๕ มกราคม ๒๕๕๔
วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๓. ณ. ถ้ำราชคฤห์เมืองงาว จ.ลำปาง พระครูบาบุญชุ่ม ญาณสํวโร ขอกล่าวคำโอกาส ถวายพระพรชัย แด่องค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชนะวะมินทร์มหาราช สมภารศาสสนะอุปถัมภก์เจ้าแห่งกรุงสยามไทยดวงใจของประชาชาวไทนทั้งผอง ขอตั้งจิตอธิษฐาน น้อมเกล้าถวายพระพร ขอทรงพระเจริญสุขเกษมสำราญ มีพระพลามัยสมบูรณ์แข็งแรง และเป็นมิ่งขวันของประชาชนชาวไทย ทรงเป็นร่มโพธิ์ทองไปตลอดกาลนานด้วยเทอญ ทรงพระเจริญ ทีฆายุโกโหตุมหาราชา มหาราชินี ด้วยจิตซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นหาที่สุดมิได้ ขอน้อมถวายพระพร
พระครูบาบุญชุ่ม ญาณสํวโร อรัญยะวาสีภิกขุ
๕ ธันวาคม มหาราช พ.ศ.๒๕๕๓.
แปดสิบสามพระชันษา พระผู้เป็นเจ้าแผ่นดินมาบรรจบ ขอเครพนอบน้อมถวายสักการะพระเอ๋ย พระพ่อแผ่นดินถิ่นสยาม พ่อมีน้ำพระหฤทัยแสนงดงาม ยามประชาพากันทุกข์ภัยพิบัติ เพราะน้ำท่วมและภัยหนาวยามถึงคราวลำบาก ปวงประชาพระเมตตากรุณาด้วยดวงจิต ชุบชีวิตผู้ยากไร้ได้อยู่ดี มีสุขขีถ้วนหน้า เพราะด้วยพระบารมี สมควรแท้ปวงประชาพารู้รักสามัคคี ทำความดีถวายแด่องค์สมเด็จพ่อแห่งแผ่นดิน นะวะมินทร์ผู้ประเสิรฐ สุดเลิศแท้ในโลก ขอตั้งจิตภาวนาพานำบุญและกุศล ช่วยบันดลให้พระองค์ท่านทรงพระเจริญ เชิญเทวันเทพไท้ให้รักษา จงปกปรักคุ้มครอง องค์สมเด็จกษัตยตรา หายโรคาทุกข์โศกภัยนาๆ ขอตั้งจิตภาวนาให้พระองค์ท่าน ทรงพระเกษมสำราญทุกทิวาราตรี ของพระบารมี พระพุทธเจ้า พระธรรม อีกพระสงฆ์ จงช่วยค้ำจุนคุัมครองซึ่งพระองค์ ขอให้มั่นคงถาวร ดังประสิทธิ์พรตามพระประสงค์ ขอให้พระองค์ท่านทรงมีอายุยิ่งยืนนาน ให้ประชาพึ่งพระบารมี ขอน้อมจิตไมตรี ถวายพระพร ขอพระองค์จงเป้นร่มโพธิ์ทอง ผองชาติไทยใกลหมู่มาร ให้มีสุขเกษมสำราญตลอดกาลด้วยเทอญ ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพรชัยสุดดวงใจล้นเกล้า พระเจ้าแผ่นดินของไทย ด้วยจิตซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอันหาสุดมิได้ ข้าพระพุทธเจ้า พระครูบาบุญชุ่ม ญาณสํวโร และคณะศรัทธาลูกศิษย์ทุกคน ขอน้อมถวายพระพรชัย
น้อมเกล้าถวายพระธรรมสัจจะทางดับทุกข์ เมตตาธรรมนำสู่จิต ไม่คิดผิด พูดผิด ทำผิด จิตหม่นหมอง ทำให้ประครองดวงจิตใจให้ดีๆ สร้างบารมีหนีทุกโศกโลกสงสาร แสนยาวนานลำบากยากทุกข์เข็น ได้เกิดเป็นหลายชาติภพนับไำม่ถ้วน ควรกลัวแล้วในโลกสงสาร มีจิตน้อมยินดีซึ่งพระนิพพานพ้นจากทุกข์อันกันดานตายเกิดประเสริฐแท้ รู้จริงแท้ทุกสิ่งเป็นอนัตตา น้อมจิตภาวนาเห็นแจ้งในสัจจะชีวิต ทุกสิ่งอันผันแปรเปลี่ยนใหลไำปไม่กลับมารู้เห็นแจ้งสูญยะตา พาสงบพบสุขยิ่งธาตุแท้นิพพานเอย จงเฝ้าดูกายและจิตอย่าคิดผิดติดใจในตัณหา จงละจงปล่อยวางอวิชชา พาสงบพบสุขเย็นยิ่งไม่กลับมาตายมาเกิดในโลกา รู้แจ้งจิตด้วยปัญญานิโรธาดับสนิท จิตบริสุทธิ์แท้ถึงที่สุดหมดทุกข์เอย ท่านผู้มีปัญญาแสวงหาสัจจะนิพพาน คนเดินโลกสงสารแสวงหาแต่ความทุกข์ ยิ่งคิดยิ่งรู้ ยิ่งดูยิ่งเห็น ยิ่งทำยิ่งเป็น ธรรมแท้คือธรรมชาติ ธาตุรู้ คือ มหาสติ มหาปัญญาจงทำจิตเข้าถึง พุทธภาวะรู้แจ้งสงบเย็นอยู่ภายในไม่ปรุงแต่งทั้งบุญทั้งบาป ดับภพดับชาติไม่ยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวางเป็นทางออกจากทุกข์ เฝ้าดูจิตปัจจุบันทันเวลา ไม่ประมาทให้จิตเข้าถึงธาตุแท้แห่งธรรมชาติ ที่ไม่เกิดไม่ดับ ไม่มีการอยู่ การไปการมา มีแต่ธาตุธรรมล้วนๆ ไร้มิติไร้ขอบเขตไร้บัญยัติเป็นอนันตะธาุ อนันตะธรรมที่บริสุทธิ์อย่างยิ่งนั้นแล เมตตาธรรมจากดวงใจถวายพ่อแห่งแผ่นดินถิ่นสยามไทยในแดนอันสงบร่มเย็นใต้ร่มเงาพระพุทธศาสสนา ขอน้อมจิตถวายพระธรรมนำพ้นทุกข์ถึงสุขยิ่งอะมะตะนิพพานเอย โดยครูบาบุญชุ่ม ญาณสํวโร วันที่ ๕ ธันวามหาราช
ในโลกจักรวาลนี้ไม่มีอะไรเป็นแก่นสารทุกสิ่งทั้งปวงเกิดดับตามเหตุปัจจัยใหลไปผ่านมาและผ่านไป ไม่มีอะไรเหลืออยู่ไม่ควรไปยึดมันถือมั่นด้วยสิ่งใดทั้งโลกนี้และโลกหน้า จงตั้งจิตอุทิศชีวิตที่เหลืออยู่น้อยนี้ ถวายเป็นพุทธบูชา น้อมจิตภาวนาให้รู้แจ้งในรุปนามและาังขารอันไม่เที่ยงทุกข์ เป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตนเราเขาอะไร รู้แจ้งด้วยปัญญาตามความจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป นอกจากทุกข์แล้วไม่มีอะไร พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า ทุกข์ควรกำหนดรู้ สมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์ควรประหาน นิโรธควรทำให้แจ้ง มรรคควรเจริญภาวนาให้เกิด ธรรมะทุกอย่างรวมอยู่ที่จิตดวงเดียว เมื่อจิตรู้ จิตตื่น จิตเบิกบานอย่างยิ่งแล้วย่อมพ้นจากทุกข์ การบำเพ็ญธรรมปฏิบัติธรรมนี้ไม่ได้หวังเพื่ออะไรเป็นอะไรสักอย่าง แต่เป็นไปเพื่ออยู่เย็นเป็นสุขในชีวิตประจำวัน เพื่อความหมดห่วงหมดอาลัยในโลกทั้งสามเพื่อนิพพานเท่านั้น ขอให้ทุกข์คนตั้งใจจริงทำจริงปฏิบัติจริงต่อธณรมะ อย่าท้อถอยเอาชีวิตเป็นเดิมพันถึงจะตายด้วยการปฏิบัติธรรมก็ยอม ให้มีกำลังใจเข้มแข็ง และทำจิตให้อ่อนโยนอ่อนน้อมถ่อมตน อย่าคิดว่าเราเป็นคนสำคัญให้ทำตนนแบบปกติธรรมดาๆนี้แหละดีที่สุด เมื่อเราคิดว่าเราเป็นคนสำคัญแล้ว เมื่อผู้อื่นไม่ให้ราคาเราไม่นับถือให้ความสำคัญเราแล้ว จิตใจเราจะเป็นทุกข์ร้อนรนสับสนวุ่นวายไปตามกระแสโลกธรรม ขอให้ตั้งใจให้ดีมีสติทุกเมือทุกขณะจิต เพียงแต่รู้เฝ้าดูเฝ้าเห็นกายกับใจ เคลื่อนไหวไปตามเหตุปัจจัยเ เป็นเพียงรุปธรรมนามธรรมเท่านั้น เป็นเพียงก้อนทุกข์ ก้อนธาตุ เท่านั้น ไม่ควรไปให้ราคาตัวเองและวัตถุธาตุ สิ่งใดไม่ควรมั่นหมายผุกพันธ์กับสิ่งใดในโลก เราอยู่ในโลกอย่าหลงมายาของโลกไม่ติดไม่ข้องแวะเกี่ยวกับสิ่งใจ มีแต่ใจรู้แจ้ง ปล่อยวางสู่ความว่างสภาพเดิมของธรรมชาติแท้ การปฏิบัติธรรมต้องเป็นไปตามลำดับขั้นตอน อย่ารีบร้อนกังวลและอย่าช้าซึมเกินไปให้คิดค้นในธรรมพิจารณาให้เห็นแจ้งจริงตามธรรมชาติ ไม่ติดรูปแบบบัญยัติอะไรสักอย่าง เพียงแต่รู้แลบ้วปล่อยรู้แล้ววางเห็นความเกิดดับของรูปกับนามตลอด เจริญมหาสติปัฏฐานสี่ ดูกายให้เห็นกาย ดูเวทนาให้เห็นเวทนา ดูจิตดูในจิตให้เห็นจิต ดูธรรมให้เห็นธรรม กำหนดรู้ดูลมหายใจเข้าออกรู้กายสังขารเกิดดับ และระงับกายสังขาร แล้วรู้จิตสังขารเกิดดับ ระงับดับเย็น มีแต่จิตปราโมทย์ ปีติ อิ่มใจ เย็นอยู่ภายใน รู้แจ้งกายใจ รูปนามธาตุขันธ์ทุกอย่างรวมลงสู่ไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สูญยะตา จิตสงบ จิตวิเวกในธรรม เป็นปัจจัตตังรู้แจ้งเฉพาะตนเท่านั้น เมื่อเจริญอานาปานานุสติ ดูลมหายใจเข้ายาวออกยาว ดูลมหายใจเข้าสั้นออกสั้น แล้วจิตย่อมสงบ และได้เจริญสติปัฏฐานสี่ไปพร้อมกัน กาย เวทนา จิต ธรรม และได้เจริญธรรมโพธิปักขิยะสามสิบเจ็ดไปด้วยได้เจริญโพชฌงค์เจ็ด มีสติ ธัมมะวิจัยยะ วิริยะปีติ ปัสสาธิ สมาธิ อุเบกขา พร้อมกันไปด้วย และได้เจริญมรรคธรรมองค์แปดไปพร้อมกัน มีสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ สัมมาสังกัปปะความดำริชอบ สัมมาวาจามีวาจาชอบ สัมมากัมมันตะมีการงานชอบ สัมมาอาชีวะมีการเลี้ยงชีพชอบ สัมมาวายามะมีความใเพียรชอบ สัมมาสติมีสติระลึกชอบ สัมมาสมาธิมีความตั้งใจชอบ ครบทุกอย่าง ธรรมโพธิปักขิยะสามสิบเจ็ด มีสติปัฏฐานสี่ สมัปปาทานสี่ อิทธิบาทสี่ อินทรีย์ธรรมทั้งห้า พะละธรรมทั้งห้า โพชฌงค์ธรรมทั้งเจ็ด อัฏฐังคิกมรรคธรรมทั้งแปด รวมเป็นธรรมมรรคสมังคีเกิดขึ้นให้รู้เห็นแจ้งในญานทัสนะ พระสิปัสนาญานรู้แจ้งตามลำดับในอะริยะสัจจะธรรมทั้งสี่ ได้รู้แจ้งพร้อมกันเข้าถึงโลกุตตะระธรรมอันไม่มีปัจจัยปรุงแต่งนั้นแล เขา มรรคญานผลญาณดวงธรรม ปฐมมรรค มีพระโสดาบันเป็นต้น ตัดสังโยชน์ได้สามคือ สักกายะทิฏฐิ ความเห็นกายว่าเป็นตน เป็นตัว ได้ดับไป และละวิจิกิจฉาความสงสัยในธรรมหมดไป และละได้ซึ่งสีละปัตตะปรามาท ความถือศีลไม่จริงจังลูบคลำศีลก็โับไป เมื่อขั้นอะริยะบุคคลเบื้องต้นแล้วได้ชื่อว่าปิดประตูอบายภูมิทั้งสี่ ถ้าหกากจะเกิดจะตายอีก ก็ไม่เกินเจ็ดชาติก็ได้ถึงพระนิพพานธาตุแล ขอให้ท่านทั้งหลายจงตั้งจิตปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมที่ควรได้ถึงรู้แจ้งเห็นจริงตามธรรมชาติ อย่างน้อยก็ขอให้ถึงพระโสดาบันไว้ก่อนในชาตินี้ ก็จะสบายดับภพดพชาติในสงสารไปมาก จะเกิดจะตายอีกก็เพียงเจ็ดชาติเท่านั้น ปิดกั้นประตูอบายภูมิทั้งสี่แน่นอน ฉนั้นเราได้กล่าวบันทึกธรรมคำสอนใจผู้ใฝ่ในธรรม หวังความพ้นทุกข์ในวัฏฏะสงสารทั้งหลาย ก็พอสมควรแก่เวลาจึงขอเมตตายุตติไว้เท่านี้ ขอความเจริญธรรมเจริญสติเจริญปัญญา จงมีแก่ท่าน ขอให้มีดวงตาเห็นพระธรรมสัจจะ ขอให้อยู่เย็นเป็นสุขด้วยธรรมทุกเมื่อตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญด้วย จิตเมตตายิ่งจากดวงใจอันบริสุทธิ์ พระครูบาบุญชุ่ม ญาณสํวโรแห่งสำนักสงฆ์ถ้ำมหาโพธิสัตว์ราชคฤห์ เมืองงาว ลำปาง แต้มบันทึกไว้เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๓ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวโรกาสมหามงคลสมัย ครบรอบแปดสิบสามพรรษา แห่งองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช จึงขอน้อมเกล้าถวายพระพรสาธุสาธุ
วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๓. ณ ถ้ำราชคฤห์ เมืองงาว จ.ลำปาง เมตตาจากดวงใจอันบริสุทธิ์ของพ่อครูบาบุญชุ่ม ญาณสํวโร เมตตาถึงลูกๆทุกคนและญาติโยม เราคิดถึงทุกคน วันพ่อแห่งชาติเราได้ขอพรแผ่เมตตาให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและลูกสิษย์ทุกคน ขอให้มีความสุขกายสบายใจทุกเมื่อ ขอให้โชคดีอยู่เย็นเป็นสุขถ้วนหน้า ขอให้อายุยืนแข็งแรง มีกำลังกาย กำลังใจ อยู่ค้ำชูดูแลพระพุทธศาสสนาไปตลอดกาล ขอให้มีสติปัญญาดวงตาเห็นธรรม นำตนให้พ้นจากทุกข์ในวัฏกสงสาร ให้ถึงพระนิพพานด้วยเทฮญ ส่วนตัวครูบาพ่อมีความสงบกายสบายใจทุกอย่าง เจริญจิตภาวนาได้นิมิตอารมณืดี มีสภาวะธรรมปีติเกิดตลอดและป่วยไข้ เป็นอะไรสักอย่างตั่งแต่มาอยู่ถ้ำ เราแยกกายแยกจิตได้มีธรรมเป็นโอสถทิพย์หล่อเลี้ยงชีวิตจิตใจ มีแต่ความสุขสงบระงับดับเย็น เห็นแจ้งรูปธรรม นามธรรม รูปธาตุ นามธาตุ เกิดดับมีแต่ใจเป็นกลาง วางทุกอย่าง ไม่ก่วงอะไร ไม่กังวลอะไร ไม่ติดข้องหลงไหลในสิ่งใดในโลก ไม่หวังอะไรอีกแล้ว รู้แจ้งปล่อยวางไม่ยึดสำคัญมั่นหมายกับสิ่งใด โลกเรางานด้วยจิตว่างตลอดวันคืนที่ผ่านไปด้วยจิตใจสอาดสว่างสงบมีสติรู้ทันทุกอย่าง มุกอริยาบททุกขะณะจิต มีแต่ใจสดชื่นเบิกบานหรรษาในธรรม ดูโลกสังขารรูปนามที่ไม่เที่ยงเป็นธรรมชาติแท้ สอนเราทุกทั้งแผ่นดินแผ่นฟ้าภูเขาเหล่ากานกหนูมดปลวกสัตว์สังขารนาๆชนิดล้วนทำหน้าที่ตนแบบสงบ ทุกอย่างในโลกกะธาตุจักวาลทุกดวงจิตทุกวิญญาณก็แสวงหาความพ้นทุกข์เข้าถึงจิตเดิมแท้แห่งโพธิภาวะ พุทธภาวะธรรมชาตุล้วนๆทั้งนั้น ขอให้มองโลกในแง่ดีมีประโยชน์ทุกอย่าง สอนเราให้เพียงแต่รู้ทันจิตปัจจุบัน แล้วปล่อยวางไม่ติดข้องเกี่ยวพันธ์กับสิ่งใดในโลกทั้งสาม มีแต่เมตตาปราณีไมตรีจิตอันบริสุทธิ์นั้น ทำจิตเข้าถึงพุทธภาวะรู้แจ้งสงบเย๋นอยู่ภายในเบากายเบาใจไร้ขอบเขตไร้มิติ เข้าถึงธาตุแท้แห่งธรรม เนื่องในวันพ่อแห่งโลกแห่งชาตินี้จึงขอให้ธรรมะสัจจะอะมะตะวาจาให้พรทุกท่าน ให้มีความสุขกายสุขใจ มีทานศีลภาวนา มีสติปัญญ ดวงตาเห็นธรรมในชาติปัจจุบัน ถึงพระนิพพานด้วยเทอญ ด้วยใจรักและห่วงใยเมตตาด้วยจิตจากพ่อครูบาบุญชุ่ม ญาณสํวโร อรัญยะวาสร ลูก พ่อขอบอกลุกว่า ลูกเอ๋ย ลุกรักเมตตาสุดดวงใจพ่อ ขอจงฟัง พ่อนี้เป็นคนยากจน ไร้ญาติขาดมิตรมาตั้งแต่เด้กเล็กจนโต แม่ทูลหัวแสงหล้าพาเร่ร่อนอพยพไปมาน่าสังเวช หนีจากเขตเชียงแสนแดนบ้านเกิดไปพักอยู่กับญาติพี่น้องที่บ้านทาดอนชัยใกลสุดเขตสันกำแพงและเชียงใหม่ลำพูน เพราะด้วยคำชูมีคนอินดูช่วยเลี้ยงจึงใหญ่มา ได้อำลาจากบ้านทามาอยู่เขตเชียงแสน แดนสงบอายุครบ ๑๑ ปีพอดี จิตยินดีอยากอกบวชเป็นเณร เรียนธรรมะอยู่กับบวชไม่นานเรื่องเล่าลือบานว่า ต้นบุญมาเกิดแสนประเสริฐเณรน้อยเจ้าปัญญา พวกศรัทธาพากันมากราบทำบุญและฟังเทศ รู้ถึงเขตแดนใกลไทย ลาว พม่า ว่าเณรต้นบุญมา เมตตาฝูงศรัทธาจิตเลื่อมใส ตอนเป็นเราได้เที่ยวเมตตาในถิ่นใกลทั้งในไทยฝั่งพม่าและประเทศลาว อินเดียและเนปาล ป่าหิมพานต์แดนสงบ ได้พบหลวงปู่ใหญ่เทพอุดรบนสิงขรในป่าหิมะพาน เราได้บำเพ็ญทานศีลภาวนาด้วยใจรัก กินแต่ผักผลไม้เป็นอาหารสร้างโพธิสมภารญานบารมีให้แก่กล้า ถึงเวลาอุปสมบทเป็นพระเมื่อ พศ๒๕๑๙ เข้าพิธีบวชนาคตามประเพณีหวังความดีสงบสุขแก่สัตว์โลกให้พ้นโศกทุกข์ภัยในสงสาร เราบำเพ็ญศีลทานภาวนาบารมีอย่างยิ่งโยด โปรดชาวไทยใหญ่ พม่า และชาวเขาถือผีให้อยู่ดีมีสุขทุกถ้วนหน้าถึงอายุสี่สิบพอดีได้มีเหตุอำพางบางอย่างน่าสลด เพราะใจคดคนบาปช่างอิจฉา ทำทุกอย่างให้เราทุกข์นาๆ จึงสละวัดวาและอารามแสนงดงามพระธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ชื่อดอนเรืองเมืองพงษ์หนา ได้กลฃับข้ามมาอยู่ฝั่งไทย และไปอยู่ที่ประเทศภูฐานแสนสดใสงดงงามตระกานตาภูเขาหิมะนาหลังคาโลกติดธิเบตจีนถิ่นสงบ เราได้พบสภาวะดวงธรรมนำสดใส สงบสบายใจทุกเวลา มีพระราชามหากษัตริย์ราชวงศ์ช่วยดูแลและรักษาแล้วกลับเมืองไทยแท้ ถิ่นบ้านเกิดสุดประเสริฐญาติมิตติดตามหาเราได้อยู่มาหลายที่หลายแห่ง นาๆนับไม่ถ้วน เวลาผ่านไปน่าใจหายใกล้ความตายมาทุกวันคืนแล้วหนา จึงตั้งภาวนาหวังพ้นทุกข์ในสงสารถึงนิพพานที่สุดจึงบอกเล่าความในใจให้ฟังเป็นคำสอนให้เป็นพรศักดิ์สิทธิ์ คิดถึงลูกคนที่ได้อยู่ร่วมกันมาขอขมาอโหสิกรรมทุกท่านเทอญ ขอผลบุญที่เราได้สร้างมิอาจอ้างในโลกา ขอเทวาจงรักษาลุกศิษย์ทุกคนพ้นหมู่ถึงนิพพานเป็นที่สุด แด่เทอญด้วยจิตรักเมตตายิ่ง
พระครูบาบุญชุ่ม ญาณสํวโร
ผู้มีปัญญาย่อมรักษาจิตทุกเมื่อ พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง สุขอื่นยิ่งกว่าสงบใจไม่มี
บทที่ ๑๔ บทธรรมะสอนใจผู้แสวงหาสัจจะ
ในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นแก่นสารทุกสิ่งทั้งปวง เกิดดับไม่ถาวรมั่นคง น่าเบื่อหน่ายที่สุดในรูปนาม ธาตุสี่ขันธ์ห้า อายะตะนะปฏิจสมุปาบาท นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรในโลกนี้มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป เพ่งให้รู้ดูให้เห็น มองให้เป็นคิดให้ออกบอกให้ถุก อย่าผูกมัด รู้แจ้งชัดตามสังขารรูปนาม เกิดดับเป็นแต่ทุกข์เท่านั้น อย่ายึดเอาไม่มัวเมาตามตัณหาพาสงบพบสัจจะ ละทุกอย่างวางทุกข์เอย กินเท่าไหร่ไม่รู้จักอิ่ม มองเท่าไหร่ไม่รู้จักเห็น ทำเท่าไหร่ไม่รู้จักเป็น ยิ่งเดินยิ่งใกล ยิ่งไปย่ิ่งช้า ในโลกนี้แสนจะว้าเหว่น่ากลัวที่สุด ความทุกข์การเกิดแ่เจ็บตายว่ายวนบนวัฏฏะสงสาร อันหาที่สุดมิได้ เหมือนดังว่าเราอยู่คนเดียวในโลก ต้องเดินคนเดียวในทางเปลี่ยวในวัฏฏะทุกข์ เมื่อรู้จิตรู้แจ้งสัจจะจึงละซึ่งตัณหาความอยากให้หมดลง ไม่ขึ้นลงตายเกิดประเสริฐแท้นิพพานเอย สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ เขียนแต้มไว้เมื่อวันที่ ๒๐ ต.ค. พ.ส.๒๕๕๓ ณ ถ้ำราชคฤห์ เมืองงาว จ.ลำปาง เมตตาจากดวงใจอันบริสุทธิ์ พระครูบาบุญชุ่ม ญาณสํวโร อรัญยะวสีภิกขุ
รักษาจิตให้ดี สร้างบารมีให้เต็ม ผู้มีปัญญาย่อมพ้นทุกข์ดังนี้แล
วันที่ ๒๐ ก.ย. พ.ศ.๒๕๕๓ ณ. ถ้ำราชคฤห์ เมืองงาว จ.ลำปาง
ธรรมะสอนใจผู้แสวงหาความพ้นทุกข์ในวัฏฏะสงสารทั้งหลาย การศึกษาธรรมะสัจจะแห่งธรรมชาติต้องตั้งใจค้นคว้าหาจากชีวิตจริง และดูจิตดวงเดียวที่เกิดดับปรุงแต่งเปลี่ยนแปลงตลอดไม่หยุดนิ่ง จงมองดูทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเป็นธรรมะ เห็นแจ้งทุกสิ่งทั้งปวงไม่มีตัวตนไม่มีแก่นสาร ทุกสิ่งปรุงแต่งกันขึ้นตามเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไปตามกระแสแห่งวิถีธรรมชาติ จงทำจิตสงบระงับดับเย็นเข้าถึงธรรมชาติแท้ ธรรมธาตุคือทุกสิ่งทั้งปวงสักแต่ว่าเป็นธาตุเท่านั้นไม่ควรไปมั่นหมายให้ค่ากับสิ่งใด ธรรมชาติทั้งปวงยึดมั่นถือมั่นไม่ได้ จงทำจิตเข้าถึงสภาวะแท้ดั้งเดิมของจิตอันบริสุทธิ์ไม่ติดไม่ข้องไม่เกี่ยวกับสิ่งใด ท่านทั้งหลายจงมีความศรัทธาความเชื่อเลื้อมใสในคำสอนของสมเด็จพระบรมครูสัพโพธิญานอันบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ผู้มีพระบริสุทธิคุณ พระปัญญาธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณในสัพสัตว์ทั้งหลาย ทรงชี้ทางวางธรรมะสัจจะส่องทางให้พ้นวางวัฏฏะทุกข์ ให้ถึงฝั่งคือนิพพานอันเป็นแดนอะมะตะนั้นแล ผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ย่อมพ้นทุกข์ไปตามลำดับ ขอให้ทุกท่านจงมีธรรมะพะละกำลังแห่งธรรมทั้งห้าประการ คือ ๑ ศรัทธาพะลัง กำลังคือศรัทธา ๒ วิริยะพะลัง กำลังวคือความเพียรไม่หยุดยั้ง ๓ สติพะลัง กำลังวคือสติมีสติทุกเมื่อคือเจริญหมาสจิปัฏฐานสี่นั้นแล ๔.สมาธิพะลัง กำลังคือสมาธิ มีจิตตั้งมั่นไม่หวั่นไหวไปตามโลกธรรมทั้งหลาย ๕.ปัญญาพะลัง กำลังคือปัญญาเห็นแจ้งในธาตุขันธ์ อายะตะนะ ปฏิจสมุปปาบาทอะริยะสัจจะธรรมทั้งสี่คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นั้นแล ให้ตั้งใจศึกษาปฏิบัติให้รู้แจ้ง ซึ่งธรรมอันเป็นกำลังหยุดหนุนให้ถึงมรรคผลนิพพานนั้นแล
จิตที่ตั้งไว้ดีแล้วย่อมมีความสงบสุขมุนี ทั้งหลายผู้แสวงหาสัจจะธรรม ยอมละซึ่งโลกามิสทั้งหลาย มีจิตยินดีซึ่งพระนิพพานทุกเมื่อแล
การปฏิบัติธรรมนั้นต้องตั้งใจจริง ยอมสละทุกอย่างเพื่อธรรมะ เพื่อความรู้แจ้งซึ่งสัจจะ เข้าถึงอะมะตะสุขยิ่งที่ไม่มีการเกิดดับ การไปมาไร้มิติ ไร้ภาวะ ความมีความเป็นอะไรทั้งสิ้น ไม่มีปัจจัยปรุงแต่งนั้นแล ขอให้ทุกท่านจงตั้งจิตอุทิศให้การปฏิบัติจิตภาวนาตลอดทั้งวันทั้งคืน อย่าได้ประมาททุกขะณะทุกลมหายใจเข้าออกให้มีแต่ความสงบ สุขอิมใจในธรรมทุกเมื่อทุกยาม กายสงบวาจาสงบจิตใจสงบจากนิวรณ์กิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งหลายจงเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของกายของจิต ตลอดไหลไปตามเหตุปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นตั้งอยู่ดัลไปในโลกนี้ไม่มีอะไรนอกจากทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข็เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป จงเฝ้าดูให้ถึงที่สุดของกองทุกข์ เข้าถึงนิโรธสัจจะความดับไปแห่งทุกข์ทั้งหลาย จงเดินตามทางเอก ทางสายกลางคือมรรคมีองค์แปดประการ ย่อลงแล้วก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ดังนี้ จงปฏิบัติธรรมอยู่ตามธรรมชาติ ชีวิตประจำวัน มองทุกอย่างเป็นธรรมะ เห็นทุกอย่างเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีเท่านั้นเอง ทั้งรูปธาตุ นามธาตุทั้งหมด ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นอะไรในโลกนี้โลกหน้าให้จิตเข้าถึง ยะถาภูตญานทัสสนะ รู้แจ้งตามเป็นจริงของรูปนามสังขารทั้งหลาย มีความเกิดดับแปรปรวนอยู่ตลอด เมื่อจิตรู้จิตเห็นแจ้งตามสภาวะธรรม ตามเป็นจริงแล้ว ย่อมเบื่อหน่ายคลายความรักความชังในสัพะธาตุสัตว์สังขารทั้งปวง จิตย่อมปล่อยวางซึ่งเหตุให้เกิดทุกข์ จิตสละจางคายจากกิเลส บาปธรรมทั้งหลายมีจิตน้อมไปเอนไปในความสงบวิเวก ธรรมสันติธรรม อะมะตะธรรมสูญยะตะธรรมที่หาปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้ถึงที่สุดของกองทุกข์ในวัฏฏะสงสารดังนี้แล เราทุกคนทุกดวงจิตเป็นโรคทางวิญญาณกันทั้งนั้น ได้ว่ายวนเกิดตายในทะเลแห่งสังสารวัฏฏะทุกข์ นับภพนับชาติไม่ถ้วนหาเบื้องต้นเบื้องปลายมิได้ เพราะเราเป็นทาส เป็นโรค คือ อวิชชา ตัณหา อุปปาทาน เป็นโรคแห่งความโลภ โกรธ หลง ความเห็นผิด ความถือตัว ความยึดมั่น ทุกอย่างเป็นโทษเป็นภัยให้แก่เราในวัฏฏะสงสารทั้งนั้น ฉนั้นจงตื่นเถิด จงรู้เถิด อย่าได้เกิดความมืดหลงอีกต่อไป จงรีบรักษาโรควิญญานจิตใจเราให้หายจากโรคภัย จงรีบทานยาวิเศษขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านชี้ทางวางไว้ให้แก่เราท่านทั้งหลาย ก็มีอยู่ดังนี้ โรคความโลภ ต้องรักษาด้วยการเสียสละให้ทานออกไป โรคความโกรธต้องกินยารักษาด้วยศีล มีจิตเมจจา กรุณา มุทิตา อุเบกขา โรคความหลงมัวเมาในชีวิตต้องกินยารักษาด้วยจิตภาวนา สมถะวิปัสสนา รู้แจ้งเห็นจริงในสัพพะสังขารทั้งหลาย เป็นอนิจจังไม่เที่ยง ทุกขังเป็นทุกข์ อนัตตาไม่ใช่ตัวตน รู้เห็นแจ้งแล้วปล่อยวางจิตก็หานโรคหายภัยทั้งหมด กายเบาจิตเบาไม่เอาไม่ได้ไม่เป็นอะไร เข้าถึงธาตุแท้แห่งสัจจะธรรมที่เป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง จิตย่อมพ้นวิเศษดังนี้แล ธรรมะนี้ยิ่งมองยิ่งใกล ยิ่งไปยิ่งใกล้ นิพพานก็มีในขันธ์ห้านี้ ถ้าดูให้เป็นจงเฝ้าดูจิตทุกขณะ อย่าให้ตกเป็นเหยื่อของอวิชชา ตัณหา อุปปาทานก่อภพก่อชาติไม่มีสิ้นสุด จงให้จิตมีอาหารตลอด คือ ปีติธรรม ความปราโมทในธรรม มีแต่จิตรู้แจ้งเป็นกลาง ปล่อยวางทุกอย่าง ทะัั้งสุขทั้งทุกข์ มีจิตเห็นแจ้งสภาวะธรรมตามเป็นจริง คืนทุกสิ่งให้แก่ธรรมชาติ จิตสอาดสว่างสงบระงับดับเย็นอย่างยิ่ง เป็นทีสุดของทุกข์ ดังนี้แล จงทำงานทุกอย่างเหมือนไม่มีใครทำ จงดูทุกอย่างเหมือนไม่ได้ดู จงฟัีงทุกอย่างเหมือนไม่ได้ฟัง เราสัมผัสทุกอย่างแต่เหมือนไม่มีใครสัมผัส ทุกสิ่งเกิดดับหายวับไปในที่สุด ไม่ควรมั่นหมายอะไร ทุกสิ่งสักแต่ว่าเป็นธาตุธรรมชาติเท่านั้น ทุกข์มีอยู่แต่หาผู้ทุกข์ไม่มี ผู้แสวงหาสัจจะธรรมทั้งหลายจงเป็นผู้มีความเพีบยรตลอด ธรรมะันั้นคือไม่ไปไม่สู้ไม่อยู่ไม่ถอยไม่เอาไม่เป็น สิ่งที่ควรกำหนดรู้คือทุกข์สิ่งที่ควรประหานคือตัณหาทั้งสามสิ่งที่ควรทำให้แจ้งคือ นิโรธ พระนิพพาน สิ่งที่ควรเจริญภาวนาคือมรรคมีองค์แปด ต้องมีสติทุกเมื่อไม่หลงไม่ลืมฝึกจนเป็นมหาสติมหาปัญญา มีขันติและเมตตานำหน้า ภาวนาจิตให้เข้าถึงซึ่งวิชชาวิมุต เจโตวิมุต และปัญญาวิมุต ดับเสียซึ่งอาสะวะทั้งสี่ ที่มี กามาสวะ ภาวะสะวะ ทิฏฐิสะวะ อวิชชาสะวะจิต เข้าถึงบรมสุขเกษมอย่างยิ่งดังนี้แล ผู้มีปัญญาย่อมรักษาจิตทุกเมื่อ จงมองทุกสิ่งในโ,กเป็นเพียงมายาผู้กลัวทุกข์ ต้องดับเหตุให้เกิดทุกข์ จงมองทุกสิ่งทั้งปวงเป็นธรรมะจงสละทุกสิ่งที่มีที่เป็นตามสมมุติ มีจิตหลุดพ้นจากบ่วงมาร ทุกข์เกิดที่ไหนต้องรีบดับที่นั่น อย่าประมาทอยู่จงมีสติสัมปชัญญะ รู้ตัวรู้เห็นรูปธรรมนามธรรมทุกขณะ เฝ้าดูเฝ้ารู้เฝ้าเห็นแต่ปัจจุบันธรรม ทิ้งอดีตวางอนาคตมีแต่จิตรู้แจ้ง ปล่อยวางทำใจเป็นกลางวางทุกข์เอย ธรรมะต้องคิดค้นก่อนแล้วปล่อยวางความคิดให้จิตสงบเย็นอยู่ภายในเข้าถึงธรรมชาติแท้ของจิตเดิม ยิ่งคิดยิ่งรู้ ยิ่งดูยิ่งเห็นยิ่งทำยิ่งเป็น ยิ่งเดินยิ่งใกล้ธรรมะทุกอย่างอยู่ที่จติดวงเดียว ความเพียรมีที่ไหนความสำเร็จย่อมมีทีนั้น จงมีปัญญาสัมมาทิฏฐิสอดส่องดูรูปกายใจนี้ ตลอดธรรมะทุกอย่างก็มีอยู่ในกายในใจนี้อันมีสัญญารู้แจ้งมีวิณญานธาตุประกอบกันขึ้น ตามเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไปตามเหตุปัจจัย ไม่มีอะไรเหลืออยู่ในโลก มีแต่ธาตุธรรมล้วนๆ เมื่อเรามาตั้งจิตปฏิบัติจริงย่อมได้ผลจริง เหมือนการกินข้าว ใครกินใครทานก็อิ่มใครไม่กินก็อดเท่านั้น อันว่าพระนิพพานก็ดีนรกสวรรค์ก็ดีมีในใจเราทั้งนั้น สังขารปรุงแต่งอย่างใดก็เป็นอย่างนั้น มีแต่พระนิพพานเท่านั้นที่เป็นอสังขะตะธาตุ ไม่มีอะไรปรุงแต่ง ฉนั้นท่านทั้งหลายจงมีจิตยินดีซึ่งพระนิพพานกันเถิด จะได้ไม่ต้องเกิดเป็นทุกข์อยู่ร่ำไป จึงขอยุติข้อธรรมบทนี้ไว้แค่นี้ ขอความเจริญธรรมเจริญสุขเจริญสติปัญญา จงมีแก่ท่านทั้งหลาย ขอให้มีดวงตาเห็นธรรมนำตยพ้นจากทุกข์ด้วยเทอญ เมตตาธรรมจากดวงใจอันบริสุทธิ์ พระครูบาบุญชุ่ม ญาณสํวโร อรัญยะวสีภิกขุ แห่งถ้ำราชคฤห์ เมืองงาว จ.ฃำปาง วันที่ ๒๐. ก.ย. พศ ๒๕๕๓ มุนีทั้งหลายย่อมอยู่อย่างสงบ เฝ้าดูจิตให้ใสสอาดทุกเมื่อ ไม่ติดโลกนี้โลกหน้าเป็นผู้หมดอาลัย แล้วดังนี้จิตที่ฝึกดีย่อมมีความสุข
ในกายนครนี้กว้างศอกยาววาหนาคืบอันมีสัญญาใจครองเป็นเจ้าเมือง มีวิญญานผู้ชี้สั่ง การมีประตูทั้งหกเป็นที่ไปหลมาแห่งตัณหาไม่มีสิ้นสุด นำแต่ความทุกข์มาให้คือความเกิดแก่เจ็บตาย ว่ายวนไปมาในสังสารวัฏฏะภพน้อยภพใหญ่อันหาที่สุดมิได้ เพราะความไม่รู้ อวิชชาเป็นเหตุจึงปรุงแต่งสังขารวิญญาน นามรูป ฉพายะตะนะผัสสะ เวทนา ตัณหาอุปปาทานจึงเป็นเหตุได้ภพ ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ ทุกข์ โศก นาๆนับไม่ถ้วน การบังเกิดแห่งธาตุขันธ์ เป็นทุกข์ด้วยประการฉะนี้แล จงมองขันธ์ห้าให้รู้แจ้งแทงปัญญา ละโมหาอย่ายึดติดอย่าหลงผิด คิดตัรหาพาว่ายวนในสงสาร จงตั้งจิตสงบเย็นเป็นนิพพาน ไม่หาบหามขันธ์ห้าอีกต่อไป หายกังวลพ้นทุกข์เอย จงมองทุกสิ่งสักแต่ว่าเป็นธาตุ อย่าประมาทจิตภาวนาทุกเวลาทุกขะณไปเถิดหนา ละตัณหาความอยากให้หมดลง จิตมั่นคงรู้แจ้งซึ่งสัจจะภาวะหนา จงตั้งจิตภาวนาให้รู้ถึงซึ่งรูปนาม เกิดดับตามมรรคาละอวิชาเสียได้เป็นการดี หนีทุกข์เอย เมื่อจิตรู้จึงละจิต สละซึ่งโมหาจิตดับซึ่งอวิชชา จิตเข้าถึงนิโรธา ดับเย็นยิ่งทิ้งทุกข์เอย จงมองดินให้เห็นดินสิ้นตัณหา อย่าปรุงแต่งให้เกิดทุกข์อีกสองครา ดับตัณหาเสียได้สุขใจเอย จงมองน้ำให้เห็นน้ำตามสัจจะว่าจริงหนา ไม่ปรุงแต่งให้เกิดทุกข์ในอุรา ตั้งจิตภาวนาให้รู้จริง ทิ้งทั้งรูปละทั้งนามตามมรรคาดับโมหาเสียได้เป็นสุขยิ่งทิ้งทุกข์เอย จงมองไฟเห็นไฟตามสัจจะภาวะหนาดับอวิชชาไม่ปรุงแต่งแห่งสังขารทิ้งรูปนามตามมรรคา นิโรธาดับสนิทจิตสุขยิ่งจริงแท้เอย จงมองลมให้เห็นลมไม่ชมชิด จงสงบจิตเห็นแจ้งแท้จริงวซึ่งสัจจะภาวะหนา จงตั้งจิตสงบในภาวนาละอวิชชาทิ้งตัณหาอุปปาทาน ถึงนิพพานไม่ต้องเกิดประเสริฐแท้แน่นอนเอย จงมองวิญญานธาตุที่เกิดดับในกายและสังขารทั้งรูปนาม เกิดดับตามปัจจัยไม่สงสัย จงตั้งจิตสงบเย็นอยู่ภายในใจเป็นกลางวางทุกข์เอย อันความสุขอื่นใดในโลกา หรือจะเหมือนเท่าความสงบสุขในภาวนาหมื่นแสนแดนสันติ นิพพานเป็นสุขยิ่งจริงท่านเอย
ท่านผู้แสวงหาความพ้นทุกข์ในวัฏฏะสงสารทั้งหลาย จงเป็นผู้มีศรัทธาและความเพียรให้แก่กล้า จงตั้งจิตภาวนาวิปัสสนาญานให้รู้แจ้งตามลำดับ มีสติและปัญญานำหน้ามีขันติและเมตตาเป็นเสบียงอาหาร เอาสติปัฏฐานสี่เป็นแพข้ามฟาก จงเฝ้าดูจิตเกิดดับรู้ทันปัจจุบันเห็นแจ้ง แล้วปล่อยวางทุกอย่าง อย่ายึดติดกับสิ่งใดในโลก ทุกสิ่งเป็นของสมมุตมายาทั้งนั้น ให้รู้แจ้งจิตผู้รู้อยู่ภายใน ใจเป็นกลางวางทุกอย่างเมื่อวิชชาเกิดรู้แจ้ง ย่อมไม่ปรุงแต่งสังขารรูปนาม ธาตุขันธ์ภพชาติก็ดับไปเองไม่เกิดอีก ไม่ก่อภพก่อชาติ ความทุกข์ก็ดับไปเองทุกสิ่งทั้งปวงในโลกมีเกิด ก็มีดับเมื่อเหตุปัจจัยดับก็ต้องดับไปตามสภาวะธรรมตามธรรมชาติ ฉนั้นจงตั้งสติให้ดีมีความไม่ประมาททุกขะณะทุกอริยาบททุกลมหายใจเข้าออกให้รู้แจ้งเป็นธรรมสัจจะที่เป็นจริงไม่ปรุงแต่งก็ไม่ต้องเป็นทุกข์อีกต่อไป จิตสงบระงับดับเย็นเห็นแจ้ง เข้าถึงอนันตะธาตุอนันตะธรรม ไร้มิติไร้ความหมายไร้ขบเขตเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติแท้นั้นแล ผู้มีปัญญาย่มอยินดีในนิพพานทุกเมื่อแล ในโลกจักรวาลนี้สัพพะสิ่งทั้งปวงเป็นธาตุธรรมเท่านั้น อยู่โลกอย่าติดโลกอยู่ธรรมอย่าติดธรรม อยู่กับทุกข์อย่าติดทุกข์ อยู่กับสุขอย่าติดสุข เพียงแต่ว่ารู้เท่านั้นจบกันไม่ปรุงแต่ง ไม่เสแสร้งไม่มีมารยา ปล่อยให้ทุกสิ่งไหลไำป หายไปตามเหตุปัจจัยไม่ยึดถือก็ไม่เป็นไร ไม่ยึดมั่นก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ การเกิดแก่เจ็บตายเป็นเพียงธาตุขันธ์ ทุกข์เกิดดับตามกระแสธรรมชาติ ส่วนจิตเราให้ฝึกฝนอบรมให้เป็นดวงธรรม ปัญญามหาโพธิจิตเข้าถึง พึุทธภาวะแท้จิตเดิมไม่มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย เข้าถึงจิตอนันตะธรรม สัจจะอันบริสุทธิ์อย่างยิ่งนั้นแล ขอให้ทุกดวงจิตเข้าถึงสุขสันติภาวะอันสงบเย็นเป็นที่ดับแห่งสังสารวัฏฏะทุกข์ ดังนี้ สัพพะธาตุ สัพพะสิ่ง ทั้งปวง สัตว์สังขารทั้งปวง เป็นอันหนึ่งเดียวกับเราที่สมมุติ เมื่อเข้าใจธรรมชาติธาตุแท้แห่งสัจจะย่อมเห็นแจ้งแทงตลอดในโลกธาตุจักวาลทั้งหมด ทุกมิติทุกชีวิต ทุกวิญญาน ทุกธาตุขันธ์เป็นอันหนึ่งเดียวกัน เมื่อจิตเห็นสัจจะธรรมอยู่ภายในใจเราก็ไมใ่มีทุกข์ รู้แจ้งเห็นธรรมอยู่ในใจ ย่อมห่างใกลจากความทุกข์ จิตเป็นอิสระเหนือจิตมีอำนาจมีพะลังจิตหมุนไปตามธรรมะสัจจะไม่ติดไม่ข้องไม่พัวพันกับสิ่งไร้มิติไร้ภพ ไร้การเกิดไร้การดับในทุกสิ่ง เข้าถึงสุญญะตะธาตุอย่างยิ่งดังนี้แล จงทำจิตใจให้เหมือนดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่ยินดียินร้ายด้วยสิ่งใด จงทำจิตให้ว่างเหมือนอากาศเข้าถึงเมฆ จิตอันบริสุทธิ์เข้าถึงโพธิภาวะพุทธะภาวะ อันระงับดับเย็นอย่างยิ่ง จงเฝ้าดูจิตไม่ให้ติดยึดกับสิ่งใดในโลกทั้งสามให้จิตหมดอาลัยหมดความอยากความหวังอะไร ทุกอย่างรู้แจ้งจิตทุกขะณะให้เป็นอเะโลภะ อะโทสะ อะโมหะ อะมานะ อะทิฏฐิ ยิ่งยึดยิ่งหนัก ยิ่งวางยิ่งเบา ยิ่งเอายิ่งทุกข์ ให้จิตหยุดปรุงแต่งในสังขารถึงนิพพานสัตติสุขหมดทุกข์เอย จงมองสัตว์โลกทั้งหลายคือเหมือนตัวเราที่สมมุติอยู่กับสมมุติ อย่าติดสมมุติ ให้จิตหลุดพ้นจากการยึดมั่นถือมั่นประการทั้งปวง อันว่าธรรมะสัจจะนี้ที่ทรงอยู่คู่ดินฟ้าไม่ไปไหน ใครรู้เห็นแจ้งจริงตามสัจจะธรรมนำขานไข รู้ทุกสิ่งทุกอันเกิดดับตามปัจจัย รู้แก่ใจว่าเท่านั้นอนัตตา ดับตัณหา อวิชชา ไม่ให้เกิด สุดประเสริฐไม่กลับมาในโลกา นิพพานสุขยิ่งจริงแท้เอย ธรรมะทุกอย่างรวมอยู่ด้วยความไม่ประทมาทเท่านั้น ผู้มีปัญญาย่อมพ้นทุกข์ แสงสว่างเสมอปัญญาไม่มี ผู้มีความเพียรย่อมดับทุกข์ได้ดังนี้ ด้วยจิตเมตตายิ่ง พระครูบาบุญชุ่ม ญาณสํวโร ถ้ำราชคฤห์
(พิมพ์จาก หนังสือ "ธรรมะจากพระครูบาบุญชุ่ม ๕ มกราคม ๒๕๕๔ - คงอักษรตามลายมือ)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น