หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

พุทธทาสภิกขุ - จิตประภัสสร จิตเดิมแท้ จิตว่าง

 พุทธทาสภิกขุ - จิตประภัสสร จิตเดิมแท้ จิตว่าง

          (จากหนังสือ “รู้นิพพาน ประสาชาวบ้าน”, หน้า ๓๐๑-๓๐๘)

         ปรภสฺสรมิทํ  ภิกฺขเว  จิตฺตํ

         อาคนฺตุเกหิ  อุปฺปกิเลเสหิ  อุปฺปกิลิฏฺจํ

         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

         จิตนี้เป็นประภัสสร แต่ว่าจิตนี้เศร้าหมอง

         เพราะอุปกิเลสที่เป็นอาคันตุกะจรเข้ามา

ที่ว่า จิตนี้ เป็นประภัสสร นั้น หมายความว่า มีแสง หรือ เรืองแสง อยู่ในตัวมันเองโดยรอบด้าน ก็หมายความว่า มันไม่สกปรกมืดมัวเศร้าหมองแต่อย่างใด ทีนี้ก็มี อุปกิเลส” เกิดขึ้นมาจากเหตุปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่งจากภายนอก เป็นเสมือนอาคันตุกะจรเข้ามา เกิด ความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นสิ่งขุ่นมัวที่มาปิดบังจิตนั้น ให้เศร้าหมอง ให้สูญเสียความเป็นประภัสสร.

(ประภัสสร (ปภา+สร) ปภา คือ แสง, สร แปลว่า แล่นออก หรือ แล่นไป.  ปภสฺสร จึงแปลว่า มีแสงแล่นออกไป.)

         คว่า “จิตเดิม” หรือจิตเดิมแท้ นี้ มีอยู่ในพวกพุทธบริษัทฝ่าย “นิกายธยานะ” หรือที่เราเรียกว่า “นิกายเซน” ไม่มีอยู่ในฝ่าย “เถรวาท”เรา แต่ว่าคำ ๆนี้ มันก็บอกอยู่ในตัวว่า มีความหมายอย่างเดียวกับคำว่า ประภัสสร เพราะพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า จิตนี้เป็นประภัสสร ซึ่งเศร้าหมองเมื่อกิเลสเป็นอาคันตุกะจรเข้ามา พวกนิกายเซนเรียกว่า “จิตเที่ยงแท้” ก็หมายความว่า “เดิม” หรือ “ก่อน” แต่ที่กิเลสจะเกิดขึ้นในจิต ตัวหนังสือตัวนี้ในภาษาจีนแปลความหมายกำกวมว่า “เดิม” ก็ได้ ว่า “แท้” ก็ได้ เราจึงแปลกันเสียว่า “จิตเดิมแท้” ไปเลย ให้หมดทั้งสองความหมาย.

         คำว่า ปิ้งชิม ในภาษาจีนนั้นมันกำกวม แต่ว่าส่วนใหญ่มุ่งไปในทางที่เป็นจิตแท้ๆ ไม่มีอะไรปน และเนื่องจากจิตแท้ๆ ไม่มีอะไรปนนั้น เป็นของเดิม ดังนั้น จะเรียกว่า “จิตเดิมแท้ มันก็เลยถูกสองเท่า.

         เรานิยมใช้แปลอย่างนี้เป็นคำใหม่ ซึ่งไม่เคยมีใครเคยได้ยินมาก่อน ที่จะแปลหนังสือเรื่อง “เว่ยหลาง” ออกมา ก็เลยตื่นเต้นกันว่า เป็นของต่างประเทศเป็นของผิดแปลกปลอมเข้ามา ไม่รู้ว่าอย่างไรแน่ พวกที่ไม่เข้าใจความหมาย ก็เข้าใจเอาเองตามความรู้ความคิดของตัว เห็นด้วยก็มี คัดค้านก็มี แต่ก็ยกให้ไว้ว่าเป็นของพวกมหายาน นั้นคือความโง่ เพราะว่าเรื่อง “จิตเดิมแท้” ใน สูตรของเว่ยหลางนั้น มันไม่ใช่มหายาน เพราะว่านิกายเซนนั้น ไม่ใช่มหายาน นิกายเซนนั้นเกิดขึ้นเพื่อจะล้อมมหายานที่เอาแต่จะไหว้อมิตาภะและอวโลกิเตศวร ในลักษณะที่เป็นการอ้อนวอน พึ่งคนอื่นไม่ใช่พึ่งตัวเอง เดี๋ยวนี้พวกเซนเขาเอามาศึกษา มาพูกันถึงเรื่องของจิตโดยตรง ปฏิบัติอะไรหรือทำอะไรก็จัดการลงไปที่จิต ไม่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า อมิตาภะ หรืออวโลกิเตศวร เลย.

         ดังนั้น นิกาย “จิตเดิมแท้” หรือ “เว่ยหลาง” จึงไม่ใช่มหายาน ยังมีคนโง่ในประเทศไทยที่อ้างตัวเป็นนักปราชญ์อยู่เป็นอันมาก ที่เข้าใจว่านิกายเซนนี้เป็นมหายาน ควรจะเข้าใจให้ถูกต้องกันเสียแต่บัดนี้ด้วย.

         ทีนี้ เมื่อรู้คำว่า “จิตเดิมแท้” เป็นสมบัติของพวกนิกายเซน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคืออาจารย์คนที่ ๖ ซึ่งมีชื่อว่า เว่ยหลาง เท่านั้น ไม่เกี่ยวเนื่องไปถึงคนอื่น อาจารย์อื่นในนิกายเซ็นเลย แต่โดยเหตุ ที่เราไปอ่านหนังสือเรื่อง “เว่ยหลาง” เข้า เราก้พบคำ ๆนี้ ก็ควรจะดูให้ดีว่า มันมีความหมายว่าอย่างไร?

         จิตเดิมแท้นั้น มันก็แสดงชัดอยู่ในตัวแล้วว่า มัน “เดิม” คือก่อนแต่ที่กิเลสจะเกิดขึ้น มัน แท้เพราะว่าไม่มีกิเลสเจือปน รวมทั้งเดิมทั้งแท้กผ้คือภาวะที่บริสุทธิ์ตามธรรมชาติเดิมของจิต มีความหมายอย่างเดียวกับคำว่า ประภัสสร ก่อนแต่ที่กิเลสจะเกิดขึ้น.

         ทีนี้ถ้าเราไม่รังเกียจว่ามันเป็นเรื่องของพวกเซนหรือพวกอะไร เราถือเอาแต่ความหมายชนิดที่ทำไปด้วยความหวังดีแก่ทุกฝ่าย ก็พอจะเข้าใจได้ว่า ธยานะ หรือนิกายเซน นี้ ก็สอนให้พยายามค้นหาให้พบภาวะอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นคุณสมบัติเดิมแท้ของจิต คือภาวะที่จิตไม่มีกิเลสเศร้าหมองอะไรเกิดขึ้นหุ้มห่อปรุงแต่งเปลี่ยนแปลงครอบงำ แต่เรียกว่าจิตเดิมแท้  อย่างนี้มีความหมายอย่างเดียวกับความเป็นประภัสสร ในคัมภีร์ทางฝ่าย “เถรวาท” เรา.

         เพราะฉะนั้น จึงควรที่จะกล่าวได้ว่า วันอาสาฬบูชา หรือในวัน “พระธรรม” นี้ก็คือวันที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศวิธีที่คนเราสามารถทำจิตให้เป็นจิตเดิมแท้ คืออยู่ในภาวะที่ว่างจากความครอบงำของกิเลส ปลอดจากการครอบงำของกิเลส เป็นจิตว่างหรือจิตประภัสสรที่อยู่ในสภาพเดิมแท้ของมัน

         เมื่อจิตนั้นอยู่ในสภาพเดิมแท้ของมัน มันมีคุณสมบัติที่จะรู้อะไรได้อยู่ในตัวมันเองแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่ไปหลงไปอยากอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งเป็นเรื่องของการเข้าไปเกี่ยวข้องกับตัณหาอุปาทาน หรือ อวิชชา ที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ เหตุฉะนั้นแหละ! อาจารย์เจ้าของจิตเดิมแท้ คือ เว่ยหลางนั้น จึงสอนว่า “อยู่นิ่งๆ อยู่นิ่งๆ”.

 

อยู่นิ่งๆ จิตเดิมแท้ : สูตรของ เว่ยหลาง

         นี่ฟังถูกไหมว่า อยู่นิ่งๆ หมาความว่าอย่างไร พวกคนที่โง่มากๆ นักปราชญ์ที่บรมโง่ ก็จะเข้าใจอีกว่า ไม่ทำอะไร อยู่นิ่งๆ เหมือนท่อนไม้ ไปเสียอีก แต่เว่ยหลางมีความมุ่งหมายที่จะพูดว่า อย่าปรุงแต่ง... อยู่นิ่งๆนี้ คือ อย่ามีการปรุงแต่งทางจิต ปล่อยมันไว้ตามสภาพเดิมของมัน อย่ามีการปรุงแต่งทางจิตใจ อยู่นิ่งๆ อย่าซุกซน จิตก็จะสงบสันติอยู่ในสภาพจิตเดิมแท้ไปตามเดิม.

         ฉะนั้น คำสอนที่ว่า อยู่นิ่งๆ เพียง ๒-๓ พยางค์นี้มีความหมายลึกซึ้งมาก หรือกล่าวได้ว่า น่าสนใจที่สุดด้วยเหมือนกัน เพราะว่าพวกเรามันเป็นคนซุกซน หาเรื่องมาปรุงแต่งจิตไม่มีสิ้นสุด ไม่มีสร่าง อยู่นิ่งๆ อย่างเว่ยหลางว่าเสียแล้ว มันก็หมดเรื่องกัน สภาพจิตเดิมแท้นั้นก็คงมีอยู่ตลอดกาล เป็น สมุจเฉทปทาน.

         ทีนี้ อะไรเล่าที่จะมาทำให้อยู่นิ่งๆได้ ตามความมุ่งหมายอันนั้น มันก็คือ อัฏฐังคิกมรรคมีองค์ ๘ ประการอีกนั่นเอง มีความเห็นชอบ ใฝ่ฝันชอบ ทำการงานชอบ เลี้ยงชีวิต พากเพียรชอบ มีสติชอบ มีสมาธิชอบ อยู่ให้ชอบ นั้นแหละคืออยู่นิ่งๆ เพราะว่ามันไม่เปิดใจให้เกิดการปรุงแต่งอย่างใดทั้งหมดแทรกเข้ามา ไม่ปรุงแต่งให้เป็น ตัวกู ของกู ยกหูชุหางเป็นอัตตาขึ้นมาได้เลย นั้นแหละคือ อยู่นิ่งๆ.

         ทีนี้ อัฏฐังคิกมรรค ก็คือวิธีที่จะทำจิตใจให้อยู่ในสภาพที่เว่ยหลางเรียกว่า อยู่นิ่งๆ หรืออยู่ในสภาพเดิมแท้ของมัน นี้ก็มีเหตุผลพอที่จะทำให้กล่าวได้ว่า ความหมายของวันอาสาฬหบูชา ก็คือวันที่พระพุทธองค์ได้ทรงประกาศวิธีที่จะทำจิตนี้ให้อยู่ในภาวะเดิมแท้ของมัน คือว่างจากกิเลส ว่างจากดการปรุงแต่งโดยประการทั้งปวง.

 

ความว่าง จิตว่าง สุญญตา นิพพาน :

เป็นภาวะที่จิตไม่ยึดมั่นอัตตา

         ทีนี้ก็จะพูดกันถึง ความว่าง หรือ จิตว่าง คำนี้มีคนมอบหมายให้อาตมา เป็นเจ้าของคำเพราะว่าเขาไม่เคยได้ยินคำว่า จิตว่าง มาแต่กาลก่อน โดยเหตุที่อาตมาเป็นคนเอามาพูด มันเป็นคำแปลกขึ้นมาในครั้งแรก เพราะเหตุที่ว่าคนทั่วไปไม่เคยสนใจในเรื่องความว่าง ในพุทธศาสนา แม้ที่เป็นอย่างเถรวาทของตัวเอง ก็ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเรื่อง ความว่าง หรือ สุญญตา มาเป็นต้นทุนมาแต่เดิม พอได้ยินคำว่า จิตว่าง ก็เข้าใจเอาเองว่า มันไม่มีอะไร หรือมันไม่ทำอะไร นี้พวกหนึ่ง.

         มีผู้ที่เป็นนักอภิธรรมค้านว่า จิตนี้มันอยู่ว่างๆ ไม่ได้ มันต้อมี พฤติ คือคิดนึกอยู่เสมอตามหน้าที่ของมัน นั่นแหละคือการที่แสดงให้เห็นว่า ไม่มีความรู้เรื่องความว่าง ถ้าเป็นคนที่เคยได้ศึกษาเรื่อง สุญญตา ความว่างของพระพุทธเจ้ามาพอสมควรแล้ว พอพูดว่า จิตว่าง ก็จะเข้าใจทันทีว่าหมายถึงอะไร.

         คำว่า จิตว่าง ไม่ได้หมายถึง จิตที่ไม่คิดไม่นึกอะไร มันยังคงทำหน้าที่ตามธรรมดาของจิต คือนึกคิดมีพฤติต่างๆ ตามที่จิตมันจะต้องมีหน้าที่ แต่ว่าในความคิดนึก หรือพฤติเหล่านั้น มันไม่เจืออยู่ด้วยอุปาทาน(ความยึดในอัตตา) ว่าตัวกู-ว่าของกู มันก็เพระจิตว่างไปจากตัวกู-ของกู นั่นแหละ เขาจึงได้เรียกว่า จิตว่าง  ไม่ใช่ว่าเป็นจิตที่ไม่คิดไม่นึกอะไร หรือว่าไม่รับผิดชอบอะไรหรือไม่ทำอะไร ที่แท้แล้ว จิตที่ว่างจากตัวกู-ของกูนั่นแหละมันจะทำอะไรได้ดีกว่า และทำอะไรได้มากกว่า.

         ควรจะเหลือบตามองไปยังพระพุทธเจ้า หรือว่าพระอรหันต์ทั้งหลายทั้งปวงกันเสียบ้าง ซึ่งท่านล้วนแต่มีจิตว่างจากกิเลสทั้งนั้น แต่แล้วทำไมพระพุทธเจ้าท่านจึงทำงานได้มากได้ดี พระอรหันต์ทั้งหลายก็ทำงานได้มากได้ดี ไม่ขี้เกียจเหมือนพวกนี้ ที่คอยแต่จะพูดว่า ถ้าจิตว่างเสียแล้ว มันก็ไม่ทำอะไร เพราะตัวเองมีนิสัยสันดานอย่างนั้น จึงเข้าใจอย่างนั้น มันก็ไม่ถูกต้องกันกับ เรื่องของคำว่า สุญญตา ซึ่งเป็นคำสำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา จนถึงกับพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เป็นเรื่องที่ทุกคนจะต้องเรียน จะต้องรู้...

         เรื่อง สุญญตา ความว่าง นั้น เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าตรัส เพราะว่าพระพุทธเจ้าจะไม่ตรัสเรื่องใดๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับสุญญตา.

         สุญญตา ก็คือ ความว่าง.

         ความว่าง คือ ว่างจากกิเลสและความทุกข์

         ถ้า จิตว่าง ก็หมายความว่า ว่างจากกิเลสและความทุกข์ ถ้าพูดให้สั้นเข้ามา ก็คือว่างจากความรู้สึกที่ (เป็นอัตตา-อัตตนิยา) คิดนึก ว่าตัวกู-ว่าของกู เพราะว่านั่นแหละคือตัวกิเลสและตัวความทุกข์.

 

ย่อคัด อาสาฬบูชา (กัณฑ์ค่ำ)

๒๘ กรกฎาคม ๒๕๑๒ ณ สวนโมกขพลาราม ไชยา

(อัตตา :        ความรู้สึกโดยสัญชาตญาณว่าเป็นตัวตน ที่จะกระทำทุกอย่างเพื่อสนองตอบ

ตามแต่ความพอใจ เมื่อประกอบกันเข้ากับความเห็นผิด ที่ทำให้เกิดอุปาทานว่าตัวตน ก็เกิดความเห็นแก่ตน ซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งกิเลสทั้งปวง.

อัตตนิยา :     อาการสืบเนื่องจากความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นตัวตน (อหังการ) เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ ว่าเป็นของตน (มมังการ).



 

ซาบีน โฮสเสนเฟลเดอร์ - จิตสำนึก และ กลศาสตร์ควอนตัม: พวกเขาได้เชื่อมโยงกันอย่างไร?

ซาบีน โฮสเสนเฟลเดอร์ - จิตสำนึก และ กลศาสตร์ควอนตัม: พวกเขาได้เชื่อมโยงกันอย่างไร?

Consciousness and Quantum Mechanics: How are they related?

         https://youtu.be/v1wqUCATYUA?si=bTXn1DZqIMBJLn60


บทนำ

นักฟิสิกส์ทั้งหลายได้โต้เถียงกันมาตลอดในเรื่องบทบาทของจิตสำนึกในกลศาสตร์ควอนตัม(physicists have debated the role of consciousness in quantum mechanics1 for more than 100 years).

         1https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A1

         บางรายการเป็นตอนๆลำดับชุดของพอดแคสต์(podcast episodes2)ในไม่ช้าจะไปถึงความยาวนั้น, แต่ฉันมีนัดทันตแพทย์ในอีก 2 ชั่วโมง, ดังนั้นเราต้องรวบมันให้รวดเร็วมากกว่านิด.

         2https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B9%8C

         ทำไมบางนักฟิสิกส์เหมือน ฟอน นูวมานน์(Von Neumann3)และวิจเนอร์(Wigner4)คิด

         3https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%AB%E0%B9%8C%E0%B8%99_%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%99_%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B9%8C

         4 https://en.wikipedia.org/wiki/Eugene_Wigner

ว่าจิตสำนึกนั้นเป็นสิ่งจำเป็นที่จะทำให้กลศาสตร์ควอนตัมสมเหตุสมผล, และจิตสำนึกสามารถมีอิทธิพลต่อผลลัพธ์ที่ออกมาจากการทดลองเชิงควอนตัม?(consciousness is necessary to make sense of quantum mechanics, and can consciousness influence the outcome of a quantum experiment?) นั่นคืออะไรสิ่งที่เราจะพูดถึงกันในวันนี้.    


วิจเนอร์ และเพื่อนทั้งหลายของเขา(Wigner and his friends)


         ในกลศาสตร์ควอนตัม(in quantum mechanics), ทุกๆสิ่งได้ถูกอธิบายโดย ฟังค์ชั่นคลื่น(everything is described by wave-function5- คำอธิบายในรูปของคณิตศาสตร์ของสภาวะ

คลื่นเชิงควอนตัม). ดังนั้นเป็นตัวอย่างเช่น  ฟังค์ชั่นคลื่น สำหรับอนุภาคหนึ่งไปทางซ้ายมือ, อีก

5 https://en.wikipedia.org/wiki/Wave_function

หนึ่งสำหรับอนุภาคหนึ่งในการไปทางขวามือ ที่ฟังดูน่าตื่นเต้นเท่าๆกับที่คุณคาดหวังว่าฟิสิกส์น่าจะเป็น(a wave-function for a particles going left, and One for a particle going right which sounds about as exciting as you expect physics to be). แต่สิ่งที่พิกลแปลกนิดหน่อยคือ ที่ยังมีการทำงานคลื่นด้วยเช่นกันสำหรับอนุภาคหนึ่งที่ไปในทั้งสองทางทั้งซ้ายมือและขวามือ(that there’s also a wave-function for a particle that goes both left and right). นี้เรียกว่าทฤษฎีการทับซ้อน(superposition6).

         6 https://rmutldoisaketnews.blogspot.com/2014/09/superposition.html

         * https://en.wikipedia.org/wiki/Superposition_principle


         อ้างอิงถึงการอธิบาย/แปลความหมายอย่างมาตรฐานของกลศาสตร์ควอนตัม อย่างเช่นการทับซ้อนนี้ หมายความว่า อนุภาคนั้น ที่จริงแล้วไม่ได้ซ้ายหรือขวา, แต่ทั้งสองด้าน, จนคุณทำการวัด(according to the standard interpretation of quantum mechanics such a interposition means that the particle is indeed neither left nor right, but both, until you make a measurement). ชั่วขณะที่คุณทำการวัดอนุภาคนั้น, คุณรู้ว่ามันไปทางซ้ายหรือทางขวาหรือไม่, และฟังค์ชั่นคลื่นพังพับลง” เป็นอันหนึ่งที่ลงตัวกับการสังเกตการณ์ของคุณ(the moment you measure the particle, you know whether it went left or right, and the wave-function “collapses” to one that fits to your observation).

         อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์(Albert Einstein)ไม่ชอบเรื่องนี้เลย. ใช่, คนนี้อีกแล้ว, ไอน์สไตน์พูดว่า


การ “พังพับลง” นี้ บังเกิดขึ้นเร็วกว่าแสง(this collapse happens faster than light), นั่นเป็น “ผีทำการหลอกในระยะห่างไกล(a “spooky action at a distance ”, ดังนั้นมันต้องเป็นการผิด(so it has to be wrong). แต่ บอห์ร(Bohr7)ได้พูดว่า, ไม่มีอะไรผิดกับการนั้น(there’s

         7https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B9%8C_%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B9%8C

nothing wrong with that), เพราะว่า ฟังค์ชั่นคลื่นไม่มีจริง. มันแค่อธิบายถึงอะไรที่เรา ยกันอยู่แล้ว(because the wave-function isn't real. It just describes what we * know). และคุณสามารถปรับความรู้ให้ทันสมัยได้เร็วกว่าความเร็วของแสง(and you can update knowledge faster than speed of light).

          


จอห์น เบลล์(John Bell8)ได้ใช้ตัวอย่างตามนี้: “เมื่อพระราชินีสิ้นพระชนม์ที่ในลอนดอน,

เจ้าชายแห่งเวลสิ์ก็กลายเป็นกษัตริย์ในพริบตา(when the Queen die in London, the Princes of Wales becomes instantaneously king)”. ไม่สำคัญว่าเขาจะอยู่ที่ไหน.

         8 https://en.wikipedia.org/wiki/John_Stewart_Bell

แล้วทำไมอัตราความเร็วของแสงจึงไม่ถูกทำลายเมื่อพระราชินีสิ้นพระชนม์? เพราะว่าเราสามารถปรับความรู้ ย*ให้ทันสมัยได้ เกี่ยวกับอะไรได้บังเกิดขึ้นที่อื่น โดยปราศจากการเกิดเรื่องกับเหตุการณ์อื่นๆใดได้(because we can update our *knowledge about what happened elsewhere without causing any event elsewhere). และนี่คือที่บอห์รคิดเกี่ยวกับการพังพับของการทำงานของคลื่น(and this is how Bohr thought about the collapse of the wave-function). คุณสามารถปรับให้ทันสมัยได้ในทันที เพราะว่ามันได้อธิบายไว้อย่างที่เรารู้(you can update instantaneously because it just describes what we know). ไอน์สไตน์ไม่ได้มั่นใจ, แต่บอห์รชนะการโต้แย้ง(Einstein wasn’t convinced, but Bohr won the argument).

         ดังนั้น, ถ้าคุณเชื่อบอห์ร, เช่นนั้นการทำงานของคลื่นได้เป็นอะไรบางอย่างที่ทำด้วยการรู้. แต่ใครหรืออะไร ที่รู้? เอาละ, ผู้สังเกตนั้นรู้(if you believe Bohr, then the wave-function has something to do with knowing. But who or what knows? Well, the observer does).

         ด้วยตรรกะนี้, การปรับให้ทันสมัยของฟังค์ชั่นคลื่นกลายเป็นเชื่อมโยงกับสิ่งหนึ่งที่สามารถรู้บางอย่างได้, ที่ก็คือสมองมนุษย์(with this logic, the update of the wave-function becomes link to the thing that can know something, which is the human brain). บอห์รที่จริงก็ไม่ได้อธิบายอะไรที่หมายความนี้ทั้งหมด. เขาค่อนข้างเบิกบานใจกับความไม่สามารถเข้าใจได้, นักฟิสิกส์ทั้งหลายตั้งแต่นั้นก็ได้ติดตามตัวอย่างของเขา. แต่ยูยีน วิกเนอร์ได้ยุ่งยากใจเรื่องนี้(was content with being incomprehensible, and a lot of physicists have since followed his example. But Eugene Wigner was bothered).

         เขาคิดว่าความคิดนั้นที่ว่า ฟังค์ชั่นคลื่น อธิบายถึงความรู้นั้นได้มีปัญหาใหญ่(that the wave-function describes knowledge has a big problem). การที่จะวาดภาพให้เห็นในเรื่องนี้, เขาได้บรรลุขึ้นมาด้วยอะไรที่ในตอนนี้ได้เรียกว่า “การทดลอง เพื่อนของวิกเนอร์(to illustrate this, he came up with what is now called the “Wigner’s friend experiment”).

         เขาบอกว่า, สมมติว่าคุณได้สร้างอนุภาคหนึ่งขึ้นมาในสภาวะทับซ้อนตำแหน่งของซ้ายและขวา และคุณวัดมัน. แต่คุณอยู่ข้างในห้องปฏิบัติการนั้นและมีเพื่อนคนหนึ่งรออยู่ข้างนอก, ตรงหน้าประตูที่ปิดอยู่, เพราะว่านั่นคือที่นักฟิสิกส์ทั้งหลายปฏิบัติกับเพื่อนทั้งหลายของพวกเขา. เพื่อนของคุณจะไม่รู้ผลของการวัดเลยจนกว่าคุณจะเปิดประตูออกมาบอกแก่เธอว่าคุณวัดได้อะไร (suppose you have created a particle in a superposition of left and right and you measure it. But you’re inside a laboratory and have a friend waiting outside, in front of the closed door, because that’s how physicists treat their friends. Your friend doesn’t know the outcome of the measurement until you open the door to tell her what you measured).


         วิกเนอร์(Wigner)บอกว่า, สำหรับเธอแล้ว คุณอยู่ในสภาวะทับซ้อนตำแหน่งของการได้มีการวัดว่าอนุภาคนั้นอยู่ซ้ายและขวา, จนกระทั่งเธอได้พังพับฟังค์ชั่นคลื่นของคุณลง(you are in a superposition of having measured the particle left and right, until she collapses your wave-function). เขาแล้วก็ได้โต้แย้งว่า นั่นน่าจะเป็นที่ “ไม่สมเหตุผล” ถ้าจิตสำนึกได้อยู่ในสภาวะทับซ้อนตำแหน่ง(he then argued that it would be “absurd” if consciousness was in a superposition).

         และในเมื่อไม่มีใครรู้แค่ว่าอะไรเป็นเหตุให้ฟังค์ชั่นคลื่นที่จะพังพับลง, เขาได้สมมติว่ามันเป็นจิตสำนึก.

 

เข้าสู่ ฟอน นูวมานน์(Enter von Neumann)

นักฟิสิกส์ทั้งหลายส่วนมากคิดในวันนี้ว่าการวัดนั้นเป็นปฏิกิริยาสัมพันธ์กับเครื่องมือบาง

อย่าง. มันไม่ได้มีอะไรที่ทำกับไม่ว่าคุณหรือใครบางคนอื่นที่มองดูผลลัพธ์ทั้งหลาย, หรือไม่ว่าคุณจะบอกบางคนเกี่ยวกับมัน(and since no one knew just what caused a wave-function to collapse, he postulated that it was consciousness. Most physicists think today that a measurement is an interaction with some apparatus. It has nothing to do with whether you or someone else looks at the result, or whether you tell someone about it).

           แต่ในตอนสมัยแรกเริ่มของกลศาสตร์ควอนตัม, มันไม่กระจ่างชัดว่าอะไรที่คณิตศาสตร์หมายความถึง. การแปลความหมายคล้ายๆกันในกลศาสตร์ควอนตัมเหมือนเช่นของวิกเนอร์ ได้ถูกวางไปข้างหน้าก่อนนี้แล้วโดย จอห์น ฟอน นูวมานน์. แทนที่ชื่อซึ่งฟังคล้ายเป็นชาวเยอรมัน, ฟอน นูวมานน์เป็นคนฮังกาเรียน, เหมือนยูยีน วิกเนอร์. ทั้งคู่ได้อพยพเข้ามายังสหรัฐอเมริกา(But in the early days of quantum mechanics, it was unclear what the mathematics means. A similarly interpretation of quantum mechanics as Wigner’s been put forward earlier by John von Neumann. Despite German-sounding name, von Neumann is Hungarian, like Eugene Wigner. Both are emigrated to the United States).

         การโต้แย้งของฟอน นูวมานน์ก็คือว่า อนุภาคหนึ่งในสภาวะทับซ้อนตำแหน่งก็สามารถเป็นเหตุให้เกิดสภาวะทับซ้อนตำแหน่งทั้งหลายได้กับสิ่งทั้งหลายที่มันมีปฏิสัมพันธ์ด้วย. สิ่งนี้นำไปสู่สภาวะทับซ้อนตำแหน่งของเครื่องมือวัดทั้งปวง, และทุกๆสิ่งที่ตามจากนั้นมา(a particle in a superposition can cause superpositions at the things it interacts with. This leads to superpositions of entire measurement apparatus, and everything that follows from that).

พูดได้ว่า, คุณใช้ผลการวัดที่ออกมา ในการที่จะตัดสินใจว่าจะระเบิดลูกระเบิดหรือไม่, แล้วได้สภาวะทับซ้อนตำแหน่ง ของ สภาวะทับซ้อนทั้งหลายของลูกระเบิด ที่ได้ระเบิดขึ้นและอันที่ไม่ได้ระเบิด. และนั่นนำไปสู่สภาวะทับซ้อนตำแหน่งของโลกที่คุณตายและในอีกอันหนึ่งซึ่งคุณไม่ได้ตาย(Say, you use the measurement outcome to decide whether to blow up a bomb or not, then get a superposition of superposition of a bomb that’s blown up and one that didn’t. And that leads to a superposition of a world in which you died and one in which you didn’t).

และสภาวะทับซ้อนตำแหน่ง­ของโลกทั้งหลาย ที่คุณอยู่ในนั้นดำเนินไปกับการที่จะชนะรางวัลโนเบล และในอีกอันหนึ่งที่คุณไม่ได้ชนะ, และอื่นๆ(And a superposition of worlds in which you go on to win the Nobel Prize and one in which you didn’t, and so on). ฟอน นูวแมนน์บอกว่า ลูกโซ่ของเหตุการณ์ทั้งหลายนี้จำเป็นต้องถูกตัดขาดด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง, และในเมื่อทุกสิ่ง ย*ในฟิสิกส์ดูเหมือนจะธำรงรักษาให้สภาวะทับซ้อนตำแหน่งมีชีวิตอยู่, เขาคิดว่าการพังพับลงต้องถูกทำให้เกิดขึ้นโดยอะไรบางอย่าง “กายภาพ-พิเศษ”หรือ “จิตกายภาพ/ จิตวิทยาวัตถุกระตุ้น(this chain of events need to be cut somehow, and since everything *in physics seemed to keep the superposition alive, he thought the collapse had to be caused by something “extra-physical” or “psychophysical9”).

9https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%B3%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%9A

มันต้องเป็นสำนึกจิตรับรู้ ของผู้สังเกตการณ์. ผู้สังเกตุการณ์ไม่ว่าจะมองเห็นลูกระเบิดหนึ่งระเบิดหรือไม่(It had to be the conscious perception10 of an observer. The observer either sees a bomb explode or not).

10 https://www.mpg.de/5839948/conscious_perception

นั่นคือ จุดจบของห่วงโซ่แห่งสภาวะทับซ้อนตำแหน่งทั้งหลายนั้น, และบางทีเป็นจุดจบของผู้สังเกตการณ์ด้วยเช่นกัน(that’s the end of that chain of superpositions, and may be also the end of the observer).  

ความคิดของวิกเนอร์และฟอน นูวมานน์ที่ว่าจิตสำนึกเป็นสาเหตุให้มีการพังพับลงของฟังค์ชั่นคลื่น, คือการตีความ/แปลความหมายของกลศาสตร์ควอนตัมมากกว่าเป็นทฤษฎีใหม่ เพราะว่าโดยเชิงคณิตศาสตร์แล้ว มันไม่ได้ทำความแตกต่างใดๆ. นั่นเพราะว่ามีเพียงผู้สังเกตการณ์ทั้งหลายเท่านั้นที่เราสามารถทำการประกาศทั้งหลายเกี่ยวกับคือสิ่งเหล่านั้น ซึ่งในที่สุดได้ลงทะเบียนในสมองของเรา. ถึงแม้ว่าคุณอาจจะโต้แย้งค้านว่า ที่จริงแล้วมีเพียงหนึ่งสมองเท่านั้นที่เป็นของคุณเอง และทุกสิ่งอื่นเป็นจินตนาการของคุณเท่านั้น, ซึ่งในกรณีนี้, ขอบคุณสำหรับที่จินตนาการถึงฉัน(the idea of Wigner and von Neumann that consciousness causes the collapse of the wave-function, is an interpretation of quantum mechanics rather than a new theory because mathematically it doesn’t make any difference. That because the only observations we can make any statements about are those which were eventually registered in our brain. Though you might argue that really there’s only one brain which is your own and everything else is your imagination, in which case, thanks for imagine me).

 

ปัญหาทั้งหลายกับการแปลความหมายของ วิกเนอร์ และ นูวมานน์(Problems with the Wigner-vNeumann Interpretation)

         การแปลความหมายของวิกเนอร์และฟอน นูวมานน์มีปัญหาทั้งหลาย เพราะว่าการตีความ/แปลความหมายทั้งหลายทั้งหมดของกลศาสตร์ควอนตัมมีปัญหา. การตีความใหม่ด้วยคณิตศาสตร์แค่ผลักปัญหาทั้งหลายนั้นไปรอบๆเหมือนก้อนตุ่มใต้พรม. ในการตีความ/แปลความหมายของวิกเนอร์ ฟอน นูวมานน์, ปัญหาทั้งหลายได้ประกาศตัวพวกเขาเองเป็นเช่นสำนึกจิตของผู้สังเกตการณ์ ผู้ที่มีควสามรู้อันไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง. ถ้าคุณยึดเอาเรื่องนี้เป็นจริงจัง มันจะเปรียบเปรยเป็นนัยว่า ความเป็นจริงนั้นขึ้นอยู่กับใครเป็นผู้กำลังสังเกตการณ์อะไร. (the Wigner and von Neumann has problems because all interpretations of quantum mechanics have problems. Reinterpreting maths just pushes problems around like bumps under carpet. In the Wigner von Neumann interpretation the problems manifest themselves as conscious observers who have inconsistent knowledge about reality. If you take this seriously it would imply that reality is depends on who’s observing what).

ฉันได้พูดไว้แล้วในต้นเริ่มแรกของวีดิโอ, แต่วันนี้ฉันต้องการที่จะเพ่งจุดเล็งไปที่ประเด็นของจิตสำนึก(I talked about this in an earlier video, but today I want to focus on the consciousness issue). การตีความ/แปลความหมายจาก วิกเนอร์และฟอน นูวมานน์ นั้นเป็นพิกลแต่ไม่ได้ผิด. กระนั้นก็ยังคง, มันไม่เคยกลายเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางเลย. ฉันเชื่อว่าเหตุผลหลักที่มันไม่เคยมีชื่อเสียงโด่งดังกับนักฟิสิกส์ทั้งหลายก็คือว่า มันได้สลับซับซ้อนโดยไม่มีความจำเป็นเลย(the interpretation from Wigner and von Neumann is weird but not wrong. Still, it never became widely accept. I believe the major reason it’s never been popular with physicists is that’s it unnecessarily complicated).  

ไม่มีใครรู้ว่าจิตสำนึกคืออะไรอยู่ดี และถ้าคุณต้องการที่คำนวณผลที่ออกมาของการวัดในกลศาสตร์ควอนตัม คุณไม่มีความจำเป็นต้องรู้. ดังนั้นการแนะนำองค์ประกอบเชิงจิตกายภาพทั้งหลาย ที่ชักจูงเรื่องการพังพับลงของฟังค์ชั่นคลื่น เป็นแค่สิ่งไร้ความจำเป็นเหมือนคำพูดปนเปให้สับสน(no one knows what consciousness is anyway and if you want to calculate the outcome of a measurement in quantum mechanics you don’t need to know. So introducing some psychophysical factors to induce the collapse of the wave-function is just unnecessary word salad11).  

11 https://en.wikipedia.org/wiki/Word_salad

นักปรัชญาทั้งหลายไม่ชอบการตีความ/แปลความหมายนี้ในเหตุผลหนึ่งที่แตกต่างไป, กล่าวคือเพราะว่ามันขัดกันเองอยู่ช้างใน(philosophers dislike this interpretation for a different reason, namely because it’s internally inconsistent). คุณเริ่มต้นด้วยการสมมติว่าจิตสำนึกไม่ได้อยู่ภายใต้กฏเดียวกันกับธรรมชาติเหมือนเช่นทุกสิ่งอื่นๆ เพราะว่ามันเป็น “กายภาพ-พิเศษ(you start with assuming that consciousness is not subject to the same laws of nature as everything else because it’s “extra-physical”). แต่แล้วจิตสำนึกมีปฏิสัมพันธ์กับโลกกายภาพ และนั่นหมายความว่าตัวมันเองเป็นกายภาพเพราะว่าคุณสามารถทดสอบผลกระทบของมันกับผู้สังเกตการณ์ทั้งหลาย(But then consciousness interacts with the physical world and that means it’s itself physical because you can test its effects on our observations).

มันเป็นปัญหาเหมือนกันดังเช่นปรัชญาทวินิยม. ถ้าจิตไม่ใช่กายภาพ, แล้วมันไม่ได้ช่วยเหลือคุณในการอธิบายการสังเกตการณ์ทั้งหลายในโลกของกายภาพ/โลกวัตถุ – คุณไม่สามารถมีเค้กของคุณและกินมันได้ด้วย(It the same problem as dualism12. If the mind is non-physical, then it doesn’t help you explain observations in the physical world – you can’t have your cake and eat it too).

12 https://en.wikipedia.org/wiki/Mind%E2%80%93body_dualism

 

จิตสำนึก-ได้เหนี่ยวนำการพังพับลงของ ฟังค์ชั่นคลื่น(Consciousness-induced wave-function collapse)


         แต่ยังคงมีผู้คนกำลังทำงานศึกษาอยู่กับมัน(But there are still people working on it). ตัวอย่างเช่น, เมื่อสองสามเดือนก่อน, เดวิด ชาร์เมอร์และเควิน แม็คควีนได้เขียนเอกสารเกี่ยวกับสิ่งนี้. พวกเขาเสนอไปที่ประเด็นการตีความ/แปลความหมาย ของวิกเนอร์ ฟอน นูวมานน์ ด้วยการใช้แบบจำลองเฉพาะพิเศษทางคณิตศาสตร์สำหรับจิตสำนึก, นั่นคือทฤษฎีผสมผสานข้อมูล, เรียกสั้นว่า IIT(David Charmers and Kavin MacQueen wrote paper about this. They proposed to address the issue of the Wigner von Neumann interpretation by using a particular mathematical model for consciousness, that is integrated information theory, IIT14 for short).  

14https://mod.fnal.gov/mod/w1/Lectures/Colloquium/Presentations/200304Chalmers.pdf

         เราได้พูดคุยอย่างสรุปสั้นๆกันไว้แล้วในวิดิโอตอนต้นๆเกี่ยวกกับ IIT. ความคิดเบื้องต้นก็คือว่า แต่ละระบบได้ถูกมอบหมายในปริมาณหนึ่ง, Phi ตัวใหญ่(Φ), ที่คุณสามารถคำนวณจากว่าระบบนั้นเชื่อมต่อได้ดีอย่างไร, และมันมีกระบวนการกับข้อมูลอย่างไร (The basic idea is that each system is assigned a quantity, big Phi15, that you can calculate from how well-connected the system is, and how it processes information).

         15 https://th.piliapp.com/symbols/phi/

         * https://www.dek-d.com/board/view/1186936/

         Phiตัวใหญ่กว่า, ก็ยิ่งมีสำนึกของจิตของระบบมากกว่า (the bigger Phi, the more conscious system). ในทางทฤษฎี, จิตสำนึกไม่ใช่เลขฐานสอง, มันไม่ใช่ เปิดและปิด, มันค่อยเป็นค่อยไป(in theory, consciousness is not binary16, it’s not on and off, it’s gradual).  

         16https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%82%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%87


         นี้คือทำไม คริสทอฟ คอค(Christof Koch), หนึ่งในเจ้าของทฤษฎีข้อมูลผสมผสาน, มันเป็นทฤษฎีเชิงปรัชญาจิตนิยม. ทุกสิ่งต่างมีสำนึกของจิตกันนิดๆหน่อยๆ, มันแค่ว่ามนุษย์มีสำนึกของจิตนิดๆหน่อยๆมากกว่าหัวแคร์รอตทั้งหลาย(one of the proponents of Integrated Information Theory, it’s a panpsychist theory. Everything is a little bit conscious, it’s just that humans are a little bit more conscious than carrots). ดังนั้นฉันต้องการขออภัยต่อแคร์รอตทั้งหลายทั้งหมดที่กำลังดูอยู่(I want to apologize to all carrots who are watching).

ในเอกสารใหม่ของพวกเชา, ชาร์เมอร์สและแม็คควีน ใช้IITในการสร้างแบบจำลองสำหรับการพังพับลงของฟังค์ชั่นคลื่น ที่ถูกเหนี่ยวนำลงโดยระบบทั้งหลาย ซึ่งเป็น “สำนึกจิตอย่างยั่งยืน” ในสัมผัสรู้อันบอกจำนวนได้(use IIT to make a model for wave-function collapse that is induced by systems which are “sufficiently conscious” in this quantifiable sense). สิ่งนี้ไม่ได้เป็นการตีความ/แปลความหมายของการทำหน้าที่ของคลื่นของกลศาสตร์ควอนตัมอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นการดัดแปลงแก้ไข, และมันนำไปสู่การพยากรณ์คาดทำนายที่แตกต่างไปจากเหล่านั้นของกลศาสตร์ควอนตัม(this is no longer an interpretation of quantum mechanics but a modification, and it leads to predict that differ from those of quantum mechanics). ตัวอย่างเช่น, พวกเขานำเสนอว่า บางสภาวะทั้งหลายที่คอมพิวเตอร์ควอนตัมหนึ่งสามารถผลิตสร้างอาจจะเป็น “สำนึกจิตอย่างยั่งยืน” ได้ และเช่นนั้นเองซึ่งเหนี่ยวนำให้เกิดการพังพับลง, แม้ว่ารายละเอียดทั้งหลายขึ้นอยู่กับแบบจำลองนั้น(some states a quantum computer could generate might be “sufficiently conscious” and thus induce a collapse, though the details depend on the model).


         สำหรับเอกสารโดยสองนักปรัชญา มันก็ไม่เลวนัก. หลักใหญ่ในความเข้าใจผิดของฉันเกี่ยวกับเรื่องที่จิตสำนึกของพวกเขาในแบบจำลองการพังพับลงโดยถูกเหนี่ยว คือนั่นเป็นความสลับซับซ้อนอย่างไม่จำเป็น(my major misgiving about their consciousness induced collapse model is that’s unnecessarily complicated). ถ้าคุณกำลังสร้างแบบจำลองที่ว่าการพังพับลงถูกเหนี่ยวนำโดยอะไรซึ่งเห็นได้ด้วยตาเปล่า, ทำไมถึงใช้สมอง. ทำไมไม่ใช้เครื่องมือวัด?(If you’re building a model in which collapse induced by a macroscopic thing, why use a brain. Why not use the measurement device). หรือเนย(or cheese). ฉันอยากที่จะนำเสนอว่ามันเป็นเนยจริงๆที่พังพับฟังค์ชั่นคลื่น. พิสูจน์ว่าฉันผิดสิ(I would like to propose that it’s really cheese that collapse the wave-function. Prove me wrong).

 

จิตสำนึก-มีอิทธิพลการพังพับลงของฟังค์ชั่นคลื่น(Consciousness-influenced wave-function collapse)

โอเค, ดังนั้นในที่นี้เราได้มีผู้คนกำลังคิดว่า มันเป็นจะโดบวิธีใดก็ตามจิตสำนึกจำนวนหนึ่งในระบบนั้นเหนี่ยวนำให้พังพับลง, ที่เป็นอะไรแบบว่าพิลึกพิกลไปเรียบร้อยแล้ว. แต่ก็ยังมีผู้คนด้วยเช่นกัน ผู้ที่คิดว่า การเพ่งความสนใจอย่างมุ่งมั่นคืออิทธิพลอย่างแท้จริงชอง *อย่างไร* ที่ระบบพังพับลงไป(Okay, so here we have people thinking that it’s somehow the amount of consciousness in a system that induces collapse, which is kind of weird already. But there are also people who think that deliberately focused attention actually influences *how* a system collapse).

ความคิดนี้ถูกนำขึ้นมาโดยวิกเนอร์ด้วยเช่นกัน, แม้ว่าฉันจะคิดว่าไม่ใช่ความสนใจของเขา(This idea also brought up by Wigner, though I think it wasn’t his attention). ในปี 1967, วิกเนอร์ได้ตีพิมพ์เรียงความที่ทรงอิทธิพลเป็นอย่างยิ่ง มีชื่อว่า “ข้อสังเกตทั้งหลายกับปัญหาเรื่องของกาย-จิต” ที่ซึ่งในนั้นเขาเขียนไว้ว่า “เราไม่รู้ว่าปรากฏการณ์ใดซึ่งตัวทดลองหนึ่ง ได้รับอิทธิพลจากอีกตัวทดลอง โดยปราศจากการออกอิทธิพลไปในการนั้น(Wigner published


a very influential essay titled “remarks on the mind-body problem” in which he wrote “we do not know any phenomenon in which one subject is influenced by another without exerting an influence thereupon.”)

มันไม่ใช่ก้าวใหญ่จากที่นั้นที่จะสรุปว่า ถ้าความรู้จิตสำนึกสามารถที่จะเป็นอิทธิพลได้ โดยผลลัพธ์ของการทดลองเชิงควอนตัม, แล้วความรู้สึกสำนึกจิตของคุณก็สามารถที่จะเป็นอิทธิพลด้วยเช่นกันกับผลลัพธ์ของการทดลองเชิงควอนตัมนั้น(It’s not a big step from there to conclude that if consciousness knowledge can be influenced by the result of a quantum experiment, then your conscious knowledge can also influence the result of a quantum experiment). 

         ทีนี้เติมลงไปในนี้อีกด้วยว่า ย้อนกลับตอนนั้นนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายยังคงกำลังทดลองกันอยู่ในเรื่องโทรจิต(telepathy17). พวกเขาบางคนกำลังศึกษาด้วยเช่นกันว่า ถ้าทำการเพ่งสมาธิอยู่กับผลลัพธ์ที่ออกมาของเครื่องสุ่มหาตัวเลข ก็จะเปลี่ยนแปลงผลที่ออกมาได้หรือไม่. มันเป็นก้าวเล็กหนึ่งจากที่นั้นไปสู่ความคิดที่ว่า ถ้าคุณเพ่งจุดความสนใจของคุณอยู่บนโฟตอนทั้งหลายที่กำลังผ่านร่องรูสองชั้นซึ่งส่งผลกับแบบรูปบนจอภาพ(some of them were also studying if concentrating on the outcome of random number generator would change the outcome. It was a small step from there to the idea that if you focus your attention on photons18 going through a double slit that affects the pattern on the screen).        

         17https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95

         18https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%9F%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99

         ฉันไม่ได้สร้างเรื่องนี้ขึ้นมา, เรื่องนี้เป็นอย่างแท้จริงตามทีการทดลองได้ทำงานอย่างไร. ได้มีพวกเขาสองสามรายมาตั้งแต่ยุคปี 1990, อันที่เพิ่งผ่านมามากที่สุดได้ถูกตีพิมพ์ในปี 2012. ความคิดนี้คือ เมื่อการมีสำนึกจิตอยู่ได้เพ่งสมาธิอยู่กับแสงที่กำลังผ่านร่องรูสองชั้น, แล้วนั่นมีผลกระทบเช่นเดียวกันกับถ้าคุณได้วัดว่าร่องรูนั้นไหนที่แสงได้ผ่านทะลุไป, แล้วรูปแบบการแทรกรบกวนควรจะเปลี่ยนแปลง(I’m not making this up, this is literally how those experiments work. There have been a few of them since the 1990s. the most recent one was published in 2012. The idea is that when a conscious being concentrates on the light passing through a double slit, then that has a similar effect as if you had measured which slit the light went through, so the interference pattern should change).



ผู้ประพันธ์ทั้งหลายนี้บรรยายอธิบายการทดลองของพวกเขาไว้ดังต่อไปนี้ “มันได้ถูกอธิบาย
[ต่อผู้เข้าร่วมทั้งหลาย] ว่าพวกเขาสามารถพยายามที่จะ “เห็น” หรือจินตนาการว่าอันไหนของร่องรูทั้งสองที่โฟตอนทั้งหลายได้กำลังผ่านไป, ที่จะ “กลายเป็นหนึ่งเดียวกับ” ระบบการมองเห็นแสง ในวิธีเปรียบเทียบกัน, ที่จะปิดกั้นด้วยจิตหนึ่งในสองของร่องรูนั้น, หรือ “บิดงอ” ลำแสงเลเซอร์เพื่อที่จะทำให้มันผ่านทะลุหนึ่งร่องรูมากกว่าที่จะเป็นทั้งสองรู(The authors describes their experiment as follows “it was explained[to the participants] that they could try to mentally “see” or imagine which of the two slits the photons were passing through, to “become one with” the optical system in a comparative way, to mentally block one of the two slits, or to mentally “bend” the laser beam so as to cause it to pass through one slit rather than both.”)

แล้วพวกเขาก็วิเคราะห์อย่างสถิติความแตกต่างในรูปแบบการแทรกรบกวนระหว่างกรณีทั้งหลาย ที่ผู้เข้าร่วมทั้งหลายได้ถูกบอกให้เพ่งสมาธิอยู่กับร่องรูสองชั้นและไม่(They then statistically analyse the difference in the interference pattern between the cases where the participants were told to concentrate on the double slit and not).

ผู้ประพันธ์ทั้งหลายอ้างว่ามองเห็นความแตกต่างอย่างสำคัญทางสถิติ. วิธีการวิเคราะห์ของเขาได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในภายหลังโดยอีกกลุ่มอื่นที่โต้แย้งค้านว่า วิธีการของการวิเคราะห์นั้นไม่น่าเชื่อถือ และผลลัพธ์ทั้งหลายนั้นไม่สามารถถูกไว้วางใจได้. การวิพากษ์วิจารณ์เช่นเดียวกันได้ลุกขึ้นเกี่ยวกับการทดลองทั้งหลายในตอนแรกเริ่มกว่า. มันสามารถเป็นความยากลำบากอย่างไร ที่คุณอาจจะถาม, ที่จะคิดออกว่ารูปแบบของร่องรูสองชั้นได้เปลี่ยนแปลงหรือไม่?(The authors claim to see a statistically significant difference. Their analysis method was later criticized by another group which argued that the method of analysis is unreliable and the results can be trusted. Similar criticisms have been raised about earlier experiments. How difficult can it be you may ask, to figure out whether the pattern of a double slit changed?)


         เอาละ, ประเด็นก็คือการอธิบายแบบธรรมดาด้วยหลายร่องแถบสำหรับ(Well, the issue is that the common illustration with multiple stripes for the unobserved double slit and two thick brands for the observed one is so misleading I can only call it wrong. It’s because a single slit also make an interference pattern, it just looks slightly different that of a double slit).



         ดังนั้นที่คุณไม่คาดหวังว่าสำนึกจิตสังเกตที่จะส่งผลกระทบจริงๆแต่ละโฟตอน มันเป็นการยากจริงๆที่บอกถึงความแตกต่างนั้น. มีตัวอย่างทั้งหลายที่ง่ายกว่า ในการที่จะมองดูแต่บางทีพวกเขาไม่ได้ต้องการเช่นนั้น(So if you don’t expect your conscious observes to affect really each photon it can actually be difficult to tell the difference. There’s be easier examples to look at but maybe they didn’t want that).

         ไม่ว่ากรณีใดๆ, คำสรุปสั้นๆก็คือ ผลลัพธ์ของการทดลองทั้งหลายที่อ้างว่าค้นพบอิทธิพลของความคิดเชิงสำนึกจิตกับผลที่ออกมาในการทดลองเชิงควอนตัมทั้งหลาย ได้ยังคงอยู่อย่างสูงของการถกเถียงค้านแย้ง และไม่ได้มีการลดลงไปเลย. ซ้ำร้าย, ความคิดที่ว่าความสนใจเชิงสำนึกจิตของคุณด้วยเหตุเหตุหนึ่ง มีอิทธิพลอะไรกับการพังพับลงของการทำหน้าที่คลื่น ได้เข้าไปสู่ฟังดูไม่สมเหตุผล(In any case the brief summary is that the results of experiments that claim to find an influence of conscious thought on the outcome of quantum experiments have remained highly controversial and have not been reproduced. In addition, the idea that your conscious attention somehow influences what a wave-function collapse into doesn’t make sense).

         วิกเนอร์ ได้ทำถูกในการพูดนั่นในด้านฟิสิกส์, ถ้าสิ่งหนึ่งสามารถส่งผลกระทบอีกอันอื่น, แล้วอิทธิพลนั่นสามารถไปได้ทั้งสองทาง. แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าอิทธิพลที่ว่านั่นจะมีความเกี่ยวข้องเท่าเทียมกันในทั้งสองทิศทาง. ถ้ามันมีฝนตก, คุณก็จะเปียก. ถ้าคุณสบถใส่ท้องฟ้าเป็นการตอบสนอง, แล้วคลื่นแรงกดดันออกมาจากปากของคุณเคลื่อนบางโมเลกุลทั้งหลายของอากาศ. ดังนั้นพวกเขาจริงแท้เลยที่ส่งอิทธิพลต่อฝนนั้น(Wigner was right in saying that in physics, if one thing can affect another, then that influence can go both ways. But that doesn’t mean that the influence is equally relevant in both directions. If it rains, you’ll get wet. If you swear at the sky in response, then the pressure wave coming out of your mouth move some air molecules. So they indeed influence the rain).แต่สำหรับจุดมุ่งหมายเชิงปฏิบัติทั้งหมดแล้ว(but for all practical purposes, it doesn’t make any difference).

         และสมองของคุณจริงแท้ที่มีอิทธิพลเชิงกายภาพกับสภาพแวดล้อมของมัน(And your brain indeed has a physical influence on its environment). นั่นดเพราะว่าการคิดได้ผลิตสร้างสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กขึ้น. แต่พวกนั้นอ่อนเกินไปที่จะพังพับแสงที่กำลังผ่านทะลุร่องรูสองชั้นได้(that because thinking generates electric and magnetic fields. But they are too weak to collapse the light going through a double slit).



         ฉันเชื่อว่า นี้คือที่ซึ่งความคิดของ “การบำบัดรักษาด้วยคลื่นควอนตัม(quantum healing19)”มาจากการนี้, นั่นคือโดยเพ่งจุด(by focus your attention you can somehow

influence what processes happen in your own body).

         19 https://en.wikipedia.org/wiki/Quantum_healing

         ปัญหาหลักใหญ่ของฉัน(my major problem)กับเรื่องนี้ก็คือ นี้ไม่ใช่แม้กระทั่งว่ามันคือวิทยาศาสตร์เทียม(pseudoscience20), แต่นั่นมันโทษคนไข้ทั้งหลายในการเป็นป่วยไข้(it blames patients for being ill).

         20https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A1

         เฮ้, ถ้าคุณกำลังตายด้วยมะเร็ง, นั่นเป็นความผิดของคุณเอง(that’s your own fault), น่าจะได้เรียนรู้มากขึ้นในกลศาสตร์ควอนตัม เมื่อคุณยังคงสามารถได้(should have learned more quantum mechanics when you still could).

 

เพนโรส กับ ฮาเมอรอฟฟ์(Penrose and Hameroff)

         ในท้ายสุด, ขอให้ฉันเพิ่มเติมความคิดเห็นสรุปสั้น(a brief comment)เกี่ยวกับ โรเจอร์ เพนโรส(Roger Penrose21)และ สจ็วร์ต ฮาเมอรอฟฟ์(Stuart Hameroff22), ผู้บางทีคือมีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุด สำหรับการอ้างว่าจิตสำนึกมีบางอย่างทำกับกลศาสตร์ควอนตัม(who maybe most famous for claiming that consciousness has something to do with quantum mechanics).


         21 https://en.wikipedia.org/wiki/Roger_Penrose

         22 https://en.wikipedia.org/wiki/Stuart_Hameroff

         ข้อโต้แย้งค้านของพวกเขา(their argument)อย่างไรก็ตาม, เป็นอันหนึ่งที่แตกต่างอย่างสมบูรณ์(completely difference). มันคือว่า การพังพับลงนั้นนำไปสู่จิตสำนึก, ไม่ใช่ที่จิตสำนึกนำไปสู่การพังพับ(that the collapse of the wave-function leads to consciousness, not that consciousness leads to the collapse).

         พวกเขามีความคิดนี้ว่า ในสมองของมนุษย์มีโมเลกุลขนาดใหญ่ทั้งหลายอย่างแน่ชัด(a certain large molecules), ที่เรียกว่า ไม่โครทูบูลสิ์(microtubtules23), ที่สามารถก่อรูปสภาวะ

23https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B8%A5

ทั้งหลายที่สอดคล้องกันเชิงควอนตัม(that can form coherent quantum states24), และการพังพับลงของพวกเขาเป็นสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับจิตสำนึก(their collapse is relevant for consciousness).

         24 https://en.wikipedia.org/wiki/Coherent_state

         มีปัญหามากมายหลายอย่างกับเรื่องนี้, อย่างแรกของทั้งหมด, คุณไม่อาจคาดหวังว่าโมเลกุลขนาดใหญ่ทั้งหลายเช่นนั้น ยังคงอยู่ในสภาวะทับซ้อนตำแหน่งเชิงควอนตัมเป็นเวลายั่งยืนยาวนานในสมองของมนุษย์(to remain in quantum superpositions for a sufficiently long time in the human brain).

         อย่างที่สอง, เซลล์ทั้งหลายทั้งหมดมีไม่โครทูบูลสิ์(all cells have microtubules), ดังนั้น ตับของฉันไม่มีสำนึกของจิตด้วยเช่นกัน ได้อย่างไร?(so how my liver isn’t also conscious?)

         และอย่างที่สาม, ธุระอะไรของไมโครทูบูลทั้งปวงนี้ ต้องเข้ามายุ่งกับจิตสำนึกด้วย, ถึงอย่างไรก็เหอะ?(what’s this whole microtubule business got to do with consciousness, anyway?)

         อนึ่ง(by the way), ในหนังสือของฉัน “อัตถิภาวะกายภาพ(existential physic25)” ฉันมีคำสัมภาษณ์กับโรเจอร์ เพนโรส(Roger Penrose)เกี่ยวกับเรื่องนี้.


         25 https://en.wikipedia.org/wiki/Existential_Physics

         * https://www.fathombookspace.co/product/46627-42111/9786168266434

         ดังนั้น, ใน(in summary), ) ที่ว่าจิตสำนึกเป็นสาเหตุให้เกิดการพังพับลงของการทำหน้าที่คลื่นเป็นการตีความ/แปลความหมายที่เป็นไปได้ของคณิตศาสตร์, แต่มันก็เป็นเชิงปัญหาเช่นเดียวกันกับการตีความ/แปลความหมายอื่นๆทั้งหลายทั้งหมดของกลศาสตร์ควอนตัม( A. that consciousness causes the collapse of the wave-function is a possible interpretation of the mathematics, but it’s as problematic as all other interpretations of quantum mechanics).  

         ) ใครคนหนึ่งก็สามารถสร้างสูตรแบบจำลองการพังพับลงได้ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความคิดนี้ที่เป็นการปรับเปลี่ยนแปลงแก้ไขสามารถทดสอบได้ทางกลศาสตร์ควอนตัม. แต่ด้วยความสุจริตใจทั้งปวง, ฉันคิดว่าถ้าพวกเขาทดสอบมัน, พวกเขาก็คงแค่กาขีดมันออกไปแล้ว(one can formulate a collapse model based on this idea which is a testable modification of quantum mechanics. But in all honesty, I think if they test it, they’ll just rule it out).

         ) ความคิดที่ว่าคุณสามารถมีอิทธิพลต่อการพังพับลงของฟังค์ชั่นคลื่นด้วยการคิดนั้น เป็นวิทยาศาสตร์เทียม(the idea that you can influence the collapse of the wave-function by thinking is pseudoscience).

         และ) ไม่มีในนั้นเลยคืออะไรที่เพนโรสและฮาเมอรอฟฟ์ได้พูดคุยถึง, ที่เป็นอีกเรื่องอื่นหนึ่งทั้งสิ้น(none of that is what Penrose and Hameroff are on about, which is another story entirely).

ตรวจดูหลักสูตรกลศาสตร์ควอนตัมของฉัน(Check out my quantum mechanics course)

ใช่, ฉันได้พูดคุยเกี่ยวกับกลศาสตร์ควอนตัม อีกแล้ว! แต่ถ้าคุณอยากทราบว่ากลศาสตร์ควอนตัมทำงานอย่างไรจริงๆ, เช่นนั้นการดูวิดีโอฝ่ายเดียวนั้นคงไม่เพียงพอ, คุณต้องมีสัมพันธ์อย่างกระทำโต้ตอบกับเนื้อหานั้น. ผู้สนับสนุนของเรา, บริลเลียนท์สามารถช่วยคุณได้กับเรื่องนั้น. (I’ve been talking about quantum mechanics again! But if you want to really understand how quantum mechanics work, then passive watching video isn’t enough, you have to actively engage with the subject. Our sponsor, Brilliant can help you with that).



บริลเลียนท์
เสนอหลักสูตรบนเนื้อหาหลากหลายในด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์. สิ่งยอดเยี่ยมเกี่ยวกับหลักสูตรของพวกเขาก็คือว่า พวกนั้นทั้งหมดเป็นแบบปฏิสัมพัทธ์ ด้วยการทำให้เห็นได้ทั้งหลาย และติดตามคำถามทั้งหลายตลอด, ดังนั้นคุณสามารถที่จะตรวจสอบความเข้าใจของคุณได้ในทันที. นี้คือทำไมฉันชอบที่จะมองสิ่งหาทั้งหลายกับบริลเลียนท์. มันรวดเร็ว, มันง่าย, และมันบอกฉันในอะไรที่ฉันจำเป็นต้องรู้(Brilliant offers course on a large variety of subjects in science and mathematics. The great thing about their courses is that they’re all interactive with visualizations26 and follow-up questions, so you can check your understanding right away. This is why I like to look things up on Brilliant. It’s fast, it’s easy, and it tells me what I need to know).

26https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89

 


         การที่จะเข้าใจดีขึ้นในอะไรที่ที่ฉันได้พูดคุยไปแล้วในวอิดีโอนี้, กรุณาตรวจสอบตัวอย่างหลักสูตรของฉันเกี่ยวกับกลศาสตร์ควอนตัม. มันให้คุณในคำนำของการสอดแทรก, สภาวะการทับซ้อนตำแหน่ง และการพัวพัน เชิงควอนตัม(To understand better what I talked about in this video, check out for example my course about quantum mechanics. It gives you an introduction to interference, superposition and entanglement27), หลักการ

         27https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A1

ของความไม่แน่นอน(the uncertaintly28 principle), และทฤษฎีบทของเบลลิ์(Bell’s theorem29)28https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99

         29 https://en.wikipedia.org/wiki/Bell's_theorem

         มันเริ่มต้นจากพื้นฐานทั้งหลายอย่างมาก, ดังนั้นคุณไม่มีความจำเป็นต้องนำเอาภูมิหลังความรู้ใดมาด้วยเลย. และหลังจากนั้น, คุณสามารถดำเนินการต่อไป บางทีอาจะเป็นกับหลักสูตรของพวกเขาในเรื่อง วัตถุทั้งหลายเชิงควอนตัม, หรือ การประมวลผลเชิงควอนตัม, หรืออะไรที่ความสนใจใฝ่รู้ของคุณได้ชักนำคุณ(it begins from the very basics, so you don’t need to bring any background knowledge. And after that, you can continue maybe with their course on quantum objects, or quantum computing30, or wherever your curiosity drives you).

         30 https://en.wikipedia.org/wiki/Quantum_computing

         ถ้าคุณสนใจในการพยายามลองกับบริลเลียนท์, ใช้ลิงก์ของเรา Brilliant.org/Sabine และลงทะเบียนสำหรับการทดลองฟรี ที่คุณจะได้ลองใช้ทุกอย่างที่บริลเลียนท์มีที่จะเสนอให้สำหรับหนึ่งสัปดาห์. 200 ผู้ลงทะเบียนติดตามการใช้ลิงก์นี้จะยังได้ส่วนลด 20% จากการจ่ายค่าสมัครสมาชิกแบบรายปีในระดับพรีเมี่ยม(if you’re interested in trying Brilliant out, use our link Brilliant.org/Sabine and sign up for a free trial where you’ll get to try out everything Brilliant has to offer for a whole week. The first 200 subscribers using this link will also get 20% off the annual premium subscription).

         ขอบคุณสำหรับการชม, แล้วพบกันอีกสัปดาห์หน้า(Thank for watching, see you next week).

         https://youtu.be/v1wqUCATYUA?si=lAlJ2mVdhI4MzEwt