หน้าเว็บ

วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

พุทธทาสภิกขุ - ธรรมะ ในฐานะระบบการดำเนินชีวิต

ธรรมะ ในฐานะ
ระบบการดำเนินชีวิต.
22 ม.ค. 22




ท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจในธรรม ทั้งหลาย
          การแสดงปาฐกถาธรรม ในวันนี้ อาตมาจะกล่าวโดยหัวข้อว่า “ธรรมะ ในฐานะระบบการดำเนินชีวิต,”  คือกำลังบอกว่า ธรรมะกับระบบการดำเนินชีวิตนั้นคือสิ่งเดียวกัน. เมื่อพูดว่า “การดำเนินชีวิต” ฟังก็ดูเป็นสำนวนคำประพันธ์; แต่เชื่อว่าคงฟังกันออก, คงเข้าใจได้ว่าหมายถึงอะไร.  เมื่อกล่าวโดยหลักธรรมก็ดั, หรือแม้แต่โดยชีววิทยาก็ดี ชีวิตนี้เป็นสิ่งที่ดำเนินเรื่อย หมายถึงเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยไป. เหมือนกับสังขารทั้งหลายอื่นที่มีเหตุมีปัจจัยปรุงแต่งมันก็ดำเนินเรื่อย, ชีวิตมีการดำเนินในตัวมันเอง. ทีนี้เราในฐานะที่เป็นมนุษย์ก็ควบคุมระบบการดำเนินชีวิตนั้นให้เป็นไปอย่างถูกต้องกล่าวคือให้มันเป็นการดำเนิน.

การดำเนินชีวิตถูกต้อง
ต้องประกอบด้วยธรรม.
          ระยะนี้ยังเป็นระยะปีใหม่อยู่ ขอให้นึกถึงข้อที่ว่าเรามักจะพูดกันว่า ปีใหม่ได้เวียนมาบรรจบครบรอบอีกรอบหนึ่ง, แล้วก็ส่งความสุขกัน; หมายความว่า ปีใหม่เวียนมาครบรอบวงหนึ่งทุกๆปี, มันเวียนเป็นวงรอบๆเหมือนเอาเชือกมาขดเป็นวงๆ แล้วก็รวบไว้เป็นขด, อย่างนี้เรียกว่า มัน ไม่ได้ดำเนินไปแล้ว มันมีการขด, มันอยู่นิ่งอย่างนี้; จะอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกให้มาช่วยเท่าไร ก็ช่วยไม่ได้, เพราะว่าชีวิตมันไม่ได้ดำเนินไป มันเหมือนกับขดเชือกล่ามควาย ที่โยนทิ้งอยู่ที่ตรงนี้เป็นขดๆ, มันมัวแต่ขดเป็นรอบๆ.
          นี้เราจะต้องทำให้มันเป็นการเดินไปๆ เป็นช่วงๆเหมือนกับหลักกิโลเมตรที่มีอยู่ข้างถนน มันบอกว่ากี่กิโลเมตรแล้วๆ มันก็ไปกันเรื่อยไป อย่างนี้จึงจะได้.  เมื่อเป็นไปในลักษณะที่ถูกต้องแล้ว มันก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ใสตัวมันเอง, แล้วจะช่วยได้โดยไม่ต้องอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไหนมาช่วยอีก.
          ขอให้เราถือเป็นหลักว่า เหมือนกับเราเดินทางพอ เราเหกนื่อยเราก็ต้องหยุดพัก พอหายเหนื่อยเราก็เดินต่อไปอีก, มีลักษณะเป็นการดำเนินชีวิตอย่างนี้.  ปีเก่าเราก็เหมือนกับเดินมาเหนื่อยก็หยุดพักส่งท้ายปีเก่า หายเหนื่อยแล้วก็เดินต่อไป.  นั่นเป็นเรื่องของปีใหม่; นี่คือ การดำเนินชีวิตในความหมายธรรมดาสามัญ ที่เราพอจะมองเห็นกันได้.
          อาตมาจะต้องขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า การดำเนินชีวิตนั้นเป็นตัวธรรมะอยู่ในตัวการดำเนิน นั่นแล้ว; อย่าแยกออกเป็น 2 เรื่อง ว่าดำเนินชีวิตแล้วก็ทำให้ประกอบไปด้วยธรรม นั่นก็ถูก ถูกอย่างยิ่งด้วยเหมือนกัน; แต่อาตมาต้องการมากกว่านั้น คือ ต้องการให้มันเป็นตัวธรรมอยู่ในตัวชีวิตที่กำลังดำเนินไปนั้นเอง.
          ขอเตือนให้ระลึกถึงความหมายของคำว่า ธรรมที่มีอยู่หลายความหมาย.  ความหมายที่ 3 หมายถึง หน้าที่ที่สิ่งที่มีชีวิตจะต้องประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ.  ชีวิตมีหน้าที่ที่จะต้องเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ; นี่คือปัญหาสำคัญ.  เมื่อมีการดำเนินชีวิต ก็หมายความว่ามีการทำหน้าที่ ให้การดำเนินชีวิตนั้นถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ นั่นก็เป็นตัวธรรม, เป็นตัวธรรมะอันสูงสุด อันศักดิ์สิทธิ์ อันประเสริฐอยู่ในตัวมันเอง คือเป็นการดำเนินไปสู่จุดหมายปลายทางที่ถูกต้อง.

ต้องรู้ว่าเราเกิดมาทำไม? จะไปทางไหน?
          เดี๋ยวนี้เราไม่รู้ว่าเราเกิดมาทำไม? เมื่อไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม มันก็ไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหน? ท่านทั้งหลายที่กำลังอยู่นี่เคยสนใจบ้างหรือเปล่าว่า  เราเกิดมาทำไม? ถ้าไม่สนใจ ก็คงจะไม่รู้ว่าจะดำเนินชีวิตไปทางไหน, ทิศไหน? มีจุดจบที่สุดกันที่ตรงไหน?
          มันน่าสังเกตอยู่สักอย่างหนึ่งว่า ตั้งแต่โรงเรียนอนุบาลขึ้นไปจนกระทั่งถึงมหาวิทยาลัยอันสูงสุดในโลก ก็ไม่เคยพูด, ไม่เคยสอน, ไม่เคยชี้แนะกันถึงข้อที่ว่า เกิดมาทำไม? อาตมาเชื่อว่าเป็นอย่างนี้ ท่านทั้งหลายที่ทราบเรื่องดี ก็ลองช่วยกันสอบสวนดู ว่าตั้งแต่โรงเรียนอนุบาลจนถึงมหาวิทยาลัยก็ไม่เคยพูดกันว่าเกิดมาทำไม? ไม่อยู่ในหลักสูตรที่จะสอนให้รู้ว่าเกิดมาทำไม? เด็กๆของเราก็ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม?  เขาก็เอาแต่ต่ทใจชอบของเขา ไม่ต้องสนใจว่าจะให้ไปถึงวัตถุประสงค์ปลายทางอย่างไร.  เดี๋ยวนี้เขาชอบอย่างไร, กิเลสของเขาชอบอย่างไร, เขาก็ทำอย่างนั้น โดยไม่ต้องศึกษาสอบสวนว่า มันจะผิดหรือมันจะถูกอย่างไร.
          มีมากคน ทีเดียวที่เขาไม่ยอมรับรู้ในข้อนี้ ไม่รับรู้ในข้อที่ว่า เราจะต้องรู้ว่าเกิดมาทำไม.  เขาแก้ตัวว่าฉันไม่ได้มีหลักฐานหรือมีเจตนาที่จะเกิดมา, ฉันไม่รับรู้, ฉันไม่รับผิดชอบในข้อนี้. เพราะฉะนั้น ฉันรู้สึกว่าอร่อยพอใจอย่างไร ก็ขวนขวายกันอยู่แต่กับสิ่งนั้น; ก็เลยลงมติว่าเกิดมาเพื่อสิ่งนี้.  คนประเภทนี้ตกเป็นทาสของกิเลสเป็นทางของเนื้อหนัง.  วนเวียนอยู่ที่ความเอร็ดอร่อยสนุกสนานเพลิดเพลินในโลกนี้; เหมือนกับเชือกที่มันขดอยู่เป็นวงรอบๆนอนขดอยู่นั่นเอง.
          ปีใหม่มันก็ไม่แปลกไปกว่าปีเก่า; เพียงแต่ว่าสนุกสนานอะไรกันให้มาก มันก็กินให้มาก เล่นให้มากเป็นปีใหม่แล้ว.  นี่อยากจะเรียกว่ามันเป็นชีวิตที่ตายด้าน, ชีวิตที่ขีดวงเหมือนกับขดเชื่อกล่ามควายตามทุ่งนา โยนทิ้งอยู่อย่างนั้น; ก็ไปดูทีว่า มันจะดำเนินอย่างไร? คนเหล่านี้ ก็ปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามอำนาจของกิเลส.
          แม้เป็นนักการเมือง ท่านก็ ไม่รู้จะนำโลกไปไหน? นักการเมืองไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม? เขาก็ไม่รู้ว่าจะนำโลกไปทางไหน? ในที่สุดก็นำโลกไปตามความต้องการของตน, นำโลกไปเพื่อประโยชน์ของตน.  มันจะถูกหรือมันจะผิดไม่รับผิดชอบ; เอาได้ประโยชน์ของตนเป็นเรื่องถูกต้อง ก็เรียกว่ามันไม่มีจุดหมายปลายทาง มันก็วนซ้ำอยู่เหมือนกับขดเชือกอยู่ที่นี่เหมือนกัน.
          โลกนี้ไม่ประสบสันติภาพ ตามความมุ่งหมายของการเมือง; ก็เพราะว่านักการเมืองทั้งหลายไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม นั่นเอง.  ถ้าเขารู้ว่าเกิดมาทำไม? เขาก็คงจะพาโลกนี้ไปสู่จุดหมายปลายทาง คือสันติภาพอันถาวรของมนุษย์ได้, เดี๋ยวนี้มันกำลังมีวิกฤตการณ์อันถาวร, วิกฤตการณ์อันซ้ำซากเหมือนกับขดเชือกนั้นเอง ไม่มีจุดหมายปลายทาง.

จุดหมายปลายทางของชีวิต คือภาวะที่หมดปัญหา.
          ทีนี้เราก็จะมาพูดกันถึงจุดหมายปลายทาง.  อะไรเป็นจุดหมายปลายทาง?  อาตมาก็จะตอบอย่างกำปั้นทุบดินว่า จุดหมายปลายทาง นั้นก็คือ ภาวะที่หมดปัญหาต่างๆ ที่กำลังมีเต็มอยู่ในโลกเวลานี้.  โลกเวลานี้เป็นปัญหาเป็นวิกฤตการณ์อย่างไร ถ้าวิกฤตการณ์เหล่านั้นหมดไป; นั่นแหละคือจุดหมายปลายทาง เราทำอย่างนี้กันหรือเปล่า? เราทำเพื่อวัตถุประสงค์อันนี้หรือเปล่า?
          พูดให้น่าฟังสักหน่อยก็ต้องพูดว่า เรามีสันติภาพทั้งของตนเองและของผู้อื่นเป็นจุดหมายปลายทาง.  คนทุกคนในโลกนี้มีความเป็นมนุษย์เต็มที่, มีความหมายแห่งความเป็นมนุษย์เต็มที่ คือแปลว่าสัตว์ที่มีจิตใจสูง อยู่เหนือปัญหา, อยู่เหนือความทุกข์; ไม่ใช่ว่าเป็นสัตว์ที่จะมาวนเวียนอยู่ที่นี่, มาวนเวียนอยู่ที่เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ เป็นขดๆ เหมือนกับขดเชือกล่ามควายอยู่นี่ มันก็ไม่ประสบสันติภาพอันถาวร. เพราะเรือ่งกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรตินั้น มียุให้เห็นแก่ตัว; ทุกคนก็เห็นแก่ตัว เพราะทำไปเพื่อประโยชน์ของตัวมันก็รุกล้ำสิทธิของผู้อื่น.
          นี่ข้อที่ว่าเราเคารพสิทธิมนุษยชนในโลกไม่ได้; แม้แต่ร้องตะโกนกันให้เสียงแห้งเสียงแหบ จนคอแตกทำลายไป มันก็ไม่มีการเคารพสิทธิมนุษยชนในโลกนยี้ได้. เพราะว่าเราไปวนอยู่ที่เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ ซึ่งเป็นการกระทำให้จิตใจนี้เมามัวเห็นแก่ตัว, เขาก็เลยต้องมีความเห็นแก่ตัว.
          เมื่อเห็นแก่ตัวมันก็เกิด ความโลภ จะเอามากๆ เมื่อมีความเห็นแก่ตัว ไม่ได้อย่างที่ตัวต้องการก็เกิด ความโกรธ, แล้วการที่เป็นอยู่อย่างนี้ก็คือ โมหะ คือความหลงอยู่ในตัวมันเอง.
          ถ้าเรา ไม่เห็นแก่ตัวก็ต้องเห็นแก่ผู้อื่น มันก็เกิดความรักแบบสากล คือรู้สึกรักเพื่อนมนุษย์ทุกคน : ว่า ทุกคนเป็นเพื่อนทุกข์ เพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย; ไม่มีกู ไม่มีมึง ไม่มีฝ่ายกู ไม่มีฝ่ายมึง, นั่นแหละจุดหมายปลายทางของมนุษย์ จะต้องขึ้นไปจนถึงนั่น เขาเรียกกันว่า ศาสนาพระศรีอาริย์ก็ได้.
          ถ้าเป็นศาสนาพระศรีอาริย์ จะต้องไม่มีกู ไม่มีมึง; อย่างที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า ถ้าลงจากบ้านลงไปสู่ท้องถนนก็จำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร; เพราะมันดีเหมือนกันไปหมด, มันพวกเดียวเหมือนกันหมด. ต่อเมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วจึงค่อยรู้ว่านี่บุตรนั่นภรรยาของเรา สามีของเรา; มันดีเหมือนกันหมดถึงอย่างนี้.  นี่เรียกว่าผลของการที่เราไปถึงจุดหมายปลายทางของความเป็นมนุษย์.

มัชฌิมาปฏิปทาจะช่วยให้ถึงจุดหมายปลายทาง.
          ทีนี้ก็จะพูดต่อไป ถีงการที่ จะถึงจุดหมายปลายทางของความเป็นมนุษย์ได้อย่างไร?
          เมื่อกล่าวตามหลักของพระพุทธศาสนาแล้ว ก็คือสิ่งที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา-ทางสายกลาง.  มัชฌิมาปฏิปทานี้ แบ่งแยกออกได้เป็น 2 ฝ่าย คือ มัชฌิมาปฏิปทาส่วนปัจเจกชน ส่วนบุคคลเป็นคนๆไป, กับ มัชฌิมาปฏิปทาในส่วนสังคม รวมกันทั้งหมดเป็นหมู่ๆ.
          เดี๋ยวนี้เราไม่มีมัชฌิมาปฏิปทา คือมีแต่ขาด มีแต่เกิน, หรือว่ามันเป็นเรื่องขาดเรื่องเกิน มันไม่พอเหมาะพอดีอยู่ที่ตรงกลาง.  ว่าที่จริงแล้วมันก็ไม่มีใครขาดแหละ มันมีแต่เกินทั้งนั้น; ในเรื่องขาดนี่ไม่มีใครชอบ มันจึงไม่มีใครขาด, มีแต่คนมุ่งหมายเกิน แล้วก็ทำไปจนเกิน.  หรือว่าถ้าจะขาดไป มันก็เพราะว่าเขาไปตั้งความปรารถนาไว้เกิน คือให้มันมากเกินไป.
          คนจนต่ำต้อยก็พยายามจะทำให้ขึ้นหน้าคนมั่งมี มีลักษณะที่จะขี้ตามช้างกันอยู่ทั่วๆไป; อย่างนี้ก็พิจารณาดูว่ามันจะขาด หรือจะเกิน? ถ้ารู้สึกว่าขาดนั้นก็เพราะว่ามันตั้งความปรารถนาไว้ เกินไป; มันก็ไม่ได้เต็มตามที่ปรารถนา.  แต่ความปรารถนานั้นมันก็เกินไปแม้จะมีความพยายามที่เกิน มันก็ไม่ได้ตามที่ตัวปรารถนา.
          เดี๋ยวนี้เรามี การกินที่เกิน การนุ่งห่มที่เกิน ที่อยู่อาศัย เครื่องมือเครื่องใช้สอยที่เกิน มีการประเล้าประโลมตนที่เกิน.
          เรื่องกินเกิน  นี้ ก็เห็นได้กันอยู่ทุกคนแล้ว อาตมาไม่ต้องอธิบาย; เพราะท่านทั้งหลายจะรู้ดีกว่าอาตมาเสียอีก ว่าเรากำลังกินในลักษณะที่เกิน : ดีเกิน แพงเกิน มากเกิน บ่อยเกิน อะไรล้วนแต่เกิน จะนอนอยู่แล้วก็ ยังจะกิน.
          เครื่องนุ่งห่ม  นี่ก็ไปยอมเสียแพงๆ ที่ทำให้มีลวดลายสีสันอย่างนั้นอย่างนี้ ประดับประดาอย่างนั้นอย่างนี้ซึ่งมันก็ต้องแพง.
          เครื่องใช้ไม้สอยเกิน  ก็คือต้องให้มันดีที่สุด ที่กิเลสมันต้องการ.  ที่อยู่อาศัยและเครื่องใช้สอย ก็ต้องให้อยู่ในงบประมาณที่ตัวอยากจะมี มีรถยนต์ 2 คันไม่พอต้อง 3 คัน 4 คัน; รถยนต์ราคราหมื่นไม่ได้ ต้องแสน; แมนไม่ได้ ต้องล้าน.
          มีเครื่องประเล้าประโลมใจที่เกิน  ต้องมีฟ้อนรำขับร้องดนตรี การเบ่นต่างๆที่เป็นข้าศึกแก่กุศล.  นี่เกินสำหรับทำให้วินาศ.  แล้วก็มีลูบทาประดับประดาตกแต่งซึ่งมันไม่จำเป็นจะต้องทำ; นี่มันอยู่ด้วยการเกิน.
          ถ้าเป็น มัชฌิมาปฏิปทา มันต้องไม่เกิน, ต้องพอดีพอเหมาะ  แล้วมันจะเกิดเป็นความถูกต้อง 8 ประการขึ้นมา ที่เรียกันว่า “อริยมรรคมีองค์แปด”.

มัชฌิมาปฏิปทาช่วยเปลื้องปัญหา
ทั้งบุคคลและสังคม.
          “อริยมรรคมีองค์แปด”  คือ ความคิดเห็นถูกต้อง, ความปรารถนาถูกต้อง, การพูดจาถูกต้อง, การงานถูกต้อง, การดำรงชีวิตถูกต้อง, การพากเพียรถูกต้อง, สติถูกต้อง, สมาธิถูกต้อง;  เป็นความถูกต้อง 8 ประการ, มีองค์แปดประการขึ้นมา เป็นหนทางอันเป็นทางสายกลาง.  จะเรียกว่ามี ศีล สมาธิ ปัญญา ก็ได้ใน 8 ประการนั้น ก็เป็นการทำให้หมดปัญหา : ทางกายวาจา ก็ไม่ผิดพลาด, ทางจิต ก็ไม่มีพลาด, ทางสติปัญญา ความคิด ความนึก ก็ไม่มีผิดพลาด, เป็นการดำรงชีวิตชนิดที่ไม่มีปัญหาใดๆจะเกิดขึ้น สำหรับทรมานใคร : ไม่ทรมานตนเอง ไม่ทรมานผู้อื่น. อย่างนี้เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทาส่วนบุคคล เป็นการดำเนินชีวิตไปในทางที่ถูกต้อง.
          มัชฌิมาปฏิปทาส่วนสังคม  ก็คือ ไม่มีซ้าย ไม่มีขวา ไม่มีมึง ไม่มีกู มีแต่เรา.  อาตมาสังเกตดูพฤกษชาติในดงทึบมันอยู่กันอย่างไม่มีมึง ไม่มีกู ไม่มีซ้าย ไม่มีขวา มีแต่เรา; ต้นไม้ขนาดยักษ์อยู่ได้กับพวกตะไคร่ที่โคนต้น และเฟิร์นเล็กๆก็ขึ้นงามอยู่ที่โคน. มันไม่เป็นข้าศึกแก่กันทั้งๆที่มันมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงกว่ากันเหลือประมาณ;  ในดงทึบนั้น ต้นไม้ใหญ่ก็อยู่กับตะไคร่หญ้าบอน เฟิร์นที่โคน.  ถ้าต้นไม้ใหญ่ถูกโค่นลงไปกับแดดก็แผดเผา พวกเฟิร์นหรือตะไคร่เหล่านั้นแห้งตายหมด, หรือถ้าไม่มีเฟิร์น ไม่มีตะไคร่เหล่านี้ ก็ไม่มีความชุ่มชื้นพอ ที่จะทำให้ต้นไม้ยักษ์นั้นใหญ่โตเติบได้. นี่มันอยู่กันพอดีอย่างนี้ทั้งๆทีมันมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงมาก.
          ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงนั้นมันเป็นสิ่งที่ต้องมี มีโดยกฏของธรรมชาติ นี่ช่วยไม่ได้ มันตองมี, กฏของกรรมมันก็ต้องมี, ต้องมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูง; แต่มันอยู่กันได้เพราะการมีธรรมะ; มรธรรมะ คือมันประสมประสานกัน มันอาศัยซึ่งกันและกัน.  มนุษย์ก็อยู่โดยมีธรรมะอยู่กันได้ทั้งๆมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงกว่ากัน.

เมื่อทิ้งศาสนามนุษย์ก็เกิดเห็นแก่ตัว
คืออุปัทวะต่างๆ.
          ต่อมา มนุษย์ได้ละทิ้งธรรมะ ละทิ้งศาสนา จึงเกิดคนที่เห็นแก่ตนเอาเปรียบคนอื่น, เกิดเป็นคนร่ำรวยแข็งแรง มีอำนาจวาสนาขึ้นมา; มันกลายเป็นนายทุนกระดาษซับ คือซับเอาประโยชน์ของคนอื่นมาจนหมดจนแห้ง; เพิ่งเกิดนายทุนกระดาษซับขึ้นมาในโลกนี้ใหม่ๆหยกๆ เมื่อมนุษย์ละทิ้งศาสนาละทิ้งธรรม, เศรษฐีใจบุญแต่กาลก่อน ก็หายหน้าไปหมด; ลัทธิชนกรรมาชีพอันโหดร้าย ที่จะทำลายล้างนายทุนก็เกิดขึ้นมา เพราะว่าได้เกิดนายทุนที่มีขึ้นมาจากการละทิ้งศีลธรรม; คนจนก็ต้องละทิ้งศีลธรรมเพื่อทำการต่อสู้.
          อุปัทวะนี้เพิ่งเกิดเมื่อมนุษย์ละทิ้งศาสนาละทิ้งธรรมะ; ถ้ามนุษย์ยังมีธรรมะ ยังมีศาสนา ลัทธินี้ไม่อาจจะเกิด.
          ขอให้พิจารณาดูให้ดี นายทุนคิดว่าจะครองโลกมันก็บ้าพอดูอยู่แล้ว; แต่ถ้ากรรมกรคิดจะครองโลก มันก็คงจะบ้ามากขึ้นไปกว่านั้นอีก.  นายทุนครองโลก ก็คิดจะกอบโกยถึงที่สุด; กรรมกรครองโลก ก็คิดจะกอบโกยเพื่อตัวเอง, แล้วก้กลับเป็นนายทุนในที่สุด, ฉะนั้น ธรรมะครองโลกดีกว่า จะมีความถูกต้องเหมาะสมทั้ง 2 ฝ่าย คือทั้งฝ่ายนายทุนและทั้งฝ่ายกรรมกร.  ความเหลื่อมล้ำจะไม่มีปัญหาอีกต่อไป คือ นายทุนกับกรรมกรก็จะอยู่กันได้ ถ้าทั้ง 2 ฝ่ายต่าง รู้ชัดในข้อเท็จจริงที่ว่า มันต้องอาศัยกันและกัน, มีธรรมะเป็นเครื่องทำความอาศัยซึ่งกันและกัน.  ถ้าไม่มีกรรมกร, นายทุนก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่มีแรงงาน; ถ้า ไม่มีนายทุน กรรมกรก็ไม่มีงานอะไรจะทำ.  มันเป็นการช่วยกันให้ทำตามที่ตัวประสงค์ หรือควรประสงค์ได้ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย โดยต้องอาศัยกันและกันอย่างนี้; มิฉะนั้นก็จะตายทั้ง 2 ฝ่าย.
          นี่เรียกว่า เราจะต้องแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำต่ำสูงให้ได้; ให้มันอยู่กันได้เหมือนกับที่ว่า ในโลกนี้มันต้องมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงตามธรรมชาติ.  ในทะเลปลาใหญ่ปลาเล็กอยู่ด้วยกัน จนเต็มทะเลเกือบจะไม่มีน้ำ เพิ่งหมดไปเมื่อมนุษย์เข้าไปเกี่ยวข้อง.  ในป่าในดงมีทั้งเสือและกวางเกลื่อนไปหมด มันเพิ่งหายไปเมื่อมนุษย์เข้าไปเกี่ยวข้อง.  ถ้าปล่อยตามธรรมชาติ ถึงแม้ว่ามันจะมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงอย่างไร มันก็อยู่กันได้ นี่เรียกว่าจะต้องอาศัยอยู่กันอย่างมีธรรมะ อยู่กันอย่างเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย.

เอกลักษณ์ไทย
ต้องมีวิธีดำเนินชีวิตตามหลักศาสนา.
          ในที่สุดนี้ จะขอพูดถึงสิ่งที่พูดกันมากสักสิ่งหนึ่งคือ สิ่งที่เรียกว่า “เอกลักษณ์ไทย” เอกลักษณ์ไทย นั่นแหละคือ วิถีแห่งการดำเนินชีวิต ที่ถูกต้องตามหลักแห่งพระศาสนาที่ออกมาเป็นวัฒนธณรมไทย เอกลักษณ์ไทย คือการอยู่กันอย่างเพื่อนมนุษย์, อย่างเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย, นี่คือเอกลักษณ์ไทย.
          เอกลักษณ์ไทย ไม่ใช่ลายกนกไทย ไม่ใช่เพลงไทย ไม่ใช่ดนตรีไทย ไม่ใช่โขน ไม่ใช่รำไทย หรืออะไรต่างๆที่เขาชอบเรียกกันว่าเอกลักษณ์ไทย.  เอกลักษณ์ไทยต้องเป็นการอยู่กันได้แม้มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงอย่างที่ปู่ย่าตายายเราเคยอยู่กันมา.  ปู่ย่าตายายของเราไม่ยอมรับว่าเพลงไทย ดนตรีไทย โขน ละคร รำไทยนั้นเป็นเอกลักษณ์ไทย.  ท่านกลับจะถือว่า ค่ำเช้าเฝ้าสีซอ เข้าแต่หอล่อกามา นี้มันคนบ้า, คนที่ทำความฉิบหายมากกว่า.  มันต้องอยู่ด้วยจิตใจที่มีความสะอาด มีความสว่าง มีความสงบ ประกอบอยู่ด้วยธรรมะ ที่เนื้อที่ตัว; นี่แหละ คือเอกลักษณ์ไทย.
          คนไทยยิ้มเสมอ เพราะมีธรรมอยู่ในเนื้อในตัวอยู่ในใจ  ดลบันดาลออกมาทางสีหน้า ทำให้คนไทยยิ้มเสมอ.  ปู่ย่าตายายที่เป็นคนไทยแท้ มีความเชื่อตัวเอง, คือเชื่อในธรรม; มีการบังคับตัวเอง ให้อยู่ในธรรม มีการเคารพตัวเอง เพราะมีธรรมไม่แพ้พวกฝรั่ง.  พวกฝรั่งที่เขาเพิ่งมาสู่ตะวันออกใหม่ๆ เขาคุยโอ่ในเรื่องความเชื่อตัวเอง (self confidence) การบังคับตัวเอง(self control) การเคารพตัวเอง (self respect).
          คนที่ไปเรียนเมืองนอกเมืองนาสมัยโน้น จบมหาวิทยาลัยกลับมาแล้วก็ พูดกันถึงเรื่องความเป็นสุภาพบุรุษ พูดกันแต่ เรื่องการเชื่อตัวเอง เคารพตัวเอง บังคับตัวเอง  เด่ยวนี้ไม่ได้ยิน.  ผู้สูงอายุคงจะจำได้ ว่าเมื่อเราเด็กๆนั้นได้ยินคำนี้มากเหลือเกิน; เดี๋ยวนี้ไม่ได้ยิน.  พอฝรั่งเปลี่ยน กลายเป็นตัวอย่างแห่งความไม่มีสิ่งเหล่านั้นคือ ไม่เชื่อตัวเอง ไม่บังคับตัวเอง ไม่เคารพตัวเองมาแสดงแต่ความนิยมทางวัตถุ เทคโนโลยีทางวัตถุเราก็ตามก้นเขา.  ดังนั้นเราก็หมดความเป็นไทย หมดเอกลักษณ์ไทย; ไม่มีอะไรจะเป็นเอกลักษณ์ไทยจริงๆเหลืออยู่.  นอกจากดนตรีไทย เป็นต้น.  อย่างนี้มันไม่ช่วยประเทศชาติได้.  มันไม่ช่วยความเป็นไทย ให้มีอยู่อย่างรอดหรือเป็นอิสระได้.
          ขอให้เราฟื้นเอกลักษณ์ไทยให้กลับมา ให้มีการดำเนินชีวิตที่ประกอบไปด้วยธรรม, มีธรรม คือการประพฤติกระทำให้ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ; แล้วเราก็จะอยู่กันอย่างเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายกัน; แม้จะเหลื่อมล้ำต่ำสูงกว่ากันอย่างไร ก็ยังอยู่กันได้เหมือนต้นไม้ในดงทึบ. แต่ต้นไม้ขนาดยักษ์ยังอยู่ได้กับหญ้าบอน ต้นเฟิร์นและตะไคร่ โดยไม่ต้องมีปัญหา.  มนุษย์จะเลวกว่าพฤกษชาติเหล่านี้ได้อย่างไร.
          นี่แหละคือวิถีทางแห่งการดำเนินชีวิต จะไป สู่จุดๆหนึ่งที่เรามีสันติสุขมีสันติภาพอันถาวร;  ไม่มีปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำต่ำสูง. ไม่มีความผิดพลาดในเรื่องกิน จนเป็นเหตุให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง เพราะเห็นแก่ตัวเกิน.  นี่เรียกว่า ธรรมะในฐานะเป็นระบบการดำเนินชีวิต.  ขอให้เรามีชีวิตที่เป็นการดำเนิน อย่าให้เป็นเหมือนเชือกล่ามควายขดทิ้งอยู่ที่นี่.

          เวลาสำหรับปาฐกถาธรรมหมดแล้ว อาตมาขอยุติการบรรยายในวันนี้ไว้เพียงเท่านี้.

*********


วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

29. เมืองไทยตกอยู่ในความสับสน - ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต

29. เมืองไทยตกอยู่ในความสับสน


          เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา สถาบันต่างประเทศ เทวะวงศ์วโรปการ กระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้ผมไปบรรยายเรื่อง “รู้จักประเทศไทยฯ” แก่นักการทูต 40 ท่าน ซึ่งกำลังอยู่ในหลักสูตรอบรมเพื่อการเลื่อนตำแหน่ง ประจำปี พ.ศ. 2552.  ความมุ่งหมายก็คือท่านข้าราชการกระทรวงต่างประเทศดังกล่าวนี้จะต้องทำหน้าที่เป็นตัวแทนประเทศไทยในเวทีระหว่างประเทศ ซึ่งในหน้าที่นั้น ก็จะต้องแนะนำให้ต่างประเทศรู้จักประเทศและความเข้าใจความเป็นไทยอย่างชัดเจนและถูกต้อง.  แต่ก่อนที่จะปฏิบัติภารกิจนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ก็จำเป็นที่จะต้อง “รู้จักประเทศไทยฯ”เสียก่อน.
          “ประเทศไทย” ซึ่งจะทำความรู้จักและเข้าใจนั้น มิใช่ประเทศไทยในเชิงกายภาพ อันได้แก่ภูมิศาสตร์, ทรัพยากรธรรมชาติ, แหล่งท่องเที่ยว, ปูชนียสถาน, สถาปัตยกรรมไทย และศิลปวัฒนธรรม อะไรพวกนั้น, แต่เป็น ไประเทศไทย” ในด้านการเมืองการปกครอง, เศรษฐกิจ, สังคม และวัฒนธรรม ที่บ่งบอก”ความเป็นไทย”.
          ผมไม่ได้ถามว่าเพราะเหตุใดเขาจึงเจาะจงให้ผมมาบรรยายในเรื่องดังกล่าวนี้ แต่ผมก็มีความยินดีที่จะรับใช้ ทั้งๆที่รู้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก. ซึ่งทำให้ผมต้องใช้ความคิดว่าจะต้องกล่าวถึงอะไรบ้างในเวลาประมาณ 3 ชั่วโมงที่เขาจัดให้ผมบรรบาย.
          เนื่องจาก “ประเทศไทย” ที่ผมรู้จักและเข้าใจอาจจะไม่เหมือนกับ “ประเทศไทย” ในสายตาของคนทั่วไป, อีกทั้งผมได้เฝ้าดูและพยายามวิเคราะห์ “วิวัฒนาการสังคมไทย” อย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาช้านาน, ดังนั้น ผมจึงมองเห็นหลายปนะเด็นที่คนอื่นๆอาจจะมองไม่เห็น ซึ่งเป็นโอกาสดีที่จะถ่ายทอดทัศนคติและมุมมองของผมไปสู่คนรุ่นหลังที่กำลังทำหน้าที่สำคัญให้แก่บ้านเมืองทั้งในปัจจุบันและต่อไปในอนาคตอันใกล้.
          ผมได้สรุปสาระสำคัญของคำบรรยายประมาณ 10 กว่าหน้าพิมพ์ดีด ให้เจ้าหน้าที่ทำสำเนาแจกจ่ายให้แก่ผู้เข้ารับการอบรม และโดยอาศัยเอกสารดังกล่าว ผมกำลังเรียบเรียงขึ้นเป็นหนังสือเล่มหนึ่งภายใต้ชื่อว่า “ความรู้เรื่องเมืองไทย เพื่อรู้จักประเทศไทย, เข้าใจสังคมไทยและตระหนักในความเป็นไทย” เพื่อให้ได้เผยแพร่ในวงกว้าง. หนังสือเล่มนี้น่าจะพิมพ์ออกสู่ตลาดได้ประมาณเดือนกันยายน 2552 พร้อมๆกับหนังสือของผมอีกเล่มหนึ่งที่ให้ชื่อว่า “ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ บานรากของถนนสู่ประชาธิปไตยอันสมบูรณ์”.
          ในการทำความรู้จักกับ “ประเทศไทย” วันนี้ ทั้งผู้ที่ทำหน้าที่แนะนำและผู้ที่รับคำแนะนำ จะต้องตระหนักว่า ในปัจจุบันเมืองไทยกำลังตกอยู่ในความสับสน และจำเป็นจะต้องทำความเข้าใจกับเรื่องดังกล่าวนี้ให้ดีเสียก่อน แล้วจึงจะทำความรู้จัก “ประเทศไทย” ซึ่งในปัจจุบันถูกห่อหุ้มอยู่ด้วยความสับสนในหลายๆเรื่อง.
          สำหรับเรื่องใหญ่ๆที่กำลังมีความสับสนกันอยู่ในเมืองไทย และในความรู้สึกนึกคิดของสาธารณชนคนไทย ในลักษณะที่เป็น “ปัญหาคาใจ” ก็คือเรื่องการเมืองการปกครอง, เรื่องที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ, เรื่องที่ว่าด้วยทัศนะทางสังคม, และเรื่องของวัฒนธรรม. “ความสับสน” ที่ว่านี้มีลักษณะที่ต่างๆกัน และมีที่มาที่ต่างๆกัน.  กล่าวรวมๆก็คือเมืองไทยและคนไทยกำลังมีความสับสนซึ่งทำให้ชีวิตไม่เป็นสุข.  การทำความเข้าใจกับ “ความสับสน” จะช่วยผ่อนคลายความเครียดในการใช้ชีวิตอยู่ในสังคมไทยปัจจุบันไม่มากก็น้อย.
          เรื่องแรกของ “ความสับสน” ก็คือเรื่องการเมืองการปกครอง ซึ่งศูนย์รวมของความสับสนก็อยู่ที่คำว๋า “ประชาธิอปไตย” ซึ่งผมคิดว่าหากลืมคำๆนี้ไปเสียได้ หรือห้ามมิให้ผู้ใดเอ่ยถึงคำๆนี้ “ความสับสน” ในสังคมาไทยจะคลี่คลายลงไปมาก.  แต่ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะคำว่า “ประชาธิปไตย” ได้เข้ามาสิงอยู่ในเลือดเนื้อและวิญญาณของสาธารณชนคนไทยเสียแล้ว, กล่าวคือเข้ามาแต่ “คำ” ประชาธิปไตยเสียเอง.
          ความจริงนับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ. 2475, สาธารณชนคนไทยก็ไม่มีความสับสนในเรื่องประชาธิปไตย อีกทั้งได้ตระหนักถึงคุณประโยชน์ของ “ประชาธิปไตย” อันมีต่อบ้านเมืองและสังคมตลอดจนต่อราษฎร.  คนไทยเข้าใจดีว่าการเปลี่ยนแปลงเมืองไทยเป็น “ประชาธิปไตย” จะต้องใช้เวลานานพอสมควร เพราะขึ้นอยู่กับการศึกษาของประชาชน ซึ่งรัฐบาลก็ได้พยายามทำนุบำรุงอย่างเต็มกำลังความสามารถมาโดยตลอด.
          “ความสับสน” ในคำว่า “ประชาธิปไตย” ก่อตัวขึ้นพร้อมกับการรุกคืบเข้ามาของ “คอมมิวนิสต์” ซึ่งชูธงว่าทำการต่อสู้เพื่อได้มาซึ่ง “ประชาธิปไตย” ในขณะที่ทางฝ่ายรัฐบาลก็ประกาศว่าจะต้องกวาดล้าง “คอมมิวนิสต์” ให้หมดสิ้นไป เพื่อรักษา”ประชาธิปไตย”เอาไว้.  การอ้าง “ประชาธิปไตย”โดยทั้งสองขั้วที่ต่อสู้กัน, แม้ว่าจะมีการเรียกชื่อเฉพาะว่าฝ่ายหนึ่งเป็น “เสรีประชาธิปไตย” ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งคือ “ประชาธิปไตยคอมมิวนิสต์” ก็มิได้คลี่คลายความสับสน. ต่อมาฝ่าย “คอมมิวนิสต์” หมดกำลังไป พร้อมกับการเข้ามามีอิทธิพลเหนือเศรษฐกิจ, สังคมและการเมืองของระบบ”ทุนนิยม” ซึ่งอ้างว่าเป็น “เสรีประชาธิปไตย”ของจริง.  แต่มิช้ามินานสาธารณชนก็เริ่มรู้สึกว่าภายใต้ระบบเศรษฐกิจดังกล่าว สังคมไทยได้แตกแยกออกเป็น “นายทุน” ฝ่ายหนึ่ง และ “ผู้ใช้แรงงาน”อีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งแม้จะร่วมกันผลิต แต่การแบ่งสรร “มูลค่าเพิ่ม” ที่เกิดจากการผลิตนั้น ก็ยึดถือเอาผลประโยชน์ของ “นายทุน”เป็นหลัก จึงเกิดความไม่แน่ใจในความหมายของคำว่า “เสรีประชาธิปไตย”.  มาถึงในปัจจุบัน สังคมไทยด้แบ่งแยกออกเป็นพวก, ที่ชื่นชมศรัทธา “ทักษิน” ฝ่ายหนึ่ง และที่ต่อต้าน “ทักษิน” อีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็อ้าง “เพื่อประชาธิปไตย”.  ดังนั้นหากสังคมไทยจะไม่ตกอยู่ใน “ความสับสน” แล้ว จะเรียกว่าอะไร.
          คำว่า “ประชาชน” ก็คล้ายกัน.  ทั้งๆที่”ประชาชน” หมายถึงกลุ่มบุคคลต่างๆที่เป็น “สามัญชน” คือมิใช่ข้าราชการ, พ่อค้า หรือพระสงฆ์องค์เจ้า (ตามที่กล่าวกันว่า ข้าราชการ พ่อค้าและประชาชน), มิได้หมายถึง “ปวงชน” ซึ่งเป็นชนทั้งประเทศผู้เป็นเจ้าของ “อธิปไตย”, แต่เมื่อการชุมนุมครั้งใดมี “ประชาชน”มาร่วมกันจำนวนมากๆ ก็อ้างว่าเป็น “ปวงชน”.  ดังนั้นจึวเกิดความสับสนว่า “ประชาชน” พวกไหน, ของใคร และสวมเสื้อสีอะไร, แต่ที่แน่ๆก็คือแต่ละกลุ่มของ “ประชาชน” หาใช่ “ปวงชนชาวไทย” แต่อย่างใด, ซึ่งจะอ้างสิทธิเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงสิ่งใดที่มีความสำคัญต่อบ้านเมืองและสังคมไม่ได้.
          เรื่องของ “เศรษฐกิจ” ยิ่งสับสนกันใหญ่ เพราะลักษณะของปัญหาเกี่ยวกับการทำมาหากิน ดังนั้น “สามัญสำนึก” จึงถูกใช้ประโยชน์อย่างปราศจากขอบเขตในการเสนอปัญหา, วิเคราะห์ปัญหา แลชะเรียกร้องนโยบายและมาตรการแก้ปัญหา.  ในปัจจุบัน สาธารณชนคนไทยตกอยู่ใน “ความสับสน” ไม่ทราบว่าสิ่งใดถูกต้อง เพราะความขัดแย้งทางการเมืองไม่เปิดโอกาสให้ได้ตั้งสติทำความเข้าใจในเรื่องของ “เศรษฐกิจ”ตามหลักวิชาการและข้อเท็จจริง.
          สำหรับ “ทัศนะทางสังคม” ก็มีความสับสนเช่นเดียวกับในเรื่องการเมืองการปกครองและเรื่องของเศรษฐกิจ โดยเศรษฐกิจมีอิทธิพลเหนือทัศนะทางสังคม และทัศนะทางสังคมมีอิทธิ พลต่อการเมืองการปกครองของประเทศ.  ในปัจจุบัน ทัศนะทางสังคมมีความโน้มเอียงไปสู่การยอมรับ “ธนานุภาพ” คือถือว่า “เงิน” เป็นใหญ่ และยอมรับผลประโยชน์ของบุคคลและกลุ่มบุคคลเหนือประโยชน์ของประเทศชาติ, ของบ้านเมืองและของส่วนรวม.
          ความสับสนในเรื่องของวัฒนธรรมที่ปรากฏชัดเจนก็คือ ทั้ศนะทางสังคมที่กล่าวว่า “วัฒนธรรมตะวันตก” เข้ามาทำให้วัฒนธรรมไทยเสื่อมโทรม ทั้งๆที่โดยภาพรวมแล้ว “วัฒนธรรมตะวันตก” ที่สังคมไทยเปิดรับอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลา 150 ปี ไดยกระดับปรับแต่งให้ไทยเราก้าวมาสู้สังคมโลกได้อย่างสง่างาม.  สำหรับบรรดาสิ่งที่ไม่ดีงามทั้งหลายนั้นมีลักษณะเป็น “ขยะ” อันไม่พึงประสงค์ของทุกๆวัฒนธรรม.
          ลักษณะ “ความสับสน” ในสังคมไทยก็มีหลายประการ อาทิความสับสนในความคิดเห็น, ความสับสนในข้อเท็จจริง, ความสับสนในพฤติกรรม, ความสับสนในความเชื่อความศรัทธา, ความสับสนในคำอธิบายและการชี้แจง และความสับสนในความหมายของภาษาที่ใช้.  “ความสับสน”ดังกล่าวนี้เนื่องมาจากสังคมไทยขาด “จิตสำนึก” ทางประวัติศาสตร์, วิทยาศาสตร์ และจริยธรรม, จิตใจของผู้คนโดยทั่วไปถูกครอบงำด้วยระบบเศรษฐกิจทุนนิยม, การขาดอุปนิสัยในการศึกษาทำความเข้าใจกับเรื่องต่างๆที่มีความสลับซับซ้อน, การขาดความมั่นคงในจิตใจของบุคคล, ตลอดจนการตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของ “สื่อมวลชน” ทั้ง “แท้” และ “เทียม” ที่ตกอยู่ในความสับสนเช่นเดียวกับสาธารณชน.

          ที่น่าวิตกก็คือในปัจจุบันมีบุคคลและกลุ่มบุคคล ที่มุ่งประโยชน์ทางการเมือง จงใจที่จะสร้าง “ความสับสน” ให้แก่สาธารณชนคนไทย.

 - บทความจากหนังสือรวมบทความของท่านฯชื่อ "ไขปัญหาคาใจ - ความรู้ความเข้าใจในปัญหาเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม".


...ใครสนใจ inbox ชื่อที่อยู่เข้ามาได้เลย - กระผมจะส่งไปให้ฟรี...เค้าเอามาวางขายแค่ 20 บาท...เองราคาตามปกน่ะ 150 บาท...

วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

พุทธทาสภิกขุ - ธรรมะ ในฐานะระบบการดำเนินชีวิต

ธรรมะ ในฐานะ
ระบบการดำเนินชีวิต.
22 ม.ค. 22




ท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจในธรรม ทั้งหลาย
          การแสดงปาฐกถาธรรม ในวันนี้ อาตมาจะกล่าวโดยหัวข้อว่า “ธรรมะ ในฐานะระบบการดำเนินชีวิต,”  คือกำลังบอกว่า ธรรมะกับระบบการดำเนินชีวิตนั้นคือสิ่งเดียวกัน. เมื่อพูดว่า “การดำเนินชีวิต” ฟังก็ดูเป็นสำนวนคำประพันธ์; แต่เชื่อว่าคงฟังกันออก, คงเข้าใจได้ว่าหมายถึงอะไร.  เมื่อกล่าวโดยหลักธรรมก็ดี, หรือแม้แต่โดยชีววิทยาก็ดี ชีวิตนี้เป็นสิ่งที่ดำเนินเรื่อย หมายถึงเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยไป. เหมือนกับสังขารทั้งหลายอื่นที่มีเหตุมีปัจจัยปรุงแต่งมันก็ดำเนินเรื่อย, ชีวิตมีการดำเนินในตัวมันเอง. ทีนี้เราในฐานะที่เป็นมนุษย์ก็ควบคุมระบบการดำเนินชีวิตนั้นให้เป็นไปอย่างถูกต้องกล่าวคือให้มันเป็นการดำเนิน.

การดำเนินชีวิตถูกต้อง
ต้องประกอบด้วยธรรม.
          ระยะนี้ยังเป็นระยะปีใหม่อยู่ ขอให้นึกถึงข้อที่ว่าเรามักจะพูดกันว่า ปีใหม่ได้เวียนมาบรรจบครบรอบอีกรอบหนึ่ง, แล้วก็ส่งความสุขกัน; หมายความว่า ปีใหม่เวียนมาครบรอบวงหนึ่งทุกๆปี, มันเวียนเป็นวงรอบๆเหมือนเอาเชือกมาขดเป็นวงๆ แล้วก็รวบไว้เป็นขด, อย่างนี้เรียกว่า มัน ไม่ได้ดำเนินไปแล้ว มันมีการขด, มันอยู่นิ่งอย่างนี้; จะอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกให้มาช่วยเท่าไร ก็ช่วยไม่ได้, เพราะว่าชีวิตมันไม่ได้ดำเนินไป มันเหมือนกับขดเชือกล่ามควาย ที่โยนทิ้งอยู่ที่ตรงนี้เป็นขดๆ, มันมัวแต่ขดเป็นรอบๆ.
          นี้เราจะต้องทำให้มันเป็นการเดินไปๆ เป็นช่วงๆเหมือนกับหลักกิโลเมตรที่มีอยู่ข้างถนน มันบอกว่ากี่กิโลเมตรแล้วๆ มันก็ไปกันเรื่อยไป อย่างนี้จึงจะได้.  เมื่อเป็นไปในลักษณะที่ถูกต้องแล้ว มันก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ใสตัวมันเอง, แล้วจะช่วยได้โดยไม่ต้องอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไหนมาช่วยอีก.
          ขอให้เราถือเป็นหลักว่า เหมือนกับเราเดินทางพอ เราเหนื่อยเราก็ต้องหยุดพัก พอหายเหนื่อยเราก็เดินต่อไปอีก, มีลักษณะเป็นการดำเนินชีวิตอย่างนี้.  ปีเก่าเราก็เหมือนกับเดินมาเหนื่อยก็หยุดพักส่งท้ายปีเก่า หายเหนื่อยแล้วก็เดินต่อไป.  นั่นเป็นเรื่องของปีใหม่; นี่คือ การดำเนินชีวิตในความหมายธรรมดาสามัญ ที่เราพอจะมองเห็นกันได้.
          อาตมาจะต้องขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า การดำเนินชีวิตนั้นเป็นตัวธรรมะอยู่ในตัวการดำเนิน นั่นแล้ว; อย่าแยกออกเป็น 2 เรื่อง ว่าดำเนินชีวิตแล้วก็ทำให้ประกอบไปด้วยธรรม นั่นก็ถูก ถูกอย่างยิ่งด้วยเหมือนกัน; แต่อาตมาต้องการมากกว่านั้น คือ ต้องการให้มันเป็นตัวธรรมอยู่ในตัวชีวิตที่กำลังดำเนินไปนั้นเอง.
          ขอเตือนให้ระลึกถึงความหมายของคำว่า ธรรมที่มีอยู่หลายความหมาย.  ความหมายที่ 3 หมายถึง หน้าที่ที่สิ่งที่มีชีวิตจะต้องประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ.  ชีวิตมีหน้าที่ที่จะต้องเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ; นี่คือปัญหาสำคัญ.  เมื่อมีการดำเนินชีวิต ก็หมายความว่ามีการทำหน้าที่ ให้การดำเนินชีวิตนั้นถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ นั่นก็เป็นตัวธรรม, เป็นตัวธรรมะอันสูงสุด อันศักดิ์สิทธิ์ อันประเสริฐอยู่ในตัวมันเอง คือเป็นการดำเนินไปสู่จุดหมายปลายทางที่ถูกต้อง.

ต้องรู้ว่าเราเกิดมาทำไม? จะไปทางไหน?
          เดี๋ยวนี้เราไม่รู้ว่าเราเกิดมาทำไม? เมื่อไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม มันก็ไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหน? ท่านทั้งหลายที่กำลังอยู่นี่เคยสนใจบ้างหรือเปล่าว่า  เราเกิดมาทำไม? ถ้าไม่สนใจ ก็คงจะไม่รู้ว่าจะดำเนินชีวิตไปทางไหน, ทิศไหน? มีจุดจบที่สุดกันที่ตรงไหน?
          มันน่าสังเกตอยู่สักอย่างหนึ่งว่า ตั้งแต่โรงเรียนอนุบาลขึ้นไปจนกระทั่งถึงมหาวิทยาลัยอันสูงสุดในโลก ก็ไม่เคยพูด, ไม่เคยสอน, ไม่เคยชี้แนะกันถึงข้อที่ว่า เกิดมาทำไม? อาตมาเชื่อว่าเป็นอย่างนี้ ท่านทั้งหลายที่ทราบเรื่องดี ก็ลองช่วยกันสอบสวนดู ว่าตั้งแต่โรงเรียนอนุบาลจนถึงมหาวิทยาลัยก็ไม่เคยพูดกันว่าเกิดมาทำไม? ไม่อยู่ในหลักสูตรที่จะสอนให้รู้ว่าเกิดมาทำไม? เด็กๆของเราก็ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม?  เขาก็เอาแต่ต่ทใจชอบของเขา ไม่ต้องสนใจว่าจะให้ไปถึงบัตถุประสงค์ปลายทางอย่างไร.  เดี๋ยวนี้เขาชอบอย่างไร, กิเลสของเขาชอบอย่างไร, เขาก็ทำอย่างนั้น โดยไม่ต้องศึกษาสอบสวนว่า มันจะผิดหรือมันจะถูกอย่างไร.
          มีมากคน ทีเดียวที่เขาไม่ยอมรับรู้ในข้อนี้ ไม่รับรู้ในข้อที่ว่า เราจะต้องรู้เว่าเกิดมาทำไม.  เขาแก้ตัวว่าฉันไม่ไดก้มีหลักฐานหรือมีเจตนาที่จะเกิดมา, ฉันไม่รับรู้, ฉันไม่รับผิดชอบในข้อนี้. เพราะฉะนั้น ฉันรู้สึกว่าอร่อยพอใจอย่างไร ก็ขวนขวายกันอยู่แต่กับสิ่งนั้น; ก็เลยลงมติว่าเกิดมาเพื่อสิ่งนี้.  คนประเภทนี้ตกเป็นทาสของกิเลสเป็นทางของเนื้อหนัง.  วนเวียนอยู่ที่ความเอร็ดอร่อยสนุกสนานเพลิดเพลินในโลกนี้; เหมือนกับเชือกที่มันขดอยู่เป็นวงรอบๆนอนขดอยู่นั่นเอง.
          ปีใหม่มันก็ไม่แปลกไปกว่าปีเก่า; เพียงแต่ว่าสนุกสนานอะไรกันให้มาก มันก็กินให้มาก เล่นให้มากเป็นปีใหม่แล้ว.  นี่อยากจะเรียกว่ามันเป็นชีวิตที่ตายด้าน, ชีวิตที่ขดวงเหมือนกับขดเชื่อกล่ามควายตามทุ่งนา โยนทิ้งอยู่อย่างนั้น; ก็ไปดูทีว่า มันจะดำเนินอย่างไร? คนเหล่านี้ ก็ปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามอำนาจของกิเลส.
          แม้เป็นนักการเมือง ท่านก็ ไม่รู้จะนำโลกไปไหน? นักการเมืองไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม? เขาก็ไม่รู้ว่าจะนำโลกไปทางไหน? ในที่สุดก็นำโลกไปตามความต้องการของตน, นำโลกไปเพื่อประโยชน์ของตน.  มันจะถูกหรือมันจะผิดไม่รับผิดชอบ; เอาได้ประโยชน์ของตนเป็นเรื่องถูกต้อง ก็เรียกว่ามันไม่มีจุดหมายปลายทาง มันก็วนซ้ำอยู่เหมือนกับขดเชือกอยู่ที่นี่เหมือนกัน.
          โลกนี้ไม่ประสบสันติภาพ ตามความมุ่งหมายของการเมือง; ก็เพราะว่านักการเมืองทั้งหลายไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม นั่นเอง.  ถ้าเขารู้ว่าเกิดมาทำไม? เขาก็คงจะพาโลกนี้ไปสู่จุดหมายปลายทาง คือสันติภาพอันถาวรของมนุษย์ได้, เดี๋ยวนี้มันกำลังมีวิกฤตการณ์อันถาวร, วิกฤตการณ์อันซ้ำซากเหมือนกับขดเชือกนั้นเอง ไม่มีจุดหมายปลายทาง.

จุดหมายปลายทางของชีวิต คือภาวะที่หมดปัญหา.
          ทีนี้เราก็จะมาพูดกันถึงจุดหมายปลายทาง.  อะไรเป็นจุดหมายปลายทาง?  อาตมาก็จะตอบอย่างกำปั้นทุบดินว่า จุดหมายปลายทาง นั้นก็คือ ภาวะที่หมดปัญหาต่างๆ ที่กำลังมีเต็มอยู่ในโลกเวลานี้.  โลกเวลานี้เป็นปัญหาเป็นวิกฤตการณ์อย่างไร ถ้าวิกฤตการณ์เหล่านั้นหมดไป; นั่นแหละคือจุดหมายปลายทาง เราทำอย่างนี้กันหรือเปล่า? เราทำเพื่อวัตถุประสงค์อันนี้หรือเปล่า?
          พูดให้น่าฟังสักหน่อยก็ต้องพูดว่า เรามีสันติภาพทั้งของตนเองและของผู้อื่นเป็นจุดหมายปลายทาง.  คนทุกคนในโลกนี้มีความเป็นมนุษย์เต็มที่, มีความหมายแห่งความเป็นมนุษย์เต็มที่ คือแปลว่าสัตว์ที่มีจิตใจสูง อยู่เหนือปัญหา, อยู่เหนือความทุกข์; ไม่ใช่ว่าเป็นสัตว์ที่จะมาวนเวียนอยู่ที่นี่, มาวนเวียนอยู่ที่เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ เป็นขดๆ เหมือนกับขดเชือกล่ามควายอยู่นี่ มันก็ไม่ประสบสันติภาพอันถาวร. เพราะเรือ่งกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรตินั้น มียุให้เห็นแก่ตัว; ทุกคนก็เห็นแก่ตัว เพราะทำไปเพื่อประโยชน์ของตัวมันก็รุกล้ำสิทธิของผู้อื่น.
          นี่ข้อที่ว่าเราเคารพสิทธิมนุษยชนในโลกไม่ได้; แม้แต่ร้องตะโกนกันให้เสียงแห้งเสียงแหบ จนคอแตกทำลายไป มันก็ไม่มีการเคารพสิทธิมนุษยชนในโลกนยี้ได้. เพราะว่าเราไปวนอยู่ที่เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ ซึ่งเป็นการกระทำให้จิตใจนี้เมามัวเห็นแก่ตัว, เขาก็เลยต้องมีความเห็นแก่ตัว.
          เมื่อเห็นแก่ตัวมันก็เกิด ความโลภ จะเอามากๆ เมื่อมีความเห็นแก่ตัว ไม่ได้อย่างที่ตัวต้องการก็เกิด ความโกรธ, แล้วการที่เป็นอยู่อย่างนี้ก็คือ โมหะ คือความหลงอยู่ในตัวมันเอง.
          ถ้าเรา ไม่เห็นแก่ตัวก็ต้องเห็นแก่ผู้อื่น มันก็เกิดความรักแบบสากล คือรู้สึกรักเพื่อนมนุษย์ทุกคน : ว่า ทุกคนเป็นเพื่อนทุกข์ เพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย; ไม่มีกู ไม่มีมึง ไม่มีฝ่ายกู ไม่มีฝ่ายมึง, นั่นแหละจุดหมายปลายทางของมนุษย์ จะต้องขึ้นไปจนถึงนั่น เขาเรียกกันว่า ศาสนาพระศรีอาริย์ก็ได้.
          ถ้าเป็นศาสนาพระศรีอาริย์ จะต้องไม่มีกู ไม่มีมึง; อย่างที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า ถ้าลงจากบ้านลงไปสู่ท้องถนนก็จำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร; เพราะมันดีเหมือนกันไปหมด, มันพวกเดียวเหมือนกันหมด. ต่อเมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วจึงค่อยรู้ว่านี่บุตรนั่นภรรยาของเรา สามีของเรา; มันดีเหมือนกันหมดถึงอย่างนี้.  นี่เรียกว่าผลของการที่เราไปถึงจุดหมายปลายทางของความเป็นมนุษย์.

มัชฌิมาปฏิปทาจะช่วยให้ถึงจุดหมายปลายทาง.
          ทีนี้ก็จะพูดต่อไป ถีงการที่ จะถึงจุดหมายปลายทางของความเป็นมนุษย์ได้อย่างไร?
          เมื่อกล่าวตามหลักของพระพุทธศาสนาแล้ว ก็คือสิ่งที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา-ทางสายกลาง.  มัชฌิมาปฏิปทานี้ แบ่งแยกออกได้เป็น 2 ฝ่าย คือ มัชฌิมาปฏิปทาส่วนปัจเจกชน ส่วนบุคคลเป็นคนๆไป, กับ มัชฌิมาปกิปทาในส่วนสังคม รวมกันทั้งหมดเป็นหมู่ๆ.
          เดี๋ยวนี้เราไม่มีมัชฌิมาปฏิปทา คือมีแต่ขาด มีแต่เกิน, หรือว่ามันเป็นเรื่องขาดเรื่องเกิน มันไม่พอเหมาะพอดีอยู่ที่ตรงกลาง.  ว่าที่จริงแล้วมันก็ไม่มีใครขาดแหละ มันมีแต่เกินทั้งนั้น; ในเรื่องขาดนี่ไม่มีใครชอบ มันจึงไม่มีใครขาด, มีแต่คนมุ่งหมายเกิน แล้วก็ทำไปจนเกิน.  หรือว่าถ้าจะขาดไป มันก็เพราะว่าเขาไปตั้งความปรารถนาไว้เกิน คือให้มันมากเกินไป.
          คนจนต่ำต้อยก็พยายามจะทำให้ขึ้นหน้าคนมั่งมี มีลักษณะที่จะขี้ตามช้างกันอยู่ทั่วๆไป; อย่างนี้ก็พิจารณาดูว่ามันจะขาด หรือจะเกิน? ถ้ารู้สึกว่าขาดนั้นก็เพราะว่ามันตั้งความปรารถนาไว้ เกินไป; มันก็ไม่ได้เต็มตามที่ปรารถนา.  แต่ความปรารถนานั้นมันก็เกินไปแม้จะมีความพยายามที่เกิน มันก็ไม่ได้ตามที่ตัวปรารถนา.
          เดี๋ยวนี้เรามี การกินที่เกิน การนุ่งห่มที่เกิน ที่อยู่อาศัย เครื่องมือเครื่องใช้สอยที่เกิน มีการประเล้าประโลมตนที่เกิน.
          เรื่องกินเกิน  นี้ ก็เห็นได้กันอยู่ทุกคนแล้ว อาตมาไม่ต้องอธิบาย; เพราะท่านทั้งหลายจะรู้ดีกว่าอาตมาเสียอีก ว่าเรากำลังกินในลักษณะที่เกิน : ดีเกิน แพงเกิน มากเกิน บ่อยเกิน อะไรล้วนแต่เกิน จะนอนอยู่แล้วก็ ยังจะกิน.
          เครื่องนุ่งห่ม  นี่ก็ไปยอมเสียแพงๆ ที่ทำให้มีลวดลายสีสันอย่างนั้นอย่างนี้ ประดับประดาอย่างนั้นอย่างนี้ซึ่งมันก็ต้องแพง.
          เครื่องใช้ไม้สอยเกิน  ก็คือต้องให้มันดีที่สุด ที่กิเลสมันต้องการ.  ที่อยู่อาศัยและเครื่องใช้สอย ก็ต้องให้อยู่ในงบประมาณที่ตัวอยากจะมี มีรถยนต์ 2 คันไม่พอต้อง 3 คัน 4 คัน; รถยนต์ราคราหมื่นไม่ได้ ต้องแสน; แมนไม่ได้ ต้องล้าน.
          มีเครื่องประเล้าประโลมใจที่เกิน  ต้องมีฟ้อนรำขับร้องดนตรี การเบ่นต่างๆที่เป็นข้าศึกแก่กุศล.  นี่เกินสำหรับทำให้วินาศ.  แล้วก็มีลูบทาประดับประดาตกแต่งซึ่งมันไม่จำเป็นจะต้องทำ; นี่มันอยู่ด้วยการเกิน.
          ถ้าเป็น มัชฌิมาปฏิปทา มันต้องไม่เกิน, ต้องพอดีพอเหมาะ  แล้วมันจะเกิดเป็นความถูกต้อง 8 ประการขึ้นมา ที่เรียกันว่า “อริยมรรคมีองค์แปด”.

มัชฌิมาปฏิปทาช่วยเปลื้องปัญหา
ทั้งบุคคลและสังคม.
          “อริยมรรคมีองค์แปด”  คือ ความคิดเห็นถูกต้อง, ความปรารถนาถูกต้อง, การพูดจาถูกต้อง, การงานถูกต้อง, การดำรงชีวิตถูกต้อง, การพากเพียรถูกต้อง, สติถูกต้อง, สมาธิถูกต้อง;  เป็นความถูกต้อง 8 ประการ, มีองค์แปดประการขึ้นมา เป็นหนทางอันเป็นทางสายกลาง.  จะเรียกว่ามี ศีล สมาธิ ปัญญา ก็ได้ใน 8 ประการนั้น ก็เป็นการทำให้หมดปัญหา : ทางกายวาจา ก็ไม่ผิดพลาด, ทางจิต ก็ไม่มีพลาด, ทางสติปัญญา ความคิด ความนึก ก็ไม่มีผิดพลาด, เป็นการดำรงชีวิตชนิดที่ไม่มีปัยหาใดๆจะเกิดขึ้น สำหรับทรมานใคร : ไม่ทรมานตนเอง ไม่ทรมานผู้อื่น. อย่างนี้เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทาส่วนบุคคล เป็นการดำเนินชีวิตไปในทางที่ถูกต้อง.
          มัชฌิมาปฏิปทาส่วนสังคม  ก็คือ ไม่มีซ้าย ไม่มีขวา ไม่มีมึง ไม่มีกู มีแต่เรา.  อาตมาสังเกตดูพฤกษชาติในดงทึบมันอยู่กันอย่างไม่มีมึง ไม่มีกู ไม่มีซ้าย ไม่มีขวา มีแต่เรา; ต้นไม้ขนาดยักษ์อยู่ได้กับพวกตะไคร่ที่โคนต้น และเฟิร์นเล็กๆก็ขึ้นงามอยู่ที่โคน. มันไม่เป็นข้าศึกแก่กันทั้งๆที่มันมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงกว่ากันเหลือประมาณ;  ในดงทึบนั้น ต้นไม้ใหญ่ก็อยู่กับตะไคร่หญ้าบอน เฟิร์นที่โคน.  ถ้าต้นไม้ใหญ่ถูกโค่นลงไปกับแดดก็แผดเผา พวกเฟิร์นหรือตะไคร่เหล่านั้นแห้งตายหมด, หรือถ้าไม่มีเฟิร์น ไม่มีตะไคร่เหล่านี้ ก็ไม่มีความชุ่มชื้นพอ ที่จะทำให้ต้นไม้ยักษ์นั้นใหญ่โตเติบได้. นี่มันอยู่กันพอดีอย่างนี้ทั้งๆทีมันมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงมาก.
          ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงนั้นมันเป็นสิ่งที่ต้องมี มีโดยกฏของธรรมชาติ นี่ช่วยไม่ได้ มันตองมี, กฏของกรรมมันก็ต้องมี, ต้องมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูง; แต่มันอยู่กันได้เพราะการมีธรรมะ; มรธรรมะ คือมันประสมประสานกัน มันอาศัยซึ่งกันและกัน.  มนุษย์ก็อยู่โดยมีธณรมะอยู่กันได้ทั้งๆมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงกว่ากัน.

เมื่อทิ้งศาสนามนุษย์ก็เกิดเห็นแก่ตัว
คืออุปัทวะต่างๆ.
          ต่อมา มนุษย์ได้ละทิ้งธรรมะ ละทิ้งศาสนา จึงเกิดคนที่เห็นแก่ตนเอาเปรียบคนอื่น, เกิดเป็นคนร่ำรวยแข็งแรง มีอำนาจวาสนาขึ้นมา; มันกลายเป็นนายทุนกระดาษซับ คือซับเอาประโยชน์ของคนอื่นมาจนหมดจนแห้ง; เพิ่งเกิดนายทุนกระดาษซับขึ้นมาในโลกนี้ใหม่ๆหยกๆ เมื่อมนุษย์ละทิ้งศาสนาละทิ้งธรรม, เศรษฐีใจบุญแต่กาลก่อน ก็หายหน้าไปหมด; ลัทธิชนกรรมาชีพอันโหดร้าย ที่จะทำลายล้างนายทุนก็เกิดขึ้นมา เพราะว่าได้เกิดนายทุนที่มีขึ้นมาจากการละทิ้งศีลธรรม; คนจนก็ต้องละทิ้งศีลธรรมเพื่อทำการต่อสู้.
          อุปัทวะนี้เพิ่งเกิดเมื่อมนุษย์ละทิ้งศาสนาละทิ้งธรรมะ; ถ้ามนุษย์ยังมีธรรมะ ยังมีศาสนา ลัทธินี้ไม่อาจจะเกิด.
          ขอให้พิจารณาดูให้ดี นายทุนคิดว่าจะครองโลกมันก็บ้าพอดูอยู่แล้ว; แต่ถ้ากรรมกรคิดจะครองโลก มันก็คงจะบ้ามากขึ้นไปกว่านั้นอีก.  นายทุนครองโลก ก็คิดจะกอบโกยถึงที่สุด; กรรมกรครองโลก ก็คิดจะกอบโกยเพื่อตัวเอง, แล้วก็กลับเป็นนายทุนในที่สุด, ฉะนั้น ธรรมะครองโลกดีกว่า จะมีความถูกต้องเหมาะสมทั้ง 2 ฝ่าย คือทั้งฝ่ายนายทุนและทั้งฝ่ายกรรมกร.  ความเหลื่อมล้ำจะไม่มีปัญหาอีกต่อไป คือ นายทุนกับกรรมกรก็จะอยู่กันได้ ถ้าทั้ง 2 ฝ่ายต่าง รู้ชัดในข้อเท็จจริงที่ว่า มันต้องอาศัยกันและกัน, มีธรรมะเป็นเครื่องทำความอาศัยซึ่งกันและกัน.  ถ้าไม่มีกรรมกร, นายทุนก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่มีแรงงาน; ถ้า ไม่มีนายทุน กรรมกรก็ไม่มีงานอะไรจะทำ.  มันเป็นการช่วยกันให้ทำตามที่ตัวประสงค์ หรือควรประสงค์ได้ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย โดยต้องอาศัยกันและกันอย่างนี้; มิฉะนั้นก็จะตายทั้ง 2 ฝ่าย.
          นี่เรียกว่า เราจะต้องแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำต่ำสูงให้ได้; ให้มันอยู่กันได้เหมือนกับที่ว่า ในโลกนี้มันต้องมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงตามธรรมชาติ.  ในทะเลปลาใหญ่ปลาเล็กอยู่ด้วยกัน จนเต็มทะเลเกือบจะไม่มีน้ำ เพิ่งหมดไปเมื่อมนุษย์เข้าไปเกี่ยวข้อง.  ในป่าในดงมีทั้งเสือและกวางเกลื่อนไปหมด มันเพิ่งหายไปเมื่อมนุษย์เข้าไปเกี่ยวข้อง.  ถ้าปล่อยตามธรรมชาติ ถึงแม้ว่ามันจะมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงอย่างไร มันก็อยู่กันได้ นี่เรียกว่าจะต้องอาศัยอยู่กันอย่างมีธรรมะ อยู่กันอย่างเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย.

เอกลักษณ์ไทย
ต้องมีวิธีดำเนินชีวิตตามหลักศาสนา.
          ในที่สุดนี้ จะขอพูดถึงสิ่งที่พูดกันมากสักสิ่งหนึ่งคือ สิ่งที่เรียกว่า “เอกลักษณ์ไทย” เอกลักษณ์ไทย นั่นแหละคือ วิถีแห่งการดำเนินชีวิต ที่ถูกต้องตามหลักแห่งพระศาสนาที่ออกมาเป็นวัฒนธณรมไทย เอกลักษณ์ไทย คือการอยู่กันอย่างเพื่อนมนุษย์, อย่างเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย, นี่คือเอกลักษณ์ไทย.
          เอกลักษณ์ไทย ไม่ใช่ลายกนกไทย ไม่ใช่เพลงไทย ไม่ใช่ดนตรีไทย ไม่ใช่โขน ไม่ใช่รำไทย หรืออะไรต่างๆที่เขาชอบเรียกกันว่าเอกลักษณ์ไทย.  เอกลักษณ์ไทยต้องเป็นการอยู่กันได้แม้มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงอย่างที่ปู่ย่าตายายเราเคยอยู่กันมา.  ปู่ย่าตายายของเราไม่ยอมรับว่าเพลงไทย ดนตรีไทย โขน ละคร รำไทยนั้นเป็นเอกลักษณืไทย.  ท่านกลับจะถือว่า ค่ำเช้าเฝ้าสีซอ เข้าแต่หอล่อกามา นี้มันคนบ้า, คนที่ทำความฉิบหายมากกว่า.  มันต้องอยู่ด้วยจิตใจที่มีความสะอาด มีความสว่าง มีความสงบ ประกอบอยู่ด้วยธรรมะ ที่เนื้อที่ตัว; นี่แหละ คือเอกลักษณ์ไทย.
          คนไทยยิ้มเสมอ เพราะมีธรรมอยู่ในเนื้อในตัวอยู่ในใจ  ดลบันดาลออกมาทางสีหน้า ทำให้คนไทยยิ้มเสมอ.  ปู่ย่าตายายที่เป็นคนไทยแท้ มีความเชื่อตัวเอง, คือเชื่อในธรรม; มีการบังคับตัวเอง ให้อยู่ในธรรม มีการเคารพตัวเอง เพราะมีธรรมไม่แพ้พวกฝรั่ง.  พวกฝรั่งที่เขาเพิ่งมาสู่ตะวันออกใหม่ๆ เขาคุยโอ่ในเรื่องความเชื่อตัวเอง (self confidence) การบังคับตัวเอง(self control) การเคารพตัวเอง (self respect).
          คนที่ไปเรียนเมืองนอกเมืองนาสมัยโน้น จบมหาวิทยาลัยกลับมาแล้วก็ พูดกันถึงเรื่องความเป็นสุภาพบุรุษ พูดกันแต่ เรื่องการเชื่อตัวเอง เคารพตัวเอง บังคับตัวเอง  เด่ยวนี้ไม่ได้ยิน.  ผู้สูงอายุคงจะจำได้ ว่าเมื่อเราเด็กๆนั้นได้ยินคำนี้มากเหลือเกิน; เดี๋ยวนี้ไม่ได้ยิน.  พอฝรั่งเปลี่ยน กลายเป็นตัวอย่างแห่งความไม่มีสิ่งเหล่านั้นคือ ไม่เชื่อตัวเอง ไม่บังคับตัวเอง ไม่เคารพตัวเองมาแสดงแต่ความนิยมทางวัตถุ เทคโนโลยีทางวัตถุเราก็ตามก้นเขา.  ดังนั้นเราก็หมดความเป็นไทย หมดเอกลักษณ์ไทย; ไม่มีอะไรจะเป็นเอกลักษณ์ไทยจริงๆเหลืออยู่.  นอกจากดนตรีไทย เป็นต้น.  อย่างนี้มันไม่ช่วยประเทศชาติได้.  มันไม่ช่วยความเป็นไทย ให้มีอยู่อย่างรอดหรือเป็นอิสระได้.
          ขอให้เราฟื้นเอกลักษณ์ไทยให้กลับมา ให้มีการดำเนินชีวิตที่ประกอบไปด้วยธรรม, มีธรรม คือการประพฤติกระทำให้ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ; แล้วเราก็จะอยู่กันอย่างเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายกัน; แม้จะเหลื่อมล้ำต่ำสูงกว่ากันอย่างไร ก็ยังอยู่กันได้เหมือนต้นไม้ในดงทึบ. แ ต้นไม้ขนาดยักษ์ยังอยู่ได้กับหญ้าบอน ต้นเฟิร์นและตะไคร่ โดยไม่ต้องมีปัญหา.  มนุษย์จะเลวกว่าพฤกษชาติเหล่านี้ได้อย่างไร.
          นี่แหละคือวิถีทางแห่งการดำเนินชีวิต จะไป สู่จุดๆหนึ่งที่เรามีสันติสุขมีสะนติภาพอันถาวร;  ไม่มีปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำต่ำสูง. ไม่มีความผิดพลาดในเรื่องกิน จนเป็นเหตุให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง เพราะเห็นแก่ตัวเกิน.  นี่เรียกว่า ธรรมะในฐานะเป็นระบบการดำเนินชีวิต.  ขอให้เรามีชีวิตที่เป็นการดำเนิน อย่าให้เป็นเหมือนเชือกล่ามควายขดทิ้งอยู่ที่นี่.

          เวลาสำหรับปาฐกถาธรรมหมดแล้ว อาตมาขอยุติการบรรยายในวันนี้ไว้เพียงเท่านี้.
*********

:- จากหนังสือชื่อ "ธรรมะ ทำไม"





วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

การหัวเราะ หุหุหุ อันล้ำเลิศ - ไอแซค อาสิมอฟ

1
การหัวเราะ หุหุหุ อันล้ำเลิศ

แฮนลีย์ บาร์แทรม เป็นแขกเชิญ, ในคืนนั้น, ของ สมาคมพ่อหม้ายแมงมุมดำ, ที่พบปะกันเดือนละครั้งในความเงียบสงัดดุจผีสิงและคำสาบานถึงตายของพวกเขาที่มีต่อสตรีใดที่บังอาจรุกล้ำเข้ามา—สำหรับหนึ่งราตรีต่อเดือนนั่น, ในทุกอัตรา.
          จำนวนของผู้เข้าร่วมมักแปรเปลี่ยนได้: สมาชิกห้าคนปรากฏอยู่ในโอกาสนี้.
          จอร์ฟฟรีย์ อวาลอน เป็นเจ้าภาพสำหรับเย็นนี้. เขาร่างสูง, มีหนวดที่ขลิบเล็มไว้อย่างประณีตและเคราเล็กๆ, ขาวมากกว่าจะสีดำในตอนนี้, แต่กับด้วยผมที่เกือบดำจนมากกว่าที่เคยเป็น.
          ในฐานเจ้าภาพ, เป็นภาระหน้าที่ของเขาที่จะเสนอการดื่มอวยที่เป็นเครื่องหมายการเริ่มต้นของดินเนอร์เฉพาะการนี้. ด้วยเสียงดัง, และด้วยเพลิดเพลิน, เขากล่าว, “แด่ราชาโคลเฒ่าแห่งความทรงจำอันศักดิ์สิทธิ์. ขอให้ปี่ของเขาอยู่ชั่วนิรันดร์, ชามของเขาเต็มเปี่ยมตลอดกาล, นักซอทั้งหลายของเขาแข็งแรงตลอดกาล, และขอให้เราทั้งปวงจงได้รื่นรมย์ดุจดังพระองค์ตลอดชีวิตทั้งปวงของเขาเทอญ.”
          แต่ละคนต่างเปล่งเสียงร้อง, “สาธุ,” แตะริมฝีปากของเขาเพื่อดื่ม, แล้วนั่งลง. อวาลอน วางเครื่องดื่มของเขายังด้านข้างจานของเขา.  มันเป็นแก้วที่สองของเขาและตอนนี้เต็มอยู่เพียงครึ่งอย่างชัดเจน. มันจะอยู่เช่นนั้นไปตลอดการดินเนอร์และจะไม่ถูกแตะต้องอีกเลย. เขาเป็นนักกฎหมายสิทธิบัตรและเขาแบกมันมาสู่สังคมชีวิตของเขาทุกพลความของงานของเขา. หนึ่งและครึ่งของการดื่มเป็นที่เที่ยงตรงชัดในอะไรที่เขาอนุญาตตนเองสำหรับโอกาสเยี่ยงนี้.
          โธมัส ทรัมบุลล์ โครมครามขึ้นมาทางบันไดในนาทีสุดท้าย, ด้วยเสียงตามเคยร้องมาว่า “เฮนรี่, สก็อตช์และโซดาสำหรับชายที่กำลังจะตายด้วย.”
          เฮนรี่, เป็นบริกรซึ่งทำหน้าที่สารัตถะนี้มาหลายปีแล้วในตอนนี้(และไม่มีนามสกุลสำหรับพ่อหม้ายแมงมุมดำคนใดที่เคยได้ยินและใช้), มีสก็อตช์และโซดาอยู่ในความพร้อมเรียบร้อยแล้ว. เขาดูราวหกสิบแต่ใบหน้าของเขานั้นไร้ริ้วรอยยับย่นและเงียบขรึม. เสียงของเขาดูเหมือนถอยระยะไกลออกไปเมื่อเขาพูด. “ตรงนี้แล้วครับ, มร.ทรัมบุลล์”
          ทรัมบุลล์ พบเห็น บาร์แทรม ในทันทีและบอกกับ อวาลอน ที่ด้านข้าง, “แขกเชิญของตุณรึ?”
          “เขาร้องขอที่จะมา,” อวาลอนบอก, ในราวเกือบกระซิบเท่าที่เขาจะจัดการได้. “เป็นเกลอที่น่ารัก. แล้วคุณจะชอบเขา.”
          ดินเนอร์ในตัวมันเองคละเคล้ากันไปดุจเดียวกับกิจกรรมของ พ่อหม้ายแมงมุมดำ ตามปกติที่เป็น. เอ็มมานูเอล รูบิน, ผู้ที่มีเคราอีกคน—เบาบางและยุ่งเหยิงอันหนึ่งใต้ปากที่เปิดอ้ากว้างฟันเต็ม—ได้ทำลายกล่องของนักประพันธ์ออกมาและละโมบให้รายละเอียดของเรื่องราวที่เขาเพิ่งทำเสร็จ. เจมสิ์ เดรค, ด้วยใบหน้าสี่เหลี่ยม, มีหนวดแต่ไร้เครา, กำลับสอดแทรกด้วยความทรงจำทั้งหลายของเรื่องราวอื่นๆ, ขนานเชื่อมโยงคู่กันไป. เดรค เป็นนักเคมีอินทรีย์แต่เขามีความรู้ระดับสารานุกรมของนิยายชั้นต่ำ.
          ทรัมบุลล์, ในฐานผู้เชี่ยวชาญถอดรหัส, พิจารณาตัวเขาเองให้เขาไปอยู่วงในของคณะที่ปรึกษารัฐบาลและนำมันเข้าไปในหัวของเขาเพื่อเป็นที่รุนแรงกับการประกาศทางการเมืองของ มาริโอ ก็อนซาโล่.  “ให้ตายห่าดิ่,” เขาตะโกน, หนึ่งในอารมณ์ประนามผู้อื่นอันน้อยนิดของเขา, “ทำไมคุณไม่ทิ่มอยู่กับสหายปัญญาอ่อนของคุณและกระสอบป่านทั้งหลายของคุณแล้วปล่อยให้กิจการทั้งหลายของโลกไว้กับใครที่ดีกว่าของคุณซะล่ะ?”
          ทรัมบุลล์ ไม่ได้ฟื้นขึ้นมาจาก ศิลปะการแสดงเดี่ยวของ ก็อนซาโล่ ตอนต้นเริ่มของปีนั้น, และ ก็อนซาโล่ เข้าใจในเรื่องนี้ดี, หัวเราะออกมาอย่างธรรมชาติอารมณ์ดี, และพูดว่า, “แสดงให้ผมดูมาดิ่ว่าใครล่ะที่ดีกว่า. บอกมาสักชื่อหนึ่ง.”
          บาร์แทรม, ร่างสั้นและท้วม, กับผมที่ม้วนเป็นลอนๆ, เกาะแน่นอยู่กับบทของเขาในฐานแขกเชิญ. เขาฟังทุกๆคน, ยิ้มกับทุกๆคน, และพูดน้อย.
          ในที่สุดก็ถึงเวลาเมื่อ เฮนรี่ ได้รินกาแฟและเริ่มต้นที่จะวางของหวานตรงหน้าแขกรับเชิญแต่ละคนด้วยอาการชำนาญปานเล่นกลที่ฝึกฝนมาดี. มันเป็นในชั่วขณะนี้เองที่ประเพณีการบดเค้นของแขกเชิญได้คาดหวังว่าจะเริ่มขึ้น.
          ผู้สอบถามนำคนแรก, เกือบเป็นตามประเพณี (ในโอกาสเหล่านั้นเมื่อเขาได้อยู่ร่วมด้วย) ก็คือ โธมัส ทรัมบุลล์. ใบหน้าดำคล้ำของเขา, ยับย่นราวกับขุ่นใจมายาวนาน, มองดูโกรธเกรี้ยวเมื่อเขาเริ่มขึ้นด้วยคำถามเปิดที่ไม่เคยแปรเปลี่ยน: “มร.บาร์แทรม, คุณให้เหตุผลการมีอยู่ของคุณว่าเช่นไร?”
          บาร์แทรม ยิ้ม. เขาพูดด้วยความแม่นยำเมื่อเขาบอก, “ผมไม่เคยได้พยายามทำ. ลูกค้าของผม, ในเหตุโอกาสเหล่านั้นที่ผมสร้างความพึงพอใจให้, พบว่าการมีอยู่ของผมนั้นสมควรแล้ว.”
          “ลูกค้าของคุณรึ?” รูบิน พูด. “คุณทำงานอะไรหรือ, มร.บาร์แทรม?
          “ผมเป็นนักสืบเอกชน.”
“ดี,” เจมสิ์ เดรค ว่า. “ผมไม่คิดว่าเราจะเคยมีสักรายหนึ่งมาก่อน. แมนนี่, คุณน่าจะได้ข้อมูลที่ถุกต้องบางอย่างสำหรับการเปลี่ยนแปลงเมื่อคุณเขียนถึงพวกบรรดาชายกร้าวแกร่งเห่ยๆนั่น.”
          “คงไม่จากผมหรอกครับ,” บาร์แทรม พูดอย่างรวดเร็ว.
          ทรัมบุลล์ ถลึงตาใส่. “ถ้าคุณไม่รังเกียจนะ, ท่านสุภาพบุรุษ, ในฐานะนักบดเค้นที่ได้รับมอบหมาย, กรุณาปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผม. มร.บาร์แทรม, คุณพูดถึงเหตุโอกาสเหล่านั้นที่คุณได้ให้ความพึงพอใจ. คุณมักจะให้ความพึงพอใจได้เสมอรึ?”
          “มีบางครั้งที่เหตุสาระถูกโต้แย้งบ้างครับ,” บาร์แทรม พูด. “ที่จริงแล้ว, ผมอยากที่จะบอกกับพวกคุณในค่ำนี้เกี่ยวกับเหตุโอกาสหนึ่งซึ่งน่าฉงนถามเป็นพิเศษยิ่ง.  มันอาจจะกระทั่งเป็นหนึ่งในพวกคุณน่าจะเป็นประโยชน์ในการเชื่อมโยงด้วยนั้น. ด้วยเช่นนั้นในใจที่ผมขอร้องเพื่อนที่แสนดีของผม เจฟฟ์ อวาลอน ให้เชื้อเชิญผมมายังการพบปะนี้, เมื่อผมได้เรียนรู้รายละเอียดขององค์กรนี้. เขาเอื้อเฟื้อและผมยินดียิ่ง.”
          “คุณพร้อมในตอนนี้ที่จะถกถึงความพึงพอใจอันน่าสงสัยที่คุณให้หรือไม่ได้ให้, ในคดีที่น่าจะเป็นแล้วไหม?”
          “ครับ, ถ้าคุณจะอนุญาตผม.”
          ทรัมบุลล์ มองดูคนอื่นๆเพื่อหาสัญญานที่ไม่เห็นพ้อง. ดวงตาโดดเด่นของ ก็อนซาโล่ถูกจับจ้องยัง บาร์แทรม ในขณะที่เขาพูด, “เราสอดแทรกบ้างได้ไหม?” อย่างรวดเร็ว, และด้วยการตวัดอย่างมัธยัสถ์อันน่ายกย่อง, เขากำลังวาดภาพล้อเสมือนบุคคลของ บาร์แทรม บนด้านหลังของบัตรเมนูอาหาร. มันจะถูกนำไปร่วมกับอันอื่นๆของแขกรับเชิญที่น่าจดจำและสวนสนามอย่างห้าวหาญขึ้นไปเรียงต่อแถวบนผนังเหล่านั้น.
          “ด้วยเหตุผลครับ,” บาร์แทรม บอก. เขาหยุดชั่วขณะเพื่อจิบกาแฟของเขาและพูโต่อไป, “เรื่องราวนี้เริ่มต้นด้วย แอนเดอร์สัน, ผู้ซึ่งผมจะกล่าวถึงในแบบนั้น. เขาเป็น พนักงานสอบซื้อ –แอค
ควิสิเตอร์.”
          “พนักงานสอบสวน -อินควิสิเตอร์ อ่ะรึ? ก็อนซาโล่ ถาม, ขมวดคิ้ว.
          “พนักงานสอบซื้อครับ. เขาหาสิ่งของมา, เขาเป็นเจ้าของพวกนั้น, เขาซื้อพวกนั้นมา, เขาเลือกหยิบพวกนั้นขึ้นมา, เขาสะสมพวกนั้น. โลกเคลื่อนไปในทิศทางหนึ่งเดียวด้วยความนับถือต่อเขา; มันเคลื่อนไปยังเขา; ไม่เคยหันหนีไป. เขามีบ้านหลังหนึ่งที่ข้างในท่วมท้นไปด้วยวัตถุเหล่านั้น, มีคุณค่าหลากหลายยิ่ง, เข้ามาวางไว้และไม่เคยเคลื่อนย้ายอีกเลย. ผ่านมาหลายๆปี, มันเติบโตหนาแน่นยิ่งขึ้นและวิวิธพันธุ์, ไม่คละเคล้าเข้าด้วยกันอย่างน่าทึ่งใจ. เขายังเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ, ผู้ที่ผมจะเรีนกเขาแค่เพียง แจ็คสัน.”
          ทรัมบุลล์ ขัดแทรกขึ้น, ขมวดคิ้ว, ไม่ใช่เพราะมีอะไรต้องทำให้ขมวดถึง, แต่เพราะว่าเขามักจะขมวดมัน. เขาพูด, “นี่เป็นเรื่องจริงรึ?”
          “ผมเล่าแต่เรื่องจริงครับ,” บาร์แทรม บอกช้าๆและชัดถ้อยคำ. “ผมขาดแคลนจินตนาการในการที่จะโกหก.”
          “นี่ถือเป็นความลับรึเปล่า?”
          “ผมจะไม่บอกเรื่องราวในวิธีนั้นเพื่อทำให้มันถูกจำออกมาได้ง่ายๆ, แต่ถ้ามันถูกจำกันได้, มันก็ควรถือเป็นความลับนะครับ.”
          “ผมติดตามไปในสิ่งเงื่อนไขนั้น,” ทรัมบุลล์, “แต่ผมหวังที่จะยืนยันแก่คุณว่าอะไรที่ถูกพูดกันภายในผนังทั้งหลายของห้องนี้จะไม่มีวันถูกพูดซ้ำอีก, หรือถูกอ้างอิงไปถึง, ไม่ว่าอย่างไรถึงจะเพียงในกลุ่ม, ข้างนอกผนังเหล่านี้ของมัน. เฮนรี่ เข้าใจในเรื่องนี้, ด้วยเช่นกัน.”
          เฮนรี่ ผู้ที่กำลังเติมลงสองถ้วยกาแฟ, ยิ้มเล็กน้อยและค้อมศีรษะของเขาในเชิงเห็นด้วย.
          บาร์แทรม ยิ้มด้วยเช่นกันและว่าต่อไป, “แจ็คสัน มีโรคอย่างหนึ่งด้วย, เช่นกัน. เขาเป็นคนซื่อตรง; อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และล้ำลึกในความซื่อตรงนั้น. คุณลักษณะนี้ซึมแพร่กระจายไปในจิตวิญญาณของเขาราวกับว่า, จากตอนช่วงวัยเด็ก, เขาได้ถูกหมักไว้อยู่ในความซื่อสัตย์เหล่านี้.
          “สำหรับชายเยี่ยง แอนเดอร์สัน, มันเป็นประโยชน์อย่างมากที่สุดที่ได้มี แจ็คสัน ผู้ซื่อตรงเป็นหุ้นส่วน, สำหรับธุรกิจของพวกเขา, ซึ่งผมระมัดระวังที่จะไม่บรรยายถึงในรายละเอียด, สัญญาที่ต้องประสงค์กับสาธารณะ. สัญญาในเช่นนั้นไม่ใช่สำหรับ แอนเดอร์สัน, เพราะความเป็นนักสอบซื้อยืนขวางทางอยู่. ด้วยแต่ละวัตถุที่เขาสอบซื้อได้มา, รอยยับย่นเล็กน้อยของเล่ห์เหลี่ยมเข้ามาในใบหน้าของเขา, จนกระทั่งมันดูเหมือนใยแมงมุมที่ทำให้แมลงวันทุกตัวตื่นตกใจที่ได้เห็น. มันเป็นเจ็คสัน, ผู้ซื่อตรงและพิสุทธิ์, ผู้ที่เป็นชายเบื้องหน้า, และผู้ซึ่งบรรดาหม้ายทั้งปวงต่างรีบเร่งเข้ามาหาพร้อมพับเงินเล็กๆน้อยๆของพวกเขา, และเหล่าเด็กกำพร้ากับสลึงเฟื้องของพวกเขานั้น.
          “ในอีกด้านหนึ่ง, แจ็คสัน พบสิ่งที่ขาดไม่ได้ของ แอนเดอร์สัน, ด้วยเช่นกัน, ด้วยบรรดาความซื่อสัตย์ทั้งหมดของเขา, บางทีเพราะว่ามัน, ไม่มีความลับพิเศษในการทำให้หนึ่งดอลลาร์กลายเป็นสอง. ทิ้งไว้ให้กับตัวเขาเอง, เขาควรจะ, แท้จริงแล้วไม่ได้ตั้งใจที่จะทำเลย, สูญเสียทุกเซนต์ที่ไว้วางใจในตัวเขาไปและน่าจะดังนั้นถูกบังคับอย่างรวดเร็วให้ฆ่าตัวของเขาเองในฐานะแบบน่าสงสัยของการชดใช้คืน. มือของ แอนเดอร์สัน นั้นยื่นไปหาเงินตรา, อย่างไรก็ดี, ในฐานะปุ๋ยสำหรับดอกกุหลาบทั้งหลาย, และเขาและ แจ็คสัน ได้, ร่วมกัน, ผนึกกันคว้าชัยชนะ.
          “กระนั้นก็ไม่มีสวรรค์ใดดำเนินไปโดยไม่สุดสิ้น, และคุณลักษณะการมะรุมมะตุ้มนั้น, ทิ้งไว้กับตัวมันเอง, จะล้ำลึก,กว้างใหญ่,และเติบโตมากขึ้นสุดๆ. ความว่อตรงของ แจ็คสัน เติบตัวเป็นสัดส่วนยักษ์ใหญ่ตพะหง่านค้ำจน แอนเดอร์สัน, เพราะความฉลาดมุ่งร้ายทั้งหมดของเขา, ในบางครั้งก็ถูกดันให้ถอยหลังไปยังกำแพงและบีบบังคับให้เข้าไปสู่การสูญเสียทางเงินตรา.  ในทำนองเดียวกัน, การสอบซื้อสะสมของ แอนเดอร์สันวอนไชรูพรุนไปยังความลึกเยี่ยงสุดนรกที่ แจ็คสัน, เพราะความมีจริยธรรมทั้งปวงนั้นของเขา, พบว่าตัวเขาเองบางโอกาสก็บิดผันเข้าไปสู่ภารกิจที่ต้องตั้งคำถาม.
          “โดยธรรมชาติแล้ว, ในขณะที่ แอนเดอร์สัน ไม่ชอบสูญเสียเงิน, และ แจ็คสัน ชิงชังนิสัยการพ่ายแพ้, ความเยือกเย็นเจริญเติบโตขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสอง. ในสภาวะการณ์เช่นนั้น, ผลกำไรชัดเจนว่าทอดนอนอยู่ด้านของ แอนเดอร์สัน, ผู้ซึ่งจัดวางไม่มีข้อจำกัดใดกับการกระทำของเขา, ในขณะที่ แจ็คสัน รู้สึกว่าตัวของเขาเองถูกมัดติดโยงยึดอยู่กับข้อบัญญัติของจริยธรรม.
          “อย่างแยบยล, แอนเดอร์สัน ทำงานและยักย้ายจนกระทั่ง, ในท้ายสุด, แจ็คสัน ผู้ซื่อสัตย์น่าสงสารพบว่าตนเองถูกบีบบังคับให้ขายส่วนของเขาที่เหลือของความเป็นหุ้นส่วนภายใต้สถานะภาพการไร้กำไรที่เป็นไปได้อย่างมากที่สุด.
          “การสอบซื้อสะสมของแอนเดอร์สัน, เราอาจพูดได้ว่า, ได้ถึงจุดขีดสุด, เพราะเขามีกรรมสิทธิ์ควบคุมคนเดียวในธุรกิจนั้น. มันเป็นความตั้งใจของเขาที่จะเกษียณตนเองในตอนนี้, ทิ้งให้ทุกวันดำเนินไปโดยลูกจ้าง, และพาตนเองยุ่งเกี่ยวกับไม่มีอะไรไกลไปกว่าการต้องการเก็บลงเป๋าในผลกำไรของมใน. แจ็สัน, ในทางตรงกันข้าม, ถูกทิ้งไว้กับความไม่มีอะไรมากไปกว่าความซื่อสัตย์ของเขา, และขณะที่ความซื่อสัตย์นั้นเป็นคุณลักษณะที่น่ายกย่องสรรเสริญ, มันมีราคาเล็กกระจิ๋วในโรงรับจำนำ.
          “ในที่ประเด็นนี้เอง, คุณสุภาพบุรุษ, ที่ผมได้เข้าไปในภาพนั้น....อ้าห์, เฮนรี่, ขอบคุณครับ.”
          แก้วของบรั่นดีได้ถูกส่งวางไปให้โดยรอบ.
          “คุณไม่ได้รู้จักกับคนพวกนี้ที่จะเริ่มต้นด้วยรึ?” รูบิน ถาม, ดวงตาเฉียบคมของเขากระพริบวับแวบ.
          “ไม่เลยครับ,” บาร์แทรม บอก, สืดดมอย่างละเมียดที่บรั่นดีและแค่สัมผัสมันดไปที่ริมฝีปากบนของเขา, “กระนั้นผมก็คิดว่าหนึ่งในพวกคุณในห้องนี้รู้จัก. มันก้หลายปีมาแล้ว.
          “ครั้งแรกที่ผมพบ แอนเดอร์สัน ก็เมื่อเขาเข้ามายังสำนักงานของผมอย่างร้อนระอุ. ผมต้องการให้คุณค้นหาว่าผมสูญเสียอะไรไป,” เขาบอก.  ผมเคยเกี่ยวข้องทำมาหลายคดีของการถูกขโมยในอาชีพของผมและดังนั้นผมจึงบอกว่า, ตามธรรมชาติ, แค่บอกมาว่าคุณสูญเสียอะไรสิครับ? อและเขาตอบมาว่า, “ห่ากินสิ! พวก, นั่นแหละที่ผมเพิ่งขอให้คุณค้นหาให้ไงล่ะ.
          “เรื่องราวออกมาค่อนข้างเลอะเทอะ. แอนเดอร์สัน และ แจ็คสัน ได้ทะเลาะกันอย่างเข้มข้นจนน่าแปลกใจ. แจ็คสัน ได้หลุดโทสะ, อย่างทีคนซื่อสัตย์จะสามารถเป็นได้เมื่อเขาค้นพบว่าจริยธรรมของเขานั้นไม่มีโล่ห์กันไว้ได้ต่อเล่ห์ร้ายของอีกฝ่ายหนึ่ง. เขาสาบานว่าจะแก้แค้น, และ แอนเดอร์สัน ยักไหล่ใส่นั่นแล้วหัวเราะ.”
          “จงระวังความโกรธของผู้อดกลั้น,” อวาลอน เอ่ยอ้างคติ, ด้วยบรรยากาศของการค้นคว้าแม่นยำที่เขานำมาแม้ในกระทั่งแถลงความไร้ศักยภาพอันน้อยที่สุดของเขา.
          “เช่นกันที่ผมได้ยินมา,” บาร์แทรม พูด, “ถึงแม้ว่าผมไม่เคยได้มีโอกาสที่จะทดสอบหลักคำสอนนั้น. หรือไม่ก็, ชัดเจนเลยว่า, แอนเดอร์สัน ก็เช่นกัน, เพราะเขาไม่มีความกลัวเกรงในตัว แจ็คสัน. ดังที่เขาอธิบาย, แจ็คสัน นั้นช่างโรคจิตซื่อตรงและช่างบ้าคลั่งในการยึดถือกฎหมายเสียจรไม่มีโอกาสที่เขาจะลื่นไหลลงไปหาการกระทำผิดกฎหมายใดๆได้. หรืออะไรเช่นนั้นที่ แอนเดอร์สันคิด. มันกระทั่งไม่บังเกิดกับตัวเขาที่จะถามขอให้ แจ็คสัน เอากุญแจสำนักงานมาคืน: บางอย่างทั้งหมดที่น่าจะสงสัยมากกวยิ่งกว่าในเมื่อสำนักงานนั้นได้ถูกตั้งอยู่ในบ้านของ แอนเดอร์สัน, ในท่ามกลางทรัพย์สินสรรพสิ่งกองพะเนินท่วมอยู่ในนั้น.
          “แอนเดอร์สัน นึกย้อนขึ้นได้ถึงการละเลยนี้เมื่อสองสามวันก่อนหลังจากการทะเลาะกัน, เพราะ, เมื่อกลับจากงานนัดในตอนก่อนเย็น, เขาพบว่า แจ็คสัน อยู่ในบ้านของเขา. แจ็คสัน ได้ถือกระเป๋าเอกสารเก่าๆ, ที่เขาเพิ่งปิดมันลงไปตอนที่ แอนเดอร์สันก้าวเข้าไปในสำนักงานพอดี; ปิดลงอย่างรีบร้อนตื่นตกใจ, ในสายตาของ แอนยเดอร์สัน.
          “แอนเดอร์สัน ขมวดิ้วแล้วพูดว่า, อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้, “แกกำลังทำอะไรในที่นี่?”
          “เอาเอกสารมาคืนบางอันที่เคยเป็นของฉันแต่ตอนนี้เป็นของแกไปแล้ว,” แจ็คสัน บอก, “และเอากุญแจสำนักงานมาคืนให้.” ด้วยการเอ่ยถึง, เขายื่นมือส่งกุญแจให้, ชี้ไปที่เอกสารบนโต๊ะ, และดันหมุนปุ่มล็อครหัสบนกระเป๋าเอกสารแบนๆของเขาด้วยนิ้วที่ แอนเดอร์สัน สามารถสาบานได้ว่าเห็นมันสั่นระริกเล็กน้อย. แจ็คสันมองไปรอบๆห้องด้วยอาการที่ปรากฏออกมาต่อ แอนเดอร์สัน ให้ต้องสงสัยใคร่รู้, เกือบเป็นความพึงใจอย่างลับๆ, ยิ้มแล้วพูดว่า, “ฉันคงจะไปแล้วตอนนี้.” เขากระทำต่อไปเช่นดังว่านั้น.
          “มันไม่จนกระทั่งได้ยินเสียงเครื่องยนต์รถของแจ็คสัน หมุนเลี้ยวตัวและแล้วก็ถอยไปไกลห่างแล้วที่เขาปลุกเร้าตนเองใวห้ตื่นจากภวังค์ที่สะกดเขาให้งวยงงงันอยู่ได้. เขารู้ว่าเขาถุกขโมย, และในวันต่อมาเขาก็มาพบผม.”
          เดรค กัดริมฝีปากของตน,หมุนแก้วที่เหลือบรั่นดีอยู่ครึ่งหนึ่ง, แล้วพูด, “ทำไมไม่ไปหาตำรวจล่ะ?”
          “มีอะไรละเอียดซับซ้อนอยู่ครับ,” บาร์แทรม บอก. “แอนเดอร์สัน ไม่รู้ว่าอะไรถูกหเอาไปง เมื่อการถูกขโมยปักลงไปที่ใจของเขา, เขารียตรงไปที่ตู้เซฟ. สิ่งที่บรรจุอยู่ในนั้นปลอดภัยครบถ้วน. เขากระโจนกลับมาที่โต๊ะของเขา. ไม่มีอะไรที่ดูเหมือนขะขาดหายไป. เขาวิ่งเข้าวิ่งออกไปยังแต่ละห้อง. ทุกอย่างดูเหมือนจะอยู่ครบในที่ตั้งเท่าที่เขาจะสามารถบอกได้ง”
          “เขาแน่ใจในเรื่องนี้รึ?” ก็อนซาโล่ ถาม.
          “เขาก็ไม่อาจมั่นใจนัก. บ้านนั้นน่ะถูกตกแต่งอยู่อย่างไม่เป็นระเบียบด้วยสารพัดหลากสิ่งวัตถุที่เขามีแล้วเขาก็จดไม่ได้หมดครบถ้วนในสิ่งที่เขาครอบครองไว้. เขาบอกกับผม, ยกตัวอย่าง, ครั้งหนึ่งเขาสะสมนาฬิกาโบราณหกลายเรือน. เขาเอาพวกนั้นไว้ในลิ้นชักเล็กๆในห้องหนังสือของเขา; หกเรือนด้วยกัน. ทั้งหกเรือนนั้นอยู่ตรงนั้น, แต่เขาถูกกวนใจด้วยความจำเลือนลางว่าเขาเคยมีเจ็ดเรือน. ตลอดชีวิตของเขา, เขาไม่สามารถจำลงไปได้ให้แน่ชัด. ที่จริงแล้ว, มันเลวร้ายยิ่งไปกว่านั้น, เพราะหนึ่งในหกเรือนนั้นดูเหมือนจะแปลกตาไปกับตัวเขา. มในอาจจะเป็นว่าเขานั้นมีอยู่หกเรือนก็จริงแต่อันหนึ่งมีราคาด้อยกว่าได้ถูกเอามาสับเปลี่ยนแทนอันที่มีค่ามากกว่า? บางอย่างของแบบนี้เองที่ทวนซ้ำตัวมันเองโหลครั้งในทุกซอกทุกมุมและทุกสิ่งทุกอย่างของสิ่งเล็กๆน้อยๆเหล่านั้น. ดังนั้นเอาจึงมาหาผม---“
          “เดี๋ยวก่อนสักครู่,” ทรัมบุลล์ พูด, เอามือของเขาวางลงอย่างแรงบนโต๊ะ. “อะไรทำให้เขามั่นใจนักว่า แจ็คสัน ได้เอาอะไรไปสักอย่างแน่ๆ?”
          “อ้า,” บาร์แทรม พูด, “นั่นเป็นส่วนที่น่าตรึงใจของเรื่องราวนี้. การปิดลงของกระเป๋าเอกสาร, และรอยยิ้มอย่างมีเลศนัยลึกลับของ แจ็คสันในขณะที่มองไปรอบๆห้อง, เข้ามาบริการตัวมันเองที่จะปลุกเร้าความสงสัยของ แอนเดอร์สัน, แต่ขณะที่ประตูปิดตามหลังของเขา, แจ็คสัน หัวเราะ หุหุหุ. มันไม่ใช่เป็นการหัวเราะตามปกติ.....แต่ผมจะขอให้ แอนเดอร์สัน บอกมันในคำของเขาเอง, เท่าที่ผมจดจำเอาไว้ได้.
          บาร์แทรม,เขาพูด, ผมได้ยินหัวเราะในลำคอแบบนั้นมามากมายหลายหนในชีวิตของผม. ผมองก้หัวเราะในลำคอแบบนั้นด้วยตนเองมานับพันครั้ง. มันเป็นหัวเราะในลำคอที่มีลักษณะพิเศษ , น่าจดจำยิ่งนัก, อันที่ไม่ปิดบัง. มันเป็นการหัวเราะ หุหุหุ ที่ล้ำเลิศ; มันเป็นเสียงหัวเราะ หุหุหุ ของคนผู้ที่ได้อะไรบางอย่างที่เขาต้องการมันอย่างมากในราคาที่แพงลิบลิ่วสำหรับคนอื่น. ถ้าใครก็ตามในทั่วทั้งโลกนี้รู้ว่าหัวเราะ หุหุหุ เช่นนั้นและสามารถจดจำมันได้, แม้กระทั่งเบื้องหลังประตูที่ปิดไว้, ชายผู้นั้นก็คือตัวของผมเอง. ผมไม่สามารถคิดผิดได้. แจ็คสัน ได้เอาบางอย่างของผมไปและปลาบปลื้มในมันอย่างยิ่ง!
          “ไม่มีข้อถกเถียงค้านกับคนที่เห็นอะไรไปในประเด็นเช่นนั้นได้. เขาดุจตกเป็นทาสต่อความคิดของการถูกเป็นเหยื่อและ, ที่จริงแล้ว, ผมก็ต้องเชื่อเขา. ผมต้องคาดหวังว่าสำหรับทั้งหมดของโรคพยาธิความซื่อสัตย์แล้ว, เขาได้ถูกล่อหลงโดยแว่บหนึ่งในชั่วชีวิตของความอดกลั้น, เข้าไปสู่การลักขโมย. สิ่งที่ช่วยล่อลวงให้เขาหลงนี้คงต้องเป็นความรู้ที่ได้จาก แอนเดอร์สัน. เขาต้องได้รู้ถึงความตั้งใจของ แอนเดอร์สัน ที่จะถือยึดแม้ในสิ่งที่น้อยค่าที่สุดที่ได้ตกเป็นของเขา, และตระหนักได้ว่าความเจ็บปวดนี้จะขยายลงไปลึกขึ้นและเลยไกลไปจากมูลค่าของสิ่งที่ได้เอาไป, ไม่ว่าความหาศาลที่สิ่งมีค่านั้นจะได้มีก็ตาม.
          รูบิน พูด, “บางทีมันคือกระเป๋าเอกสารที่เขาถือไป.”
          “ไม่, ไม่, นั่นเป็นของ แจ็คสัน. เขาเป็นเจ้าของมันมาหลายปีแล้ว. และนั่นล่ะที่คุณเจอปัญหา. แอนเดอร์สัน ต้องการให้ผมค้นหาออกมาว่าอะไรที่ถูกเอาไป, เพราะจนบัดนี้เขาเองก็ไม่อาจระบุว่าวัตถุใดที่ถูกขโมยและแสดงให้เห็นว่าวัตถุเป็นอะไร, หรืได้เคยเป็น, อยู่ในการครอบครองของ แจ็คสัน ในตอนนี้. งานของผม, งั้น, คือตรวจค้นทั่วบ้านของเขาและบอกกับเขาว่าอะไรหายไป.”
          “นั่นจะเป็นไปได้อย่างไรล่ะ? ถ้าตัวของเขาเองก็ไม่สามารถบอกได้?” ทรัมบุลล์ กร่น.
          “ผมก็ชี้ออกมาเช่นนั้นให้กับเขา, “ บาร์แทรม พูด, “แต่เขากำลังคลั่งและไร้เหตุผล. เขาเสนอข้อตกลงที่เป็นเงินก้อนมหาศาล, ชนะหรือแพ้;ค่าธรรมเนียมที่สุดหล่อเหลามาก, จริงแท้เลย, และเขาวางส่วนแบ่งขนาดพอสมควรของมันเป็นมัดจำด้วย. มันชัดเจนว่าเขาขุ่นเคืองเกินเลยไปจากขนาดวัดของการจงใจดูหมิ่นต่อการสืบซื้อของเขา. ความคิดที่ว่ามือสมัครเล่นไม่ใช่นักสืบซื้ออย่าง แจ็คสัน ควรจะกล้าต่อต้านเขาในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มากที่สุดของแรงตัณหาของเขานี้ได้ขับเคลื่อนเขา, ในแง่มุมหนึ่งเดียว, คือบ้า, และเขาได้เตรียมพร้อมที่จะไปต่อยังค่าใช้จ่ายใดๆที่จะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งพ้นไปจากชัยชนะในท้ายสุด.
          “ตัวของผมเองนั้นค่อนข้างจะเป็นคนทั่วไป. ผมยอมรับค่ามัดจำและค่าธรรมเนียมนั้น. ว่าไปแล้ว, ผมก็มีเหตุผล. ผมได้มีวิธีการของผม. ผมเอาคำถามถึงบัญชีรายการประกันภัยขึ้นมาเป็นอย่างแรก. ทั้งหมดนั้นล้าสมัย, แต่พวกนั้นก็ให้ได้กำจัดพวกเฟอร์นิเจอร์และบรรดาสิ่งของใหญ่ๆที่อ่าจเป็นเหยื่อการลักขโมยของ แจ็คสัน ออกไปได้, เพราะทุกอย่างที่อยู่ในบัญชีรายการยังคงอยู่ที่ในบ้านนั้น.”
          อวาลอน แทรกขัดขึ้น. “พวกนั้นถูกกำจัดออกไปอยู่แล้ว, ในเมื่อวัตถุที่ถูกขโมยน่าจะใส่ลงไปในกระเป๋าเอกสารของเขาใบนั้นได้.”
          “เงื่อนไขที่ได้ตั้งไว้ว่าเป็นเช่นนั้นจริงแท้ที่กระเป๋าเอกสารนั้นถูกใช้ไปในการขนย้ายสิ่งของนั้นออกไปจากบ้าน,” บาร์แทรม ชี้ออกมาอย่างอดทน. “มันก็อาจเป็นเหยื่อล่อได้ง่าย, ก่อนหน้าการกลับมาบ้านของ แอนเดอร์สัน, แจ็คสัน สามารถได้ให้รถตู้แวนขนย้ายมาที่ประตูแล้วขนเอาแกรนด์ เปียโน ก็ได้ถ้าเขาเลือกสิ่งนั้น, แล้วก็ทำทีเป็นปิดกระเป๋าเอกสารต่อหน้าของ แอนเดอร์สัน เพื่อหลอกชักนำเขาไปอีกทาง.
          “แต่ไม่ต้องไปสนใจนั่นหรอกครับ. มันไม่ได้เป็นเหมือนเช่นั้น. ผมพาเขาเดินไปทั่วบ้านห้องแล้วห้องเล่า, เรียงลำดับอย่างเป็นระบบในการพิจารณาไล่ตั้งแต่พื้นห้อง, ผนัง, และเพดาน, ศึกษาชั้นหิ้งทั้งหมด, เปิดออกทุกประตู, ตรวจพิจารณาทุกชิ้นของเฟอร์นิเจอร์, ค้นทั่วทุกจุดของทุกตู้. ไม่แม้กระทั่งจะทิ้งเว้นห้องใต้หลังคาและชั้นใต้ดิน. ไม่เคยมีมาก่อนที่ แอนเดอร์สัน ได้ถูกบังคับให้ตรวจพิจารณาทุกสิ่งของสะสมอันมากมายและมหาศาลเขาเช่นนี้เพื่อดูว่าที่ไหนสักแห่ง, สักอย่างไร, สิ่งของบางชิ้นนั้นอาจจะกระตุกความทรงจำของเขาถึงบางสิ่งของอันเคยคู่เคียงกันนั้นไม่ได้อยู่ที่นั่น.
          “มันเป็นบ้านที่ใหญ่โตมาก, อันไม่ผสมผสานเข้าได้กันเลยหลังหนึ่ง, บ้านไร้จุดจบเลย. มันใช้เวลาเราไปหลายวัน, และ แอนเดอร์สัน ผู้น่าสงสารก็สับสนมึนงงมากขึ้นเรื่อยๆในแต่ละวัน.
          “ผมจู่โจมถัดไปจากจุดจบของอีกฝ่ายอื่น. มันเป็นที่ชัดว่า แจ็คสัน ได้สุขุมรอบคอบหยิบเอาบางอย่างที่ไม่น่าสังเกตได้, บางทีสิ่งเล็กๆ; แน่ใจว่าบางอย่างที่ แอนเดอร์สัน จะไม่ติดถึงได้ง่ายๆและดังนั้นเองไม่ใช่บางอย่างที่เขาผูกพันต่ออย่างใหญ่หลวง. ในอีกด้านหนึ่ง, มันฟังดูเข้าท่าที่จะคาดว่ามันเป็นบางอย่างที่ แจ็คสัน น่าจะอิยากที่จะเอามันออกไป, และซึ่งเขาน่าจะคิดว่ามันมีค่า. จริงแท้แล้ว, การกระทำของเขานี้น่าจะให้ความพึงพอใจแก่เขาเป็นอย่างมากที่สุด. ถ้าแอนเดอร์สัน, ด้วยเช่นกัน, พบว่ามันมีค่ามาก---เมื่อใดที่เขาตระหนักรู้ว่ามันคืออะไรนั่นที่หายไป. อะไรล่ะ, งั้น, ที่มันน่าจะเป็น?”
          “ภาดวาดชิ้นเล็ก,” ก็อนซาโล่ พูดอย่างกระหาย, “ที่ แจ็คสัน รู้ว่าเป็นของแท้ของ เซซานนิ์, แต่ซึ่ง แอนเดอร์สัน คิดว่ามันเป็นของปลอม.”
          “แสตมปืดวงหนึ่งจากงานสะสมของ แอนเดอร์สันล” รูบิน พูด, “ที่ แจ็คสัน ได้รู้ว่ามีการแกะบล็อคพิมพ์ผิดพลาดแต่หายากยิ่ง.” เขาครั้งหนึ่งเคยได้เขียนนิยายที่เกี่ยวข้องกับประเด็นในแง่มุมนี้ไว้พอดี.
          “หนังสือเล่มหนึ่ง,” ทรัมบุลล์ พูด, “ที่ข้างในเนื้อหาที่เป็นความลับซ่อนไว้ของครอบครัวและด้วย, ขึ้นอยู่กับเวลา, แจ็คสัน สามารถใช้มันแบล็คเมล์ แอนเดอร์สัน.”
          “รูปภาพอันหนึ่ง,” อวาลอน พูดแบบละคร, “ที่ แอนเดอร์สันได้ลืมไปแล้วแต่ที่มีอะไรแบบว่าเป็นหวานใจเก่าๆซึ่ง, ในที่สุด, เขาก็จะหวังจะมีโชคได้ซื้อมันคืนกลับมา.”
          “ผมไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ในธุรกิจอะไรกัน,” เดรค พูดอย่างครุ่นคิด, “แต่มันอาจจะเป็นได้ว่าเป็นอะไรประเภทที่ไม่มีราคาค่างวดบางอย่างกลับปรากฏว่าความจริงแล้วกลายเป็นมีค่ามหาศาลสำหรับคู่แข่งและขับดันให้ แอนเดอร์สัน ล้มละลายได้, ผมจำได้ถึงคดีหนึ่งที่เป็นสูตรเคมีสำหรับ ไฮดราโซ-ตัวกลาง---”
          “ก็พอกลเพียงพอ,” บาร์แทรม พูด, ขัดหยุดขึ้นอย่างหนักแน่น, “ผมได้คิดตรองแจ่ละอันของความเป็นไปได้ทั้งหลายมาแล้ว, และผมไล่เรียงแต่ละอย่างกับ แอนเดอร์สัน. มันเป็นที่ชัดเจนว่าเขาไม่มีรสนิยมในศิลปะและงานแต่ละชิ้นที่เขามีก็เป็นของปลอมขยะจริงๆ, และไม่ผิดพลาดแน่. เขาไม่ได้สะสมแสตมป์, และถึงแม้ว่าเขาจะมีหนังสือหลายเล่มและไม่สามารถบอกได้แน่ชัดว่าเล่มไหนได้หายไป, เขาสาบานว่าเขาไม่ได้ซ่อนความลับของครอบครัวอะไรไว้ที่ไหนที่ซึ้งมันจะมีค่ากระแทกใจนักแบล็คเมล์ใด. หรือว่าเขาได้มีหวานใจเก่าแก่อะไรนั่นด้วย, ในเมื่อตอนสมัยเด็กหนุ่มๆ เขาได้จำกัดตนอยู่แค่สตรีมืออาชีพผู้ซึ่งภาพถ่ายเหล่านั้นเขาก็ไม่ให้รางวัลอะไร. สำหรับความลับในทางธุรกิจของเขานั้น, มันเป็นประเภทที่อยู่ในความสนใจของรัฐบาลมากไกลเสียยิ่งเกินกว่าคู่แข่งรายใด, และทุกอย่างของประเภทนั้นก็ได้ถูกเก็บห่างไกลพ้นสายอันสัตย์ซื่อของ แจ็คสัน ในทีแรกอยู่แล้ว และยังคงอยู่ในเซฟ(หรือไม่ก็ไปอยู่ในกองไฟเสียนาน)เป็นอย่างที่สอง. ผมได้คิดถึงความเป็นไปได้อย่างอื่นๆอีก, แต่, ในทีละอย่าง, พวกนั้นก็ถูกซัดคว่ำลงไปจนหมด.
          “แน่นอน, แจ็คสัน อาจจะทรยศด้วยตัวเอง. เขาอาจจะผลิบานเป็นมั่งคี่งขึ้นมาในทันใด, และในการค้นพบถึงแหล่งของความมั่งคั่ง, เราก็น่าจะเรียนรู้ได้ถึงอัตลักษณ์ของสิ่งที่ถูกขโมยไป.
          “แอนเดอร์สัน แนะเรื่องนี้ด้วยตนเองและจ่ายอย่างฟุ่มเฟือยที่จะใหฟ้ที่การเฝ้าดูจับตามองตลอดยี่สิบสี่ชั่วโม.กับ แจ็คสัน. มันไร้ประโยชน์. ชายคนนั้นใช้ชีวิตอยู่อย่างโง่ทึบและประพฤติตนชัดเจนอย่างที่คุณจะหวังได้จากใครบางคนที่อดออมไม่มีอะไรเพื่อดำรงตน.  เขาอาศัยอยู่อย่างตระหนี่, และ, ในที่สุด, รับเอาทำงานที่ต่ำต้อย, ที่ซึ่งความซื่อสัตย์ของเขาและอากัปกิริยาส่งให้เขาอยู่ในฐานะไปได้ดี.
          “ในที่สุดแล้ว, ผมมีก็แต่ทางเลือกอันเดียวที่เหลืออยู่---”
          “เดี๋ยว, เดี๋ยวล “ ก็อนซาโล่ บอก, “ให้ผมเดาก่อน, ให้ผมเดา,” เขายกแก้วขึ้นดกอะไรเหลืออยู่ที่เป็นบรั่นดีของเขา, ส่งสัญญานให้ เฮนรี่ ขออีก, แล้วว่า, “คุณไปถาม แจ็คสัน!
          “ผมถูกยั่วยวนใจอย่างแรงกล้าที่จะทำ,” บาร์แทรม พูดอย่างคร่ำครวญ, “แต่นั่นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย. มันไม่ทำกันเช่นนั้นในอาชีพอย่างผมที่จะแม้กระทั่งพูดเป็นนัยในการกล่าวหาโดยปราศจากหลักฐานของอะไรสักอย่าง. ใบประกอบอาชีพนั้นค่อนข้างเปราะบาง. และในกรณีใดก็ตาม, เขาก็แค่ปฏิเสธง่ายๆในเรื่องขโมยนี้, ถ้าถูกกล่าวหา, แล้วก็เลยตั้งการ์ดปกป้องกันอาชญากรรมอะไรของตนเองขึ้นอีกด้วย.”
          “แล้ว, งั้น...,” ก็อนซาโล่ พูดเว้นวรรคว่าง, และค่อยหายไป.
          คนอื่นๆอีกสี่ย่นคิ้วกันไปทีละคน, แต่ก็มีเพียงความเงียบแค่นั้น.
          บาร์แทรม, ได้รอคอยอย่างสุภาพ, พูดขึ้นว่าล” คุณไม่ต้องเดาหรอกครับ, ท่านสุภาพบุรุษ, เพราะพวกคุณไม่ได้อยู่สายอาชีพนี้. คุณรู้อะไรเท่าที่คุณอ่านในเชิงโรแมนติค, และดังนั้นคุณก็คิดว่าสุภาพบุรุษอย่างเช่นตัวผมมีจำนวนไม่จำกัดของทางเลือกทั้งหลายและคลี่คลายได้หลากหลายในคดีทั้งหมด. ผม, เอง,  อยู่ในสายอาชีพนี้, รู้ดีถึงอีกอย่างอื่น. ท่านสุภาพบุรุษ, ทางเลือกเดียวที่ผมได้มีเหลืออยู่ก็คือสารภาพถึงความล้มเหลว.
          “แอนเดอร์สัน จ่ายผม, อย่างไรก็ดี, ผทจะให้เครดิตแก่เขาให้มากที่สุดในเรื่องนั้น. เมื่อถึงเวลาที่ผมกล่าวลากับเขา, เขาสูญน้ำหนักตัวไปสิบปอนด์. มีความว่างเปล่าให้เห็นอยู่ในดวงตาของเขาและ, เมื่อตอนที่เขาสั่นมือกับผม, ดวงตาคู่นั้นเคลื่อนไปรอบๆห้องที่เขาอยู่ในนั้น, ยังคงมองหา. เขาพึมพัม, “ผมบอกคุณแล้เวว่าผมไม่มีทางจะเข้าใจผิดไปได้กับเสียงหัวเราะในลำคอนั่น. เขาต้องเอาอะไรบางอย่างไปจากผม.
          “ผมเห็นเขาในหนึ่งหรือสองโอกาสหลังจากนั้น. เขาไม่เคยหยุดมองหา; เขาไม่เคยค้นพบในวัตถุที่หายไปนั้น. เขาไปค่อรนข้างลงเขา. เหตุการณ์ที่ผมได้บรรยายนี้ใช้เวลาเกิดขึ้นเมื่อห้าปีก่อน, และเมื่อเดือนที่แล้ว, เขาได้เสียชีวิตลง.”
          มีความเงียบสั้นอยู่ขณะ. อวาลอน พูดขึ้นว่า, “โดยปราศจากได้ค้นพบวัตถุที่หายไปนั้นรึ?”
          “โดยปราศจากการค้นพบมัน.”
          ทรัมบุลล์ พูด, อย่างไม่เห็นด้วย, “คุรกำลังมาหาเราเพื่อให้ช่วยคุณกับปัญานั้นในตอนนี้รึ?”
          “จะว่าไปแล้ว, ครับผม. โอกาสนี้ดีเกินกว่าจะพลาดไปอีกได้. แอนเดอร์สัน ได้เสียชีวิตไปแล้วและไม่ว่าอะไรก็ตามที่ได้พูดภายในผนังเหล่านี้จะไม่ออกไปไกลที่ไหนอีก, เราทั้งหมดตกลงเห็นด้วยกัน, ดังนั้นผมขออนุญาตในตอนนี้ถามอะไรที่ผมไม่สามารถถามมาก่อนได้...เฮนรี่, ผมขอไฟหน่อยครับ?”
          เฮนรี่, ผู้ที่ได้ฟังอยู่มาตลอดด้วยชนิดคล้อยตามใจในภวังค์, นำเอากล่องไม้ขีดไฟขึ้นมาแล้วจุดมันให้กับบุหรี่ของ บาร์แทรม.
          “ขออนุญาตให้ผมได้แนะนำคุณ, เฮนรี่, ต่อผู้ที่คุณได้รับใช้อย่างมีประสิทธิผล.....ท่านสุภาพบุรุษ, ขออนุญาตให้ผมได้แนะนำต่อพวกคุณ, เฮนรี่ แจ็คสัน.”
          มีชั่วขณะช็อคอย่างปรากฏชัดขึ้นมาแล้ว เดรค พูด, “แจ็คสัน ผู้นั้นอ่ะนะ.”
          “ใช่เลยครับ,” บาร์แทรม พูด. “ผมรู้ว่าเขาได้ทำงานที่นี่และเมื่อผมได้ยินว่ามีสมาคมที่พวกคุณมาประชุมกันในเดือนละครั้ง, ผมต้องขอร้องอ้อนวอน, ค่อนข้างไร้ยางอาย, เพื่อให้รับเชิญมา. มีเพียงที่นี่เท่านั้นที่ผมสามารถพบสุภาพบุรุษที่ได้หัวเราะ หุหุหุ อย่างล้ำเลิศเอาไว้, และทำเช่นนั้นภายใต้สถานภาพทั้งเบิกบานและสุขุมรอบคอบ.
          เฮนรี่ ยิ้มและค้อมศีรษะของเขายอมรับ.
          บาร์แทรม พูด, “มีเวลาหนึ่งในช่วงของการสอบสวนเมื่อผมไม่สามารถช่วยได้แต่สงสัย, เฮยนรี่, ไม่ว่า แอนเดอร์สัน อาจจะได้คิดผิดและไม่ว่านั่นอาจจะเป็นไปได้ว่าไม่มีการขโมยอะไรเลย. เสมอเลยนะว่า, อย่างไรก็ดี, ผมก็หวนคิดกลับมายังสาเหตุเรื่องของการหัวเราะ หุหุหุ ที่ล้ำเลิศ, และผมก็เชื่อใจในการตัดสินของ แอนเดอร์สัน.”
          “มันเป็นอะไรที่มีมูลค่านะ, ผมสันนิษฐาน.”
          “มันเป็นอะไรที่มีมูลค่ามหาศาลและไม่มวันใดผ่านไปโดยปราศจากที่ผมคิดถึงการขโมยนั้นและยินดีปรีดาในความจริงนั่นว่าชายผู้ชั่วร้ายนั้นไม่มีวันได้คืนอีกต่อไปในอะไรที่ผมเอาไป.”
          “แล้วคุณก็ฉวยโอกาสปลุกเร้าความสงสัยของเขาเพื่อที่คุณจะได้รับความยินดีปรีดานั่น.”
          “ใช่, ครับ.”
          “แล้วคุณก็ไม่ได้กลัวว่าจะถูกจับ?”
          “ไม่แม้แต่สักนิดเดียว, ครับผม”
          “พระเจ้าเถอะล”,” อวาลอน คำรามขึ้นมาทันใด, เสียงของเขาทะยานสูงยังกับจะแหกทะลวงลำคอขึ้นไปดัง.  “ผมพูดมันอีกครั้ง. จงระวังความโกรธของผู้อดกลั้น. ผมเป็นผู้อดกลั้นคนหนึ่ง, แล้วผมเบื่อกับการสืบสวนตรวจสอบไม่รู้จบนี้แล้ว. จงระวังความโกรธของผม, เฮนรี่.  อะไรที่คุณถือมันไปในกระเป๋าเอกสารนั่น?”
          “ทำไมล่ะครับ, ไม่มีอะไรเลย, ครับ,” เฮนรี่ พูด. “มันว่างเปล่า.”
          “สวรรค์ช่วยผมด้วย! คุณเอามันไปซ่อนที่ไหนอีกล่ะ, อะไรก็ตามที่ถูกคุณเอามันไปจากเขา?”
          “ผมไม่ต้องเอามันไปซ่อนที่ไหนหรอก, ครับผม.”
          “อ้าว, แล้วงั้น, อะไรที่คุณเอาของเขาไป?”
          “ก็แค่ความสงบสุขในจิตใจของเขาเท่านั้นแหละ, ครับ,” เฮนรี่ พูดอย่างนุ่มนวล.



คำแถลงส่งท้าย
          เรื่องนี้ปรากฏครั้งแรกในเดือนมมกราคม 1972 ของนิตยสารเรื่องลึกลับของเอลเลอรี่ ควีน.
          มันสอนให้ผมถึงบทเรียนของเป้าประสงค์, ด้วยเช่นกัน, ในเหตุสาระของลูกโซ่ของตรรกะการอนุมาน. ผมมักจะคิดว่าความง่ายดายกับการถักทอสานนิยายเชิงสืบสวนในใยข่ายอันเหนียวแน่นของตรรกะของพวกนั้นนั้นชัดเจนเกินไป; ที่ในชีวิตจริงมักจะมีช่องโหว่อยู่รูเบ้อเริ่มมากมาย.
          บางครั้ง, รูเหล่านั้นปรากฏกระทั่งในนิยายเหล่านั้น. หลังจาก “การหัวเราะ หุหุหุ อันล้ำเลิศ” ได้ปรากฏขึ้น, ผู้อ่านรายหนึ่งเขียนมาบอกกับผมว่าผมได้ละทิ้งที่จะระบุว่ากระเป๋าเอกสารของ แจ็คสันนั้นเป็นของเขาเองจริงๆ, และนั่นมันอาจได้เป็นกระเป๋าเอกสารที่เขาได้ขโมยไป. นั่นไม่เคยได้บังเกิดกับผมมาก่อนและเช่นนั้น, แน่นอนล่ะ, มันไม่ได้บังเกิดกับตัวละครบทใดในเรื่องนี้.
          สำหรับในหนังสือนี้, ผมได้เพิ่มเติมสองสามบรรทัดเพื่อดูแลในความเป็นไปได้นั้น. (นั่นแสดงให้คุณเห็นอยู่, จะว่าไปแล้ว, ว่าผู้อ่านทั้งหลายนั้นแทบจะไม่ได้เพียบพร้อมไปด้วยคำถามที่สร้างปัญหา, ดังที่อารัมภบทนี้ดูเหมือนจะแสดงนัยไว้แล้ว. บางครั้งพวกเขาก็มีประโยชน์อย่างมาก, และผมก็ชื่นชมในโอกาสเหล่านั้นอย่างยิ่ง.)


จากหนังสือชื่อ tales of the black widowers ของ Isaac Asimov