จากหน้า 80-85 ของหนังสือ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับ ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทย" โดยท่าน ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต...
"...เพียงอยากฝากให้คิดกันบ้างเท่านั้นเอง
ผมทราบว่าในขณะนี้หน่วยงานที่รับผิดชอบในการจัดทำแผนพัฒนาฯ
คงกำลังวางกรอบสำหรับแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๙ (๒๕๔๕-๒๕๔๙) ซึ่งน่าจะเป็นแผนพัฒนาฯ
ฉบับที่มีความสำตัญเป็นพิเศษภายหลังวิกฤติทางเศรษฐกิจและการเงิน
ซึ่งบังคับให้ต้องมีการทบทวนกรอบความคิดและยุทธศาสตร์ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยใหม่เกือบทั้งหมด.
เมื่อจะต้องมีการทบทวนกรอบความคิดฯ
กันเช่นนี้แล้ว
ผมจึงใคร่จะมาฝากบางเรื่องไว้ให้บรรดาผู้ที่รับผิดชอบในการจัดทำแผนพัฒนาฯ ฉบับที่
๙ เอาไปคิดกันดู ซึ่งจะคิดกันเล่นๆ หรือจะคิดกันจริงๆ ก็สุดแล้วแต่ เพราะข้อคิดเห็นของคนที่เคยมีหน้าที่ความรับผิดชอบอย่างเดียวกันเมื่อครึ่งศตวรรษมาแล้วอาจจะไม่สนใจเลยก็เป็นได้.
๑
ข้อคิดประการแรก
เกี่ยวกับกรอบความคิดทางเศรษฐกิจของพวกเราในปัจจุบัน
ผมมีข้อสังเกตหลายหัวข้อ ดังนี้
๑.
ในการกำหนดวัตถุประสงค์แห่งนโยบายเศรษบกิจก็ดี, การวางนโยบายเศรษฐกิจก็ดี,
และการเลือกใช้มาตรการและเครื่องมือในการบริหารนโยบายเศรษฐกิจก็ดี,
เราไม่ค่อยจะให้ความเอาใจใส่ต่อ “ความปรารถนาของชาติ” ซึ่งควรจะเป็น “โจทย์”สำหรับเรื่องเหล่านี้.
“ความปรถนาของชาติ” จำเป็นต้องอาศัยจิตสำนึกทางประวัติศาสตร์จึงจะเข้าใจ,
จะมากำหนดเอาง่ายๆบนพื้นฐานของผลประโยชน์ของบุคคลบางกลุ่มที่มีอำนาจและอิทธิพลในสังคมไทยในปัจจุบันคงจะไม่ได้.
๒.
“ความมั่งคั่ง” คงไม่ใช่ “ความปรารถนาของชาติ” ซี่งพวกเรามักจะมีความเข้าใจผิดกันมา
จนกระทั่งเศรษฐกิจและสังคมได้รับความเสียหายกันไปหมด. อย่าได้เชื่อว่า “ภาพรวม”
ของประเทศมีความมั่งคั่ง ราษฎรส่วนใหญ่จะพลอยมั่งคั่งไปด้วย.
สิ่งที่ประเทศไทยต้องการก็เพียงแต่ให้ “อยู่ดีกินดี” ตามควรแก่อัตภาพโดยถ้วนหน้าเท่านั้น
ซึ่งเราก็มี “ศักยภาพทางเศรษฐกิจ” เพียงพอที่จะทำได้
ถ้ามีกรอบความคิดที่สอดคล้องกับ “ความปรารถนาของชาติ” และรู้จัก “ศักยภาพ”
ที่มีอยู่อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ.
๓.
ในการพิจารณาเศรษฐกิจแห่งประเทศไทย อย่าได้นำเอา”ปริมาณ” มาเป็นสรณะ.
การเน้นในเรื่องของ “ปริมาณ” จนเกินไป
จะทำให้ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับสถานการณ์และสถานภาพของเศรษฐกิจไทยคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง
และทำให้เกิด “ภาพลวงตา”
ซึ่งจะนำไปสู่ความผิดพลาดในนโยบายและมาตรการเศรษฐกิจ. โปรดเข้าใจว่า “ปริมาณ”
เป็นเพียงปัจจัยเสริม หาใช่อะไรที่จะมาทดแทนการวิเคราะห์ที่รอบคอบด้วยสติปัญญาและประสบการณ์ไม่.
๔.
การเน้น”ภาพรวม”จนเกินไป ก็จะสร้าง “ภาพลวงตา” ขึ้นมาเช่นเดียวกัน.
เศรษฐกิจไทยมีความแตกต่างมากในสาขาต่างๆ
ซึ่งจำเป็นจะต้องพิจารณาและวิเคราะห์เป็นสาขาๆไป, จะเอาตัวเลขมาเฉลี่ยเป็น “ภาพรวม”
ไม่ได้.
๕.
จะต้องแยกออกจากกันให้ชัดเจนระหว่างสินค้าที่ “ไทยผลิต” และสินค้าที่”ผลิตในประเทศไทย”
มิฉะนั้นจะเกิด “ภาพลวงตา” และนำไปสู่นโยบายและมาตรการที่ผิดพลาด
เราจะไปทึกทักเอาว่าสินค้าต่างไ ที่มีการผลิตในประเทศไทย
หรือส่งออกจากประเทศไทยเป้น “สินค้าไทย”ไปหมด.
๖.
ถึงแม้ว่าเราจะไม่รังเกียจการลงทุนจากต่างประเทศ, การเปิดเสรีในการลงทุนและการเงินข้ามชาติ,
หรือแม้กระทั่งการจำหน่ายจ่ายโอนกิจการต่างๆ ให้แก่ต่างชาติ, แต่สิ่งต่างๆ
เหล่านั้นก็ไม่พึงจะถือว่าเป็น “ยุทธศาสตร์”
ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย. จะต้องสำนึกว่าไทยเราไม่ประสงค์ที่จะแลกความเจริญทางเศรษฐกิจด้วยการยอมเป็น
“อาณานิคม” ของต่างชาติ. ดังนั้น นโยบายและมาตรการประเทศนี้จึงต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบเป็นพิเศษ.
๗.
เช่นเดียวกัน การกู้เงินจากต่างประเทศก็อาจจะนำให้ไทยกลายเป็น “อาณานิคม”
ของประเทศเจ้าหนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการกู้โดยภาครัฐหรือภาคเอกชน.
และไม่ว่าจะกู้มาจากแหล่งใดและโดยวัตถุประสงค์ใดก็ตาม. ดังนั้น จงอย่าได้เอาการกู้เงินจากภายนอกมาเป็นส่วนหนึ่งของ
“ยุทธศาสตร์” การพัฒนาเศรษฐกิจของไทย.
๘.
จุดอ่อนของประเทศไทยอยู่ที่พึ่งตนเองทางเทคโนโลยีไม่ได้
ดังนั้น จึงไม่อยู่ในฐานะที่จะไปแข่งขันในตลาดโลก.
อย่าได้ไปสับสนว่าสินค้าส่งออกที่ผลิตในประเทศไทย ประเภทรถยนต์, คอมพิวเตอร์ ฯลฯ
เป็นสินค้าของไทยเรา.
๙.
แม้นว่า “สถาบันทางการเงิน” จะเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย
แต่ก็มีฐานะเป็นเพียงปัจจัยเสริมเท่านั้น จะต้องให้ความเอาใจใส่เบื้องแรกไปที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ
และหากมีปัญหาตรงนั้นก็ต้องมุ่งแก้ไขกันตรงนั้น อย่าไปคิดว่าหากประคับประคอง “สถาบันการเงิน”
ให้มีกำไรแล้ว สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศจะดีขึ้นเองโดยอัตโนมัติ.
๑๐. อย่าไปเชื่อมั่นว่าระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเท่านั้นที่จะสามารถแก้ไขปัญหาความยากไร้ในพื้นที่ชนบทได้. รัฐบาลได้ทุ่มเททรัพยากรมหาศาลลงไปส่งเสริมและแก้ไขปัญหาในพื้นที่ชนบทต่อเนื่องมาหลายสิบปี โดยยังแก้ปัญหาไม่ได้ ความล้มเหลวเกิดจากความอ่อนแอในทุกๆด้านของราษฎรในพื้นที่. ดังนั้น สิ่งที่น่าพิจารณาก็คือการใช้ระบบเศรษฐกิจสหกรณ์สังคมนิยมในพื้นที่ชนบท ให้ราษฎรร่วมกันผลิต, ร่วมกันจำหน่ายสินค้าในทุกระดับและทุกขั้นตอน, ตลอดจนร่วมกันดูแลชีวิตและสังคมในพื้นที่ด้วย..."