรียกหว่า “ศาสนา” ขึ้นมา.
          ศาสนวัตถุ วัตถุศักดิ์สิทธิ์ในศาสนา วัตถุที่เป็นสัญลักษณ์ของพระศาสนา กระทั่งสถานที่ที่เกี่ยวกับศาสนา เหล่านี้ก็ยังไม่ใช่ตัวแท้ของศาสนา; เป็นเพียงที่ตั้งที่อาศัย อันประกอบเป็นส่วนภายนอก.  วัตถุศักดิ์สิทธิ์เช่นพระเครื่องที่แขวนคอ เป็นต้น ก็ยังไม่ใช่ตัวแท้ของศาสนา; แต่อาจจะใช้เป็นอุปกรณ์สำหรับเข้าถึงตัวแท้ของศาสนาก็ได้.
          สำหรับศาสนพิธี ศาสนกิจ นี่มันเป็นเรื่องของพิธี. เรื่องของกิจกรรมที่เกี่ยวกับศาสนา ศาสนาตัวแท้อยู่ที่ตรงไหน? ก็จะต้องคอยดูกันต่อไป.
          ที่เรียกกันว่า “ศาสนบุคคล” บุคคลที่เกี่ยวกับศาสนา มีพระผู้ปฏิบัติ มีเจ้าหน้าที่ที่ดำเนินงานเกี่ยวกับศาสนา; แม้แต่คนเฝ้าวัดเฝ้าศาลาก็ยังรวมอยู่ในคำว่า “ศาสนบุคคล” ไม่ใช่ตัวแท้ของศาสนา.
          แม้แต่ ศาสนธรรม ที่เป็นตัวหลักวิชา  เป็นรูปแบบของการปฏิบัติที่ปฏิบัติอยู่. นี้ก็เป็นเรื่องวิชา เป็นเรื่องการปฏิบัติเพื่อให้ได้ลุถึงตัวแท้ของศาสนา.
          ทีนี้ตัวแท้ของศาสนาอยู่ที่ไหน? จะเอาอะไรเป็นหัวใจของศาสนา หรือเป็นจุดศูนย์กลาง nucleus ของสิ่งที่เรียกว่า “ศาสนา”? ข้อนี้จำเป็นต้องดูให้ลึกเข้าไปเป็นชั้นๆเพื่อให้เข้าถึงหัวใจหรือตัวแท้ของศาสนา.
          อาตมาอยากจะกล่าวบทนิยามให้เป็นที่ทราบกันเสียก่อนว่า “ตัวความถูกต้อง ที่มีอยู่ในความเปลี่ยนแปลงของชีวิตที่ประพฤติปฏิบัติพระศาสนาทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการของมัน”.  โปรดสังเกตว่า อาตมาระบุไปยัง ตัวความถูกต้อง ที่มีอยู่ที่ความเปลี่ยนแปลง อันเกิดขึ้นแก่ชีวิต ซึ่งได้ประพฤติปฏิบัติพระศาสนา, ได้มีความถูกต้องอันสืบเนื่องกันไปทุกขั้นทุกตอนแห่งวิวัฒนาการ.

ความถูกต้องคือธรรมะที่ไม่ทำให้เกิดทุกข์.
          ทีนี้ปัญหาก็จะเกิดขึ้นมาว่า อะไรคือความถูกต้อง? ความถูกต้องในที่นี้ถือตามหลักของพระศาสนา หรือพระพุทธศาสนาโดยตรงไม่ใช่ความถูกต้องตามหลักปรัชญาหรือหลักตรรกวิทยา ซึ่งฝากไว้กับเหตุผลแห่งการวิพากษ์วิจารณ์. เดี๋ยวนี้ เราจะเอาตัวความถูกต้อง ที่ปรากฏอยู่แก่ชีวิตจิตใจ ที่มีการประพฤติปฏิบัติพระศาสนามาเป็นอย่างดีแล้ว.
          จำเป็นจะต้องขอทบทวนความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่า “ธรรม” หรือ “ธรรมะ” อีกครั้งหนึ่ง เพราะว่า ตัวความถูกต้องนี้เป็นตัวธรรมะ ซึ่งมีความหมายอยู่ถึง 4 ประการ : ธรรมะ คือ ตัวธรรมชาติ. ธรรมะ คือ ตัวกฏของธรรมชาติ. ธรรมะ คือ หน้าที่ตามกฏธรรมชาติ. ธรรมะ คือ ตัวผลที่ได้รับจากการปกฏิบัติหน้าที่ถูกต้องตามกฏธรรมชาติ.
          เดี๋ยวนี้ก็เป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่า มี การปฏิบัติหน้าที่ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ  แล้วเกิดธรรมะในความหมายที่ 4 คือ “ผลแห่งการปฏิบัติตามหน้าที่” ในที่นี้หมายถึงความถูกต้องที่ได้เกิดขึ้นมาจากการปฏิบัติหน้าที่.  ความถูกต้องนั้นปรากฏอยู่ในความเปลี่ยนแปลงของชีวิตที่เคยโง่เคยหลง เคยเลว เคยระทมทุกข์ต่างๆ มาเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ตรงกันข้าม เพราะมันมีตัวความถูกต้อง.

ความถูกต้องตามหลักพุทธศาสนา พิสูจน์ได้.
          คำว่า “ถูกต้อง” ตามหลักของพระพุทธศาสนา  นั้น หมายถึง ลักษณะที่ไม่ทำให้เกิดปัญหาแก่ตัวเองและแก่ผู้อื่น; ถูกต้องต่อการที่จะไม่ทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมาทั้งแก่ตัวเองและแก่ผู้อื่น.  เมื่อมีการพิสูจน์ความมีประโยชน์เป็นอย่างนี้แล้ว ก็เรียกว่า “ความถูกต้องตามหลักของพระพุทธศาสนา” ไม่ต้องใช้หลักปรัชญา หลักตรรกวิทยาใดๆทั้งสิ้น.  ถ้าไม่เกิดความทุกข์ขึ้นแก่ตัวผู้นั้น และไม่ให้เกิดความทุกข์ขึ้นแก่ผู้อื่นที่เนื่องกันละก็เรียกว่า “ความถูกต้อง”.
          ถูกต้องตามหลักมัชฌิมาปฏิปทา ซึ่งเป็นหลักใหญ่ของพระพุทธศาสนา คือ ไม่มาก ไม่เกิน ไม่เอียง ไปทางกามสุขัลลิกานุโยค ไม่เอียงไปทางอัตตกิลมถานุโยค คือ ไม่เปียกแฉะ แล้วก็ไม่ไหม้เกรียม นี้คือความหมายของมัชฌิมาปฏิปทา.
          หรือ ถูกต้องตามกฏของปฏิจจสมุปบาท ซึ่งหมายถึงการ ขจัดเสียได้หรือป้องกันเสียได้ ซึ่งกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทที่จะทำให้เกิดทุกข์ จึงเกิดทุกข์ไม่ได้แก่ตัวผู้นั้น, แล้วก็ไม่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์แก่บุคคลอื่นได้.  นี่เรียกว่า “ความถูกต้อง” ความถูกต้องชนิดนี้เป็นที่ยอมรับของผู้มีปัญญาหรือวิญญูชน คือผู้มีความรู้อันแท้จริง; ยกเว้นอันธพาลซึ่งเขามีความถูกต้องเป็นอย่างอื่น.  ความถูกต้องในที่นี้เป็นของบัณฑิต ของวิญญูชนของผู้มีปัญญา.  นี่คือบทนิยามที่เอาความถูกต้องเป็นหลักของพระพุทธศาสนา.

หาความถูกต้องได้จากชีวิต
ที่เป็นไปอย่างถูกต้อง.
          เดี๋ยวนี้เรามีความถูกต้องชนิดนี้อยู่ที่ตัวชีวิตของผู้ประพฤติปฏิบัติ ซึ่งความเปลี่ยนแปลงจากปุถุชนคนไม่รู้ มาเป็นอริยชนคนที่รู้ และมีความประเสริฐ ในตัวความเปลี่ยนแปลงนั้นต้องมีความถูกต้อง.  ถ้าไม่มีความถูกต้องมันก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงจากความผิดพลาด, หรือมันเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่มีประโยชน์อะไร.  มันต้องมีความถูกต้องอยู่ในตัวการเปลี่ยนแปลง; การเปลี่ยนแปลงจึงเป็นไปในทางที่จะมีประโยชน์.  ถ้าพูดตรงๆก็ว่า คนนั้นเปลี่ยนแปลง, ชีวิตจิตใจนั้นมันเปลี่ยนแปลง.  ในตัวความเปลี่ยนแปลง มีความถูกต้องของพระธรรม ที่เป็นผลของการปฏิบัติหน้าที่ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ.  ถ้าจะหาความถูกต้อง ก็ต้องหาที่ชีวิตจิตใจซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างถูกต้อง.
          ความถูกต้องนี้มีทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ;  หมายความว่า เกิดมาเป็นเด็ก แล้วก็เป็นวัยรุ่น, แล้วก็เป็นหนุ่มสาว, แล้วก็เป็นพ่อบ้านแม่เรือน เป็นคนเฒ่าคนแก่ จนกระทั่งจะเน่าเข้าโลงไปในที่สุด; ทุกตอนต้องมีความถูกต้อง นี้เรียกว่าถูกต้องทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการของชีวิต.  ขอให้สนใจ ให้รู้จักความถูกต้อง ดังที่กล่าวนี้ ก็จะพบตัวแท้ของสิ่งที่เรียกว่า “พระศาสนา”.
          ตัวแท้ของพระศาสนามิได้อยู่ภายนอกของบุคคล.  พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสว่า โลกก็ดี เหตุให้เกิดโลกก็ดี ความดับสนิทแห่งโลกก็ดี ทางถึงความดับสนิทแห่งโลกก็ดี ตถาคตบัญญัติว่ามีอยู่ ดูได้ในร่างกายยาววาหนึ่งที่ยังเป็นๆ”  มันต้องเป็นชีวิตที่กำลังเป็นอยู่ มีความเป็นไปเปลี่ยนแปลงได้เพราะการปฏิบัติธรรม, ในตัวความเปลี่ยนแปลงนั้นต้องมีความถูกต้อง.
          เมื่อพบ ตัวความถูกต้อง นั้นแล้วจะพบ ตัวแท้ของพระศาสนา มิได้อยู่ที่ศาสนวัตถุ, มิได้อยู่ที่ศาสนพิธี, มิได้อยู่ที่ศาสนบุคคล, และมิได้อยู่ที่แม้แก่ศาสนธรรม ที่เป็นเพียงหลักวิชา หรือระบบการปฏิบัติที่กำลังปฏิบัติอยู่;  แต่ยังมิได้รับผลของการปฏิบัติ; ตัวการปฏิบัติ ถ้ายังไม่ได้รับผลของการปฏิบัติ ก็ยังไม่ถึงตัวแท้หรือหัวใจของพระศาสนา ซึ่งหมายถึง แก่นของพระศาสนา; อย่างที่สมเด็จพระบรมศาสดาท่านก็เคยตรัสเรียก ซึ่งเราก็จะได้ดูกันต่อไป.

ข้อสังเกตว่ามีตัวแท้ของศาสนา.
          ทีนี้จะขอร้องให้ตั้งข้อสังเกต มีวิธีการที่จะสังเกตว่า เมื่อไรเรามีตัวแท้แห่งพระศาสนา? หรือว่า เราจะประเมินผลกันได้อย่างไร? เรื่องทางจิตใจนี้ มันประเมินผลได้โดยวิธีอื่น; ไม่ใช่ประเมินผลอย่างเดียวกับเรื่องทางวัตถุ.  แต่ก็มีทางที่จะประเมินผลได้โดยบุคคลนั้นเองเป็นผู้ประเมิน เพราะ ประเมินจากความรู้สึกที่อยู่ภายใน;  ผลที่ประเมินได้เพื่อเป็นที่สังเกตเมื่อมีตัวแท้แห่งพระศาสนานั้น. อาตมาอยากจะจำกัดความให้สั้นที่สุด ให้ง่ายที่สุด สำหรับผู้ที่สนใจจะศึกษา:-
          ทางที่หนึ่ง คือ จิตเป็นอิสระ นี่เป็นผลที่จะสังเกตกันก่อนสิ่งอื่นทั้งหมดก็คือจิตเป็นอิสระ, และ ถัดมา ก็คือ เกิดความรักผู้อื่น.
          สำหรับจิตเป็นอิสระนั้น, เดี๋ยวนี้ จิตเป็นอิสระจากกิเลสคือไม่มีกิเลส, กิเลสทำอะไรไม่ได้, ปราศจากความทุกข์, ไม่มีความทุกข์อันเกิดจากกิเลส, หรือแม้ความทุกข์ที่มีอยู่ตามธรรมดาสามัญ แม้จะเกิดอยู่ตามธรรมชาติก็ไม่ทำให้จิตใจนี้เป็นทุกข์ได้.  แม้แต่การเป็นอยู่ประจำวัน ก็ไม่มีนิวรณ์รบกวนจิตใจ. นี้เรียกว่าเป็นอิสระ, เป็นอิสระจากสิ่งที่กีดกันจิตไม่ให้มีสันติสุขหรือความสุข ไม่ให้จิตตกเป็นทาสของวัตถุปัจจุบันใด  ๆ ไม่หลงใหลในสิ่งใดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของส่วนเกิน ที่มนุษย์เป็นทาสกันอยู่ในบัดนี้กินเกิน แต่งเนื้อแต่งตัวเกิน บำรุงบำเรอเกิน อะไรก็ล้วนแต่เกิน. เดี๋ยวนี้ จิตเป็นอิสระจากสิ่งที่เรียกว่า”ส่วนเกิน”.
          อีกทางหนึ่ง เรียกว่า “ความรักผู้อื่น” บางคนจะฉงนว่า ทำไมความรักผู้อื่นนี้มันยากเย็นอะไรหนักหนา จึงต้องอามาเป็นหัวใจของศาสนา, และเอามาไว้หลังจากที่จิตเป็นอิสระแล้ว?
          อาตมาอยากจะขอร้องให้ท่านทั้งหลายทุกท่านพิจารณาดูว่า ความรักผู้อื่น นี่มันยากหรือง่ายสักเท่าไร? อาตมาอยากจะพูดว่า ความรักผู้อื่น นั้น กำลังหาไม่ได้ในโลกนี้ยิ่งขึ้นทุกที.  “รักผู้อื่น” ในที่นี้หมายถึงรักผู้อื่นจริงๆ ไม่ใช่รักลูกรักเมีย รักผัวรักเพื่อน ที่มีประโยชน์ร่วมกันผูกพันกัน; อย่างนี้มันไม่ใช่ผู้อื่น มันเป็นตัวเองอีกส่วนหนึ่ง อย่าไปเรียกว่าผู้อื่น.
          ถ้า รักผู้อื่นมันหมายความว่า รักผู้อื่นจริงๆ : รักเพื่อนบ้านจริงๆ ที่ไม่ใช่ลูกไม่ใช่เมีย ไม่ใช่เพื่อนกินเหล้าเมายา ไม่ใช่เพื่อนกอบโกย ไม่ใช่เพื่อนสมคบกันหาประโยชน์เป็นพรรคเป็นพวกอย่างนี้. พวกเหล่านี้มันรวมอยู่ในตัวเอง เป็นส่วนของตัวเองที่จะหาประโยชน์ให้แก่ตัวเอง.  ถ้า รักผู้อื่น มันต้อง หมายถึงผู้อื่นจริงๆ. ขอให้พิจารณาดูว่าใครบ้างกำลังรักผู้อื่น.
          มันต้องมีจิตใจที่เป็นอิสระ หลุดพ้นจากความเห็นแก่ตัวเท่านั้นจึงจะรักผู้อื่นได้; มิฉะนั้นแล้วมันก็ยากที่จะรักผู้อื่น.  เราจะกล่าวได้ว่า ความรักผู้อื่นในโลกนี้ เดี๋ยวนี้จะหาทำยาหยอดตาก็ไม่ได้. อย่าว่าแต่จะหามาดูเล่นมากๆเลย, หรือหามาดูให้ชื่นอกชื่นใจเลย หาทำยาหยอดตาก็แทบจะไม่ได้.
          ทุกคน ไปสำนึกดูถึงความรู้สึกของตัวเอง เรายังรักผู้อื่นไม่ได้ : เรากลัวเขาจะสวยกว่าเรา เราก็ไม่รักเขา, เรากลัวเขาจะแต่งตัวสวยกว่าเรา เราก็ไม่รักเขา, เขาจะมีอะไรดีกว่าเรา เราก็ไม่รักเขา. เขาจะมีเครื่องเพชรเครื่องพลอยเท่าเรา เราก็ไม่รักเขา, เขาจะมีรถยนต์หรือบ้านดี สวย แพงกว่าเรา เราก็ไม่รักเขา, เขาจะมีเกียรติยศมากกว่าเรา เราก็ไม่รักเขา, เขาเป็นคู่แข่งขันคู่ช่วงชิง คู่อิจฉาริษยา ในการทำงาน ในชีวิตประจำวัน ในการเป็นอยู่ เราก็ไม่รักเขา.  นี้ตัวอย่างง่ายๆ ตัวอย่างต่ำๆ ที่เด็กก็พอเข้าใจได้, และผู้ใหญ่ก็พอจะรู้สึกเพราะว่าเคยเป็นเด็กมาก่อน.
ต้องทำลายความเห็นแก่ตัวจึงจะรักผู้อื่นได้.
          เมื่อเราอยากที่จะรักผู้อื่น เปิดจิตใจของตัวเองดู ค้นหาให้พบความรักผู้อื่น. รักลูก รักเมีย รักผัว นี่ยกเว้น; นี่ไม่ใช่ผู้อื่น.  ต้องเป็นผู้อื่นจริงๆ มันจะมีได้แต่พระอรหันต์ผู้หมดกิเลสแล้ว, หรือจอมอรหันต์คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะรักผู้อื่นได้จริงๆ.  ถ้ายังมีกิเลสที่เป็นเหตุให้เห็นแก่ตัวอยู่แล้ว มันก็ครอบงำจิตใจของคนนั้นไม่ให้ลอดไปรักผู้อื่นได้. ต้องทำลายความเห็นแก่ตัวได้แล้วเท่านั้น จึงจะรักผู้อื่นได้.
          นี่ขอให้สังเกตให้ดีๆ ตามหลักพระศาสนาว่า ถ้ายังมี “อหังการ มมังการ มานานุวัย” แล้ว ไม่มีทางที่จะรักผู้อื่นได้.  สิ่งนั้น คือ ความเคยชินแห่งการยุดมั่นถือมั่นหมายว่าเรา ว่าของเรา.  ปุถุชนทุกคนมีความเคยชินแห่งความมั่นหมายว่าของกู ว่าของกูอยู่เป็นนิสัย; นี่คือสิ่งที่ทำให้รักผ฿อื่นไม่ได้. มัน ต้องหมดอหังการ มมังการ มานานุสัย แล้ว จึงจะรักผู้อื่นได้;  จึงมีแต่พระอรหันต์เท่านั้น; เว้นเสียแต่ว่าเขาจะมีจิตเป็นตอิสระ หลังจากที่ได้เข้าถึงตัวแท้แห่งพระศาสนาแล้ว อย่างที่กล่าวมาหยกๆ ว่ามีความถูกต้องอยู่ในความเปลี่ยนแปลงแห่งชีวิต ของผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมะ ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติถึงที่สุด ถึงตัวแท้ของพระศาสนา กล่าวคือจิตเป็นอิสระ จิตเป็นอิสระก็รักผู้อื่นได้.

ทุกศาสนาสอนให้รักผู้อื่น.
          ศาสนาทั้งหลายสอนเรื่องความรักผู้อื่น;  ศาสนาที่ไม่สอนเรื่องความรักผู้อื่นไม่ใช่ศาสนา.  ศาสนาคริสเตียนดูจะเน้นมากที่สุดเท่าที่ปรากฏอยู่.  ศาสนาพุทธก็เน้นความรักผู้อื่นในอุดมคติพระโพธิสัตว์, หรือให้ถือหลักว่า “สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น” นี่แหละจะต้องรักผู้อื่น; ไม่รักผู้อื่นแต่ปากพูดว่า “สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น”  นี้คือคนโกหกเป็นพุทธบริษัทที่โกหก, ปากว่า “สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น”; แต่ไม่รักผู้อื่น.
          ขอให้สนใจดูให้ดีเป็นพิเศษว่า ความรักผู้อื่นนั้นเป็นหัวใจของทุกศาสนา.
          ถ้ามีความรักผู้อื่นแล้ว เราฆ่าเขาไม่ได้, ถ้าเรามีความรักผู้อื่นแล้ว เรา ลักขโมยของเขาไม่ได้, เรารักผู้อื่นแล้วเรา ล่วงกาเมฯ ในของรักของใคร่ของผู้อื่นไม่ได้, เรารักผู้อื่นแล้วเรา พูดโกหกพูดเท็จหลอกลวงไม่ได้, เรารักผู้อื่นแล้วเราก็จะ ไม่ทำตนให้เป็นคนมึนเมาด้วยของเมา ซึ่งมันกระทบกระทั่งผู้อื่น.
          เรารักผู้อื่นแล้วเราก็ไม่กินเกิน, เราจะได้มีอะไรเหลือไว้ช่วยสงเคระห์ผู้อื่น ทำให้โลกนี้อยู่กันเป็นผาสุก. นี่คือประโยชน์ของการรักผู้อื่น; ถือศีลเพียงข้อเดียวว่า “รักผู้อื่น” แล้วศีลทุกข้อก็จะสมบูรณ์, จะเป็นการถือศาสนาทีเดียวทุกศาสนา พุทธ คริสต์ อิสลาม อะไรก็ตาม. ทุกศาสนามีเน้นเรื่องรักผู้อื่น. การถือศีล “รักผู้อื่น” ข้อเดียวเป็นการถือศีลในทุกศาสนา เป็นศาสนิกที่ดีของทุกศาสนาพร้อมกันไปในตัว.
          ความรักผู้อื่นเพราะจิตเป็นอิสระ นึคือผลแห่งการมีตัวแท้แห่งพระศาสนา.  ขอให้ดูให้เห็นว่าเรามีหรือไม่? “ธรรมะในฐานะที่เป็นตัวแทนแห่งศาสนา” คือ ความถูกต้องตามหลักของพระธรรม ที่มีอยู่ที่ความเปลี่ยนแปลงของชีวิตจิตใจ ที่กำลังประพฤติปฏิบัติธรรมะในศาสนานั้นๆอยู่. ไปหาดูที่อื่นไม่ได้ต้องหาดูที่ตัวชีวิตจิตใจของตน ในขณะปฏิบัติธรรมะอยู่อย่างถูกต้อง; แล้วก็มีความถูกต้องอยู่ที่ความเปลี่ยนแปลง, เปลี่ยนแปลงจากปุถุชนคนโง่คนพาล มาเป็นอริยชน มาเป็นสัตบุรุษกระทั่งขั้นสูงสุดแห่งพระศาสนา, คือความเป็นพระอรหันต์

พุทธศาสนามีวิมุตติเป็นแก่น.
          ส่วนเรื่องศาสนวัตถุ ศาสนพิธี ศาสนบุคคล นั่นไม่ใช่ตัวแท้แห่งศาสนา; เป็นเครื่องรองรับเหมือนกับว่าต้นไม้; ส่วนสำคัญที่ประเสริฐที่สุดคือแก่น. พระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างนี้ว่า พระศาสนามีวิมุตติเป็นแก่น นอกนั้นเป็นเพียงของรอบนอก เป็นขุยแห้งๆอยู่ที่เปบลือก, หรือว่าเป็นเปลือกชั้นนอกสุด, แล้วก็เป็นเปลือกชั้นใน, แล้วก็ถึงกระพี้ แล้วจึงจะถึงแก่นแห่งไม้นั้น.  ศาสนวัตถุ ศาสนพิธี ศาสนบุคคล ศาสนอะไรก็ตาม นี่เป็นเพียงขุยแห้งๆที่เปลือกนอก, เป็นเปลือกชั้นนอก เป็นชั้นในแล้วก็เป็นกระพี้ กว่าจะถึงแก่น คือวิมุตติ คือความถูกต้องของจิตใจจนจิตเป็นอิสระ ปรากฏออกมาเป็นบุคคลที่รักผู้อื่นได้; แก่นคือวิมุตติ.  นี่กล่าวตาม พระพุทธภาษิตในพระบาลี.
          เมื่อใดจิตวิมุตติเป็นอิสระออกมาได้จากความมีตัวกู-ของกู เมื่อนั้นแหละคือแก่นแท้ของพระศาสนา, เป็นตัวแท้ของพระศาสนา, เป็นตัวธรรมะ ในฐานะเป็นตัวแท้ของพระศาสนา, เน้นลงไปที่ตัวความถูกต้อง ที่มีอยู่ในกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงของมนุษย์เรา. ที่ปฏิบัติธรรมะถูกต้องแล้ว เกิดความเปลี่ยนแปลงในชีวิต,และเป็นไปได้ตามขั้นตอนแห่งวัฒนาการ. จึงเป็นเรื่องที่ยืดยาวมีความเปลี่ยนแปลงกว่าจะถึงที่สุด. แต่ว่าในกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงนั้น ต้องมีความถูกต้องของการประพฤติปฏิบัติจนเกิดผลขึ้นมา.
          ขอให้มีตัวแท้ของพระศาสนาที่นี่, มีหัวใจ มีแกนกลางของพระศาสนาปรากฏอยู่ในความรู้สึกของเราจงทุกๆคนเถิด, ก็จะไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา.

          เวลาของปาฐกถาธรรมสิ้นสุดลงแล้ว อาตมาขอยุติการบรรยายในวันนี้ไว้เพียงเท่านี้.

*********


วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2562

พุทธทาสภิกขุ - ธรรมะ ในฐานะที่เป็นเอกลักษณ์ไทย

ธรรมะ ในฐานะ
ที่เป็นเอกลักษณ์ไทย.
18 มี.ค. 22



ท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจในธรรม ทั้งหลาย
          การบรรยายปาฐกถาธรรมในวันนี้ อาตมาจะได้กล่าวในหัวข้อว่า “ธรรมะในฐานะที่เป็นเอกลักษณ์ไทย” คงจะมีผู้สงสัยว่า ธรรมะไหนกันที่จะเป็นเอกลักษณ์ไทย? อาตมาตอบว่าธรรมะข้อที่เป็นหัวใจของทุกๆศาสนา ได้แก่ธรรมะที่ว่า ความรักผู้อื่น.

ทุกศาสนาสอนให้รักผู้อื่น.
          ตอนนี้ต้องทำความเข้าใจกันเสียก่อนว่า ทุกศาสนามีหัวใจของการสั่งสอนอยู่ที่ให้รักผู้อื่น.  อย่างใรบางศาสนาก็ว่า “รักเขาเหมือนที่พระจ้ารักเรา” หรือจะพูดอย่างพุทธศาสนาก็ว่า “รักเขายิ่งกว่าตัวเรา” เหมือนพระโพธิสัตว์รักผู้อื่นยิ่งกว่าตัว. รวามความแล้วก็คือ การรักผู้อื่น; เพราะว่าทุกศาสนาต้องการจะกำจัดความเห้นแก่ตัว, จึงได้สอนให้รักผู้อี่น; เมื่อรักผู้อื่นก็กำจัดความเห็นแก่ตัวโดยอัตโนมัติ.
          สำหรับ พุทธบริษัทชาวไทยเรานั้น ได้รับการอบรมสั่งสอนมาตลอดเวลา ว่าให้ให้ทาน ให้รักษาศีลเจริญเมตตาภาวนาอยู่เป็นนิตย์.
          ขอให้สนใจคำว่า “เมตตาภาวนา” ให้เจริญเมตตาภาวนาอยู่เป็นนิตย์, ให้จิตประกอบ ไปด้วยเมตตา รักใคร่ผู้อื่น สัตว์อื่น ถึงกับว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น.
          ให้ทาน ก็สงเคราะห์ผู้อื่นและรักผู้อื่น, รักษาศีล ก็เพื่อไม่กระทบกระทั่งผู้อื่น ก็เพราะรักผู้อื่น; ยิ่งเมื่อมีความรักผู้อื่นอยู่แล้ว มันก็เป็นการปฏิบัติครบทุกหัวข้อ หรือทุกแง่ทุกมุม.  มีความรักผู้อื่นอยู่เป็นนิตย์ จนเป็นนิสัยขอิงคนไทยที่เรียกว่า ดินแดนคนยิ้ม, เป็นเมืองคนยิ้ม, ยิ้มเพราะเมตตารักใคร่ซึ่งกันและกัน; จะเป็นแขกแปลกหน้ามา หรือเป็นคนกันเองบ้านเดียวกัน ยิ้มเสมอ.  ไทยเรารับการอบรมมาอย่างนี้ จึงเกิดมีนิสัยยิ้มเสมอ.
          เราได้รับการศึกษาให้รักผู้อื่น จนเกิดเป็นธรรมเนียมขึ้นมาเองว่า ถ้าใครมีเงินเหลือใช้ก็สร้างวัด; แม้แต่จะสร้างวัดให้เด็กๆเขาวิ่งเล่น มันก็เพื่อรักผู้อื่น.  ถ้ามีเงินเหลือใช้ก็ไปสร้างศาลาเป็นทาน, ให้การพักผ่อนแก่คนเดินทาง. สมัยอาตมาเป็นเด็กยังเคยเห็นศาชาชนิดนี้; บางแห่งมีข้าวสารปลาแห้งมีอะไรไว้ครบถ้วน. นี้เรียกว่าผู้ที่ร่ำรวยแล้วมีเงินเหลือก็สร้างวัด ไม่ได้เอามาสร้างสถานอาบอบนวด หรือกิจกรรมอบายมุขอันใหญ่โตมโหฬารอย่างใดอย่างหนึ่ง.
          นี่แหละคือ นิสัยสันดานแห่งความรักผู้อื่นของคนไทยเรา.  เดี๋ยวนี้เราก็ยอมรับผู้ลี้ภัยสงครามหรือภัยการเมืองเอาไว้เกือบจะเต็มบ้านเต็มเมือง; ทำไปได้ ก็ได้อ่าศัยที่ว่าเรามีนิสัยรักผู้อื่น ผ่อนผันแก่ผู้อื่น เสียสละแก่ผู้อื่น. คนร่ำรวยก็อยู่อย่างเป็นเพื่อนกับคนยากจน ที่เรียกว่าพ่อเลี้ยง.
          มีคำเรียกที่ว่า “พ่อเลี้ยง” ถ้าเป็นความหมายที่ถูกต้องบริสุทธิ์แล้วก็ไม่ใช่นายทุนกระดาษซับ.  นายทุนกระดาษซับ กับ พ่อเลี้ยง นี้จะต้องต่างกันอย่างตรงข้าม; อันหนึ่งเป็นมิตรกับคนจน. อันหนึ่งไม่มีทางที่จะเป็นมิตรกับคนจน เพราะว่าไม่ได้รักผู้อื่น.
          ขอให้สนใจความที่ คนไทยมีความรักผู้อื่น อยู่ในสายเลือด เพราะมีพระพุทธศาสนาอยู่ในสายเลือด, เพราะมีธรรมะอยู่ในพระพุทธศาสนาที่ว่าให้รักผู้อื่น มีการรักผู้อื่นเป็นรากฐานของศีลธรรมทั้งปวง.
          อาตมาขอร้องให้ท่านทั้งหลายได้พิจารณาโดยละเอียดสักหน่อย อย่าเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ คือ คำว่า “รักผู้อื่น” เพียง คำเดียวเท่านั้นแหละพอ. มันพอไปทุกอย่างทุกประการ ในการที่จะแก้ปัญหาอันเกี่ยวกับสันติสุขและสันติภาพของคนเรา : รักผู้อื่นคำเดียวมันก็ทำให้ศีล 5 บริสุทธิ์.
          เมื่อรักผู้อื่นแล้วจะไปฆ่า ไปทำอันตรายเขาได้อย่างไร มันทำไม่ได้ศีลข้อที่ 1 ก็สมบูรณ์.
          เมื่อรักผู้อื่นแล้วจะไปขโมยหลอกลวงยักยอกเขาได้อย่างไร ศีงข้อ 2 ก็สมบูรณ์.
          เมื่อรักผู้อื่นแล้วก็ไปประพฤติผิดในกาม ล่วงละเมิดของรักของใคร่ของผู้อื่นได้อย่างไร มันก็ย่อมเป็นไปไม่ได้. ศีลข้อ 3 ก็สมบูรณ์.
          เมื่อรักผู้อื่นแล้วก็ไปโกหกหลอกลวงเค้าไม่ได้ ศีลข้อ 54 ก็สมบูรณ์.
          เมื่อรักผู้อื่นแล้วก็ไปดื่มไปกินของเมาที่เป็นที่ตั้งแห่งการประทุษร้ายผู้อื่นไม่ได้, ก็เลิกกินของเมา. ศีลข้อ 5 บริสุทธิ์บริบูรณ์เต็มตามที่ปรารถนา.
          เดี๋ยวนี้รับศีล 5 กันเท่าไรๆ; ศีล 5 มันก็ไม่บริบูรณ์ ไม่เกิดขึ้นได้ด้วยซ้ำไป; เพราะมันไม่มีการรักผู้อื่นเป็นต้นทุน.
          ฉะนั้นขอให้นึกถึงคำว่า “รักผู้อื่น” เป็นศีลข้อเดียว, แล้วมันกห็ทำให้ศีล 5 ข้อ 10 ข้อ หรือกี่ร้อยข้อบริบูรณ์ได้ ลองคิดดู:-
1.                 เมื่อรักผู้อื่นแล้วก็จะมีส่วนเกินไว้ช่วยเหลือกันและกัน ไม่ใช้เกินไม่กินเกิน.  นี่เป็นเหตุให้มีส่วนเกินสำหรับจะช่วยเหลือผู้อื่น เดี๋ยวนี้เราเกือบจะไม่มีใครที่นึกถึงผู้อี่น, หรือตระเตรียมส่วนเกินไว้สำหรับช่วยเหลือผู้อื่น.
2.                 เมื่อรักผู้อื่นแล้วก็ ทำคอรัปชั่นไม่ได้.  เรื่องทำการคอรัปชั่นนี้ต้องเป็นการเสียหายแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง.
3.                 รักผู้อื่นแล้วก็ เป็นอันธพาลไม่ได้. อันธพาลเต็มไปทั่วบ้านทั่วเมือง กลางวันแสกๆ ในนครหลวงก็ยังมีอันธพาล, ทารุณโหดร้ายเหลือประมาณอย่างน่าขยะแขยง.  นี่ก็เพราะว่า ไม่มีความรู้สึกรักผู้อื่น ไม่เคยรักเพื่อนมนุษย์เลย.
4.                 เมื่อรักผู้อื่นแล้วมันก็ ซื่อสัตย์ กตัญญูกตเวทีสามัคคีกัน เป็นอย่างยิ่ง . เดี๋ยวนี้ไม่มีความซื่อสัตย์ต่อกันและกันเลย เพราะไม่เคยรักใคร.
5.                 เมื่อรักคนอื่นแล้ว ก็พร้อมที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในกิจกรรมอันเป็นประโยชน์อย่างสูงสุดแก่มนุษย์ เช่น กิจกรรมสหกรณ์; ที่เป็นไปไม่ได้ก็เพราะไม่มีใครรักใคร พร้อมที่จะเป็นสหโกงอยู่ตลอดเวลา.
โลกขาดสันติภาพ เพราะไม่มีความรักผู้อื่น.
          ขอให้ดูให้กว้างออกไปจะพบว่า โลกเรานี้ขาดสันติภาพ ทั้งที่เป็นส่วนตัวและส่วนรวม นี่ก็เพราะว่าขาดความรักผู้อื่นเพียงข้อเดียวเท่านั้น.  ถ้ารักผู้อื่นแล้วก็ทำความสันติสุขให้เกิดขึ้น ทั้งที่เป็นส่วนบุคคลและเป็นส่วนรวม.  เดี๋ยวนี้เต็มไปด้วยการทะเลาะวิวาท เป็นวิกฤตการณ์ถาวรในโลก.  องค์การสหประชาชาติก็ไม่ประสบความสำเร็จในอุดมคติขององค์การ, องค์การสหประชาชาติไม่มีเวลาทำให้ใครรักกันได้; เพราะว่าองค์การสหประชาชาติเองติดธุระแต่จะปรองดองเกลี้ยกล่อมการทะเลาะวิวาทให้คืนดีกัน, แล้วก็ทำไปได้อย่างกับจับปูใส่กระด้ง คือไม่มีที่สิ้นสุด; เพราะพื้นฐานของมนุษย์มันขาดความรักผู้อื่น.
          ถ้าแต่ละชาติแต่ละประเทศ มีความรักผู้อื่นตามเจตนารมณ์แห่งศาสนาของตนๆแล้ว; องค์การสหประชาชาติไม่ต้องมีก็ได้ เพราะว่าจะไม่มีใครเบียดเบียนใคร. กิจกรรมอย่างอื่นขององค์กรสหประชาชาติที่ยังเป็นไปไม่ได้ก็เพราะมูลเหตุอันเดียวกัน คือขาดความรักผู้อื่น.  กล่าวคือความรักสากลในหมู่มนุษย์นั่นเอง.

เอกลักษณ์ไทย
หมายถึงเป็นอิสระจากกิเลส
          ทีนี้เรามาพิจารณากันดูถึง เอกลักษณ์ไทย หรือ  ความเป็นไทย กันบ้าง, คำว่า “ไทย” แปลว่า “อิสระ” มีความเป็นอิสระ.  คำว่า “ธรรม” มันก็หมาบถึงความเป็นอิสระ ความถูกต้อง ความดี ความจริง ความยุติธรรม หรือความเป็นธรรม ก็หมายถึงการเป็นอิสระจากกิเลส.
          คำว่า “ไทย” กับคำว่า “ธรรม” มีความหมายหรือใจความสำคัญตรงกันที่ว่าเป็นอิสระ; เพราะฉะนั้น ธรรมะจึงเป็นเอกลักษณ์ของไทย.  ไทยเป็นอิสระจากกิเลส คือความเห็นแก่ตัว; ถ้าใครตกอยู่ใต้ความเห็นแก่ตัวก็ไม่ใฝช่ไทยเพราะไม่เป็นอิสระ.  คำว่าไทยต้องเป็นอิสระ, อิสระจากความเลวความชั่วจากกิเลส จากความเห็นแก่ตัว.  ดังนั้น คนไทยจึงอาจรักผู้อื่น สามารถรักผู้อื่น และได้รักผู้อื่น คือรักซึ่งกันและกันจนกลายเป็นเอกลักษณ์ไทย คือยิ้มเสมอ รวมความว่า “รักผู้อื่น” คือเอกลักษณ์ไทย.
          เราอย่าไปเอาอะไรบางอย่าง ที่ไม่ใช่เอกลักษณ์ของไทยมาเป็นเอกลักษณ์ไทย.  ต้องขอย้ำอีกครั้งว่าบ้านเรือนทรงไทยไม่ใช่เอกลักษณ์ไทย; แต่ร้านหม้อน้ำตั้งให้คนกินหน้าบ้าน ม้าตักบาตรถาวรปักแน่นอยู่ในแผ่นดิน นั่นแหละคือเอกลักษณ์ไทย เพราะเป็นสัญลักษณ์ของการรักผู้อื่น.  เครื่องลายไทย ศิลปไทย เพลงไทย ดนตรีไทย อะไรๆต่างๆก็ไม่ใช่เอกลักษณ์ไทย เพราะมันยังไม่แสดงลักษณะของความรักผู้อื่น, รำไทย เช่น โดขน ไปพิจารณาดูที่โขน หน้าตาอย่างตัวโขน ตัวเอกของโขน เช่น ทศกัณฑ์อย่างนี้ มันจะรักใคร่ได้ และมันจะอยู่ในลักษณะที่ใครจะรักหรือน่ารักสำหรับใคร.  เพราะฉะนั้นเราก็ต้องเพ่งเล็งถึง เอกลักษณ์ไทย คือความเป็นอิสระจากกิเลส ที่เป็นเหตุให้ไม่รักกัน คือ ความเห็นแก่ตัวนั่นแหละมันทำให้ไม่รักกัน; ถ้าไม่เห็นแก่ตัวมันก็รักกัน.
          ดูกันง่ายๆแม้ในที่สุด, แม้แต่ว่าให้ลูกกินนมกระป๋องนี้ไม่ใช่เอกลักษณ์ไทย.  เอกลักษณ์ไทยลูกต้องกินนมแม่อย่างนี้. แม่เห็นแก่อะไรก็ไม่รู้ไม่อยากให้ลูกกินนม; ต้องให้กินนมกระป๋อง.  เด็กๆก็เลยไปรักกระป๋องไม่รักหัวอกแม่.  เด็กอาจจะรักกระป๋องนมหรือขวดดูดนม ไม่เคยรักหัวอกแม่.  แล้วปัญหามันเกิดขึ้นอย่างไรบ้าง? ก็ขอให้คิดดูให้ดี.

เมื่อรักผู้อื่น ต้องไม่มีความเห็นแก่ตัว.
          เกี่ยวกับความรัก นี้ จะต้องมองกันให้ถึงที่สุดอีกอย่างหนึ่งว่า ถ้ารักผู้อื่นก็หมดความเห็นแก่ตัว.  ความรักผู้อื่นถึงที่สุดได้โดยอัตโนมัติเมื่อหมดความเห็นแก่ตัว, หรือเมื่อหมดความเห็นแก่ตัว ความรักผู้อื่นก็จะเกิดขึ้นถึงที่สุดได้โดยอัตโนมัติ.  ความรักผู้อื่นมันขึ้นอยู่กับการทำลายความเห็นแก่ตัว หรือหมดความเห็นแก่ตัวอย่างนี้ หมดตัวนั่นแหละคือรักผู้อื่น.
          พระเมตตาคุณของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นพระเมตตาคุณชนิดที่ไม่มีตัวตน ของบุคคลผู้ไม่มีความรู้สึกว่ามีตัวตน.  เมื่อหมดความยึดมั่นถือตัวถือตน จึงจะรักผู้อื่นถึงที่สุด. พระเมตตาของพระองค์จึงเป็นอย่างอนัตตาคือไม่มีตัวตนสำหรับจะยึดถือ หรือสำหรับจะเห็นแก่ตน เมื่อเรามาพิจารณาดูให้ดีจะเห็นว่า ความเห็นแก่ตัวตนนี้เป็นศัตรูของมนุษย์ นั่นเอง.
          อาตมาอยากจะขอย้ำถึงสัตว์ 3 ชนิด ที่เอ่ยถึงมาแล้วในการบรรยายครั้งก่อนอีกทีหนึ่งว่า สัตว์ 3 ชนิดนั่นชนิดไหนมันมีเอกลักษณ์ไทย?
          สัตว์เศรษฐกิจ สัตว์สังคม สัตว์การเมือง นี่มีเอกลักษณ์ไทยไหม? สัตว์ศีลธรรม สัตว์ศาสนา สัตว์สันติภาพ 3 ตัวนี้มีเอกลักษณ์ไทยไหม? มีอยู่เป็น 2 ชุด ชุดละ 3 ตัว ชุดไหนมีเอกลักษณ์ไทย? ทำไมต้องเรียกว่า สัตว์เศรษฐกิจ? เพราะมันเห็นแก่ประโยชน์ตัวมากเกินไป.  ทำไมเรียกว่า สัตว์สังคม? เพราะมันเห็นแก่ความหรูหราเด่นในสังคมากเกินไป.  ทำไมจึงเรียกว่า “สัตว์การเมือง?” เพราะมันใช้วิธีการเล่ห์เหลี่ยมในการกอบโกยมากเกินไป.  อย่างนี้มันไม่เป็นเอกลักษณ์ไทยได้; เพราะเอกลักษณ์ไทยต้องชนะความเห็นแก่ตัว, ต้องเห็นแก่ผู้อื่น.
          เราจะพูดกันในแง่การเมืองกันบ้างว่า ประชาธิปไตยชนิดที่ถือตัวใครตัวมัน นั่นไม่ใช่เอกลักษณ์ไทย; เอาไปเสียให้พ้น; จะอ้างสิทธิยังไม่ได้ว่าเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน.  ถ้าเป็นของเสมอกันก็ไม่ใช่สำหรับตัวใครตัวมัน; แต่สำหรับจะมาเป็นตัวตนแห่งความรักซึ่งกันและกัน.  การแบ่งพรรคเพื่อเก่งแย่งกันไม่ใช่เอกลักษณ์ไทย.  การแบ่งพรรคอะไร ชนิดไหนที่เพื่อแก่งแย่งกันก็ไม่ใช่เอกลักษณ์ไทย.  การรักผู้อื่น ทำให้รู้จักปรองดองในการดำเนินงานของหมู่คณะนั่นแหละเป็นเอกลักษณ์ไทย.

“รักผู้อื่น” เป็นธรรมสูงสุด
ทำให้ไม่เบียดเบียนกัน.
          โลกกำลังมีการศึกษาผิดพลาด  ที่ทำให้เกิดประชาธิปไตยชนิดตัวใครตัวมัน;  แทนที่จะมีความรักอย่างสากล.  ดูกันในแง่ของธรรมชาติบ้างก็ได้ว่า เรามีสัญชาตญาณแห่งการอยู่กันเป็นหมู่.  ท่านที่ได้ศึกษาชีววิทยาเกี่ยวกับสัญชาตญาณของสัตว์แล้ว ก็ได้รับการอธิบายชี้แจงมาอย่างชัดแจ้งแล้วว่า สัตว์นี้มีสัญชาตญาณแห่งการอยู่กันเป็นหมู่;  ไม่ยกเว้นแม้แต่สัตว์มนุษย์.  สัตว์ก็ยังมีความจำเป็นที่ต้องอยู่กันเป็นหมู่ จนติดเป็นนิสัย.  นี้เป็นสัญชาตญาณ. เพราะฉะนั้น เราจะต้องมีความรักกันในระหว่างหมู่. เรามีหน้าที่จะต้องอยู่ร่วมกันโดยสันติ; เพราะว่าเรามีสัญชาตญาณแห่งการอยู่เป็นหมู่.  ดังนั้น เราจึงมีหน้าที่ที่จะต้องอยู่ร่วมกันโดยสันติ.  นี่ในแง่ของธรรมชาติที่บังคับไว้อย่างเฉียบขาดว่า เราต้องรักผู้อื่น ให้ถือว่าความ รักผู้อื่น เป็นธรรมะสูงสุด สำหรับมนุษย์ยิ่งกว่าคำว่า ไม่เบียดเบียนกัน เสียอีก.
          เราเคยได้ยินแค่คำว่า “อหิงสา” ความไม่เบียดเบียนนี้ เป็นธรรมะสูงสุดสำหรับมนุษย์.  แต่อาตมาบอกว่า สู้ความรักผู้อื่นไม่ได้. ความรักผู้อื่นเป็นธรรมะสูงสุดสำหรับมนุษย์, สูงยิ่งไปกดว่าอหิงสาเสียอีก; เพราะคำว่าอหิงสา ซึ่งแปลว่าไม่เบียดเบียนนั้น มันก็ไม่แน่ว่าจะช่วยผู้อื่นหรือไม่? เพียงแต่ไม่เบียดเบียนก็แล้วกัน. แต่ถ้าพูดว่ารักผู้อื่นแล้ว มันก็ต้องช่วยผู้อื่น ฉะนั้นรักผู้อื่นจึงดีกว่าเพียงแต่ว่าไม่เบียดเบียน.  ขอให้มองให้เห็นแจ้งและยอมรับว่า ธรรมสูงสุดสำหรับมนุษย์นั้นคือความรักผู้อื่น, มาฝึกฝนบทเรียนรักผู้อื่นกันเดี๋ยวนี้เถิด; ตามหลักของพระพุทธศาสนามีอยู่เป็นแบบฉบับเป็นหลักสูตรทีเดียวเรียกว่าเมตตาอัปปมัญญา.
          ท่านทั้งหลายลองมาสำรวมจิตใจสงบเงียบ เพ่งไปในทิศ เบื้องหน้า ว่าไม่มีสัตวืผู้ใดเป็นเวรเป็นภัยกับเรามีแต่ความเป็นมิตร; เราก็รักเขาด้วยจิตด้วยใจ.
          แล้วก็ส่งจิตเพ่งไปทาง เบื้องหลัง. ทิศเบื้องหลังไม่มีสัตว์ใดผู้ใดเป็นเวรเป็นภัยกับเรา, มีแต่ผู้ที่เรารักอย่างสุดชีวิตจิตใจ.
          แล้วก็ส่งจิตเพ่งไป เบื้องซ้าย ทางทิศเหนือ ก็ไม่มีสัตว์ใดผู้ใดเป็นเวรเป็นภัย มีแต่ผู้ที่เรารักกันอย่างสุดชีวิตจิตใจ.
          แล้วก็ส่งจิตแผ่ไปทางทิศใต้ทาง เบื้องขวา ก็ไม่มีสัตว์ใดผู้ใดเป็นเวรเป็นภัย มีแต่ผู้ที่รักใคร่กันอย่างสุดชีวิตจิตใจ.
          แล้วก็ส่งจิตไป เบื้องบน ก็ไม่มีสัตว์ผู้ใดเป็นเวรเป็นภัยแก่เรา มีแต่ผู้ที่เรารักอย่างสุดชีวิตจิตใจ.
          แล้วก็เพ่งลงไปใน เบื้องต่ำ ก็ไม่มีเวรภัยกับใคร มีแต่ผู้ที่เรารักอย่างเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น.
          ทิศไหนที่มีใครเป้นผู้ระแวงระหองระแหงเกลียดชังอะไรกันอยู่; ก็เพ่งจิตส่งไปในทางทิศนั้นให้มากๆ เป็นพิเศษกว่าทิศอื่น.  นี่แหละเรียกว่าบทเรียนสำหรับฝึกในการรักผู้อื่น. เรามาฝึกกันดูเดี๋ยวนี้ก็จะได้ชื่อว่ามีเอกลักษณ์ไทยถึงที่สุด : นั่งแผ่เมตตาไปรอบด้านด้วยความรักผู้อื่นไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ. นี่แหละเอกลักษณ์ไทย คือความรักผู้อื่น.  ธรรมะในฐานะเป็นเอกลักษณ์ไทย คือธรรมะข้อที่ว่า “ความรักผู้อื่น” ซึ่งเป็นหัวใจของศาสนาทุกศาสนา ดังที่กล่าวมาแล้ว.

“รักผู้อื่น” เป็นหน้าที่ตามกฏธรรมชาติ.
          คำว่า “รักผู้อื่น” นี้ เป็นธรรมะในความหมายที่ 3 ของธรรมะ 4 ความหมายที่พูดกันมาเรื่อยๆ : ธรรมะที่ 1 คือ ตัวธรรมชาติ. ธรรมะที่ 2 คือ กฏของธรรมชาติ, ธรรมะที่ 3 คือ หน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ, ธรรมะที่ 4 คือ ผลที่ได้รับจากการปฏิบัติหน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ.
          ความรักผู้อื่น นี้คือธรรมะในความหมายที่ 3 คือหน้าที่ที่มนุษย์หรือสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายจะต้องประพฤติให้ถูกตามกฏของธรรมชาติ.  การรักผู้อื่นคือทำให้ตรงตามกฏของธรรมชาติที่มีไว้สำหรับมนุษย์โดยเฉียบขาด.  ทุกคนก็ต้องการสันติภาพ; ไม่ว่าใครก็ต้องการสันติภาพ; แม้แต่คอมมิวนิสต์เขาก็ตะโกนว่า ต้องการสันติภาพ, จะจัดโลกให้มีสันติภาพ, ใครก็ต้องการสันติภาพทั้งส่วนตัวและส่วนผู้อื่น.
          เราจะมาจัดโลกให้มีสันติภาพกันอย่างไร? ตามวิธีของพุทธบริษัทก็คือ ปลูกฝังความรักผู้อื่นให้อยู่กันได้ แม้จะมีความแตกแยก แม้จะ เหลื่อมล้ำต่ำสูงกันอย่างไรก็ต้องให้อยู่กันได้.  รักผู้อื่นหมายความว่า จะรักกันและกันจนกลายเป็นคนคนเดียวกันไป.  แม้จะสูงต่ำกันอย่างไรก็อยู่ด้วยกันได้.  ตะไคร่น้ำเขียวๆ ตามโคนต้นไม้ก็อยู่กันได้กับต้นไม้ยักษ์สูงเทียมเมฆ.  ท่านลองคิดดูว่าต้นไม้ยักษ์สูงเทียมเมฆก็อยู๔ร่วมกันได้แบบสหกรณ์กับตะไคร่น้ำเขียวๆ ตามเปลือกของมัน ตามโคน ตามราก. นี่คือความรักที่ถูกต้องตามความหมายของคำว่า “ความรัก” ซึ่งเป็นตัวเหตุปัจจัยสำหรับจะอยู่ด้วยกันและกันได้, รักกันจนกลายเป็นคนเดียวกัน.
          เราไม่มีเวลาทะเลาะกันอีกแล้ว เราต้องมารักกันเดี๋ยวนี้ เพื่อความเป็นมนุษย์จะได้มีสมบูรณ์.  เราจงเกิดมาให้เป็นมนุษย์และได้พบกับพระพุทธศาสนากันเถิด จงเกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนากันเถิด.  อย่าเกิดมาเป็นเพียงคนที่ไม่รู้จักรักผู้อื่น.  เอกลักษณ์ไทยคือการรักผู้อื่น เพราะเป็นไทยเป็นอิสระจากกิเลส ที่เป็นเหตุให้เห็นแก่ตัว; ถ้ายังเป็นทาสเพราะความเห็นแก่ตัวแล้วก็เป็นไทยไปไม่ได้.

เป็นไทยต้องกำจัดความเห็นแก่ตัว.
          ขอท่านที่รักความเป็นไทย อยากหจะเรียกตัวเองว่าเป็นไทย จงทำตนให้เป็นไทยด้วยการ กำจัดความเห็นแก่ตัว แล้วก็มารักผู้อื่น  ในฐานะที่เป็นเอกลักษณ์ของไทย.  ถ้าเรามัวเกลียดชังกัน มันก็หมดเอกลักษณ์ของความเป็นไทย.  ธรรมะในฐานะเอกลักษณ์ของไทยก็คือ ความรักผู้อื่น ซึ่งเป็นหัวใจของศาสนาทุกๆศาสนา ดังที่กล่าวมานั่นเอง.
          สรุปความอย่างสั้นที่สุดว่า จงเกิดมาเป็นมนุษย์ที่ได้พบคำสั่งสอนของศาสนาทุกศาสนา คือ “รักผู้อื่น”.  อย่าเกิดมาเป็นเพียงคน ที่มีแต่ความเห็นแก่ตน จนไม่รู้จักการรักผู้อื่น.  จะถือเอาสิ่งใดเป็นเอกลักษณ์ไทยจงเพ่งเล็ง จุดเดี๋ยวนี้ เถิดว่า เอกลักษณ์ไทยย่อมแสดงถึงลักษณะแห่งความรักผู้อื่น ถ้าปราศจากวี่แววนิมิตของความรักผู้อื่นแล้วไม่มีความเป็นเอกลักษณ์ไทย; เพราะมันเป็นขี้ข้า มันเป็นทาสของความเห็นแก่ตัว.
          ขอให้พุทธบริษัทชาวไทยทั้งหลายจงมีเอกลักษณ์ไทย. เพื่อความเป็นไทยของตน สมแก่ความเป็นพุทธบริษัทไทยทุกๆคน.
เวลาสำหรับบรรยายหมดลงแล้ว.  อาตมาขอยุติการบรรยายไว้เพียงเท่านี้.

**********