หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2562

สถานภาพของเศรษฐกิจไทย - ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต

9. สถานภาพของเศรษฐกิจไทย


          ความจริง เศรษฐกิจของไทย, ทั้งในภาพรวมระดับชาติ และในระดับครัวเรือน ตลอดจนในแวดวงธุรกิจ ทั้งขนาดใหญ่และขนาดย่อม, เริ่มที่จะมีความสดใสตามควรแก่อัตภาพของประเทศที่ “กำลังพัฒนา” ในระหว่าง พ.ศ.2546-47 ภายหลังที่ได้เผชิญกับวิกฤติทางการเงินซึ่งตามมาด้วยวิกฤติเศรษฐกิจที่มีขอบเขตกว้างขวาง อย่างต่อเนื่องมาหลายปีนับตั้งแต่ พ.ศ.2540.
          การ “ฟื้นตัว” ของเศรษฐกิจดังกล่าวเป็นไปตามวัฏจักรของเศรษฐกิจ ซึ่งหมุนเวียนเปลี่ยนไป จากเฟื่องฟู ไปสู่ถดถอย จนกระทั่งตกต่ำ แล้วก็ฟื้นตัว, หากส่วนหนึ่งก็มาจากการกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจของนโยบายและมาตรการต่างๆของภาครัฐที่ได้รับการตอบสนองจากภาคเอกชนและครัวเรือน. จนกระทั่งเข้ามาสู่ พ.ศ.2548 เมื่อราคาน้ำมันและพลังงานทุกประเภท ได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากมายและโดยรวดเร็ว สาธารณชนจึงรู้สึกกันว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะกลับเข้าสู่วิกฤติอีกวาระหนึ่ง.
          นอกจากน้ำมันจะมีราคาแพงแล้ว ราคาสินค้าและบริการหลายประเภทก็แพงตามขึ้นไปด้วย ซึ่งทางราชการก็ดูเหมือนจะคาดคะเนว่าระดับราคาสินค้าและบริการที่นำมาคำนวณเป็น “ดัชนี-ค่าครองชีพ” มีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นไปอีกในอัตราปีละ 7-8 เปอร์เซนต์ ในอนาคตอันใกล้, ขณะที่ดุลการค้าและดุลการชำระเงินระหว่างประเทศก็ต้องเฝ้าระวังมิให้มีความเสียเปรียบรุนแรง. สำหรับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในภาพรวม ที่เรียกว่า “จี.ดี.พี.” แม้จะยังเป็นบวก แต่ก็ไม่เป็นตัวเลขที่น่าภูมิใจนัก.
          อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลทางการเมืองและเหตุผลทางจิตวิทยาสังคม, ทางราชการก็ได้พยายามให้กำลังใจและปลอบใจสาธารณชนว่า เศรษฐกิจไทยไม่มีปัญหา อัตราการเติบโตขยายตัวก็ยังพอใช้ได้, มูลค่าส่งออกก็สูงลิ่ว, ดุลการค้าและดุลการชำระเงินก็ไม่เสียเปรียบมากมาย ฯลฯ จะมีเรื่องกวนใจอยู่บ้างก็คือเรื่อง “ของแพง” ที่เรียกกันว่า “เงินเฟ้อ” และที่สำคัญก็คือ ขอให้ช่วยกันประหยัดการใช้พลังงานง นอกนั้นรัฐบาลจัดการได้ โดยมิให้ประชาชนต้องเดือดร้อน.
          “เศรษฐกิจ” เป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวคนเรามากที่สุด เพราะเกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่และการตอบสนองความต้องการที่ไม่รู้จักจบสิ้น ตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน และตั้งแต่เกิดจนตาย. ตราบใดที่คนเราต้องการดำรงและดำเนินชีวิต ก็จพต้องเผชิญกับ “ปัญหาเศรษฐกิจ” แทบทุกลมหายใจ. แม้กระนั้น เศรษฐกิจก็ยังคงเป็นปัญหาที่สับสน และนับวันก็จะมีความสับสนยิ่งขึ้น เพราะการเข้าถึงข้อมูลและข่าวสารโดยผ่านสื่อต่างๆที่เป็นเรื่องสลับซับซ้อนเกินไปกว่าจะเข้าใจได้โดยง่าย.
          เมื่อ 45 ปีมาแล้ว ขณะที่ประเทศไทยกำลังจะมี “แผนพัฒนาเศรษฐกิจ” ฉบับแรก, นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นคือ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ปรารภว่า “เศรษฐกิจเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสามัญสำนึกอยู่มาก คนที่ไม่ได้เล่าเรียนศึกษาเศรษฐศาสตร์มาเลย ก็อาจพูดเรื่องเศรษฐกิจได้มาก และความเข้าใจ(เอาเอง)ที่รู้ว่ามากอยู่แล้ว ทำให้เกิดความคิดต่อไปว่า ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยวิชาการ อาจจะคิดเอาเองได้...ความคิดเช่นนี้ไม่มีในตัวข้าพเจ้า”.
          ผมใคร่จะเสริมคำปรารภของท่านจอมพล สฤษดิ์ฯ ว่า แม้คนที่ได้เล่าเรียนศึกษาเศรษฐศาสตร์มามากบ้างน้อยบ้าง ก็อาจจะไม่มีความเข้าใจในเรื่องของเศรษฐกิจอย่างถูกต้องถ่องแท้ ทั้งนี้เพราะทั้ง “เศรษฐกิจ” และ “เศรษฐศาสตร์” ต้องการความรู้ ความคิดและการศึกษาค้นคว้าอย่างกว้างขวางและลึกซึ้งพอสมควร.
          มีผู้ตั้งคำถามในเรื่องของ “เศรษฐกิจ” (คือปรากฏการณ์) และ “เศรษฐศาสตร์” (คือคำอธิบายปรากฏการณ์) แก่ผมอยู่เนื่องๆซึ่งบางทีก็ตอบได้สั้นๆ แต่บางทีก็เป็นเรื่องยืดยาวที่จะต้องอรรถาธิบาย. จากคำถามเหล่านี้ ผมก็ตระหกนักว่าเรื่องของ เศรษฐกิจ” และ “เศรษฐศาสตร์”มีความสับสนสำหรับผู้คนโดยทั่วไป มากกว่าที่คิด.
          ขอให้ท่านลองพิจารณาข้อความต่อไปนี้ และถามตัวท่านเองว่าสับสนไหม.
          “ตัวเลขอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ (จี.ดี.พี.) ในตัวเองอาจจะมิได้เป็นตัวแทนของสถานภาพทางเศรษฐกิจของประเทศไทยโดยแท้จริง อีกทั้งก็ยังมิได้บ่งบอกสภาวะเศรษฐกิจที่มีความหมายและสาระสำคัญมากนัก”.
          “หนี้สินที่มิใช่ในการดำเนินธุรกิจโดยปกติ เกิดจากความยากจน, มิใช่ความยากจนเกิดจากการมีหนี้สิน”.
          “เรื่องของเศรษฐกิจนั้นเป็นธรรมชาติของสังคมมนุษย์ ซึ่งไม่มีผู้ใดหรือฝ่ายใดจะควบคุมได้โดยสมบูรณ์ ไมว่าจะเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยหรือรัฐบาลเผด็จการ และไม่ว่าจะอยู่ภายใต้ระบบเศรษฐกิจทุนนิยม หรือระบบเศรษฐกิจสังคมนิยม. สิ่งที่พอจะทำได้ก็คือการดูแลแก้ไขเพื่อผ่อนหนักเป็นเบา หรือเพื่อการป้องกันไว้ในกรณีที่ปัญหาไม่รุนแรง.  จริงอยู่ การดูแลที่ไม่รอบคอบและรัดกุมก็อาจทำให้สถานการณ์ทรุดลง แต่ถ้าหากเป็นการกระทำด้วยความตั้งใจดีและสุจริต ก็เป็นเพียงความบกพร่อง หรือ การรู้เท่าไม่ถึงการณ์, มิใช่อาชญากรรมแต่ประการใด”.
          “เนื่องจากในหลายกรณี เรื่องเศรษฐกิจมักจะเกี่ยวกับธุรกิจ หรือการค้าขาย, ซึ่งนำไปสู่ความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนว่าเศรษฐกิจของประเทศก็คือภาพรวมของธุรกิจ หรือการค้าการขายที่ดำเนินกันอยู่ภายในประเทศ”.
          “เศรษฐกิจของชาติคือองค์รวมของสังคม, การเมืองและธุรกิจ – ที่รองรับด้วยประวัติศาสตร์, วัฒนธรรม, วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตลอดจนทรัพยากร ซึ่งรวมถึงทรัพยากรมนุษย์”.
          “การบริหารธุรกิจแตกต่างไปจากการบริหารเศรษฐกิจเกือบจะโดยสิ้นเชิง เพราะความคุ้มไม่คุ้มในบริบทของธุรกิจและของเศรษฐกิจ ตั้งอยู่บนหลักการที่แตกต่างกัน. ขณะที่การบริหารธุรกิจจะมุ่งไปที่ผลกำไรจากการลงทุน, การบริหารเศรษฐกิจจะเน้นไปที่การกระจายประโยชน์อันเกิดจากการลงทุน, การบริหารเศรษฐกิจจะเน้นไปที่การกระจายประโยชน์อันเกิดจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม อันเป็นเสาหลักของความสุขสมบูรณ์, ความมั่นคงและสันติสุขในสังคม. สำหรับสิ่งที่เหมือนกันก็คือ การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพราะการบริหารทรัพยากรเป็นหัวใจทั้งของธุรกิจและเศรษฐกิจ”.
          “การที่สินค้าและบริการมีราคาสูงขึ้นอันเนื่องมาจากต้นทุนการผลิตได้เพิ่มสูงขึ้น (เช่นในกรณีน้ำมันมีราคาแพงขึ้นไป)นั้น ไม่จำเป็นจะต้องเป็นภาวะเงินเฟ้อ และดังนั้นจึงไม่อาจใช้นโยบายการปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นเป็นมาตรการแก้ไขปัญหาดังกล่าว”.
          เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างของประเด็นทางเศรษฐกิจที่จะต้องอาศัย “เศรษฐศาสตร์” ในการวิเคราะห์ ไ-ม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม.
          ในระหว่างครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ผมได้พยายามตั้งปัญหาและตอบปัญหาเศรษฐกิจ โดยอาศัยการวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์และศาสตร์อื่นๆที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของมนุษย์ในสังคม เป็นหนังสือประมาณ 20 เล่ม ซึ่งส่วนใหญ่อาจจะพอหาอ่านได้ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัยต่างๆ.
          บังเอิญในช่วงนี้มีหนังสือประเภทนี้ของผมที่เพิ่งจะพิมพ์ออกมาอยู่ 3 เล่ม ที่สามารถจะหาซื้อได้ตามศูนย์หนังสือของมหาวิทยาลัยใหญ่ๆ และที่สำนักพิมพ์ซึ่งเป็นผู้พิมพ์ คือ
(1)  “วิกฤน้ำมันราคาแพงกับเศรษฐกิจไทย” (สำนักพิมพ์สุขภาพใจ โทร.02-415-2621).
(2)  “สาระสำคัญของเศรษฐศาสตร์” (สำนักพิมพ์แสงดาว โทร. 02-953-4411).
(3)  “พจนานุกรมคำอธิบายศัพท์ ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์” (สำนักพิมพ์แสงดาว) ราคาเล่มละ 40 บาท, 120 บาท และ 140 บาท ตามลำดับ.
หนังสือเหล่านี้จะให้คำอธิบายเรื่องของ “เศรษฐกิจ” และ “เศรษฐศาสตร์” ค่อนข้างชัดเจนสำหรับสาธารณชนทั่วไป.


(จากหนังสือ "ไขปัญหาคาใจ - ความรู้ความเข้าใจในปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม" รวมบทความที่เขียนโดย ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต...จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์แสงดาว...ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ.2553.)

เศรษฐกิจพอเพียง - ดร. วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพ็ชร ราชบัณฑิต

2. เศรษฐกิจพอเพียง


          มีท่านผู้อ่านปรารภมาว่าท่านได้ยินได้ฟังคำว่า “เศรษฐกิจพอเพียง” มาหลายปีแล้ว มีการพูดถึงกันบ่อยมาก แม้กระทั่งรัฐบาลก็ให้ความสนับสนุนต่างๆต่อโครงการที่เกี่ยวกับ “เศรษฐกิจพอเพียง”. สำหรับในโทรทัศน์, พอกล่าวถึง “เศรษฐกิจพอเพียง” ก็มักจะนำภาพของ “ชาวบ้าน” ในชนบทที่ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นทำอะไรต่อมิอะไรเพื่อเป็นการส่งเสริมรายได้ในครอบครัว ให้พอเพียงแก่การดำรงชีพ.
          บางทีเรื่องของ “เศรษฐกิจพอเพียง” ก็ไปเกี่ยวข้องกับ “การเกษตรแผนใหม่” ในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่แนะนำให้ชาวบาทมีกิจกรรมหลายๆอย่างที่เกื้อกูลกัน เช่นเมื่อทำนาแล้ว ก็ควรจะเลี้ยงสัตว์และทำบ่อปลาไปพร้อมกันด้วย ขณะที่อาจจะเพาะปลูกไม้ผลและพืชผักบางชนิดสำหรับจำหน่ายเป็นรายได้อีกทางหนึ่ง.
          ท่านผู้อ่านใคร่ที่จะทราบว่า เศรษฐกิจพอเพียง” คือวิถีชีวิตเศรษฐกิจของชาวชนบทที่จะต้องผลิตให้พอเพียงแก่ความต้องการ โดยใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นกับบรรดา “วัตถุดิบ” ที่พึงจะหาได้ในละแวกนั้น ใช่หรือไม่, และขอให้ผมช่วยไขปัญหาที่”คาใจ”ในเรื่องดังกลาวนี้ใน สายรุ้ง” “ด้วย.
          ผมรู้สึกยินดีที่มีการถามไถ่ในเรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง” มาเพราะเชื่อว่ามีบุคคลจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่ค่อยจะกระจ่างในเรื่องดังกล่าว และในบาบงกรณีก็เกิดความับสนว่าสิ่งที่ตนมีความเข้าใจนั้นจะถูกต้องหรือไม่.
          เนื้องจาก “เศรษฐกิจพอเพียง” เป็น “ทฤษฎีและนโยบายเศรษฐกิจ” ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และวารสาร”สายรุ้ง”ฉบับนี้ก็เป็นฉบับที่ออกในเดือนธันวาคม ซึ่งวันที่ 5 ธันวาคม เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา, ดังนั้นจึงเป็นความมงคลที่จะได้นำเรื่องของ “เศรษฐกิจพอเพียง” มาเผยแผ่ให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้นในที่นี้.
          ในเบื้องแรกผมต้องการให้ท่านผู้อ่านได้ตระหนักว่าเป็นเวลานานพอมควคแล้วที่ “ระบบเศรษฐกิจทุนนิยม” ได้ครอบงำประเทศไทยเกือบเบ็ดเสร็จโดยเพิ่มความเข้มข้นขึ้นเป็นลำดับ. เศรษฐกิจในระบบดังกล่าวนี้ถือเอาความมั่งคั่งเป็นเป้าหมาย และส่งเสริมให้ผู้คนแข่งขันกันทำมาค้าขายโดยมุ่งให้ได้กำไรให้มากที่สุด ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเอาผลกำไรจากการประกอบการและความมั่งคั่งที่ตามมาเป็นปัจจัยชักจูงให้ผู้คนแข่งขันกัน. เศรษฐกิจแบบทุนนิยมดังกล่าวนี้ทำให้เกิดการเติบโตขยายตัวในกิจการเศรษฐกิจและธุรกิจสาขาต่างๆโดยผ่านการผลิต, การค้าขายแกเปลี่ยน, การบริโภค, การออม และการลงทุนที่เพิ่มสูงขึ้น. นอกจากนั้นเมื่อเศรษฐกิจของประเทศไทยมีการติดต่อสัมพันธ์กับต่างประเทศมากขึ้น มีการส่งออก, นำเข้า, การลงทุน และการท่องเที่ยว ก็ยิ่งทำให้เศรษฐกิจของไทยเติบโตขยายตัวมากขึ้น หรือที่กล่าวกันว่า “มีความเจริญหรือการพัฒนา” เหมือนกับประเทศอื่นๆในโลก.
          อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เศรษบกิจเติบโตขยายตัวขึ้น และบ้านเมืองก็ “เจริญ”ขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม อาทิมีตึกรามบ้านช่องคับคั่ง, มีถนนหนทาง, มีสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ, มีโณงเรียน, มหาวิทยาลัย, โรงพยาบาล ตลอดจนโรงงานอุตสาหกรรม, อีกทั้งมีเศรษฐีมหาเศรษฐีมากมาย, ประชาชนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะราษำรในพื้นที่ชนบท, แม้จะไม่ถึงกับอดอยากไร้เสียทีเดียว, ยังตกอยู่ในความยากลำบากในการดำรงและดำเนินชีวิต.  ราษำรเหล่านี้ไม่สามารถมีรายได้จากการผลิตที่พอเพียงกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ อันเกิดจากสาเหตุหลายประการ เช่น แหล่งทำกินไม่เพียงพอ, ความเสื่อมโทรมของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, ปัญหาในด้านการตลาดและราคาพืชผล ในขณะที่มีรายจ่ายใฝนการอุปโภคบริโภค ทั้งที่จำเป็นและไม่จำเป็นมากขึ้น กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เศรษฐกิจของราษฎรในพื้นที่ชนบทส่วนใหญ่ “ขาดความสดุล” ที่โครงสร้างของเศรษฐกิจและมีความเรื้อรังซ้ำซาก.
          ทางราชการหรือรัฐบาลหลายยุคหลายสมัยที่ผ่านมา และในปัจจุบันได้พยายามแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้ ทั้งด้วยนโยบายและมาตรการสารพัดอย่าง ตลอดจนการทุ่มเฃงินงบประมาณลงไปอย่างมหาศาลในพื้นที่ชนบท แต่ปัญหาก็ยังคงอยู่ตลอดไป. ชาวชนบทที่กำลังอยู่ในวัยทำงานได้ละทิ้งถิ่นที่อยู่เพื่อไปแสวงหางานทำในที่ห่างไกล เช่นในเมืองใหญ่ๆ, ในกรุงเทพมหานคร, และนับแสนคนก็ไปรับจ้างทำงานในต่างประเทศทั่วโลก จนกระทั่งเกิดปัญหาแรงงานขาดแคลน ทำให้มีแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านทะลักเข้ามาในประเทศนับล้านคน.
          ปัญหา “การเสียสมดุลทางเศรษฐกิจ” ในพื้นที่ชนบททำให้เกิดปัญหกามากมายตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือปัญหาทางสังคม เช่นการล่มสลายของสังคมชนบท, ความแออัดในกรุงเทพฯ และในเมืองใหญ่ๆ, ปัญหาอาชญากรรม, การเสื่อมโทรมของศีลธรรมและวัฒนธรรม เป็นต้น, ซึ่งเป็นภาระที่หนักหน่วงในการบริหารประเทศ.  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนราษฎรในพื้นที่ชนบททุกภาค รวมทั้งพื้นที่ทุรกันดารที่อยู่ห่างไกล และได้ทอดพระเนตรเห็นสภาพอันแท้จริงของราษฎรหลายสิบล้านคนในพื้นที่ดังกล่าว, ทรงพระราชวินิจฉัยในปัญหา, ที่มาแห่งปัญหา และแนวทางในการแก้ปัญหาอย่างถูกต้องและมีประสิทธิผล, ทรงเห็นวาเศรษฐกิจชนบทเป็นปัญหาพื้นฐานของเศรษฐกิจแห่งประเทศไทย.
          ในการนี้ ทรงกำหนด “ยุทธศาสตร์” เอาไว้ 2 ลักษณะ คือที่เป็นทฤษฎี หรือ “แบบจำลอง” และที่เป็นโรงการต่างๆที่รู้จักดกันว่าโครงการในพระราชดำริ จำนวนนับพันโครงการ.
          สำหรับ “ยุทธศาสตร์” ที่เป็นทฤษฎีนั้นก็คือ “เศรษฐกิจพอเพียง” ซึ่งเน้นการพัฒนาพื้นฐานของเศรษฐกิจ คือ “ความพอมีพอกินพอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน” แล้ว “จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญและฐานเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นไปโดยลำดับต่อไป” นอกจากนั้นก็ยังหมายถึง การพอมีพอกินที่เกิดจากการพึ่งตนเองเป็นสำคัญ ทั้งในระดับบุคคล, ชุมชนและระดับประเทศ.
          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริว่า เศรษฐกิจธุรกิจแต่อย่างเดียวนั้นไม่สามารถทำให้คนไทยพึ่งตนเองได้ และทรงเห็นว่าถ้าหาก “เศรษฐกิจพอเพียง” มีสัดส่วนเพียงร้อยละ 25 ของระบบเศรษฐกิจ ประเทศไทยก็จะมีความมั่นคงในการพัฒนาเศรษฐกิจแล้ว.
          เนื่องจากผลิตผลการเกษตรเป็นทั้งอาหารและวัตถุดิบ จึงจำเป็นจะต้องทำให้การเกษตรมีความแข็งแกร่ง ซึ่งการนี้ต้องการ “เทคโนโลยี” ที่เป็นวิทยาศาสตร์มาใช้ในการแก้ปัญหา ตลอดจน “เทคโนโลยี”ในการบริหารจัดการด้วย.  นอกจากนั้นก็ยังทรงเห็นประโยชน์ของ “สหกรณ์” ที่สมาชิกร่วมกันผลิตและจำหน่ายในการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เศรษฐกิจในพื้นที่ชนบท.
          ดังนั้นเราคนไทยจึงต้องระลึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น.


...จากหนังสือ "ไขปัญหาคาใจ - ความรู้ความเข้าใจในปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม" รวมบทความที่เขียนโดย ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพ็ชร ราชบัณฑิต...จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์แสงดาว...ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ.2553....      

วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2562

คนที่มีการศึกษา - ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต

8.คนที่มีการศึกษา


          มีผู้ถามผมอยู่บ่อยๆ ว่าบุคคลอย่างไรจึงจะเรียบกว่า “คนที่มีการศึกษา” ซึ่งหลายคนแสดงความเห็นว่าในเมืองไทยปัจจุบัน น่าจะหมายถึงบุคคลที่สำเร็จการศึกษาในระดับอุดมศึกษา หรือที่ใช้คำว่าผู้ที่เรียนจบ”มหาลัย” ซึ่งได้ยกระดับจากผู้ที่สำเร็จชั้นมัธยมศึกษา หรือ “สำเร็จห้อง 8” ที่มักจะอ่านพบในนวนิยายยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2, ทั้งนี้เป็นไปตามความเจริญของบ้านเมือง.
          ผมมักจะตอบว่าในทัศนะของผม ระดับการศึกษาที่บุคคลได้รับในระบบการศึกษา คือประถมศึกษา, มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา เป็นเพียงบอกให้รู้ว่าบุคคลนั้นๆได้อยู่ในสถานศึกษามาเป็นเวลานานมากน้อยเท่าใด เช่นในปัจจุบัน ประถมศึกษาก็ 6 ปี บวกกับชั้นอนุบาลก่อนหน้านั้นอีก 3 ปี ก็เป็น 9 ปี, มัธยมศึกษาก็อีก 6 ปี และหากเรียนสำเร็จชั้นอุดมศึกษาได้รับปริญญาตรี ก็คงจะต้องอยู่ในสถานศึกษา ในระดับต่างๆมาเป็นเวลาทั้งหมดเกือบ 20 ปี ซึ่งถ้าเรียนให้สูงขึ้นไปอีกขั้นปริญญาโทและปริญญาเออกซึ่งกำลังเป็นที่นิยมกันในสมัยนี้ ก็อาจจะต้องใช้ชีวิตเป็นนักเรียนนักศึกษาถึง 25 หรือ 30 ปี.
          การที่ได้เรียนหนังสือเป็นเวลานานๆบุคคลก็ย่อมมี “ความน่าจะเป็น” ค่อนข้างสูงที่จะเป็น “คนที่มีการศึกษา” เพราะว่าอย่างน้อยที่สุดก็จะต้องมีความรู้ในวิชาต่างๆตามระดับของการศึกษาในระบบ, แต่จะเป็น “คนที่มีการศึกษา”หรือไม่นั้นก็ย่อมเป็นอีกเรื่องหนึ่ง.
          เพราะ “คนที่มีการศึกษา” บางคนหรือหลายคนก็มิได้มีโอกาสใช้เวลาในสถาบันการศึกษาหลายปีนัก ขณะที่อาจจะมีบ้างที่มิได้จบชั้นประถมศึกษาเสียด้วยซ้ำไป.
          พูดอย่างตรงไปตรงมา บรรพบุรุษของคนไทยเราที่ท่านสามารถรักษาบ้านเมือง ตลอดจนสร้างความเจริญเป็นปึกแผ่นให้พวกเราอยู่สุขสบายทุกวันนี้ ก็มิได้สำเร็จชั้นอะไรมา แต่ท่านก็สั่งสอนให้ความรู้และความคิดที่ประเสริฐแก่ลูกหลานของท่านได้. ท่านบรรพชนดังกล่าวนี้คือ “คนที่ไม่มีการศึกษา” หรือ ซึ่งคำตอบก็คือ ไม่ใช่ ขณะที่หลายท่านหรือบางท่านเป็น “คนที่มีการศึกษา”.
          ดังนั้น คำว่า “คนที่มีการศึกษา” คงจะต้องมีความหมายที่ชัดเจน ซึ่งก็คงจะต้องเริ่มด้วยความหมายของคำว่า “การศึกษา” เป็นเบื้องแรก.
          ผมคิดว่า “การศึกษา” นั้นประกอบด้วย “คุณสมบัติ”ที่สำคัญ 2 สถานด้วยกันคือ “ความรู้” สถานหนึ่ง และ “จิตสำนึก” อีกสถานหนึ่ง.
          “คนที่มีการศึกษา” จะต้องไม่เพียงแต่จะมี “วิชาความรู้” เท่านั้น แต่จะต้องมี “จิตสำนึก” ในหลายๆเรื่องอีกด้วย. การที่มีแต่ “วิชาความรู้” หากว่าขาด “จิตสำนึก” ที่กล่าวนี้ แม้จะเคยเล่าเรียนในสถาบันการศึกษาเป็นเวลาสิบๆปี ก็อาจไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้ชื่อว่าเป็น “คนที่มีการศึกษา”.
          เราอาจจะเรียนบุคคลเหล่านั้นว่าเป็น “คนที่มีวิชาความรู้” แต่จะเรียกว่าเป็น “คนที่มีการศึกษา” คงจะไม่ได้ เพราะว่าขาดคุณสมบัติในด้าน “จิตสำนึก”
          “จิตสำนึก” ที่เป็นคุณสมบัติของ “คนที่มีการศึกษา” มีอยู่ด้วยกัน 8 ประการคือ
1.     ความสำนึกว่าสิ่งใดควรที่จะประพฤติปฏิบัติ และสิ่งใดควรละเว้นไม่ประพฤติปฏิบัติ.
2.     ความสำนึกในกาลเทศะ.
3.     ความสำนึกในคุณธรรม, จริยธรรมและศีลธรรม.
4.     ความสำนึกในความสะอาดและความปลอดภัย.
5.     ความสำนึกในหลักและเหตุผลทางวิทยาศาสตร์.
6.     ความสำนึกในคุณค่าและบทเรียนของประวัติศาสตร์.
7.     ความสำนึกในคุณค่าของศิลปะและวัฒนธรรม, และ
8.     ความสำนึกในหลักสันติธรรมในการคลี่คลายความขัดแย้ง.
ผมเคยได้ยินได้ฟังบ่อยๆถึงนโยบายการศึกษาที่ระบุว่า “ความรู้คู่คุณธรรม” ซึ่งผมเห็นด้วย แต่รู้สึกว่ายังไม่พอสำหรับคุณสมบัติของ “คนที่มีการศึกษา”
การปลูกฝังจิตสำนึกทั้ง 8 ประการที่กล่าวข้างต้นนี้ จะต้องถือว่าเป็นภารกิจหลักของนโยบายการศึกษาของชาติ และหากจะมี “การปฏิรูปการศึกษา” การปลูกฝังจิตสำนึกในเยาวชนควรที่จะเป็นสาระสำคัญของนโยบายดังกล่าว, เพราะความ”บกพร่อง”ในจิตสำนึกเหล่านี้คือ “จุดอ่อน”ของการศึกษาของไทยเราในปัจจุบัน.
คนไทยมีวิชาความรู้พอตัว แต่ไม่ทราบว่าอะไรควรประพฤติปฏิบัติและสิ่งใดสมควรละเว้น, ไม่รู้จักกาลเทศะ, ปราศจากคุณธรรม, จริยธรรมและศีลธรรม, ไม่เอาใจใส่เรื่องความสะอาดและความปลอดภัย, ไม่ใช้เหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์ในการขจัดความงมงาย, ไม่สนใจในเรื่องของประวัติศาสตร์และปรากฏการณ์ฝนอดีต, ไม่เห็นความสำคัญของศิลปะและวัฒนธรรม, และไม่แก้ปัญหาใดๆด้วยสันติวิธี.
นี่กล่าวโดยทั่วๆไป เพราะทุกอย่างจะมีข้อยกเว้นเสมอไป.
ผมคิดว่าคนไทยเราไม่แพ้ชาติใดในเรื่องของ “ความเก่ง” ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นจะต้องไปทุ่มเทกับการจะทำให้เด็กไทยของเรามีความเก่งมากขึ้น, เพียงแต่พัฒนาหลักสูตรและการเรียนการสอนให้เหมาะสมก็น่าจะเพียงพอแล้ว.
ผมขอเน้นอีกครั้งหนึ่งว่า “จุดอ่อน”ของไทยเราอยู่ที่การขาด “จิตสำนึก” ซึ่งชาติอื่นๆโดยทั่วไปเขาจะมีมากกว่าไทยเรา.
ดังนั้นในปัจจุบัน ไทยเราจึงมีผู้สำเร็จการศึกษาได้รับปริญญากันมากมาย แต่ “คนที่มีการศึกษา”ยังมีไม่มากนัก.
ผมก็ตอบปัญหานี้ได้เพียงเท่านี้ครับ แต่ก็พร้อมเสมอที่จะช่วย “ไขปัญหา”อื่นๆตามแต่จะมีผู้ถามมา.


(จากหนังสือ "ไขปัญหาคาใจ - ความรู้ความเข้าใจในปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม" รวมบทความที่เขียนโดย ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต...จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์แสงดาว...ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ.2553.)


ความรู้เรื่องการเมืองในระบอบประชาธิปไตย - ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต

11. ความรู้เรื่องการเมือง
ในระบอบประชาธิปไตย


          วิกฤตทางการเมืองที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งมีความรุนแรงในระดับและในความเข้มข้นที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทำให้ผมตระหนักว่ายังมีคนไทยอีกจำนวนไม่น้อยที่มีความสับสนในความหมายของหลายๆคำที่มีผู้หยิบยกขึ้นมากล่าวในการอภิปรายแสดงความคิดเห็น ณ ที่ต่างๆ, และภายใต้ความสับสนดังกล่าวนี้ ก็ได้เกิดความขัดแย้งระหว่างประชาชนกลุ่มต่างๆซึ่งคงจะไม่บังเกิดความสมานฉันท์ภายในประเทศได้โดยง่าย
          ผมคงจะไม่อยู่ในฐานะที่จะออกความเห็นในเรื่องของความสมานฉันท์ภายในประเทศว่าจะเป็นไปได้หรือไม่และเมื่อใด, แต่ที่พอจะทำได้ก็คือการพยายามทำความเข้าใจในความหมายของคำเหล่านี้ ซึ่งหวังว่าจะช่วยขจัดความสับสน อันเป็นที่มาอย่างหนึ่งของความขัดแย้งที่ไม่มีข้อยุติ.
          ในประการแรก คือความเข้าใจอันถูกต้องเกี่ยวกับ “ระบอบการปกครอง” ของประเทศไทยในปัจจุบัน, ซึ่งเป้นระบอบการปกครองที่เกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2475 ในวันดังกล่าวนั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม(ชั่วคราว) พระราชทานให้แก่ “คณะราษฎร” ตามที่ได้เสนอขอพระราชทานไปในวันก่อนหน้านั้น. จึงถือได้ว่าประเทศไทยได้มีรัฐธรรมนูญฉบับแรกในการปกครองประเทศนับตั้งแต่วันดังกล่าว.
          รับธรรมนูญฉบับวันที่ 27 มิถุนายน 2475 “คณะราษฎร”ได้มอบหมายให้หลวงประดิษฐ์มนูธรรม(ปรีดี พนมยงค์) ผู้ซึ่งเป็นแกนนำผู้หนึ่งซึ่งมีบทบาทสำคัญยิ่งในการก่อตั้ง “คณะราษฎร” เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์, เป็นผู้ยกร่างขึ้นและนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายพระบาทมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ภายหลังที่”คณะราษฎร”ได้ยึดอำนาจรัฐและประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว เมื่อวันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน 2475.
          “ระบอบการปกครอง” ที่ “คณะราษฎร” ได้นำมาสู่ประเทศไทยคือ “ระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญประชาธิปไตย” ซึ่งได้ก่อกำเนิดขึ้นภายหลังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม(ชั่วคราว) เป็นกฎหมายฉบับสุดท้ายในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์, ซึ่งหมายถึงเป็นการสิ้นสุดของการปกครองระบอบเก่าเพื่อเริ่มต้นการปกครองระบอบใหม่.
          “ระบอบการปกครอง” ดังกล่าวนี้มีคำสำคัญด้วยกัน 3 คำ ที่จะต้องทำความเข้าใจในเบื้องแรกที่สุด คือคำว่า “ราชาธิปไตย”, “รัฐธรรมนูญ” และ “ประชาธิปไตย”.
          “ราชาธิปไตย” หมายถึงระบอบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและทรงใช้อำนาจอธิปไตย(อำนาจสูงสุด)ของปวงชนชาวไทย, ในฐานะที่ทรงเป็นประมุขของปวงชนชาวไทย, แทนปวงชนชาวไทย, โดยทางรัฐสภา, คณะรัฐมนตรีและศาลตามบทบัญญัติแห่ง”รัฐธรรมนูญ”
          ดังที่จะเห็นว่าบรรดากฎหมายต่างๆจะเรียกว่า “พระราชบัญญัติ”บ้าง “พระราชกฤษฎีกา”บ้าง, “พระราชกำหนด”บ้าง, หรือไม่ก็เป็น “พระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ” ในกรณีที่เป็นประกาศ หรือการแต่งตั้ง. นอกจากนั้นบรรดาคำพิพากษาของศาลยุติธรรม ก็จะกระทำในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์.
          กล่าวคือ เอกสารทั้งปวงที่มีความสำคัญของบ้านเมือง พระมหากษัตริย์จะต้องทรงลงพระปรมาภิไธย หรือกระทำในพระปรมาภิไธย จึงจะมีความถูกต้อง สมบูรณ์และมีผลบังคับใช้.
          ดังนั้นการปกครองของประเทศไทยจึงแตกต่างกับระบอบการปกครองของประเทศที่ไม่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข, ถือว่าเป็น”ระบอบราชาธิปไตย”(MONARCHY)
          ส่วนคำว่า”รัฐธรรมนูญ”นั้นหมายถึงกฎหมายว่าด้วงยระเบียบการปกครองแผ่นดินหรือรัฐ ซึ่งอาจกระทำขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรก็ได้ หรือที่เป็นธรรมเนียมประเพณีที่ได้ปฏิบัติต่อเนื่องกันมาช้านานก็ได้, หรือที่มีทั้ง 2 ลักษณะใช้ร่วมกันไปก็ได้.  กล่าวอีกนัยหนึ่ง “รัฐธรรมนูญ” ก็คือ “กติกา” หรือ “ข้อบังคับ”ในการปกครองประเทศนั่นเอง.
          แต่”รัฐธรรมนูญ”แต่ลำพังยังไม่เป็นแบบการปกครองประชาธิปไตยเสมอไป. ประเทศภายใต้การปกครองในระบอบใดๆก็มี”รัฐธรรมนูญ”ได้ อย่างที่กล่าวกันว่า “รัฐธรรมนูญ”บางฉบับก็เป็น “ประชาธิปไตย”เต็มใบ, บางฉบับก็เพียงครึ่งใบ ขณะที่สำหรับบางฉบับเป็น “รัฐธรรมนูญเผด็จการ”เอาเลย.
          นอกจากนั้น ในบางกรณี ผู้ที่มีอำนาจปกครองบ้านเมืองก็อาจจะไม่ให้ความเคารพต่อ “รัฐธรรมนูญ” โดยกระทำการต่างๆที่ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์หรือบทบัญญัติแห่ง “รัฐธรรมนูญ” หรือมิฉะนั้นก็พยายามแปลเจตนารมณ์ หรือตีความในบทบัญญัติให้สอดคล้องกับความปรารถนาหรือผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง.
          แต่สำหรับประเทส”ทยของเรานั้น ระบแบการปกครองที่ถาปนาขึ้นเมื่อ พ.ศ.2475 ต้องการ “รัฐธรรมนูญ”ที่เป็นประชาธิปไตย.
          แม้คำว่า “ประชาธิปไตย” จะรู้จักกันมาแล้วเกือบ 75 ปี แต่บางทีคนไทยเราก็ยังมีความสับสนในความหมายของคำๆนี้.
          หลายคนยึดเอาง่ายๆว่า อะไรจะเป็นอย่างไรก็ช่าง ขอให้ได้ “เสียงข้างมาก” ก็ถือว่าความเป็น”ประชาธิปไตย”นั้นสมบูรณ์แล้ว
          จริงอยู่ “ประชาธิปไตย” หมายถึงระบอบการปกครองที่ถือมติของปวงชนเป็นใหญ่ เพราะอำนาจอธิปไตยหรืออำนาจสูงสุดเป็นของปวงชน. แต่กระนั้น”เสียงข้างมาก” กับ “มติของปวงชน” ก็มิได้ “ทับกันสนิท” เสมอไป.
          “ปวงชน” ประกอบด้วยบุคคลภายในชาติทั้งหมด ซึ่งมีความแตกต่างกันในฐานะความเป็นอยู่ อีกทั้งระดับและโอกาสในการเข้าถึงความรู้ความเข้าใจในเรื่องต่างๆ ดังนั้นการที่จะได้มาซึ่ง “มติของปวงชน” จึงน่าจะเป็นอะไรที่มากกว่า “เสียงข้างมาก” ในการเลือกตั้งครั้งใดครั้งหนึ่ง.
          เช่นเดียวกัน “การเลือกตั้ง” กับ “ประชาธิปไตย” ก็มิใช่สิ่งเดียวกันอย่างที่มีการพูดๆกัน.
          เช่นเดียวกับกรณีของ “กฎหมาย” กับ “ความยุติธรรม” ซึ่งมิใช่สิ่งเดียวกัน.
          “กฎหมาย” เป้นกลไกที่สำคัญในการแสวงหา “ความยุติธรรม” ฉันใด, “การเลือกตั้ง” ก็เป็นกลไกสำคัญในการแสวงหา “ประชาธิปไตย” ฉันนั้น.
          หากเรายอมรับว่า “ความยุติธรรม” นั้นมาก่อนและอยู่เหนือ “กฎหมาย”, เราก็ควรพิจารณาว่า “ประชาธิปไตย” มาก่อนและอยู่เหนือ “การเลือกตั้ง”.
          ตัวอย่างที่ผมยกมาข้างต้นนี้เป็นเพียงบางประเด็นที่ชี้ให้เห็นว่ามีความสับสนในความเข้าใจโดยทั่วไปเกี่ยวกับ “ประชาธิปไตย”, ซึ่งความจริงก็ยังมีอีกหลายประเด็น.
          ท่านปรีดี พนมยงค์ อดีตรัฐบุรุษอาวุโส, นายกรัฐมนตรีและผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้ให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับ “ประชาธิปไตย” ที่น่าสนใจเอาไว้หลายประการ ซึ่งน่าจะช่วยทำให้เรามีความเข้าใจ “ประชาธิปไตย”ดีขึ้น.
          ท่านปรีดีฯกล่าวไว้บางตอน ดังนี้
          “การที่ประชาธิปไตยถือมติปวงชนเป้นใหญ่ ก็เพื่อราษฎรทั้งหลายที่ประกอบเป็นปวงชนนั้นได้มีรัฐบาลของปวงชนซึ่งราษฎรเลือกตั้งขึ้นโดยตรง จึงจะเป็นรัฐบาลที่กระทำการเพื่อประโยชน์ของราษฎรทั้งหลาย ให้มีความอุดมสมบูรณ์ในการครองชีพ และปลอดภัยจากการกดขี่เบียดเบียนระหว่างกัน อีกทั้งเพื่อให้ราษฎรทั้งหลายประพฟติต่อกันตามศีลธรรมอันดีของประชาชน ชาติจึงจะดำรงคงความเป็นเอกราช และวัฒนาก้าวหน้าต่อไปได้”.
          “ระบบการเมืองที่จะเป็นประชาธิปไตยได้ก็จำเป็นต้องมีรัฐธณรมนูญ, วิธีเลือกตั้งซึ่งให้ราษฎรมีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งผู้แทนราฎรได้เสมอภาคกัน อีกทั้งจะต้องมีระบบที่ฝ่ายบริหารจำต้องปฏิบัติเพื่อราษฎรอย่างแท้จริง และระบบที่ฝ่ายตุลาการจำต้องมีอิสระและดำรงไว้ซึ่งความเที่ยงธรรม”.
          “ระบอบประชาธิปไตยนั้น เราหมายถึงประชาธิปไตยอันมีระเบียบตามกฎหกมาย และศีลธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต, ไม่ใช่ประชาธิปไตยอันไม่มีระเบียบ หรือประชาธิปไตยที่ไร้ศีลธรรม, ระบอบประชาธิปไตยจะมั่นคงอยู่ได้ต้อวงประกอบด้วยกฎหมาย, ศีลธรรมและความซื่อสัตย์กสุจริต, การใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ไม่ใช่หลักของประชาธิปไตย”.
          “ประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์นั้นหมายถึงประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นรากฐานของสังคมและประชาธิปไตยโดยทางการเมืองซึ่งเป็นโครงร่างปกครอง และทัศนะประชาธิปไตยที่เป็นหลักนำให้มนุษย์ปฏิบัติเพื่อประชาธิปไตยเศรษฐกิจและการเมืองของสังคม”.
          “ระบบประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจหมายถึง ราษฎรส่วนมากของสังคมต้องไม่ตกเป็นทาสของคนจำนวนส่วนข้างน้อยที่อาศัยอำนาจผูกขาดเศรษฐกิจของสังคม. ชนชั้นใดมีอำนาจเศรษฐกิจ ชนชั้นนั้นอาศัยอำนาจเศรษฐกิจช่วยยึดครองอำนาจทางการเมืองเพื่อประโยชน์แห่งชนชั้นของตนและพันธมิตรของตน”.


(จากหนังสือ "ไขปัญหาคาใจ - ความรู้ความเข้าใจในปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม" โดย ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต, พิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2553. สำนักพิมพ์แสงดาว.)

วันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

วัชรปาณีโพธิสัตว์ มนตร์ / ชำระกรรม

วัชรปาณีโพธิสัตว์ มนตร์ / ชำระกรรม
วัชรปาณีโพธิสัตว์ หมายถึง “สภาวะ เพชร” หรือ “สภาวะ-วัชระ”.  คุณลักษณะนี้คือ แข็งแกร่งดุจ วัชรโพธิสัตว์. โดยการฝึกฝนธรรมะของพระองค์, สานุศิษย์สามารถหลีกพ้นจากความคิดชั่วร้ายทั้งปวง, กำจัดสิ่งรบกวนจิตใจทั้งหลายและมีความสุขและปัญญาไร้จำกัด. รายละเอียดอีกที่ข้างล่างนี้...
พระองค์ปกติจะปรากฏอยู่ในกิริยานั่ง*ปทุมมาสนะ(lotus posture – ปทุม/ดอกบัว + อาสนะ).
* ท่านั่งแบบดอกบัว





พระองค์สวมมงกุฏที่มักจะเป็นภาพของ พระอักโษภยพุทธะ (Akshobhya), และแต่งกายและเครื่องประดับของ พระธยานิพุทธะ(Dhyani-Buddhisattva)** ที่พระอุระของพระองค์, พระองค์
** พระธยานิพุทธะหรือพระฌานิพุทธะ (บางแห่งเรียกพระชินพุทธะ) เป็นพระพุทธเจ้าในคติความเชื่อของมหายาน เชื่อว่าอวตารมาจากพระอาทิพุทธะ สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าด้วยอำนาจฌานของอาทิพุทธะ ไม่ได้ลงมาสร้างบารมีเหมือนพระมานุสสพุทธะ (พระพุทธเจ้าที่เป็นมนุษย์) ดำรงในสภาวะสัมโภคกาย มีแต่พระโพธิสัตว์ที่เห็นพระองค์ได้
พระธยานิพุทธะโดยทั่วไปมี 5 พระองค์ คือ พระไวโรจนพุทธะ พระอักโษภยพุทธะ พระรัตนสัมภวพุทธะ พระอมิตาภพุทธะ และพระอโมฆสิทธิพุทธะ พระธยานิพุทธะทั้ง 5 องค์นี้ได้สร้างพระธยานิโพธิสัตว์ขึ้นด้วยอำนาจฌานของตนอีก 5 องค์ คือ พระสมันตภัทรโพธิสัตว์เกิดจากพระไวโรจนพุทธะ พระวัชรปาณีโพธิสัตว์เกิดจากพระอักโษภยพุทธะ พระรัตนปาณีโพธิสัตว์เกิดจากพระรัตนสัมภวพุทธะ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์เกิดจากพระอมิตาภพุทธะ และพระวิศวปาณีโพธิสัตว์เกิดจากพระอโมฆสิทธิพุทธะ.  https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%98%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B0



พระธยานิพุทธะ ศิลปะทิเบต

มักจะประคองหินวัชระ(vajra)อยู่ในพระหัตถ์ขวา; แต่หินวัชระ(vajra)บางครั้งลอยสมดุลย์อยู่บนฝ่าพระหัตถ์ของพระองค์. ด้วยพระหัตถ์ซ้าย, พระองค์ถือกระดิ่งกันตะ(ganta)***ที่พระโสณี(สะโพก)




ถ้าเป็นปางยืน, พระองค์จะประคองหินวัชระ(vajra)ด้วยพระหัตถ์ขวาแนบพระอุระ, ขณะที่พระหัตถ์ซ้าย,ห้อยไว้ด้วยกระดิ่งกันตะ(ganta), ที่พระองค์แนบกระดิ่งกันตะนั้นไว้กับพระอูรุ(ต้นขา). ที่ไม่เหมือนกับ ธยานโพธิสัตว์ ทั้งหลายคือ, พระองค์มักจะทรงมงกุฏและมี(หรือบางครั้งไม่มี)****ศักติ(sakti)ของพระองค์, ผู้ซึ่งพระองค์แนบไว้ที่พระอุระในกิริยาลักษณะ *****ยิดัม( yab-yum), ด้วยพระหัตถ์ขวาประคองหินวัชระ, ขณะที่พระหัตถ์ซ้ายถือกระดิ่งกันตะไว้ที่พระอูรุ(สะโพก)ของพระองค์.



การปฏิบัติ วัชรปาณีโพธิสัตว์ (Do-rje sems-dpa’) นั้นเป็นการปฏิบัติสมาธิแบบตันตระ(tantric  meditation) เพื่อทำกรรมให้บริสุทธิ์ (purification karma). เช่นเดียวกับปฏิบัติสมาธิของ มหายาน(Mahayana practice), เป็นการดำเนินการโดยตั้งโพธิจิต(bodhichitta aim)เพื่อชำระกรรมทั้งปวงของเราให้บริสุทธิ์(to purify all our karma) เพื่อไปถึงพุทธิปัญญา(enlightenment)อย่างรวดเร็วเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อให้มีความารถดีที่สุดที่จะช่วยบรรดาผู้อยู่ในภาวะจำกัด(sentient-สัญญีภาวะ-มีความรู้สึก).


ความหมายของหนึ่งร้อยพยางค์ ของ วัชรปาณีโพธิสัตว์ (vajrasattva) นี้เป็นคำสวดที่ก่อให้เกิด กระแสจิต(mindstream)แห่ง พุทธะ(Bhuddas).

โอม (OM)
พยางค์ ของการเปล่งเสียงสรรเสริญสูงสุด (Syllable of the most supreme exclamation of praise.)

เบนซาระ สะโต สะ มา ยา (BENZAR SATO SA MA YA)
สัมมายะ(สมาธิ) ของวัชรปาณีโพธิสัตว์ (Vajrasattva’s Samaya.
)

มานุ ปา ลา ยะ เบนซาระ สา ธุ (MA NU PA LA YA BENZAR SATO)
โอ วัชรปาณีโพธิสัตว์, ปกป้องสมาธิ. (
O Vajrasattva, protect the samaya.
)

เต โน ปา ติสสะ ตรี โธ เม ภา วะ (TE NO PA TISHTHA DRI DHO ME BHA WA)
ขอพระองค์ทรงประทับแน่นในกายข้า. (May you remain firm in me.)

สุ โท กา โย เม ภา วะ (SU TO KA YO ME BHA WA)
ประทานข้าในสุขสมบูรณ์สิ้น (Grant me complete satisfaction.
)

สุ โป กา โย เม ภา วะ (SU PO KA YO ME BHA WA)
เจริญในกายข้า (เพิ่มกุศลจิตภายในกายข้า) (Grow within me (increase the positive within me).
)

อานุ รัคโต เม ภา วะ (ANU RAKTO ME BHA WA)

โปรดเมตตารักต่อข้า Be loving towards me.

สาระวะ สิทธิ เม พระ ยาตสะ (SARVA SIDDHI ME PRA YATSA)
ประทานข้าให้บรรลุผลสำเร็จทุกประการ (Grant me all the accomplishments,
)

สาระวะ การมา สู ตสะ เม (SARVA KARMA SU TSA ME)
เช่นเดียวกับการกระทำทั้งหลาย (As well as all the activities.
)

สิทตาม เสร ยาม คุ รุ (TSITTAM SHRE YAM KU RU)
ทำให้จิตข้าอยู่ในธรรม ( Make my mind virtuous.
)

หุง (HUNG)
พยางค์ เปล่งเสียงของแก่นจิต, พยางค์เมล็ดพันธุ์(ต้นกำเนิด)ของ วัชรโพธิสัตว์). (Syllable of the heart essence, the seed syllable of Vajrasattva.
)

หะ หะ หะ หะ (HA HA HA HA)
 พยางค์ของ สี่ความไม่สิ้นสุด, สี่ความีพลังอำนาจ, สี่ความปีติ, และสี่ กาย(kayas). (Syllables of the four immeasurables, the four empowerments, the four joys, and the four kāyas.)

โห (HO)
พยางค์ของการหัวเราะอย่างปีติในตน. (Syllable of joyous laughter in them.
)

ภะ คะ วัน สารวะ ตะ ถา กะ ตา (BHA GA WAN SARVA TA THA GA TA)
ภควัน ผู้รวมร่างวัชร ตถากตา (Vajra Tathāgatas) ทั้งหมด. (Bhagawan, who embodies all the Vajra Tathāgatas,
)

เบนซระ มา เม มันทสะ (BENZRA MA ME MUNTSA)
อย่าได้ละทิ้งขาไป (Do not abandon me.
)

เบนซรี ภา (BENZRI BHA) 
ประทานข้าซึ่งการตระหนักรู้ถึง วัชรธรรม. (Grant me realization of the vajra nature.
)

มา สะ มา ยะ สา ธุ (MA SA MA YA SATO)
โอ สมายะสัตตวา อันยิ่งใหญ่ (O great Samayasattva
)