หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2567

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต) - สิกขา/ศึกษา คืออะไร?

 สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต) - ชอบอ้างกันนักว่าอริยสัจสี่ แต่แค่หน้าที่ปริญญา ก็ยังไม่รู้จัก

          https://youtu.be/7AuwxPxp4Dg?si=YJFh5ML-WY7pMLFW


          ญาติโยมสาธุชน ชาวคณะธรรมสถาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมทั้งโยมญาติมิตรทั้งหลายอื่นด้วย ที่ได้มาร่วมกัน มาฟังธรรม มาปฏิบัติธรรมด้วยกัน ก็ขออนุโมทนาทุกท่านที่มีศรัทธา ในการที่ได้เดินทางมา เริ่มตั้งแต่เข้าโครงการ ที่ธรรมสถานจัดขึ้น.

 ศรัทธานั้นเป็นเครื่องนำให้เรามีจิตใจมุ่งมาในการที่จะ เข้าสู่โครงการ คือมีความเลื่อมใส มีความเชื่อในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า และต่อจากนั้นก็ทำให้มีกำลัง นอกจากนำมาแล้วก็มีกำลังด้วย ถ้าโยมไม่มีศรัทธาก็ไม่มีกำลังที่จะ เดินหน้ามาในการที่จะปฏิบัติ และนี้มีศรัทธาเป็นเครื่องช่วยให้เกิดกำลังแล้ว ก็มีฉันทะอีก มีความพอใจในการปฏิบัติ พอใจในความวิเวกในความสงบสงัด ในเรื่องของบรรยากาศเป็นต้น ตลอดจนตัวการปฏิบัตินั่นเอง คือมีความชอบที่จะทำรักที่จะทำ รักที่จะปฏิบัติ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ แล้วก็โยมก็มีความเข้มแข็ง ในการปฏิบัติ ที่ได้เรียกว่า ยืนหยัดหรือยืนยงมาจนกระทั่งถึงจบโครงการฯในปีนี้ นี่ก็ถือว่าเป็นการสืบเนื่องมาตั้งแต่ปีก่อน ปีนี้ก็มาต่ออีกจนกระทั่งจบพรรษา.

วันนี้อาตมภาพลงมานี้ก็ไม่ได้คิดว่าจะมาแสดงธรรมอะไรหรอก เป็นแต่เพียงว่าจะมาพบ แต่ญาติโยมพระครูปลัดบอก เมื่อวานนี้ตอนเช้าบอกว่า โครงการของธรรมสถานครบแล้ว วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายก็มาพบกับโยม เพราะว่าปีที่แล้วก็พบครั้งหนึ่ง ก็ดูจะเป็นครั้งสุดท้ายหรือก่อนสุดท้าย รองจากสุดท้ายแล้วก็ จบโครงการฯ มาวันนี้ได้ทราบว่าเป็นครั้งสุดท้าย ครั้งที่ ๑๒ ก็มาพบกัน เมื่อมาพบกันก็เป็นเพียงคุยกันทั่วๆไป เรื่องจะคุยอะไรบ้างก็อยากจะให้เป็นการพูดจาสนทนาโต้ตอบ มากกว่าที่ว่าอาตมาจะเป็นผู้พูดให้ฟัง.

อันนี้เรื่องของการมาพบปะนี่ พระครูปลัดบอกว่า เสาร์นี้เป็นเสาร์สุดท้าย ก็มามานึกอีกทีว่า เอ๊ เสาร์หน้านี่ยังไม่หมดไม่ใช่เหรอ? ยังไม่ออกพรรษา ใช่มั้ย? วันออกพอดี อ้อ วันออกแล้วไม่มีใช่มั้ย? อ๋อ ตกลงก็เลยเอาวันนี้เป็นวันสุดท้าย แล้วที่จริงตอนบ่ายวานนี้ อาตมายังนึก เอ๊ะ สงสัยวันนี้จะลงไม่ได้ละ ดูท่าไม่ค่อยดี นึกว่าจะผัดโยมไปปีหน้า ค่อยมาพบกัน คือ อันนี้เล่าเป็นความรู้นะ ไม่ใช่ว่าจะให้มากังวลหรืออะไร ฉะนั้น ปีนี้เป็นปีที่ทรุดกว่าปีที่แล้วอีก ปีที่แล้วก็ว่าไม่ค่อยดี ปีนี้ทรุดมาก คือว่าเจ็บระบมหน้าอกมา ตั้งแต่ก่อนเข้าพรรษาประมาณหนึ่งเดือน แล้วก็เป็นมาตลอดจนกระทั่งบัดนี้ อันนั้นก็เรื่องหน้าอก สองก็เรื่องท้องเสียทุกวัน สิบวันนี่อาจจะเว้นสักวันหนึ่ง แล้วก็มาตอนนี้ที่ฉันสิ่งที่ว่ามันช่วย ให้ท้องดีขึ้นอยู่ตัวขึ้น ก็พอไปได้ แล้วก็วันนี้ก็อย่างที่บอก ยังไม่ได้ฉันอะไรหรอก ยังไม่ฉันข้าว พอฉันแล้วก็นอนเลย ว่าเดี๋ยวกลับไปก็ฉันแล้วก็พัก บ่ายตอนนี้ทำอะไรไม่ค่อยได้ เพราะนอนตื่นขึ้นมาแล้วก็ จะทำอะไรเดี๋ยวๆก็ต้องนอนอีก ทนไม่ไหวต้องลวงนอนหลับจนกระทั่ง เย็นกระทั่งค่ำ นั่นก็เป็นเรื่องของสภาพร่างกาย แต่ไม่ใช่เรื่องเพลีย คนละเรื่อง บางท่านไปนึกว่าเป็นเรื่องเพลีย ถ้าเพลียนี่ไม่ค่อยสำคัญ เพลียนี่ถ้าไม่ใช่โชคก็เป็นโอกาส คือว่าทำให้ได้งาน แต่ถ้าอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องเพลีย มันเป็นที่ร่างกายสมองอะไรไม่เอาและ ไหน? อ๋อ ตาไม่หายหรอก ตาก็เป็นต้อหินจะหายยังไง? ต้อหินมันไม่หาย แก้ไม่ได้ เป็นแต่เพียงว่า คุมไว้ไม่ให้มันเสื่อมไปกว่านั้น คือที่เสียไปแล้วก็เสียไป ไม่ให้เสียเกินกว่านั้น ตอนนี้ก็คือต้องใช้วิธี หยอดยาลดความดันตา ก็ไม่มีอะไรหรอก อันนี้เล่าเป็นความรู้ โยมอย่าไปถือสา.

ทีนี้ก็ เมื่อมาพบกันแล้วก็มาคุยกัน ก็อยากจะให้ทางฝ่ายโยมเป็นผู้ถาม ก็คุยกันก็ต้องโต้ตอบ ไม่ใช่พูดฝ่ายเดียว ถ้ายังไม่มีอะไรอาตมาก็พูดคุยไปพลางๆ นี้โยมมาปฏิบัติธรรมกันเนี่ยะ เราก็มีความรู้ เค้าเรียกว่าปริยัติ1น่ะเป็นฐาน จะรูเมากรู้น้อยก็แล้วแต่ ก็ต้องรู้บ้างแหละ รู้ปริยัติ ปริยัตินี่คืออะไรล่ะ? ปริยัติเราก็มักจะแปลกันว่า การเล่าเรียน แต่ที่จริงความหมายยังงี้เป็นความหมายชั้นสอง ไม่ใช่ความหมายแท้ ปริยัติในความหมายที่แท้ว่า พุทธพจน์ที่จะพึงเล่าเรียน ตัวพุทธพจน์นั่นแหละที่จะเป็นปริยัติ ที่เรานำมาใช้น่ะเป็นความหมายแบบ คลาดเคลื่อนนิดหน่อย หรือใช้แบบว่าหลวมๆ แปลเอาว่าปริยัติเป็นการเล่าเรียนไป ก็ใช้ได้เหมือนกัน เลยกลายเป็นว่าจะเรียนอะไรก็เป็นปริยัติไปหมด ที่จริงไม่ใช่หรอก ในความหมายในพระศาสนาแท้นี่ ปริยัติหมายถึงพุทธพจน์ที่จะพึงเล่าเรียน.

1  https://www.dhammahome.com/webboard/topic25079.html

ก็หมายความว่าเราต้องการรู้คำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงปฏิบัติด้วยพระองค์เอง แล้วก็ทรงบรรลุผล ก็ถ้าจะพูดภาษาสมัยนี้ก็คือได้ทรงมีประสบการณ์ ประสบการณ์ที่เป็นผลมาจากการปฏิบัติ แล้วพระองค์ก็ทรงนำเอาประสบการณ์ ประสบการณ์ในการปฏิบัติและผลนั้น มาเล่าให้พระสาวกทั้งหลายฟัง คำตรัสเล่าของพระองค์เนี่ยะ ก็เป็นสิ่งที่เราจะเล่าเรียนกัน เราต้องการรู้ว่าพระองค์เนี่ยะ ได้ปฏิบัติมาอย่างไร ทรงรู้เข้าใจอะไร ได้ผลอย่างไร ประสบการณ์ของพระองค์ก็เป็นสิ่งมีค่า เพราะเราเชื่อพระองค์ เราอยากจะปฏิบัติตามพระองค์ เพราะฉะนั้นเราก็รอคอยฟังคำสอน หรือคำบอกเล่าของพระองค์ คำบอกเล่าของพระองค์ก็เลยเป็นสิ่งที่เราจะต้องเล่าเรียน แล้วก็ถือว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสเล่าทั้งหมดนั่นแหละ เรียกว่าปริยัติ ฉะนั้นปริยัติจึงแปลว่า พุทธพจน์ที่เล่าเรียน นี่คือความหมายที่แท้จริง ไม่ใช่การเล่าเรียนทั่วไป ก็แปลว่าต้องแยกความหมายเป็น ๒ ชั้น ว่าความหมายที่แท้ในพุทธศาสนา ปริยัติหมายถึงพุทธพจน์ที่จะพึงเล่าเรียน.

กล่าวคือ ประสบการณ์ของพระพุทธเจ้าที่นำมาตรัสเล่าไว้ ให้พวกเราได้นำมาใช้ประโยชน์ ถ้าเราถือว่าเราไม่ต้องพึ่งพระพุทธเจ้า เราก้ไม่ต้องอาศัยปริยัติ แต่ถ้าเราถือว่าเราเชื่อ เราฟัง เราพึ่ง เราอาศัยพระพุทธเจ้าแล้ว ปริยัติก็มีความหมาย แล้วก็ขาดไม่ได้ เพราะว่าที่เราจะมาปฏิบัติอะไรนิดหนึ่งเนี่ยะ เราก็ต้องอาศัยความรู้ ที่ได้ยินได้ฟังมา จะอ่านจะพระไตรปิฎกโดยตรง หรือครูอาจารย์เอามาถ้านทอดให้เราก็แล้วแต่ บางทีก็ถ่ายทอดต่อมาหลายชั้นกว่าจะถึงเรา บางทีก็บอกแค่ว่า เอ้า ไปนะเธอไปนั่ง นั่งอย่างนั้นนะ พอบอกว่านั่งอย่างนั้นก็ปริยัติแล้ว ใช่มั้ย? บอกว่าวิธีนั่ง ให้นั่ง ที่เราเรียกว่านั่งสมาธิอะไรแหละ นั่งขัดสมาธิ แล้ว เอ้า ให้หายใจเข้าหายใจออกนะ กำหนดลมหายใจยังงั้น นี่ก็ปริยัติ ทั้งนั้นแหละ ที่ครูอาจารย์บอก ถ้าบอกตรง ก็ตรงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสเล่า ไม่ตรงก็อาจารย์ก็เพี้ยน ก็แล้วแต่ เนี่ยะ ปริยัติเราก็ได้บ้าง มากบ้างน้อยบ้าง ก็เป็นฐานของการปฏิบัติ.

พอเราได้ฟังคำตรัสเล่าของพระพุทธเจ้า จากประสบการณ์ของพระองค์แล้ว จากแหล่งที่เราเห็นว่าน่าเชื่อที่สุด ก็ถือว่าพระไตรปิฎกนี่เป็นที่พยายามจะรักษากันมาให้ดีที่สุด พระไตรปิฎกเป็นแหล่งที่รักษาไว้ดีที่สุด รักษาคำตรัสเล่าประสบการณ์ของพระพุทธเจ้า เราก็ถือพระไตรปิฎกเป็นหลัก แล้วก็เอามาเป็นฐานของการปฏิบัติ แล้วเราก็ปฏิบัติไปตามนั้น แต่ว่าคำสอนในพระไตรปิฎกมีมากเหลือเกิน บางทีเราดูไม่ทั่วถึง อาศัยผู้เชี่ยวชาญชำนาญก็คือครูอาจารย์ ท่านมาช่วยบอกให้ เรื่องนี้ไม่ใช่มีแต่เฉพาะตรงนี้นะ มีตรงโน้นด้วย เข้าใจอย่างนี้ยังไม่ถูก ตรงนั้นจะบอกให้ชัดอย่างนั้นอย่างนี้ โยงให้เราอีก เราก็ชัดขึ้นมา นำมาใช้ปฏิบัติได้ดี เมื่อเราชัดในการปฏิบัติ เราปฏิบัติได้ผลดีแล้วก็ได้บรรลุ ก็เรียกได้ปฏิเวธ ก็ครบกระบวนการก็เรียก ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ.

ก็เป็นอันว่า ปริยัติคือ คำตรัสเล่าประสบการณ์ของพระพุทธเจ้า ที่ถ่ายทอดมาให้เรา แล้วเราก็มาเล่าเรียน แล้วก็จากคำบอกเล่าประสบการณ์ของพระพุทธเจ้าอันนั้น ที่เรียกว่าปริยัติเราก็มาใช้เป็นฐาน เป็นหลักของการปฏิบัติ  ปฏิบัติไปถ้าเราปฏิบัติถูก ก็จะได้รับผลก็เป็นปฏิเวธไป ก็ครบ ๓ ขั้น พระศาสนาก็มีอยู่ ๓ ส่วนนี้แหละ ที่เท่าเนี๊ยะ มีปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ.

ปฏิเวธ ก็เป็นมรรคผลนิพพาน อันนี้บางทีพระพุทธเจ้าตรัส พระพุทธเจ้านี้ไม่นิยมตรัสปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ อันนี้อาตมาพูดเป็นความรู้ ให้โยมได้ยินได้ฟังไว้ พระพุทธเจ้าไม่ค่อยตรัส ชุดปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ พระองค์จะตรัสชุด สิกขา แล้วก็ปฏิเวธเลย เพราะฉะนั้นเราจะเห็นในพระสูตร บอก มีว่าสิกขาแล้วก็มักจะมีคำนำหน้าเสียด้วยนะ บอกว่าอนุปุพฺพสิกขา แล้วก็ปฏิเวธ

 ปฏิเวธก็ใช้คำว่า อัญญาปฏิเวโธ โยมลองฟังก็เพราะดีเหมือนกันนะ อนุปุพฺพสิกขา อัญญาปฏิเวโธ นี่คำพระพุทธเจ้าเองแท้ๆ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ นี่ชุด ชุดนี้เป็นชุดที่พระอาจารย์ พระอรรถกถาจารย์เนี่ยะ ท่านชอบใช้ ก็มาแยกให้พวกเราสะดวกในการเล่าเรียนศึกษา ในการกำหนด ชุดพระพุทธเจ้าเองมักจจะตรัส อนุปุพฺพสิกขา อัญญาปฏิเวโธ อ้าว แล้วเป็นอย่างไรล่ะ?

          อนุปุพฺพสิกขา อนุปุพฺพะ แปลว่า ตามลำดับ แล้วก็สิกขาแปลว่า การศึกษา หรือการเรียรู้ก็แล้วแต่ ที่เราใช้ปัจจุบัน เรียนรู้ การเรียนและการปฏิบัติแล้วเป็น คำว่าสิกขาหรือศึกษานี่ ภาษาไทยมันก็ความหมายเพี้ยนไปเรื่อย สิกขานี่คือ เล่าเรียนให้รู้ แล้วทำให้เป็นอย่างนั้น ทำให้ได้ทำให้เป็น ทั้งเรียนให้รู้และทำให้ได้ให้เป็น จึงจะเป็นสิกขา ไม่ใช่แค่เรียนเป็นสิกขา ก็สิกขานี่มันเป็นศีล สมาธิ ปัญญา ลองคิดดูสิ ถ้าศึกษาเพียงแค่เรียรู้ว่า อะไรเป็นอะไรแล้วก็ อ้าว แล้วไตรสิกขา ลองแยกไปซิมีอะไร มีศีล สมาธิ ปัญญา ใช่มั้ย? สิกขา การศึกษาเนี่ยะ ประกอบด้วยศีล สมาธิ ปัญญา เรียนกว่าไตรสิกขา แล้วดูซิ มันเป็นเรื่องปฏิบัติทั้งนั้นเลย เรียนที่ไหนล่ะ? ใช่มั้ย? เนี่ยะ สิกขาที่แท้น่ะ มันอยู่ที่ปฏิบัติ แต่ว่าถ้ารวมหมด ปฏิบัติได้มันต้องอาศัยเล่าเรียนให้รู้ ยอ่างที่ว่าเมื่อกี้ เพราะฉะนั้นคำว่าสิกขาเนี่ยะ มันเป็นคำที่เท่ากับปริยัติและปฏิบัติรวมกัน.

          นี้อาตมากำลังจะโยงให้เห็นว่า ชุด ๒ ของพระพุทธเจ้ากับชุด ๓ ที่พระอรรถกถาจารย์นิยมกล่าวก็อันเดียวกันนั่นแหละ แต่พระพุทธเจ้าตรัสรวบ คือสมัยที่พระอยู่กับพระพุทธเจ้า แน่นอนต้องฟังพระองค์อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นพระองค์ก็จะเน้นไปที่ภาคปฏิบัติ เอ้า ฟังฉันไปแล้วก็ไปปฏิบัตินะ เนี่ยะ ฉะนั้นก็เลยว่า เล่าเรียนแล้วปฏิบัติ เรียกว่าสิกขา ที่ว่าศึกษานี่ต้องเล่าเรียนให้รู้ ก็คือปริยัติด้วย แล้วก็ปฏิบัติด้วย พูดสั้นๆว่าปริยัติแล้วปฏิบัติรวมกันเรียกว่าสิกขา คือการศึกษา เวลานี้เราปริยัตินี้เป็นศึกษาไป ที่จริงพระพุทธเจ้าตรัสเน้นน่ะ สิกขาเน้นที่ปฏิบัติ อย่าง เอา อันนี้นอกเรื่องแทรกไปอีกนิดนึง อย่างในแห่งหนึ่งนี่ท่านแยกพระศาสนาออกเป็นปฏิบัติศาสนาเนี่ยะ หรือปฏิบัติสัทธรรม2 ที่เราบอกปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธเนี่ยะ ที่เมื่อกี้ว่าปริยัติคือ พุทธพจน์ที่จะพึงเล่าเรียน ใช่

            2 https://84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=121

มั้ย? ปริยัติ อ้าวแล้วปฏิบัติคืออะไร? ปฏิบัติคือศีลสมาธิปัญญา เห็นมั้ย? ปฏิบัติก็คือไตรสิกขา ตกลงปฏิบัตินี่ก็ตัวสิกขานั่นเอง.

          เพราะฉะนั้นไอ้ตัวสิกขาเนี่ยะ มันเน้นที่ปฏิบัติ ขณะที่ท่านเอาไปใช้เป็นคำจำกัดความของการปฏิบัติ ใช่มั้ย? ว่าการปฏิบัติคืออะไร? ก็คือไตรสิกขา เพราะฉะนั้นตัวปฏิบัติที่แท้ก็คือไตรสิกขานี่เอง การศึกษาอยู่ที่การปฏิบัติ อันนี้ไปดูเอาตัวแท้ๆเลยนะ ว่าคำจำกัดความในคัมภีร์เลย ไม่ต้องมาพูดกันเองแล้ว ญาติโยมจะได้ชัด เอ้า เป็นอันว่าพระพุทธเจ้าตรัสอนุปุพพสิกขา สิกขาในที่นี้ก็ทั้งปริยัติและปฏิบัติ ทั้งเล่าเรียนแล้วก็ไปปฏิบัติ ทีนี้ทำไมมีอนุปุพพะ อนุปุพพสิกขาก็แปลว่า ศึกษาตามลำดับ หมายความมีขั้นมีตอน การศึกษานี่มีขั้นมีตอน ไม่ใช่ว่าทำเรื่อยๆเปื่อยๆสับสน ลักลั่น ทำมีขั้นตอน ท่านเรียกว่าอนุปุพพสิกขา แล้วบางทีพระพุทธเจ้าก็ใช้ว่า อนุปุพพปฏิปทา ก็ไปอีกย้ำ เป็นคำที่ใช้เป็นชุด อนุปุพพสิกขา อนุปุพพปฏิปทา แล้วสิกขานั่นแหละเป็นปฏิปทา ปฏิปทาก็เป็นการปฏิบัติ ปฏิบัติคืออะไร? ก็คือ มรรค เอาอีกแล้วก็ไม่ไปไหนแล้วนะ.

          ก็ตกลงสิกขา ศีลสมาธิปัญญา ก็เป็นอนุปุพพสิกขา ใช่มั้ย? ก็ศีลสมาธิปัญญา เป็นอนุปุพพะแล้ว เป็นลำดับ แล้วมาเป็นอนุปุพพปฏิปทา เป็นปฏิปทาตามลำดับ แล้วปฏิปทานั้นคืออะไร? กาปฏิบัติ การดำเนิน ปฏิปทานี่แปลว่า การดำเนิน การดำเนินดำเนินอะไร? ก็ดำเนินตามทาง ทางอะไร? ทางก็มรรค ตกลงว่ามรรค มรรคมีองค์ ๘ มรรคมีองค์ ๘ สรุปว่าเป็นอะไร? ก็เป็นศีลสมาธิปัญญา ตกลงอนุปุพพปฏิปทาก็เป็นมรรคมีองค์ ๘นั่นแหละ ก็ปฏิบัติตามลำดับ ดำเนินไปตามลำดับ มีขั้นมีตอน ก็อันเดียวกัน พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ให้ ใช้คำต่างๆเหล่านี้ให้ เป็นคำเป็นชุด เราจะได้โยงธรรมะมาหากันได้ง่าย.

          เอาละได้ความว่า อนุปุพพสิกขา อนุปุพพปฏิปทา ก็คือเรื่องสิกขา ๓ มรรคมีองค์ ๘ เนี่ยะ ก็เป็นเรื่องที่รวมหมดทั้งปริยัติปฏิบัติ ด้วยกัน แล้วก็เน้นที่ปฏิบัติ เพราะเรียนไปแล้วไม่เอาไปปฏิบัติก็ไม่ได้ผลอะไร ทีนี้ต่อไปพระพุทธเจ้าก็ตรัส พอได้อนุปุพพสิกขา แล้วก็อัญญาปฏิเวโธ ปฏิเวโธก็ตัวเดียวกัน ก็คือ การแทงตลอด นี่สำนวนโบราณนะ การแทงตลอดก็คือการบรรลุผล คือหยั่งรู้ความจริงด้วยปัญญา แต่ทีนี้ ทำไมจึงมีคำว่าอัญญา อัญญาตัวนี้แปลว่า พระอรหัตถผล อัญญาแปลว่าอะไร? อัญญามาจากตัว อา อยู่ข้างหน้าแล้วบวกกับ-ญา ญาแปลว่า ความรู้ที่มาเป็นญาณ แล้วอาแปลว่าทั่ว บวกกันอากับญา เป็นอัญญา แปลว่าความรู้ทั่ว นี้แปลโดยรูปศัพท์เท่านั้นนะ ความหมายที่แท้จริงคืออรหัตผล อัญญานี่พระอรหัตผล บรรลุอัญญาก็บรรลุอรหัตผล นี่ก็คือจุดหมายนั่นเอง.

          ตกลงว่า นี่ก็คือหลักปฏิบัติ ไม่ใช่แค่ปฏิบัติละ หมดเลยทั้งชุด อนุปุพพสิกขา อัญญาปฏิเวโธ สิกขาตามลำดับ แล้วก็บรรลุความรู้แจ้งสมบูรณ์ ที่เรียกว่าอรหัตถผล อัญญาปฏิเวโธ ก็ครบล่ะ ดังนั้นคำสอนของพระพุทธเจ้านี้ จะสรุปยังไงก็ได้หลายแบบ นี้เป็นวิธีสรุปอย่างหนึ่ง ตกลงในวันนี้อาตมามาพูดเพียงเทียบให้เห็น ๒ ชุด ชุดง่ายๆที่เราอาจจะได้ยินได้ฟัง ชินกว่าก็คือชุดปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ แล้วก็ต้องเข้าใจให้ชัดว่า ที่แท้นั้น ปริยัติหมายถึงพุทธพจน์ ที่จะพึงเล่าเรียน แล้วก็ ปริยัติ-ปฏิบัติมารวมกันก็เป็นสิกขา เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าก็เลยตรัสชุดง่ายๆสั้นๆแค่ ๒ ว่าอนุปุพพสิกขา อัญญาปฏิเวโธ การศึกษาตามลำดับขั้น แล้วก็นำไปสู่การบรรลุผล คือความรู้ทั่วตลอดที่เรียกว่า บรรลุอรหัตผล ก็เป็นจุดหมายของพุทธศาสนา ก็จบ นี่ก็เป็นการสรุปอย่างหนึ่ง ฉะนั้นโยมยังไม่ถามก็จะคุยต่อไป คุยไปเรื่อยๆ...

           https://youtu.be/7AuwxPxp4Dg?si=QpdObV4PjrYMvWb9

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น