หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

พระอาจารย์ชยสาโร - เวลา

พระอาจารย์ชยสาโร - เวลา

          https://youtu.be/HyYXl12FkAI?si=ZuXBkoiIHBtLaCOS




          นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

          นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

          นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

          พุทธัง ธัมมัง สังฆัง อะนุตตะรัง คุณุตตะรัง อุปัชฌาย์ยัง นะมัสสามิ.  

สมัยก่อน เจอคำย่อ จะงง ไม่รู้จะถามใคร เมืองไทยใช้คำย่อเยอะ เมืองนอกก็เหมือนกัน ตอนหลังก็มี googles ช่วย ค่อยยังชั่ว ทีนี้อาตมาเจอคำย่อ คงเป็นของเก่าแล้วมั้ง งั้นคงรู้จักกัน โยโล เคยรู้มั้ย? มีใครรู้มั้ย โยโล อืม...ให้วิทยาทานวันนี้พร้อมกับธรรมทาน โย y-o แปลว่า you only live once อืม ก็หมายถึงว่า ทำไปเลย อืม ไม่ต้องคิดมาก justด้วยเพราะว่า you only live once.

          พออ่านแล้ว โห มิจฉาทิฏฐิอย่างแรง เน๊าะ ที่ว่าเกิดครั้งเดียวจบ อาตมาไปคิดอีกทีหนึ่งว่าจะแก้ yol-tlo อื้อ มีใครเดาได้ yol-tlo แต่ออกเสียงไม่ค่อยเท่าไหร่ ย๊ล-ตะโล แปลว่า you only live this live once อ่า อันนี้ก็เป็นข้อคิดที่ดี.

          แต่วันนี้ วันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๗ เวลา ๑๐ โมง ๕ นาที ที่ในประวัติศาสตร์ของโลก ประวัติศาสตร์ของจักรวาล  ๒๐ ตุลา ๒๕๖๗ มีวันเดียว ไม่เคยมีมาก่อนนะ อนาคตจะไม่มี ๒๐ ตุลาก็มีนับไม่ถ้วน ในอดีต แต่คนละปีกัน อนาคตต้องมี ๒๐ ตุลา ทุกๆปี แต่จะไม่ใช่ ๒๐ ตุลา ของปี ๒๕๖๗ ช่วงเช้า ๑๐ โมง ๕ นาทีเนี่ยะ ๑๐ โมง ๕ นาทีของวันที่ ๒๐ ตุลา ๒๕๖๗ มีครั้งเดียวในประวัติศาสตร์.

          ทีนี้ วันนี้เรามาอยู่ร่วมกันเนี่ยะ จะเกิดครั้งเดียวในชีวิตนะ ครั้งเดียวไมใช่ในชีวิตของเรา เป็นครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ประวัติศาสตร์ของโลก ประวัติศาสตร์ของจักรวาล เพราะ ๑๐ โมง ๕ นาที โอ๊ะ! ผ่านไปแล้ว ๑๐ โมง ๖ นาที ในวันที่  ๒๐ ตุลา ๒๕๖๗ มีครั้งเดียวใน มีครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ของไทย ของโลก ของจักรวาล แม้แต่หายใจเข้า มีครั้งเดียวในชีวิต  หายใจออกมีครั้งเดียวในชีวิต ทุกลมหายใจนั้นมีครั้งเดียวในชีวิต เราคงคิดว่าหายใจเข้าหายใจออกเรื่อย ๆตั้งแต่เกิด จนตายเนี่ยะ หายใจ ใช่ แต่ไม่ใช่หายใจเดียวกัน ทุกลมหายใจ Unique มีครั้งเดียว.

          เนี่ยะ เรา...เราคิดอย่างนี้ จึงเห็นคุณค่าของเวลา ทุกคนก็บ่นว่า ไม่มีค่อยเวลา แต่พอมีเวลา ทำอะไรล่ะ? หาทางฆ่าเวลา แล้วจะมีไว้ทำไม? แต่อย่าง...เมืองไทยลงทุนสร้างถนน อย่างถนน…highwayที่สร้างใหม่จากกรุงเทพไปโคราช อีก ๑๐ ปีก็คงจะเสร็จ หะหะ ใจเย็นๆ ผลก็คือ ในวันธรรมดาอาจจะเดินทางจากกรุงเทพมาปากช่องเร็วขึ้นมา ๑๐ นาที ๑๕ นาที ลงทุนไม่รู้กี่พันล้าน นอกจากวันงานอย่างวันสงกรานต์ วันอะไร แต่วันธรรมดา แต่แล้วคุ้มรึ? ลงทุนไม่รู้กี่พันล้านเพื่อประหยัดเวลา แล้วคนประหยัดเวลาไปทำอะไร? เอาไปเล่นเกมกัน ไปหลับกัน ประหยัดไปทำไม?

          เราไม่รู้จักเวลา ไม่รู้จักใช้เวลากัน และความประมาทก็คือรู้สึกมีเวลาอยู่ เหมือนกับมีเวลาเหมือนกับมีรเงินอยู่ในธนาคาร ยังไม่จนหรอกเรามีเวลา เราจะตายมั้ยวันไหน? ตายแน่ แต่คงไม่ใช่วันนี้ วันนี้เราก็ยังมีเวลา และทุกคนก็เกิดจะคิดอย่างนั้น เพราะรู้สึกมีเวลา ก็เลยไม่คิดที่จะใช้เวลา หรือให้เวลาใช้เรามากกว่า.

          แต่เวลาในนาฬิกา เวลาในความรู้สึก มันต่างกัน เราน่าจะให้ความสำคัญกับเวลาในความรู้สึก อย่างน้อยพอๆกับเวลาในนาฬิกา เวลาในนาฬิกาก็สำคัญ เรื่องการนัดหมาย การทำงานทุกอย่างก็ต้องมีเวลาที่เป็นของสมมติ สมมติแปลว่า ตกลงร่วมกัน บางสิ่งบางอย่างมันไม่เป็นจริงโดยธรรมชาติ แต่มันดีด้วยการตกลงกัน เราจึงเรียกว่าเป็นความจริงแบบสมมติ มนุษย์เราพัฒนาได้ถึงขนาดนี้ ก็เก่งในเรื่องการสร้างความจริงระดับ ๒ ระดับรอง ที่เรียกว่าสมมติสัจจะ1  แต่สิ่งที่โทษที่เป็นปัญหา ที่ตามมาก็มี เมื่อเราเชื่อว่าสิ่งเป็นสมมติเป็นของจริงแท้.

            1https://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=%CA%C1%C1%B5%D4%CA%D1%A8%A8%D0

ถ้านักปราชญ์ก็รู้ว่า นี่คือความจริงแท้ ความจริงสมมติ บางทีก็โกรธกันเรื่องสมมติได้ อย่างเช่น เรื่องความเคารพ ในการแสดงความเคารพ อะไรคือการแสดงความเคารพ มันก็แล้วแต่...แล้วแต่วัฒนธรรม ศาสนา แล้วแต่ประเทศ อย่างเคยเล่าไว้ว่า หลายปีที่แล้วประธานาธิบดีศรีลังกาไปวัดป่านานาชาติ ญาติโยมออกมาต้อนรับหลายร้อยคน ท่านก็เดินเข้ามาในศาลา สนทนาธรรมกับเจ้าอาวาส อาตมาตอนนั้นเป็นรองเจ้าอาวาส ท่านก็ยืนคุยกับท่านเจ้าอาวาส ยืนคุยกับท่านอาจารย์ปสันโน2 ซึ่งท่านอาจารย์ปสันโนก็ไม่สูงอยู่แล้ว ท่านก็ยืนคุย โห ชาวบ้าน

2 http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=9244

นี่เสียความรู้สึกเลย เอ๊ะ ทำไมคนเป็นผู้นำประเทศไม่มีความเคารพต่อครูบาอาจารย์เลย ยืนคุยกับท่าน อันที่จริงในศรีลังกา ผู้ใหญ่คุยกับพระต้องยืน ซึ่งอาตมาสันนิษฐานว่า เอาจากหลักฐานในพระไตรปิฎก คุยกับพระต้องยืน ยืนคุยนะ เรียกว่าผู้นำจะต้องเอาเทวดาเป็นตัวอย่าง แต่ท่านเคารพหรือไม่เคารพ ท่านก็เคารพตามสไตล์ของท่าน ตามในวัฒนธรรมของท่าน บอกว่าผู้แสดงความเคารพ ยืน ยกมือไหว้ คือเคารพ แต่ชาวบ้านในอุบลเห็นว่าไม่เคารพ ก็เลย...ความรู้สึกก็เหมือนกัน การแสดงออกก็ไม่รู้สึก ดังนั้นความรู้สึกเคารพ เป็นของสากล เป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นในจิตใจ แต่การแสดงความเคารพมันก็มีสมมติต่างๆ นี้เราต้องแยกออกจากกัน ดังนั้นเวลาเห็นใครทำอะไร ไม่เข้าท่าไม่เรียบร้อย เราอย่าเพิ่งด่วนสรุป ใช่มั้ย? เราก็ดูเจตนาเค้า เค้าแกล้งมั้ย? หรือเค้าไม่รู้ ไม่มีใครสอน หรือว่าในกลุ่มของเขา ในวัฒนธรรมของเขา เค้าสมมติไม่เหมือนกับเรา.

          อย่างอาตมาเคยโดนดุ สมัยอยู่กับครอบครัวในเตหรานในอิหร่าน เพราะในอิหร่านถือว่า เดินเข้าไปในห้องน้ำเท้าเปล่า น่าเกลียดมาก เป็นคนไม่มีวัฒนธรรม คือจะต้องมีรองเท้าห้องน้ำ โดยเฉพาะจะไว้หน้าห้องน้ำ อยู่ในบ้านก็ถอดรองเท้า แต่เวลาเข้าห้องน้ำต้องใส่รองเท้าห้องน้ำเข้าไป ถ้าไม่ใส่แล้ว อู้หู้ โดน  น่าเกลียด อย่างนี้มันสกปรก. ฉะนั้นแต่ละประเทศเค้าก็คิดไม่เหมือนกัน เค้าก็เป็นเรื่องสมมติกัน.

          ทีนี้ในเรื่องของเวลา ในการที่เราสมมติว่าเป็นวันอาทิตย์ สมมติว่าเป็นเวลานั้นเวลานี้ เป็นเรื่องสมมติ แต่ความจริงของธรรมชาติไม่มีหรอก ไม่มีตัวเลขอย่างนี้ ฉะนั้นเราดูความรู้สึกของเราต่อเวลา สิ่งที่เราสังเกตถึงบทบาทของตัณหา จะสังเกตได้ว่า ถ้าเราอยากให้เร็ว มันจะรู้สึกว่าช้า ถ้าอยากให้ช้า รู้สึกว่าเร็ว ถ้ากำลังเบื่อ จะรู้สึกว่าช้า ถ้าสนุกก็รู้สึกว่าเร็ว ดังนั้นเวลาที่เราสัมผัสได้เป็นประสบการณ์ตรง ขึ้นอยู่กับอารมณ์และขึ้นอยู่กับกิเลสเราโดยเฉพาะตัณหา ดังที่เราอ่านเราฟังเรื่องสวรรค์นรก สมมติว่าขึ้นสวรรค์ ๑๐ ล้านปี สมมติตกนรก ๑๐ ล้านปี ๑๐ ล้านปีในนรกยาวกว่า ๑๐ ล้านปีในสวรรค์ ถ้าสวรรค์นี้มีความสุขมากน่ะ ๑๐ ล้านปีอาจจะปั๊บเดียว อย่างเนี๊ยะจบล่ะ เราก็ ฮู้ ไปอยู่ในสวรรค์เป็นนานๆเป็นล้านปี แต่ในความรู้สึกอาจจะแป้บเดียว เพราะมันมีความสุขมาก และตกนรกแม้แต่ ๑ นาที ๑ ชั่วโมงก็รู้สึกยาวมาก เพราะทรมาน ฉะนั้นเวลาในนาฬิกาในปฏิทินมันก็ไม่ใช่เวลาในความรู้สึกของเราเสมอไป.

          และฉะนั้นการที่รู้เท่าทันในเวลาและการบริหารเวลา เป็นวิชาชีวิตที่ทุกคนควรจะสนใจ อย่างเรื่องความเครียด ความเครียดจะแก้ยังไง? จะป้องกันยังไง? จะแก้อย่างไร? ก็ถ้ามองทางธรรม ก็จะอยู่ที่การมีสติ เราก็แยกออกระหว่างความกดดันกับความเครียด เพราะอยู่ที่ไหนเราก็ต้องมีความกดดัน กดดันโดยเวลา กดดันโดยความคาดหวังของคนอื่น ก็แล้วแต่ สิ่งเหล่านี้ก็คงต้องยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และความกดดันก็เป็นสิ่งที่ดีได้บ่อยเหมือนกัน ทำให้เราไม่ประมาท ทำให้เราขยันหมั่นเพียรพอมีความกดดัน ไม่มีความกดดันอาจจะสบายเกินไป เมื่อไหร่ก็ได้ อืม จะทำอยู่ เพียงแต่ว่า ยังไม่มีเวลา เหมือนกับ สมมติว่าเดิน เดินทางไปขึ้นเครื่องบิน ไปต่างประเทศ เดินทางไป ๕-๖ ชั่วโมง แต่ไปถึงช้าไป ๑ นาที เรารู้สึกว่า โอ้ แค่ ๑ นาทีเอง ถ้าเทียบกับการเดินทาง ๕ ชั่วโมง มันไม่ยุติธรรมเลย ๕ ชั่วโมงแต่มันก็ไม่ทัน ไม่ทันก็ไม่ทัน เหมือนคนที่จะทำอะไรสักอย่าง คำว่าจะนี้ก็เป็นคำที่ต้องระวังมากเลย เพราะในความรู้สึกของเรานี้ในการจะทำที่จะทำให้เกิดผล ถ้าจะทำนี่เหมือนกับประสบความสำเร็จไป ๙๐% แล้ว แค่จะทำ คือมันรู้สึก มันได้แล้วในระดับหนึ่ง เพราะจะทำ การที่ตัดสินจะทำเหมือนกับว่า โอเค ตกลงละ แต่อาจจะไม่ทำเลยก็มี เพียงแต่ปลอบใจอยู่ว่า อ้าวทำไม่ยังทำ เพราะเหตุผลว่ากำลังจะทำ อ้าวจะทำอยู่แล้วให้ แต่ไม่เห็นทำเลย จะทำ จะทำ นี่เป็นความหลอกลวงตัวเอง.

          ทีนี้นอกจากความ...เอ่อ การฝึกสติไม่ปรุงแต่ง ในความกดดัน โดยความไม่อยากให้กดดันอย่างนี้ ไม่อยากให้มีเรื่องบีบคั้นอย่างนี้ โอ้ เราก็ไม่มีเวลาเสียด้วย พวกนี้ที่เราปรุงแต่งด้วยวิภาวะตัณหา ไม่อยากมีไม่อยากเป็น ก็จะทำให้ความกดดันกลายเป็นความเครียด แต่ปัจจัยปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เครียดมาก โดยเฉพาะนักเรียนเจอบ่อย ก็บริหารเวลาตัวเองไม่เป็น งานที่ควรจัด อ่า ชำระวันทุกวันทุกวัน เรื่อย ๆ ที่ทิ้งไปทิ้งไปทิ้งไปทิ้งไป จนกระทั่งถึงเวลาเหลืออยู่ไม่กี่วัน งานก็ยังเยอะ เครียด เครียดเพราะกลัวจะไม่ทัน ฉะนั้นการฝึกจิตก็อย่างหนึ่ง การบริหารเวลาซึ่งเป็นเรื่องของวินัย ก็ต้องคู่กับธรรม ทุกๆเรื่องธรรมกับวินัยไปด้วยกัน ทางธรรมก็คือการดูแลจิตใจ ไม่ให้ปรุงแต่ง ในสิ่งที่ไม่ชอบ เช่น ความกดดัน จนกระทั่งเกิดเป็นความเศร้าหมอง ว่าเครียด แต่วินัยก็ช่วยป้องกัน ลดได้ ด้วยการบริหารเวลา เช่นเราแบ่งงานออกเป็น อ่า เป็นอะไรด่วนสำคัญ สำคัญไม่ด่วน ด่วนไม่สำคัญและไม่ด่วนไม่สำคัญ แค่นี้ก็ช่วยได้เยอะ ไม่ด่วนไม่สำคัญเอาไว้ก่อน ไว้ตอนท้าย ไม่ทำเลยก็ยังยินดี ด่วนและสำคัญทำก่อน แต่นี้ไอ้ข้อ ๒ ข้อ ๓ นี่จะสับสนระหว่าง ด่วนไม่สำคัญ สำคัญไม่ด่วน ถ้าขาดสตินี้จะเอา ด่วนไม่สำคัญก่อน แต่ถ้ามีสติมีปัญญา จะเอาสำคัญไม่ด่วนก่อน.

อย่างเช่นเรื่องการทำวัตรสวดมนตร์ หรือการนั่งสมาธิทุกวัน ด่วนมั้ย? ก็ถ้ามองแบบพระอริยเจ้า ผู้มีปัญญาจริงๆ ด่วนมาก เพราะไม่รู้ว่าเราจะตายเมื่อไหร่ ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสอีกสักนานอีกเท่าไหร่ จะมองว่าด่วนก็ได้ แต่คนทั่วไปก็มองว่าไม่ด่วนหรอก ค่อยๆเป็นค่อยไป บางคนก็ต้องแก่ก่อน อันนี้ก็ยังไม่ถึงเวลา ให้ผมหงอกฟันหัก หรืออะไร โอ้ หัวหงอกแล้วจะทำ ตอนนี้ยังไม่พร้อม อาตมาเคยว่าชาวบ้านเรื่องนี้ มีโยมผู้หญิงคนหนึ่ง ท่านอาจารย์ทำไมเสียงมันค่อย นี่ก็ระหว่างแสดงธรรมนะ ก็ชอบว่าเพราะเป็นกันเองน่ะ อาจารย์เสียงค่อย ฟังบ่ได้ยิน อย่างเน๊ยะ อาตมาก็บอกว่า ถ้ามาฟังเทศน์ตั้งแต่สาว ตั้งแต่หูยังดี มันก็ได้ยินอยู่หรอก ทำไมปล่อยให้แก่แล้วค่อยมาวัด จะเป็นความผิดของอาตมาได้ยังไง สมัยก่อนนั่นก็คุยกันเป็นกันเองดี อ้าว กำลังพูดเรื่องอะไรเนี่ยะ.

เราก็จัดสรรเวลา เราก็รู้จักเวลา รู้จักกาลเทศะ ความเครียดก็หายไป รู้จักใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ด่วนแต่สำคัญและไม่สำคัญ มันเยอะนะ อันนี้ก็ด่วนต้องรีบทำนะ  อืม นั่นกิเลสคนนะ คนอยากขายของ หรือว่าขายลดราคา 50% เฉพาะวันนี้หรือเฉพาะอ่ะนะ ก็ด่วนๆๆๆ ก็รีบส่ง แล้วจำเป็นต้องซื้อมั้ย? ก็ไม่มีความจำเป็น แล้วทำไมต้องซื้อ? เพราะถ้าไม่ซื้อวันนี้ก็ไม่มีโอกาสล่ะ อืม สมมติ...สมมติว่าของมีราคาพันบาท แล้วคงจะขายห้าร้อยบาทเฉพาะอาทิตย์นี้ ซื้อมั้ย? เอ้อ บางคนก็ ต้องซื้อสิ มัน...มันประหยัดห้าร้อยบาท แต่ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่ต้องการ มันก็เสียห้าร้อยบาท ใช่มั้ย? มันประหยัดห้าร้อยบาทหรือเสียเปล่าๆห้าร้อยบาท มันแล้วแต่จะมอง ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น.

ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญในชีวิต ทั้งๆที่ไม่มีความกดดัน อ้า เราทำหรือไม่ทำก็ไม่มีใครว่าอะไร ใช่มั้ย? จะตื่นแต่เช้าทำวัตรสวดมนตร์ นั่งสมาธิ อ่า หรือจะเปิดทีวี ก็ไม่มีใครว่าเรา แต่เราก็รู้ของเรา เราก็ใช้เวลา ก็เวลามันผ่านเร็วขึ้น เร็วขึ้น นี่เป็นข้อสังเกตของผู้สูงอายุ เน๊าะ ว่าอายุ เอ้ ทำไมเวลามันผ่านเร็วจัง ไม่เหมือนสมัยก่อน อืม อายุมากเวลาผ่านเร็ว งั้นเราก็ต้องยิ่งต้องสนใจ ในเรื่องการบริหารเวลา สิ่งที่ด่วนและสำคัญรีบทำแต่ตอนนี้ แต่รีบแบบพุทธนะ รีบแบบพุทธเป็นไง? รีบช้าๆ นี่คือรีบแบบพุทธ ไม่ใช่รีบร้อนนะ รีบเย็น อืม รีบเย็น โอ้ เรื่องนี้มันไม่เย็นนะ อืม จัดการ ไม่ต้องวุ่นๆวายๆน่ะ อย่างเช่นคนบริหารเวลาไม่เป็น จะไปใส่บาตรหรือจะไปทำบุญที่วัด ก็บริหารไม่พอก็ ตายแล้ว ขึ้นรถขึ้นรถไปๆๆๆ ภรรยาก็นั่งข้างๆสามีก็ขับรถ เร็วๆๆๆ ขึ้นไป มันจะไม่ทัน สามีก็รำคาญ แม่บ้านก็รำคาญ แล้วจิตใจจะเป็นบุญได้ยังไง? เครียดว่า ถ้าจะถึงวัดไม่ทัน ทำบุญนี่ไม่ใช่ว่าเฉพาะเวลาใส่บาตร พุทธองค์ให้มีความสุข ก่อนใส่บาตร ก่อนทำบุญ ในขณะที่ทำบุญ และหลังจากทำบุญไปแล้ว แม้แต่การให้ทานก็ต้องฝึกจิตนะ ถ้าก่อนทำแล้วจิตรำคาญ วุ่นวาย มันก็ขาดอยู่ตรงนั้น ขณะที่ใส่อาจจะได้ ใส่แล้วมาดู ท่านตักของเรารึเปล่า? ทำไมตักนิ๊ดดดเดียว? จิตมันก็ไม่เบิกบานแล้วนะ บุญมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับท่านตักกี่ช้อนนะ ดูแลจิตใจนี่สำคัญ.

ทีนี้ เรื่องการจัดสรรเวลา ในการปฏิบัติธรรม ในชีวิตประจำวัน เราก็แบ่งออกกเป็นช่วงๆ อย่างเช่นช่วงแรก ตื่นเช้าจนถึงเวลาออกเดินทางไปที่ทำงาน ช่วงที่สอง ก็เดินทางไปที่ทำงาน ช่วงที่สาม ทำงาน ตั้งแต่เริ่มเข้าออฟฟิช เริ่มทำงานถึงเที่ยง ช่วงที่สี่ พักกลางวัน ช่วงที่ห้า ทำงานช่วงบ่าย ช่วงที่หก เดินทางกลับบ้าน ช่วงที่เจ็ด ถึงบ้านแล้ว จากเวลาถึงบ้านถึงเวลาพักผ่อนนอนหลับ ทีนี้ถ้าเราจัดเป็นช่วงๆ แล้วก็ตั้งต้นใหม่ ตั้งต้นใหม่ ตั้งต้นใหม่ อย่างนี้ แล้วก็มีการเปรียบเทียบ เอาช่วงนี้ ช่วงเช้า ถึงเช้าตั้งแต่เท่าไหร่ ตี ๕ ถึง ๗ โมง ๘ โมงล่ะ นี้เป็นช่วงแรก ต้องทำให้มันดี ให้ดี ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ สิ่งท้าทายข้อที่สอง นั่งรถหรือขับรถ ขึ้นรถโดยสารไปที่ทำงาน ทำยังไงเราจึงจะดูแลจิตใจ ไม่ให้กิเลสเข้ามาครอบงำ ให้จิตใจเป็นบุญเป็นกุศลตลอดถึง ถึงที่ทำงาน ช่วงทำงาน ทำยังไงเราถึงจะดูแลจิตใจ ทำงานสมมติว่า ๒ ช่วง ช่วงเช้าและช่วงบ่าย เรามีสิ่งท้าทายตลอดเวลา แต่รู้สึกว่านี่ก็คือการท้าทาย ในการแบ่งออกเป็นช่วงๆนี้ จะทำให้เรากำหนดงาน กำหนดการปฏิบัติธรรมของเราง่ายขึ้น.

เราเพิ่งสอน retreat คุณครู เสร็จ อ่า เมื่อเช้านี้เอง เมื่อกี้นี้เอง ก็มีคุณครูมาตั้งร้อย ร้อยเจ็ดสิบเก้า ร้อยแปดสิบคน ทั้งครูทั้งผู้ปกครองส่วนหนึ่ง และคืนสุดท้ายก็เป็นธรรมเนียมว่า ผู้มีศรัทธาก็จะเนสัชชิก3 เนสัชชิกก็คืออยู่ทั้งคืน ไม่พักผ่อนเลย ภาวนาตลอดทั้งคืน ทีนี้ อาตมาก็ปแนะนำอย่างนี้ ให้แบ่งเวลาของกลางคืนออกเป็นช่วงๆ

3https://www.facebook.com/ybatpage/photos/a.203832874743/10157139675774744/?_rdr

อย่างสมมติว่าเริ่มตั้งแต่ สามทุ่มหรือสี่ทุ่มยังงี้ เอาเป็นช่วงแรก สี่ทุ่มถึงสี่ทุ่มครึ่ง ช่วงที่สอง สี่ทุ่มครึ่งถึงห้าทุ่ม ช่วงที่สามห้าทุ่มถึงห้าทุ่มครึ่ง ถ้าเป็นระยะยาว รู้สึกยาวตอนกลางคืนก็เริ่มง่วง เริ่มโอ้โหอีกกี่ชั่วโมงเน๊าะ? อืม เอ๊ เราตัดสินผิดมั้ยหนอ? เดี๋ยวนะ คือจิตใจเริ่มจะเฉา ท้อแท้ แต่ถ้าเรา เอ่อ ช่วงนี้ไม่ค่อยจะดีนัก ช่วงห้าทุ่มถึงห้าทุ่มครึ่ง ไม่เป็นไร ห้าทุ่มครึ่งไปล้างหน้าล้างตา เริ่มต้นใหม่ ให้ช่วงห้าทุ่มครึ่งหกทุ่มให้มันดีซะ คือเนี่ยะก็เป็นจิตวิทยาในจัดเวลายาวออกเป็นเวลาสั้นเป็นช่วงๆ ทุกครั้ง เริ่มต้นใหม่ เริ่มใหม่ พอถ้าเรามอง เรา เอ่อ ก็จะภาวนาทั้งคืน พอเราจะช่วงง่วงเหงาหาวนอน ห้าทุ่มหกทุ่มตีหนึ่งแล้วแต่ ก็รู้สึก อ๋อ มันแย่ไปแล้วคืนนี้ อ้า ไม่ดีเหมือนที่คิด เหมือนที่เราหวัง แต่ถ้ามันเป็นเฉพาะช่วงนี้ ช่วงที่สามช่วงที่สี่ แต่ช่วงต่อไป อ้าว ให้ดีกว่านี้.

          ฉะนั้นในการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ก็เช่นเดียวกัน เช่นว่า มีช่วงบ่ายนี้ทำงาน ก็เกิดความหงุดหงิดรำคาญ ก็เกิดการทะเลาะกับใคร ก็เกิดน้อยใจใคร ก็จะได้รู้สึกว่า โอ้ ช่วงบ่ายวันนี้มี มีเศร้าหมองเน๊าะ ไม่เป็นไร พอจบแล้วตั้งต้นใหม่เลย เรียนรู้จากประสบการณ์ คอยสังเกตpatternต่างๆว่า เราเผลอก็มันจะเผลอช่วงไหน? เวลาไหน? แล้ววางแผนอย่างไร? เราจึงจะป้องกันไม่ให้เผลออย่างนั้น คุณธรรมที่เป็นประโยชน์มาก ในชีวิตประจำวันที่มีการรับผิดชอบมากมาย มีนั่นมีนี่ตลอดเวลา ก็คือเมตตาภาวนา ซึ่งสมมติว่าก่อนจะ อ่า ก่อนจะตื่นตอนเช้า ก่อนจะลุกตอนเช้า อ่า ให้แผ่เมตตากับตัวเองและทุกคนในครอบครัวก่อน แต่ก่อนจะเห็นหน้าเค้าให้แผ่เมตตาไว้ก่อน ก่อนจะไปเข้าที่ทำงาน นึกถึงทุกคนในที่ทำงาน ขอให้เค้ามีความสุข ขอให้มีความสุขเถิด เตรียมจิตให้เป็นกุศลก่อนเข้าไป.

          ทีนี้ในการแผ่เมตตาให้กับตัวเอง บางคนก็ทำไม่เป็น ทำยาก อ่า การ...หลักหรือว่าเคล็ดลับของการภาวนาทุกวิธีเลย คือเริ่มตั้งแต่ง่ายๆ ค่อยๆ ไปหายาก อย่าไปเริ่มที่มันยากเกินไป และทำให้ยากเกินไปเวลาที่ยังไม่มีกำลังพอ ยังไม่พร้อม ก็จะท้อแท้ เหมือนกันกับการดูลมหายใจที่ปลายจมูก หรือจุดใดจุดหนึ่ง ถ้าเรายังไม่ค่อยชำนาญน่ะ นั้นคืองานละเอียด เริ่มต้นด้วยการรู้สึกลมหายใจในทุกส่วนของกายตั้งแต่ศีรษะลงไปถึงเท้า หัดหายใจเข้าหายใจออกเหมือนร่างกายเป็นลูกโป่งออกซิเจน อยู่กับลมหายใจแบบหลวมๆ สบายๆ ก่อน สร้างความพอใจกับงาน จึงค่อยซูม(zoom)เข้าไปที่ปลายจมูก หรือจุดที่จะกำหนดลมหายใจอย่างละเอียด.

          การภาวนาเป็นอย่างนี้ในทุกวิธีเลย และใช้เมตตาเริ่มตั้งแต่ง่ายบไปสู่ยาก โบราณเค้าถือว่าแผ่เมตตากับตัวเองง่าย ค่อยๆขยายไปสู่คนรอบข้างและคน...สรรพสัตว์ทั้งหลาย แต่บางคนทำไม่ได้ มองตัวเองในแง่ร้ายเป็นต้น ในกรณีนั้นเราก็เริ่มใด้วยการแผ่เมตตา โดยเอาภาพของลูกแมวลูกหมาอะไรที่ อ้า น่ารักเหลือเกิน นี่ตัวเมตตา ความเอ็นดูเกิดขึ้น แต่ให้อันนี้เป็นการจุดประกายเมตตา โดยนึกถึงภาพของสิ่งที่หรือบุคคลที่น่าเอ็นดู เรียกว่าง่าย ค่อยๆขยาย แต่ตัวเองนั้นก็มีง่ายมียากเหมือนกัน ฉะนั้นเราจะแผ่เมตตากับตัวเอง เริ่มต้นจากตาก่อน  ขอให้ตาของข้าพเจ้าดี ขอให้ตามีความสุข สายตาดี ไม่เป็น...ไม่เป็นกระจก ไม่เป็น...ไม่ตาบอด ขอให้หูเราดี ไม่หูหนวก เข้าไปฟังเทศน์พระ ฟังได้ทุกคำ และขอให้จมูกเราดี หายใจเข้าหายใจออกสบาย ขอให้ฟันเราดี.

          ก็เริ่มตั้งแต่อวัยวะต่างๆในร่างกาย หรือสิ่งที่ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนมองตัวเองในแง่ดี หรือดีเกินไป หรือมองในแง่ร้าย ร้ายเกินไป และทุกคนก็อยากให้ตาเขาดี หูเขาดี สมองเขาดี จมูกเขาดี ฟันเขาดี เป็นต้น ให้เขาสร้างความเคยชินที่จะ หวังสิ่งที่ดี แล้วค่อยขยาย แล้วถามว่าความสุขที่ต้องการในชีวิต ว่าเป็นแบบไหน? และบางทีขอให้มีความสุข มันเป็นคำกว้างมาก แต่ถ้าเราพูดเฉพาะ ขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้มีความสุขของการดำรงสติ ขอให้มีสติ ขอให้ข้าพเจ้ามีสมาธิ ขอให้มีปัญญา ขอให้มีความอดทน คือสิ่งเหล่านี้เป็นเหตุปัจจัยของความสุขที่มีค่า ความสุขที่ต้องการ.

ฉะนั้นเราไม่จำเป็นต้องเอาบทในหนังสือสวดมนตร์เป็นที่ตั้ง ดูว่าสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ดีที่สุด ที่เราต้องการจะปลูกฝังในชีวิตเรา เช่น สติ สมาธิ ปัญญา อดทน ความสันโดษ อะไรก็แล้วแต่ และก็ขอให้เรามีสิ่งเหล่านั้น คือเป็นการยืนยัน ในสิ่งเหล่านั้นมาเป็นเป้าหมายชีวิต ไม่ใช่ว่าจะขอใครหรอก อันนั้นเป็นแค่สำนวนเป็นเรื่องขอภาษา แต่ต้องการให้เป็นผู้ มีสติคุ้มครอง มีสมาธิแน่วแน่ มั่นคง มีปัญญาหลักแหลม มีความอดทนไม่หวั่นไหวต่อสิ่งที่ไม่ปรารถนา ที่มากระทบบ่อยๆ นึกถึงสิ่งที่ดีที่ต้องการในชีวิต แต่เริ่มต้นจากการหวังดีต่อ ตาหูจมูกลิ้นกายใจ สิ่งที่เป็นรูปธรรมเสียก่อน พอรูปธรรมมีแล้ว จึงค่อยเข้าไปสู่นามธรรม หรือไม่อย่างนั้นก็ อย่างที่ว่า เอารูปแมวรูปหมา รูปไก่ โอ๊ น่ารัก น่าเอ็นดูเหลือเกิน ก็เป็นจุดเริ่มต้น เป็นการจุดประกาย.

ฉะนั้นเมื่อเช้าก็ได้เริ่มต้น ด้วยเป็นกลางๆว่า กิเลส ไม่เคยหายด้วยการอ้อนวอน ไม่เคยหายด้วยพิธีกรรม แต่กิเลสหายได้ ด้วยความเพียรพยายาม แต่ของมนุษย์เราเป็นผู้มีศักยภาพในการฝึกตน และเข้าถึงความเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ ด้วยการฝึกตน การฝึกทำให้ชีวิตรู้สึกมีความหมาย มีแก่นมีสารมีสาระน่าภูมิใจ ในแต่ละวัน เราทบทวนว่า วันนี้เราได้ทำอะไรบ้าง ได้พูดอะไรบ้าง เพราะน่าจะมีอย่างน้อยสัก ๑ ข้อ ถ้ามากกว่านั้นก็ดี เรามีอย่างน้อยหนึ่งข้อที่รู้สึกว่า อยากไหว้ตัวเอง ยิ่งดีแต่ไหว้ตัวเอง โดยไม่เขินไม่อาย รู้สึกว่า ภูมิใจตัวเอง ถ้าเรามีสิ่งที่เรารู้สึกภูมิใจได้ทุกวันนะ ความสุขไม่...ไม่มีไปไหนละ ได้แน่นอนในความสุข.

เอาล่ะวันนี้ก็ได้แสดงธรรมมาพอสมควรแก่เวลาแล้ว.

...สาธุ สาธุ...

https://youtu.be/HyYXl12FkAI?si=Ht2x07nUb15MlNa4

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

จ. กฤษณะมูรติ – เวลาธาตุ สามารถที่จะไม่มีอยู่ ได้ไหม?

จ. กฤษณะมูรติ – เวลาธาตุ สามารถที่จะไม่มีอยู่ ได้ไหม?

Can the time element not exist? | Krishnamurti

          https://youtu.be/eEHeQGpdFZI?si=hl8upwb7qkK5PGNt


กฤษณะมูรติ:   อะไรที่มันหมายถึงที่ว่าการมีชีวิตอยู่ทันเวลา? เรามาทำด้านนี้ก่อนที่เราจะยกเอาเรื่องอื่นขึ้นมากันเถิด. มันหมายถึงอะไรที่ว่า “อยู่ทันเวลา”? ความหวัง, การคิด, นั้นอยู่ในอดีต, และกระทำการจากความรู้ของอดีต, ภาพทัศน์ทั้งหลาย, มายาภาพทั้งหลาย, อคติทั้งหลาย, พวกนั้นทั้งหมดคือผลแออกมาจากอดีต, ทั้งหมดนั่นคือเวลา. และนั่นผลิตวร้างในโลกของความวุ่นวายจลาจล. (What does it mean to be living in time? Let’s take this side first before we come to the other. What does it mean to live in time? Hope, thinking, living in the past, and acting from the knowledge of the past, the images, the illusions, the prejudices, they are all an outcome of the past, all that is time. And that producing in the world chaos.)

เดวิด โบห์ม:   สมมติว่าคุณไม่ได้อยู่ทันเวลาทางจิตใจ, แล้วคุณอาจจะยังคงสั่งการกระทำทั้งหลายของคุณด้วยนาฬิกา. สิ่งนั้นเป็นที่ปริศนาเล็กน้อย, สมมติว่าใครบางคนพูดว่า, “ฉันไม่ได้กำลังอยู่ทันเวลา, แต่ฉันได้ต้องทำการนัดหมายก่อน.(Suppose you are not living psychologically in time, then you may still order your actions by the watch. The thing is a little puzzling, suppose somebody says, ‘I am not living in time, but I must make an appointment.’)

กฤษณะมูรติ:   แน่นอน, เราไม่สามารถนั่งอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล, มันใกล้จะห้าโมงแล้ว. (Of course, we can’t sit here forever, it’s nearly five o’clock!)

เดวิด โบห์ม:   ดังนั้น, ผมกำลังมองดูนาฬิกา แต่ผมไม่ได้กำลังขยายแผ่ทางจิตใจออกไปว่า มันกำลังที่จะมีอารมณ์รู้สึกอย่างไรในอีกชั่วโมงข้างหน้า, เมื่อผมจะมีความปรารถนาเติมเต็มเปี่ยม, หรือจะอะไรก็ตาม So, I’m looking at the watch but I’m not psychologically extending how it is going to feel in the next hour, when I’ll have fulfilment of desire , or whatever.     

กฤษณะมูรติ:   แล้ว, หนทางที่เรากำลังอยู่กันในตอนนี้คือในสนามของเวลาและ, ที่นั้น, เราได้ยกเอาปัญหาทั้งหลายทุกประเภท, ความทุกข์, ขึ้นมาพูดกัน, ถูกมั้ย? So, the way we are living now is in the field of time. And, there, we have brought all kinds of problems, suffering, right?)

เดวิด โบห์ม:   ทำไมสิ่งนี้ได้ผลิตสร้างอย่างจำเป็นซึ่งความทุกข์? ถ้าคุณอยู่ในสนามของเวลา, คุณกำลังพูดว่าความทุกข์นั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้. แต่คุณจะกรุณาทำให้มันชัดเจนอีกนิดได้มั้ย? ง่ายๆ. ว่าทำไม? (Why does this produces suffering necessarily? If you live in the field of time, you are saying that suffering is inevitable. But could you make it clear. Simply. Why?)

กฤษณะมูรติ:   มันง่ายๆ. เวลาได้สร้าง”อัตตา”, “ตัวฉัน” ขึ้นมา, ภาพลักษณ์ของฉัน, ได้ยั่งยืนด้วยสังคม, ด้วยพ่อแม่, ด้วยการศึกษา, สิ่งนี้ได้ถูกสร้างขึ้น...มาเป็นล้านปีแล้ว, นั่นคือผลลัพธ์ของเวลา. และจากตรงนั้นเอง ผมกระทำตนไปสู่อนาคต. (It is simple. Time has built the ego, ‘ME’, the image of me, sustained by society, by parents, by education, that is built…after million years, that is the result of time. And from there I act towards the future.)

เดวิด โบห์ม:   ไปสู่อนาคต, ทางจิตใจ, นั่นเป็น, ไปสู่บางสถานภาพอนาคตของการเป็นอยู่. (Towards the future, psychologically, that is, towards some future state of being.)

กฤษณะมูรติ:   ใช่, ที่เป็นศูนย์กลางซึ่งมักจะกลายมาเป็นเช่นนั้นเสมอ. (Yes, which is the center is always becoming.)

เดวิด โบห์ม:   การพยายามที่จะกลายเป็นสิ่งที่ดียิ่งขึ้น. (Trying to become better.)

กฤษณะมูรติ:   ดีกว่า,  มีเกียรติกว่า, หรืออีกทางอื่นรอบด้าน. ดังนั้น, ทั้งหมดนี้ ความพยายามมุมานะอย่างแน่วแน่คงที่จะกลายเป็นอะไรบางอย่าง, ทางจิตใจ, คือปัจจัยของเวลา.  (Better, nobler, or the other way round. So, all this this constant to become something, psychologically, is a factor of time.)

เดวิด โบห์ม:   คุณกำลังพูดว่านั่น ผลิตสร้างความทุกข์. (You are saying that that produces the suffering?)

กฤษณะมูรติ:   ชัดเลย. ทำไม? โอ้ พระเจ้าของฉัน, ทำไม? เพราะ – มันง่ายๆ - มันคือการแบ่งแยก. มันแบ่งตัวฉัน, และดังนั้นเอง คุณก็แตกต่างจากฉัน. และฉัน, เมื่อผมพึ่งพาอาศัยอยู่กับใครบางคน และใครบางคนนั่นได้สูญหายไป, หรือจากไป, ผมรู้สึกเปล่าเปลี่ยว, เป็นทุกข์ใจ, ไม่มีความสุข, โศกเศร้า, ทุกข์. ทั้งหมดนั้นเป็นไป. (Obviously. Why? O my Lord, why? Because – it is simple – it is divisive. It divides me, and so you are different from me. And me, when I depend on somebody and that somebody is lost, or gone, I feel lonely, miserable, unhappy, grief, suffering. All that goes on.)

          ดังนั้น, เรากำลังพูดว่าปัจจัยใดของการแบ่งแยก ที่เป็นธรรมชาติอย่างยิ่งของ”อัตตา/ตัวตน”, นั่นต้องเป็นความทุกข์ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้. (So, we are saying any factor of division which is the very nature of the self, that must inevitably suffer.)   

เดวิด โบห์ม:      ดังนั้น, คุณกำลังพูดว่า โดยการผ่านเวลา อัตตา/ตัวตนได้จัดตั้งขึ้น, ได้รวมเป็นองค์กร, และอัตตา/ตัวตนนั้นก็แนะนำเสนอการแบ่งแยกและความขัดแย้งภายใน? แต่ถ้าไม่มีเวลาทางจิตใจแล้ว, บางทีโครงสร้างทั้งหมดนี้อาจจะพังทลายลงและบางอย่างที่แตกต่างออกไปน่าจะบังเกิดขึ้น. (So, are you saying that through time the self is set up, is organized, and the self introduces division and inner conflict? But if there were no psychological time, then may be this entire structure would collapse and something entirely different would happen.)

กฤษณะมูรติ:   และเพราะเช่นนั้นเอง, สมองในตัวมันเองได้พังลง...(And therefore, the brain itself has broken…)

เดวิด โบห์ม:     ก้าวต่อไปก็คือที่จะพูดว่าสมองนั้นได้พังลงออกจากร่องหล่มนั้น และอาจจะที่มันสามารถงอกใหม่/เกิดขึ้นใหม่ได้. มันไม่ได้เป็นไปอย่างเชิงตรรกะ, แต่กระนั้นมันหก็ยังคง, สามารถทำได้.  (Next step is to say that the brain has broken out of that rut and maybe it could regenerate. It doesn’t follow logically, but still, it could.)

กฤษณะมูรติ:      ผมติดว่ามันเป็นไปในเชิงตรรกะนะ, อย่างมีเหตุผล. (I think it does follow logically, rationally.)

เดวิด โบห์ม:      ในเชิงตรรกะนั้นมันน่าจะหยุดการเสื่อมทรามนั่น. แล้วคุณกำลังดเพิ่มเติมไกลออกไปว่าในน่าจะเริ่มต้นที่จะงอกใหม่/เกิดขึ้นใหม่. (Logically it would stop degenerating. Then you’re adding further that it would start to regenerate.)

กฤษณะมูรติ:   คุณดูท่าทางสงสัยไม่เชื่อ. (You look skeptical.)

น.:      ใช่ครับ, เพราะว่าสภาวะฐานะของมนุษย์ทั้งปวงเป็นที่ผูกพันอยู่กับเวลา.(Yes, because the whole human predicament is bound to time.)

กฤษณะมูรติ:   ใช่, เรารู้นั่นกันแล้ว. (Yes, we know that.)

น.:      สังคมทั้งหลาย, ปัจเจกทั้งหลาย, โครงสร้างทั้งปวง. และมันช่างมีอำนาจเต็มมากเหลือเกินที่สิ่งใดอ่อนแอ ไม่สามารถใช้การได้ผลในที่นี้. (Societies, individuals, the whole structure. And it’s so forceful that anything feeble doesn’t work here.)

กฤษณะมูรติ:   คุณหมายความถึงอะไรที่ว่า”อ่อนแอ”? (What do you mean ‘feeble’?)

น.:      แรงกำลังของสิ่งนี้ที่ยิ่งใหญ่มากเหลือเกิน จนกระทั่งว่าถ้าคุณจะต้องพังทะลวงผ่าน, อะไรก็ตามที่ตามมาต้องมีพลังงานอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่า. และไม่มีปัจเจกคนใดดูเหมือนว่าจะเป็นที่สามารถที่จะผลิตสร้างพลังงานนี้ได้ที่จะสามารถทะลวงผ่าน. นั่นคือหนึ่งในความยากทั้งหลาย. (The force of this is so great that if you have to break through, whatever comes must have greater energy. And no individual seems to be able to generate this energy to be able to break through. That’s one of the difficulties.)

กฤษณะมูรติ:   คุณมีอะไรผิดปลายชองด้ามนั้น, ถ้าจะอนุญาตให้ผมชี้จุดออกมานะ. เมื่อคุณใช้คำว่า “ปัจเจก”...(You’ve got the wrong end of the stick, if I may point out. When you use word ‘individual’…

น.:      มนุษย์ผู้หนึ่ง. (A human being.)

กฤษณะมูรติ:   แต่คุณได้เคลื่อนออกไปจากข้อจริงที่ว่าสมองของเราคือจักรวาล. (…but you have moved away from the fact that our brain is universal.)

น.:      ใช่ครับ. ผมยอมรับอันนั้น. (Yes, I admit that.)

กฤษณะมูรติ:   ไม่มีความเป็น ปัจเจก. (There is no individuality.)

น.:      สมองนั่นได้ถูกปรับสถานะสภาพในวิถีนี้. (That brain is conditioned this way.)

กฤษณะมูรติ:   ใช่, เราได้ถูกผ่านทั้งหมดนั่นมาแล้ว. มันได้ถูกปรับสถานะสภาพเป็นวิถีนี้ผ่านเวลา. เวลาได้ทำการปรับสถานะสภาพ! ถูกมั้ย? มันไม่ใช่: เวลาได้ถูกสร้างสรรค์การปรับสถานะสภาพ(Yes, we have been through all that. It is conditioned this way through time. Time is conditioning! Right? It’s not: time is created the conditioning.)

น.:      โครงสร้างของมันอย่างยิ่งเป็นเนื้อแท้ในมัน. (Its very structure is inherent in it.)

กฤษณะมูรติ:   ใช่. เวลาในตัวมันเองคือปัจจัยของการปรับสถานะสภาพ. ดังนั้น, เวลาธาตุที่ว่านั่นสามารถที่จะ ไม่มีอยู่ ได้ไหม? ในทางจิตใจ, ไม่ใช่เวลาในทางกายภาพทั่วไป. ผมพูดว่ามันสามารถเป็นได้. (Yes. Time itself is the factor of conditioning. So, can that time element not exist? Psychologically, not in the ordinary physical time. I say it can.)

          และเราได้พูดว่า จุดจบของความทุกข์คือ, ออกมาเมื่อในเรื่องเกี่ยวกับอัตตา/ตัวตน, ที่ได้ถูกก่อสร้างขึ้นผ่านเวลา, ไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว. สำหรับมนุษย์ผู้หนึ่งที่กำลังไปผ่านความทุกข์ทรมานอย่างแท้จริง, กำลังไปผ่านเวลาอันยากเข็ญ, เขาอาจปฏิเสธสิ่งนี้, เขาได้ผูกติดอยู่ที่จะปฏิเสธมัน, แต่เขาได้ออกมาเป็นความตื่นตระหนกขแองสิ่งนี้ และใครบางคนชี้ออกมาที่เขา, ถ้าเขาตั้งใจที่จะฟัง, ถ้าเขาตั้งใจที่จะมองเห็นความมีเหตุผลของมัน, ไม่ก่อสร้างกำแพงหนึ่งขึ้นมาต่อต้านมัน, แต่มองเห็นเพื่อตัวของเขาเองถึงสติ/ความมีจิตที่ดีขึ้น ของมัน, เขาก็ได้ออกไปจากสนามนั้น! (And we said the ending of suffering is, comes about when the self, which is built up through time, is no longer there. For a man who is actually going through agony, going through a terrible time, he might reject this, he is bound to reject it, but he comes out of the shock of this and somebody point out to him, if he is willing to listen, if he willing to see the rationality of it, not build a wall against it, but see for himself the sanity of it, he is out of that field!)

          สมองนั้นก็ออกไปจากคุณภาพในการผูกติดอยู่กับเวลา. (The brain is out of that time-binding quality.)

น.:      อย่างชั่วคราว. (Temporarily.)

กฤษณะมูรติ:   อ้า! อีกแล้ว, เมื่อคุณใช้คำว่า “ชั่วคราว”, มันก็หมายถึงเวลา. (Ah! Again, when you use the word ‘temporary’, it means time.)             

น.:      ไม่นะ, เขาก็เลื่อนกลับเข้าไปอีกในเวลา.(No, he slips back into time.)

กฤษณะมูรติ:   ไม่. คุณไม่สามารถกลับไปได้, ถ้าคุณมองเห็นบางอย่างที่อันตราย, คุณจะกลับไปไหม? คุณไม่สามารถทำได้. เหมือนเห็นงูเห่า, อะไรก็ตามที่อันตราย, คุณไม่สามารถทำได้! (No. you can’t. You can’t go back, if you see something dangerous, go back to it? You can’t. Like a cobra, whatever danger, you cannot!)

          https://youtu.be/eEHeQGpdFZI?si=vqzFyAYByUv9P5W-

จ. กฤษณะมูรติ – เวลา, อวกาศ, ระยะขนาด

 จ. กฤษณะมูรติ – เวลา, อวกาศ, ระยะขนาด

What Is Time - Jiddu Krishnamurti

          https://youtu.be/R7jCjYZ6Ah8?si=zQn-kvVbuzFsmRrL


(Time, Space, Measure.)

          มีอยู่ 3 สิ่ง, เวลา, ระยะขนาด, อวกาศ/ที่ว่าง. (There are three things Time, Measure, Space.)

          อะไรคือ เวลา? อะไรคืออวกาศ? อะไรคือระยะขนาด? (What is time? What is space? What is measure?)

           เรากำลังจะสอบถามกันในเรื่องเวลา, ระยะขนาด, อวกาศ. (We are going to inquire Time, Measure, Space.)

          เวลาทางจิตใจที่เรากำลังพูดคุยกันถึง, ไม่ใช่เวลาทางกาลภาพ/ลำดับเหตุการณ์โดยนาฬิกา หรือคุณไม่ส่ามารถหยุดดวงอาทิตย์การการขึ้น, ตก, แต่เรากำลังพูดคุยกันถึงเวลา เป็นเช่นการเคลื่อนที่ของการกลายเป็น, ของการเป็น หรือไต่ขึ้น หรือแผ่ขยายไป. ใช่มั้ย? (Psychological time we are talking about, not the chronological time by the watch or you can’t stop the sun from setting, rising, but we are talking about time as a movement of becoming, of being or climbing or expanding. Right?)

(Has biological evolution come to an end?)

เวลา, ที่เป็นส่วนหนึ่งของวิวัฒนาการ. วิวัฒนาการทางจิตใจ. วิวัฒนาการทางชีวภาพได้เกือบที่จะมาถึงจุดสิ้นสุดกสำหรับมนุษย์. อย่างชัดเจน, ว่าเขาไม่ได้กำลังไปสู่การพัฒนาแขนที่สี่ หรือแขนที่สาม หรือบางอย่าง หรืออะไรอื่น. (Time, which is part of an evolution. The psychological evolution. The biological evolution has almost come to an end for man. Obviously, he’s not going to develop fourth arm or third arm or something or other.)

ดังนั้น, เรากำลังพูดคุยกันถึงเวลาทางจิตใจ, เวลาเป็นเช่นความหวัง, เป็นเช่นบางอย่างที่ได้บังเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ หรือเมื่อปีที่แล้ว และนั่นคือความทรงจำของมัน, คือเวลา. การทำซ้ำๆกันของเวลาเช่นนี้, พวกเขาได้มุมานะที่จะหลบหนีจากมันก็คือเวลา, คุณตามทันนะ, ที่จะกดข่มมันเพื่อทำบางอย่างเกี่ยวกับมัน, ทั้งหมดเหล่านี้เกี่ยวข้องกับเวลา. และที่ซึ่งผู้คนถาม, ไม่ใช่แต่เพียงนักประพันธ์ทั้งหลาย, นักวิชาการทั้งหลายผู้ได้เขียนตำรามากมายหลายเล่มเกี่ยวกับเวลา และอื่นๆที่เหลือทั้งหมดของมัน. (So, we are talking about psychological time, the time as hope, as something that has happened yesterday or last year and that memory of it, is time. The repetition of this time, they endeavor to escape from it is time, you follow, to suppress it to do something about it, all that involves time. And where are people ask, not only the writers, the scholars who have written volumes about time and all the rest of it.)

และด้วยเช่นกัน, ชนฮินดูโบราณได้ถามคำถามนี้ว่า เวลาได้หยุดเพื่อที่ความเคลื่อนไหวใหม่สามารถเข้ามาแทนที่หรือ? ไม่ใช่เชิงจินตนาการ, ไม่ใช่เชิงเพ้อฝัน, ไม่ใช่เชิงนิยายประโลมโลกย์ อะไรทั้งหมดประเภทนั้น, แต่อย่างแท้จริงคือเวลาทางจิตใจกำลังมาถึงจุดจบ, ใช่มั้ย? (And also, the ancient Hindus have asked this question was that time has stopped so that a new movement can take place? Not imaginary, not fanciful, not romantic all that kind of stuff, but actually psychological time coming to an end. Right?)

โลกทางเทคโนโลยี ได้ถูกตั้งอยู่บนพื้นฐานของการวัดระยะขนาด(Technological world is based on measurement.)

มีหนึ่วงคำถาม, อีกอันอื่นคือการวัดระยะขนาด, โลกทางเทคโนโลยีทั้งปวงได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการวัดระยะขนาด. ถ้าคุณไม่มีการวัดระยะขนาด ก็จะไม่มีเทคโนโลยี. ระยะขนาด, อ้างอิงต่อไม้บรรทัด, หรือการวัดระยะขนาดด้วยความคิดและอะไรอื่นๆ. (There’s one question, the other is measure, the whole technological world is based on measurement. If you had no measurement there would be no technology. Measurement, according to ruler, or measurement by thought and so on.)

การวัดระยะขนาด. ระยะขนาดนี้ได้กลายมาเป็นความจำเป็นในการสร้างเครื่องบินเพื่อที่จะมีเทคนิคนี้. และระยะขนาดนี้, ได้ถูกส่งต่อลงมายังโลกตะวันตกโดยผ่านชาวกรีก. ฉันไม่ใช่นักวิชาการเรื่องาวกรีก ที่ได้ไปเกี่ยวข้องกับเรื่องชนกรีกโบราณ, ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการวัดระยะขนาด. (Measurement. This measurement has become necessary to build an airplane to have this tech. And this measurement, has been handed down to the western world through the Greeks. I’m not the Greek’s scholar but you can observe this, this being the Greeks that were concerned the ancient Greeks, were concerned with measurement.)

ชนกรีกโบราณได้เกี่ยวข้องกับการวัดระยะขนาด (Ancient Greeks were concerned with measurement.)

ดังนั้น, โลกตะวันตกได้รับมรดกการวัดระยะขนาดมา. ระยะขนาดไม่ได้เป็นแค่เพียงอย่างเทคโนโลยี, ระยะขนาดเป็นเการเปรียบเทียบจิตกรผู้หนึ่งกับจิตรกรอีกอื่น, กวีนิพนธ์หนึ่งกับบทละครอื่นอีก, ประติมากรหนึ่ง, อย่างเฮนรี มัวร์, กับรายอื่น, ถูกมั้ย? วัดระยะขนาด. (So, western world has inherited measurement. Measurement not only technologically, measurement comparing one painter against another painter, one poet against another player, one sculpture, Mr. Moore1, against the other, right? Measured.)

1 https://en.wikipedia.org/wiki/Henry_Moore

และด้วยเช่นกันในตัวของเราทั้งหลาย, มีการวัดระยะขนาดด้วย. ฉันไม่ได้ดีเท่ากับที่ฉันควรจะเป็น, ดีกว่า, มากกว่า, ถูกมั้ย? ในทางจิตใจเช่นเดียวกับทางกายภาพ, เงินมากกว่า, อำนาจมากกว่า, สนุกสนานมากกว่า, ทั้งวัน, มีเงินมากกว่า อำนาจมากกว่า และสนุกสนานมากกว่า. นั่นคือส่วนหนึ่งของ4kidb0.  (And also in ourselves, there is measurement. I am not as good as I should be, the better, the more, right? Psychologically as well as physical, more money, more power, more fun, all day, have more money more power and more fun. That’s part of mission.)

และเรามักจะทำการเปรียบเทียบเสมอ, ทางจิตใจ. มีครูปผู้ยิ่งใหญ่รายหนึ่งและฉันไม่ได้เป็น, ฉันเปรียบเทียบตัวฉันเองและในท้ายที่สุดฉันก็ได้ไปถึงที่ซึ่งเขาเป็น. และด้วยเช่นกัน. (And we are always comparing. Psychologically. There is the great teacher and I’m not, I compare myself and eventually I’m to get where he is. And also.)

ในทางจิตใจเรามีอวกาศ/ที่ว่างน้อยมาก (Psychologically we have very little space.)

อวกาศ/ที่ว่าง. ในทางจิตใจ, เช่นเดียวกับทางกายภาพ, เรามีอวกาศ/ที่ว่างน้อยนิดมาก. อย่างสำคัญคือ, ถ้าคุณสังเกตสิ่งนี้เมื่อคุณเข้าไปในเมืองที่คับคั่งด้วยผู้คน, หรือนครทั้งหลาย และประเทศทั้งหลายที่มีประชาชนทับซ้อนกันอยู่หนาแน่น เหมือนเช่นอินดเดีย. ฝูงคนมหึมา. คุณไม่มีแนวคิดใดเลย. โดยธรรมชาติ, พวกเขาอาศัยอยู่ในถนนแคบ ๆทั้งหลาย, อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆทั้งหลาย, ในทางกายภาพ, คุณรู้นะ. (Space. Psychologically, as well as physically, we have very little, little space. Especially, if you observe this when you go into the crowed towns, cities and in overpopulated countries like India. Enormous crowds. You have no concept. Naturally, they live in narrow streets, live in small houses, physically, you know.)

ในทางธรรมชาติ, มักจะมีสงครามหนึ่งกำลังดำเนินไปเพื่อที่ว่างอยู่เสมอ, ที่ว่างทางกายภาพ, เพื่อเห็นแก่พระเจ้า, ถอยไปอยู่ตรงมุมนั่น, อย่างมารุมล้อมฉัน. และด้วยเช่นกันในทางจิตใจ, นั่นคือในจิตสำนึก, เรามีที่ว่างอย่างน้อยนิดมากอยู่แล้ว, ก็ถูกคับคั่งหนาแน่นด้วย, ถูกมั้ย? มันได้ถูกคับคั่งหนาแน่นด้วยความรู้ของเรา, ถูกคับคั่งด้วยความหวาดกลัว, ความกระตือรือร้น, สิ้นหวัง, ซึมเศร้า, แสวงหาความสุข, แสวงหามายาภาพ, แสวงหาพลังอำนาจของกุณฑาลิณี, ตามมาด้วยถูกยึดอาศัย. ต้องการมากยิ่งขึ้น, เข้าใจให้ดีขึ้นกว่า, พลังอำนาจยิ่งใหญ่กว่า, ฉันรวดเร็ว, ฉันจะมีพลังงานมากรวดเร็วขึ้น, ในทางกายภาพ มันไม่ได้วิวัฒน์, แค่ถูกดเข้ามาอาศัย. (Naturally, there’s always a battle going on for space, physical space, for God’s sake, moving into that corner, don’t crowded me. And also psychologically, that is in consciousness, we have very little space, is crowded, right? It’s crowded with our knowledge, crowded with our fears, anxieties, despair, depressions, seeking happiness, seeking illumination, seeking the powers of Kundalini, follow occupied. Wanting more, better understanding, greater power, I fast, I’ll have more energy fasting, physically it didn’t evolve, always occupied.)

และเพราะเช่นนั้นเอง, จึงมีที่ว่างเล็กน้อยถ้าคุณสังเกตก็จะพบว่าจิตสำนึกของคุณนั้นเต็มแล้ว. เพราะเช่นนั้น, ไม่มีอวกาศ/ที่ว่างเหลืออยู่. และแล้วก็ตระหนักรู้ได้ว่าไม่มีที่ว่าง, คุณก็เริ่มต้นสอบถามเข้าไปในอวกาศ/ที่ว่างของจักรวาล, นักกายภาพดาราศาสตร์ทั้งหลายกำลังทำสิ่งนี้กันอยู่ ว่าโลกแห่งเอกภพนั้น, คือที่ซึ่งเป็นแบบแผนสำคัญพื้นฐาน. เอกภพได้มีความหมายถึงแบบแผน. (And therefore, there is little space if you observe your consciousness is filled. Therefore, there is no space. And then realizing no space, you begin to enquire into the space of the universe, astrophysicists are doing this that extraordinary world of cosmos, which is essentially order. Cosmos does mean order.)

นักวิทยาศาสตร์ผู้ที่สมองได้ถูกจำกัดเพราะความรู้ของเขา, เพราะสถานภาพของเขาโดยสัมพันธภาพของเขากับผู้อื่น, การดื่มของเขา, ความปรารถนาของเขากับอำนาจที่มากยิ่งขึ้น, เงินที่มากขึ้น, สถานะที่มากขึ้น, ชื่อเสียงมากขึ้น, คุณตามทันไหม? (The scientist whose brain Is limited because of his knowledge, because of his conditioning with his relationship with another, his drink, his desire for more power, more money, more status, more publicity, you follow?)

ไม่มีสาระเหตุผลใดเลยของการหยุดเวลาทางจิตใจ. (There is no sense in stopping psychological time.)

และสมองเล็กๆนั่นกำลังสอบถามถึงบางอย่างที่วัดค่าระยะขนาดไม่ได้, และแปลความหมายในอะไรที่พวกเขาได้มองเห็นผ่านกล้องโทรทรรศน์เข้าไปสู่ปัญหาทั้งหลายในทางคณิตศาสตร์. ดังนั้น, ถ้าคุณสังเหกต, ไม่มีสาระเหตุผลใดเลยของการหยุดเวลาทางจิตใจ.(And that little brain is inquiring into something immeasurable, and translating what they see through telescopes into mathematical problems. So, if you observe, there is no sense of stopping time, psychologically.)

ไม่มีจุดจบของการวัดระยะขนาด. (There is no ending of measurement.)

ไม่มีจุดจบของการวัดระยะขนาด, ถูกมั้ย? มแองอนาคตกันอยู่เสมอ, รัฐบาลที่ดีกว่านี้, ตำแหน่งฐานะเศรษฐกิจที่ดีกว่านี้, สหประชาชาติ. เป็นความคิดยิ่งยวดมากกับสหประชาชาติ, คิดถึงเรื่องนี้สิ, การรวมตัวกันของลัทธิชาติพันธุ์, พวกเขาสามารถคิดออกมา...ฉันไม่นะ, ไม่ได้หมายความอะไร, ขอรับ. (There is no ending of measurement, right? Always looking to the future, better government, better economic position, united nations. The very idea united nations, think of this, tribalism2 uniting, how can they…don’t I, don’t mean, sir.)

2 https://en.wikipedia.org/wiki/Tribalism

เวลา คือ ความคิด, เวลา คือ ความเคลื่อนไหว/กระบวนการ(Time is thought, time is movement.)

ดังนั้น, การรู้ทั้งหมดนี้แล้ว, เรากำลังถามว่า เวลา, การวัดระยะขนาด ได้หยุดลงไปแล้วหรือไม่? นี้เป็นอย่างพื้นฐานสำคัญมาก, ว่ามีการติดหยุดอยู่กับการคิด. แต่เวลาคือความคิด. เวลาคือความเคลื่อนไหว/กระบวนการ. วันนี้, พรุ่งนี้, เมื่อวานนี้, เวลาได้เคลื่อนที่. และเวลาเป็นเชิงลำดับเหตุการณ์ มันเคลื่อนที่. ความคิดคือความเคลื่อนไหว/กระบวนการ, ถูกมั้ย? ดังนั้น, ความคิดคือความเคลื่อนไหวของเวลา. ความคิดคือดเวลา. (So, knowing all this, we’re asking whether time, measurement has stopped. That is essentially, is there as stuck to thinking. But time is thought. Time is movement. Today, tomorrow, yesterday, time is moved. And time is chronological, it’s movement. Thought is a movement, right? So, thought is the movement of time. Thought is time.)

(Is there a stop to time and to thought.)

และเรากำลังถามว่า, มีการหยุดของเวลาไหม, หยุดของความคิด หรือว่ามนุษย์ถูกลงโทษชั่วกัลปาวสานต่อความเคลื่อนไหวนี้? (And we are asking, is there a stop to time, to thought or is man everlastingly condemned to this movement?)

https://youtu.be/R7jCjYZ6Ah8?si=k7WrMqtpNYpJ8FqN

 



วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

จ. กฤษณะมูรติ - อะไรคือ เวลา?

 จ. กฤษณะมูรติ - อะไรคือ เวลา?

What is time? | Krishnamurti

          https://youtu.be/nKDMKjoeVRo?si=3glIHminABHI4rYG


          ดังนั้นเรากำลังในตอนนี้ที่จะสืบค้นความจริงเข้าไปในเรื่องของเวลา. (So, we are going now to inquire into time.)

          อะไรคือ เวลา? (What is time?)

          แยกต่างหากจากนาฬิกา, จากพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก, แยกต่างหากออกจากแสงสว่างและความมืด, อะไรคือเวลา? (Apart from the clock, from sunrise and sunset, apart from the light and the dark, what is time?)

          ได้โปรด, ถ้าใครสักคนเข้าใจได้จริงๆในเรื่องนี้, ธรรมชาติของเวลาภายในตัว, คุณจะพบว่าตัวคุณเองมีสัมผัสรูสึกพิเศษจำเพาะของการไม่มีเวลาใดๆเลย. เราจะมาถึงกันในเรื่องนั้น. (Please, if one really understands this, the nature of time inwardly, you will find for yourself an extraordinary sense of having no time at all. We’ll come to that.)

          เวลาคืออดีต, ใช่มั้ย? เวลาคืออนาคต, และเวลาคือปัจจุบัน. วัฏจักร/วงจรทั้งปวงนั้นคือเวลา. (Time is the past, right? Time is the future, and time is the present. The whole cycle is time.)

          อดีต – ภูมิหลังของคุณ, อะไรที่คุณมีความคิด, อะไรที่คุณได้ใช้ชีวิตผ่านมา, ประสบการณ์ทั้งหลายของคุณ, สภาวะของคุณ, เป็นชาวคริสเตียน,ชาวฮินดู, ชาวพุทธ, และอะไรที่เหลือทั้งหมด, หรือคุณทิ้งสิ่งไร้สาระทั้งหลายนั้นออกไปข้างๆและได้พูดว่า, “ฉันกำลังจะมีชีวิตอยู่ในหนทางนี้, ที่ก็คืออดีต.(The past – your background, what you have thought, what you have lived through, your experiences, your conditioning, as Christian, Hindu, Buddhist, all the rest of it, or you put aside all that nonsense and said, ‘I’m going to live this way, which is the past.)

          ดังนั้น, อดีตก็คือปัจจุบัน, ถูกมั้ย? (So, the past is the present, right?)

          ปราศจากอดีตคุณก็จะไม่ได้มาอยู่ที่นี้: ภูมิหลังของคุณ, สภาวะของคุณ, สมองของคุณได้ถูกตั้งโปรแกรมเอาไว้ว่าเป็นชาวคริสเตียน, ชาวฮินดู, ชาวพุทธ, และอะไรทั้งหมดที่เหลือ. เราได้ถูกตั้งโปรแกรมมาสองพันปีแล้ว. และกับชนฮินดูก็สามถึงห้าพันปี. (Without the past you wouldn’t be here: your background, your conditioning, your brain being programmed as a Christian, Hindu, Buddhist, and all the rest of it. We have been programmed for two thousand years. And the Hindus for three to five thousand years.)

          เหมือนคอมพิวเตอร์, พวกมันทำซ้ำ, ทำซ้ำแล้วซ้ำอีก. (Like a computer, they repeat, repeat, repeat.)

          ดังนั้น, อดีตก็คือปัจจุบัน; อะไรที่คุณเป็นในตอนนี้คือผลลัพธ์ของอดีต. (So, the past is the present; what you are now is the result of the past.)

          และพรุ่งนี้, หรือหนึ่งพันพรุ่งนี้, คืออนาคต. (And tomorrow, or a thousand tomorrows, is the future.)

          ดังนั้น, อนาคตก็คืออะไรที่คุณเป็นในตอนนี้, ถูกมั้ย? คุณได้เข้าใจมั้ย? ฉันไม่ต้องถามนั่นก็ได้เพราะว่ามันขึ้นอยู่กับคุณเอง. (So, the future is what you are now. Right? You have understood? I mustn’t ask that because it’s up to you.)

ดังนั้น, อนาคตก็คือตอนนี้. ในตอนนี้นี้ เวลาทั้งหมดได้ถูกบรรจุเอาไว้. นี่เป็นความจริงด้วยเช่นกัน, อย่างแท้จริง, ไม่ใช่ทฤษฎีหนึ่ง. (So, the future is now. In the now all time is contained. This is a fact too, actuality, not a theory.)

อะไรที่คุณเป็นคือผลลัพธ์ขแองอดีต และอะไรที่คุณจะเป็นในวันพรุ่งนี้ก็คืออะไรที่คุณเป็นในตอนนี้. (What you are is the result of the past and what you will be tomorrow is what you are now.)

ถ้าฉันดุดันรุนแรงในตอนนี้, พรุ่งนี้ฉันก็จะดุดันรุนแรง, พรุ่งนี้อยู่ในตอนนี้นี้, ในปัจจุบันนี้ นอกเสียจากว่าฉันอย่างรุนแรง, อย่างพื้นฐาน ได้นำมาซึ่งการกลายพันธุ์. ไม่เช่นนั้น, ฉันก็จะเป็นอะไรอย่างที่ฉันได้เป็นอยู่. นั่นคือ, เราได้มีวิวัฒนาการยาวนาน, วิวัฒน์, วิวัฒน์, วิวัฒน์. และเราได้วิวัฒนาสู่อะไรที่เราเป็นในตอนนี้. (If I violent now, tomorrow I’ll be violent. So, tomorrow is in the now, in the present unless I radically, fundamentally bring about a mutation. Otherwise, I’ll be what I have been. That is, we had a long evolution, evolving, evolving, evolving. And we have evolved to what we are now.)

และถ้าคุณดำเนินการต่อไปในการเล่นเกมนี้, คุณก็จะเป็นที่ดุดันรุนแรง, คุณจะเป็นที่ป่าเถื่อนในวันข้างหน้า. ดังนั้น, ดังที่เวลาทั้งหมดได้ถูกบรรจุอยู่ในตอนนี้ - ที่คือความจริง, อย่างแท้จริง – สามารถที่จะกลาสยพันธุ์ถึงที่สุดสัมบูรณ์สิ้นในตอนนี้ได้หรือไม่ กับพฤติกรรมทั้งหมดของเราและวิธีทั้งหมดของเราที่มีชีวิต, ที่คิด, ที่รู้สึก? (And if you carry on that game, you will be violent, you will be barbarous next day. So, as all times is contained in the now – which is a fact, actuality – can there be total mutation now in all our behavior and our way of living, thinking, feeling?)

ไม่ได้เป็นคนอเมริกัน, ฮินดู, พุทธ – ไม่อะไรในการนั่น. แต่ถ้าคุณไม่ได้นำมาซึ่งกากลายพันธุ์อย่างรุนแรง, ทางจิตวิทยา, แล้วคุณก็จะเป็นอย่างแน่ชัดว่าคืออะไรที่คุณได้เป็นมาแล้วเช่นในอดีต. (Not being an American, Hindu, Buddhist – none of that. But if you don’t radically, psychologically bring about the mutation, then you will be exactly what you have been in the past.)

ดังนั้น, มันเป็นไปได้หรือไม่ถึงการกลายพันธุ์เชิงจิตวิทยาอย่างสิ้นเชิง? คุณก็รู้, เมื่อคุณได้ไปยังทางทิศเหนือมาตลอดชีวิตของคุณ, ติดตามไปในทิศทางเฉพาะอันหนึ่ง หรือไม่ได้มีทิศทางใด, แค่ตระเวรไปทั่วทุกแห่ง, ดังเช่นผู้คนส่วนมากทำ, ถ้าคุณกำลังไปทางเหนือและใครบางคนผ่านมาด้วยและบอกกับคุณอย่างจริงจังมากที่สุดและคุณก็ฟังเขาอย่างจริงจัง, ไม่ใช่แค่ฟังตามที่ได้ยินจากการได้ยินทางหู แต่ด้วยการได้ยินอย่างลึก, เมื่อคุณได้ยินเขาพูดว่า, หนทางที่คุณกำลังแสวงหาอยู่นั้น, ทางเหนือ, กำลังนำคุณไปยังไม่มีที่ไหนเลย, ไม่มีอะไรเลยในปลายสุดของมัน; แต่ไปทางตะวันออก หรือทางตะวันตกหรือทางใต้จะดีกว่า. และคุณก็ฟังและคุณก็พูดว่า, “ฉันจะทำมัน.” (So, is it possible to bring about this psychological mutation at all? You know, when you have been going North all your life, following a particular direction or not having a direction, just wobbling all over the place, as most people do, if you are going North and somebody come along and tells you most seriously and you listen to him seriously, not only hear with hearing of the ear but also hearing deeply, when you hear him say, the way you are pursuing, North, leading you nowhere, there is nothing at the end of it; but go East or West or South. And you listen and you say, ‘I will do it.’)

เมื่อขณะที่คุณพูดนั้น, คุณได้หันไปในหนทางใหม่, ก็มีการกลายพันธุ์ขึ้น. (When the moment you say, you have taken a new turn, there is a mutation.)

ฉัน, ผู้พูดกำลังทำมันแสนง่ายดายมาก. แต่มันเป็นปัญหาที่สลับซับซ้อนอย่างมาก, ที่คือ: การที่จะตระหนักรู้อย่างลึกว่าใครคนหนึ่งไดกำลังไปบนหนทางนี้มาหลายศตวรรษในศตวรรษทั้งหลาย และมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรนั่นเลยทั้งสิ้น. เรายังคงดุดันรุนแรง, โหดร้าย, และอะไรทั้งหมดที่เหลือของมัน. ถ้าใครคนหนึ่งได้รับรู้จริงๆอย่างแท้จริงในเรื่องนั่น, ไม่ใช่อย่างทางวิชาการหรือคำพูด แต่อย่างลึกซึ้ง, แล้วคุณก็หันไปสู่ในอีกทิศทางอื่นอันหนึ่ง. (I, the speaker is making it very simple. But’s a very complex problem, which is: to realize deeply that one has going on this way for centuries upon centuries and it has not changed that at all. We still violent, brutal, and all the rest of it. If one is really actually perceives that, not intellectually or verbally but deeply, then you turn in another direction.)

ในวินาทีนั้น, ก็มีการกลายพันธุ์ขึ้นในเซลล์สมองอันยิ่งยวดนั้นด้วยตัวของมันเอง. (At that second, there is the mutation in the very brain cells themselves.)

https://youtu.be/nKDMKjoeVRo?si=T7nI5IoOi97nZ0-i