หน้าเว็บ

วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2555






แนวทางการวางผังชุมชน ในเขตปฏิรูปที่ดิน

จัดทำโดย
งานสถาปัตยกรรม  กลุ่มออกแบบเพื่อการพัฒนาพื้นที่
สำนักพัฒนาพื้นที่ปฏิรูปที่ดิน  สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.)




คำนำ

                   รายงานนี้จัดทำขึ้นตามแนวความคิดที่จะนำเสนอต่อสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) เนื่องด้วยเห็นว่าในปัจจุบัน ในการพัฒนาพื้นที่ในเขตปฏิรูปที่ดิน ยังมิได้ดำเนินการจัดการในด้านการวางผังเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาอย่างครบถ้วนในแต่ละด้าน ซึ่งเป็นความจำเป็นขั้นพื้นฐานของการพัฒนาต่างๆ และในปัจจุบันนี้ประชากรของประเทศไทยได้เพิ่มมากขึ้นอยู่ตลอดมา ในขณะเดียวกันพื้นที่ที่จะดำเนินการจัดการเกษตรกรรมจึงขาดแคลนและไม่พอเพียง  การวางผังพื้นที่จะเป็นสิ่งช่วยให้การใช้ประโยชน์ในที่ดินและสภาพ แวดล้อมเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นประโยชน์ต่อประชากรที่จะดำรงชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข การวางผังชุมชนเป็นส่วนหนึ่งของการวางผังพัฒนา มีเป้าหมายที่จะดำเนินการในด้านการอยู่อาศัยของประชากรในเขตปฏิรูปที่ดิน เพื่อแก้ไขปัญหาของชุมชนเดิมที่มีอยู่ และจัดทำแนวทางให้กับการจัดที่ดินชุมชนที่จัดตั้งขึ้นใหม่

                   งานสถาปัตยกรรม กลุ่มออกแบบเพื่อการพัฒนาพื้นที่ สำนักพัฒนาพื้นที่ปฏิรูปที่ดิน ส.ป.ก. จึงขอนำเสนอแนวความคิดในการวางผังชุมชนในเขตปฏิรูปที่ดินนี้ เพื่อเป็นแนวทางการที่จะศึกษาชุมชนในเขตปฏิรูปที่ดิน และวางผังชุมชนในอนาคตต่อไป


                                                                   คณะผู้จัดทำ

                                                นายพัชระบูรณ์  สมนึก             สถาปนิกชำนาญการพิเศษ

                                                นายนำศักดิ์  ไทยถาวร             สถาปนิกปฏิบัติการ

                                                นางสาวจิตจรัส  สินธุเสก           สถาปนิกปฏิบัติการ       









หลักการและแนวคิด


๑.๑. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับการปฏิรูปที่ดิน
ปัญหาการขาดแคลนที่ดินทำกินของเกษตรกร เป็นปัญหาสำคัญยิ่งในช่วง ๔ ทศวรรษที่ผ่านมา งานจัดและพัฒนาที่ดินเป็นงานแรกๆ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้ความสำคัญ ทรงเริ่มโครงการพัฒนาที่ดินหุบกะพง ตามพระราชประสงค์ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๑ โดยมุ่งแก้ไขปัญหาการไม่มีที่ดินทำกินของเกษตรกรเป็นสำคัญ ดังพระราชดำรัสที่ว่า
"…มีความเดือดร้อนอย่างยิ่งว่าประชาชนในเมืองไทยจะไร้ที่ดิน และถ้าไร้ที่ดินแล้วก็จะทำงานเป็นทาสเขา ซึ่งเราไม่ปรารถนาที่จะให้ประชาชนเป็นทาสคนอื่น แต่ถ้าเราสามารถที่จะขจัดปัญหานี้ โดยเอาที่ดินจำแนกจัดสรรอย่างยุติธรรม อย่างมีการจัดตั้งจะเรียกว่านิคมหรือจะเรียกว่าหมู่หรือกลุ่ม หรือสหกรณ์ก็ตาม ก็จะทำให้คนที่มีชีวิตแร้นแค้นสามารถที่จะพัฒนาตัวเองขึ้นมาได้…"(สำนักงาน กปร., ๒๕๓๑: ๙๔-๕)
          พระราชดำริแนวทางหนึ่งในการแก้ไขปัญหานี้ได้แก่ทรงนำเอาวิธีการปฏิรูปที่ดิน มาใช้ในการจัดและพัฒนาที่ดินที่เป็นป่าเสื่อมโทรม ทิ้งร้าง ว่างเปล่า นำมาจัดสรรให้เกษตรกรที่ไร้ที่ทำกิน ได้ประกอบอาชีพ ในรูปของหมู่บ้านสหกรณ์ และโครงการจัดและพัฒนาที่ดินในรูปแบบอื่นๆ ทั้งนี้โดยให้สิทธิทำกินชั่วลูกชั่วหลาน แต่ไม่ให้กรรมสิทธิ์ในการถือครอง พร้อมกับจัดบริการพื้นฐาน ให้ตามความเหมาะสม นอกจากนี้ยังมีการจัดพื้นที่ทำกินให้ราษฎรชาวไทยภูเขา สามารถดำรงชีพอยู่ได้เป็นหลักแหล่ง โดยไม่ต้องทำลายป่าอีกต่อไป ในการจัดพื้นที่ต่าง ๆ ดังกล่าวนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีหลักการว่าต้องมีการวางแผนการจัดการให้ดีเสียตั้งแต่ต้น โดยใช้แผนที่ และภาพถ่ายทางอากาศช่วยในการวางแผน ไม่ควรทำแผนผังที่ทำกินเป็นลักษณะตารางสี่เหลี่ยมเสมอไป โดยไม่คำนึงถึงสภาพภูมิประเทศ แต่ควรจัดสรรพื้นที่ทำกินแนวพื้นที่รับน้ำจากโครงการชลประทาน นั่นคือจะต้องดำเนินโครงการเกี่ยวกับการพัฒนาที่ดินเพื่อการเกษตรควบคู่ไป กับการพัฒนาแหล่งน้ำ เช่น โครงการนิคมสหกรณ์หุบกะพง (ในพระบรมราชูปถัมภ์) อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี โครงการจัดพัฒนาที่ดินทุ่งลุยลาย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ และโครงการจัดพัฒนาที่ดินตามพระราชประสงค์ "หนองพลับ" อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเหล่านี้ มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญ คือ (ก) เพื่อนำทรัพยากรธรรมชาติออกมาใช้ในด้านการผลิตให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด (ข) เพื่อส่งเสริมให้ราษฎรมีที่ดินสำหรับประกอบอาชีพและอยู่อาศัย (ค) เพื่อส่งเสริมให้ราษฎรรู้จักพึ่งตนเอง และช่วยเหลือส่วนรวม ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม ทั้งนี้บางโครงการมีวัตถุประสงค์เฉพาะกิจในการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนใน เรื่องที่ทำกินของราษฎรที่ถูกอพยพออกจากพื้นที่
๑.๒. พระบรมราโชวาทในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
          เมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๑๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช          นายกรัฐมนตรีและคณะ ประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เลขาธิการแลรองเลขาธิการ ส.ป.ก. เข้าเฝ้าเพื่อกราบบังคมทูลเกี่ยวกับหลักการและวิธีดำเนินการปฏิรูปที่ดิน โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานข้อวิจารณ์และคำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิรูปที่ดิน จากประสบการณ์ในการดำเนินโครงการจัดที่ดินและพัฒนาที่ดินตามพระราชประสงค์ที่เป็นประโยชน์ให้แก่รัฐบาลหลายประการ ดังนี้
-          การแบ่งสรรที่ดินให้แก่เกษตรกร ในขั้นต้นควรให้เป็นไปตามเนื้อที่ที่เกษตรกรถือครองอยู่เดิมให้มากที่สุด ไม่ว่าจะโดยเป็นเจ้าของที่ดินเองหรือโดยการเช่า ทั้งนี้ ภายในขอบเขตที่พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.๒๕๑๘ กำหนดไว้ พื้นที่อาจจะลดลงไปบ้างตามสภาพภูมิศาสตร์ของท้องถิ่นนั้นๆ
-          การจัดตั้งชุมชนที่อยู่อาศัยควรเป็นไปตามความต้องการของเกษตรกร และให้สอดคล้องกับสภาพเดิมของท้องถิ่นนั้นๆให้มากที่สุด และจัดชุมชนให้อยู่เป็นกลุ่มเป็นก้อนเพื่อความปลอดภัย และทำให้การลงทุนในด้านการจัดสาธารณูปการ เช่นน้ำสะอาด ไฟฟ้า ฯลฯ ถูกลง
-          จัดระบบการรวมกลุ่มในระดับหมู่บ้านรวมกันเป็นสหกรณ์ในเขตปฏิรูปที่ดิน และเชื่อมโยงไปถึงสหกรณ์ในเมืองใหญ่ๆ เพื่อให้สหกรณ์สามารถดำเนินธุรกิจเพื่อประโยชน์ของสมาชิกอย่างกว้างขวางโดยแท้จริง
-          การพัฒนาด้านต่างๆ รวมทั้งการจัดระบบชลประทาน คมนาคม และบริการสาธารณูปการต่างๆ เมื่อดำเนินการจัดหาได้แล้ว ต่อไปก็ให้สหกรณ์รับช่วงไปดำเนินการต่อ ละจัดการบำรุงรักษาต่อไป โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลค่อยๆถอนตัวออกได้ เมื่อสหกรณ์มีประสิทธิภาพพอเพียงที่จะรับช่วงต่อไป
-          ในระยะแรกจะต้องจัดให้มีเจ้าหน้าที่ที่มีความสามารถและเสียสละอยู่ประจำ เพื่อให้คำแนะนำส่งเสริมแก่เกษตรกรโดยใกล้ชิด และจัดให้มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากส่วนกลางออกไปตรวจการดูแลเยี่ยมเยียน และให้คำแนะนำเป็นการให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่โดยสม่ำเสมอ
-          การจัดที่ดินทำกินให้แก่เกษตรกร จะต้องคำนึงถึงการขยายตัวของประชากรในท้องถิ่นนั้นในอนาคตด้วย ดังนั้น ป่าไม้ชุมชนที่ดำริจะจัดสร้างขึ้นอาจใช้เป็นท่าสำรองสำหรับการทำมาหากินในอนาคตได้ด้วย
-          การปฏิรูปที่ดินแต่ละท้องที่จะต้องเร่งดำเนินการให้เสร็จสิ้นโดยเร็วในระยะเวลาประมาณ ๒-๓ ปี เพื่อให้เกษตรกรเห็นผลโดยไม่ชักช้า
-          สำหรับเงินชดเชยค่าที่ดินที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน ซึ่งรัฐบาลจะต้องทูลเกล้าถวายตามกฎหมายของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้น จะพระราชทานเป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินงานของสหกรณ์ในเขตปฏิรูปที่ดินดังกล่าว โดยจะทรงแต่งตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาสำหรับบริหารเงินทุนนี้ขึ้นคณะหนึ่ง
-          มีพระราชประสงค์ให้ผู้ที่เป็นผู้เช่าที่ดินทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์อยู่เดิม ได้ทำกินในเขตที่ดินนั้นต่อไปชั่วลูกชั่วหลานตราบใดที่ยังยึดถืออาชีพเกษตรกรรมอยู่ แต่จะไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น

เมื่อเดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๑๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาพระราชทานพระราชปรารภแก่ผู้อำนวย การสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ว่า ให้มอบที่นาของทรัพย์สินทั้งหมดให้รัฐบาลนำไปปฏิรูปที่ดินพระราชปรารภนี้เป็นที่มาของการพระราชทานที่ดินจำนวน ๕๑,๙๖๗ ไร่ ๙๕ ตารางวา แก่สำนัก-งานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) พร้อมกับการก่อตั้งสำนักงานดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.๒๕๑๘ เพื่อดำเนินการสนองพระมหากรุณาธิคุณ และนับเป็นจุดเริ่มแรกของการปฏิรูปที่ดินที่ยังผลให้ราษฎรได้มีที่ดินทำไร่ นาเลี้ยงชีพตนและครอบครัว มีความอยู่ดีกินดีพร้อมกับเป็นผู้พลิกฟื้นผืนดินให้เกิดคุณค่าเป็นการพัฒนา ประเทศสมตามพระราชประสงค์และพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐยิ่ง                                                                                                                     ๑.๓ พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ กำหนดไว้ว่า                                           มาตรา ๔  ในพระราชบัญญัตินี้

          “การปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรมหมายความว่า  การปรับปรุงเกี่ยวกับสิทธิและการถือครองในที่ดินเพื่อเกษตรกรรมรวมตลอดถึงการจัดที่อยู่อาศัยในที่ดินเพื่อเกษตรกรรมนั้น โดยรัฐนำที่ดินของรัฐหรือที่ดินที่รัฐ จัดซื้อหรือเวนคืนจากเจ้าของที่ดิน ซึ่งมิได้ทำประโยชน์ในที่ดินนั้นด้วยตนเอง หรือมีที่ดินเกินสิทธิตามพระราชบัญญัตินี้ เพื่อจัดให้แก่เกษตรกรผู้ไม่มีที่ดินของตนเองหรือเกษตรกรที่มีที่ดินเล็กน้อยไม่เพียงพอแก่การครองชีพและสถาบันเกษตรกรได้เช่าซื้อ เช่าหรือเข้าทำประโยชน์โดยรัฐให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาอาชีพเกษตรกรรม การปรับปรุงทรัพยากรและปัจจัยการผลิต ตลอดจนการผลิตและการจำหน่ายให้เกิดผลดียิ่งขึ้น
          “เขตปฏิรูปที่ดินหมายความว่า  เขตที่ดินที่พระราชกฤษฎีกากำหนดเป็นเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
          “ที่ดินของรัฐหมายความว่า  บรรดาที่ดินทั้งหลายอันเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินหรือสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้อนุมัติให้บุคคลเข้าอยู่อาศัยหรือทำประโยชน์ ตามกฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติ
          “เจ้าของที่ดินหมายความว่า  ผู้มีสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน
          “เกษตรกรรมหมายความว่า การทำนา ทำไร่ ทำสวน เลี้ยงสัตว์ เลี้ยงสัตว์น้ำ และกิจการอื่นตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา
          “เกษตรกร[1] หมายความว่า  ผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลักและให้หมายความรวมถึงบุคคล
ผู้ยากจนหรือผู้จบการศึกษาทางเกษตรกรรม หรือผู้เป็นบุตรของเกษตรกร บรรดาซึ่งไม่มีที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเป็นของตนเองและประสงค์จะประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาด้วย
          “สถาบันเกษตรกรหมายความว่า กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์การเกษตร ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรตามกฎหมายว่าด้วยสหกรณ์
          “การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมหมายความว่า  การเช่าหรือการเช่าช่วงโดยได้รับความยินยอมจากผู้ให้เช่าซึ่งที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ไม่ว่าการเช่าหรือเช่าช่วงนั้นจะมีหลักฐานเป็นหนังสือหรือไม่ก็ตาม และหมายความรวมถึงการยินยอมให้ใช้ที่ดินเพื่อเกษตรกรรม โดยได้รับค่าเช่าที่ดิน และการทำนิติกรรมอื่นใดเพื่อเป็นการอำพรางการเช่าดังกล่าว
          “ค่าเช่าที่ดินหมายความว่า  ผลิตผลเกษตรกรรม เงินหรือทรัพย์สินอื่นใด ซึ่งเป็นค่าตอบแทนการเช่าที่ดิน และหมายความรวมถึงประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ที่ผู้ให้เช่าที่ดินหรือบุคคลอื่นได้รับเพื่อตอบแทนการให้เช่าที่ดินทั้งโดยทางตรงหรือทางอ้อม
          “เจ้าของที่ดินผู้ประกอบเกษตรกรรมด้วยตนเองหมายความว่า เจ้าของที่ดินผู้ซึ่งดำเนินการผลิตด้านเกษตรกรรม โดยเป็นผู้ลงทุนและได้ผลประโยชน์จากการผลิตนั้นโดยตรง และไม่เป็นผู้ให้เช่าที่ดินนั้น
          “บุคคลในครอบครัวเดียวกันหมายความว่า  คู่สมรสและผู้สืบสันดานที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
          “พนักงานเจ้าหน้าที่หมายความว่า  ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้
            “คณะกรรมการหมายความว่า  คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม



[1] บทนิยามคำว่า เกษตรกร  ในมาตรา 4 ความเดิม ถูกยกเลิก โดยมาตรา 3 แห่ง พ.ร.บ.การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2532และให้ใช้ความใหม่แทน ดังที่พิมพ์ไว้ข้างต้น ความเดิมบัญญัติไว้ดังนี้ เกษตรกร หมายความว่า ผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก
 
                                                                                                                         




------------------------------------------------------------                                                                                                                                  
1] บทนิยามคำว่า คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัด  ถูกยกเลิก โดยมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม   (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2532 ความเดิมบัญญัติไว้ดังนี้ คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัด  หมายความรวมถึงคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินกรุงเทพมหานครด้วย
[2] มาตรา 12 ความเดิมถูกยกเลิก โดยมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2532และให้ใช้ความใหม่แทน ดังที่พิมพ์ไว้ข้างต้น ความเดิมบัญญัติไว้ดังนี้ "มาตรา 12 ให้มีคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวง เกษตรและสหกรณ์เป็นประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร อธิบดีกรมการปกครอง อธิบดีกรมที่ดิน และผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเป็นกรรมการ และกรรมการอื่นอีกเจ็ดคนซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิสี่คนและผู้แทนเกษตรกรสามคน ให้เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเป็นกรรมการและเลขานุการ"

[3]  มาตรา 13 ความเดิมถูกยกเลิก โดยมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2532และให้ใช้ความใหม่แทน ดังที่พิมพ์ไว้ข้างต้น ความเดิมบัญญัติไว้ดังนี้ "มาตรา 13 เมื่อได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดินตามมาตรา ๒๕ ใช้บังคับในเขตอำเภอหนึ่งอำเภอใดในจังหวัดใดแล้ว ให้มีคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ประจำจังหวัดขึ้นคณะหนึ่งในจังหวัดนั้น เรียกว่า คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดประกอบด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานกรรมการ เกษตรจังหวัด พาณิชย์จังหวัด อุตสาหกรรมจังหวัด เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด ผู้จัดการสาขาธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร นายอำเภอในท้องที่ที่มีการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เป็นกรรมการและกรรมการอื่นอีกสามคนซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้แทนเกษตรกร"        

     มาตรา ๑๙  ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบในการกำหนดนโยบาย มาตรการ ข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการปฏิบัติงานการปฏิรูปที่ดินของ ส.ป.ก. ตลอดจนการควบคุมการบริหารงานของ ส.ป.ก. รวมทั้งอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบดังต่อไปนี้
          (๑) จัดหาที่ดินของรัฐเพื่อนำมาใช้ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
          (๒) พิจารณากำหนดเขตปฏิรูปที่ดินตามมาตรา ๒๕ การจัดซื้อหรือเวนคืนที่ดินตามมาตรา ๒๙ และการกำหนดเนื้อที่ที่ดินที่จะให้เกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกรเช่าระยะยาว หรือเช่าซื้อตามมาตรา ๓๐
          (๓) พิจารณาการกำหนดแผนผังและการจัดแบ่งแปลงที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน
          (๔) พิจารณาอนุมัติแผนงานและโครงการการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ตลอดจนงบค่าใช้จ่ายของ
ส.ป.ก. เสนอรัฐมนตรี
          (๕) พิจารณากำหนดแผนการผลิตและการจำหน่ายผลิตผลเกษตรกรรมในเขตปฏิรูปที่ดิน เพื่อยกระดับรายได้ และคุ้มครองผลประโยชน์ของเกษตรกร หรือสถาบันเกษตรกร
          (๖) พิจารณากำหนดแผนการส่งเสริม และบำรุงเกษตรกรรมในเขตปฏิรูปที่ดิน รวมถึงการจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิตและคุณภาพผลิตผลเกษตรกรรม ตลอดจนสวัสดิการ การสาธารณูปโภค การศึกษาและการสาธารณสุขของเกษตรกร
          (๗) กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการคัดเลือกเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร ซึ่งจะมีสิทธิได้รับที่ดินจากการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ตลอดจนแบบสัญญาเช่าและเช่าซื้อที่จะทำกับเกษตรกร หรือสถาบันเกษตรกรผู้ได้รับที่ดิน
          (๘) กำหนดระเบียบการให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร ผู้ได้รับที่ดินจากการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมปฏิบัติเกี่ยวกับการเข้าทำประโยชน์ในที่ดินและปฏิบัติตามแผนการผลิตและการจำหน่ายผลิตผลเกษตรกรรม
          (๙) กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการว่าด้วยการให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินกู้ยืมจาก ส.ป.ก. ตลอดจนเงื่อนไขของการกู้ยืมโดยอนุมัติรัฐมนตรี
          (๑๐) กำหนดระเบียบเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินและหนี้สินของเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรผู้ได้รับที่ดินจากการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตลอดจนการควบคุมดูแลกิจการอื่น ๆ ภายในเขตปฏิรูปที่ดิน
          (๑๑) ติดตามการปฏิบัติงานของ ส.ป.ก. ให้เป็นไปตามแผนงานและโครงการที่ได้รับอนุมัติ ตลอดจนกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงาน
          (๑๒) กำหนดกิจการและระเบียบการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของ ส.ป.ก. หรือสนับสนุนหรือเกี่ยวเนื่องกับวัตถุประสงค์ของการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม

          มาตรา ๒๐  ให้คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดมีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบในการกำหนดมาตรการและวิธีปฏิบัติงานของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัด และให้มีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบดังต่อไปนี้
          (๑) พิจารณาให้ความเห็นชอบแผนงาน โครงการและค่าใช้จ่ายของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัด เพื่อเสนอคณะกรรมการ
          (๒) ติดตามการปฏิบัติงานของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัด ให้เป็นไปตามแผนงานและโครงการที่ได้รับอนุมัติ ตลอดจนดำเนินการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงาน
          (๓) พิจารณาผลการปฏิบัติงาน เพื่อปรับปรุงแผนงาน โครงการ งบค่าใช้จ่ายและวิธีปฏิบัติงานของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัด
          (๔) จัดทำงบประมาณค่าใช้จ่ายตามโครงการการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมแต่ละโครงการเพื่อเสนอต่อคณะกรรมการ
          (๕) ดำเนินการเกี่ยวกับเงินและกิจการอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามระเบียบหรือข้อบังคับหรือมติของคณะกรรมการหรือตามที่คณะกรรมการมอบหมาย
          (๖) วางระเบียบหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับระเบียบหรือข้อบังคับหรือมติของคณะกรรมการ

๑.๓. นโยบาย ภารกิจและหน้าที่
          สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ปัจจุบัน ปี ๒๕๕๔ ได้กำหนดกรอบนโยบาย ภารกิจและหน้าที่ ไว้ดังนี้
          วิสัยทัศน์
                   จัดที่ดิน สร้างมูลค่าที่ทำกิน พัฒนาคุณภาพชีวิตเกษตรกร คุ้มครองที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
          พันธกิจ
-          จัดที่ดินและที่อยู่อาศัยให้เกษตรกร
-          ฟื้นฟูสภาพแวดล้อมและการใช้ประโยชน์ทรัพยากรในเขตปฏิรูปที่ดิน
-          พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและส่งเสริมการเรียนรู้
-          สนับสนุนเงินทุนเพื่อพัฒนาอาชีพเกษตรกร
ค่านิยมหลักขององค์การ
          ALRO
          A : Achievement Motivation             :   การมุ่งผลสัมฤทธิ์
          L : Learning and Development          :   การเรียนรู้และพัฒนา
          R : Responsibility                           :   ความรับผิดชอบ
          O : Organization Commitment          :   ความผูกพันต่อองค์กร

๑.๔. การวางแผนกายภาพ (Physical Planning)
          ๑.๔.๑. การวางแผน หรือ การวางโครงการ (Planning)
                   - หมายถึง กระบวนการที่มนุษย์คาดการณ์ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า กำหนดการกระทำตามที่เห็นว่าเหมาะสมและได้รับประโยชน์สูงสุดไว้ล่วงหน้า หรือ กำหนดกิจกรรม โครงการ และการกระทำใดๆภายในขอบเขตพื้นที่ ผลของการกระทำนั้นเห็นว่าจะได้รับประโยชน์สูงสุด
                   - หรือหมายความว่า “เทคนิคหรือการปฏิบัติงานอย่างมีแบบแผน ใช้ผู้เชี่ยวชาญทรงคุณวุฒิ ศึกษาข้อมูล วางเป้าหมาย สมมติฐาน และกำหนดวิธีปฏิบัติงานเป็นขั้น เป็นตอน จนสำเร็จตามความมุ่งหมาย”
                   - การวางแผนอาจจะแบ่งออกได้เป็น ๒ ประเภทใหญ่ได้ คือ การวางแผนทั่วไป (Planning) เช่น การวางแผนด้านเศรษฐกิจ-สังคม และ การวางแผนกายภาพ (Physical Planning)
          ๑.๔.๒. การวางแผนกายภาพ (Physical Planning)
                   - หมายถึง การวางแผนหรือวางโครงการในสิ่งที่มีตัวตน(กายภาพ-Physical) มีรูปร่างเป็นสามมิติ อยู่ในพื้นที่ที่กำหนด สามารถมองเห็นได้ หรือในบางครั้งอาจเรียกว่า การออกแบบรูปธรรม
                   - หรือหมายความว่า “การจัดวางแนวทางในการแก้ไขและป้องกันปัญหาด้านกายภาพ เพื่อให้ได้สภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นแก่มนุษย์ตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้” (“Physical Planning : An attempt to formulate the principles that should guide us in creating a civilized physical background for human life”- Thomas Sharp)
                   - สิ่งแวดล้อมกายภาพ (Physical Environment) ได้แก่ สิ่งแวดล้อมที่เป็นรูปธรรม เป็นสิ่งที่มองเห็นได้ แบ่งออกเป็น สิ่งแวดล้อมกายภาพตามธรรมชาติ (Natural Environment) และสิ่งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น (Man-made Environment)
          ๑.๔.๓. การวางผังชุมชน (Community Planning)
                   - คือ การวางแผนด้านกายภาพ ในขอบเขตพื้นที่ของชุมชน ในสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชนภายในชุมชน ให้เป็นระเบียบและเป็นระบบที่เกี่ยวเนื่องประสานสัมพันธ์กันบนพื้นที่ดิน
          ๑.๔.๔. การวางแผนด้านกายภาพ เป็นสิ่งจำเป็นในการดำเนินชีวิต เนื่องจากทรัพยากรในการดำเนินชีวิตมีอยู่จำกัด ขณะที่ความต้องการในการใช้ทรัพยากรมีเพิ่มขึ้นอยู่เสมอไม่มีข้อจำกัด ทรัพยากรนี้อาจแบ่งได้เป็น
                   - ทรัพยากรมนุษย์ (Human Resources)
                   - ทรัพยากรธรรมชาติ (Natural Resources)
                   - ทรัพยากรทุน (Capital Resources)
                   การวางแผนนี้จะเป็นการวางแนวทางจัดหาทางเลือก(Alternative) เพื่อให้เกิดการพิจารณาอย่างรอบคอบที่จะใช้ทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดให้เกิดผลดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
          ๑.๔.๕. ระดับของการวางแผนกายภาพ (Levels of physical planning)
                   - เนื่องด้วยงานวางแผนกายภาพเป็นงานที่ประสานสัมพันธ์บนพื้นที่ดิน ระดับงานวางแผนกายภาพจึงขึ้นอยู่กับระดับการแบ่งพื้นที่ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วแบ่งออกเป็นระดับชาติ(National) ภาค(Regional) และท้องถิ่น(Local) ดังตารางแสดงความสัมพันธ์ ดังนี้



ระดับพื้นที่

ระดับแผนแบ่งตามพื้นที่

ประเภทของแผน
แบ่งตามลักษณะการวางแผน

แผนกายภาพ


ชาติ
(National)

แผนชาติ


แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม

-


ภาค
(Regional)

แผนภาค

แผนพัฒนาภาค
แผนจังหวัด
ผังภาค
แผนพัฒนาชนบท



ผังภาค
ผังชนบท


ท้องถิ่น
(Local)

แผนท้องถิ่น

ผังเมือง
ผังชุมชน(เมือง)
ผังชุมชน(ชนบท)
ผังบริเวณ

ผังเมือง
ผังชุมชน
ผังบริเวณ


               

- ผังภาค เป็นผังที่นำเอานโยบายต่างๆของการพัฒนาชาติ เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ การพัฒนาทางด้านสังคม การพัฒนาเมืองและอื่นๆ ซึ่งจะมีอยู่ในแผนพัฒนาชาติ มาถ่ายทอดเป็นผังด้านกายภาพ พร้อมทั้งมีแผนในการปฏิบัติตาม ผลงานการวางผังภาค จะได้ผังที่แสดงถึงนโยบายการใช้ที่ดิน นโยบายการลำดับหน้าที่ของชุมชน และการสาธารณูปโภคเป็นหลัก ซึ่งการมีผังการใช้ประโยชน์ที่ดินนี้เอง
- ผังเมืองรวม เป็นผังที่บังคับแก่ประชาชน และเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย การปกครองท้องถิ่นจำเป็นต้องมีผังเมืองรวม เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาชุมชนในท้องถิ่นตน เพื่อให้การพัฒนาพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพครอบคลุมทั้งพื้นที่ชุมชนเมือง ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญที่ก่อให้เกิดผลทางเศรษฐกิจ-สังคม และความเป็นอยู่ของผู้คนจำนวนมาก และเป็นผลต่อเนื่องกับพื้นที่อื่นๆในวงกว้าง ผังเมืองจึงเป็นแผนแม่บทหรือแผนนำในการพัฒนาการใช้ประโยชน์ที่ดิน การคมนาคมขนส่ง และโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ จำเป็นต้องมีกรอบนโยบายที่ดีเพื่อเป็นภาพรวมของการพัฒนาพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ การจัดสรรทรัพยากรและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ตลอดจนการพัฒนาด้านอื่นๆให้เหมาะสมและชัดเจน มีรูปแบบที่กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมชุมชน ทำให้เกิดภูมิทัศน์ที่สวยงาม พร้อมที่จะรองรับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจจากภาคเกษตรกรรมเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ ผังเมืองรวม มีส่วนประกอบหลักอยู่ ๒ ประการคือ
                   - การใช้ประโยชน์ที่ดิน แบ่งตามประเภทต่างๆและข้อกำหนดประกอบการใช้ที่ดินนั้นๆ
                   - การคมนาคมขนส่ง กำหนดเป็นโครงข่ายโดยรวมทั่วทั้งพื้นที่การวางผัง
                     ผังเมืองรวมนั้นจะมีอายุบังคับใช้ ๕ ปี และต้องปรับปรุงใหม่ในทุกๆ ๕ ปี โดยการประเมินผลประกอบ
                     ผู้ที่จะวางผังมี ๒ องค์กร คือ กรมการผังเมืองและเจ้าพนักงานท้องถิ่น ถ้ากรมการผังเมืองเป็นผู้วางผังเมืองรวม หน้าที่ของท้องถิ่นและประชาชนจะต้องร่วมอยู่ในขบวนการด้วยในหลายขั้นตอน และเมื่อประกาศใช้แล้ว การบังคับให้เป็นไปตามข้อกำหนด กฎกระทรวง จะเป็นเรื่องของท้องถิ่นที่จะดูแลให้เป็นไปตามแผนผัง ถ้าท้องถิ่นเป็นผู้วางผังก็จะยังคงเป็นท้องถิ่นเป็นผู้ที่จะต้องดูแลตามแผนผังนั้นเช่นกัน
- ผังเมืองเฉพาะ เป็นผังรายละเอียดที่ขยายความจากผังเมืองรวม เพื่อจะทำการพัฒนาในพื้นที่เป็นการงเฉพาะ จึงมักจะมีเรื่องการเวนคืนอยู่ด้วยในตัวโดยไม่ต้องออกกฎหมายเวนคืนอีก ผังเมืองเฉพาะจะบังคับใช้ด้วยการออกเป็น พ.ร.บ.ผังเมืองเฉพาะ แต่ต้องอยู่ในกรอบของข้อกำหนดผังเมืองรวม
- ผังตำบล หรือ ผังพัฒนาชนบทระดับตำบล เป็นการวางผังเพื่อพัฒนาลงไปถึงระดับหมู่บ้านเพื่อทำให้เกิดศูนย์ตำบล และศูนย์หมู่บ้าน เป็นการวางแผนกำหนดพื้นที่รองรับสาธารณูปโภคให้เหมาะสมกับพื้นที่ เช่น ตลาดกลาง สวนสาธารณะ ถนน ประปาหมู่บ้าน และสภาพแวดล้อมอื่นๆ

๑.๕. การวางผังด้านกายภาพในประเทศไทย (การผังเมืองของประเทศไทย)
          ๑.๕.๑. พระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. ๒๕๑๘ กำหนดเอาไว้ว่า
  มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัตินี้
             "การผังเมือง" หมายความว่า การวาง จัดทำและดำเนินการให้เป็นไปตามผังเมืองรวมและผังเมืองเฉพาะในบริเวณเมืองและ บริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท เพื่อสร้างหรือพัฒนาเมืองหรือส่วนของเมืองขึ้นใหม่หรือแทนเมืองหรือส่วนของ เมืองที่ได้รับความเสียหายเพื่อให้มีหรือทำให้ดียิ่งขึ้นซึ่งสุขลักษณะความ สะดวกสบาย ความเป็นระเบียบ ความสวยงาม การใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน ความปลอดภัยของประชาชน และสวัสดิภาพของสังคม เพื่อส่งเสริมการเศรษฐกิจสังคม และสภาพแวดล้อม เพื่อดำรงรักษาหรือบูรณะสถานที่และวัตถุที่มีประโยชน์หรือคุณค่าในทาง ศิลปกรรม สถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์ หรือโบราณคดี หรือเพื่อบำรุงรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ภูมิประเทศที่งดงาม หรือมีคุณค่าในทางธรรมชาติ
             "ผังเมืองรวม" หมายความว่า แผนผัง นโยบายและโครงการรวมทั้งมาตรการควบคุมโดยทั่วไป เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบทในด้านการใช้ประโยชน์ใน ทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะและสภาพแวดล้อม เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของการผังเมือง
             "ผังเมืองเฉพาะ" หมายความว่า แผนผังและโครงการดำเนินการเพื่อพัฒนาหรือดำรงรักษาบริเวณเฉพาะแห่ง หรือกิจการที่เกี่ยวข้อง ในเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบทเพื่อประโยชน์แก่การผังเมือง
  “อาคาร”....................
  ……………………………….
    มาตรา ๖ ให้มีคณะกรรมการผังเมืองคณะหนึ่ง ประกอบด้วยปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดกระทรวงคมนาคม ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผู้ทรงคุณวุฒิทางการผังเมืองหรือสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการผังเมือง ไม่เกินเจ็ดคน และผู้แทนสถาบันองค์การอิสระและบุคคลอื่นที่มีความเกี่ยวข้องกับการผังเมือง ไม่เกินเจ็ดคน เป็นกรรมการ ผู้อำนวยการสำนักผังเมืองเป็นกรรมการและเลขานุการ
             ในกรณีที่เป็นการวาง จัดทำ หรืออนุมัติผังเมืองรวมหรือผังเมืองเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร ให้ปลัดกรุงเทพมหานครเป็นกรรมการร่วมด้วย
             ให้คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้แทนสถาบันองค์การอิสระและบุคคลอื่นเป็นกรรมการตามวรรคหนึ่ง กรรมการซึ่งแต่งตั้งจากผู้แทนสถาบัน องค์การอิสระและบุคคลอื่นจะต้องไม่เป็นข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ
             มาตรา ๗ ให้คณะกรรมการผังเมืองมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับ การผังเมืองตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้ และให้มีหน้าที่แนะนำเรื่องต่าง ๆเกี่ยวกับการผังเมืองแก่หน่วยงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการผังเมือง
  ……………………………..
   มาตรา ๒๘ ผังเมืองเฉพาะประกอบด้วย
             (๑) วัตถุประสงค์ในการวางและจัดทำผังเมืองเฉพาะ
             (๒) แผนที่แสดงเขตของผังเมืองเฉพาะ
             (๓) แผนผังเมืองหรือแผนผังบริเวณซึ่งทำขึ้นเป็นฉบับเดียวหรือหลายฉบับ โดยมีสาระสำคัญทุกประการหรือบางประการ ดังต่อไปนี้
                   (ก) แผนผังแสดงการกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินซึ่งจำแนกเป็นประเภทกิจการ พร้อมทั้งแนวเขตการแบ่งที่ดินออกเป็นประเภทและย่าน
                   (ข) แผนผังแสดงโครงการคมนาคมและขนส่งพร้อมทั้งรายละเอียดแสดงแนวและขนาดทางสาธารณะ
                   (ค) แผนผังแสดงรายละเอียดของกิจการสาธารณูปโภค
                   (ง) แผนผังแสดงที่โล่ง
                   (จ) แผนผังแสดงการกำหนดระดับพื้นดิน
                   (ฉ) แผนผังแสดงบริเวณที่ตั้งของสถานที่หรือวัตถุที่มีประโยชน์หรือคุณค่าในทาง ศิลปกรรม สถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์หรือโบราณคดีที่จะพึงส่งเสริมดำรงรักษาหรือบูรณะ
                   (ช) แผนผังแสดงบริเวณที่มีทรัพยากรธรรมชาติหรือภูมิประเทศที่งดงามหรือมีคุณค่า ในทางธรรมชาติ รวมทั้งต้นไม้เดี่ยวหรือต้นไม้หมู่ที่จะพึงส่งเสริมหรือบำรุงรักษา
             (๔) รายการและคำอธิบายประกอบแผนผังตาม (๓) รวมทั้งประเภทและชนิดของอาคารที่จะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ก่อสร้าง
             (๕) ข้อกำหนดที่จะให้ปฏิบัติหรือไม่ให้ปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของ ผังเมืองเฉพาะทุกประการหรือบางประการ ดังต่อไปนี้
                   (ก) แนวทางและขนาดของที่อุปกรณ์
                             (ข) ประเภท ชนิด ขนาด และจำนวนของอาคารที่จะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้สร้าง
                              (ค) ประเภท ชนิด ขนาด จำนวนและลักษณะของอาคารที่ชำรุดทรุดโทรม หรืออยู่ในสภาพอันเป็นที่น่ารังเกียจหรือน่าจะเป็นอันตรายแก่ผู้อาศัยหรือ สัญจรไปมาซึ่งจะถูกสั่งให้รื้อหรือย้ายตามคำสั่งของคณะกรรมการบริหารการผัง เมืองส่วนท้องถิ่นตามมาตรา ๕๕
                   (ง) การใช้ประโยชน์ของอาคารที่อนุญาตให้สร้างขึ้นใหม่ หรืออนุญาตให้เปลี่ยนแปลง อันผิดไปจากการใช้ประโยชน์ตามที่ได้ขอไว้เมื่อขออนุญาตก่อสร้าง ซึ่งจะต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น
                   (จ) ขนาดและแปลงที่ดินที่จะอนุญาตให้เป็นที่สร้างอาคารที่ใช้เพื่อประโยชน์ต่าง ๆ ตามที่ได้ระบุไว้ในผังเมืองเฉพาะ รวมทั้งบริเวณของที่ดินที่กำหนดให้เป็นที่โล่งเพื่อประโยชน์ตามที่ระบุไว้
                   (ฉ) การส่งเสริมดำรงรักษาหรือบูรณะสถานที่หรือวัตถุที่มีประโยชน์หรือคุณค่าใน ทางศิลปกรรม สถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์หรือโบราณคดี
                   (ช) การดำรงรักษาที่โล่ง
                   (ซ) การส่งเสริมหรือบำรุงรักษาต้นไม้เดี่ยวหรือต้นไม้หมู่
                   (ฌ) การรื้อ ย้าย หรือดัดแปลงอาคาร
                   (ญ) การอื่นที่จำเป็นเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของผังเมืองเฉพาะ
             (๖) รายละเอียดระบุที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์อย่างอื่นที่ต้องเวนคืนพร้อมทั้ง รายชื่อเจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์สินโดยชอบด้วยกฎหมาย โดยมีแผนที่แสดงเขตที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์อย่างอื่นที่เวนคืนเพื่อ ประโยชน์แก่การผังเมืองสำหรับใช้เป็นทางหลวงตามมาตรา ๔๓ (๑)
             (๗) รายละเอียดระบุที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์อย่างอื่นที่ต้องเวนคืนพร้อมทั้ง รายชื่อเจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์สินโดยชอบด้วยกฎหมาย โดยมีแผนที่แสดงเขตที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์อย่างอื่นที่เวนคืน เพื่อประโยชน์แก่การผังเมืองอย่างอื่นตามมาตรา ๔๓ (๒)
             (๘) รายละเอียดและแผนที่ระบุที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์อย่างอื่นซึ่งเป็นสาธารณ สมบัติของแผ่นดิน หรือซึ่งกระทรวงทบวงกรม จังหวัด องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น หรือองค์การของรัฐ เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครองหรือผู้ดูแลรักษา ซึ่งจะนำมาใช้เป็นทางหลวง หรือใช้เพื่อประโยชน์แก่การผังเมืองอย่างอื่น
             (๙) แผนที่ แผนผังหรือรายละเอียดอื่น ๆ ตามความจำเป็น
๑.๕.๒. ประวัติศาสตร์การวางผังเมือง
          - ยุคแรก หากไม่นับยุคสมัยการตั้งเมืองในประวัติศาสตร์ที่พระเจ้าแผ่นดินเป็นผู้กำหนดด้วยตนเองแล้ว ปรากฏว่ามีการจัดตั้งแผนกผังเมืองขึ้นในกรมโยธาเทศบาล เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๔๗๘ ซึ่งเป็นผังเมืองในลักษณะงานออกแบบชุมชน (Urban Design) การออกแบบศาลากลางจังหวัดและสถานที่ราชการ ผังบริเวณวัด ผังปรับปรุงเขตเพลิงไหม้ โดยเน้นความเป็นระเบียบสวยงามเป็นหลัก มีการจัดทำแผนที่ชุมชนของที่ตั้งจังหวัดต่างๆ แต่ที่เป็นแผนผังสร้างเมืองสำคัญได้แก่ ผังเมืองยะลา และผังเมืองลพบุรี
          -  ยุคที่สอง ประเทศไทยพัฒนาการผังเมืองของประเทศ เริ่มขึ้นในประมาณปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ฯพณฯ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน์ นายกรัฐมนตรีได้ขอให้สหรัฐอเมริกา โดย USOM ช่วยปรับปรุงระบบประปาของกรุงเทพ ทำให้เกิดการวางผังเมืองกรุงเทพมหานครขึ้น โดยทีมนักผังเมืองอเมริกัน (Litchfield Whiting, Browne and Associated) และได้นำเสนอผังเมืองกรุงเทพมหานคร ๓๐ ปี (Greater Bangkok Plan ๒๕๓๓) เมื่อปี ๒๕๐๓ และได้กลายเป็นต้นแบบของการผังเมืองไทยตลอดมา ที่ยึดหลักการ Comprehensive Plan ที่ครอบคลุมทุกประเด็นของการพัฒนาเมืองทั้งปัจจุบันและอนาคตเป็นแนวทางการวางผัง มีการจัดตั้งสำนักผังเมืองขึ้นเป็นทบวงการเมือง ฐานะเทียบเท่ากรมขึ้นในกระทรวงมหาดไทยเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๐๕ และได้ออกพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. ๒๕๑๘ เป็นกรอบการปฏิบัติงานด้านการวางผังเมืองโดยสำนักผังเมืองตลอดมาจนถึงปัจจุบัน
   ต่อจากนั้นมา โดยอาศัยแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมาตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๐๔ เป็นแผนนำการพัฒนา ในสาขาต่างๆทางด้านเศรษฐกิจ-สังคมตลอดมา ได้มีการวางผังภาคซึ่งเป็นแผนทางด้านกายภาพ โดยแปลงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มาลงบนพื้นที่ในแต่ละภาคของประเทศ ซึ่งได้รับการจัดทำโดยราชการส่วนกลางโดยสำนักผังเมือง ซึ่งนั่นคือ การกำหนดนโยบายการพัฒนาชาติทางกายภาพลงไปในพื้นที่
            การกระจายอำนาจและการผังเมืองในประเทศไทยได้รับการวางระบบควบคู่กันไป ตั้งแต่กฎหมายผังเมืองและผังชนบท พ.ศ.๒๔๙๗ มีการปรับปรุงเป็น พระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ.๒๕๑๘ ซึ่งประกอบไปด้วย ผังเมืองรวม และผังเฉพาะ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเป็นการควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดิน การคมนาคมขนส่ง และพื้นที่โล่งเป็นหลัก
            นโยบายดังกล่าวคือ การกำหนดการใช้ที่ดินทั่วทั้งประเทศเพื่อรองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจรูปแบบต่างๆ รองรับการขยายตัวของประชากรรองรับการพัฒนาด้านสาธารณูปโภค สาธารณูปการต่างๆที่เป็นหัวใจหลักของประเทศ       

          - ยุคที่สาม เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๕ ได้เกิดการยุบรวมสำนักผังเมือง (ได้เปลี่ยนเป็นกรมการผังเมืองมาก่อนหน้านี้แล้ว) เข้ารวมกับกรมโยธาธิการ เป็นกรมโยธาธิการและผังเมือง จากการปฏิรูประบบราชการ และที่สำคัญได้โอนงานการวางและจัดทำผังเมือง ให้เป็นภาระหน้าที่รับผิดชอบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

๑.๖. ความจำเป็นในการการวางแผนกายภาพในการปฎิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
          - การผังเมือง และการปฏิรูปที่ดิน ได้ก่อตั้งขึ้นเป็นทบวงการเมือง ภายหลังจากการปฏิวัติประชาธิปไตย ของขบวนการนักศึกษาและประชาชน ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ผลดังกล่าวได้ก่อให้เกิดการเรียกร้องของกลุ่มประชาชนในภาคต่างๆให้ดำเนินการปฏิรูปประเทศในหลายด้าน พระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. ๒๕๑๘ และ พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ ตราขึ้นด้วยแนวความคิดเดียวกันในการที่จะพัฒนาพื้นที่ของประเทศ โดยมีองค์ประกอบเป็นคณะกรรมการ (Board) หลากหลายสาขาอาชีพ อันเป็นหลักการของการวางแผนกายภาพของหลายประเทศ โดยสำนักผังเมือง และสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ทำหน้าที่เป็นกรรมการและเลขานุการของคณะนั้นๆ
          - การผังเมือง มีภารกิจในการวางแผนระดับชาติ ภาคและท้องถิ่น  การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม มีภารกิจในการวางแผนกายภาพในพื้นที่ชนบท(ภาคเกษตรกรรม)ตามที่ประกาศกำหนดเขตพื้นที่เป็น พระราชกฤษฎีกา
          - ประวัติความเป็นมาของการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) นั้น จะไม่กล่าวถึงในรายละเอียดมากไปกว่านี้อีก เพราะเป็นที่ทราบกันได้ดีอยู่แล้ว ตามที่ปรากฏในเอกสาร วารสารและรายงานต่างๆของหน่วยงาน
          - ในกรอบภารกิจตามกฎหมาย กำหนดให้ ส.ป.ก. ดำเนินการทั้งในด้านสิทธิ และ จัดที่ดิน เพื่อให้เกิดการพัฒนา จึงจะเป็นการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ดู มาตรา ๑๙ หน้าที่และความรับผิดชอบของ คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม)
          - การที่จะให้ได้มาซึ่งเหตุดังกล่าว จะต้องดำเนินการวางแผนด้านกายภาพในพื้นที่
          - คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ค.ป.ก.)ที่กำหนดตามกฎหมายให้ประกอบด้วยบุคคลจากหลากหลายสาขาความรู้นั้น ก็ด้วยเห็นแล้วว่าการวางแผนด้านนโยบายการพัฒนาพื้นที่ใดนั้น จำเป็นต้องใช้ความรู้ต่างๆหลายด้านมาประกอบกันพิจารณา
          - ปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานราชการตามกฎหมายใดมีบทบาทหน้าที่โดยตรงในพื้นที่เกษตรกรรมเขตชนบท
          - สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) จะต้องเป็นผู้นำเสนอกรอบนโยบาย มาตรการ ข้อบังคับหรือระเบียบในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมต่อ คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
          - การดำเนินการตามนโยบาย มาตรการ แผน ผัง อาจจะปฏิบัติโดยหน่วยราชการอื่นที่มีบทบาทหน้าที่ ภารกิจโดยตรง ตามกฎหมาย ซึ่งผู้บริหารเป็นองค์คณะใน ค.ป.ก. อยู่แล้ว และดำเนินการโดยองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น ซึ่งต้องเข้ามามีส่วนรวมในภาคประชาชนของพื้นที่
                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                          
 

การวางแผนกายภาพ

๒. หลักการวางแผนกายภาพ (Physical Planning)
๒.๑. หลักการวางแผนโดยทั่วไป คือการพิจารณาความเป็นมาจากอดีตและแนวโน้มอนาคต
          - ขั้นตอนของงานวางแผนอาจแบ่งได้เป็น
                             - วิเคราะห์ปัญหา (Problem Analysis)
                             - สร้างเป้าหมาย (Goal Formulation)
                             - คาดคะเน (Projection)
                             - สร้างแนวทางเลือก (Alternative Development)
                             - ประเมินผลทางเลือก (Evaluation)
                             - ปฏิบัติตามแผน (Implementation)
๒.๒. หลักการวางแผนกายภาพ (Principles of Physical Planning)
          ๒.๒.๑. การวางแผนกายภาพมีหลักการไม่ต่างจากการวางแผนอื่นๆ แต่ในการวิเคราะห์ปัญหาการวางแผนกายภาพจะต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์บนพื้นที่ (Spatial Relation) เพื่อให้เกิดความเข้าใจแท้จริงถึงสภาวะบนพื้นที่นั้น ความสัมพันธ์บนพื้นที่จะประกอบด้วยความเกี่ยวเนื่องระหว่างองค์ประกอบ ๔ ตัว ดังนี้
                             - สภาพแวดล้อมทางกายภาพ – ทรัพยากร (Physical Environment – Resource)
                             - ประชากร (Population)
                             - องค์กร (Organization)
                             - เทคโนโลยี (Technology)
                   - องค์ประกอบทั้ง ๔ มีผลกระทบต่อกันใน ๖ ลักษณะดังนี้
                             - Environment                              Population
                             - Environment                              Technology
                             - Environment                              Organization
                             - Population                                 Technology
                             - Population                                 Organization
                             - Technology                               Organization
๒.๓. การวางผังชุมชน
          - ขั้นตอนที่จะพิจารณาในการวางผังชุมชน ดังนี้
                   - การหาข้อข้อมูล ข้อเท็จจริง (Fact Finding- Preliminary Study)  เป็นการสำรวจพื้นที่ (Community/Site Survey) เพื่อให้ทราบถึงสภาวการณ์ของพื้นที่ขณะนั้นอย่างแท้จริง เก็บรวบรวมข้อมูลทั้งกายภาพ เศรษฐกิจ และสังคม และอาจโยงกลับไปถึงอดีต เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงด้วยข้อมูลจึงมีทั้งปฐมภูมิและทุติยภูมิ การศึกษาในระดับนี้มิใช่เรื่องของนักวางผังกายภาพแต่เพียงอย่างเดียว แต่ควรเป็นการศึกษาในหลายด้านสาขาวิชา (Multi-Disciples) ทั้งในกลุ่ม วิทยาศาสตร์ประยุกต์(Applied Sciences) และวิทยาศาสตร์สังคม(Social Sciences)
                   - การวิเคราะห์ชุมชน (Analysis)  เป็นการวิเคราะห์ชุมชนและแจกแจงปัญหาที่เกิดขึ้น จัดกลุ่มปัญหา ระบุความรีบด่วน(จัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง-Priority)ของปัญหา และวิเคราะห์เพื่อให้เกิดความ ชัดเจนในการแก้ปัญหา เนื่องจากปัญหาบางประการไม่อาจแก้ได้เพียงวางแผนกายภาพเท่านั้น แต่เป็นเงื่อนไขทางด้านเศรษฐกิจและสังคม
                   - การคาดคะเน (Forcast)  เป็นการประมาณการถึงการเปลี่ยนแปลงของชุมชนนั้น ทั้งนี้ เพื่อทราบถึงความต้องการของชุมชนซึ่งจะต้องตอบสนองในการจัดผังกายภาพ เช่น การประมาณการของชุมชนที่จะเพิ่มขึ้นในรอบสิบปีข้างหน้า เพื่อวางแผนรองรับในด้านสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ
                   - การสร้างเป้าหมาย (Formulation of goals and Identification of Objectives) การกำหนดเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ในการผังชุมชนจะต้องคำนึงถึงนโยบายในการพัฒนาชุมชนนั้นด้วย
                   -  การวางแผน (Planning) เป็นการกำหนดแนวทางการพัฒนาทางกายภาพลงบนแผนที่เป็นขั้นตอนสำคัญของนักวางแผน ในการกำหนดนี้อาจจัดเป็นหลายๆทาง
                   - การประชุมประชาชน (Monitoring or Public Hearing)  เป็นการประชุมเพื่อฟังความคิดเห็นของประชาชนนั้น เพราะประชาชนจะเป็นผู้อยู่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่วางผังไว้ต่อไป ความคิดเห็นของประชาชนอาจนำมาพิจารณาปรับปรุงแผนเพื่อให้เหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการท้องถิ่นยิ่งขึ้น หรืออาจเป็นการชี้แจงให้ประชาชนเกิดความเข้าใจในเหตุผลที่จะต้องวางผังหรือกำหนดการใช้ที่ดินบางประเภทของชุมชน
                   - การปฏิบัติตามผัง (Implementation)  เป็นการนำผังที่วางไว้มาปฏิบัติ ขั้นตอนนี้แม้จะเป็นส่วนหนึ่งของการวางแผน แต่นักวางแผนอาจมิใช่ผู้นำแผนไปปฏิบัติ ในกรณีนี้ผู้วางแผน (Planners) คือผู้ที่เสนอแนะแนวทางที่ตนเองเชื่อว่าดีที่สุดต่อผู้ที่จะนำแผนไปปฏิบัติแผนที่วางไว้นั้นมีแนวทางให้เกิดการปฏิบัติ ๒ ประการคือ
                             - การควบคุม (Negative way) เป็นลักษณะของการออกกฎหมายควบคุมบังคับให้มีการปฏิบัติตามแผน เช่น การแบ่งโซน (Zoning) ที่บังคับควบคุมด้วยพระราชบัญญัติผังเมืองเป็นต้น
                             - การพัฒนา (Positive way) เป็นการสร้างแรงจูงใจที่ก่อให้เกิดการใช้ที่ดินหรือการสร้างสภาวะแวดล้อมในชุมชนตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ เช่น การสร้างนิคมอุตสาหกรรมโดยรัฐเพื่อก่อให้เกิดความเป็นระเบียบในการใช้ที่ดินอุตสาหกรรมของชุมชน
                    - การทบทวน (Revision)  เป็นการปรับปรุงผังเพื่อประกาศใช้ใหม่ในระยะเวลาต่อไป การปรับปรุงผังนี้ อาจไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก หรือเปลี่ยนไปจากเดิมเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของชุมชน ซึ่งจะเป็นทางนำไปสู่ความสำเร็จในการพัฒนาชุมชน
          - จากขั้นตอนการวางแผนกายภาพที่กล่าวมาข้างต้น งานวางแผนมิใช่งานที่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ในเวลาหนึ่ง หากแต่เป็นงานที่เป็นวงจร (Planning as a cyclic process)

๒.๔. การวางผังบริเวณ (Site Planning)
          - เป็นการวางแผนกายภาพที่คาบเกี่ยวระหว่างการวางผังชุมชนและการออกแบบทางด้านสถาปัตยกรรม ซึ่งขั้นตอนต่อจากการวางผังบริเวณคืองานของสถาปนิกและการก่อสร้าง
          - เป็นศาสตร์และศิลป์ของการจัดวาง(Arrangement) องค์ประกอบต่างๆลงบนพื้นที่ งานผังบริเวณอาจเป็นงานภายในพื้นที่เล็ก เช่น บริเวณที่ประกอบด้วยบ้านเดี่ยวอยู่ห้าหกหลัง หรือกว้างขวางใหญ่โตขนาดเป็นงานวางผังเมืองทั้งเมือง
          -  เป็นวิชาการแขนงที่เกี่ยวข้องอยู่ในขอบข่ายของวิชาการวางผังเมือง สถาปัตยกรรมและภูมิสถาปัตย-กรรมรวมกัน
          - เป็นการออกแบบในเชิงสามมิติ อันเป็นผลมาจากการจัดวางอาคารและความสัมพันธ์ของกิจกรรมต่างๆ ผลอันเกิดจากการจัดวางนั้นจะแลเห็นความแตกต่างๆระหว่าง สัดส่วน(Proportion) ปริมาตร(Volume) อัตราความหนาแน่น(Density) รูปร่าง(Shape) พื้นผิว(Grain) รูปแบบ(Pattern) และการเชื่อมโยง(Linkage) ของพื้นที่บริเวณนั้น





แนวความคิดเศรษฐกิจพอเพียง และเศรษฐกิจชุมชน
การออกแบบแนวความคิด(Conceptual Design)

๓. แนวทางการพัฒนาชุมชน /ชนบท
          ๓.๑ เศรษฐกิจพอเพียง ทฤษฎีใหม่
๓.๑.๑. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับ เศรษฐกิจพอเพียง เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ ซึ่งที่จริงแล้วพระองค์ทรงมีพระราชดำรัสทำนองนี้มาเป็นเวลานานก่อนหน้านี้ถึง ๒๗ ปีแล้ว แต่ไม่ค่อยมีใครได้ยิน ต่อเมื่อวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในปี พ.ศ.๒๕๔๐ จึงได้ยินกันมาก ซึ่งในช่วงก่อนหน้านั้นที่ผ่านมาในประเทศไทย มีความขัดแย้งต่อสู้กันในแนวความคิดการพัฒนาประเทศสองแนวทาง คือระหว่างแนวทางการพัฒนาตามเศรษฐศาสตร์กระแสหลักหรือแนวทางเศรษฐกิจทุนนิยม และแนวทางเศรษฐศาสตร์วัฒนธรรมหรือแนวทางเศรษฐกิจชุมชน
๓.๑.๒. ประเทศเนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก และสวิสเซอร์แลนด์ เป็นตัวอย่างของประเทศที่เคยยากลำบากและเสียความสมดุล ต่อมาเมื่อพัฒนาประเทศแบบเศรษฐกิจพอเพียงจึงกลับมาเข้มแข็ง ได้สมดุล และเติบโตไปได้ด้วยดี
        เศรษฐกิจพอเพียง หมายถึงพอเพียงในอย่างน้อย ๗ ประการด้วยกันคือ
-          พอเพียงสำหรับทุกคน ทุกครอบครัว ไม่ใช่เศรษฐกิจแบบทอดทิ้งกัน
-          จิตใจพอเพียง ทำให้รักและเอื้ออาทรคนอื่นได้ คนที่ไม่พอจะรักคนอื่นไม่เป็น และทำลายมาก
-          สิ่งแวดล้อมพอเพียง  การอนุรักษ์และเพิ่มพูนสิ่งแวดล้อม ทำให้ยังชีพและทำมาหากินได้ เช่น การทำการเกษตรผสมผสาน ซึ่งได้ทั้งอาหาร ได้ทั้งสิ่งแวดล้อม และได้ทั้งเงิน
-          ชุมชนเข้มแข็งพอเพียง  การรวมตัวกันเป็นชุมชนที่เข้มแข็งจะทำให้สามารถแก้ปัญหาต่างๆได้ เช่น ปัญหาสังคม ปัญหาความยากจน หรือปัญหาสิ่งแวดล้อม
-          ปัญญาพอเพียง  มีการเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติ และปรับตัวได้อย่างต่อเนื่อง
-          อยู่บนพื้นฐานวัฒนธรรมพอเพียง  วัฒนธรรมหมายถึง วิถีชีวิตของกลุ่มชนที่สัมพันธ์อยู่กับสิ่งแวดล้อมที่หลากหลาย ดังนั้น เศรษฐกิจจึงควรสัมพันธ์และเติบโตขึ้นจากพื้นฐานทางวัฒนธรรม จึงจะมั่นคง เช่น เศรษฐกิจของจังหวัดตราด ขณะนี้ไม่กระทบกระเทือนจากฟองสบู่แตก ไม่มีคนตกงาน เพราะอยู่บนพื้นฐานของสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมท้องถิ่นที่เอื้อต่ออาชีพการทำสวนผลไม้ ทำการประมง และการท่องเที่ยว
-          มีความมั่นคงพอเพียง  ไม่ใช่วูบวาบ เดี๋ยวจนเดี๋ยวรวยแบบกะทันหัน เดี๋ยวตกงานไม่มีกินไม่มีใช้ สังคมเกิดความเครียด สุขภาพจิตเสื่อมเสีย มีความรุนแรงแข่งขันแย่งชิงสูง เศรษฐกิจพอเพียงคือความมั่นคงจึงจะทำให้สังคม ชุมชน มีความเข้มแข็งทางจิตใจ
๓.๑.๓. ทฤษฎีใหม่ ๓ ขั้น ในเศรษฐกิจพอเพียง
          - ทฤษฎีใหม่ ขั้นที่หนึ่ง ให้เกษตรกรมีความพอเพียงโดยเลี้ยงตนเองได้ (Self sufficiency) ในระดับชีวิตที่ประหยัดก่อน ทั้งนี้ต้องมีความสามัคคี มีการผลิตข้าวบริโภคพอเพียงประจำปี (เช่น โดยถือว่าครอบครัวหนึ่ง ทำนา ๕ ไร่ จะมีข้าวพอกินตลอดปี) เกษตรกรจะต้องได้รับความช่วยเหลือจากภายนอก (ทางราชการ ทางมูลนิธิ และทางเอกชน) เนื่องจากราคาลงทุนค่อนข้างสูงในการจัดหาปัจจัยการผลิต เช่นแหล่งน้ำเพิ่มเติม ทำให้มีกิน ไม่เป็นหนี้ มีเงินออม
          - ทฤษฎีใหม่ ขั้นที่สอง เกษตรกรรวมพลังกันในรูปกลุ่มหรือสหกรณ์ ร่วมแรงใน
                   - การผลิต (พันธุ์พืช เตรียมดิน ชลประทาน ฯลฯ)
                   - การตลาด (ลานตากข้าว ยุ้ง เครื่องสีข้าว การจำหน่ายผลผลิต ฯลฯ)
                   - การเป็นอยู่ (อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ฯลฯ)
                   - สวัสดิการ (เงินกู้ สาธารณสุข ฯลฯ)
                   - การศึกษา (โรงเรียน ทุนการศึกษา ภูมิปัญญาท้องถิ่น ปราชญ์ชาวบ้าน ฯลฯ)
                   - สังคมและศาสนา
          - ทฤษฎีใหม่ ขั้นที่สาม รวมตัวกันเป็นเครือข่ายชุมชนนอกพื้นที่ เชื่อมโยง/ติดต่อ/ร่วมมือกับแหล่งเงิน แหล่งพลังงาน แหล่งธุรกิจภายนอก รวมทั้งการส่งออก
๓.๒. เศรษฐกิจชุมชน เศรษฐศาสตร์วัฒนธรรม กับ เศรษฐกิจทุนนิยม เศรษฐศาสตร์กระแสหลัก
๓.๒.๑. แนวความคิดในเรื่องเศรษฐศาสตร์ควรมีรากฐานบนวัฒนธรรม เพราะเป็นแนวความคิดที่สอด คล้องกับสังคมวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ความเป็นมาของคนไทย เป็นแนวความคิดของผู้นำชาวบ้านจำนวนมาก ผู้นำองค์กรพัฒนาเอกชน นักคิดและปัญญาชนในท้องถิ่น แต่รัฐบาลไทยในช่วงที่ผ่านมาไม่ได้พัฒนาประเทศในแนวทางนี้ จนถึงปัจจุบันก็ยังเป็นความขัดแย้งต่อสู้ทางความคิดกัน ระหว่างแนวทางการพัฒนาตามเศรษฐศาสตร์กระแสหลักหรือแนวทางเศรษฐกิจทุนนิยม และเศรษฐศาสตร์วัฒนธรรมหรือแนวทางเศรษฐกิจชุมชน 
แนวความคิดเศรษฐกิจชุมชน ได้รับการกำหนดในนโยบายสำคัญของประเทศ ในส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๘ (พ.ศ.๒๕๔๐ – ๒๕๔๔)  ซึ่งได้ระบุว่า “การพัฒนาในอนาคตจะเน้นที่การสร้างความเข้มแข็งของชุมชนในภูมิภาคและชนบท ให้สามารถพึ่งตนเองได้ โดยมีเศรษฐกิจชุมชนที่มั่นคงเป็นตัวนำ และเป็นฐานในการยกระดับรายได้ และคุณภาพชีวิตในอนาคต” ซึ่งกำหนดว่าจะส่งเสริมให้สถาบันครอบครัวและชุมชนเป็นสถาบันหลักของการพัฒนา
และจนมาถึงที่สำคัญที่สุด เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงปราศรัยในวันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ ทรงเสนอ “ทฤษฎีใหม่” ทรงเรียกว่า “เศรษฐกิจพอเพียง” (Self – Sufficient Economy)
๓.๒.๒. ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์กระแสหลักหรือแนวทางเศรษฐกิจทุนนิยม มีพื้นฐานอยู่กับแนวความคิดแบบปัจเจกชน มองความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจในสังคมทุกจุด เป็นการแข่งขันผลประโยชน์แบบตัวใครตัวมัน มีจุดมุ่งหมายเอากำไรสูงสุด มองความสัมพันธ์ของผู้คนในสังคมเป็นแบบสินค้าและการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ แทนความผูกพันทางด้านจิตใจ ซึ่งประเทศไทยหลักจากที่เริ่มแผนพัฒนาเศรษฐกิจหลัง พ.ศ. ๒๕๐๓ เป็นต้นมา ก็เป็นแบบที่รับแนวความคิดปัจเจกชน (Individualism) วัตถุนิยม (Materialism) และบริโภคนิยม (Consumerism) เต็มที่ และสุดโต่ง
๓.๒.๓.  แนวความคิดในการพัฒนาเศรษฐกิจทุนนิยมนี้ จึงเป็นการห่างออกไปจากชีวิตจริงของประชาชนส่วนใหญ่ที่เป็นสังคมเกษตรกรรม ชาวไทยถูกผลักดันให้รับระบบความคิดใหม่ ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อผลประโยชน์ทางวัตถุและกำไรสูงสุดแทนระบบน้ำใจและความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นปรัชญาของชาวไทยแต่ดั้งเดิม ทำให้ชาวไทยละเลยการส่งเสริมความเข้มแข็งของสถาบันเก่าแก่ยั่งยืนของตนเอง คือ สถาบันชุมชน ละเลยการพึ่งตนเองและการพึ่งพากันเองภายในชุมชนและระหว่างชุมชนให้เพียงพอเสียก่อน หันไปพึ่งระบบการตลาด มุ่งผลิตเพื่อเอากำไรแทนการผลิตเพื่อเลี้ยงตนเอง ทำให้ถูกเอารัดเอาเปรียบ  ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ ก่อให้เกิดรายได้ผลประโยชน์ที่แตกต่างกันอย่างมากระหว่างเมืองกับชนบท เกิดปัญหาสังคมด้านต่างๆ สิ่งแวดล้อมอากาศและน้ำเป็นพิษ ยาเสพติดระบาด เกิดโรคภัยต่างๆ ประเพณีศีลธรรมถูกกระทบกระเทือน ต้นทุนความเข้มแข็งทางวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมอันดีงามดั้งเดิมถูกทำลายเสื่อมค่าลง
๓.๒.๔.  เศรษฐศาสตร์วัฒนธรรม หมายถึง หลักเศรษฐกิจที่คำนึงถึงความเป็นมนุษย์ ผู้คน ประวัติศาสตร์ สังคม สภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่น นายแพทย์ประเวศ วะสี เป็นคนแรกที่ใช้คำว่า “เศรษฐศาสตร์วัฒนธรรม” ท่านอธิบายว่า เศรษฐศาสตร์วัฒนธรรมเป็นเศรษฐกิจที่อยู่บนพื้นฐานความเข้มแข็งของเราเอง ท่านเรียกอีกชื่อว่า “เศรษฐกิจพื้นฐาน” หรือ “เศรษฐกิจแห่งการพึ่งตนเอง” ซึ่งท่านอธิบายไว้ว่า
“การพึ่งตนเองเป็นหลักในทางพุทธศาสนา หมายถึง ความเข้มแข็ง ความยั่งยืน ความเป็นอิสระ การมีภูมิคุ้มกัน เศรษฐกิจกระแสหลักควรเป็นเศรษฐกิจแห่งการพึ่งตนเอง การพึ่งตนเองต้องคำนึงถึงพื้นฐานของตนเอง พื้นฐานของสังคมวัฒนธรรม วัฒนธรรมของประเทศใดก็เป็นจุดแข็งของประเทศนั้น วัฒนธรรมเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ เศรษฐกิจวัฒนธรรมจึงเป็นเศรษฐกิจที่อยู่บนพื้นฐานความมั่นคงของตนเอง ............ สัมพันธ์อยู่กับครอบครัว ชุมชน วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมพร้อมกันไป เป็นเศรษฐกิจที่ไม่ทอดทิ้งฉีกขาดจากกันไป แต่เป็นเศรษฐกิจบูรณาการที่เชื่อมโยงชีวิตจิตใจ สังคมและสิ่งแวดล้อม หรืออีกนัยหนึ่งเป็นเศรษฐกิจที่แท้ ........ เชื่อมโยงชีวิตจิตใจ สังคม และสิ่งแวดล้อม อย่างได้ดุลยภาพ ......... เป็นเศรษฐกิจดุลยภาพ หรือเศรษฐกิจศีลธรรมหรือเศรษฐกิจพอเพียงที่พระเจ้าอยู่หัวตรัสถึง เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๐” (จากหนังสือ “แนวความคิดเศรษฐกิจชุมชน ข้อเสนอทางทฤษฎีในบริบทต่างสังคม”, ฉัตรทิพย์ นาภสุภา, พิมพ์ครั้งที่ ๒, หน้าที่ ๕๑-๕๒)
๓.๒.๕ เศรษฐกิจชุมชนหรือเศรษฐศาสตร์วัฒนธรรม เป็นเศรษฐกิจในแนวราบ ต่างจากระบบทุนนิยมซึ่งเป็นแนวตั้ง สังคมไทยมีลักษณะพิเศษ มีสถาบันหลักคือชุมชนท้องถิ่น ที่ประกอบด้วยวัฒนธรรมแห่งชุมชน คือวัฒนธรรมแห่งการพึ่งพาอาศัย ผูกพันช่วยเหลือกัน โดยที่ทุกคนคำนึงถึงและยอมรับประโยชน์ของส่วนรวมเป็นสำคัญ จึงมีความเข้มแข็งโดยธรรมชาติ
การพัฒนาประเทศไปในแนวทางเศรษฐกิจชุมชนนี้ คือการมุ่งส่งเสริมความเข้มแข็งของสถาบันชุมชนหมู่บ้าน เป็นหัวใจของวิธีการและกลไกการพัฒนา รวมทั้งสร้างเครือข่ายสถาบันชุมชน ขยายหน้าที่ไปสู่การแปรรูปผลผลิตเกษตรกรรม การค้าและกิจกรรมรากฐานของท้องถิ่น เป็น “สหกรณ์” โยงชุมชนหมู่บ้านและเครือข่ายเข้ากับธุรกิจและกิจกรรมในเมือง โดยทำให้ชุมชนหมู่บ้านพึ่งตนเองให้ได้ระดับหนึ่ง หลายครอบครัว หลายหมู่บ้านได้ใช้วิธีผลิตเพื่อจุดหมายให้เลี้ยงตัวเองให้ได้ก่อน แล้วจึงค่อยคิดขายเป็นขั้นตอนต่อไป
การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนหมู่บ้าน เป็นความจำเป็นในทรัพยากรที่มีอยู่จำกัด หน่วยสังคมขนาดเล็กนั้น สมาชิกจะยังมีเสรีภาพ ผู้นำกับสมาชิกไม่ห่างกัน สมาชิกต่างมาร่วมกิจกรรมกันด้วยความสมัครใจ ทำให้เกิดความมั่นคง มีสภาวะการแลกเปลี่ยนในตลาดเป็นไปโดยยุติธรรม ไม่กลายเป็นระบบผูกขาด เมื่อขยายเลยจากเขตหมู่บ้านออกไป ชุมชนควรรวมกันเป็นเครือข่าย ตามเขตวัฒนธรรมหรือภูมิศาสตร์ เพื่อเข้าทำงานแทนระบบทุนนิยมจากภายนอกที่เข้ามาควบคุมระบบสินเชื่อ ระบบชลประทาน ระบบการขนส่ง และสาธารณูปโภคอื่นๆ ระบบการค้า ระบบการแปรรูปผลผลิต หรือแม้แต่ระบบการผลิต เครือข่ายชุมชนควรรวมตัวกันจัดตั้งสหกรณ์และองค์กรปกครองท้องถิ่นเพื่อเข้าทำหน้าที่เหล่านี้แทนนายทุนและในบางกรณีก็เข้าทำกิจการที่เคยทำโดยรัฐด้วยเป้าหมายคือความพอเพียงและความรุ่งเรืองของเขตท้องถิ่น
ในท้ายสุดของการพัฒนาการของเศรษฐกิจวัฒนธรรมไทย คือ การประกอบประเทศชาติลักษณะใหม่ ที่ใช้วัฒนธรรมชุมชนร้อยรัดระบบเศรษฐกิจชุมนและระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเข้าด้วยกัน ให้เกิดบูรณาการในสังคมไทยและประชาสังคม (Civil society) ” (จากหนังสือ “แนวความคิดเศรษฐกิจชุมชน ข้อเสนอทางทฤษฎีในบริบทต่างสังคม”, ฉัตรทิพย์ นาภสุภา, พิมพ์ครั้งที่ ๒, หน้าที่ ๕๗-๖๑)

          ๓.๓. แนวความคิดการพัฒนาแบบยั่งยืน ความเป็นประชาสังคม (Civil Society)
          ๓.๓.๑. การพัฒนาแบบยั่งยืน จะต้องคำนึงถึงหลัก ๓ ประการ สอดประสานซึ่งกันและกัน ไม่พัฒนาเฉพาะเรื่องหนึ่งเรื่องใด ได้แก่
                   - ความยั่งยืนของเศรษฐกิจ
                   - ความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม
                   - ความยั่งยืนของสังคม
          ๓.๓.๒. การพัฒนาชนบทมีหลายองค์ประกอบ แต่องค์ประกอบที่เป็นหัวใจของความยั่งยืนของสังคมชนบทมี ๓ ประการ คือ
                   - องค์กรชุมชน หมายถึง องค์กรที่ชาวบ้านก่อตั้งขึ้นมาเอง (ไม่ใช่องค์กรที่ทางราชการไปจัดตั้งให้) มีการบริหารงานอย่างต่อเนื่อง สามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สามารถแก้ปัญหาของตนเองได้ดีขึ้น และพัฒนาองค์กรชุมชนเป็นนิติบุคคล
                   - ความรู้ หมายถึง ความรู้เกี่ยวกับชุมชนชนบท เช่น ประวัติศาสตร์ พืชพันธุ์
                   - กระบวนการเรียนรู้ของประชาชน หมายถึง กระบวนการศึกษา ได้แก่
                             - การวิเคราะห์ปัญหา
                             - การวินิจฉัยปัญหา
                             - การวิเคราะห์ทางเลือก
                             - การตัดสินใจทางเลือกที่ถูกต้อง
                             เป็นกระบวนการที่ชาวบ้านรวมตัวกันเป็นองค์กร ทำการวิเคราะห์แก้ไขปัญหาของตนเอง ทำให้สามารถปรับตัวได้อย่างต่อเนื่องต่อความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดตามมา เป็นการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
                             การมีองค์กรชุมชน มีความรู้  จะช่วยให้ กระบวนการเรียนรู้ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
          ๓.๓.๓. ประชาสังคม (Civil Society) หมายถึง ประชาชนรวมกลุ่มกันในรูปต่างๆ ไม่ว่าจะเรียกกลุ่ม ชมรม สมาคม มูลนิธิ สหกรณ์ ชุมชน ประชาคม หรือชื่ออื่นใด ซึ่งเป็นไปเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ จิตใจ สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม เรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือหลายเรื่องพร้อมกันไป 
โดยที่ประชาชนรวมกลุ่มกัน ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ ช่วยกันตัดสินใจ มีการเรียนรู้ มีการจัดการ กลุ่มเหล่านี้ก็จะเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ สามารถสร้างเศรษฐกิจในรูปแบบต่างๆได้ เช่น เกษตรผสมผสาน แปรรูปผลผลิตการเกษตร หัตถกรรม สมุนไพร ฯลฯ ตั้งกองทุนหมู่บ้าน รวมตัวกันทำธุรกิจต่างๆ เช่น ปั๊มน้ำมัน ร้านขายอาหารปลอดสารพิษ จัดการท่องเที่ยวชุมชน ฯลฯ
          ๓.๓.๔. แนวคิดหลักของการพัฒนาเพื่อความร่มเย็นเป็นสุข คือการพัฒนาอย่างบูรณาการและฐานรากของสังคมแข็งแรง โดยการเอาพื้นที่เป็นตัวตั้ง เอาชุมชนท้องถิ่นเป็นฐานล่างของสังคม
                   รากฐานของความร่มเย็นเป็นสุขคือ สัมมาอาชีพเต็มพื้นที่ สัมมาอาชีพ หมายถึง อาชีพที่ไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่เบียดเบียนสิ่งแวดล้อม และมีรายจ่ายน้อยกว่ารายได้
                   การจัดสรรที่ดินให้เกษตรกรมีที่ทำกินนั้น ต้องทำเพื่อการบริโภคเองเสียก่อน เหลือแล้วจึงขาย การจัดสรรที่ดินให้ทำการเกษตรเชิงเดี่ยว จะไม่มีวันที่จะพอกิน การจัดสรรที่ดินจะต้องทำไปพร้อมกับปรับวิถีการผลิตโดยเริ่มต้นจากเกษตรพอเพียง อันเป็นเศรษฐกิจพึ่งตนเอง หรือเศรษฐกิจพอเพียง ก่อนที่จะพัฒนาขยายตนเป็นเศรษฐกิจชุมชน รวมตัวกันเป็นเครือข่าย
การจัดสรรที่ทำกินไม่จำเป็นต้องให้สิทธิการเป็นเจ้าของ แต่เป็นสิทธิ์ในการทำกิน โดยที่ดินยังเป็นของรัฐหรือของชุมชนก็ได้ แต่ทำสัญญาให้เช่าระยะยาวราคาถูก โดยมีการสัญญากันว่าจะต้องทำการเกษตรและเศรษฐกิจพอเพียงของชุมชน เช่น การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม สหกรณ์นิคมการเกษตร    ฯลฯ
          ๓.๓.๕. ฐานของสังคมที่พอเพียง เข้มแข็ง และร่มเย็นเป็นสุข ประกอบด้วย
                   - มีเศรษฐกิจพอเพียง
                   - มีสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติพอเพียง
                   - มีพลังงานพอเพียง
                   - มีความปลอดภัยพอเพียง
                   - มีสุขภาพพอเพียง
                   - มีสังคมเข้มแข็งพอเพียง
                   - มีจิตใจพอเพียง
                   - มีการเรียนรู้และการจัดการพอเพียง
                   วิธีการคือส่งเสริมการรวมตัวร่วมคิดร่วมทำ ได้แก่
                             - ร่วมคิด คือ การที่ชาวบ้านรวมตัวกันคิดแก้ปัญหาของตนเอง รวมถึงการที่ชาวบ้านรวมตัวกันทำวิจัยเรื่องของชุมชนเอง
                             - ร่วมทำ คือ การที่ชาวบ้านรวมตัวกันทำ นำความคิดมาปฏิบัติ รวมถึงการที่ชาวบ้านรวมตัวกันทำแผนแม่บทชุมชน และขับเคลื่อนการพัฒนาตามแผนแม่บทชุมชนที่ตนร่วมกันทำขึ้น
          ๓.๓.๖. เทศบาล และ อบจ. (องค์การบริหารส่วนจังหวัด) เป็นองค์การปกครองท้องถิ่นเช่นเดียวกับ อบต.(องค์การบริหารส่วนตำบล) มีความเป็นอิสระและเข้มแข็งของตนเอง มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจพอเพียงในเมือง ซึ่งต้องเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจพอเพียงระดับชุมชน จะต้องไม่เป็นเครื่องมือ หรือตัวแทนของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ที่เข้าไปทำลายความพอเพียงและความสมดุลของเศรษฐกิจชุมชน
                   การเชื่อมโยงเศรษฐกิจในเมืองกับเศรษฐกิจชุมชน โดยส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชน ทำการตลาดให้สินค้าชุมชนเชื่อมโยงผู้บริโภคในเมืองกับผู้ผลิตในชนบทให้เกื้อกูลกัน ทุกองค์การปกครองท้องถิ่นต้องพยายามดูแล ส่งเสริม ให้ประชาชนมีสัมมาอาชีพเต็มพื้นที่ ดูแลความสมดุลของเมืองและชุมชนทั้งทางเศรษฐกิจ จิตใจ สังคม สิ่งแวดล้อม พลังงาน และสุขภาพ ส่งเสริมประชาสังคม ให้มีบทบาทในการสร้างวิสัยทัศน์
          ๓.๓.๗. เมื่อชุมชนผลิตได้มากกว่าการพอเพียงพอกิน มีการรวมตัวเป็นเครือข่าย ภาคธุรกิจจะเข้ามารองรับส่งเสริมและเชื่อมต่อกันได้ เนื่องจากภาคธุรกิจมีความสามารถในการจัดการสูงกว่าภาคอื่นๆ การจัดการมีความจำเป็นต่อการสร้างวิถีแห่งความพอเพียง ซึ่งชุมชนขาดความชำนาญ จะทำให้เศรษฐกิจชุมชนกับเศรษฐกิจหมภาคเชื่อมต่อกันอย่างเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
เมื่อเศรษฐกิจมหภาคเชื่อมต่อกับฐานเศรษฐกิจชุมชน จะทำให้เกิดความมั่นคงมากกว่าการพึ่งพิงตลาดต่างประเทศเพียงอย่างเดียว ภาคธุรกิจมีความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility – CSR)  ภาคธุรกิจควรส่งเสริมให้ชุมชนแข็งแรงโดยไม่ใช่การเอาเงินไปให้ แต่โดยไปเป็นภาคเรียนรู้ร่วมกับชุมชน ส่งเสริมการรวมตัวร่วมคิดร่วมทำของชุมชน การทำแผนแม่บทชุมชน การขับเคลื่อนการพัฒนา (จากหนังสือ “เศรษฐกิจพอเพียงและประชาสังคม – แนวทางพลิกฟื้นเศรษฐกิจสังคม”, ประเวศ วะสี, ฉบับแก้ไขปรับปรุงพิมพ์ครั้งที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๐)

๒.๖. แนวทางการวางผังชุมชนในเขตปฏิรูปที่ดิน
                    ๒.๕.๑. การจัดประเภทชุมชน ออกเป็น ๒ ประเภท และ จัดระดับการพัฒนาของชุมชน ออกเป็น ๓ ระดับ ได้แก่
                   ก. ประเภทของชุมชน
                             - ประเภทชุมชนจัดตั้งใหม่ คือ ชุมชนที่จะดำเนินการจัดที่ดิน อพยพจากถิ่นฐานเดิมมาตั้งถิ่นฐานใหม่ในพื้นที่ดำเนินการ
                   - ประเภทชุมชนเดิม คือ ชุมชนที่มีการตั้งถิ่นฐานเดิมที่มีลักษณะมั่นคงถาวรในพื้นที่ดำเนินการ
                   ระดับการพัฒนาของชุมชน
-          ระดับแรก  ชุมชนที่ขาดแคลนสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานในการอยู่อาศัย ประชากรส่วนใหญ่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์
-          ระดับกลาง  ชุมชนที่มีสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานในการอยู่อาศัยพอเพียง พร้อมที่จะรองรับการวางแผนพัฒนาสาธารณูปโภค สาธารณูปการ ในอนาคต ประชากรส่วนใหญ่มีรายได้มั่นคง ไม่ต่ำกว่าเกณฑ์
-          ระดับสูง     ชุมชนที่การพัฒนาในหลายด้านแล้ว ประชากรส่วนใหญ่มีรายได้สูงกว่าเกณฑ์ มีกิจกรรมการใช้พื้นที่หลากหลายด้านมีปัญหาอันเกิดจากการอยู่อาศัยและสภาพแวดล้อมขึ้น สมควรได้รับการควบคุมการใช้ที่ดิน และวางแผนพัฒนาต่อเนื่องในอนาคต
๒.๕.๒   สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) จัดทำฐานข้อมูลการวางแผนด้านกายภาพในเขตปฏิรูปที่ดิน และทำการจำแนกประเภทและระดับการพัฒนาของชุมชนในเขตปฏิรูปที่ดินในแต่ละพื้นที่
๒.๕.๓.  สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) จะต้องกำหนดนโยบาย/ทิศทาง/เป้าหมายแนวความคิด ในการพัฒนาไปในแนวทางเศรษฐกิจชุมชน ที่มุ่งสร้างเสริมความเข้มแข็งของสถาบันชุมชนหมู่บ้าน รวมทั้งการสร้างเครือข่ายสถาบันชุมชน จนไปสู่รูปแบบสหกรณ์และองค์กรบริหารท้องถิ่น
๒.๕.๔.  กำหนดบทบาทและหน้าที่ของหน่วยงานที่ดำเนินการวางผังชุมชน โดย
          - สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ดำเนินการวางผังชุมชน ทั้ง ๒ ประเภท ในระดับการพัฒนาของชุมชน ระดับแรก และระดับกลาง
          - กรมโยธาธิการและผังเมือง ดำเนินการในผังพัฒนาระดับตำบล และในพื้นที่เฉพาะที่มีผลกระ-ทบต่อสิ่งแวดล้อมขนาดใหญ่ขึ้นไป
๒.๕.๕. สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารภายในองค์กร เพื่อกำหนดบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานดำเนินการที่เกี่ยวข้อง และจัดทำยุทธศาสตร์ตามแนวทาง/นโยบายในแผนงบประมาณ



 
การกำหนดนโยบายการใช้ที่ดิน
เพื่อนำไปสู่การวางผังด้านกายภาพ

๓. การพิจารณา “ที่ดิน” (Land Consideration) และนโยบายการใช้ที่ดิน
๓.๑ ความหมายของที่ดิน (Land)
          - ที่ดินในปัจจุบันเป็นทั้งทรัพยากรธรรมชาติ (Resource) และสินค้าที่ซื้อขายได้ (Commodity) หรือคือ ทุน (Capital)
          -  ที่ดินคือสิ่งที่ใช้ในการรองรับกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การสร้างที่พักอาศัย พาณิชยกรรมและเกษตร-กรรม
          - ที่ดิน เป็นสิ่งที่เกี่ยวพันกับการดำรงชีวิตประจำวันของมนุษย์ ในแง่ของกฎหมาย สิทธิเรื่องที่ดินจะไม่เป็นเรื่องเฉพาะพื้นที่ดินเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสิ่งที่อยู่บนที่ดินนั้น เช่น ต้นไม้ สิ่งที่มนุษย์ก่อสร้างขึ้น  รวมทั้งสิ่งที่อยู่เหนือและใต้พื้นผิวดินนั้นด้วย ที่ดินจึงเป็นสิ่งที่เกี่ยวพันต่อเนื่องกับความคิดทางเศรษฐศาสตร์ ในการใช้ทรัพยากรทั้งที่เป็นธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้น
          - ที่ดิน จึงมีความหมายทั้งในด้านรูปธรรม (Physical) และนามธรรม (Abstract) ซึ่งมีความสำคัญควบคู่กันไปในการกำหนดนโยบายการใช้ที่ดิน

๓.๒. การพิจารณาในเรื่องที่ดิน
          - แบ่งออกได้เป็น ๒ ลักษณะ คือ
                   - ลักษณะทางกายภาพของที่ดิน (Physical aspect of land)  คือ การมุ่งประเด็นไปที่รูปธรรมของที่ดิน สภาพแวดล้อมทางกายภาพและชีวภาพซึ่งก่อให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ (fertility) บนที่ดิน และสิ่งต่างๆในระบบนิเวศน์ การใช้ที่ดินและการเสียความสมดุลย์ในระบบนิเวศน์
                   - ลักษณะทางกฎหมายของที่ดิน (Legal aspect of land)  คือ  การมุ่งประเด็นไปในด้าน “กลุ่มสิทธิ” (bundle of rights) ซึ่งเป็นพื้นฐานของการก่อให้เกิดกรรมสิทธิ์ ทำให้เกิดอสังหาริมทรัพย์ (estates) และเป็นพื้นฐานสำคัญต่อไปของ ตลาดที่ดินและการซื้อขายที่ดิน

๓.๓. ลักษณะเฉพาะของ ที่ดิน (Land Characteristics)
          - ลักษณะเฉพาะของที่ดินซึ่งเป็นทั้งทรัพยากรและสินค้าที่ซื้อขายได้ ซึ่งแตกต่างไปจากสิ่งอื่นๆ มีดังนี้
                   - ที่ดินมีอยู่ทั่วไป (ubiquitous) สามารถพบเห็นได้ทุกแห่งตลอดเวลา
                   - ที่ดินแต่ละชิ้นมีความแตกต่างกันเฉพาะตัว (unique) ไม่มีที่ดินชิ้นหนึ่งชิ้นใดจะเหมือนกับที่ดินอีกชิ้นหนึ่งอย่างสิ้นเชิง ลักษณะทางกายภาพและชีวภาพอาจเหมือนกันได้บ้าง แต่ก็ยังจะเกิดความแตกต่างในเรื่องที่ตั้ง (locational differentiation)
                   - ที่ดินเป็นสิ่งคงที่ (permanent) ที่ดินอาจเปลี่ยนคุณลักษณะ (character) แต่จะไม่หมดสิ้นสูญหายไป
                   - ที่ดินเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและไม่มีคุณค่าแท้จริง (intrinsic value) ในตัวเอง คุณค่าหรือราคาของที่ดินแต่ละชิ้นจะเป็นเรื่องของ คุณค่าทางการใช้สอย (utility value) ซึ่งกำหนดขึ้นโดยมนุษย์หรือสังคมเท่านั้น
          - ลักษณะเฉพาะของที่ดินดังกล่าวข้างต้น จึงทำให้ที่ดินเป็นทรัพยากรที่สำคัญ ซึ่งเกิดการขาดแคลนได้ เป็นปัจจัยการผลิตอย่างหนึ่งของมนุษย์ ในขณะเดียวกันที่ดินก็เป็นทรัพย์สินที่ต่างจากทรัพย์สินอื่นๆ การเป็นเจ้าของที่ดิน การใช้ที่ดิน (land use) และการจัดการที่ดิน (land management) จึงต้องมีการพิจารณาในระดับชาติและวางนโยบายระดับชาติ และตลอดจนลงไปถึงระดับท้องถิ่น
          - ที่ดิน มีความสำคัญอย่างยิ่งในฐานะเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ การเป็นเจ้า ของครอบครองที่ดินของแต่ละบุคคลเป็นเครื่องมือซึ่งจะนำไปสู่ความมั่งคั่ง แต่อาจสร้างความไม่เป็นธรรมในสังคมขึ้นได้ การจัดที่ดินที่ไม่มีการวางนโยบายอย่างรอบคอบ อาจเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการวางแผนการใช้ที่ดิน ตลอดจนโครงการพัฒนาต่างๆ ความสำเร็จในการวางผังชุมชนจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าที่ดินนั้นมิได้ใช้ให้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของสังคมเป็นส่วนรวม โดยเฉพาะเรื่องการกำหนดที่ตั้งของกิจกรรมซึ่งจะคงอยู่เป็นระยะเวลาอันยาวนานและก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชากรในชุมชนนั้น

๓.๔. การใช้ที่ดิน (Land Use)
          - ที่ดินเป็นทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด (scarce resource) และมีทางเลือกในการใช้หลายทาง ดังเช่นต่อไปนี้
                   - พื้นที่พักอาศัย (Residential land resource)
                   - พื้นที่เกษตร (Agricultural land resource)
                   - พื้นที่พาณิชยกรรม (Commercial land resource)
                   - พื้นที่นันทนาการ (Recreational resource)
                   - พื้นที่เหมืองแร่ (Mineral resource)
                   - พื้นที่การคมนาคม (Transportation land resource)
                   - พื้นที่บริการ (Service land)
                   - และพื้นที่ว่างไม่ใช้ประโยชน์ (Barren and waste land resource)
          - การใช้ที่ดินประเภทต่างๆดังกล่าวข้างต้นนี้ อาจสรุปได้เป็น ๒ ประเภทใหญ่ คือ
                   - การใช้ที่ดินชนบท (Rural land use)
                   - การใช้ที่ดินเมือง (Urban land use)

๓.๕. การพิจารณาเศรษฐศาสตร์การใช้ที่ดิน (Economics of land use)
          - การพิจารณาที่ดินทั้งในด้านกายภาพและกฎหมาย ในทางเศรษฐศาสตร์มีแนวทางพิจารณาได้ ดังนี้
                   - การพิจารณาจากด้านอุปทาน (supply side)  เป็นการพิจารณาในกรอบของปริมาณและคุณภาพของทรัพยากรที่ดินของมนุษย์ซึ่งเป็นไปได้หรือทำให้เป็นไปได้ต่อการใช้ประโยชน์ของมนุษย์
                   -  การพิจารณาจากด้านอุปสงค์ (demand side)  เป็นการพิจารณาที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเพิ่มความต้องที่ดินของมนุษย์และความสามารถในการตอบสนองความต้องการนั้น
          - ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการจัดหาที่ดินเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้นี้ นอกเหนือไปจากลักษณะทางกายภาพ (physical characteristics) แล้ว ยังมีปัจจัยอื่นที่มีอิทธิพลต่อการจัดหาที่ดินอีก ได้แก่
                   - ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ (economic factors)  ได้แก่ อุปสงค์ (demand) ราคาที่ดิน (price) การลงทุน (cost) การแข่งขันระหว่างประเภทการใช้ที่ดินและการแข่งขันระหว่างผู้ใช้ที่ดิน (การตอบสนองความต้องการที่ดินของผู้ใช้ที่ดินจะขึ้นอยู่กับความเต็มใจ และความสามารถในการจ่ายของผู้ซื้อหรือผู้ใช้ที่ดินนั้น)
                   - ปัจจัยทางด้านสถาบัน (institutional factors) )  อาจแบ่งออกได้เป็นปัจจัยทางด้านกฎหมาย (law) รัฐบาล (government) ความคิดเห็นของประชาชนทั่วไป (public opinion) และที่สำคัญที่สุดคือแนวความคิดหรือค่านิยมของสังคมเกี่ยวกับทรัพย์สิน (property rights) ซึ่งจะมีอิทธิพลต่อไป ถึงขบวนการได้มาซึ่งที่ดินในด้านการเป็นเจ้าของ การให้เช่า มรดกตกทอด และการเปลี่ยนสิทธิจากบุคคลหนึ่งไปอีกบุคคลหนึ่ง จัดเป็นผลต่อโดยตรงต่อระบบเศรษฐศาสตร์ที่ดิน
                   - ปัจจัยทางด้านเทคโนโลยี (technological factors)  จะมีผลทั้งด้านอุปทาน (supply) และด้านอุปสงค์ (demand) ของที่ดิน การตีค่าหรือราคาที่ดินจะขึ้นอยู่กับศักยภาพในการผลิตบนที่ดินมากกว่าเป็นเรื่องของที่ดินโดยตรง เทคโนโลยีในการเพิ่มการผลิตสามารถทำให้เกิดความต้องการในที่ดินเพิ่มขึ้น และขณะเดียวกันสามารถเพิ่มการจัดหาทรัพยากรที่ดินใหม่ๆอีกด้วย
          - ที่ดินเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งของมนุษย์ การมีสิทธิ์ได้ใช้ที่ดินจึงเป็นการตอบสนองความต้องการพื้นฐานในการยังชีพของประชากรในสังคม แต่ที่ดินเป็นทรัพยากรจำกัด จึงต้องมีการจัดสรรการใช้ที่ดินซึ่งจะเป็นไปได้เพียงใดนั้นย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยทางด้านกายภาพ เศรษฐกิจและสังคม
          - การขาดแคลนที่ดินนั้นไม่มีอย่างแท้จริง การขาดแคลนที่ดินส่วนใหญ่เป็นเรื่องการขาดกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนในสังคม ขณะที่การเป็นเจ้าของที่ดินเป็นที่มาของความมั่นคงในทางเศรษฐกิจ แต่การเป็นเจ้าของที่ดิน ไม่ใช่เป็นเรื่องทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว เพราะอาจผูกพันกับเงื่อนไขทางสังคมในเรื่องการรักหวงแหนในที่ดิน ในชุมชน ในท้องถิ่น

๓.๖. การกำหนดนโยบายการใช้ที่ดิน
          - นโยบายการใช้ที่ดินมีวัตถุประสงค์ที่จะอาชนะการขาดแคลนที่ดิน (Scarcity of land) เพื่อการใช้ในบางประเภท การกำหนดนโยบายจึงมีความสัมพันธ์กับสิทธิการเป็นเจ้าของ (ownership rights) ของเอกชนและภาครัฐบาล แบ่งได้เป็น ๒ ประการดังนี้
                   - นโยบายจำกัดสิทธิส่วนบุคคลโดยการเข้าแทนที่ของรัฐ
                   - นโยบายที่เอื้อสิทธิส่วนบุคคล แต่ควบคุมการใช้ที่ดินด้วยอำนาจบางประการของรัฐ
          - รัฐสามารถกำหนดนโยบายทั้ง ๒ ด้านในการควบคุมของรัฐ โดยอำนาจต่อไปนี้
                   - Police power  เป็นอำนาจของรัฐที่จะจำกัดสิทธิส่วนบุคคลของผู้เป็นเจ้าของที่ดินในการใช้ที่ดินโดยปราศจากการชดเชย เพื่อให้คงไว้ซึ่งการใช้ที่ดินเดิมหรือเกิดการใช้ที่ดินประเภทอื่นที่จะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะชน
                   - Eminent Domain and Compulsory Acquisition)  เป็นอำนาจรัฐในการจำกัดสิทธิส่วนบุคคลของผู้เป็นเจ้าของที่ดินโดยมีการชดเชยบ้าง ซึ่งอาจเป็นการชดเชยด้วยเงินหรือโดยการเปลี่ยนสิทธิการพัฒนา (Transfer of development rights)
                    - Compulsory Sale  เป็นอำนาจของรัฐที่จะมีสิทธิพิเศษในการซื้อที่ดินจากเจ้าของที่ดินในราคาที่รับกำหนดขึ้น
                   - Restrictive Covenant  เป็นข้อตกลงระหว่างรัฐและเอกชนถึงประเภทการใช้ที่ดินและการพัฒนาที่ดินที่สามารถทำหรือไม่สามารถทำบนที่ดินนั้น
                   - Land Use Regulations ได้แก่ข้อกำหนดการใช้ที่ดินโดยการแบ่งโซน (zoning) ในการวางผังเมือง โดยมีกฎหมายผังเมืองรองรับ
          - ในแต่ละประเทศจะมีการกำหนดนโยบายการใช้ที่ดินให้เหมาะสมกับสภาพทางสังคมและเศรษฐกิจของตนเอง สิทธิในการใช้ควรเป็นของพลเมืองทุกคน ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่ก่อให้เกิดผลเสียหายต่อส่วนรวม
          - แผนภูมิ การกำหนดเป้าหมาย (Target Setting)



การกำหนดเป้าหมาย
Target Setting

         
                   


การวางผังชุมชน

๔. การศึกษาข้อมูลเพื่อการวางผังด้านกายภาพ
๔.๑. วัตถุประสงค์ของการศึกษาข้อมูล
          - การศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่โครงการ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เพื่อให้ทราบถึงบทบาทของพื้นที่นั้น ปัญหาที่เกิดขึ้น และแนวโน้มในอนาคต ผลการวิเคราะห์จะเป็นแนวทางในการวางผังและประเมินผลกระทบจากการวางผัง การศึกษาข้อมูลเป็นขั้นตอนหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในขบวนการวางแผน หากข้อมูลที่ได้ไม่ถูกต้องโดยไม่มีระบบจัดเก็บและการวิเคราะห์ที่อย่างเหมาะสม การวางแผนที่ตามมาอาจไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร

๔.๒. บทบาทของชุมชน
          - ก่อนการเก็บรวบรวมข้อมูลบนพื้นที่ นักวางแผนกายภาพจะต้องมีความเข้าใจพื้นฐานในเรื่องบทบาทของพื้นที่ที่มีต่อชุมชน หรือนัยหนึ่งบทบาทของชุมชนบนพื้นที่โครงการนั่นเอง บทบาทของพื้นที่หรือของชุมชน (community) เกิดขึ้นจากกิจกรรมของประชากรบนพื้นที่นั้น หน้าที่ (function) ของพื้นที่ ได้แก่
                   - เป็นที่พักอาศัย (place of residence)
                   - เป็นแหล่งงาน (place of work)
                   - เป็นแหล่งบริการสิ่งจำเป็นในการดำเนินชีวิตประจำวัน (place of services for local necessities)
                   - เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ (place of recreation)
          - หน้าที่ ทั้ง ๔ ประการต้องการพื้นที่ (space, area, place) รองรับ
          - การที่คนจะเข้าถึงพื้นที่ทั้งหมดได้นั้น จะต้องมีตัวเชื่อมติดต่อคือระบบขนส่ง หรือสัญจร หรือคมนาคม (transportation) ซึ่งต้องการพื้นที่รองรับด้วย
          - หน้าที่ของพื้นที่ที่ทำให้เกิดการใช้ที่ดินของชุมชน ซึ่งแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ได้แก่
                   - พื้นที่ที่อยู่อาศัย (residential landuse)
                   - พื้นที่หัตถกรรม (manufacturing landuse)
                   - พื้นที่เพื่อการคมนาคมขนส่ง (Transport and Communication)
                   - พื้นที่พาณิชยกรรม (Commercial landuse)
                   - พื้นที่บริการ (Service)
                   - พื้นที่วัฒนธรรมและนันทนาการ (Cultural, entertainment and recreation landuse)
                   - พื้นที่เกษตรกร (Agricultural area)
                   - พื้นที่ว่างและพื้นที่ยังมิได้พัฒนา (Vacant land and undeveloped land)
          - บทบาทของชุมชนจะทำให้ประเภทและขนาดการใช้ที่ดินแตกต่างกันไป รวมทั้งแนวโน้มการเติบโตของชุมชนในอนาคต การจัดเก็บข้อมูลจึงต้องศึกษาเรื่องของการใช้ที่ดินเพื่อความเข้าใจชุมชนดีขึ้น

๔.๓. ประเภทข้อมูล
          - การสำรวจข้อมูลอาจแยกออกได้เป็น ๓ สาขา คือ
                   - ข้อมูลด้านกายภาพ แบ่งออกเป็นธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้น ที่เป็นธรรมชาติ ได้แก่ ลักษณะภูมิประเทศทั้งที่เป็นอุปสรรคในการพัฒนาและที่ช่วยสนับสนุนอำนวยประโยชน์ในการพัฒนา ที่เป็นอุปสรรคได้แก่สภาพภูมิประเทศในแหล่งที่เป็นที่สูงเกินไป หรือที่ลุ่มเกินไป สภาพที่เอื้อต่อการพัฒนา เช่น บริเวณที่ราบ บริเวณที่มีทัศนียภาพงดงาม ข้อมูลลักษณะกายภาพที่มนุษย์สร้างขึ้นได้แก่ เช่น บริเวณที่ราบ บริเวณที่มีทัศนียภาพงดงาม ข้อมูลลักษณะกายภาพที่มนุษย์สร้างขึ้นได้แก่ เรื่องของการใช้ที่ดิน การเข้าถึง สิ่งที่อำนวยความสะดวกแก่ชุมชน ซึ่งได้แก่ สาธารณูปโภค สาธารณูปการต่างๆ
                   - ข้อมูลด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ ฐานทางเศรษฐกิจของชุมชน อาชีพ รายรับรายจ่ายส่วนบุคคล งบประมาณจากรัฐบาล การลงทุน ราคาที่ดิน บรรยากาศทางเศรษฐกิจโดยทั่วไปของชุมชน
                   - ข้อมูลด้านสังคม  ได้แก่ สภาพความเป็นอยู่ของชุมชนนั้น เช่น จำนวนประชากร การเพิ่ม การอพยพโยกย้ายประชากร ขนบธรรมเนียมประเพณี ศาสนา การบริหารและการปกครอง ตลอดจนอิทธิพลในด้านสังคมและเศรษฐกิจของชุมชนอื่นรอบบริเวณพื้นที่โครงการ
          - ข้อมูล อาจแบ่งตามแหล่งของการจัดเก็บได้เป็น ๒ ประเภทคือ
                   - ข้อมูลปฐมภูมิ ได้แก่ ข้อมูลที่ผู้ศึกษาจัดเก็บโดยตรงจากงานสนาม เช่น ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจ (field survey) และข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์และออกแบบสอบถาม (interview และ  questionaere)
                   - ข้อมูลทุติยภูมิ ได้แก่ ข้อมูลที่สามารถจัดเก็บได้จากเอกสารต่างๆ เนื่องจากมีผู้ศึกษาและรวบรวมไว้แล้ว

๔.๔. แหล่งที่มา และการวิเคราะห์ข้อมูล
          - แหล่งที่มาของข้อมูล แบ่งเป็น
                   - เอกสารและรายงานต่างๆ
                   - แผนที่และภาพถ่ายทางอากาศ รวมทั้ง remote sensing ต่างๆ
                   - จาการสังเกต (observation) ในงานสนาม การสัมภาษณ์และการออกแบบสอบถาม
          - การวิเคราะห์ข้อมูลที่จัดเก็บมาได้ จะต้องนำมาวิเคราะห์ทางสถิติ การทาบซ้อน (overlay) และการประเมินเหตุผลต่างๆ ผลที่ได้สามารถนำเสนอในรูปของรายงาน ตาราง แผนที่ แผนภูมิ และแผนผัง เพื่อให้ทราบได้ถึงสภาพบนพื้นที่และแนวโน้มในอนาคต เพื่อกำหนดเป้าหมายในการวางแผนกายภาพต่อไป

          - แผนภูมิความสัมพันธ์เชื่อมโยงของข้อมูลและการวิเคราะห์

      

 
                                                                                                   

๔.๕ การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ (Feasibilty Study)
          - ความเป็นไปได้ของโครงการ แบ่งออกได้เป็น ๓ ด้าน ได้แก่
                   - ด้านการเงิน
                   - ด้านการเมือง
                   - ด้านการใช้ประโยชน์
          - ก่อนการตัดสินดำเนินโครงการต้องพิจารณา
                   - มีกิจกรรมใดในโครงการ
                   - กลุ่มคนใดที่เป็นเป้าหมายของโครงการ
                   - กิจกรรมหลัก กิจกรรมรอง
                   - งบประมาณของโครงการ
                   - ความเหมาะสมของทำเลที่ตั้ง
                   - ระยะเวลาการคืนทุน
                   - ฯลฯ




๕. ส่วนประกอบของผังเมือง หรือ ผังชุมชน
          - องค์ประกอบสำคัญของผังเมือง และผังชุมชน ที่จะต้องมี ๕ ประการ คือ
                   - มีลักษณะครอบคลุม (Comprehensive)  คือ ครอบคลุมพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ของชุมชนเมืองทั้งหมด ไม่ใช่เพียงบางส่วนและครอบคลุมการะพัฒนาทางกายภาพทุกๆเรื่อง
                   - มีลักษณะเป็นแนวนโยบายทั่วไป (General Policiy)  คือ แสดงแนวนโยบาย และข้อเสนอแนะ(Proposal) การปรับปรุงต่างๆ
                   - เป็นแผนระยะยาว (Long range)  คือ การคาดการณ์เลยสถานการณ์ปัจจุบันออกไปยังอนาคต ในระยะเวลา ( ๕ ปี – ๒๐ ปี) ข้างหน้า แสดงวิสัยทัศน์ของชุมชนที่จะเกิดขึ้น
                   - เป็นแผนกายภาพ (Physical)  คือ แสดงแนวทางการพัฒนาทางกายภาพของเมือง หรือชุมชน ที่สะท้อนความต้องการทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของชุมชนลงไปในพื้นที่
                   - เป็นเอกสารทางการ (Legal document)  คือเป็นเอกสารที่อ้างอิงทางด้านกฎหมายได้
          - ผังเมือง หรือ ผังชุมชน ต่างๆ ควรมีส่วนประกอบที่สำคัญ ๓ ส่วน ได้แก่
                   - การใช้ประโยชน์ที่ดิน (Land Use)
                   - เส้นทางสัญจร การคมนาคมขนส่ง (Circulation & Transportation)
                   - โครงสร้างพื้นฐานหรือบริการสาธารณะอื่นๆ (Infrastructure & Service)
                             - สาธารณูปโภค (Utilities)
                             - สาธารณูปการ (Facilities)
                             - การอยู่อาศัย (Housing)
                             - แหล่งทรัพยากรธรรมชาติ (Natural Resource)
          - สาระของเอกสาร Comprehensive Plan ที่จะเผยแพร่ให้ถึงมือประชาชน ควรจะเป็นเอกสารบรรจุในเล่มเดียว ประกอบด้วยคำอธิบาย แผนที่ แผนผัง รูปภาพ แผนภูมิประกอบ มีการออกแบบให้น่าดู แจกฟรี ควรประกอบด้วย
                   - สารบัญ และการเรียบเรียงเนื้อเรื่อง
                   - คำนำ (Introduction)
                   - ข้อมูลพื้นฐาน (Background Information)
                   - เรื่องย่อ (Summaries)
                   - โครงการพัฒนาด้านกายภาพ (Physical Development proposals)  แบ่งออกเป็น ๕ ส่วน
                             - ผังการใช้ที่ดิน (Land use planning)
                             - สาธารณูปการ ( Community Facilities) เช่น โรงเรียน วัด โรงพยาบาล ตลาดฯ
                             - สาธารณูปโภค (Utilities) เช่น ไฟฟ้า ประปา ระบบบำบัดและระบายน้ำเสีย ฯลฯ
                             - โครงสร้างพื้นฐานการสัญจร และขนส่ง (Circulation and Transportation)