ธัมมิกสังคมนิยม
DHAMMIC SOCIALISM
พุทธทาสภิกขุ
BUDDHADASA BHIKKHU
สืบสานปณิธานพุทธทาส
100 ปีชาตกาล
2449 – 2549
พิมพ์ครั้งที่ 1 : สิงหาคม 2548
จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์สุขภาพใจ
บริษัท
ตถาตา พับลิเคชั่น จำกัด
คำนำ
หนังสือเล่มนี้เกิดขึ้นเพื่อจะบอกว่า คนทุกคน ครอบครัวทุกครอบครัว ชุมชนทุกชุมชน
องค์กรทุกองค์กร หน่วยงานทุกหน่วยงาน
รัฐบาลทุกรัฐบาล โลกทั้งใบจะต้องเดินแนวทาง สังมคม เศรษฐกิจ และการเมือง
แนวเดียวกัน นั่นคือแนว “ธัมมิกสังคมนิยม”
คือทุกคนในทุกศาสนาและผู้ที่เรียกตนเองว่า “ผู้ไม่มีศาสนา” หรือ
“ผู้ไม่สังกัดอยู่ในศาสนาใด” ก็ต้องกระทำการสิ่งเดียวกัน
โลกใบนี้จึงจะรอดพ้นจากความบ้า ความวิกลจริต ความวิตถาร ฆ่าตัวตาย ฆ่าคนอื่น
กดขี่ข่มเหง บีบคั้นเอาเปรียบ บังคับขูดรีด
ก่อสงครามแย่งชิงผลประโยชน์ทางวัตถุบนข้ออ้างเพื่อการปลดปล่อยเพื่อสันติภาพ
เพื่อความเป็นธรรม โลกจึงมิเคยว่างเว้นจากสงครามเลย
เพราะทุกคนเข้าใจธรรมะของตนผิดกันทุกศาสนิกชนและผู้ไม่ระบุการนับถือศาสนาใดใดก็เช่นกัน
เพราะว่าธรรมคือธรรมดา คือธรรมชาติ คือความสมดุล ความพอเหมาะพอดี
โยงใยถึงความกินอยู่แต่พอดี คือความถูกต้องสูงสุดของโลก รวมไปถึงทั่วทั้งจักรวาลด้วย
เพราะฉะนั้นคนทุกคนชีวิตทุกชีวิตรวมหมายถึงการดำเนินชีวิต การมีชีวิตอยู่นี้
ในโลกใบนี้ ล้วนอยู่ด้วยกฏธรรมชาติทุกกฏ
กฏธรรมดาประการที่
1 ทุกชีวิตอยู่ได้อย่างพอเพียงและเป็นปกติสุขได้ด้วยวัตถุ 4
ประการก็พอเพียงแล้วคือ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค
ทางชาวพุทธเรียกปัจจัยสี่ของชีวิต ชาวโลกเรียกเศรษฐกิจ
ยังมีกฏธรรมดาประการที่
2 คือ ความรู้สึกนึกคิดซึ่งมีพื้นฐาน รวมเรียกว่า “ความสุข” และ “ความทุกข์”
ซึ่งแท้ที่จริงมันเป็นสิ่งเดียวกัน เพราะว่า ความสุข คือ ความทุกข์น้อย ความทุกข์
คือ สุขน้อย ถ้าพินิจพิเคราะห์ดูจะพบว่ามี “ความเฉยๆ” อยู่กับชีวิตเรามากกว่าเจ้า
2 อย่างแรก ซึ่งเราเรียกเป็นสิ่งเดียวได้ว่าเป็น “ความทุกข์” ความทุกข์แบ่งเป็น 2
ชนิด ชนิดแรกเป็นไปตามธรรมชาติได้แก่ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย
ชนิดที่สองเป็นอวิชชาพาไป แล้วก็สิ่งแวดล้อมของระบอบการเมืองเศรษฐกิจและวัฒนธรรมพาไป
แต่ความทุกข์ทั้ง 2 แบบ แก้ได้โดยรู้และปฏิบัติการละตัวกูของกูลงเสีย
แล้วจะเกิดผลพลอยได้ให้มหาประชาชนพลโลกทุกชนชั้น
เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ยังมีการเอารัดเอาเปรียบอยู่มาก
พร้อมทั้งมีจิตสำนึกกันทุกระดับของผู้มีหน้าที่
ทำได้ตรงตามรัฐธรรมนูญที่มีความเป็นธรรมสูง หรือทำได้สูงยิ่งกว่า
กระทั่งถึงยุคที่เรียกว่า “การปกครองที่ไม่ต้องปกครอง” ถ้าเช่นนั้น เราจะขออยู่กับ
“ความเฉยๆ” อย่างเดียวไปตลอดชีวิตในทุกๆเรื่อง น่าจะดีกว่า
ก็ขอเฉลยเลยว่าใช่แล้วครับ ชีวิตจะต้องมีความสงบเย็นเฉยๆ ปีติอยู่ภายในจิต
รู้ธรรมะ และมีธรรมะคือปฏิบัติได้ถึงซึ่งความเฉยๆสงบเย็น จิตโปร่งใส
จิตว่างจากความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวงอันเป็นต้นเหตุให้ลด ละ เลิก
ความรู้สึกแห่ง “ตัวกู” “ของกู” เรียกว่า “ไม่เห็นแก่ตัว”
ความเห็นแก่ตัวเป็นเหตุแห่งรัก โลภ โกรธ หลง เชื่อมต่อไปเป็นสงครามโลก 2 ครั้ง
สงครามโลกครั้งที่ 3 ไม่รู้ รู้แต่ว่าสงครามโลกครั้งที่ 4
สัตว์คนจะทำสงครามด้วยการเอาก้อนหินขว้างปากัน ตามที่ท่าน แอลเบิร์ต ไอน์สไตน์
ทำนายไว้ อันนี้ ถูกเรียกกันว่า “สังคม” และกฏธรรมดาประการ 3
คนค่อยๆเป็นมนุษย์มากขึ้น (แต่ยังไม่ได้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์)
ก่อตัวก่อตั้งกันเป็นระบอบรวมหมู่
ปกครองช่วยกันป้องกันภัยแก่กันและกันจากความกลัวภัยต่างๆ
และภัยที่เป็นความกลัวอันดับหนึ่ง
คือภัยแห่งความหิวโหยทางอาหารที่จะกินเข้าไปยังปากท้องนั่นเอง
ด้วยความโง่ชนิดที่เรียกว่า “อวิชชา” ทุกฝ่ายต่างไม่ไว้วางใจกัน
ต่างคิดค้นสะสมอาวุธมหาประลัยมหาศาล เตรียมกดปุ่มอยู่ตลอดเวลา
ผมขอให้สำนักพิมพ์ยักษ์ใหญ่
3-4 แห่งในประเทศไทย จงรีบเร่งช่วยกัน พิมพืหนังสือธรรมะออกมามากๆ
แล้วแปลเป็นภาษาจีน ภาษาอังกฤษ และภาษาอื่นๆให้มากที่สุด ขอให้พระอาจารย์
ท่านปราชญ์ ท่านผู้รู้ทางธรรมะทุกศาสนา ออกเสนอตัวกันกับทางทุกสำนักพิมพ์
ทำหนังสือธรรมะออกมาให้มากๆ ขอให้กระทรวงศึกษา และกระทรวงวิฒนธรรม
องค์กรทุกองค์กรทำมากก็ดี ทำไม่ได้มากก็ทำแต่น้อยตามกำลัง
โลกกำลังขาดแคลนธรรมะอย่างยิ่ง ท่านอาจารย์กล่าวว่า “สิ่งที่ต้องระมัดระวัง ตั้งข้อสังเกตเป็นพิเศษอย่างหนึ่ง
ก็คือ เรากำลังทำกันได้แต่เพียง “รู้” ธรรมะ แต่ “ไม่มี” ธรรมะ
ยังไม่มีธรรมะใช้ในการแก้ปัญหานั้นๆอย่างเพียงพอ
เราไม่บังคับตัวเองให้มีธรรมะอย่างที่เราได้เรียนรู้
เรายังไม่ละอายในการที่เราไม่มีธรรมะ, เรายังไม่กลัวอันตราย อันเกิดขึ้นจากการที่เราไม่มีธรรมะ; การสอนและการเรียนธรรมะ
ยังเป็นสิ่งที่มีผลไม่คุ้มทุน
กิจกรรมธรรมโฆษณ์จึงมุ่งไปในทางการกระทำให้มีธรรมะยิ่งกว่าที่จะเพียงแต่ให้รู้ธรรมะเท่านั้น”
หนังสือธัมมิกสังคมนิยม
จึงเป็นหนังสือคู่มือของคนทุกคนในโลกนี้ ไม่ใช่คู่มือดูแลชีวิต แต่เป็นคู่มือดูแลทุกสิ่งทุกอย่างให้สมดุลปกติ
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแก่จักรวาลระบบนี้เทียว
ทั้งหมดทั้งสิ้นตรงตามปกติปณิธานพุทธทาสภิกขุ
ที่ว่าทุกคน
1.
จะต้องศึกษาศาสนธรรมของตนอย่างถูกต้องถ่องแท้และปฏิบัติอยู่
2. จะต้องศึกษาศาสนธรรมอื่นๆและสามารถร่วมมือกันได้โดยกระจ่าง
3. จะต้องเร่งถอยออกจากวัตถุนิยม
(คือนิยมวัตถุแบบบริโภคนิยม)
(บัญชา เฉลิมชัยกิจ)
สำนักพิมพ์สุขภาพใจ
สารบัญ
คำนำ 2
ประชาธิปไตยแบบสังคมนิยม 5
สังคมนิยมตามหลักแห่งพระศาสนา 22
สังคมนิยมชนิดที่ช่วยโลกได้ 129
ค่าและความจำเป็นที่ต้องมีศีลธรรม 177
1
ธัมมิกสังคมนิยม
ประชาธิปไตยแบบสังคมนิยม*
*กล่าวเสนอแก่นักสังคมสงเคราะห์ฝ่ายศาสนา
ที่สวนโมกขพลาราม ไชยา 11 พฤศจิกายน 2516
ท่านทั้งหลายผู้เสียสละเพื่อกิจกรรมสังคมสงเคราะห์
อาตมาขอแสดงความยินดีอย่างยิ่ง
ในการที่ได้มากันถึงที่นี่ ในฐานะที่ว่า
เป็นผู้ขวนขวายเพื่อทำประโยชน์แก่เพื่อนทั้งหมดเป็นส่วนรวม ที่เรียกว่า
กิจกรรมสังคมสงเคราะห์
การที่ขอให้อาตมาแสดงความคิดเห็นอะไรบางอย่างในวันนี้
ก็อยากจะกล่าวสั้นๆสัก 3 หัวข้อ พอเป็นเครื่องชวนคิดนึกกันต่อไป
และทั้งเพื่อจะประสานงานร่วมมือกันได้ โดยไม่ยกเว้นว่าจะเป็นชาติใดภาษาใด
หรือเรียกกันในนามของศาสนาชนแห่งศาสนาไหนนั้นไม่เป็นประมาณ เพราะว่า
กิจกรรมสังคมสงเคราะห์มนุษย์ แล้วมนุษย์ก็คือมนุษย์เสมอกันหมด ส่วนที่จะไปแบ่งเป็นชาตินั้นภาษานี้
นับถือศาสนานั้นศาสนานี้ เพื่อความสะดวกอย่างอื่น
ส่วนปัญหาเฉพาะหน้านั้นเหมือนกันหมด คือเอาชนะความทุกข์ให้ได้
เมื่อพูดถึงการสังคมสงเคราะห์สมัยนี้
ไม่เฉพาะแต่ในประเทศไทยเรา จะทั้งโลกก็ได้ อาตมาอยากจะกล่าวว่า
การสังคมสงเคราะห์ที่สูงสุดในเวลานี้นั้นก็คือ
การที่ทำให้เขาสามารถถอยหลังเข้าคลอง ฟังดูก็ไม่น่าจะเชื่อ สิ่งที่จำเป็นที่สุด
มีประโยชน์ที่สุด ถุกต้องที่สุดในเวลานี้ ก็คือการถอยหลังเข้าคลอง
ซึ่งเขามักจะเกลียดกันนัก และดูหมิ่นดูถูกด้วย
ขอให้สังเกตดูว่า
เดี๋ยวนี้มนุษย์ทั้งโลกนี้กำลังปีนจนออกไปนอกคลอง
จนกำลังจะตกเหวหรือจะได้ตกลงไปบ้างแล้ว
เพราะฉะนั้นเขาจะต้องถอยหลังกลับให้มาเข้าคลอง
เหมือนกับเราขับรถ
พลาดลงไปข้างถนนตกคูลงไปครึ่งหนึ่งแล้วอย่างนี้เราจะทำอย่างไร
เราต้องขับรถถอยหลังให้มาเข้าคลองของแนวถนนเสียใหม่ จึงจะวิ่งต่อไปได้ เดี๋ยวนี้มนุษย์มีสภาพอย่างนั้น กำลังออกไปนอกคลองของพระธรรมของพระเจ้า
หรือของแนวที่ถูกต้องแล้วแต่จะเรียกชื่อว่าอะไร เดี๋ยวนี้กำลังออกไปนอกคลองแล้วก็ไม่ใช่เล็กน้อย ออกไปนอกคลองไกลลิบ ถึงขนาดที่เรียกว่า หันหลังให้พระศาสนา หันหลังให้พระเป็นเจ้า หันหลังให้พระธรรม ถ้าจะดันต่อไปมันก็ลงเหว ต้องถอยหลังมาเสียใหม่ให้เข้าร้องเข้ารอย จนไปหาคลองธรรม แล้วจึงวิ่งต่อไปได้ตามคลองธรรม
เดี๋ยวนี้กำลังไกลออกไปๆจากศาสนา ทั้งส่วนที่เป็นศีลธรรมหรือปรมัตถธรรม
ที่เรียกว่าศีลธรรมนั้นหมายถึงระเบียบของสังคม ที่เรียกว่า
ปรมัตถธรรมก็หมายถึงระเบียบของบุคคลคนหนึ่งโดยเฉพาะที่จะไปได้ไกลเท่าไร รวมกันเรียกว่า ศาสนา เดี๋ยวนี้คนกำลังออกไปนอกคลองศาสนา
ทั้งส่วนศีลธรรมและส่วนปรมัตถธรรมยิ่งขึ้นทุกที
เพราะฉะนั้นทางรอดของเขาก็มีทางเดียว
คือถอยหลังเข้าคลองกันเสียใหม่
ให้ถุกคลองที่ถูกต้องแล้วจึงเดินต่อไป
อย่างขับรถจะตกถนนอยู่แล้ว
หรือตกไปครึ่งหนึ่งแล้ว
ก็ต้องถอยหลังมาเข้าถนนเสียใหม่อย่างนี้
นี่คือสังคมสงเคราะห์ที่แท้จริง
ที่ดีที่สุด
ที่จำเป็นที่สุดในเวลานี้
ปัญหาเรื่องยากจนมันก็เป็นเรื่องเดินผิดคลอง ไม่รู้หนังสือหนังหา ไม่รู้จักการอนามัยที่ดี
ที่เป็นปัญหาในโลกเวลานี้ล้วนแต่เกิดมาจากการเดินผิดคลองล้วนแต่จะต้องถอยหลังเข้าคลองกันทั้งนั้น ถ้าจะเรียกรวมๆกันก็ต้องเรียกศาสนา แต่เดี๋ยวนี้ก็เกิดความหมายที่สับสนขึ้นแก่คำว่าศาสนา ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็จะได้พูดกันรู้เรื่อง ในชั้นนี้อยากจะพูดแต่ว่า การปฏิบัติศาสนานั้น คือการกระทำให้มันถูกตามทำนองคลองธรรม คือทำให้ทุกอย่างอยู่ในสภาพที่สงบ คือไม่มีความทุกข์ นั่นเรียกว่าการปฏิบัติศาสนา เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยจะมีการปฏิบัติศาสนา มีแต่การเรียน
แล้วการเรียนก็เฟ้อไปในรูปของปรัชญา
ที่จริงสิ่งเรียกว่าศาสนานั้นเป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าศาสนาไหนต้องมีปัญหาเฉพาะหน้า
แล้วแก้ปัญหาเฉพาะหน้านั้นโดยวิถีทางที่มีเหตุผล อยู่ที่สิ่งนั้นไม่ใช่ใช้เหตุผลคำนึงคำนวณตามแบบปรัชญา เดี๋ยวนี้โลกกำลังเป็นบ้าปรัชญา โลกกำลังติดเฮโรอีนเป็นปรัชญา
หลงใหลปรัชญาอย่างหลับหูหลับตา เป็นการคำนึงคำนวณทั้งนั้น
ทีนี้เรื่องศาสนาไม่เป็นอย่างนั้น ทุกศาสนาจะมีปัญหาเฉพาะหน้า
แล้วแก้ปัยหาเฉพาะหน้าโดยใช้ความเห็นแจ้งในสิ่งนั้นๆพร้อมกันไปในตัว จะเป็นศาสนที่ใช้ปัญญา หรือใช้ความเชื่อ
หรือใช้การปฏิบัติควบคุมอายตนะอะไรก็ตามเถอะ จะเป็นไปในรูปวิธีการหรือเทคนิคของวิทยาศาสตร์ทั้งนั้น ตอนแรกๆทุกศาสนาก็เป็นกันอย่างนี้
ทีนี้ต่อมาก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นเรื่องของตัวหนังสือ หรือของการคำนึงคำนวณทาง Logic บ้าง ทางปรัชญาบ้าง ก็ไกลออกไปทุกที คือไกลจากการปฏิบัติ
ศาสนานี้ตัวแท้คือตัวการปฏิบัติ ถ้ายังไม่ถึงตัวการปฏิบัติก็ยังไม่ถึงตัวศาสนา แม้ว่าจะเป็นเพียงคำพูดที่ถูกต้อง
เดี๋ยวนี้คำพูดมันเถลไถลไกลออกไป ไม่เป็นคำพูดที่วกเข้ามาหาการปฏิบัติ มันก็ไกลออกไปเป็นเรื่องสำหรับพูดสำหรับคุย อย่างดีที่สุดก็สำหรับเป็นนักปราชญ์ เพราะฉะนั้นจึงถือว่าศาสนากำลังหายไป คือการปฏิบัติที่จะทำให้เกิดความสงบในมนุษย์นี้กำลังหายสำคัญก็อยู่ที่สิ่งที่เรียกว่าพระธรรม หรือพระเจ้า
หรืออะไรแล้วแต่จะเรียก
ทีนี้พระศาสนดาทั้งหลาย
จะเป็นพระพุทธเจ้าหรือพระเยซู
พระอะไรก็สุดแท้
ก็เป็นเพียงปากของพระเจ้าสำหรับจะพูด
ก็คือแสดงสิ่งเหล่านี้ออกมาให้ปรากฏแก่มนุษย์ ให้มนุษย์รอดตัวได้
เพราะฉะนั้นเราก็ไม่จำเป็นที่ว่าจะต้องมีศาสนานั้นศาสนานี้ ในลักษณะที่เป็นการขัดแย้งกัน
ที่ว่าสูงสุดคือจุดเดียวกันสิ่งเดียวกัน และพระศาสดาก็เป็นแต่เพียงปากพูด
ทีนี้ปากนี้ต้องต่างกันบ้างเพราะมันต่างยุคต่างสมัยต่างถิ่นกัน ขอให้สังเกตดูจากการเกิดขึ้นแห่งศาสนาทั้งหลาย เกิดขึ้นที่มุมนั้นมุมนี้ของโลก แล้วในยุคสมัยที่ต่างกันเป็นร้อยๆปี เพราะฉะนั้นปากนี้จะพูดเหมือนกันทุกคำโดยรายละเอียดนี้ไม่ได้ แต่ว่าจะเหมือนกันโดยจความสำคัญที่สุด คือการปฏิบัติให้เข้าถึงสิ่งสูงสุดที่ดีที่สุดที่มนุษย์จะถึงได้ คือ
ความรอด
ทุกศาสนาก็มุ่งหมายความรอด
แสดงความรอดโดยเหมาะสมแก่ยุคแก่สมัยที่เป็นมาจนกระทั่งบัดนี้
เดี๋ยวนี้มนุษย์ในโลกนี้กำลังทำให้สิ่งเหล่านี้สับสนหมด จนถึงกับว่ามีหลายพวกหลายพรรค แล้วก็ขัดแย้งกัน ก็เป็นการสร้างปัญหาขึ้นมาในสังคม สังคมใหญ่ที่สุดของโลกจึงพูดกันไม่รู้เรื่อง
ในบรรดาคนเหล่านั้นล้วนแต่ทำผิดบทบัญยัติทางศาสนา ทำผิดในที่นี้หมายถึงเห็นแก่ตัว มีตัวกูมีของกูในลักษณะที่ขัดแย้งต่อศาสนา
ศาสนาพุทธถือว่ามันไม่มีตัว มันเป็นของธรรมหรือของธรรมชาติ ตัวกูของกูไม่มี แต่มนุษย์ก็จะมีตัวกูของกู ในศาสนาที่มีพระเจ้า สิ่งต่างๆก็เป็นพระเจ้า หรือเป็นของพระเจ้า หรือเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้า มันไม่ใช่ตัวกูของกูของใครเลย
เพราะฉะนั้นอย่าไปกล้าอ้างสิทธิว่าเป็นตัวกูหรือเป็นของกู พอเป็นตัวกูของกูขึ้นมา มันก็เห็นแก่ตัว ก็เกิดกิเลส
ก็เปลี่ยนรูปไปในทางที่จะเป็นทุกข์
ถ้าเราทำให้ถูกตามกฏเกณฑ์ของศาสนา
คือว่าทุกคนเป็นของพระเจ้า
ทุกคนเป็นของพระธรรม
ทุกคนเป็นของเต๋า
ทุกคนเป็นของธรรมชาติ
อย่างนี้ปัญหามันก็ไม่มี
คือไม่มีตัวกูของกูที่จะมาทะเลาะวิวาทกันอย่างนี้
นี่ถ้าเรามีการแก้ไขปัญหานี้สำเร็จ โลกนี้ก็เต็มไปด้วยสันติภาพ นับว่าเป็นสันติภาพขนาดใหญ่ของโลก จนกระทั่งสันติภาพน้อยๆของคนแต่ละคน ปัญหาต่างๆของคนแต่ละคน แม้แต่ปัญหาเรื่องปากเรื่องท้อง เรื่องไม่มีอะไรจะกินนี้ ก็แก้ได้ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องอันนี้ หรือกระทั่งว่ามันไม่อาจจะทำให้เป็นไปตามความประสงค์ได้ ก็ลุกเป็นไฟ
จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นให้ต้องตายหมด
เราก็ไม่มีความทุกข์เลย เพราะเราไม่มีตัวตนเราที่ยึดถือเป็นตัวกูของกูมันเป็นของธรรมชาติไปด้วยกัน หรือเป็นของพระธรรมไปด้วยกัน นี้อาตมาถือว่าเป็นหัวจข้อใหญ่ เป็นหัวข้อสำคัญ หรือหัวข้อสูงสุดในการที่จะทำการสังคมสงเคราะห์ให้คนทุกคนในโลกเป็นอยู่ด้วยความสุขสวัสดี ในรูปที่เรียกว่า ขอให้ถอยหลังเข้าคลองกันเถิด
พูดออกไปทีแรกคงจะไม่มีใครชอบและไม่เชื่อ แต่ถ้าไปคิดดูแล้วก็จะเห็นว่า
เรากำลังอยู่ในสภาพที่เราจะต้องถอยหลังเข้าคลอง คือให้มันถูกคลอง ทีนี้ถ้าเราทำให้เต็มเปี่ยมถูกต้องและครบถ้วนบริบูรณ์ คือถูกต้องแล้ว ก็ต้องสมบูรณ์ครบถ้วนด้วย ถูกต้องแต่ไม่สมบูรณ์นี้ใช้ไม่ได้ นั่นแหละจะเป็นการแก้ปัญหาทั้งหมด
ปัญหาที่เรียกว่า อะไรๆมันเริ่มไม่พออย่างนี้ก็จะหมดไป เดี๋ยวนี้มนุษย์กำลังทำลายทรัพย์สมบัติที่เป็นทรัพยากรของธรรมชาติ
หรือจะเรียกว่าของพระเป็นเจ้าหรือของอะไรก็ตาม มากเกินไปโดยไม่จำเป็น สิ่งต่างๆที่มีอยู่แผ่นดินนี้ถุกขุดขึ้นมาถลุงเล่นเสียเปล่าๆโดยไม่มีประโยชน์อะไร แต่กลับให้โทษ
เช่น
ไปขุดเอาโลหะเอาแร่ต่างๆมาทำเป็นเครื่องมือแล้วก็รบราฆ่าฟันกัน อย่างนี้มันจะมีประโยชน์อะไร
แล้วของนั้นมันก็จะหมดเปลืองไปเช่นว่าน้ำมันอาจจะหมดได้ใน 50 ปีนี้
ถ้าขืนใช้กันอยู่อย่างนี้
แต่ถ้าเราเราใช้ตามที่ธรรมชาติต้องการหรือบังคับแล้วมันไม่ต้องใช้มากถึงอย่างนี้
มันจะเหลือใช้ไปได้อีกนานหรือจะพออยู่เรื่อยก็ได้ เดี๋ยวนี้มันใช้อย่างล้างผลาญ ใชอย่างถลุง แร่ธาตุโลหะทั้งหลายมันจะหมดไปเร็วๆนี้
นี่เรียกว่าทำผิดกฎเกณฑ์ของพระธรรมของศาสนาของพระเจ้า ถ้าเราจะใช้กันอย่างที่เรียกว่ามนุษย์ควรจะใช้ ตามความมุ่งหมายของธรรมชาติของพระเจ้าแล้ว มันจะเหลือ
นึกถึงพระเยซู ท่านแจกขนมปัง 2-3 ก้อน ปลา 4-5 ตัว
แก่คนเป็นพันๆมันก็ยังเหลือ
นี่ถ้าว่ามนุษย์เราในธรรมชาตินี้จะยังมีเหลือ
เดี๋ยวนี้มันกำลังแสดงความไม่พอให้เห็นอยู่ ถ้ากินใช้เท่าที่จำเป็นในทางวัตถุมันก็จะพอในทางจิตใจก็จะเยือกเย็นเป็นสุข ไม่มีใครต้องการอะไรด้วยอำนาจของกิเลส แล้วไม่มีผู้ต้องการอะไร ไม่มีความต้องการด้วยอำนาจของกิเลส
ซึ่งเดี๋ยวนี้กำลังต้องการอย่างไม่มีขอบเขตจำกัด
ถ้าเราจะอยู่กันอย่างที่ธรรมชาติมุ่งหมาย
จะเห็นได้ว่า ธรรมชาติต้องการให้หยุด ให้สงบ ไปดูธรรมชาติในแง่ไหนก็ตามใจ ที่วัดนี้เราต้องการจะแสดงให้รู้จักธรรมชาติของความสงบ
เพราะฉะนั้นจงช่วยกันศึกษาคำว่าธรรมชาตินี้ให้ดีๆ
ให้รู้จักสิ่งนี้สิ่งเดียวซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
แก้ไขปัญหาต่างๆก็เพื่อความสงบรำงับของความวุ่นวาย ศาสนามีหน้าที่อย่างนี้โดยชี้ให้เห็นสิ่งสิ่งหนึ่งซึ่งมีอำนาจเด็ดขาดหรือตายตัวเราต้องทำให้คล้อยตาม
หรือให้ถูกต้องกับสิ่งนั้น หรือกฏเกณฑ์อันนั้น
ไม่อย่างนั้นมนุษย์ก็จะเป็นมนุษย์ไม่ได้ คือจะไม่มีความสงบสุขอย่างมนุษย์
แล้วจะสู้สัตว์เดรัจฉานก็ไม่ได้
เพราะว่าสัตว์เดรัจฉานมันยังปกติ ยังเป็นไปตามธรรมชาติและปกติ
มีความทุกข์น้อย มนุษย์เจริญด้วยสติปัญญาสำหรับเบียดเบียนกัน
ไม่ได้เป็นไปตามทางของธรรมะหรือของพระเจ้า ซึ่งที่แท้ควรจะยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน
คือจะมีความร้อนเหมือนกับตกนรกทั้งเป็นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสัตว์เดรัจฉานมันไม่เป็น
นี่ถ้าปฏิบัติสำเร็จมันก็ควรจะได้รับผลอย่างนี้
เดี๋ยวนี้มนุษย์ไม่เป็นมนุษย์
เป็นกันแต่เพียงคน ถ้าพูดอย่างดีที่สุดก็ต้องถือว่า
มนุษย์นี้มันเป็นลูกของพระเจ้าตามข้อความในพระคัมภีร์ของคริสเตียน
หรือของใครก็ตามเถอะ ที่เขาจะต้องจัดมนุษย์ไว้ในฐานะที่เป็นบุตรของพระเจ้า
ไม่ใช่บุตรของพญามาร หรือว่าอะไรๆที่ไม่น่าปรารถนา แม้จะเป็นบุตรของมนุษย์ก็ยังดี
ผู้ชายเป็นบุตรพระเจ้า ผู้หญิงเป็นบุตรมนุษย์ก็ยังดี เพราะคำว่ามนุษย์นี้อย่างน้อยก็หมายถึงผู้ที่มีจิตใจสูง
ถ้ามีจิตใจสูงมันก็อยู่เหนือปัญหาทั้งปวงคือเหนือความทุกข์ทั้งปวง
เดี๋ยวนี้เฉออกนอกทาง มนุษย์ไม่เป็นมนุษย์ แม้แต่จะเป็นบุตรของมนุษย์ก็ยังไม่ได้
ไม่ต้องพูดถึงว่าจะเป็นบุตรของพระเจ้า เพราะกำลังเฉออกไปนอกทาง เป็นได้แต่เพียงคน
คนก็ไม่ดีกว่าสัตว์ มีความรู้สึกต้องการอะไรเหมือนกับสัตว์เรื่องกิน เรื่องนอน
เรื่องสืบพันธุ์ เรื่องขี้ขลาด เรื่องอะไรต่างๆนี้มันก็พอๆกัน
เรียกว่าไม่ไปตามทำนองคลองธรรมของมนุษย์เสียแล้ว จะต้องถอยหลังเข้าคลองกันที่ตรงนี้
การที่เรามีความทุกข์นี้ก็คือความตาย
ทุกศาสนาจะระบุความทุกข์เป็นความตายหรือความฉิบหาย เดี๋ยวนี้มันจะยิ่งกว่าตาย
คือมันฉิบหายมากเกินไป มนุษย์ที่อยู่ในอำนาจกิเลสคือมันจะยิ่งกว่าตายไปเสียอีก
เพราะตายมันก็ยังไม่เลวร้ายเท่ากับว่า คนที่มันอยู่ในกองทุกข์ด้วยอำนาจของกิเลสอย่างสูงสุด
ขอให้สนใจในเรื่องนี้กันให้มากพิเศษ
ซึ่งเป็นเบื้องหลังทั้งหมดของการแก้ปัญหาของสังคม
การแก้ปัญหาเรื่องไม่มีข้าวกิน
ให้รู้หนังสือ ให้ไม่เจ็บไข้นี้ มันเป็นเรื่องน่าหัว
เป็นเรื่องที่จะไม่ถือว่าเป็นปัญหาก็ได้ หรือมันเป็นปลายเหตุ
ถ้าเป็นปัญหาก็เป็นปัญหาปลายเหตุ ปัญหาต้นเหตุมันไม่ได้แก้
คือการที่มนุษย์ไม่มีศีลธรรม มนุษย์ไม่มีศาสนา ออกนอกคลองของศาสนาหมดแล้ว
ถ้าแก้ปัญหาเหล่านี้ได้
คือ มนุษย์รู้หนังสือ มนุษย์มีอาหารกิน มนุษย์จะสบายดีอย่างนั้นหรือ
แม้ว่ามนุษย์จัไม่รู้หนังสือก็ยังมีความสุขกว่ามนุษย์ที่รู้หนังสือมากๆ
นี่อย่าหาว่าด่า แต่อยากจะบอกว่า
มนุษย์ที่ไม่รู้หนังสือเคยมีความสุขแท้จริงชุ่มชื่นเยือกเย็นยิ่งกว่ามนุษย์ที่รู้หนังสือมากๆ
มนุษย์ที่มีอาหารกินจะมีประโยชน์อะไร
ถ้ามีชีวิตอยู่เพื่อทนทุกข์ มันตายเสียดีกว่าใช่ไหม ดังนั้นอย่าพูดถึงเรื่องอาหารกินกันนัก
ควรจะถือว่า ชีวิตมันอยู่ด้วยธรรมะ ไม่ได้อยู่ด้วยอาหาร
ต้องมีธรรมะมนุษย์จึงจะมีความเป็นมนุษย์อยู่ได้ ศาสนาไหนก็ต้องยอมรับในข้อนี้
เดี๋ยวนี้มนุษย์กำลังไม่เป็นมนุษย์
แล้วก็เป็นคนชนิดที่ยิ่งกว่าตายไปเสียอีก คือถ้าตายเฉยๆมันไม่มีทุกข์
ถ้ามีทุกข์เหลือประมาณนั้น มันยิ่งกว่าตายไปเสียอีก
นี่มันจึงมีปัญหาเกิดขึ้นแก่พวกเรา
ที่ต้องขวนขวายแก้ปัญหาด้วยการสังคมสงเคราะห์อย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็ไม่ดูว่า
มูลเหตุอันแท้จริงมันมาจากการที่มนุษย์ทิ้งธรรม ทิ้งศาสนา ทิ้งพระทิ้งเจ้า
ทิ้งอะไรต่างๆ ปัญหามันก็เกิดขึ้น ถ้าเรายังมั่นคงในธรรมะในศาสนา
ปัญหาเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น เดี๋ยวนี้หาความเมตตากรุณาไม่ได้ เพราะคนมันเห็นแก่ตัว
มันมีตัวกูของกูจนไม่มีใครเห็นแก่ใคร ไม่มีใครเชื่อพระเจ้าที่ต้องการให้ทุกคนเห็นแก่ผู้อื่น
คือเห็นแก่สังคมก่อนที่จะเห็นแก่ตัว ปัญหาทางสังคมก็เกิดขึ้นอย่างนี้
จะต้องมีปัญหาทางสังคมสงเคราะห์ยิ่งๆขึ้นไป
แล้วก็แก้กันอย่างลูกเด็กๆแก้กันแต่ปลายเหตุ น่าสงสาร น่าหัวเราะอย่างยิ่ง
นี้เรียกว่าอาตมาได้พูดในหัวข้อทีแรกว่า
การสังคมสงเคราะห์อันสูงสุดนั้นคือ การช่วยกันทำให้เราถอยหลังเข้าคลองกันอีกครั้งหนึ่ง
เพราะว่าเรากำลังถอยหลังเข้าคลองกันอีหกครั้งหนึ่ง เพราะว่าเรากำลังปีนขอบคลอง
ออกนอกคลอง จนจะพลัดตกลงไปในคูในเหว ช่วยกันดึงเข้ามาให้เข้าคลองเสียที
จะเป็นการสงเคราะห์สูงสุด และเป็นการสงเคราะห์แก่สังคมที่แท้จริง
เพราะโลกกำลังจะวินาศ
หัวข้อถัดไปก็อยากจะพูดถึงคำว่า
สังคมสงเคราะห์นี่ควรจะเป็นอย่างไรกันแน่ สังคมสงเคราะห์ ก็แปลว่าสงเคราะห์สังคม
แล้วสภาสังคมสงเคราะห์ก็คือ คณะที่จัดขึ้นเพื่อดำเนินกิจการ
อันนี้เพื่อการสังคมสงเคราะห์ เราใช้คำว่าสังคมอยู่ชัดๆ เห็นไหม
ทำไมไม่ใช้คำว่าบุคคลหรือปัจเจกชน ทำไมต้องมาใช้คำว่าสังคม เดี๋ยวนี้เรากำลังอยากจะสงเคราะห์สังคม
เรามีความนิยมความหมายของคำว่าสังคมเป็นหลักใหญ่
แล้วสังคมชนิดนี้เป็นสังคมนิยมอย่างที่เกลียดกลัวกันหรือเปล่า เด่ยวนี้พอพูดว่า
สังคมนิยม ก็นึกถึงคอมมิวนิสต์ แล้วก็จะถูกจับว่าเป็นคอมมิวนิสต์ เอาไปลงโทษ แต่อีกทางหนึ่งเราก็กำลังพูดว่า
สภาสังคมสงเคราะห์ จะถูกหาว่าเป็นคมอมิวนิสต์หรือเปล่า หรือเป็นสังคมนิยมหรือเปล่า
มันต้องพูดกันด้วยใจจริงตรงไปตรงมา มันเป็นสังคมนิยม แต่อาจจะมีความหมายเป็นอื่น
คือไม่ใช่อย่างคอมมิวนิสต์ หรืออย่างที่จะถูกต้องถูกจับไปขังตะราง เพราะฉะนั้นอย่าโง่
ไม่รู้เท่าทันความสับปลับของภาษา
ในโลกนี้มีความยุ่งยากลำบากเพราะว่าเราไม่รู้จักความสับปลับของภาษาที่เราใช้พูดกันอยู่
มันหลอกลวงอย่างยิ่ง ทางหนึ่งเราก็เกลียดสังคมนิยม เดี๋ยวนี้เราก็จะมาสังคมสงเคราะห์
มันก็เล่นตลกกับตัวเอง
อาตมาอยากจะให้วินิจฉัยกันในข้อนี้แหละก่อน
คำว่าสังคมสงเคราะห์นี้มันเป็นอย่างไร อย่าให้ภาษานี้หลอกเราอีกต่อไป
อาตมาอยากจะพูดว่า ทุกศาสนาในโลกนี้เป็นสังคม ไม่ใช่ประชาธิปไตยอัตนิยม
ทำอะไรตามใจตัวเอง ศาสนาทุกศาสนา พระศาสดาต้องการให้ยึดหลักสังคมนิยม
เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของสังคมเป็นใหญ่ ถ้าเกิดเห็นแก่ตัวตนเฉพาะคนขึ้นมาเมื่อไร
ก็เป็นช่องของกิเลส คือเห็นแก่ตัว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งพุทธศาสนาแล้วจะยิ่งเป็นสังคมนิยม
ในทางธรรมะก็ยังสอนให้สันโดษ
คือแสวงหามีไว้บริโภคเท่าที่จำเป็น เท่าที่จะเป็นอยู่ได้ เพราะฉะนั้นจึงสอนเรื่องทาน
เรื่องการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ สอนสูงสุดในเรื่องการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นถ้าเป็นพุทธบริษัทที่แท้จริง แม้เป็นฆราวาสก็จะพอใจหรือสันโดษยินดีเท่าที่ตัวควรจะมี
เหลือนั้นก็ให้ตกไปเป็นของสังคม จะยกตัวอย่างเหมือนอย่างว่า
เศรษฐี
ถ้าเป็นเศรษฐีในพุทธศาสนาก็จะมีความหมายห่างไกลลิบจากคำว่านายทุน
เศรษฐีที่นอกไปจากพุทธศานาจะมีความหมายตามความหมายของคำว่านายทุน
คือกอบโกยส่วนเกินเข้ามาเรื่อยๆ ๆ จนไม่รู้ว่าจะเอาไปไหน
แต่ถ้าว่าเป็นเศรษฐีในทางพุทธศาสนา ก็หมายความว่าวัดกันกันได้ด้วยโรงทานมาก
เพราะฉะนั้น เศรษฐีจะผลิตส่วนเกินก็ได้ มีบ่าวไพร่ข้าทาสช่วยกันผลิตส่วนเกินมากมายมหาศาลได้
แต่แล้วเอามาตั้งโรงทาน มันเป็นสังคมสงเคราะห์อย่างนี้
ถ้าเป็นเศรษฐีประเภทอื่นก็เป็นนายทุน ก็สะสมทุนไว้
แล้วใช้ทุนต่อกำไรเรื่อยไปไม่มีที่สิ้นสุด
เศรษฐีชนิดนั้นถ้ามีทาสก็มีทาสไว้สำหรับใช้แรงงานกดขี่ แต่ถ้าเศรษฐีในพุทธศาสนาก็มีทาสไว้ช่วยร่วมมือกันผลิตส่วนเกินเพื่อการสังคมสงเคราะห์
กล้าท้าให้ไปศึกษาดูในประวัติเรื่องราวของเศรษฐีที่เป็นเศรษฐีในพุทธศาสนาในคัมภีร์ทั้งหลาย
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า
จะเป็นฆราวาสก็ดี เป็นบรรพชิตก็ดี ที่เป็นพุทธบริษัทแล้วจะถูกขอร้อง ถูกสั่งสอน ถูกบังคับไม่ให้กอบโกยส่วนเกิน
ถ้าขืนเอาส่วนเกินก็คือบาป มันก็คือทำผิด นี่จึงว่าโดยหลัก
หรือว่าโดยเจตนารมณ์ของพุทธศาสนาแล้ว
ย่อมเป็นสังคมนิยมเหมือนอย่างพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสว่า “ตถาคตเกิดขึ้นมาในโลกนี้
เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่เทวดาและมนุษย์” ไม่ใช่เพื่อใครคนใดคนหนึ่ง
และไม่ใช่เพื่อตัวท่านเอง
ทีนี้พระศาสดาใดในศาสนาไหนก็เหมือนกัน
ท่านจะยืนยันตัวท่านเองว่า เกิดมาเพื่อประโยชน์แก่เทวดาและมนุษย์
แล้วก็ตำหนิการแสวงหาส่วนเกิน กอบโกยส่วนเกิน
ขอให้นึกถึงข้อนี้ให้ดีๆว่า
ทุกศาสนานั้นเป็นของสังคมนิยม
แต่เราเกลียดคำ จะถูกหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ แล้วจะถูกจับนั้น มันโง่
มันตกเป็นทาสของความหลอกลวงของภาษาที่ตัวเองใช้พูดกัน ขอให้ไปคิดดูให้ดี
เพื่อว่าอย่าได้รังเกียจคำว่าสังคมนิยม เพราะเดี๋ยวนี้เราจะทำสังคมสงเคราะห์
ถ้าเราไม่นิยมสังคม เราเกิดนิยมตัวคนคนหนึ่งแล้วมันก็เป็นไปไม่ได้
ถ้าพูดถึงประชาธิปไตยก็ต้องเป็นประชาธิปไตยอย่างสังคมนิยม
อย่าเป็นประชาธิปไตยแบบอัตนิยมหรือหรือปัจเจกนิยม ซึ่งมันเห็นแก่คนคนหนึ่ง
ระบอบหรือธรรมนูญทั้งหลายมันจะวางไว้เพื่อเปิดช่องให้คนคนหนึ่งกอบโกยเต็มที่
เสรีประชาธิปไตยจะเป็นจะเป็นอย่างนั้น ถ้าว่าประชาธิปไตยอย่างสังคมนิยมแล้วก็ต้องมุ่งตาไปยังสังคมก่อน
ทีนี้คนก็กอบโกยส่วนเกินไม่ได้ มันก็เลยถุกตามหลักของธรรมชาติที่ว่า คนหรือสัตว์นี้ควรจะมีสิทธิตามธรรมชาติที่ถูกต้อง
คืออย่ากอบโกยส่วนเกิน
ไหนๆพูดแล้วก็ขอโอกาสพูดต่อไปสักหน่อยถึงเรื่องนี้ว่า
ปัญหานี้มันเพิ่งเกิดเมื่อมีสังคม เมื่อคนมันอยู่กันคนเดียว หรือไม่รวมกันเป็นสังคมใหญ่ไม่มีปัญหา
ปัญหานี้เพิ่งเกิด สมัยคนป่ายุคหินต่างคนต่างอยู่ปัญหาไม่เกิด พอคนทันมากเข้าๆ
เป็นหลายหมู่หลายสังคมเข้าปัญหาก็ยิ่งเกิด จนกระทั่งเป็นปัญหาวิกฤตการณ์ถาวร
คือการเบียดเบียนกัน
นี่ปัญหาเพิ่งเกิดเมื่อมีสังคม
ปัญหาเกิดหนักขึ้นเมื่อสังคมมันขยายตัวเป็นสังคมใหญ่ขึ้น
เพราะฉะนั้นเราต้องจับตาดูที่สังคมยกขึ้นมาเป็นตัวปัญหา
หรือจะจัดอะไรที่เป็นระบอบสำหรับปฏิบัติ ก็ต้องนิยมสังคมเป็นหลัก อย่านิยมคนเดียว
คนคนเดียวเป็นหลักมันจะแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะว่าปัญหานั้นมันเกิดจากการอยู่กันเป็นสังคม
สปิริตหรือเจตนารมณ์ของสังคมนี้
คือธรรมะของธรรมชาติ ธรรมะของธรรมชาติที่เป็นมาโดยธรรมชาติ ซึ่งเราจะมองเห็นว่า
นี้มันเป็นความมุ่งหมายทางสังคมนิยมแต่ว่าโดยไม่รู้สึกตัว
มีหลักปฏิบัติซึ่งไม่รู้สึกตัวมาทีแรก จนกว่าจะรู้สึกตัวคือการที่ไม่เอาส่วนเกิน
ขอให้นึกถึงว่า
สิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายนี้ ที่เป็นไปตามธรรมชาติแล้ว มันไม่มีใครเอาส่วนเกิน
ก่อนแต่ที่จะมีมนุษย์ขึ้นมามันก็มีสัตว์มีต้นไม้ กระทั่งว่าทีแรกมีสัตว์เซลล์เดียว
อย่างหลักวิทยาศาสตร์ก็กล่าวว่า มีสิ่งมีชีวิตหลายๆระดับ ชีวิตหลายๆระดับไม่อาจจะเอาส่วนเกินตามธรรมชาติ
หรือทีแรกที่สุด ถ้าว่ามันเป็นสัตว์เซลล์เดียวมันก็กินอาหารเท่าที่มันมีหนึ่งเซลล์
ถ้ามันเป็นหลายเซลล์ประกอบกันเข้ามันก้กินอาหารเท่าที่มีเนื้อที่ในเซลล์นั้นๆ
จนกระทั่งมีพืช ทมีชีวิตทึ่เป็นพืชขึ้นมา มันก็กินอาหารเท่าที่มันมีเซลล์สำหรับบรรจุ
กระทั่งมันเป็นสัตว์ขึ้นมา เป็นปลา เป็นนก เป็นอะไร
มันก็กินอาหารเท่าที่กระเพาะมันมี มันไม่มียุ้งไม่มีฉาง ไม่มีที่เก็บ
ไม่มีที่กักตุน เพราะฉะนั้นมันจึงเอาส่วนเกินไม่ได้
ดูนกตัวหนึ่งมันจะกินอาหารแค่เต็มกระเพาะ มันจะเอาส่วนเกินไม่ได้ โดยธรรมชาติก็เอาส่วนเกินไม่ได้
เมื่อเป็นคนป่าขึ้นมา
มันก็ไม่รู้จักมียุ้งมีฉางสำหรับเก็บตุน มันก็กินเท่าที่กระเพาะอำนวย
แล้ววันหนึ่งก็เสร็จไป รุ่งขึ้นก็ไปหามาอีก ไม่มีการกักตุน
นี้เรียกว่าไม่มีใครเอาส่วนเกิน ปัญหายังไม่เกิด
ทีนี้ถ้าถือตามเรื่องในคัมภีร์
ปัญหาเริ่มเกิดเมื่อมนุษย์อุตริคนหนึ่งมันคิดว่า เราไปเก็บเอาไว้มากๆ
ไปเก็บข้าวสาลีในป่าหรืออะไรมาสะสมไว้มากๆ มันก็เกิดการไม่พอ
พอตั้งต้นเอาส่วนเกินเท่านั้นแหละ ปัญหามันก็ตั้งต้น
แล้วก็มีการเอาส่วรนเกินมากขึ้นๆจนมีหัวหน้าที่จะแสวงหากอบโกยส่วนเกิน
จนต้องได้รบพุ่งกันแม้ในหมู่คนป่า ในสมัยที่ว่าเริ่มรู้จักเอาส่วนเกิน
เพราะฉะนั้นจึงเกิดกฎหมาย เกิดศีลธรรม เกิดอะไรขึ้นมาเพื่อกำจัดกิเลสข้อนี้
นี่ขอให้ๆไปอ่านดูเรื่องราวเก่าๆ อย่าเห็นว่ามันเป็นนิยายโง่เง่า
มันเป็นนิยายที่แสดงข้อเท็จจริงไว้อย่างถูกต้องว่า ปัญหาเริ่มเกิดเมื่อมนุษย์เริ่มรู้จักเอาส่วนเกิน
ธรรมชาติต้องการให้ทุกคนเอาแต่เท่าที่จำเป็น
แต่ทีนี้มนุษย์ไม่เชื่อฟังธรรมชาติ ก็เริ่มแข่งกันกอบโกยส่วนเกิน ปัญหาก็เกิดเรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้
อะไรๆมันก็เป็นเรื่องเกินไปหมด ถ้าเราเอาแต่พอดีปัญหาเหล่านี้ก็จะไม่เกิด
การเบียดเบียนก็จะไม่เกิด การเอาเปรียบกันก็จะไม่มี
ปัญหาว่าเท่าไรพอดี
อย่างนี้ก็ไม่มีอะไรบัญญัติไว้มันก็ต้องแล้วแต่ว่าเหตุผลหรือว่ายุคหรือว่าสมัย
ที่ว่าเราจะมีอะไรเท่าไรจึงจะเรียกว่าพอดี เดี๋ยวนี้เราไม่มีกฏเกณฑ์อันนี้
เท่าไรๆก็ไม่พอ จนถึงกับมีพระพุทธภาษิตว่า “ให้ภูเขากลายเป็นทองคำขึ้นทั้งลูกสักสองลูก
ก็ไม่พอแก่ความต้องการของคนคนเดียว”
ภูเขาทองคำแท้ๆตั้งสองลูกก็ไม่พอแก่ความต้องการของคนคนเดียว
นี่ไปวัดคำนวณดูเองว่ามันจะสักเท่าไร เดี๋ยวนี้ก็พอจะเข้าใจได้ว่า
จิตใจมันขยายไปในทางต้องการส่วนเกินนั้น คือการริบเอาประโยชน์ของสังคมมาเป็นของตน
แม้ลัทธิคอมมิวนิสต์ก็ใช้กฏเกณฑ์เรื่องส่วนเกินมาเป็นการบัญญัติหลักลัทธิ
เพราะเขาก็มองเห็นเหมือนกัน แต่มันมุ่งหมายไปอีกอย่างหนึ่ง
ไม่เป็นไปตามกฏของธรรมชาติ เดี๋ยวนี้เราต้องการที่จะให้เป็นไปตามกฏของธรรมชาติ
ไม่กอบโกยส่วนเกิน แล้วอะไรจะเกิดขึ้น มันก็คือความเมตตากรุณา
ทุกคนแบ่งไว้เจียดไว้สำหรับที่จะเลี้ยงอัตภาพ ที่เหลือเป็นส่วนเกินก็ให้แก่สังคม
แล้วยิ่งกว่านั้น คำว่า
ส่วนเกิน นี้ยืดหยุ่นได้มาก เป็นคำที่มีความหมายยืดหยุ่นได้มาก
ที่เขาว่าไม่เป็นส่วนเกินนั้นก็ยังเป็นส่วนเกินได้ เช่น เราจะเจียดประโยชน์ของเราที่กินที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ออกไปสัก
5% นี้ก็ยังอยู่ได้ และไม่ตาย
เพราะฉะนั้นเราต้องหัดให้มนุษย์ในโลกนี้รู้จักเจียดออกให้เป็นส่วนเกิน
จากสิ่งที่เขาไม่เห็นว่าเป็นส่วนเกิน นั่นแหละคือศีลธรรมของพระเจ้าที่จะช่วยมนุษย์ได้
อย่างว่าลูกเด็กๆของเราไปโรงเรียน ได้เงินไป 50 สตางค์สำหรับไปกินไปใช้ที่โรงเรียน
ถ้าสมมติที่ว่าเขาจะเจียดออกไป 5
สตางค์ให้เด็กเพื่อนฝูงกันที่ไม่มีเลยแม้แต่หนึ่งสตางค์ เพราะเขาเป็นคนจน
เด็กคนนั้นก็ไม่เสียอะไร 45 สตางค์ ก็ยังพอกิน หรือว่ากินอยู่ได้ แล้วเด็กคนที่มันไม่มีเลยมันก็ได้ 5 สตางค์ ถ้าทำอย่างนี้หลายๆคน
คนที่ไม่มีเลยจะมี หรือแม้แต่ว่าเด็กคนหนึ่งมันได้ไป 10 สตางค์ต่อหนึ่งวัน
มันควรจะเจียดได้ 1 สตางค์ กินเอง 9 สตางค์ แล้วก็ 1 สตางค์ให้เพื่อนที่ไม่มีเลย
อย่างนี้มันสามารถจะเจียดส่วนที่ใครๆคิดว่าไม่ใช่ส่วนเกินนั่นแหละ
ออกเป็นส่วนเกินได้อย่างนี้
เดี๋ยวนี้ศาสนาโดยเฉพาะพระพุทธศาสนาก็อยู่ได้
ด้วยการเจียดส่วนนี้ออกมาเป็นส่วนเกิน
ยกตัวอย่างวัดนี้อยู่ได้ด้วยประชาชนที่ยากจนรอบวัด
เขาจะมีใส่บาตรเจียดมาจากที่จะต้องกินเองเอามาใส่บาตรได้ เพราะฉะนั้นมีพระ 60 รูปในพรรษานี้อยู่ได้ด้วยประชาชนหร็มแหร็มไม่กี่หลังคาเรือนนี้
ถ้าเป็นที่กรุงเทพฯเห็นได้ว่า ไม่มีทางที่จะเปรียบเทียบกันได้เลย
ที่กรุงเทพฯมีคนร่ำรวยมากแล้วก้ไม่ได้เจียดส่วนเกินในลักษณะเหมือนกับประชาชนแถวรอบๆวัดนี้
เจียดออกเป็นส่วนเกินสำหรับเลี้ยงวัดนี้ให้อยู่ได้ ทำไม?
ก็เพราะว่าที่นี่ยังเป็นแบบเก่า ประชาชนยังเป็นแบบเก่า ที่กรุงเทพฯเขาเป็นแบบใหม่
จนเกือบจะเป็นเทวดาไปแล้ว
มันก็เลยผิดกันเหลือที่จะเปรียบกันได้ไม่รู้ว่ากี่สิบกี่ร้อยเท่า
เพราะฉะนั้นขอให้เราเข้าใจคำว่าส่วนเกินนี้ให้ดีๆมีร้อยล้านแล้วก็ยังไม่พอ
ไม่มีส่วนเกินนี้ดีๆ มีร้อยล้านแล้วก็ยังไม่พอ ไม่ส่วนเกินที่จะเจียดให้ใคร
มันต้องการพันล้านหมื่นล้านแสนล้านโกฏิล้านไปเลย ไม่มีส่วนเกิน
แต่ทีคนมีสักสองสามพันบาท หรือสองสามร้อยบาท
มันยังมีการเจียดส่วนเกินออกมาช่วยสังคมได้
สังคมนิยมควรจะมีหลักสั้นๆตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติว่า
ทุกคนอย่ากอบโกยส่วนเกิน พยายามเจียดส่วนเกินออกไปเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นให้ได้
แต่ไม่ได้ห้ามว่าอย่าผลิตส่วนเกิน
ทุกคนมีสิทธิและสมควรอย่างยิ่งที่จะจะผลิตส่วนเกินขึ้นมา
แต่ว่าส่วนเกินนั้นควรจะเพื่อประโยชน์แก่สังคม และก็ระวังให้ดีๆว่า
ที่ว่าไม่เกินๆนั่นแหละ ก็ยังเกิน ยังเจียดได้
ท่านทั้งหลายทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ไปคิดดูให้ดี
ยังมีส่วนที่ท่านจะเจียดให้เป็นประโยชน์แก่สังคมได้โดยที่ท่านไม่เดือดร้อน
แต่ท่านก็ไม่มองมัน แล้วยังจะละเมออยู่ว่าไม่มีส่วนเกิน ยังไม่มีส่วนเกิน
จะทำอะไรต้องไปเรี่ยไรคนอื่น สำหรับของเรายังไม่มีส่วนเกินที่จะเจียดออกไปได้
จะเป็นกันเสียอย่างนี้ ขอให้คิดดูให้ดีๆ อย่างนี้
สิทธิตามธรรมชาตินั้นคือเอาไว้ได้เท่าที่ไม่เป็นส่วนเกิน
ถ้าทุกคนใช้สิทธิตามธรรมชาติเท่าที่ธรรมชาติยินยอม คือไม่เอาส่วนเกินแล้ว
โลกนี้จะมีความผาสุกเหมือนกับโลกของพระเจ้า
โลกของพระศรีอาริย์ที่ไม่มีความทุกข์เลย นี่เรียกว่ามันเป็นบทบัญญัติอันสูงสุดของธรรมชาติที่ว่า
อย่าเอาส่วนเกินเลยสำหรับปัจเจกชนคนหนึ่งๆนั้น
แล้วพยายามทำส่วนเกินให้เกิดขึ้นก็ได้แต่ว่าเพื่อสังคม
นี้จึงจะเป็นสังคมนิยมตามความประสงค์ของธรรมชาติ ซึ่งอาตมากล้าพูดว่า
ตามความประสงค์ของพระเจ้า หรือของพระธรรม หรือตามหลักของพระศาสนาทุกศาสนา
เพราะฉะนั้นขอให้สังเกตให้ดีๆว่า
เรื่องนี้มันเป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้โลกนี้เกิดปัญหาจนต้องช่วยกัน
แต่แล้วก็ช่วยกันไม่ได้ มันก็น่าหัว สร้างปัญหากันขึ้นมาเอง แล้วก็ช่วยแก้ไขไม่ได้
เพราะทุกคนมันมุ่งแต่ที่จะเอาส่วนเกิน
สังคมสงเคราะห์นี้ควรจะสงเคราะห์กันด้วยสิ่งที่ประเสริฐที่สุด
คือสิ่งที่เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ เพราะปัญหามันเกิดจากมิจฉาทิฏฐิ
เข้าใจไม่ถูกต้องในตัวธรรมชาติหรือในทุกอย่างไม่ถูกต้องตามที่เป็นจริง เพราะฉะนั้น
ปัญหานี้ต้องแก้ด้วยสัมมาทิฏฐิ คือความเข้าใจอันถูกต้อง แล้วรู้ว่ากำลังทำผิดกำลังทำบาป
แล้วแก้ไขเสีย กลับใจเสียให้มันไปในทางที่ถูกต้อง นี่สังคมก็จะเปลี่ยนไปในทางดี
ที่น่าปรารถนาโดยเร็วและทันแก่ความต้องการ ซึ่งอาตมาใช้คำว่า
ถอยหลังเข้าคลองไปหาพระเจ้ากันเถิด เดี๋ยวนี้ทิ้งพระเจ้าไปไกลแล้ว
ทิ้งธรรมะไปไกลแล้ว หรือจะเรียกอย่างวิทยาศาสตร์ว่า ทิ้งความถูกต้องกฏเกณฑ์ของธรรมชาติไปเสียไกลแล้ว
นี่คือข้อที่ 2 ที่พูดโดยหัวข้อว่าสังคมสงเคราะห์นั้นควรจะทำอย่างไร
ข้อสุดท้ายอีกนิดหนึ่งก็อยากจะพูดว่า
ปัญหาของมนุษย์ในยุคปัจจุบันนี้ก็คือสิ่งที่เรียกว่า
ศาสนาหรือศีลธรรมนั้นกำลังหายไปจากโลกอย่างน่าวิตก ศาสนาในรูปของศีลธรรมก็ดี
ปรมัตถธรรมก็ดี หรือจะเรียกว่าการปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติที่ถูกต้องก็ดี
หรือจะเรียกว่าการเชื่อฟังพระเป็นเจ้าก็ดี เหล่านี้ก็เรียกว่าศาสนาทั้งนั้น
กำลังหายไปจากโลก โลกจึงมีวิกฤตการณ์อันถาวรอย่างเดี๋ยวนี้ ที่แก้กันอย่างไรก็ไม่ตก
เพราะว่าคนที่เห็นแก่ตัวมันสร้างปัญหาขึ้น
แล้วคนที่เห็นแก่ตัวนั้นมันจะแก้ปัญหาได้อย่างไร
แม้ว่าคนเห็นแก่ตัวจะมารวมกันเป็นองค์การโลก องค์การนั่นองค์การนี่ มันเต็มไปด้วยคนเห็นแก่ตัว
แล้วมันจะมาแก้ปัญหาของโลกที่เกิดขึ้นจากการเห็นแก่ตัวได้อย่างไร
นี่ขอให้ไปคิดดูให้ดี
เราจะได้ไม่ไปหลงองค์การของบุคคลผู้เห็นแก่ตัว
แล้วตั้งขึ้นเพื่อแก้ปัญหาของบุคคลผู้เห็นแก่ตัว มันน่าหัวเราะ ซาตานจะหัวเราะ
พญามารจะหัวเราะ อะไรจะหัวเราะ ทำไมไม่แก้ปัยหาตรงที่ว่า
คนนี้ควรจะเป็นมนุษย์กันให้ถูกต้อง ตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติของพระเจ้า ซึ่งมีหลักเป็นการเห็นแก่ผู้อื่น
แต่ผู้อื่นนั่นมันเป็นโกฏิเป็นล้านๆ ถ้าว่าเห็นแก่ผู้อื่นแล้ว
มันก็ต้องมากกว่าเห็นแก่ตัวคนเดียวเป็นแน่นอน
เดี๋ยวนี้มันแก่ตัว
ก็คือตามใจกิเลสของตัว สิ่งที่เรียกว่าศาสนาหรือศีลธรรมก็อยู่ไม่ได้
คือหายไปจากมนุษย์ ปัญหามันก็เกิดขึ้น มนุษย์นี้ก็คือกลุ่มของบุคคลที่กำลังมีปัญหาอันทุกข์หนัก
มีธรรมะหรือว่ามีศาสนาก็มีแต่เปลือก หรือมีแต่ปากที่ไม่ควรจะเรียกว่ามี
เพราะฉะนั้น อาตมาจึงใช้คำว่า ศาสนากำลังหายไปจากโลกอย่างน่าวิตกที่สุด
ถ้าพูดโดยสรุปสั้นๆก็ว่า
สื่งที่เรียกว่าศาสนาที่แท้จริงหายไป เหลือแต่ในรูปปรัชญาที่เกี่ยวกับศาสนาบ้างเท่านั้น
เดี๋ยวนี้คนในโลกศึกษาศาสนากันในแง่วรรณคดีก็มี ในแง่อักษรศาสตร์ก็มี ยิ่งขึ้น
กระทั่งในแง่ปรัชญาอย่างเป็นบ้าเป็นหลังนั้นไม่ใช่ตัวศาสนา
ถ้าศึกษาอย่างปรัชญาก็เป็นไปในแง่ของการใช้เหตุผลที่คำนวณไกลออกไปยังสิ่งที่ยังไม่รู้
หาสัจจะเพื่อสัจจะอย่างนี้เป็นเรื่องบ้า
ถ้าหาสัจจะเพื่อแก้ปัญหาของมนุษย์นั่นแหละมันจึงจะเป็นเรื่องดี
ปรัชญามันเป็นการหาสัจจะเพื่อสัจจะ จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าเป็นวิทยาศาสตร์
มันจะหาสัจจะเพื่อประโยชน์แก่มนุษย์โดยตรง เพราะมันจัดการกับสิ่งที่กำลังเป็นปัญหาอยู่เฉพาะหน้า
ดังนั้นมันจึงแก้ปัญหาที่เกิดอยู่เฉพาะหน้าได้ เราก็แก้ปัญหาได้
ศาสนาทุกศาสนาเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์
ต้องมีความทุกข์หรือปัญหามาดูก่อน แล้วเหตุของมันคืออะไร
แล้วก็แก้มันลงไปที่เหตุนั้น อย่างนี้มันเป็นลักษณะของวิทยาศาสตร์
แม้ว่าจะเป็นเรื่อง
ทางจิตใจมันก็เป็นรูปของวิทยาศาสตร์ แต่ถ้าเป็นปรัชญานั้น มันไปตั้งปัญหาอย่างอื่นว่า
ทำไมเราต้องทำอย่างนี้ ทำไมเราต้องเชื่อพระเจ้า ทำไมเราต้องเชื่อพระธรรม
นี่อย่างนี้แน่หรือ ดีหรือ แม้แต่เรื่องของความสุขก็สงสัยว่า
นี้เป็นความสุขแน่หรือ มันเหมือนกับคนที่ไม่เชื่อตัวเอง ไม่เอาเรื่องของตัวเองออกมาเป็นปัญหา
แล้วก็แก้ปัญหาที่นั่น นั่นแหละเป็นพวกปรัชญา ยิ่งมีมากเท่าไรก็ยิ่งมีปัญหามากขึ้น
แล้วก็ไกลออกไปๆ
เขาเปรียบไว้ในหนังสือสอนเด็กซึ่งถูกที่สุดแล้วก็น่าหัวที่สุด
เหมือนกับคนหนหนึ่งมันสงสัยว่า ทางรถไฟนี้มันจะเป็นคู่อย่างนี้เรื่อยไปหรืออย่างไร
มันก็วิ่งไปตามทางรถไฟเรื่อยไป แต่ทางรถไฟมันก็ยังเป็นคู่
แต่ดูไปข้างหน้าแล้วเห็นมันรวมเป็นทางเดียวเป็นเส้นเดียว นี่วิถีทางปรัชญาจะไปในรูปนี้
มันจึงเฟ้อ
ถ้าเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์มันต้องมีปัญหาที่ตรงนี้
แล้วก็แก้ปัญหาที่ตรงนี้ เช่นว่าความยึดถือว่าตัวกูของกูเป็นทุกข์
ก็ทำลายความยึดถือนี่เสียซิ มันเป็นทุกข์ก็แล้วกัน
คือถ้าเราไม่ปลงใจเชื่อลงไปอย่างนี้ เราเป็นทุกข์ ถ้าเราปลงใจเชื่อลงไปอย่างนี้
เราไม่มีความทุกข์ เราก็เชื่ออย่างนี้ก็แล้วกัน อย่างนี้เรียกว่าปฏิบัติพระศาสนา
เปิดเผยชัดเจนเหมือนกับว่าเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ทางวัตถุ แต่ไม่ใช่ทางวัตถุ
เป็นเรื่องทางจิตใจ จะมีหลักเกณฑ์คล้ายกับว่าเป็นเรื่องทางวัตถุ แต่ไม่ใช่ทางวัตถุ
เป็นเรื่องทางจิตใจ จะมีหลักเกณฑ์คล้ายกับว่าเป็นเรื่องทางวัตถุ
นี่เพราะเราไม่ปฏิบัติสิ่งที่เรียกว่าศาสนาให้เป็นศาสนา
เราไปเปลี่ยนศาสนาให้เป็นปรัชญากระทั่งเป็นตรรกวิทยาเป็นอะไรเตลิดเปิดเปิงไป
ดังนั้นถอยหลังเข้าคลองกันใหม่เถอะ มาทำศาสนาให้เป็นศาสนา
คือการปฏิบัติลงไปที่ตัวความทุกข์ แก้ไขความทุกข์
ในวิธีการหรือเทคนิคอย่างกับว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ Philosophy ที่ไม่มีวันจบ ถ้าเป็นวิทยาศาสตร์แล้วจะมีวันจบ
มันจะมีขอบเขตที่จำกัด มีปัญหาที่จำกัด แล้วจะแก้ไขได้
แล้วมนุษย์นี้ก็จะมีความสุขความผาสุกทันแก่เวลา คือไม่ตายเสียก่อน
ถ้ามัวใช้วิถีทางปรัชญาแก้ปัญหาแล้วจะตายเสียก่อน ตายเสียก่อนสัก 100
ครั้งก็ยังไม่ถึงจุดหมายปลายทาง เดี๋ยวนี้คนกำลังทำลายศาสนาให้หมดไป
คือไปทำศาสนาให้เป็นปรัชญา
ระบบความรอดของมนุษย์อยู่รูปของศาสนาควรจะเรียกศาสนา
หรือ Religion โดยตรง
อย่าไปทำให้เป็น Philosophy หรือเป็นอะไรเตลิดเปิดเปิงไป มันจะหมดศาสนา
ศาสนาหมดไปก็เพราะมนุษย์ไปทำศาสนาให้กลายเป็น Philosophy เป็นปรัชญาอย่างนี้
อยากจะพูดอย่างนี้เพื่อจำง่าย ศาสนาไม่ได้เหลืออยู่ในรูปศาสนา ศาสนาพุทธก็ดี
ศาสนาอะไรก็ดี ถูกทำให้เป็นปรัชญา เป็นอะไรให้ไกลออกไป ไม่อยู่ในรูปของ Religion
คือเห็นปัญหาอยู่อย่างนี้แล้วปฏิบัติลงไปอย่างนี้ เพื่อจะแก้ปัญหาให้ดับทุกข์ได้
นี่เรากำลังทำลายศาสนาของเราให้หมดไป
แต่เรากลับพูดว่าเรากำลังมีศาสนาที่เจริญ ที่ไหนๆก็เต็มไปด้วยศาสนา
เต็มไปด้วยนิมิตแห่งศาสนา นี้มันคนหลับตาพูด มันเหลือแต่สิ่งที่ไม่ใช่ศาสนา
พุทธศาสนาไม่ได้อยู่ในรูปของศาสนา แต่ไปอยู่ในรูปของปรัชญา
อยู่ในรูปของอักษรศาสตร์วรรณคดี Logic อะไรไปเสียอย่างนั้น นี่ศาสนาหมดแล้ว แท้จริงศาสนาหมดแล้ว
แต่คนกำลังโง่ว่าศาสนากำลังเจริญ มันก็เลยแก้ปัญหาไม่ได้
นี่เรียกว่าศาสนาหายไปเป็นรูปปรัชญา โลกก็เลยไม่มีศาสนา ระวังให้ดี
ทุกศาสนากำลังประสบปัญหาอย่างนี้
ศาสนาทุกศาสนามีจุดหมายอย่างเดียวกันหมด
คือจะทำลายความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวกูของกู
มันก็ต้องมีการปฏิบัติที่ทำลายตัวกูของกูอยู่เสมอจึงจะมีศาสนาอยู่
เรียกว่ามีศาสนาอยู่เพราะมีการปฏิบัติทำลายตัวกูของกูอยู่เสมอ
ถ้ามีแต่การพูดเรื่องนี้ แม้จะพูดได้เก่งสักเท่าไหรก็ไม่ใช่ตัวศาสนา
นี้เรียกว่าศาสนากำลังหายไปจากอย่างน่าวิตก
ศีลธรรม
คือศาสนาในส่วนที่เป็นศีลธรรม นี้ก็กำลังหายไปจากโลกอย่าง
เพียงแต่อาตมาเอ่ยขึ้นมาอย่างนี้ก้เข้าใจว่าท่านทั้งหลายเข้าใจแล้วว่าอะไร
นี่ศีลธรรมกำลังหายไปจากโลกอย่างน่าวิตก ไม่มีการบังคับตัวเองให้อยู่ในร่องในรอย
เห็นแก่ความสุขสนุกสนานเอร็ดอร่อยทางเนื้อทางหนัง ทางตา ทางหู ทางจมูก
นี่เลยไม่มีศีลธรรม หรือแก้ศีลธรรมกันเสียหมด เหยียบย่ำศีลธรรม ไปเอาบาปนั้นมาเป็นบุญ
ไปเอาผิดนั่นแหละมาเป็นถูก
ก่อนนี้ศีลธรรมอยู่ในเลือดในเนื้อของมนุษย์
อย่างพุทธศาสนานี้ อยากจะยกตัวอย่างเท่านั้นว่า ความซื่อสัตย์ความกตัญญู
ความอดกลั้นอดทน ความให้อภัย ความอะไรต่างๆ นี้มันอยู่ในเลือดในเลือดของคนทุกคน
เลยปฏิบัติอยู่ได้โดยไม่ต้องมีใครสอน อย่างจะสอนก็มีเพียงดูอย่างพ่อแม่
ลูกเกิดมาก็ดูอย่างพ่อแม่ พ่อแม่ทำอยู่อย่างนี้มันก็ถ่ายจากพ่อแม่มาอยู่สายเลือดของลูก
ไม่ต้องมาบังคับ ไม่ต้องจดในสมุดแล้วมาท่อง แล้วบีบบังคับให้ทำ
เพราะฉะนั้นเราจึงเห็นว่า เด็กๆสมัยก่อนนั้นซื่อสัตย์กตัญญูกตเวที อดกลั้นอดทน
ครูตีก็ได้ เพราะว่าเขายอม เด็กเดี๋ยวนี้มันไกลออกไป แล้วก็ไม่ค่อยอยู่กับพ่อแม่
ก็เลยไม่ค่อยได้ถ่ายอะไรจากพ่อแม่ มันจึงเปลี่ยนหมด มีนิสัยเห็นแก่ตัว
หรือเอาเปรียบผู้อื่น หรือรุกรานผู้อื่นวัฒนธรรมในสายเลือดก็จางไป ศีลธรรมก็จางไป
วัฒนธรรมก็ดี นี้มันมาจากศาสนา ปฏิบัติกันมาจนชิน หลายชั่วคน หลายชั่วบรรพบุรุษ
จนกลายเป็นวัฒนธรรมประจำบ้านปรำชาติ จนกลายเป็นวัฒนธรรมประจำบ้าน ประจำชาติ
อาตมาอยากจะยกตัวอย่างเรื่องที่ท่านทั้งหลาย
อาจจะไม่เคยได้ยินว่า ในเมืองนี้ หรือรอบอ่าวบ้านดอนนี้
ถ้าชาวนาหรือชาวไร่เขาไปที่ไร่ เขาจะปลูกต้นไม้และทำรู
แล้วเขาจะเอาเมล็ดหยอดลงไปในรูนี้ เขาต้องว่าคาถา คาถาที่เขาว่านั้นมีว่า
“นกกินเป็นบุญ คนกินเป็นทาน” อ้ายเมล็ดที่ปลูกลงไปนี้ถ้านกกินเราได้บุญ
ถ้าขโมยขโมยกินเราให้ทาน
เพราะว่าเราได้ปลูกเผื่อคนเหล่านั้นและสัตว์เหล่านั้นไว้แล้ว
นี่จิตใจของเขาเป็นอย่างไร เดี๋ยวนี้ถ้านกกินมันเอาปืนมายิง
ถ้าคนมาเก็บกินบ้างมันก็ไปบอกตำรวจมาจับ นี่มนุษย์เลวถึงอย่างนี้ เลวทั้งโลกเลย
ก่อนนี้นกกินเป็นบุญคนกินเป็นทาน เป็นคาถาที่เขาจะต้องว่า
อย่างเราจะเอาหน่อกล้วยปลูกลงไปในหลุมเราก็ต้องว่าคาถานี้
เอาหน่อสับปะรดปลูกลงไปในหลุมก็ต้องว่าคาถานี้
หยอดเมล็ดข้าวเมล็ดถั่วลงไปในหลุมก็ต้องว่าคาถานี้
หยอดเมล็ดข้าวเมล็ดถั่วลงไปในหลุมก็ต้องว่าคาถานี้ นี้มันเป็นเพียงตัวอย่างๆเดียวเท่านั้น
ยังมีอีกมากมาย มีการบัญญัติอยู่โดยไม่รู้ว่าใครบัญญัติ แล้วก็ทำตามสืบต่อกันมา
ถ่ายทอดกันมาในสายเลือด นี้เรียกว่ารากฐานแห่งศีลธรรม เดี๋ยวสิ่งเหล่านี้หายไป
ศีลธรรมความเมตตาเหล่านี้หายไป ความอดกลั้นอดทนหายไป
ไม่อยากเหน็ดเหนื่อยไม่อยากทำงานอย่างมีเหงื่อไคล ไม่ให้อภัย
ไม่ซื่อสัตย์ไม่กตัญญู โอ้ยเยอะแยะ ทั้งหมดนี้มาจากอะไร
มาจากการบังคับตัวเองไม่ได้ ทำไมจึงบังคับตัวเองไม่ได้
เพราะทนความยั่วยวนในสิ่งยั่วยวนของโลกสมัยใหม่ไม่ได้
เด็กๆของเราเกิดมาห่างจากพ่อแม่ที่มีวัฒนธรรมดี
ต้องไปอยู่ในที่ที่ฟรี ที่อิสระ มันก็เลยไปสนใจสิ่งยั่วยวนต่างๆเข้า
มันก็ติดอยู่ใต้อำนาจของสิ่งยั่วยวนเหล่านั้น พอหนักเข้าๆก็พูดกันไม่รู้เรื่อง
พ่อแม่ห้ามก็ฟังไม่ถูก ครูบาอาจารย์สอนก็ฟังไม่ถูก มันเปลี่ยนๆไป
ไม่กี่มากน้อยมันกลายเป็นคนละคน
นี่เรียกว่าศีลธรรมได้หายไปเพราะทนความยั่วยวนของสิ่งยั่วยวนสมัยใหม่ไม่ไหว
นี้เรียกว่าทั้งศาสนาก็หายไป
ทั้งศีลธรรมก็หายไป ศีลธรรมจะเหลืออยู่แต่เด็กๆจดไว้ในสมุดแล้วก็ไม่ได้ปฏิบัติ
ในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัย ไม่เคยมีตัวศีลธรรมที่ประพฤติหรือกระทำอยู่จริงๆ
มีตัวศีลธรรมที่ประพฤติหรือกระทำอยู่จริงๆ มีแต่ที่จดไว้ในสมุด แล้วก็ตอบปัญหาได้
แล้วก็ได้คะแนน ขอให้ไปคิดในข้อนี้เถอะว่า
เมื่อศาสนาและศีลธรรมหายไปจากโลกอย่างนี้แล้ว โลกเป็นอย่างไร
ศาสนานั้นต้องเป็นการประพฤติกระทำตามวิถีทางวิทยาศาสตร์ คือจริงลงไปที่เป็นปัญหา
ที่ของจริงที่แก้ไขปัญหาได้จริงอะไรอย่างนี้ อย่าไปทำให้เป็นปรัชญาเพ้อเจ้อ
ถ้าพูดถึงวิทยาศาสตร์ก็ต้องยอมให้ว่า
มันก็กว้างเหมือนกัน วิทยาศาสตร์ทางวัตถุที่เจริญกันนักในโลกนี้
วิทยาศาสตร์ทางวัตถุก็ดีไปเหมือนกันถ้ามันไม่ทำอันตรายเรา ถ้าเราไปเป็นทาสมัน
มันก็ทำอันตรายเรา วิทยาศาสตร์ที่เนื้อตัวของเรา ที่ร่างกายที่วาจาของเรา
ที่กิริยามรรยาทของเราก็ต้องมีหลักเกณฑ์อย่างวิทยาศาสตร์ คือ
ประพฤติอย่างนี้แล้วมันไม่เกิดทุกข์เกิดโทษ
นี่คือกายวาจามีมรรยาทถุกต้องตามกฏเกณฑ์ของวิทยาศาสตร์ แต่ 2 อย่างนี้ไม่สำคัญ
สำคัญทางวิทยาศาสตร์ทางจิตใจหรือทางวิญญาณ ถ้าเราเกิดความคิดอย่างนี้แล้วต้องเป็นทุกข์
ถ้าเราเกิดความคิดอย่างนี้แล้วไม่เป็นทุกข์
เราจะต้องพยายามรักษาความคิดอย่างที่ไม่เป็นทุกข์ไว้ให้ได้
นี่เป็นวิทยาศาสตร์ในทางวิญญาณ
ตึกหลังนี้เรียกว่าโรงมหรสพทางวิญญาณ
เพราะว่าเราได้สะสมอะไรต่างๆไว้มากมายนี้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจเรื่องทางวิญญาณ
แต่เพื่อให้มันไม่น่าเบื่อ ให้มันน่าสนุกสนานบ้างจึงจัดไปในรูปอย่างนี้
คือมีศิลปะเข้ามาช่วย บางทีเราก็บอกเพื่อนฝูงของเราบางคนว่าเป็น Spiritual Theartre เป็นโรงหนังเป็นโรงละครกับเขาเหมือนกัน
แต่เป็นฝ่าย Spiritual คือตึกหลังนี้
เพราะฉะนั้นผู้ที่เข้ามาในตึกหลังนี้
ก็ช่วยใช้ให้มันเป็นประโยชน์ในลักษณะของเรื่องทางฝ่ายวิญญาณ
จะให้วิญญาณมันชนะต่อสิ่งที่มันมายั่วยวนหรือมาห่อหุ้มให้เป็นอิสระ
บางทีเราก็ใช้คำเกินไปจนคนเขาไม่เข้าใจ เช่น ใช้คำว่า “ว่าง” หรือ “จิตว่าง”
เป็นต้น
ที่จริงมันเป็นคำที่ถูกต้องที่สุด
แต่คนไม่เข้าใจเราก็ไม่ทราบจะทำอย่างไร
คำว่าจิตว่างนี้คือจอตที่เป็นอิสระจากสิ่งที่มายั่วยวนผูกพันล่อลวงให้จิตมันเขวไป
นั่นภาพนั้นมีอยู่ภาพหนึ่งเขียนว่า “จิตว่างได้ยินหญ้าพูด”
ถ้าเรามีจิตว่างเป็นอิสระจากกิเลสจากอ้ายสิ่งหลอกลวงยั่วยวนต่างๆ
เราจะได้ยินหญ้าพูด คือจะได้ยินธรรมชาติพูด ได้ยินหญ้ามันพูดว่า
“เมื่อไหร่หนามนุษย์จะหายบ้ากันเสียสักที
เมื่อไหร่หนามนุษย์จะมามีความสุขปกติเยือกเย็น ร่ายรำเหมือนกับพวกเรา”
ใบหญ้าร่ายรำอยู่กลางสายลม อย่างนี้เป็นต้น เพื่อให้เกิดความสนุกสนานอย่างนี้บ้าง
ก็เลยเรียกว่า มหรสพทางวิญญาณ มันก็อยู่ในรูปของวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ Mythology ไม่ใช่ปรัชญา
ขอได้โปรดทำความเข้าใจให้ถูกต้องว่า ที่นี่ไม่ต้องการจะสอนปรัชญาและเกลียดปรัชญา
เพราะปรัชญาทำให้เนิ่นช้า ทำให้เป็นนักปราชญ์ชนิดที่ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด
เลยสมัครเป็นพวกนักวิทยาศาสตร์ แต่ว่าเป็นเรื่องทางฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณ
พยายามที่จะเข้าถึงเรื่องธรรมชาติให้มากที่สุด
พระพพุทธเจ้าประสูติกลางดิน
พระพุทธเจ้าตรัสรู้กลางดิน พระพุทธเจ้านั่งนอนสอนศาสนากลางดิน
พระพุทธเจ้านิพพานกลางดิน ท่านเป็นเกลอกับธรรมชาติถึงขนาดนี้ แต่พวกลูกศิษย์นี้อยากจะอยู่บนวิมาน
อยากจะตายบนวิมาน อยากจะมีอะไรๆอย่างวิมาน
แต่ว่าพระพุทธเจ้าท่านประสูติกลางดินที่สวนลุมพินี
ท่านตรัสรู้ริมตลิ่งโคนต้นไม้แห่งหนึ่งก็กลางดิน ท่านเที่ยวสอนไปก็กลางดิน
เทศน์กลางดิน กุฏิของท่านก็พื้นดิน แล้วจะไม่เรียกว่าท่านอยู่กลางดินอย่างไร
ในที่สุดท่านก็นิพพานที่กลางดิน ทีนี้พวกเราลูกศิษย์ต้องการอย่างนั้นหรือเปล่า
เพราะฉะนั้นมาที่นี่ช่วยนั่งกลางดินช่วยอะไรกลางดินบ้างเป็นที่ระลึกแก่พระพุทธเจ้า
พระเยซูก็เกิดกลางดิน พระศาสดาทั้งหลายท่านเป็นเกลอกับธรรมชาติอย่างนี้
แต่เราลูกศิษย์นี้มันอยากจะอยู่บนวิมาน แล้ววิมานชนิดที่สร้างเอาเองด้วย
คาดฝันเอาเองด้วย มันก็ไกลกันคนละทิศคนละทาง
นี่ศาสนามันไม่มีเหลือ
ศีลธรรมมันไม่มีเหลือ เพราะเหตุการณ์มันเปลี่ยนไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ
ในเมื่อต้องการให้เป็นเกลอกับธรรมชาติ แต่เราก็เกลียดธรรมชาติ
ในเมื่อต้องการให้ใช้สิทธิเท่าที่ธรรมชาติกำหนดให้ เราก็กอบโกยถึงกับสร้างยุ้งฉาง
สร้างธนาคารให้มากๆ แล้วจะได้กอบโกย นี่มันกลับกันอยู่อย่างนี้
เรากำลังย้อนไปในทางที่ว่าจะเป็นอย่างนี้มากยิ่งขึ้น นี่ศาสนาที่แท้จริง Religion มันหายไป ไปเป็น Philosophy
เป็น Logic เป็น Psychology เป็นอะไรก็ไม่ทราบ ศีลธรรมแม้ๆมันก็หายไป ไม่มีการบังคับเนื้อหนัง ตา หู
จมูก ลิ้น กาย ใจ มันเกิดศีลธรรมใหม่ตามใจกิเลส ศีลธรรมมันก็หายไป ปัญหาก็เกิดขึ้นแก่สังคม
แล้วจะแก้ยังไง จะแก้ให้มันมีกินมีใช้มากขึ้น มันก็จะยิ่งหนักขึ้นไปอีก คือจะไปทำให้มันขี้เกียจมากขึ้นอีก
วิธีแก้ก็ว่า
จงเห็นแก่สังคมตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ อย่ากอบโกยส่วนเกิน
เจียดออกมาเป็นส่วนเกินเพื่อช่วยเพื่อนมนุษย์ให้ได้
เราเป็นคนจนก็ต้องเจียดออกมาได้ 1 สตางค์ เพื่อจะช่วยผู้อื่น
ถ้าเราเป็นคนมั่งมีก็เจียดได้เป็นบาทเป็นร้อยเป็นพัน นั่นแหละจะแก้ปัญหาสังคมได้
แต่ถ้าทุกคนพร้อมกันกอบโกยแล้วมันจะเอามาแต่ไหน ธรรมชาติจะเอามาแต่ไหนให้
ก็ต้องมีปัญหาขึ้นมา
เพราะฉะนั้นเรียกว่าเดี๋ยวนี้สิ่งที่น่าวิตกที่สุดก็คือ
ศาสนาหรือศีลธรรมนี้กำลังหายไปจากโลก ชื่ออันนั้นอยู่แต่ในนาม
แต่ไม่ใช่ตัวสิ่งนั้นโดยแท้จริง อยากจะพูดว่าศาสนากำลังไม่มีในโลกเพราะมนุษย์กำลังไปทำให้เป็น
Philosophy หรืออะไรเสียเป็นต้น
ถ้า Religion กันจริงๆแล้วก็ต้องมีการปฏิบัติ มีการประพฤติ
มีการกระทำ มี Observation มี Commitment มีอะไรที่มันเป็นตัวการปฏิบัติ
แล้วการปฏิบัตินั้นต้องเป็นการทำลายความเห็นแก่ตัวกูของกู
มันก็จะเกิดความเห็นแก่ผู้อื่นอันจะเป็นสังคมนิยมที่จะแก้ปัญหาของสังคมได้
เพราะว่าปัญหาเพิ่งเกิดเมื่อมนุษย์อยู่กันเป็นสังคม
แล้วก็อย่าได้เกลียดกลัวคำว่าสังคมนิยมเลย
อย่ากลัวว่าจะถูกหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์แล้วจะถูกจับ ถ้ากลัวก็เติมคำเข้าข้างหน้า
อาตมาคิดว่า เติมคำข้างหน้าสักคำหนึ่งว่า ธัมมิกสังคมนิยม
ธัมมิกสังคม
เป็นสังคมนิยมที่ประกอบอยู่ด้วยธรรมะ หรือพระเจ้า
นั่นแหละสังคมนิยมที่จะช่วยมนุษย์เราสมัยนี้ให้รอดได้
สิ่งที่เรียกว่าธรรมะนั้นมีค่าหรือมีความหมายมากจนพูดกันไม่ไหว
ถ้าใครเข้าใจว่ามีในพุทธศาสนาหรือในศาสนาฮินดูแล้วจะเข้าใจผิด คำว่าธรรมะในภาษาบาลีภาษาสันสกฤตนั้นก็หมายถึงสิ่งทั้งปวง
เช่นเดียวกับคำว่าพระเจ้าคือสิ่งทั้งปวง แต่ในด้านลึกมองไม่เห็นหรือเห็นยาก
จึงมองเห็นแต่ด้านที่เห็นง่ายๆ ธรรมะนี้หมายถึงปรากฏการณืทั้งหลาย
เหล่านี้ก็เรียกว่าธรรมะ
กฏความจริงที่มีอยู่ในสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นก็เรียกว่าธรรมะ
ธรรมหรือธรรมะแล้วแต่จะเรียก
หน้าที่ที่มนุษย์จะต้องปฏิบัติตามกฏเกณฑ์เหล่านั้นก็เรียกว่าธรรมะ
ผลที่เกิดขึ้นได้รับเป็นผลดีผลชั่วนี้ก็เรียกว่าธรรมะ
ผลที่เกิดขึ้นได้รับเป็นผลดีผลชั่วนี้ก็เรียกว่าธรรมะ คำว่าธรรมะหรือธรรมคำเดียว
หมายหมดไม่ยกเว้นอะไร สังเกตดูคำว่าธรรมะหรือธรรมคำเดียว หมายหมดไม่ยกเว้นอะไร
สังเกตดูคำว่าพระเจ้าก็เหมือนกัน พระเจ้าคือสิ่งทั้งปวง
ปรากฏการณ์ทั้งหลายนี้เป็นเนื้อตัวของพระเจ้าที่แสดงออกมา The Word พระโองการของพระเจ้า
คือกฏธรรมชาติ กฏของธรรมะ ทีนี้หน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติทุกคนตามกฏอันนี้ก็คือ
ปฏิบัติตามพระเจ้า ตามกฏพระเจ้า พระเจ้าในฐานะที่เป็นกฏนี้ต้องระวังให้ดี ท่านมีหน้าที่ให้เราทำ
ถ้าเราทำผิดจะถูกลงโทษเหมือนที่โลกกำลังจะวินาศอยู่เดี๋ยวนี้
เพราะว่าเหยียบย่ำกฏของพระเจ้า ถ้า ปฏิบัติถูก
ปฏิบัติตามกฏนั้นก็มีผลเกิดขึ้นมา เป็นการได้รับรางวัลมีความสุข
ได้เป็นผู้ที่อยู่เหนือความตาย ก็เรียกว่าธรรมะ
เพราะฉะนั้นอย่าได้เข้าใจว่ามันเกิดแตกแยกกันเป็นคนละศาสนา
นี้มันมีปัญหาเกิดขึ้นเพราะว่าคำพูดมันไม่พอ คำพูดมันก็เกิดหลอกลวงมนุษย์จนทำให้เข้าใจผิด
แล้วก็แบ่งแยกกัน แตกแยกกันก็เลยเบียดเบียนกัน มันมีสิ่งที่ลึกเกินกว่าที่จะเอามาพูดเป็นคำพูดได้นี้ส่วนหนึ่ง
ถ้าไม่เข้าถึงส่วนนี้ก็เรียกว่าไม่เข้าถึงธรรมะ ไม่เข้าถึงพระเจ้า ไม่เข้าถึงเต๋า
ไม่เข้าถึงอะไรต่างๆแล้วแต่จะเรียก ถ้าอย่างวิทยาศาสตร์ก็ต้องเรียกว่า
ไม่เข้าถึงกฏของธรรมชาติอันแท้จริง ถ้าเข้าถึงกฏธรรมชาติอันแท้จริง
อย่างแท้จริงไม่ใช่อย่างลูกเด็กๆเรียนในโรงเรียน ก็จะเข้าถึงเต๋า เข้าถึงธรรมะ
เข้าถึงพระเจ้า เข้าถึงอะไรทุกอย่างเลย
นี่เป็นธรรมะคำเดียวในภาษาบาลีกินความอย่างนี้
ในภาษาอื่นก็ต้องมีคำหนึ่งซึ่งกินความถึงสิ่งทั้งหมด เช่นคำว่าเต๋าก็เหมือนกัน
จะต้องกินความถึงสิ่งทั้งหมด ไม่ยกเว้นอะไร เพราะฉะนั้นเราต้องเข้าถึงหัวใจของมัน
เราจึงจะเข้าถึงสิ่งนี้ แล้วก็จะแก้ปัญหาได้
นี่สังคมมีเพียงสังคมเดียวในหมู่มนุษย์
คือว่า มนุษย์นี่มีความทุกข์
จะต้องช่วยกันแก้ไขให้หมดความทุกข์โดยการกระทำให้เข้าถึงตัวธรรมะหรือตัวพระเจ้า
หรือตัวอะไรแล้วแต่จะเรียกว่าอย่างไร เดี๋ยวนี้อาตมาเห็นว่า
ท่านทั้งหลายก็มีหน้าที่สังคมสงเคราะห์
หาเงินหาของหาอะไรต่างๆมาช่วยกันอย่างนั้นอย่างนี้ แต่แล้วก็วิตกอยู่ว่า
ท่านจะลืมสิ่งที่สำคัญหรือมองข้ามสิ่งที่สำคัญสิ่งหนึ่งเสียซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งปัญหาทั้งหลาย
คือ ความเห็นแก่ตัว ตัวกูของกูที่เกิดมาจากการที่มนุษย์เหยียบย่ำศาสนา
เหยียบย่ำศีลธรรม เหยียบยำพระเจ้า เหยียบย่ำอะไรเสีย มันก็เกิดปัญหาสวนขึ้นมาเป็นการลงโทษของพระเจ้าหรือของพระธรรม
เพราะฉะนั้นการแก้ก็คือการถอยหลังเข้าคลองให้ถูกต้องตามเดิมเท่านั้นแหละ
นั่นแหละจะแก้ปัญหาต่างๆได้
มนุษย์ที่ยากจนก็จะแก้ปัญหาได้ด้วยการมีศาสนาและศีลธรรม
มนุษย์ที่เป็นอันธพาลมันก็เห็นชัดอยู่ว่าแก้ได้ด้วยการที่เขาถอยหลังเข้าไปหาความถูกต้อง
คือศาสนาและศีลธรรม หรือมนุษย์ขาดแคลนอย่างนี้ ถ้ามีศีลธรรม มีธรรมะจริง
ปฏิบัติในศาสนาจริง ความขาดแคลนจะหายไป คือไม่มีใครเอามาเปรียบ
ไม่มีใครกอบโกยส่วนเกิน แต่ทุกคนก็มีความขยันขันแข็งที่จะผลิต มันก็พอที่จะให้แก่ผู้อื่น
คือว่าเจียดส่วนให้แก่ผู้อื่น
เพราะฉะนั้นถ้าเดี๋ยวนี้ในโลกนี้เจริญวิวัฒนาการด้วยเครื่องประดิษฐ์เครื่องทุ่นแรงอะไรต่างๆ
มันก็ต้องทำขึ้นเป็นส่วนเพื่อช่วยเหลือสังคมคือผู้อื่น อย่าเพื่อคนใดคนหนึ่งเลย
เดี๋ยวนี้เราทำอะไรมันก็เพื่อผู้ทำเสียทั้งหมด
เช่นว่าเราผลิตเครื่องมือวิเศษขึ้นมาได้ ขนาดไปโลกพระจันทร์ได้อะไรได้นี้
แต่ว่าเครื่องมือเหล่านี้ผลิตเพื่อประโยชน์แก่คนเป็นคนๆไป
หรือแม้ว่าจะหลายคนรวมกันมันก็ยังเรียกว่า เป็นประโยชน์อย่างบุคคล อย่างส่วนบุคคล
อย่างส่วนตัวกูของกุทั้งนั้น ไม่ไม่ใครใช้ประโยชน์นี้เพื่อคนทั้งโลก
อะไรที่คิดขึ้นได้ใหม่ๆแปลกๆ ก็ถูกนำไปใช้เพื่อส่วนบุคคล
เครื่องมืออันวิเศษทั้งหลายที่เราคิดขึ้นมาใหม่ๆในโลกนี้
มันเลยกลายเป้นอันตรายแทนที่จะเป็นประโยชน์ทำให้เกิดสันติภาพ
มันกลายเป็นส่งเสริมให้มีวิกฤตการณ์ ของดีๆนั้นแล้วแต่ว่าจะเล็งไปถึงอะไร
เครื่องวิทยุโทรทัศน์ หรือคอมพิวเตอร์หรืออะไรทุกๆอย่างที่กำลังประดิษฐ์ขึ้นนี้
ระหว่างแต่ว่าบุคคลหนึ่งจะนำไปใช้เพื่อประโยชน์แก่ตัวกูของกูทั้งนั้น ก็จะทำให้โลกนี้มีวิกฤตการณ์มากขึ้น
ถ้าเดขาใช้เครื่องมือ เหล่านี้ทั้งหมดเพื่อสังคมนิยมกันจริงๆแล้ว
โลกนี้ก็จะเป็นโลกที่มีสันติภาพสันติสุข เป็นโลกของพระศรีอาริย์ได้ในเวลาอันสั้น
ถ้ามนุษย์รู้จักใช้ความฉลาดเฉลียวเหล่านี้ เพื่อประโยชน์แก่สังคมนิยมจริงๆแล้ว
โลกนี้ก็จะเปลี่ยนไปทันที เป็นโลกที่มีสันติภาพมีสันติสุข
เพราะฉะนั้นอย่ามองกันแต่เรื่องร่างกายหรือวัตถุ
ขอให้มองเรื่องจิตใจด้วย แล้วก็มองให้พบปัญหาที่น่าหวาดเสียวที่สุด
คือศาสนาและศีลธรรมกำลังจะไม่มีในโลก เพราะว่ามันได้เปลี่ยนเป็นสิ่งอื่นไป
ทั้งที่มันยังเรียกว่าศาสนาและศีลธรรม เพราะฉะนั้นเราพูดได้เลยว่า
ศาสนาและศีลธรรมเดี๋ยวนี้ไม่ใช่ศาสนาและศีลธรรมอย่างครั้งกระโน้น
อย่างครั้งพระพุทธเจ้า อย่างครั้งพระเยซู หรืออย่างพระศาสดาองค์ไหนก็ตามเถอะ
มันเปลี่ยนตัวแต่ชื่อคงไว้ อย่างนี้มนุษย์จะเป็นผู้ทำผิด
คือว่าเดินออกจากคลองโดยไม่รู้ตัว แล้วจะพลัดตกลงไปในเหว
เพราะฉะนั้นรีบถอยหลังเข้าคลอง คือมาสู่ความถูกต้องกันเสียใหม่
นี่คือใจความสั้นๆที่อาตมาเสนอแก่ท่านทั้งหลายทุกคน
ผู้สนใจจะเสียสละเพื่อกิจกรรมสังคมสงเคราะห์ว่าเราทุกคนจงช่วยกันถอยหลังเข้าคลองให้มาอยู่อยู่ในคลอง
แล้วเดินต่อไปให้ถูกต้อง มันก็จะหมดปัญหาได้ เพราะฉะนั้นขอให้ทุกคนพยายามสนใจคิดให้เข้าใจในเรื่องนี้
เพียงแค่คิดเห็นอย่างถูกต้องก็เป็นบุญเป็นความดีขึ้นมาทันที
ที่เราทำไปได้แล้วก็ยิ่งจะได้รับผลยิ่งขึ้นไปกว่านั้นอีก
เพราะฉะนั้นอาตมาขอแสดงความยินดีอย่างสูงสุดในการที่ได้พบกับท่านทั้งหลายในวันนี้
เพื่อร่วมกันพิจารณาเกี่ยวกับปัญหาของมนุษย์ ซึ่งอาตมาก็สนใจอยู่ตลอดเวลา จะเรียกว่าทุกครั้งที่หายใจเข้าออกก็ได้
เพราะฉะนั้นจึงมีความยินดีที่ว่าได้พบเพื่อนมนุษย์ที่สนใจจะแก้ปัญหาของมนุษย์
ในฐานะเป็นโลกของมนุษย์โดยส่วนรวมนี้ให้สำเร็จประโยชน์ แล้วก็ขออ้างคุณสิ่งที่สูงสุดซึ่งมีชื่อเรียกไม่รู้กี่อย่างนั่นและ
ว่าจงช่วยดลบันดาลให้ท่านทั้งหลายจงประสบความสำเร็จ
ก้าวหน้าในฟหน้าที่การงานที่มุ่งหมายจะกระทำเพื่อเพื่อนมนุษย์ทุกคน
และมีความผาสุกร่วมกันทุกทิพาราตรีกาลเทอญ
2
สังคมนิยม
ตามหลักแห่งพระศาสนา[1]*
ท่านที่จะเป็นผู้พิพากษาทั้งหลาย
การบรรยายครั้งที่
2 นี้ จะพูดโดยหัวข้อว่า “สังคมนิยม” ตามที่ทราบกันอยู่แล้วว่า
มีอยู่ในหัวข้อที่ทางกระทรวงกำหนดให้มา
สำหรับคำว่า
“สังคมนิยม” คำนี้ ทุกคนก็”ด้ยินได้ฟังกันอยู่แล้ว และรู้จักกันในฐานะที่เป็นชื่อของระบบการเมือง
หรืออุดมคติทางการเมืองอย่างหนึ่ง
และโดยส่วนใหญ่ก็เล็งถึงระบบที่เป็นข้าศึกต่อเสรีประชาธิปไตย
พอพูดถึงสังคมนิยม ความคิดของคนสมัยนี้ก็แล่นไปถึงคอมมิวนิสต์หรืออะไรทำนองนั้น
แต่ที่เราจะพูดกันในวันนี้ไม่ได้เกี่ยวกับคำนั้น ในความหมายอย่างนั้น คือเป็นสังคมนิยมตามหลักแห่งพระศาสนา
ก่อนอื่นเราควรทำความเข้าใจกันเสียก่อนว่า
บัดนี้ เราจะพูดกันถึงสังคมนิยมตามหลักแห่งพระศาสนา ซึ่งจะเป็นศาสนาไหนก็ได้
หรือที่ยิ่งไปกว่านั้นอีกก็คือตามหลักของธรรมชาติ
ขอให้ทำความรู้สึกสำหรับจะฟังความหมายของคำนี้ตามหลักแห่งพระศาสนาโดยตรง
ความรู้สึกของผู้ฟังในขณะนี้ควรจะเกลี้ยงเกลาสไปจากความคิดเรื้อรังต่างๆที่มีอยู่ก่อนว่า
ขึ้นชื่อว่าสังคมนิยมละก็ต้องเป็นระบบชนกรรมาชีพที่ยื้อแย่งนายทุน
หรืออะไรทำนองนี้ ซึ่งไม่ควรจะเอามาปนกันเลย
ทีนี้ขอให้ทบทวนถึงเรื่องที่เราพูดกันในครั้งที่แล้วมา
คือเรื่องศีลธรรม ถ้าเข้าใจเรื่องนั้นแล้วก็จะเข้าใจเรื่องนี้โดยถุกต้อง
โดยสมบูรณ์ และโดยง่าย เราต้องนึกถึงคำว่าศีลธรรม ในแง่ที่ว่า
ศีลธรรมเป็นเหตุให้เกิดความปกติและเป็นภาวะแห่วความปกติ
นี่ก็แล้วแต่ว่าจะเล็งกันในฐานะที่เป็นเหตุหรือเป็นผล ถ้าศีลธรรมถูกมองไปในลักษณะที่เป็นเหตุ
ก็จะเป็นสิ่งหรือเครื่องมือ หรืออะไรก็ตามที่จะทำความปกติ แต่ถ้าจะเป็นผล
ก็คือการแสดงออกมาแล้วก็เป็นภาวะแห่วความปกติ
อีกอย่างหนึ่งได้กล่าวมาแล้วว่า
ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ศีลธรรม หรือที่ไม่ต้องเนื่องอยู่ด้วยศีลธรรม คือถ้ามนุษย์เราจะมีการกระดุกกระดิกเคลื่อนไหวไปแม้แต่สักนิดหนึ่งก็จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับศีลธรรม
โดยจะต้องกระดุกกระดิกไปเพื่อความสงบหรือความหยุด
ฉะนั้นความวุ่นวายทั้งหลายนี้เป็นผลของความไม่มีศีลธรรม ดังนั้นก็ต้องเรียกว่า
ทุกอย่างเนื่องกันอยู่กับศีลธรรม หรือปัญหาทางศีลธรรมอยู่นั่นเอง แม้กำลังเป็นภาวะที่ไร้ศีลธรรมอยู่ในบัดนี้
สิ่งที่เรียกว่าสังคมนิยมนี้ก็เหมือนกัน เป็นศีลธรรมระบบหนึ่ง
แต่ว่าลึกซึ้งอย่างที่ไม่มีใครจะมองเห็นมันในรูปนั้น
แต่โดยแท้ที่จริงหรือตามธรรมชาตินั้นมันก็เป็นอย่างนั้น
เราจะดูกันว่า
สังคมนิยมเป็นศีลธรรมระบบหนึ่งอย่างไร
ถ้าพูดอย่างเอาเปรียบกว้างๆไว้ทีก่อนก็คือว่า
การจัดระบบที่ทำให้เป็นสังคมปกติหรือเป็นปกติสุขนั่นแหละจึงจะเรียกว่าสังคมนิยม
ถ้ามันเป็นเหตุให้เกิดความวุ่นวาย ก็จะเป็นเรื่องความไร้ศีลธรรมในทางสังคม
แต่ก็ยังคงเป็นปัญหาของสังคมนิยมอยู่นั่นเอง
ทีนี้ได้เคยบอกมาแล้วว่า
การศึกษาเรื่องที่ลึกซึ้งทุกแขนงนี้มีความยกาลำบากอยู่ที่ถ้อยคำ ปัญหาทางถ้อยคำมีเกิดขึ้นเรื่อยๆ
แล้วเกิดมากยิ่งขึ้นทุกที
แม้ที่เขาพบหลักธรรมกันแต่ก่อนสมัยก่อนสมัยโบราณเป็นพันปีสองพันปีมาแล้ว
ก็มีความลำบากกันในเรื่องนี้ คือในเรื่องที่จะเอาคำพูดคำไหนมาพูดจาอธิบายกัน
ในเวลานี้ก็ยังลำบากในเรื่องนี้ เกี่ยวกับคำพูดมีไม่พอ หรือว่าตีความหมายไปคนละทาง
หรือความหมายมันเปลี่ยนไป เพราะฉะนั้นจึงต้องทำความเข้าใจเรื่อง “คำพูด”
กันเสียก่อน จึงจะพูดกันให้รู้เรื่องต่อไปตามลำดับ
คำแรกจะต้องเอาคำว่า
“การเมือง” มาพูดกันเสียก่อน เพราะสังคมนิยมก็เป็นระบบการเมือง
หรือเป็นอุดมคติทางการเมืองระบบหนึ่ง คำว่า “การเมือง”
นี้แสนจะกำกวมอยู่ในโลกนี้เวลานี้ หรือแม้แต่ในประเทศไทย
พวกหนึ่งก็มองไปในฐานะที่เป็นสิ่งที่หลอกลวงเหลวแหลกมายา เป็นอุบายแห่งการเอาเปรียบ
นี้ก็มีอยู่จริงในทางหนึ่งหรือด้านหนึ่ง
อีกด้านหนึ่งก็เป็นเครื่องมือหรืออุบายอันหนึ่ง
ที่หวังกันอยู่ว่าจะสามารถจัดโลกนี้ให้มีสันติภาพ ถ้าอย่างนี้ก็นับว่าดีมีประโยชน์
ในภาษาไทยเรา
การใช้คำว่า “การเมือง” นี้ จะถูกหรือจะผิด จะเหมาะหรือไม่เหมาะนั้น
ไม่ใช่เวลาที่จะวินิจฉัยกันแล้ว มันเลยมาแล้ว
ควรแต่จะต้องเอาสิ่งต่างๆที่กำลังเป็นปัญหาอยู่จริงๆนี้มาจับกันดูกับคำนี้แล้วใช้ให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุดจะดีกว่า
ถ้าเราจะถือคำว่า
“การเมือง” มาจากคำว่า politics ก็จะยิ่งเห็นความหมายได้ง่าย เพราะคำว่า politics
นี้มีความหมาย “เกี่ยวกับคนมาก” หรือเกี่ยวกับเรื่องที่มากๆนี้จะต้องนึกไปถึงความจริงอันหนึ่งว่า
พออะไรมีเพิ่มมากขึ้นละเป็นเกิดปัญหาทันที จะเป็นคนหรือจะเป็นของอะไรก็ตาม poli
ที่แปลว่า “มาก” นี้หมายถึงอะไรก็ได้
บัดนี้เอามาใช้ประกอบขึ้นเป็นคำสำหรับอุดมคติอันหนึ่ง
ที่จะใช้แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากการที่มีคนหรือมีอะไรมากๆ
เรื่องความมีปัญหามากนี้ไม่ต้องสงสัย
ย่อมมาจากการที่มีคนมากขึ้นในโลกในสังคมอะไรนี้
ดังนั้นก็ต้องมีระบบอันหนึ่งทางศีลธรรมหรือว่าทางศษสนาก็ตาม
เพื่อจะแก้ปัญหาเหล่านี้ ถ้าคำว่า “การเมือง” หมายความอย่างนี้ก็นับว่าดี
คือว่าเป็นกลาง วางไว้สำหรับจะแก้ปัญหาที่เกี่ยวกับคนมากก็แล้วกัน
ที่นี้ก็มีคำที่เนื่องมาจากคำนี้
เช่นคำว่า “อุดมคติททางการเมือง” ก็เลยมองเห็นได้ทันทีว่า อุดมคติก็กำลังมีมาก
คนนั้นเขาก็ว่าอย่างนี้ คนนี้ก็ว่าอย่างโน้น จนเกิดขึ้นหลายๆระบบ เป็นอุดมคติทางการเมืองที่แข่งขันกันขึ้นมา
เสนอตัวเป็นผู้จัดสันติภาพของโลก จนกระทั่งเราไม่รู้ว่าจะเอาระบบไหนดี จึงมีปัญหา
ถ้าเราไม่รู้จักก็ย่อมจะเป็นอันตราย หรือไม่สำเร็จประโยชน์เป็นอย่างน้อย
ถ้ารู้จักอุดมคติทางการเมืองว่ามันคืออะไรแล้ว
จะง่ายนิดเดียว ในเมื่อเราย้อนกลับไปถึงคำพูดที่ได้พูดไว้แล้วว่า ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ศีลธรรม
ไม่มีอะไรที่ไม่เกี่ยวกับศีลธรรม ระบบการเมืองที่แท้คือศีลธรรม
ถ้าระบบการเมืองนั้นถูกต้อง นั่นก็คือศีลธรรมที่มีแล้วอย่างถูกต้อง
ถ้าผิดแล้วก็ใช้ไม่ได้ เพราะเป็นศีลธรรมที่ผิด หรือไม่ประกอบอยู่ด้วยศีลธรรม
นี่เป็นข้อเท็จจริงที่จะต้องไปดูเอาเองว่า ระบบการเมืองระบบไหนประกอบไปด้วยศีลธรรม
ซึ่งบัดนี้เราก็จะพูดไว้ล่วงหน้าเสียว่า
ระบบสังคมนิยมนี้คือระบบที่ประกอบด้วยศีลธรรมยิ่งกว่าระบบใด
ดูต่อไปถึงคำว่า
ระบบเศรษฐกิจ
ระบบเศรษฐกิจนี้คงจะผุดขึ้นในหัวของบุคคลที่เห็นแต่เรื่องกิน
เห็นแต่เรื่องปากเรื่องท้อง
จนกระทั่งเอาระบบการเมืองนี้มาเป็นระบบเศรษฐกิจเป็นอุดมคติไปเสีย
เรื่องเศรษฐกิจนี้ก็มีปัยหาเดียวกันอีก
เพราะคนพวกนี้เขาจะมองกันแต่เรื่องปากดเรื่องท้องว่า
เป็นตัวการสำคัญที่จะทำให้สังคมผันผวนไปอย่างไรก็ได้ สำหรับคำว่าเศรษฐกิจนี้
ถ้าถูกต้องจริงๆก็คือระบบศีลธรรมในแง่ที่เกี่ยวกับเรื่องจะต้องกินต้องใช้
แม้แต่เรื่องในครัวก็เป็นเรื่องเศรษฐกิจ
แล้วก็เป็นสิ่งที่ต้องประกอบอยู่ด้วยศีลธรรมโดยตรง
เดี๋ยวนี้ดูเหมือนเขาจะถือเอาระบบเศรษฐกิจเป็นหลักในการที่จะแบ่งแยกอุดมคติทางการเมืองหรือเรื่องการเมือง
มันก็ไม่แปลกอะไร ก็ถูกอยู่เหมือนกัน เพราะเขามองไปในทิศทางนั้น เป็นระบบเศรษฐกิจ
แต่ก็ต้องระวังให้ดี ควรให้คงความหมายเดิมที่ว่า ต้องประกอบอยู่ด้วยศีลธรรม
แล้วก็จะเป็นระบบเศรษฐกิจที่ดีที่ใช้ได้
ทีนี้จะมองกันให้กว้าง
ให้เป็นระบบการปกครอง
ระบบการปกครอง
นับตั้งแต่ปกครองหมู่บ้านบ้านเมือง ประเทศชาติ
หรือว่าถ้าใครจะทำได้สักคนหนึ่งก็ปกครองโลก
นี้เป็นระบบการปกครองซึ่งหมายถึงการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากคนหมู่มาก
ถ้าระบบการปกครองถูกต้องก็ยิ่งต้องเกี่ยวกับศีลธรรม
จนกระทั่งเป็นตัวศีลธรรมอันหนึ่งไปเลย ดังนั้นระบบการปกครองก็คือระบบศีลธรรมในความหมายหนึ่งนั่นเอง
นี่คำพูดมันชวนกันเกิดขึ้นมามากขึ้นๆ แล้วก็แยกแขนงไป ตามความมุ่งหมายส่วนหนึ่งๆ
ตามความรู้ หรือสติปัญญา หรือการเพ่งเล็งของบุคคลผู้กล่าวนั้น
มองออกไปอีกทีหนึ่งก็จะไปพบคำว่า
ศาสตร์ของสังคม
ศาสตร์ของสังคม
หรือ social science ซึ่งมีคนแปลว่า
ศาสตร์สังคม หรือสังคมศาสตร์ หรืออะไรคล้ายๆกันนี้ สำหรับคำว่า “ศาสตร์” นี้
อย่างไรเสียความหมายเดิมก็คือ ศาสตรา หรือสิ่งที่มีคม คำว่าศาสตรนี้
คือสิ่งที่มีคมที่ใช้ตัด ความหมายทางศาสนาใช้เป็นชื่อของคำอธิบายแก่สิ่งที่ยาก
คือสิ่งที่เรียกเรียกว่าสูตร
เมื่อสิ่งที่เรียกว่าสูตรนี้ยากและลึก
เข้าใจยาก เป็นอุดมคติที่สรุปไว้สั้นมาก
เขาก็มีคำอธิบายขึ้นมาระบบหนึ่งเรียกว่าศาสตร์ ยืมมาจากคำว่า ศาสตรา – ของมีคม
เพื่ออธิบายคำว่าสูตรนั้นให้เป็นที่เข้าใจ ใช้กันอยู่กระทั่งเดี๋ยวนี้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการพุทธศาสนาอย่างมหายาน
เมื่อเราเอาคำว่าศาสตร์มาพิจารณาดู
มันก็คือของมีคม แล้วมันจะตัดปัญหา ฉะนั้นศาสตร์สังคมก็คือ
ของมีคมที่จะตัดปัญหาทางสังคม แล้วก็รวบเอาเรื่องทุกอย่างที่
สังคมจะต้องเกี่ยวข้องหรือใช้มาเป็นศาสตร์สังคม เช่น เรื่องการเมือง
เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องวัฒนธรรม กระทั่งเรื่องศาสนา เป็นต้น ก็มาเป็นศาสตร์สังคม
ดังนี้แล้ว การเมืองก็เป็นศาสตร์สังคมอันหนึ่งที่ตัดปัญหาได้ดี
หรือต้องดูเอาเองว่า จะต้องเป็นศาสตร์ชนิดไหน
แม้จะแยกการเมืองออกมาจากศาสตร์สังคมทั้งหลายแล้ว
ก็ยังจะต้องมาแยกดูอีกทีว่า ควรจะเป็นการเมืองระบบไหนที่จะตัดปัญหาเหล่านี้ได้
เราใช้คำที่เป็นกลางที่สุดคำนี้ก้ดี คือศาสตร์สังคม จะได้ไม่เถลไถล
หรือว่าจะไม่กำกวมออกไปนอกลู่นอกทางได้
แล้วก็อย่าลืมว่าศาสนาก็รวมอยู่ในสิ่งที่เรียกว่าศาสตร์สังคม
หรือสังคมศาสตร์ด้วยเหมือนกัน
ระบบการเมืองอาจอยู่ในระดับศาสนาก็ได้
โดยการพิจารณาดังกล่าวแล้ว
ระบบการเมืองอาจจะกระโดดพรวดขึ้นไปอยู่ในระดับที่เรียกว่าศาสนาก็ได้
แล้วก็อาจจะเป็นเรื่องของคนโง่ก็ได้
เราจะถือว่าระบบการเมืองนี้เป็นศานาซึ่งเป็นศาสนาของคนบางคนอยู่แล้วก็ได้
หรือว่าบางพวกที่เขาจะให้การเมืองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดขึ้นไปอยู่ในระบบศาสนา
อย่างนี้ก็ถูกแล้วก็จริงด้วยเพราะว่าระบบการเมืองนั้น ถ้าถูกต้องแล้วก็เป็นระบบศีลธรรมโดยตรง
คำว่า
“ศาสนา” ก็คือภาวะสูงสุดของศีลธรรม
และเป็นภาวะที่เต็มรูปของสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรมเท่านั้น
ฉะนั้นถ้าการเมืองดีจริงก็อยู่ในรูปศาสนาได้ แต่โดยเหตุที่ว่า
เขาเพ่งเล็งกันแต่ทางร่างกายทางวัตถุ การเมืองก็ไม่เป็นศาสนาที่สมบูรณ์
ศาสนาที่แท้จริงต้องเล็งถึงเรื่องทางวิญญาณหรือทางจิตใจด้วย
ตรงนี้ก็อยากจะขอพูดสักหน่อยในฐานะเป็นเรื่องแทรก
เพราะว่าเคยมีปัญหากระทั่งเคยถูกด่า คือปัญหาที่ว่า พุทธศาสนานี้เป็นวัตถุนิยมหรือว่าเป็นมโนนิยม? เขาก็เคยมองกันผิดๆ แล้วก็เคยเถียงกัน
แต่ในที่สุดถ้ามองกันให้ดีแล้ว พุทธศาสนาก็ไม่เป็นวัตถุนิยม และก็ไม่เป็นมโนนิยม
แต่เป็นความถูกต้องระหว่างสิ่งทั้ง 2 นั้น หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็ว่า เป็นทั้ง 2
อย่างตามสัดส่วนที่ควรจะเป็น
ศาสนาที่จะเอามาใช้เป็นเรื่องของศาสตร์สังคมที่ดีที่สุดได้นั้น
ต้องไม่เป็นทาสของวัตถุ และก็ไม่บ้าคลั่งแต่ในเรื่องทางจิตใจ
จึงจะมาอยู่ในรูปของพุทธศาสนา หรือเป็นแม้แต่ระบบศีลธรรมที่ดี
และควรจะรู้จักสิ่งนี้ไว้ในลักษณะอย่างที่ว่า คำว่า “การเมือง” และคำว่า “ศาสนา” นี้ยังกำกวมเหลือเกิน
จะเอาตรงไหนแน่ก็ต้องพูดกันเป็นเรื่องๆไป
ทีนี้ยังมีคำที่ควรจะนึกถึงอีกคำหนึ่งด้วย
คือคำว่า “การเมืองเรื่องสกปรก”
ถ้าการเมืองเป็นเรื่องสกปรกแล้วก็ควรจะไม่ใช่การเมือง เพราะเป็นเรื่องไร้ศีลธรรม
ไม่อยู่ในรูปของศีลธรรม เช่นนั้นในที่สุดก็จะทนอยู่ไม่ได้ ก็ต้องดิ้นรนไปกลิ้งเกลือกไปจนกว่าจะอยู่ในรูปของศีลธรรม
การเมืองสกปรกนี้ต้องไม่ถือว่าเป็นการเมือง
หรือจะเรียกว่าการเมืองก็จะต้องยกเว้นให้เป็นพิเศษ
คือแยกออกมาในฐานะที่มันกำลังดิ้นรนไปด้วยความเข้าใจผิด
เห็นผิดเห็นแก่กิเลสหรืออะไรก็ตาม จึงได้เป็นการเมืองที่สกปรก
ทีนี้เมื่อเรามีให้ได้เห็นกันแต่การเมืองที่สกปรก
เด็กๆก็เหมาเอาว่า การเมืองนี้เป็นเรื่องสกปรก ก็โทษเด็กไม่ได้
เพราะเด็กเห็นแต่การเมืองเรื่องสกปรกทั้งนั้น การเมืองที่ถูกที่ต้องนั้นเขาไม่เคยเห็น
แล้วทั่วโลกก็กำลังเป็นกันอย่างนี้ นี่เราก็พูดตรงๆ ไม่ลำเอียง
ไม่ใช่ด่าเขาว่ากำลังมีปัญหาอย่างนี้
จนกระทั่งว่าการเมืองนี้เป็นเครื่องมือเอาเปรียบผู้อื่น ลักล้วงประโยชน์ของผู้อื่น
ใช้ลิ้นเป็นอาวุธสำหรับจะเอาประโยชน์ให้มากที่สุด
นี่ผิดความหมายของคำว่าการเมืองนี้ไปไกลแล้ว
ตามที่ได้พูดไว้ให้ถือเป็นหลักสำหรับพิจารณา
หลักนั้นให้พิจารณาดูว่า
ทุกอย่างไม่พ้นไปจากศีลธรรม แล้วทุกอย่างต้องเกี่ยวข้องกันอยู่กับศีลธรรม
ไม่มีอะไรที่จะแยกออกไปจากศีลธรรมได้
พอแยกตัวออกไปก็ผิดความหมายแห่งศาสตร์สังคมทันที เช่น เกิดการเมืองสกปรกขึ้นมา
ซึ่งที่แท้ก็มิใช่การเมือง
ดูต่อไปถึงคำว่าการเมือง
คือระบบศีลธรรมอันเร้นลับ การดูอย่างนี้มีประโยชน์และเป็นสิ่งที่จำเป็นโดยแน่นอน
ถ้าเราเอามาทำมาใช้ให้ถูกต้องก็จะมีประโยชน์
ถึงอย่างนั้นก็ยังจะต้องแยกออกให้ง่ายให้เห็นได้ง่าย
ให้ง่ายแก่การที่จะศึกษาหรือปฏิบัติศีลธรรมในรูปแห่งการเมือง
ถ้าการเมืองอยู่ในรูปของปรัชญา
ก้ดูจะยังเป็นเรื่องอากาศธาตุเสียมากกว่า คือลมๆแล้งๆ
เพราะว่าปรัชญานั้นเป็นอย่างนั้นเอง ปรัชญาเป็นเรื่องสำหรับคิดคำนวณแล้วออกมาเป็นคำพูด
มันก็อยู่ในลักษณะของคำพูด ไม่อาจจะเข้าถึงตัวจริงได้
การเมืองที่อยู่ในรูปของปรัชญาที่บ้าหลังหลังคลั่งไคล้กันนัก ในรูปของปรัชญาในโลกนี้ในเวลานี้
ก็จะยังคงเหลวอยู่นั่นแหละ
ถ้าว่าการเมืองมาอยู่ในรูปของศีลธรรม
ต้องขอใช้คำพูดโสกโดกที่ว่า “มันวิเศษเลย”
ถ้าว่าการเมืองมาอยู่ในรูปของศีลธรรมก็หมายความว่า ละเสียจากความเป็นปรัชญา
นี้จะช่วยโลกได้ ข้อที่ว่าเป็นศีลธรรมอย่างไรนั้น ก็พูดกันแล้ว
ถ้าให้ดีกว่านั้นอีก
ก็ให้การเมืองมาอยู่ในรูปของศาสนาเสียเลย เพราะคำว่า “ศาสนา”
ก็คือภาวะสมบูรณ์ของสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรม ความเต็มรูปของสิ่งที่เรียกว่า ศีลธรรม
คือศาสนา ถ้ามันยัง “เด็ก” อยู่ก็เรียกว่า “ศีลธรรมอันดีของประชาชน” ไปก่อนก็ได้
แต่ถ้ามันเต็มรูป เปแนภาวะที่เต็มรูป ก็คือศาสนาในระบบหนึ่งซึ่งจำเป็นแก่สังคม
ฉะนั้นถ้าคนบริสุทธิ์จริงและฉลาดจริง ก็เอาการเมืองนี้มาทำให้อยู่ในรูปของศาสนาก็ได้
แล้วทุกคนก็มีศาสนาพร้อมๆกัน เหมือนๆกัน ตรงกันทั้งโลก โลกนี้ก็จะมีสันติภาพถาวร
ยิ่งกว่าถาวร
ขอให้ลองเหลือบตาดูว่า การเมืองที่อยู่ในรูปของปรัชญานี้เป็นอย่างไร?
บางทีจะนำไปสู่การฆ่าแกงกัน การเผาผลาญกัน การทิ้งระเบิดปรมาณูใส่กันท่าเดียว
แต่ถ้าไปอยู่ในรูปของศีลธรรมแล้วมันจะหมุนไปอีกทางหนึ่ง จะเป็นไปในทางเย็นลงสงบลง
จะมีประโยชน์แก่มนุษย์สมตามความมุ่งหมายได้จริง
นี่เป็นอันว่า
เราได้พูดกันแล้วถึงเรื่องสิ่งที่เรียกว่า “คำ” มันลำบากอยู่ที่คำ
เพราะว่ามีความกำกวมอยู่ที่คำเปลี่ยนแปลงไปตามยุค ตามสมัย ตามถิ่น ภูมิประเทศ
หรือตามความชอบใจของคนมากกว่า
ทีนี้จะดูความกำกวมของ
“คำ” นี้ให้ละเอียดลงไปอีก ก็จะดูกันถึงคำว่า “ประชาธิปไตย” เป็นคำแรก
คำว่า
ประชาธิปไตย ก็เป็นคำที่ได้ยินกันอยู่ทุกๆวัน และจะมากเกินจำเป็นไปแล้วก้ได้
แต่มันเป็นคำที่กำกวมหรือหลอกลวงที่สุดด้วย เพราะว่าคนที่มีกิเลสนั้น
ต่างคนต่างใช้กิเลสของตนให้ความหมายแก่คำว่าประชาธิปไตย
ในทางหนึ่งก็เป็นเครื่องมือสำหรับเอาเปรียบหรือทำลายผู้อื่น
ในอีกทางหนึ่งก็เป็นเครื่องมือสำหรับสร้างสันติภาพ
ดังนั้นพิจารณาดูคำว่าประชาธิปไตยนานาชนิดไปตามลำดับจะดีกว่า
อาตมารู้สึกว่า
ประชาธิปไตยพื้นฐานนี้ยังพร่าหรือกว้างเกินไป หาความแน่นอนไม่ได้
เพราะประชาธิปไตยพื้นฐานนี้ย่อมสร้างขึ้นมาได้พร้อมกันทั้งคู่เลย
คือสร้างขึ้นมาได้ทั้งนายทุนและชนกรรมาชีพ ซึ่งเราจะถือว่าคำทั้ง 2
คำนี้เป็นพูดสำหรับจะใช้เล็งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ดังนี้
-
เพราะประชาธิปไตยพร่า จึงเกิดนายทุน
-
เพราะประชาธิปไตยพร่า จึงเกิดสิทธิที่จะยื้อแย่งนายทุน เช่น
สิทธิของชนกรรมาชีพเป็นต้น
-
เพราะประชาธิปไตยพร่า จนไม่รู้ว่าจะอยู่ที่ตรงไหนกันแน่
ก็ปล่อยไปตามความประสงค์ของบุคคลนั้นเป็นกรณีๆไป
นี่เรียกว่า
ประชาธิปไตยพื้นฐานอยู่ที่ตรงไหนกันแน่? มีบทบัญญัติอย่างไร?
โลกเรามีประชาธิปไตยพื้นฐานกันมากี่สิบปีแล้ว แล้วโลกนี้เป็นอย่างไร? มันมุ่งหมายไปรวมที่จุดไหน?
หรือว่าพร่าออกไปทุกที คำว่าประชาธิปไตยพื้นฐาน นี้ยังเป็นที่พึ่งไม่ได้ คือว่า
ใครจะดึงไปทางไหนก็ได้นั่นเอง
ทีนี้เขยิบดูไปให้แคบเข้าว่า
ประชาธิปไตยที่เป็น “เสรีนิยม” นี้เราควรจะระลึกถึงคำคู่หรือคู่ของมัน คือคำว่า
“สังคมนิยม” พร้อมกันไปในตัว
ประชาธิปไตยเสรีนิยม
ก็เปิดเสรีเต็มที่ แล้วก็ไม่ได้จำกัดความไว้ชัดว่าเสรีอย่างไร
แล้วกิเลสของคนมันก็ฉวยโอกาสที่จะเสรีไปตามอำนาจของกิเลส พอมีอำนาจอยู่ในมือแล้ว
กิเลสมันก็เข้าสวมรอยที่จะใช้เสรีภาพตามอำนาจของกิเลส
แม้อุดมคติจะวาดไว้สวยงามทางปรัชญา แต่การปฏิบัตินั้นก้เป็นไปไม่ได้
ปรัชญาแต่การปฏิบัตินั้นก็เป็นไปไม่ได้ ปรัชญาไม่มีกำลังพอที่จะต้านทานกิเลสได้
เดี๋ยวนี้เมื่อดูคำพูดคำนี้แล้ว
มันก็แสดงความกำกวมอย่างยิ่งอยู่แล้วว่า ทำอะไรก็ได้
ฉะนั้นเสรีประชาธิปไตยนี้จะต้องระวัง มันเป็นอันตรายอย่างร้ายแรงได้ เพราะว่าคนคนไหนก็อ้างเสรีภาพได้
คนพาลก็อ้างได้บัณฑิตก็อ้างได้ ถ้าไม่ให้เขาก็ต้องเรียกว่าไม่มีเสรีภาพ
ตัวอย่างเช่น มีปัญหาว่า จะสมัครเป็นผู้แทนจะต้องมีพรรคไหม?
ถ้าว่าต้องสังกัดพรรคมันก็ไม่ใช่เสรีภาพที่สมบูรณ์ ยังถูกกักกันไว้อย่างใดอย่างหนึ่ง
อย่างนี้เป็นต้น นี่เป็นเรื่องเบ็ดเตล็ดเล็กๆน้อยๆ พูดพอให้เป็นตัวอย่างว่า
เสรีภาพนี้ทำยาก เพราะมันยังอยู่ใต้อำนาจของกิเลสของแต่ละคนอยู่นั่นเอง
อนึ่ง
ถ้าจะถามว่า คนในโลกนี้เขาหมดกิเลสกันหรือยัง ก็ยอมรับว่ายังมีกิเลส
ก็ใช้กันอย่างมีกิเลส ฉะนั้น ประชาธิปไตยชนิดนี้ยังไม่ปลอดภัย เพราะสำหรับคนที่มีกิเลสก็ย่อมรวมหัวกัน
เพื่อให้กิเลสได้โอกาสบัญญัติอุดมคติของมันนั่นเอง
ทีนี้เราจะดูต่อไปโดยจำกัดให้แคบเข้ามา อย่าให้มันใช้กิเลสชนิดนั้นได้
เราก็จะนึกถึงคำว่า “สังคมนิยม”
ซึ่งเป็นเรื่องตรงกันข้ามกับเสรีนิยมที่เล็งถึงบุคคล ปัจเจกชนต่างคนต่างมีเสรี
แต่พอมาถึงคำว่า “สังคมนิยม”จะทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะต้องดูประโยชน์ของสังคม
ต้องดูปัญหาของสังคม แล้วก็ทำสิ่งต่างๆที่เป็นการแก้ปัญหาของสังคม
นี้จึงเป็นสังคมนิยมที่ปลอดภัยเข้ามาชั้นหนึ่ง คือปลอดภัยยิ่งขึ้น
หรือปลอดภัยกว่าเสรีนิยม โดยจะมุ่งทำประโยชน์แก่สังคม
เสรีนิยมนั้นทำไม่ได้เนื่องด้วยความเห็นแก่ตัว
เพราะเสรีนิยมนั้นทำไม่ได้เนื่องด้วยความเห็นแก่ตัว
เพราะเสรีนิยมเป็นโอกาสของความเห็นแก่ตัว เพราะมีเป้าหมายอยู่ที่ตัว
มิได้อยู่ที่สังคมเหมือนสังคมนิยม
เอาละ
ทีนี้เราจะยอมรับหรือยอมให้อีกชั้นหนึ่งว่า แม้แต่สังคมนิยมนี้ก็ยังจะต้องถูกจำกัดให้ชัดเจนลงไปว่า
เป็นสังคมนิยมที่ประกอบด้วยธรรมหรือไม่ประกอบด้วยธรรม ถ้าเป็นภาษาบาลีก็มีคำว่า
ธมฺมิก ธมฺม นั้นก็แปลว่า ธรรม อิ-ก ท้ายศัพท์นี่มีความหมายว่า “ประกอบอยู่ด้วย”
หรือ “เป็นไปกับ” และอื่นๆได้หลายๆอย่าง
ถ้า
ธมฺมิก แปลว่า ประกอบอยู่ด้วยธรรมเป็นต้นแล้ว
สังคมนิยมที่ประกอบอยู่ด้วยธรรมเท่านั้นแหละจะช่วยโลกได้
ถ้ามิได้ประกอบอยู่ด้วยธรรมเพราะความโง่ความเขลา หรือความอะไรต่างๆทันก็ช่วยไม่ได้
แต่มันก็ยังดีกว่าเสรีนิยมในแง่ที่ว่า เสรีนิยมนั้นแม้จะประกอบอยู่
เห็นแก่ประโยชน์ของบุคคลได้ เสรีนิยมจะใช้ได้จริงก็แต่เรื่องไปนิพพานเท่านั้น
ถ้าเราจะมีเสรีกันให้สุดเหวี่ยง
ถ้าเป็นเสรีเพื่อไปนิพพานและก็ได้ ไม่มีทางที่จะผิด
แต่ถ้าว่าเสรีเพื่อจะอยู่กันในโลกแล้ว ระวังให้ดี มันมีช่องโหว่สำหรับอันตราย
ฉะนั้น ถ้าเราจะเอาสังคมนิยมกันแล้วก็จะต้องใช้คำว่า “ธมฺมิกสังคมนิยม”
มีความหมายเต็มรูป คือประกอบอยู่ด้วยธรรมเสมอ
ทีนี้อยากจะให้มองดูเลยถึงคำที่อาจจะถูกหาว่า
บ้าๆบอๆ อีกคำหนึ่งว่า ประชาธิปไตยเผด็จการ
ที่จริงประชาธิปไตยเผด็จการเป็นคำที่ถูกต้องหรือไพเราะที่สุด
แต่คนเขาเกลียดเสียงของคำว่า “เผด็จการ” เพราะว่ากำลังเมาเสรีนิยม
นั่นเพราะเข้าใจคำว่าเผด็จการผิดๆอยู่บางอย่าง
คำว่า
“เผด็จการ” นี้ขอให้แยกออกเป็น 2 ความหมาย ถ้าเป็นหลักปฏิบัติหรืออุดมคติ
ในฐานะอุดมคติทางการเมืองนี้มันก้ใช้ไม่ได้
แต่ถ้าเป็นเพียงวิธีปฏิบัติงานดำเนินงานเท่านี้จะใช้ได้ คือมันทำให้เร็วกว่า
ถ้าว่าประชาชนเป็นสังคมนิยม เป็นประชาธิปไตยเต็มที่แล้ว เห็นว่าปัญหานี้มันอืดอาดนักก็มอบให้เผด็จการ
ก็คือประชาธิปไตยเผด็จการ ประชาชนเผด็จการ อย่างนี้มันดีกว่า
ขอให้ระวังความหมายของคำว่าเผด็จการให้ดีๆ อย่าเอาแต่เสียงหรือคำพูดที่พูดๆกันอยู่
เพราะว่าเรากำลังจะต้องขึ้นไปจนถึงประชาธิปไตยชนิดธัมมิกสังคมนิยม
และก็ใช้วิธีเผด็จการด้วย
สรุปแล้วประชาธิปไตยมีหลายแบบ
คือ เป็นเสรีนิยมบ้าง สังคมนิยมบ้าง ถ้าเราจะเอาอย่างสังคมนิยมแล้ว คำก็ยังกำกวม
เราจะต้องเอาสังคมนิยมอย่างที่ประกอบไปด้วยธรรมะ ที่แม้ประกอบไปด้วยธรรมะนั้นก็ยังกำกวม
ในกรณีที่จะทำให้ช้าหรือเร็วได้อย่างไรเราจึงต้องเอาวิธีดำเนินการ
หรือปฏิบัติงานอย่างเผด็จการเข้ามาใส่ให้ จึงจะเป็นผลเกิดขึ้นทันใจ
นี้มันจะช่วยโลกได้
เดี๋ยวนี้ประเทศเรากำลังสับสนหมด
ไม่รู้ว่าจะจัดลงไปอย่างไร ที่ตรงไหน ถ้าใช้เผด็จการที่ประกอบไปด้วยธรรมแล้ว
จะดีจะเร็วจะหมดปัญหาได้เร็ว เดี๋ยวนี้กำลังควันเข้าตาหรืออะไรเข้าตา
หรือแสงสว่างสีขาวมันเข้าตา ความมืดสีขาวมันเข้าตา หรือแสงสว่างสีขาวมันเข้าตา
ความมืดสีขาวมันเข้าตา จึงไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไร
อยากจะเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า เราจะต้องมีประชาธิปไตยอย่างที่เป็นธัมมิกสังคมนิยม
และต้องเผด็จการด้วย ให้มันหมดความกำกวมกันเสียที
ถ้าไล่มาดูก็จะเห็นว่า
ประชาธิปไตยพื้นฐานพร่าเหลือเกิน ประชาธิปไตยเสรีนิยมก็มีช่องโหว่มากเหลือเกิน
ประชาธิปไตยสังคมนิยมค่อยยังชั่วหน่อย แต่ก็จะต้องเป็นธัมมิกะ ทีนี้ธัมมิกะเข้าไม่ทันใจก็จะต้องใช้วิธีดำเนินการอย่างเผด็จการ
ถ้าเผด็จการอย่างทรราชหรืออะไรนั้น ก็เรียกว่าใช้ไม่ได้
ถ้าเผด็จการเป็นวิธีดำเนินการที่ประกอบด้วยธรรมแล้ว ก็ใช้ได้เต็มที่
ถ้าเป็นเผด็จการทางจิตใจ
เป็นเรื่องของธรรมะ ของศาสนา มันเผด็จการแก่กิเลสแล้วก็ยิ่งวิเศษแน่
ถ้าเราใช้วิธีเผด็จการแก่กิเลสกันจริงๆ ไม่เท่าไรคนเราก็จะมีกิเลสเบาบาง
หรือไม่มีกิเลสเสียเลย ก็เลยดีมาก หรือวิเศษมาก
จนถึงกับว่าไม่ต้องมีระบบการปกครองก้ได้ แต่ดูจะเป็นความหวังที่เลื่อนลอย
ที่ว่ามนุษย์จะอยู่กันโดยไม่มีระบบการปกครอง นี้จะมีได้ก็แต่ในโลกของพระอริยเจ้าเท่านั้น
ถ้าเป็นโลกของพระอริยเจ้าก็อยู่ด้วยกันได้โดยไม่ต้องมีระบบการปกครอง
เพราะว่าศีลธรรมมันถึงภาวะสูลสุดของมัน
ขอทบทวนว่า
“ประชาธิปไตย” นี้ เราจะต้องดูกันให้ดีๆ ในความหมายที่สับสนกำกวมกันหลายขนาด
ในลักษณะอย่างที่กล่าวมานี้ อยากจะย้อนไปเน้นถึงคำว่า “เสรีนิยม”
เพื่อให้ดูกันอีกนิดหนึ่งว่า เสรีนิยมนี้ตัวหนังสือมันถูก
แต่ทางปฏิบัติมันเป็นไปไม่ได้ หรือมันผิด มันมีได้หลายความหมาย
ตามใจตนเองนี่ก็เสรี แล้วใครๆก็มีสัญชาตญานอย่างนี้อยู่แล้วด้วยกันทุกคน
คือตามใจกิเลส
ทีนี้กิเลสนั้นมันเพิ่งเกิด
ไม่ได้มีมีมาแต่ในท้อง พอเด็กเกิดมาแล้วรู้เรื่องอร่อยไม่อร่อย
ถุกใจไม่ถุกใจอะไรขึ้นมา แล้วก็มีกิเลสมากขึ้น กิเลสกำลังขยายตัวอยู่เรื่อยไป
ถ้าไปเสรีตามอำนาจของกิเลสแล้วมันคงวินาศแน่ แล้วจะเอาอะไรมาควบคุม
“กิเลสเสรีนิยม” ซึ่งเขาจะยอมให้เป็นว่า มีอำนาจหรือใช้อำนาจ ใช้สมรรถนะต่างๆได้ตามความประสงค์
อย่างนี้ก็ยิ่งเป็นเรื่องของกิเลสมากขึ้นไปอีก
เมื่อไม่ระลึกนึกถึงระบบการควบคุมกิเลสแล้วระบบการเมืองแบบเสรีนิยมก้เป็นเรื่องบ้าหลังและอันตราย
ทำไมไม่นึกถึงระบบการควบคุมกิเลสกันเสียก่อนแล้วจึงจะมานึกถึงระบบเสรีนิยม
ทางที่มนุษย์เราจะรอดตัวไปได้นี้มันอยู่ที่ไหน ถ้าจะใช้อุดมคติว่า เสรีนิยม คำว่า
“เสรีนิยม” นี้ความหมายมันก็เดินผิดทางแล้ว เพราะคำว่า politics นี้หมายถึงคนมากรวมกัน
ถ้าแยกออกเป็นเสรีก็เริ่มผิดความหมายของเรื่อง politics
ไม่ใช่เรื่องของคนมากเสียแล้ว กลายเป็นเรื่องของคนคนเดียวไปเสีย
มันก็จะชิงกันไปตามทิศทางของตัว เหมือนอย่างอุปมาน่าหัวในพระคัมภีร์มีอยู่ว่า
คนคนหนึ่งเขาจับลิงมา
จับนกมา จับตะกวดมา จับเต่ามา จับเสือมา ผูกด้วยเชือกยาวๆ เข้าเป็นพวงเดียวกัน
แล้วปล่อยสัตว์เหล่านั้นมันจะทำอย่างไร มันก็จะวิ่งยื้อแย่งกันไปตามทิศทางของมัน
ลิงก็จะขึ้นต้นไม้ นกก็จะบินขึ้นบนฟ้า เต่าก็จะลงไปในหนอง ตะกวดก็จะไปเข้าโพรง
อย่างนี้เป็นต้น มันก็น่าหัว
ผู้ที่บูชาคำว่า
เสรีนิยม จะต้องนึกดูให้ดีๆ ถ้าเกิดการแยกเป็นอิสระส่วนบุคคลของคนที่มีกิเลสแล้ว
จะไม่ตรงกับความหมายของคำว่า politics ซึ่งเป็นเรื่องของคนมากและรวมกัน แล้วมันจะเป็น politics ปลอม politics บาป politics ของพญามาร
ของภูตผีปีศาจไปเลย
ถ้าเป็นเสรีนิยมในทางศาสนาก็จะเห็นได้ว่าปลอดภัยแน่
เพราะว่าเราจะต้องเสรีจากกิเลส แต่จะเอาอุดมคตินี้มาใช้ก็ได้ คือให้คนพยายามที่จะเสรีจากกิเลสเสียก่อน
เสรีได้มากเท่าไรก็มีโอกาสที่จะใช้ระบบเสรีนิยมได้มากเท่านั้น “ถ้าเสรีเหนือกิเลส
ก็ไปนิพพาน” แล้วคำนี้ก็ไม่มีอยู่ในตำราการเมือง
และไม่มีอยู่โลกปัจจุบันในทางการเมืองด้วย แต่ไปอยู่ในเรื่องของศาสนา เรื่องของมุนีชีไพรที่อยู่ตามดงตามป่า
ขอให้ระวังเสรีนิยมจะเป็นบาปขึ้นมาโดยไม่รู้สึกตัว
เอาละ
ทีนี้จะดูกันถึงสิ่งที่ตรงกันข้ามกับเสรีนิยม ก็คือสังคมนิยมอย่างที่กล่าวมาแล้ว
ถ้าจะเข้าใจเรื่องนี้ก็ขอให้อดทนหน่อยในการที่จะย้อนกลับไปพิจารณา
คือถอยหลังเข้าไปให้มากๆ จนไปพบว่า จุดตั้งต้นของอุดมคติที่ว่า
“สังคมนิยม”นั้นคืออะไร อยู่ที่ไหน เมื่อไร
คำว่า
สังคมนิยม ควรจะเป็นความหมายของคำว่า politics
โดยตรง เพราะว่า politics นี้หมายถึงปัญหาของคนมาก
สังคมก็คือคนมาก แล้ว “นิยม” ก็คือเพ่งเล็งเรื่องที่เกี่ยวกับคนมากนั้น
อาตมาอยากจะขอร้องให้มองไกลลิบลงไปจนถึงเรื่องของสังคมนิยม ไม่ใช่เสรีนิยม
ถ้าเป็นเสรีนิยมแล้วจะวินาศหมดตั้งแต่แรกสร้างโลก จะตายหมดแล้ว
จะไม่มีอะไรเหลืออยู่จนกระทั่งบัดนี้
แต่เพราะความที่มันเป็นสังคมนิยมอยู่ในตัวมันโดยอัตโนมัติของธรรมชาติที่ยังไม่มีชีวิตจิตใจอะไร
ไม่มีความคิดนึกอะไร มันจึงอยู่รอดมาได้
ขอให้นึกถึง”ธรรมชาติ”มาตั้งแต่ว่า
เมื่อแรกมีโลกนี้ออกมา จะมาจากดวงอาทิตย์หรือมาจากอะไรก็ตามใจ
มันมาเย็นลงเป็นก้อนหินอะไรก้อนหนึ่ง แล้วมันค่อยสลาบตัวไปเป็นฝุ่นเป็นละออง
แล้วรวมตัวกันเป็นธาตุนั้นธาตุนี้ มันเป็นเรื่องของสิ่งที่มีมาก
ไม่ใช่เรื่องของสิ่งเดียว กระทั่งมามีการหมักหมมเกิดสิ่งที่เรียกว่า”ชีวิต”ขึ้นมาในน้ำ
เป็นสัตว์เซลล์เดียว เป็นสัตว์หลายเซลล์ขึ้นมาตามลำดับ
สิ่งที่จะต้องมองดูให้เห็นก็คือ
มันมีความลับอันหนึ่งที่ธรรมชาติจัดสรรให้มา คือข้อที่ว่า
มันจะต้องมีอะไรที่พอเหมาะพอดี ที่สิ่งมากๆเหล่านั้นมันจะอาศัยใช้ร่วมกันอยู่ได้
นี่คือ เจตนารมณ์ของสังคมนิยม ที่ธรรมชาติจัดให้มา
สำหรับให้ถือเอาส่วนสัดกันแต่พอดี เกินพอดีไม่ได้ คือกอบโกยไม่ได้นั่นแหละ
ดังที่จัดท่องสำหรับใส่อาหารให้มาเพียงเท่านี้ สำหรับร่างกายเพียงเท่านี้ ไม่มีการกอบโกยอย่างเสรีมาใส่ในยุ้งในฉาง
เสรีภาพในการกอบโกยถูกควบคุมไว้โดยธรรมชาติอย่างเฉียบขาด
สัตว์เซลล์เดียวหรือสัตว์สองเซลล์เกิดแล้ว
แบ่งออกไปเป็นกี่เซลล์ จนกระทั่งออกมาเป็นพืชพันธืไม้
กระทั่งออกมาเป็นพืชพันธุ์ไม้ กระทั่งออกมาเป็นสัตว์เล็กๆ
กระทั่งออกมาเป็นสัตว์เดรัจฉานทั่วไป กระทั่งมาเป็นสัตว์ครึ่งคนครึ่งสัตว์ เช่น
ลิงหรืออะไรก็ตาม กระทั่งมาเป็นคนในอันดับแรกสุด
เป็นคนป่าที่ยังไม่มีวัฒนธรรมอะไรเลย
เหล่านี้ลักษณะเป็นสังคมนิยมโดยอัตโนมัติของธรรมชาติ
คือธรรมชาติไม่อำนวยให้ใครกอบโกยได้ เพราะทำไม่ได้ เพราะไม่มียุ้งไม่มีฉาง
เราดูนก
จะเห็นกินอาหารเฉพาะที่กระเพาะมีไว้ให้เท่านั้นแหละ มันเก็บกินกว่านั้นไม่ได้
มันไม่มียุ้งฉางดูลงไปถึงมดแมลง มันก็ทำได้เพียงเท่านั้น ดูไปถึงต้นไม้ ต้นไม้ก็กินอาหารกินน้ำได้เท่าที่ลำคต้นไม้มันมีอยู่
มันจะทำให้เกินนั้นไปไม่ได้
ฉะนั้นระบบที่ใครไม่สามารถล่วงล้ำเข้าไปในสิทธิของผู้อื่น
ไม่กอบโกยอะไรของใครได้นี้ เป็นไปตามธรรมชาติ เป็นไปโดยอัตโนมัติ
จึงทำให้เป็นสังคมอยู่ได้ และเป็นสังคมมาเรื่อยๆ จนมีต้นไม้มากมาย
จนมีสัตว์ดัจฉานมากมาย จนกระทั่งมามีคนขึ้นในโลกมากมาย
เสรีภาพแห่งการกอบโกยถูกควบคุมไว้โดยธรรมชาติอย่างแน้นแฟ้น ในรูปแบบของสังคมนิยม
โดยน้ำมือของธรรมชาติเช่นนี้
คนป่าในระยะแรก
ครึ่งคนครึ่งสัตว์ หรือว่าเป็นคนๆพอที่จะเรียกว่าเป็นคนป่า นี้ก็เป็นไปตามธรรมชาติ
เป็นไปโดยอัตโนมัติ ซึ่งธรรมชาติคุมไว้ไม่ให้เอาส่วนเกินควบได้
ก็เลยไม่มีปัญหาทางสังคม เพราะเป็นสังคมนิยมโดยอัตโนมัติของธรรมชาติ
เป็นความถูกต้องจึงรอดชีวิตกันมาได้หลายแสนปี หรือกี่ปีก็ตามใจ
มาเป็นพวกเราสมัยนี้
เพราะว่าได้อยู่มาในลักษณะที่ถูกต้องของธรรมชาติที่มันจุนเจือกัน
ทีนี้ปัยหาเริ่มตั้งต้นที่ตรงไหน?
ก็เริ่มตั้งต้นตรงที่มีมนุษย์อุตริบางคนเริ่มรู้จักกอบโกย
ก็เป็นมนุษย์คนแรกในโลกที่รู้จักสร้างยุ้งฉางสำหรับกอบโกย แล้วมีสติปัญญาสำหรับผลิต
ก็แย่งผลิต แย่งเก็บ แย่งอะไรต่างๆมาไว้ที่ตัวมากเกินไป เกินความจำเป็น
ปัญหาก็ตั้งต้นที่ตรงนี้
ปัญหาสังคมมันตั้งต้นที่เริ่มมีการกอบโกย
เริ่มมียุ้งฉาง เริ่มมีความคิดที่จะสะสมกำลังทรัพย์ กำลังอำนาจ กำลังอะไรต่างๆ
เพื่อที่จะเอาเปรียบคนอื่น ฉะนั้นปัญหาทางสังคมนิยมก็เกิดขึ้นทันที
เพราะว่ามนุษย์แยกเดินทางไปเสียจากทางที่ “พระเจ้า” กำหนดให้แล้ว
สส่วนที่ธรรมชาติหรือ “พระเจ้า” กำหนดให้นั้น เป็นไปในรูปของสังคมนิยมที่ถูกต้อง
ซึ่งทำให้อยู่กันมาได้
เดี๋ยวนี้คนเริ่มใช้เสรีนิยม
ต้องการจะเอาให้มาก แม้เรื่องในพระบาลีก็มีอยู่ว่า คนคนหนึ่งอุตริคิดว่า
“การที่จะไปเก็บข้าวสาลีในป่ามากินอย่างนี้ประจำวันนั้น ไม่ถูกและไม่ดี
เราจะไปเอามาไว้ทีละมากๆเลย” แล้วคนนั้นก็เลยไปเอามากักตุนมากๆ
มากยิ่งขึ้นทุกทีจนคนอื่นขาดแคลน มันก็มีปัญหาที่แต่ละคนจะต้องต่อสู้กันต่อไปอีก
จนมีระบบเศรษฐกิจระบบอะไรขึ้นมาในโลก เพื่อสังคมหนึ่งๆ
ซึ่งมันเป็นเรื่องปั่นป่วนรวนเรทางศีลธรรมของธรรมชาติ
ทีนี้ขอให้นึกถึงคำว่า
“ศีลธรรมตามธรรมชาติ” อีกทีหนึ่งเถิดว่า ที่เป็นปกติอยู่ได้ตามธรรมชาตินั่นแหละคือ
รากฐานแห่งคำว่าศีลธรรม นับตั้งแต่ก้อนหินมันปกติอยู่ได้ เม็ดกรวดเม็ดทราย
กระทั่งต้นไม้ก็ปกติอยู่ได้ มดแมลงเป็นปกติอยู่ได้
นี่เป็นเรื่องศีลธรรมโดยธรรมชาติ โดยไม่มีเจตนาของผู้ใด
แล้วนั่นแหละคือรากฐานอันแท้จริงของศีลธรรม
ซึ่งเป็นรากฐานของสังคมนิยมที่สูงขึ้นไปตามลำดับ
นี่ดูกันไกลหรือลึกไปมากแล้วอย่างที่ไม่มีใครดู
แล้วถ้าเราจะไปบอกให้นักการเมืองสมัยนี้เขาดู เขาก็ต้องว่าบ้า
เรื่องทำนองนี้จึงไม่อยู่ในระบบหรือวิชาปรัชญาทางการเมืองได้
เขามองไม่เห็นกันมากถึงขนาดนี้ แต่ทางศาสนาจะมองกันถึงระดับนี้
หรือทางศีลธรรมจะมองกันถึงระดับนี้ และอาจจะเอาไปใช้ประโยชน์แก่อุดมคติทางการเมืองได้ดี
ระบบที่ว่า
เจตนารมณ์เป็นสังคมนิยมอยู่โดยไม่รู้ตัวนี้มีอยู่ โดยพระเจ้าคือธรรมชาติจัดให้นี้
มนุษย์ก็เดินตามทางนี้มายุคหนึ่งสมัยหนึ่ง จนกว่าจะแยกออกไปเสีย
เพราะไม่รู้จักและไม่เชื่อฟังพระเจ้า อย่างนี้บาปก็เริ่มเกิดขึ้น
แต่ที่พูดมานี้เป็นระบบสังคมนิยมโดยไม่รู้สึกตัว ที่มนุษย์ไม่รู้สึก
สัตว์ก็ไม่รู้สึก ก็เป็นมาตามธรรมดาของธรรมชาติ
ไม่เกี่ยวกับการจัดแจงอะไรของมนุษย์เลย
การที่จะเกิดปัญหาให้มนุษย์จัดแจง
ก็เมื่อมนุษย์เริ่มทำผิดเจตนารมณ์สังคมนิยมของธรรมชา อย่างที่กล่าวว่า
คนรู้จักสร้างยุ้งฉางขึ้นมาเป็นคนแรก แล้วก็ผลิตมากขึ้นเป็นคนแรก แล้วก็ใช้สติ
ปัญญา ใช้กำลังที่รวบรวมได้มานี้ผลิตมากยิ่งขึ้น จนสามารถเอาเปรียบคนอื่นได้เกือบทั้งหมด
ทีนี้ก็มาถึงปัญหาที่มนุษย์จะต้องจัด
ได้แก่ สังคมนิยมที่มนุษย์จะต้องจัดเอง เพราะพ้นวิสัย
หรือว่าพ้นอำนาจของธรรมชาติที่จะช่วยได้เสียแล้ว
เรื่องในบทนำหรือบาแผนกของกฎหมายโบราณของไทยที่ถ่ายทอดมาจากอนเดีย
ซึ่งเป็นต้นตอของวัฒนธรรมนั้น ไปอ่านดูเถอะ
มีข้อความเรื่องหนึ่งที่จะทำให้เข้าใจเรื่องนี้ได้
คือเรื่องพระบาหรทอพระเจ้าสมมติราชกษัตริย์องค์แรกในโลกนี้
อย่าเห็นเป็นเรื่องน่าหั่วหรือเป็นเรื่องนิยายไร้สาระ
เรื่องนั้นแหละมันแสดงประวัติของสังคมนิยมหรือการเมืองที่ดี
เรื่องมีว่า
เดิมมนุษย์อยู่กันมาอย่างผาสุกตามแบบคนป่าที่ไม่มีวัฒนธรรม แต่มีสันติภาพ
นี้น่าหัว จนกระทั่งเกิดมนุษย์อุตริอย่างที่กล่าวมาแล้วว่า ไปเอามากักตุนไว้มาก
แล้วมิหนำซ้ำยังขโมยอรก
การเบียดเบียนจึงตั้งต้นจากการที่คนเริ่มเหยียบย่ำระบบสังคมนิยมของธรรทมชาติทำให้มีขโมยขึ้นมา
มนุษย์เริ่มรู้จักใช้กิเลสแล้ว ซึ่งลิงก็ทำไม่เป็นด้วยเจตนา
แม้คนป่าในชั้นแรกก็ทำไม่เป็น จนกว่ามันจะฉลาดในการที่จะเอาเปรียบคนอื่น
จึงต้องเดือดร้อนถึงกับจะต้องเกิดมีพระเจ้าสมมติราชขึ้นในโลก
เพราะคนทั้งหลายเหล่านั้นเดือดร้อนมานานพอสมควรแล้ว
โดยการสมมติให้คนคนหนึ่งที่แข็งแรงเฉลียวฉลาด
มีบุคลิกภาพดีเป็นที่พอใจของคนทั้งหลาย ให้คนนี้เป็นผู้มีหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ในการห้ามปรามว่ากล่าวสั่งสอน
ลงโทษให้รางวัลแก่คนทั้งหลายให้ถูกต้อง
เมื่อคนคนนั้นทำหน้าที่ไปตามนั้นก็มีผลดีเกิดขึ้นมา
เช่น เบียดเบียนกันไม่ได้ เพราะมีระบบสังคมนิยมที่มนุษย์จัดขึ้นแล้วเดี๋ยวนี้
แต่ก่อนนี้ธรรมชาติจัดล้วนๆ
เรื่องที่เอามาเล่านี้กล่าวตามพระบาลีในพระไตรปิฎก
ส่วนในบานแผนกกฎหมายจะมีละเอียดอย่างนี้หรือไม่ก็ไปสอบดู
แต่มีในพระสูตรพระบาลีในพระไตรปิฎกเช่นนี้
อยู่มากระทั่งวันหนึ่ง
มนุษย์พูดหลุดปากออกมาว่า “พอใจ! พอใจ!” คำว่า “พอใจ”นี้ ที่เป็นภาษาบาลีว่า ราชา
คำว่า รช นั่น แปลว่า พอใจ หรือยินดี รูปศัพท์เต็มรูปเป็นนามนามคำหนึ่ง
คือคำว่าราชา เขาตะโกนออกมาว่า ราชาๆราชาๆทั่วไปในคนหมู่นั้น
คำนี้ก็เกิดขึ้นมาเป็นชื่อเรียกของคนคนนั้น ที่ถูกสมมตินั้นว่า ราชา
มาจากคำที่มีความหมายว่าพอใจๆ
ระบบสังคมนิยมนั้นรักษาไว้ได้ตามที่มนุษย์จัดโดยพระเจ้าสมมติราชกษัตริย์องค์แรกในโลกนี้
ในประเทศอินเดียในสมัยที่ยังมีกษัตริย์ เขาก็ยังถือเป็นเกียรติยศสูงสุดว่า
ถ้าพระราชวงศ์ไหนที่ได้สืบตระกูลมาจากพระเจ้าสมมติราชคนแรกของโลก
ก็นับว่ามีเกียรติสูงสุด เขาจะมีประวัติเรื่องราวของเขา
เป็นเรื่องคล้ายๆนิยายก็ได้ เราจะไม่พูดถึง เราจะนึกถึงกันในเรื่องที่ว่า
มนุษย์ดิ้นรนไปจนเกิดบุคคลที่เรียกว่า “ราชา ราชา” ขึ้นมา คือผู้ที่ทำความพอใจให้เป็นคนแรกในโลก
นั่นคือระบบสังคมนิยมเบื้องต้น เพราะก่อนนี้มนุษย์เริ่มเห็นแก่ตัวตามเสรีนิยม
จนทนกันอยู่ไม่ได้ จนเกิดสมมติพระราชาคนแรกนี้ขึ้นมาจัดระบบสังคมนิยม
อย่าเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า
ถ้าเกี่ยวกับราชาๆแล้วละก็ จะเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปหมด
เขาจะไปเอามาแต่ไหนเล่า? เพราะทุกคนยอมให้ มอบอำนาจนี้ให้
แล้วพระราชานี้ก็จัดจนเป็นที่พอใจ จนเกิดคำว่า ราชา เป็นคำแรกในโลก
คือพอใจๆเท่านั้น ไม่มีความหมายอะไรมากกว่านั้น แต่มันเป็นความหมายสูงสุดทางสังคม
ทีนี้ต้องมาดูเรื่องพระราชากันต่อไปว่า
“พระราชา” นั้นได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร?
ต่อมาก็เกิดมีพระราชาที่จะตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลสขึ้นมาได้
แต่ก็มีพระราชาที่ยังคงถูกต้องเรียบร้อยมาเรื่อยๆก็ได้
จึงย่อมมีความแตกแยกกันไปในทิศทางต่างๆกัน
ตามเหตุผลตามปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้องเป็นกรณีๆไป
อย่างไรก็ดี ขอให้รู้ไว้ว่า
ระบบสังคมนิยมนี้ได้เกิดขึ้นแล้วโดยพระราชาคนแรก
ที่เกิดขึ้นมาได้นั้นก็เพราะการมอบหมายของคนทั้งหมด
ที่ทนอยู่ไม่ได้ต่อระบบเสรีนิยมตามธรรมชาติแห่งสมัยนั้น นี่ไม่ใช่เรื่องนิยาย
แม้ว่าจะเป็นเรื่องตั้งหลายหมื่นปีมาแล้ว ที่เราไม่ทันรู้ทันเห็น แต่โดยเหตุผลแล้วย่อมจะมองเห็นได้
มนุษย์รอดมาได้เป็นมนุษย์ด้วยเจตนารมณ์ของสังคมนิยมนั่นเอง แล้วคำอย่างนี้
ความหมายอย่างนี้ คงไม่มีในตำราระบบการเมืองที่เขาสอนกันอยู่ในโลกเวลานี้ก็ได้
หรือว่าอาจจะมีก็ได้แต่แฝงอยู่
เราจะดูระบบสังคมนิยมอย่างที่ว่านี้
ที่ได้เริ่มเกิดขึ้นแล้ว แล้วได้เจริญต่อมาอย่างไร
ถ้าพระราชายังคงทำหน้าที่อย่างนั้นอยู่ ปัญหาก็ไม่มี
เพราะพระราชาก็ไม่ได้คิดว่านี้เป็นของฉัน คิดแต่ว่าเป็นของสังคม
ซึ่งเป็นผู้มอบอำนาจให้แก่พระราชา เพราะฉะนั้นจึงเป็นพระราชาผู้บริสุทธิ์
ซึ่งเป็นต้นตอของพระราชาที่ประกอบด้วยทศพิธราชธรรมในระยะต่อมา
ระบบพระราชาอย่างนี้ฝรั่งอาจจะไม่รู้จักกระมัง
ไม่ได้เขียนอยู่ในตำราเมืองฝรั่งที่เราเอามาเรียนกันว่า
พระราชาที่ประกอบไปด้วยทศพิธราชธรรมนั้นคืออะไร ควรจะยุบเลิกไหม แล้วทำไมจึงเกิดระบบที่ยุบเลิกพระราชาหรือสมบูรณาญาสิทธิราชย์
นี่มีความหมายต่างกันอย่างไร ถ้าพระราชาเป็นเผด็จการ เป็นทุรราช เป็นทรราช
หรือว่าสมบูรณาญาสิทธิราชย์แบบนั้นก็ควรอยู่ที่จะเลิก ถูกแล้ว
แล้วทำไมจึงต้องไปเลิกระบบพระราชาที่ประกอบไปด้วยทศพิธราชธรรม
ซึ่งเป็นต้นตอของสังคมนิยม
นี่มองดูกันอีกชั้นหนึ่งว่า
สังคมนิยมแบบนี้ย่อมจะไม่สร้างนายทุน และทั้งจะไม่สร้างชนชั้นกรรมาชีพ
นายทุนหรือชนชั้นกรรมาชีพคู่ปกปักษ์คู่นี้มันเกิดขึ้นมาจากระบบอื่น
คือความไม่เป็นสังคมนิมยมนั่นเอง คำว่านายทุนก็เป็นคนกอบโกย
ถ้าว่าเป็นชนชั้นกรรมาชีพอย่างความหมายสมัยปัจจุบันนี้ก็คือ
คนที่โกรธแค้นเพราะถูกเอาเปรียบ หรือคนที่กอบโกยไม่ได้
สังคมนิยมที่แท้จริงหรือเป็นธรรมนั้น
ย่อมไม่สร้างคนสองจำพวกนี้ จะสร้างแต่ระบบที่ประกอบไปด้วยธรรมที่ถูกต้อง
เช่นระบบที่ไม่มีโอกาสแห่งการกอบโกย
เมื่อไม่มีการกอบโกยก็ไม่มีทั้งนายทุนและทั้งชนกรรมาชีพ
ฉะนั้นพระราชาที่เป็นสังคมนิยมอย่างนี้ เรียกว่าพระราชาที่ประกอบไปด้วยทศพิธราชธรรม
ซึ่งควรจะดูกันให้ดีว่า ได้ตั้งต้นขึ้นมาแล้วตั้งแต่ครั้งกระโน้น
คือพระเจ้าสมมติราชคนแรกในโลก อันประกอบไปด้วยทศพิธราชธรรมอยู่ในตัว
คำว่า “ทศพิธราชธรรม”
นี้ จะถุกปรับปรุงความหมายให้ดีขึ้นๆ กระทั่งถึงจุดสูงสุดในประเทศอินเดีย ในยุคไหนหรือยุคพุทธกาลก็ตาม
ระบบที่ไม่มีการเอาเปรียบ ไม่กอบโกยนี้เรียกว่า สังคมนิยม
เพราะว่าจะทำให้ประโยชน์เหลือร่วงไว้ให้ผู้อื่น
แต่ถ้ามีการกอบโกยเอามากักตุนไว้หมด ผู้อื่นก็ขาดแคลนเป็นธรรมดา
ทีนี้เราก็มาดูระบบสังคมนิยมในพุทธศาสนากันเสียที
พระพุทธเจ้าเองท่านมีหลักหรืออุดมคติเป็นสังคมนิยม
แต่วิธีปฏิบัติงานของท่านเป็นเผด็จการ
กิจกรรมในคณสงฆ์ก็เลยมีหลักการเป็นอย่างนั้นหมด ขอให้ดูสังคมนิยมอย่างนี้บ้าง
สำหรับวินัยพระสงฆ์นั้นบัญญัติไว้ชัด ขืนแสวงหามา ขืนกินขืนใช้
ขืนเอาไว้เกินความจำเป็นสักกระเบียดนิ้วเดียวก็เป็นความผิด หรือเป็นอาบัติ ดังเช่น:-
เครื่องนุ่งห่ม
มีได้เพียง 3 ผืน พอมีผืนที่ 4 มาแล้วถือกรรมสิทธิ์ก็จะเป็นอาบัติเป็นโทษ
จะแสดงโทษนั้นได้ด้วยการสละผืนที่ 4 นั้นไปให้แก่สังคม
คือให้แก่สงฆ์เป็นส่วนรวมก่อน แล้วจึงแสดงอาบัติได้ นี่เรียกว่าเครื่องนุ่งห่มก็แล้วกัน
จะหาหรือมีเกินจำเป็นไม่ได้ เพื่อว่าจะได้มีหล่นเหลือไปยังผู้อื่น
นี้จัดเป็นเจตนารมณ์ของสังคมนิยม
ข้าวปลาอาหาร
ก็สะสมไม่ได้ กักตุนไม่ได้ เก็บอาหารไว้ค้างคืนเป็นอาบัติ เพราะเป็นการสะสม
ฉะนั้นจะแสวงหาหรือรับหรือสะสมข้าวปลาอาหารอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ต้องมีพอกินไปเฉพาะวันเท่าที่ท้องมี
อาหารก็ต้องเหลือไปยังผู้อื่น
ที่อยู่ที่อาศัย
นี้ถ้าถือตามวินัย พระจะสร้างกุฏิที่อยู่อาศัยได้เองเพียงขนาดประมาณ 7 * 12
ฟุตเท่านั้น เท่ากับห้องน้ำที่เห็นอยู่ตรงโน้นนั่นแหละ
ถ้าขืนสร้างเกินกว่านั้นก็ต้องเป็นอาบัติ เป็นโทษ เพราะว่าเกินไปกว่าที่ภิกษุควรจะได้
หรือควรจะเอาเอาจะใช้
ขอพูดเลยไปถึง
ยารักษาโรค มีวินัยบัญญัติไว้ว่า ภิกษุที่สบายอยู่ฉันยานี้เป็นอาบัติ
ขอให้ดูที่พระพุทธเจ้าท่านวางหลักเอาไว้ พระสบายดีไปกินยาเล่นนี้เป็นอาบัติ
ไม่จำเป็นก็ไม่ให้กินยาเลย แล้วยาที่กินก็กินยาที่ง่ายที่สุด คือ มูตร คูถ เถ้า
ดิน หรืออุจาระปัสสาวะที่มีอยู่ตามธรรมชาตินั้น มุ่งหมายให้ใช้เป็นยาก่อน
รวมความแล้วเป็นว่า เอาเกินฐานะไม่ได้ เอาดีไม่ได้ เอาเกินความจำเป็นไม่ได้
รวมความแล้วเป็นอันว่า
ทุกอย่างเอาเกินไม่ได้ เอาดีเกินความจำเป็นไม่ได้ เพราะฉะนั้นพวกเหลือเฟือฟุ่มเฟือยทั้งหลายจึงไม่มี
มันก็เลยร่วงหล่นไปยังผู้อื่น ก็เป็นสังคมที่ไม่ขาดแคลน
นี้ดูหลักเกณฑ์ทางพระสงฆ์ว่าเป็นอย่างนี้ก่อน คือไม่มีทางที่จะเอาส่วนเกินได้
แล้วอย่าลืมว่า ในทุกศาสนาก็มุ่งหมายอย่างนี้
แม้ทางศาสนาคริสเตียนหรืออะไรอื่นก็มุ่งหมายว่า ถ้าเอาส่วนเกิน แสวงหาเกิน
เก็บไว้เกิน มีเกิน กินเกิน ละก็บาปแล้ว ผิดความประสงค์ของพระเจ้าแล้ว
เพราะมันสร้างความเห็นแก่ตัว ศาสนาเหล่านี้ถือหลักเหมือนกันหมด เช่นเดียวกับที่พุทธศาสนาถือหลักอยู่ว่า
สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
ส่วนข้อที่ว่า
พระพุทธเจ้าท่านมีระบบสังคมนิยม แต่วิธีปฏิบัติการเป็นเผด็จการนั้น
ก็เป็นอย่างที่พูดมาแล้วว่า ประชาธิปไตยมันโอ้เอ้ ไม่ทำประโยชน์ได้ทันแก่เวลา
เมื่อเห็นว่าอย่างนี้ถูกต้องแล้ว มันก็ต้องมีการบังคับและให้ทำทันที
วิธีปฏิบัติงานของพระพุทธเจ้าท่านจึงเป็นเผด็จการ ต้องทำอย่างนี้และต้องทำทันที
ฉะนั้นจึงมีวินัยหลายข้อที่ไม่ยอมผัดเพี้ยนแก่เวลา หรือไม่ยอมให้แก้ตัว
ให้ยกเว้นอะไรทำนองนั้น มิหนำพระองค์เองก็ทรงบัญญัติว่า ทรงอยู่เหนือวินัย
เช่นเดียวกับที่ว่า กฎหมายสมัยโน้นเขาบัญญัติใช้แก่ประชาชน ไม่ใช้แก่พระราชา
ระบบกฎหมายที่ออกไปครั้งกระโน้นก็เป็นสังคมนิยม
ไม่มีทางให้ใครเอาเปรียบใครได้ เมื่อหลักเกณฑ์ถูกต้องในส่วนนั้นแล้ว
วิธีดำเนินการเป็นเผด็จการ ใครไม่ทำไม่ได้ ถ้าเป็นการฆ่าแบบของพระพุทธเจ้านั้น
คือไม่ยุ่งด้วยอีกต่อไป นั่นแหละคือการฆ่าตามแบบของพระพุทธเจ้าที่จะ “ฆ่าคน”
คือจะไม่ยุ่งด้วยกับคนคนนั้นอีกต่อไป การฆ่ากันอย่างมนุษย์คือการฆ่าให้ตาย
ถ้าในอริยวินัยแล้ว การฆ่าใครก็คือไม่ยุ่งกับคนนั้นอีกต่อไป
ท่านมีเผด็จการอย่างนี้
ทีนี้เราจะดูต่อมาถึงระบบพระราชา
ที่ประกอบไปด้วยทศพิธราชธรรม ว่าเป็นระบบที่มีหลักเกณฑ์อันนี้ด้วยเหมือนกัน
คือระบอบสังคมนิยมเผด็จการ
เรามาดูกันที่ตัวอย่างสักรายหนึ่ง
เช่น พระเจ้าอโศกมหาราช
ท่านที่จะเป็นผู้พิพากษาอาจไม่อยากอ่านหนังสือประเภทประวัติศาสตร์
กว้างออกไปถึงเรื่องของพระเจ้าอโศกมหาราชก็ได้ อาตมาอยากจะขอร้องว่า
ควรจะลองอ่านดู แม้จะเป็นเพียงอ่านอย่างหนังสืออ่านเล่นก็ยังดี
ฝรั่งนักโบราณคดีก็สนใจมากเรื่องพระเจ้าอโศกมหาราชองค์นี้
เพราะเราได้เห็นหนังสือเรื่องพระเจ้าอโศกมหาราชนี้พิมพ์ขึ้นมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อความในศิลาจารึกทั้งหลายที่พระเจ้าอโศกได้ทำไว้
ที่หน้าผา
ตำบลที่เหมาะๆก็สลักไว้ ที่เสาหินก็เอามาทั้งดุ้น สลักข้อความไว้เป็นบทบัญญัติ
เป็นราชโองการของพระเจ้าอโศก ไปอ่านดูทุกตัวอักษรจะเห็นว่า
เป็นระบบสังคมนิยมทั้งนั้น
ไม่มีร่องรอยของเผด็จการแบบทุรราชหรืออะไรเหลืออยู่สักนิด
แต่ว่าวิธีดำเนินการของพระเจ้าอโศกนี้เฉียบขาดเป็นเผด็จการ จึงทำให้มีการฆ่ากระทั่งพระสงฆ์
พระสงฆ์จำนวนหนึ่งถูกฆ่าไปโดยเหตุที่ว่า
พระเจ้าอโศกมีการยืนยันให้มีการประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง
ฝ่ายเจ้าหน้าที่ผู้รับใช้ผู้ปฏิบัติงาน เขาจะทำสะเพร่าไป หรือดีเกินไป
หรือว่าถูกต้องกับเรื่องแล้วก็ได้ เขาฆ่าพระสงฆ์ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิเสียจำนวนหนึ่ง
แต่พระเจ้าอโสกมหาราชนี้ไม่ใช่ทุรราช
เพราะเป็นผู้กระทำทุกกระเบียดนิ้วเพื่อประโยชน์แก่สังคม ยกตัวอย่างว่า
สั่งให้ขุดบ่อหน้ำ ให้ทำศาลา ให้ปลูกมะม่วง ปลูกต้นพิกุล
ถ้าไม่ปลูกก็ถูกลงโทษเท่านั้นเอง
นี่จะเรียกว่าเป็นเผด็จการอะไรกันก็ตามแต่ว่าไม่ได้เผด็จการที่เอามาให้แก่ตัวเอง
เมื่อสั่งการแล้วก็มีมีเจ้าหน้าที่ของพระเจ้าอโศกประเภทหนึ่งเรียกว่า
“ธัมมอมัจโจ” หรือ “ธรรมอำมาตย์” มีหน้าที่ตรวจสอบว่า
พระราชโองการได้มีการปฏิบัติครบถ้วนแล้วหรือยัง
พวกธรรมอำมาตย์นี้ก็ซอกซอนไปตามตำบลบ้านนอกอะไรทุกหนทุกแห่ง
ตรวจดูว่าพระราชโองการได้รับการปฏิบัติแล้วหรือยัง
ถ้าพบที่ทำผิดก็จับลงโทษแบบวิธีเผด็จการ แต่สิ่งที่บังคับให้ทำนั้นเป็นสังคมนิยม
ตามที่จะเป็นประโยชน์แก่งสังคมล้วนๆ ก็รวมความว่า ไม่ได้ทำเพื่อตนเอง
ข้อนี้มีข้อพิสูจน์เป็นครั้งสุดท้ายได้ว่า
เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชสิ้นชีวิตนั้น สมบัติที่เหลืออยู่คือผลมะขามป้อมครึ่งผล
นี่สมบัติชิ้นสุดท้ายของพระเจ้าอโศกมหาราชผู้กำลังประชวร
มีมะขามป้อมสำหรับคนเจ็บกินเหลืออยู่ครึ่งลูก
ก็ยังทรงสั่งให้เอามะขามป้อมครึ่งผลนี้ไปถวายพระ แล้วพระเจ้าอโศกก็สิ้นพระชนม์
คนอย่างนี้เป็นอะไร เป็นเผด็จการทุรราช หรือว่าเป็นสังคมนิยม
ถ้าอยากรู้เรื่องแน่ก็ไปพิจารณาดูทุกตัวอักษรในจารึกของพระเจ้าอโศก
เขารวบรวมมาพิมพ์ไว้เป็นหนังสือเล่มใหญ่ ซื้อมาเลยก็ได้ แล้วพิจารณาดูทุกตัวอักษร
จะเห็นว่ามีลักษณะแห่งสังคมนิยม
พระเจ้าอโศกเป็นพุทธบริษัทผู้รักษาอุดมคติสังคมนิยมแบบเผด็จการในพระพุทธศาสนา
ทีนี้มาดูสาวก สาวิกา
อุบาสก อุบาสิกา เขาจะมุ่งกันแต่กินอยู่พอดีเท่านั้นแหละ
เมื่อเหลือมันก็หล่นไปเป็นของสังคม ขอให้ดูเศรษฐีผู้มีอำนาจทางเศรษฐกิจ ถ้าเป็นเศรษฐีทางพุทธศาสนาละก็ประหลาดเหลือประมาณ
เพราะคำว่าเศรษฐีนั้นหมายถึงผู้ที่มีโรงทาน ถ้าไม่มีโรงทานก็ไม่ใช่เศรษฐี
ถ้าเป็นมหาเศรษฐีก็ยิ่งมีโรงทานมาก นายทุนสมัยนี้มีโรงทานอย่างนี้หรือเปล่า
ถ้าไม่มีก็ไม่ใช่ความหมายเดียวกันกับเศรษฐีพุทธบริษัทในครั้งพุทธกาลอันเป็นสังคมนิยมร้อยเปอร์เซ็นต์
พวกนายทุนเช่นพวกเศรษฐีพุทธบริษัทครั้งพุทธกาลนั้น
ชนชั้นกรรมาชีพไม่ควรต้อง ควรจะบูชามากกว่า แต่ถ้าความหมายของนายทุนมีว่า กอบโกย
รวบรวมอิทธิพล อำนาจเงิน อำนาจอะไรต่างๆไว้สำหรับร่ำรวยยิ่งๆขึ้นไป
มันก็เดินคนละทางแล้ว นายทุนผู้เลี้ยงโลกกับนายทุนผู้กอบโกย
ดูต่อไป แม้แต่คำว่า
ทาส บ่าว ขี้ข้า สมัยโน้น ถ้าเป็นแบบพุทธบริษัทก็เป็นสังคมนิยม
ทาสชนิดนั้นไม่อยากไปจากเศรษฐี แต่ถ้าเป็นทาสสมัยนี้เขาเกลียดนายทุน
อยากจะไปจากนายทุน ถ้าเป็นเศรษฐีมีทาสสมัยพุทธกาล เศรษฐีพุทธบริษัทนั้นเขาเลี้ยงทาสอย่างเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานช่วยกันผลิต
ผลผลิตได้มามีไว้สำหรับโรงทาน เศรษฐีจะสะสมทรัพย์ ฝังไว้ ซ่อนไว้ เป็นทองเป็นอะไรก็ตามแต่
นั่นเพื่อเป็นทุนสำรองของโรงทาน หรือเพื่อลูกหลานข้างหน้าจะได้ใช้ทรัพย์นั้นเพื่อหล่อเลี้ยงโรงทาน
ส่วนสมัยนี้เดินกันคนละทาง ทาสในระบบสังคมนิยมนี้ไม่ต้องเลิก
เพราะทาสเองก็ไม่อยากจะไปจากเศรษฐีชนิดนั้น
คนบางคนมีสิทธิ์ที่จะอยู่กับนายหรือเศรษฐีจนตลอดชีวิตก็ได้
ทาสที่ต้องเลิกนั่นคือ
ทาสของระบบนายทุน ใช้อย่างสัตว์ เฆี่ยนตี ทาสอย่างนี้มันอยากจะเลิกอยู่ทุกวัน
อย่างนี้ก็ต้องเลิกแน่นอน เพราะไม่ใช่สังคมนิยม
ส่วนทาสในระบบสังคมนิยมนั้นอยากจะอยู่กับนายเพราะสบายกว่า
อาตมาเองก็อยากจะเป็นลูกวัดมากกว่าถ้าเป็นได้ เป็นสมภารนี้ลำบากเหลือเกิน
คนที่เป็นทาสนั้นเขาสบายกว่านายเสียอีก ถ้าเป็นทาสระบบสังคมนิยม
เพราะเขากระทำแก่กันอย่างลูกอย่างหลาน
เศรษฐีก็คือผู้ที่มีโรงทาน
มหาเศรษฐีก็ต้องมีหลายโรง เขาไม่ได้สนใจอย่างอื่น
เรื่องปากเรื่องท้องของตัวเองนั้นไม่มีปัยหา มีเหลือกินเหลือมใช้
แต่ถ้าเป็นเศรษฐีพวกอื่นไม่ใช่เศรษฐีชาวพุทธ ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นอย่างไร
ถ้าดูคำว่าเศรษฐีที่มีเรื่องราวในพระบาลีแล้วเป็นอย่างนี้กันทั้งนั้น
และโดยเฉพาะเศรษฐีที่เป็นพุทธบริษัท
ทีนี้ขอให้ดูสังคมนิยมที่มีรากลึกอยู่ในพวกพุทธบริษัท
จะเป็นพระราชาก็ดี จะเป็นเศรษฐีก็ดี แม้กระทั่งทาสก็ยังอยู่ในร่มเงาของสังคมนิยม
พวกทาสก็ไม่ต้องการจะเลิกความเป็นทาส แม้ว่าผู้ที่มีข้อผูกพันอย่างที่เป็นทาสยี้
พระวินัยไม่ยอมให้บวชนั้นมันเป็นเรื่องข้อผูกพันอย่างยิ่ง
แต่ความสมัครใจของพวกทาสแล้วอยากจะเป็นทาสต่อไปก็ได้ หรือว่าอยกาจะออกมาพ้นจากความเป็นทาสต่อไปก็ได้
หรือว่าอยากจะออกมาพ้นจากความเป็นทาสก็ได้ ถ้าเป็นเรื่องสังคมนิยมก็ไม่ได้เป็นอันตรายอะไร
ทาสจะได้รับความเมตตากรุณาและการเอื้อเฟื้อดูแลอย่างดี
นี่แหละจงดูธาตุแท้ของสังคมนิยมโบราณว่ามีอยู่อย่างไรแล้วบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างไร
เอามาเปรียบเทียบดูกับสังคมนิยมสมัยนี้ดูเถิดว่า ต่างกันอย่างไร
ดูจะเป็นหน้ามือหลังมือ หรือเดินกันคนละทิศละทางเสียแล้ว
ทีนี้มาดูคำว่า
ทศพิธราชธรรม กันอีกทีว่า นี่คือสังคมนิยมที่มีประโยชน์ที่สุด
พระเจ้าแผ่นดินประกอบไปด้วยทศพิธราชธรรม ถ้าท่านทั้งหลายเคยเป็นนักเรียนมาอย่างถูกต้อง
ในหลักสูตรชั้นมัธยมปลายหรือว่าชั้นมหาวิทยาลัย
ในแบบเรียนจะมีเรื่องทศพิธราชธรรมให้เรียนบ้างกระมัง คงจะไม่ใครสนใจว่า
ทศพิธราชธรรม คืออะไร
เรื่องนี้มบัญญัติไว้ชัดเป็นตัวอักษรอยู่ในพระคัมภีร์โดยเฉพาะทางพุทธศาสนานี้เรียกว่า
ธรรมะ 10 ประการ สำหรับความเป็นพระราชา
ทศพิธราชธรรม
คำแรกปรากฏขึ้นมาว่า ทานํ ขอให้ดู ทำ แล้วคำที่ 2 สีลํ ต่อไป ปริจฺจาคํ อาชฺชวํ
มทฺทวํ ตปํ อโกธํ อวิหึสํ ขนตึ อวิโรธนํ รวม 10 คำ
1.
ทานํ คือให้ทาน
มีแต่การที่จะให้ ไม่รับ
2.
สีลํ นี้คือความหมายของ
ศีลธรรม จะเป็นผู้มีศีลธรรม
มีความเป็นปกติ ไม่ถูก
กิลสบีบบังคับ นี่คือมีศีล
3.
ปริจฺจาคํ มาบริจาคอีกที
คือบริจาคเรื่องภายในที่เลวออกไปเสีย เช่น ความเห็นแก่ตัวเป็นต้น
3.
อาชฺชวํ คือความตรง
ความซื่อตรง ตรงไปตรงมา
4.
มทฺทวํ ความอ่อนโยน
นิ่มนวล แม้แก่ราษฎร
5.
ตปํ คือตบะ
นี้ตรงกับคำว่า บังคับตัวเองอยู่เสมอ self control นั่นแหละ ตรง
กับคำว่า ตบะ พระราชาจะต้องมีตบะ บังคับตัวอย่างยิ่งอยู่เสมอ
6.
อธํ นี้โกรธไม่ได้
โกรธไม่เป็น
7.
อวิหึสํ ทำให้คนอื่นเดือดร้อนไม่ได้
แม้โดยไม่เจตนา เช่น เผลอ เป็นต้น
8.
ขนฺตึ คือขันติ
อดทน อดกลั้น ยอมรับไว้เป็นภาระส่วนตัวที่อดกลั้น
10. อวิโรธนํ คำสุดท้าย
คือ ไม่มีอะไรพิรุธ ไม่มีความพิรุธอุตริในแง่ใดก็ตาม
ทศพิธราชธรรมคืออย่างนี้
พระราชาองค์ไหนที่ประกอบด้วยทศพิธราชธรรมอย่างนี้จะมีปัญหาอะไรอีก
ที่จะไม่เรียกว่ามีวิญญาณแห่งสังคมนิยมเหลือประมาณ
แล้วทำไมจะต้องเลิกพระราชาระบบนี้ ถ้าพระราชาอย่างนี้เผด็จการก็จะเป็นอย่างพระเจ้าอโศกเผด็จการ
เผด็จการไม่ยอมให้ทำผิดทำชั่ว เผด็จการให้ทำดีก็ไปได้เร็วเท่านั้นเอง
ถ้ามีเวลาไปเที่ยวที่พุมเรียง ตำบลถัดไปทางโน้น
อาตมาขอร้องให้ไปดูวัดสมุหนิมิต วัดนี้จะเป็นอนุสรณ์ที่ดีของเผด็จการ
คือวัดสมบูรณ์แบบอย่างวัดในกรุงเทพฯ อยู่ที่พุมเรียง เขาสร้างเสร็จใน 4 เดือน
คำจารึกแผ่นหินที่อยู่ในโบสถ์ ติดผนังโบสถ์อยู่ก็บอกอย่างนั้น ยืนยันอย่างนั้น
คนต้นตระกูลบุนนาคผู้มีอำนาจ เมื่อออกมาบ้านนอกก็เหมือนกับเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ 2
ในรัชกาลที่ 3 มาสร้างไว้
วัดสมบูรณ์แบบสร้างใน
4 เดือน นี่ต้องมีวิธีทำงานอย่างเผด็จการ แม้มีคนถูกเฆี่ยนหลังบ้างก็ไม่เป็นไร
ที่ทราบมาคงไม่เกิน 10 คนที่ถูกเฆี่ยน ไม่มีใครถูกฆ่า
เขาทำกันอย่างระดมคนทั้งหัวเมืองนี้ กี่พันพี่หมื่นคนก็สุดแท้ มาทำให้เสร็จภายใน 4
เดือน นับตั้งแต่ทำอิฐ บ้างก็เอาหินมา หรือว่าไปเอาสัตว์มา ไปเอาต้นไม้มา
ไปเอาทุกอย่างมา มันอยู่ในอำนาจที่จะทำได้
จึงเรียกว่าเหมือนกับอยู่ที่วัดตระพังจิกไปอยู่วัดนั้น
วัดตระพังจิกก็เลยร้างมาเกือบร้อยปี แล้วเราได้จัดทำสวนโมกข์ครั้งแรกเมื่อปีเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ที่พูดนี้ไม่เกี่ยวกับสวนโมกข์ เพียงแต่อยากให้ไปดูวัดนั้นว่า
ผลดีของเผด็จการเป็นอย่างไร
ถ้าคนดีเผด็จการนั่นแหละยิ่งดี
ถ้าคนเลวก็ใช้ไม่ได้ แล้วเมื่อระบบสังคมนิยมดี มันต้องมีเครื่องมือเป็นเผด็จการ
พระราชาที่มีทศพิธราชธรรมจะเป็นผู้เผด็จการที่ดีที่สุดเลย
แต่ว่าเรื่องอย่างนี้คงจะไม่มีในตำราระบบการเมืองของพวกฝรั่งที่เขียนให้เราเรียน
เพราะในหมู่ฝรั่งอาจจะไม่มีพระราชาประเภทนี้เลยก็ได้
พระราชาที่ดีนั้นไม่ใช่ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างที่เอาไปตำหนิติเตียนกันอยู่
แล้วพอไปเข้าใจคำนี้ผิดก็เลยถือเอาว่า ระบบพระราชาผิดทั้งนั้น
นี้เป็นเรื่องเข้าใจผิด ถ้าเข้าใจถูกจะมองเห็นว่า
พระราชาที่ประกอบไปด้วยทศพิธราชธรรม เป็นสังคมนิยม
อย่างพระเจ้าสมมติราชองค์แรกในโลกก็ตาม กระทั่งพระเจ้าอโศกมหาราช
กระทั่งพ่อเมืองยุคกรุงสุโขทัย แม้กระทั่งยุคกรุงศรีอยุธยาก็ย่อมจะต้องมีอยู่
แต่คนมองไม่เห็น
ระบบพระราชาที่ประกอบด้วยทศพิธราชธรรม
เป็นสังคมนิยมบริสุทธิ์นี้ ไม่ใช่ระบบที่ต้องเลิก
และไม่ใช่ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่เขาเกลียดชัง ระบบนี้บางทีจะแก้ปัญหาของโลกได้ดีกว่าระบบใด
เดี๋ยวนี้มนุษย์เรามีความคิดอย่างที่พวกฝรั่งเขาคิดให้
กลายเป็นว่าทุกคนเสมอภาค คนที่มีการศึกษาแล้วก็ให้ทุกคนมีสิทธิในการปกครอง จนเกิดรูปประชาธิปไตยขึ้นมา
แล้วกำลังมีลักษณะพร่าไปหมดอย่างที่มีอยู่เดี๋ยวนี้
ดูให้ดีมีประชาธิปไตยแบบนี้กันมาสักร้อยปีเห็นจะได้แล้วนี้มันมีอะไรดีขึ้นหรือ
อาตมาในฐานะประชาชน ไม่กลัวจะถูกใครจับไปฆ่าไปแกง เพราะว่าไม่นิยมประชาธิปไตยแบบนี้ก็ได้
ไม่นิยมแน่ แต่นิยมประชาธิปไตยแบบสังคมนิยมตามหลักพระศาสนา
ซึ่งประกอบด้วยธรรมแล้วก็มีวิธีดำเนินการอย่างเผด็จการ
อย่างระบบทศพิธราชธรรมนั่นเอง
ขอแนะว่า
อย่าไปหลับหูหลับตาเชื่อตำราการเมืองที่เขียนขึ้นโดยบุคคลที่ไม่เคบยรู้จักระบบทศพิธราชธรรม
ซึ่งเป็นระบบสังคมนิยมแท้จริง แล้วมนุษย์เราก็รอดมาได้ ถ้าเราจะชอบระบบการปฏิวัติ
ก็ปฏิวัติพระราชาที่ไม่ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมเพียงคนเดียวไม่ดีกว่าหรือ
ดีกว่าจะมาใช้ลัทธิที่ทำให้ต้องฆ่ากันเป็นฝูงๆ
ระบบทศพิธราชธรรมนี้
เป็นเรื่องเบ็ดเสร็จเด็ดขาดได้ง่าย อยู่ที่บุคคลคนเดียวนั้น
แล้วก็สนับสนุนให้เป็นอย่างนี้ เป็นทศพิธราชธรรมเรื่อยๆมา
จนมีพระราชาที่จะปกครองประเทศชาติหรือว่าปกครองโลกก็ได้ เลิกเข้าใจผิดในคำว่าราชา
ราชา นี้กันเสียที เพราะเป็นคำแรกที่ออกมาจากปากคนที่ได้รับความพอใจ
ในเมื่อจุดของสังคมนิยมได้ตั้งต้นขึ้นเมื่อไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนปีมาแล้ว
ต่อไปนี้ก็ยังจะต้องนึกถึงคำว่า
“วรรณะ” เขารังเกียจวรรณะกษัตริย์ เป็นต้น ก็ไปล้มเลิกเสีย อาตมาอยากจะบอกว่า
อย่าพรวดพราดถึงอย่างนั้น สิ่งที่เรียกว่าวรรณะนี้ต้องมี ต้องมีอย่างเด็ดขาด
ต้องมีอยู่ตลอดไป ในเมื่อเป็นวรรณะโดยหน้าที่การงาน
อย่างผู้พิพากษานี้ควรอยู่ในวรรณะปูชนียบุคคล
เรื่องวรรณะต้องเอาหน้าที่การงานเป็นหลัก
ไม่ใช่ว่าเอากำเนิดจากพ่อแม่เป็นหลัก ซึ่งอย่างนั้นมันก็ไม่ถูกวรรณะโดยกำเนิดนั้นเลิกได้
พระพุทธเจ้าท่านก็สั่งเลิก ยกเลิกวรรณะโดยกำเนิด แต่วรรระโดยการงานนี้ยกเลิกไม่ได้
เพราะว่ากรรมหรือการกระทำมันเป็นผู้จัด การกระทำจะจัดให้เองว่า
อย่างนี้จะต้องเป็นกษัตริย์ทำหน้าที่ปกครอง อย่างนี้จะต้องเป็นพราหมณ์
คือครูบาอาจารย์ หรือว่ากระทั่งเป็นผู้พิพากษา เพื่อรักษาความเป็นธรรมของโลกนี้
วรรณะอย่างนี้เลิกไม่ได้ วรรณะกษัตริย์ก็เลิกไม่ได้ แล้วต้องรักษาไว้ให้ดี
เพื่อเป็นระบบทศพิธราชธรรมปกครองโลก
ยังมีระบบที่น่าจะเอามานึกดูอยู่ระบบหนึ่ง
คือประเทศเล็กๆในครั้งพุทธกาล เช่นประเทศสากยะของพระพุทธเจ้าเอง
หรือประเทศลิจฉวีทั้งหลาย ล้วนแต่เป็นประเทศเล้กๆทั้งนั้น
เขามีระบบการปกครองประหลาดอย่างพวกลิจฉวีนี้ สภาจะประกอบไปด้วยคนในวรรณะกษัตริย์ทั้งนั้น
770 คนอะไรทำนองนั้น สภาของพวกลิจฉวีจะประกอบด้วยคนในวรรณะกษัตริย์เท่านั้น
วรรณะพราหมณ์ พ่อค้า ศิลปินอะไรไม่เอา เป็นสภากษัตริย์
แล้วก็สมมติกันขึ้นเป็นประธาน เหมือนกับเป็นพระเจ้าแผ่นดินอย่างนั้น
เป็นประธานของสภานี้ 7 เดือน 7 วันบ้าง แล้วแต่บัญญัติ
นี่ก็น่าจะนึกดูว่า
คนที่มีพืชพันธุ์ดีที่เขาบำรุงเลี้ยงอบรมกันมาดี
ในฐานะเป็นวรรณะกษัตริย์มีจำนวนมาก แล้วเลือกที่ดีที่สุดมาเป็นประธาน
อย่างนี้จะเป็นอย่างไร? บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร? ประเทศศากยะของพระพุทธเจ้าก็เป็นอย่างนั้น
นี่ต้องไปศึกษาอย่างละเอียดจึงจะพบข้อเท็จจริงอันนี้
ประเทศใหญ่ๆเช่นประเทศโกศลนั้น
เป็นมหาประเทศ ใหญ่กว่าประเทศเล้กๆอย่างที่จะเทียบกันไม่ได้
แต่ก็ทำอะไรประเทศเล็กๆขี้ผงนี้ไม่ได้ เพราะเขามีธรรมะของเขาอย่างนี้
ต่อมาเมื่อเลิกระบบที่ดีอย่างนั้น และแตกสามัคคีกัน พวกลิจฉวีก็พินาศไป
เพราะเลิกระบบที่เคยถือปฏิบัติดีมาแต่ก่อน
พระพุทธเจ้าท่านทรงยกเรื่องนี้มาเป็นตัวอย่าง
ให้ภิกษุปฏิบัติตาม เช่น ให้หนุนหมอนไม้ เป็นต้น
อย่างที่พวกลิจฉวีกระทำอยู่แต่ก่อน กษัตริย์ลิจฉวีจะหนุนหมอนไม้เพื่อการนอนน้อย
ตื่นแต่ดึก แล้วก็ฝึกอาวุธ แล้วเคารพสตรีในฐานะเป็นสิ่งที่ไม่ควรเอามาเหยียบย่ำหรือเป็นของเล่น
แล้วก็บูชาพระเจดีย์ประจำบ้านเมืองหรืออนุสรณ์ของบุคคลผู้กระทำความดี
ต่อมากษัตริย์ลิจฉวีพลิกกลับหมด ไม่หนุนหมอนไม้เสียแล้ว ไปนอนฟูกมีหมอนข้าง
แล้วก็เหยียบย่ำสตรีต่างๆ ก็เลยวินาศและสูญไป เป็นเมืองขึ้นของประเทศใหญ่ๆต่อไป
เรื่องระบบพระราชามีสภากษัตริย์
พยายามยึดหลักทศพิธราชธรรมอย่างที่กล่าวมาแล้ว
จะไม่มีในตำราที่พวกฝรั่งเขียนให้เราเรียนกระมัง ก็เอาไปคิดดูเองก็แล้วกันว่า
ระบบที่มีพืชพันธุ์ดีเป็นเป็นวรรณะกษัตริย์ บำรุงให้ดียิ่งขึ้นไป
แล้วคอยดูแลให้ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม บางทีจะเป็นสังคมนิยมที่ช่วยทั้งโลกได้
พระราชาที่ประกอบไปด้วยทศพิธราชธรรมจะเป็นระบบสังคมนิยมอยู่ทุกกระเบียดนิ้ว
แล้วก็สงวนให้คงมีอยู่ในโลก ถ้าไม่ดีก็ปฏิวัติหรือแก้ไขเฉพาะบุคคลคนเดียวก็พอแล้ว
ที่กล่าวมานั้น
คือ “สังคมนิยม” ซึ่งอยู่ในรูปที่คนสมัยนี้เข้าใจผิดต่อคำว่า ราชา หรือพระราชา พระราชาที่มีทศพิธราชธรรมนั้น
คือสังคมนิยมที่เต็มรูป อยู่ในรูปเผด็จการ ทำอะไรได้รวดเร็ว เช่น พระเจ้าอโศก
หรือพระราชาอื่น ที่อาจจะเคยมีมาแล้วแม้ในประวัติศาสตร์ของชนชาติไทยเรา แต่ไม่มีใครสนใจ
อย่างเช่นพระเจ้ารามคำแหงนี้ ไปดูเถอะ จะเป็นเผด็จการหรือไม่เป็น
เป็นสังคมนิยมหรือไม่เป็น ถ้าดูให้ดีจะเห็นว่ากลายเป็นสังคมนิยมอย่างที่เราไม่เคยคาดฝัน
แล้วได้ทำกันอย่างพ่อแม่ปกครองลุกอะไรเช่นนี้ นี่ควรจะกลับมาอีก อย่าไปอวดดี
หรือไปคลั่งไคล้เสรีประชาธิปไตยอย่างมีตัวกู-ของกู
ถ้าระบบโน้นไม่มีอยู่ในตำราการเมืองที่เขาเรียนกันอยู่ในเวลานี้
ก็ไปคิดดูเป็นพิเศษส่วนตัวบ้างก็อาจจะพบ เพราะว่าหาไม่พบในตำราการเมือง
นี่เรียกว่า
เราพบ “สังคมนิยม” ที่เป็นธาตุแท้ว่า ตั้งต้นมาแต่เมื่อไร?
และมาอยู่ในลักษณะที่สำเร็จประโยชน์สมบูรณ์และรวดเร็วทันอกทันใจได้อย่างไร?
อาตมาก็ได้เอ่ยอ้างถึงระบบทศพิธราชธรรม ซึ่งก็คือคนธรรมดาแล้วก็ได้มอบหมายให้เป็น
ไม่ใช่คนที่เกิดมาเป็นพิเศษ แต่เป็นคนธรรมดาสามัญที่ได้รับมอบหมาย
มอบอำนาจให้ทำหน้าที่
ทีนี้ดูกันในแง่สุดท้าย
ที่เป็นปัญหาเฉพาะหน้า หรือเป็นทาง practical หรือประยุกต์อะไรกันบ้างว่า ประเทศเล็กๆนี้จะต้องมีระบบ
“ธัมมิกสังคมนิยมเผด็จการ” ไม่อย่างนั้นจะไปไม่รอด
ประชาธิปไตยเพ้อหรือเฟ้อนี้จะไปไม่รอด เสรีนิยมก็มีช่องโหว่มาก
ถ้าสังคมนิยมก็ค่อยยังชั่วหน่อย แต่ต้องกำชับลงไปว่าต้องเป็นธมมิกคือประกอบอยู่ด้วยธรรม
เมื่อประกอบอยู่ด้วยธรรมแล้วก็เผด็จการได้ ดังนั้นประเทศเล็กๆโดยเฉพาะ
ควรจะเป็นระบบประชาธิปไตยชนิดธัมมิกสังคมนิยมและเผด็จการ
ให้เป็นสังคมนิยมแบบเผด็จการ เมื่ออะไรๆมันถูกต้องแล้วก็รีบเผด็จการ
ไม่อย่างนั้นมันจะคลานงุ่มง่ามอยู่นั่น แล้วมันก็จะวินาศในที่สุดก็ได้
เพราะผ่าตัดไม่ทัน การผ่าตัดนี้มีระยะนิดเดียว ถ้าไม่ทันเวลาก็ต้องตายแน่
เผด็จการที่ประกอบอยู่ด้วยธรรมะนี้จะช่วยได้
ถ้าธัมมิกสังคมนิยมแล้วจะต้องเป็นเผด็จการโดยวิธีปฏิบัติงาน
สำหรับชื่อมันอาจจะยาวตามความหมายที่ว่า “ประชาธิปไตยแบบสังคมนิยมที่เป็นธัมมิกะ
แล้วก็ดำเนินงานโดยวิธีเผด็จการ” ถ้าจะพูดให้สั้นสักหน่อยก็ว่า
“ธัมมิกสังคมนิยมเผด็จการ” ประเทศเล็กๆจะต้องใช้ระบบนี้แก้ปัยหาเฉพาะหน้าในเวลานี้
มีคำโบราณที่ปู่ย่าตายายเขาพูดกันมาแต่ก่อน
อาตมาก็ทันได้ยิน แต่ก็กำลังหายไปทุกที คือคำพูดประโยคที่ว่า “จะต้องจุดไฟบ้าน
รับไฟป่า” คือคนแก่ๆเขาจะต้องสอนลูกหลานไปทำไร่อยู่ในป่า
มีกระต๊อบมีบ้านที่อยู่ในไร่อยู่ในป่า พอถึงฤดูแล้งจะต้องจุดไฟบ้าน คือรอบๆบ้าน
รอบๆกระท่อมนี้จะต้องจุดให้เตียน เพื่อจะรับไฟป่าที่มันจะมาท่วมป่า
และเผาอย่างมหาศาล
ประเทศเล็กๆเรา
ถ้ามีระบบปกครองเป็นแบบสังคมนิยมธัมมิกะแบบเผด็จการนี้ มันจะเหมือน กับจุดไฟบ้านไว้เสร็จแล้วไฟป่ามาก็ไม่ต้องกลัว
ไฟป่าก็คือสังคมนิยมบ้าเลือดที่กำลังระบาดอยู่ในโลกเวลานี้
หรือแม้ที่สุดแต่ระบบนายทุน เราก็ควรจะถือว่าเป็นไฟป่า
ถ้าจะรับหน้าไฟป่าก็ต้องจุดฟำบ้าน คือธัมมิกสังคมนิยม
ถ้าเรามีระบบสังคมนิยมธัมมิกเผด็จการนี้ เราจะรับหน้าได้แม้แต่ลัทธินายทุนและลัทธิบ้าเลือดแก้แค้นของชนกรรมาชีพบางประเภทก็ตาม
เพราะว่ามันจะเป็นอย่างที่เคยพูดมาแล้ว คือสังคมนิยมอันบริสุทธิ์นี้
ไม่สร้างทั้งนายทุนและไม่สร้างชนกรรมาชีพ
จะสร้างแต่คนที่เป็นสัตบุรุษหรือมนุษย์ที่ถูกต้องแต่เพียงอย่างเดียว
ที่อยู่ตรงกลางชนิดเดียว
เมื่อเรามีระบบสังคมนิยมที่ถูกต้องนี้อยู่แล้ว
ก็จะเหมือนกับจุดไฟบ้านไว้รอบบ้านเสร็จแล้ว ไฟป่าชนิดไหนมาก็ทำอันตรายไม่ได้
นายทุนจะมาก็ได้ ชนกรรมาชีพบ้าเลือดแก้แค้นจะมาก็ได้
เพราะว่าเราได้มีการจุดไฟบ้านไว้รอบบ้านรอบเรือนเตียนดีแล้ว
ก็จะพ้นอันตรายจากไฟป่าทั้งหลาย ประเทศเล้กๆนั้นก็ไม่มีทางเลือกอย่างอื่น
นอกจากที่เราจะ “จุดไฟบ้าน รับไฟป่า”
ก็คือรีบจัดระบบสังคมนิยมในประเทศของตนให้ถูกต้องและให้ทันแก่เวลา ก็เป็นอันว่า
ประเทศเล็กๆนี้ใช้ระบบสังคมนิยมที่ถูกต้องในลักษณะที่ว่า
จุดไฟบ้านรับไฟป่าที่กำลังระบาดเข้ามาเรื่อยๆ ทั้งระบบนายทุนและระบบชนกรรมาชีพ
ทีนี้ถ้าว่าเป็นประเทศใหญ่
ถ้าสมมติว่าเป็นไปได้ มหาประเทศทั้งหลายเขามีระบบสังคมนิยมอย่างที่ว่านี้
นั่นแหละคือโซคดีที่สุดของมนุษยชาติโลก
คือประเทศใหญ่ๆเหล่านั้นเลิกเป็นอะไรกันเสียที
มาเป็นธัมมิกสังคมนิยมแล้วเผด็จการด้วยก็ได้
แล้วก็จะทำโลกให้มีสันติภาพ ทำบุคคลแต่ละคนให้มีสันติสุขได้อย่างทันใจ
ถ้าแต่ละคนมีสันติสุข
รวมกันทั้งโลกก็ย่อมมีสันติภาพ ซึ่งจะเป็นไปได้
เพราะระบบสังคมนิยมที่ถูกต้องตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ
อย่างที่ได้พูดให้ฟังมาแล้วข้างต้น และเป็นสังคมนิยมที่เป็นหัวใจของศาสนาทุกศาสนา
ตั้งแต่อดีตมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้
ถ้าศาสนาไหนยังคงมีความบริสุทธิ์ถูกต้องอยู่แล้ว จะเป็นธัมมิกสังคมนิยมทั้งนั้น
แต่ก็แปลกอยู่ตรงที่ว่า เมื่อมีความถูกต้องแล้วจะต้องเผด็จการ เพื่อให้ทันแก่เวลา
นี่เรียกว่าแสงสว่างหรือโชคดีของโลกนั้น
อยู่ที่สังคมนิยมอันถูกต้อง และมาทันเวลา
เป็นประโยชน์แก่ประเทศเล็กๆที่จะป้องกันตนเองได้ ถ้าหากประเทศใหญ่เป็นไฟป่า
แต่ถ้าประเทศใหญ่เป็นธัมมิกสังคมนิยมเสียเอง ก็จะเป็นโชคดีของมนุษยชาติทั้งหมด
ถ้าว่าเราทำอะไรไม่ได้ เพราะว่าเราเป็นประเทศเล็กอยู่ใต้อิทธิพล ก็ต้องป้องกันตัวในแบบจุดไฟบ้านรับไฟป่าที่กล่าวแล้ว
ถ้าหากว่าเรามีระบบนี้ถูกต้องอยู่แล้ว
ไม่ต้องกลัวว่าประชาชนจะหันเหออกไปทางลัทธิที่เป็นอันตรายหรือไม่พึงปรารถนา
เพราะว่าสังคมนิยมชนิดนี้จะทำให้ทุกคนในประเทศพอใจในระบบการปกครองของตนจนไม่ต้องเลือกกันอีก
จนไม่ต้องเลือกกันอีก จนไม่ต้องออกไปแส่หาระบบไหน ขอให้พิจารณาดูให้ดีๆ
สำหรับคำว่าสังคมนิยมตามหลักของพระศาสนาซึ่งลึกลงไปจนถึงตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ
ได้มีอยู่ดังที่กล่าวมาแล้วนี้
เมื่อทางการกำหนดให้พูดเรื่องสังคมนิยม
อาตมาก็ต้องพูดอย่างนี้ พูดอย่างอื่นไม่เป็น เพราะว่าทุกๆวันก็อยู่ด้วยเรื่องของธรรมชาติเรื่องของพระศาสนา
จึงพูดเรื่องอย่างอื่นไม่เป็น เมื่อถูกกำหนดให้พูดคำว่า สังคมนิยม
ก็พูดได้แต่อย่างนี้ ขอให้เอาไปคิดดู จะผิดถูกอย่างไร
ท่านทั้งหลายก็มีหน้าที่ที่จะต้องช่วยกันจรรโลงประเทศอยู่แล้ว หรือบางทีจะต้องพิพากษาคดีที่มีปัญหาเกี่ยวกับสังคมนิยมบ้างเป็นแน่นอน
ทั้งหมดนี้คือเรื่องสังคมนิยมตามแบบของศาสนา
ซึ่งมีรกรากมาจากกฏเกณฑ์ของธรรมชาติดั้งเดิมนั้น มันอยู่ในรูปอย่างนี้
จึงให้ชื่อใหม่ว่า ประชาธิปไตยแบบสังคมนิยมที่เป็นธัมมิกะ
แล้วก็โดยวิธีเผด็จการให้ทันแก่เวลา เรียกสั้นๆว่า “ธัมมิกสังคมนิยมแบบเผด็จการ”
3
สังคมนิยม
ชนิดที่ช่วยโลกได้*
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในการทำบุญล้ออายุในวันนี้
หัวข้อที่
3 ที่จะได้พูดดังต่อไปนี้ก็คือ ธรรมสัจจะเพื่อสังคมนิยมที่จะช่วยโลกได้
ขอทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปตามลำดับ
นับตั้งแต่ข้อแรกที่สุดว่า ทำไมจะต้องพูดเรื่องของสังคมนิยมเป็นเรื่องบ้าบอ
หรือเป็นเรื่องเห่อการเมืองการโลกอะไรกับเขาด้วยหรือเปล่า?
ข้อนี้มองกันได้หลายแง่หลายมุม
คือเราไม่จำเป็นจะต้องไปเห่อระบบสังคมนิยมอะไรที่ไหน
เพราะว่าในพระพุทธศาสนานั้นมีระบบสังคมนิยมที่ดีเลิศและวิเศษอยู่แล้ว และเนื่องจากเหตุที่ว่าปัจจุบันนี้
โลกนี้กำลังมีปัญหาเกี่ยวกับสังคมนิยม
และมีสังคมนิยมบางชนิดเป็นเหมือนกับเชื้อโรคร้ายที่จะนำมาซึ่งการนองเลือด
ซึ่งเป็นเหมือนกับโรคภัยไข้เจ็บของมนุษย์ในโลก
โดยเหตุที่คาดว่า
สังคมนิยม มันกำลังระบาดไปในการพูดจาอย่างนี้ก็มี และโดยเหตุที่มันกำลังจะระบาดเข้ามาจริงๆ
จนเป็นปัญหาให้บางคนนอนไม่ค่อยหลับก็มี ทีนี้พุทธบริษัททั้งหลายก็อยู่ในโลกนี้
อยู่ในประเทศนี้ บ้านเมืองนี้ ซึ่งจะต้องพบกันเข้ากับปัยหาเหล่านี้
จึงควรจะรู้เรื่องนี้บ้างพอสมควร
คนทั่วไปเขาก็เป็นห่วงเรื่องนี้กันมาก
แม้ว่าจะไม่ได้เป็นห่วงเพราะกลัว แต่ก็เป็นห่วง หรือว่าอยากจะรู้
หรือจะปฏิบัติให้มันถูกต้อง ให้มันปลอดภัยมากกว่า ฉะนั้น
การบรรยายอบรมผู้ที่จะเป็นผู้พิพากษาปีสุดท้ายนี้ ก็มีหัวข้อกำหนดมาจากทางการว่า
ให้ช่วยบรรยายโดยหัวข้อนี้ครั้งหนึ่ง เรียกว่า สังคมนิยมนี้ก็เป็นเครื่องวัด
เป็นเครื่องแสดงว่า มันกำลังตื่นตัวตื่นใจ ตื่นอะไรก็สุดแท้
กำลังตื่นในสิ่งที่เรียกว่า สังคมนิยม
เราควรจะรู้เรื่องนี้กันอย่างไรจึงจะได้ผลดีที่สุด
สำหรับการเป็นมนุษย์ที่มีลมหายใจอยู่ในโลกนี้ในทุกวันนี้
สำหรับอาตมาเองก็รู้สึกว่า
เป็นเรื่องน่าล้อเล่นมากกว่า ไม่มีคุณค่าอันใดนัก
ถ้าว่ามาเปรียบเทียบกันกับข้อที่ว่า ในพุทธศาสนามีสังคมนิยม หรือเป็นสังคมนิยมอันประเสริฐอยู่แล้ว
ก็
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
* บรรยายในวันล้ออายุ 27
พฤษภาคม 2518
อยากจะเอามาล้อว่า
เรานี้มันช่างโชคดีเสียเหลือเกิน ที่เผอิญมามีชีวิตอยู่ในยุคในสมัยที่เขากำลังตื่น
กันในเรื่องนี้
และเมื่อมาเทียบกับดูกับหลักพระพุทธศาสนา ก็รู้สึกว่า
สังคมนิยมของชาวโลกนั้นมันเป็นเรื่องเด็กเล่น เป็นเรื่องเด็กอมมือที่ไม่รู้อะไร
เข้าใจอะไรต่างๆไปในลักษณะที่ไปติดพัน หาทางออกไม่ได้ ถ้าจะพูดโดยธรรมชาติแท้ๆ
มนุษย์หรือสัตว์ทั้งหลายจะรอดอยู่ได้ด้วยอุดมคติของสังคมนิยม
ที่เป็นธรรมสัจจะอันแท้จริง แล้วก็พูดได้ว่า
ระบบสังคมนิยมที่กำลังเห่อกันอยู่ในโลกนี้ มันเป็นสักว่า สัจจาภินิเวส ความโง่ความหลงไปติดไปตันไปจดอยู่ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง
ทำให้มีปัญหาเกิดมา ทำให้ระส่ำระสายในโลก
คำว่า
สังคมนิยม ตามที่มีอยู่ในตำรับตำรา หรือในการศึกษาอะไรต่างๆนั้น
มันก็มีอยู่หลายแบบ โดยปลีกย่อยแล้วจะมีตั้งหลายสิบแบบด้วยซ้ำไป สังคมนิยมเข้มข้น
สังคมนิยมอ่อนๆ สังคมนิยมพวกนั้นพวกนี้ ยุคนั้นยุคนี้
ล้วนแต่ไม่เห็นอะไรดีไปกว่าสังคมนิยมที่เป็นอุดมคติของพุทธบริษัท
ฉะนั้นเรามีอุดมคติสังคมนิยมอยู่แล้วโดยไม่รู้สึกตัว
จะว่าอยู่ในระบบการปกครองของคณะสงฆ์ในครั้งพุทธกาลเรื่อยๆมาอย่างนี้ก็ยังได้
หรือว่าจะมีอยู่แล้วในระบบธรรมะในพระพุทธศาสนา ที่เป็นส่วนพระธรรม อย่างนี้ก็ได้
หรือจะดูว่าพระพุทธองค์ทรงประพฤติต่อสัตว์โลกทั้งหลายอย่างไร
ก็ยังเห็นได้ว่าเป็นระบบสังคมนิยมที่สูงสุด
เราจึงไม่ประหลาดใจอะไรในการที่จะมีระบบสังคมนิยมที่สูงสุด
เราจึงไม่ประหลาดใจอะไรในการที่จะมีระบบสังคมนิยมประเภทสัจจาภินิเวสเกิดขึ้นมาในโลกตั้งมากมายหลายสาขา
เมื่อมนุษย์ไม่อาจจะไปสู่ระบบสังคมนิยมอันแท้จริงของธรรมชาติได้
คือไม่ถึงธรรมสัจจะในเรื่องนี้ มันก็ไปติดตันอยู่ที่ความคิดเห็น
เป็นสัจจาภินิเวสเกี่ยวกับคำคำนี้อยู่หลายรูปแบบทีเดียว
ทีนี้เผอิญมันมาเนื่องกันเข้ากับเรื่องของการเมืองในสมัยปัจจุบัน
คำนี้เกิดขึ้น หรือว่าจะยืมมาใช้อย่างนี้เรียกว่า แปลกประหลาดเสียเต็มที
ก็มีคนเห่อมันในลักษณะที่เป็นคำแปลกประหลาดก็มี
หรือเห่อกันไปในทางที่ว่าเป็นของดีวิเศษที่จะช่วยโลกสมัยปัจจับันนี้ได้
นี่พูดอย่างนี้คงจะฟังถูกกันทุกคน
ยิ่งคนมีอายุมากสักหน่อยก็พอจะจำความได้ว่า ปู่ย่าตายายของเราสอนกันมาอย่างไร
ในการที่จะให้เห็นแก่ผู้อื่น สอนให้เห็นแก่ผู้อื่นทุกคนว่า เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด
แก่ เจ็บ ตาย นี่คืออุดมคติของสังคมนิยมบริสุทธิ์ และก็ทำกันจริงๆไม่ใช่ทำแต่ปาก
แล้วก็ไม่ใช่ทำอย่างการเมือง คือโกหกพกลมเพื่อหาประโยชน์ใส่ตน อ้างนั่นอ้างนี่
หาความจริงใจไม่ได้
ฉะนั้นพุทธบริษัทก็ควรแล้วที่จะรู้จักสังคมนิยมของพุทธบริษัทหรือของพุทธศาสนา
และควักออกมาเป็นอาวุธสำหรับต่อต้านสังคมนิยมบ้าเลือดของพวกสัจจาภินิเวส
ที่ทำผิดโดยตัวเองแล้วยกบาปไปให้แก่คนอื่น
จะอย่างไรก็ตาม
พุทธบริษัทนี่ก็เป็นระบบสังคมนิยมอันประเสริฐอยู่ในเลือดในเนื้อในตัว
ขอให้ยึดหลักพระพุทธศาสนาไว้ให้มั่นคงไปตามเดิม หรือแม้แต่ศีลธรรม หรือสัจธรรม
ไม่ว่าข้อไหนมันก็มีวิญญาณแห่งสังคมนิยมทั้งนั้น
เมื่อมีอะไรดีและประเสริฐสูงสุดอยู่อย่างนี้แล้ว ก็อย่าไปหลงในของเด็กเล่น
มันน่าสงสาร
ที่พูดนี้ก็ขอให้ถือว่า
เพื่อเป็นเรื่องบอกกล่าวแก่ท่านทั้งหลายไว้ล่วงหน้า ไม่เท่าไหร่หรอกสังคมนิยมมันก็จะอื้ออึงไปหมดในโลกนี้
แล้วก็จะต้องแตกตื่น หรือว่าตื่นตูมไปตามเขา ไม่ได้ประโยชน์อะไร
มันจะน่าหัว
คล้ายๆกับว่า เมื่อไม่กี่ปีมานี้มีคนขนเอาลัทธิที่เขานิยมยกย่องกันนักหนาว่าเป็นของใหม่
คือลัทธิ M.R.A.
รักกันอย่างนั้น อภัยกันอย่างนี้ ไม่มีมึงไม่มีกูอย่างนี้
แล้วก็เอามายื่นให้แก่พุทธบริษัท มันก็น่าหัวที่สุด
อาตมาก็เป็นผู้ที่ได้รับการเสนอให้รับอ้ายนี่เหมือนกัน แล้วมันจะกระอักกระอ่วนกัยเท่าไรในเมื่อเรามีหลักธรรมที่ดีกว่านั้นตั้งหลายเท่า
แล้วเขาเอามายื่นให้ในฐานะเป็นของใหม่ๆ ที่ดีที่สุด วิเศษที่สุด
จะมาเกณฑ์พระเกณฑ์ชีให้เป็น M.R.A. น่าหัวจะตาย
นี่ก็เหมือนกันแหละ
ถ้าหากว่าจะเอาสังคมนิยมบ้าเลือดนั้นมาให้แก่พุทธบริษัทอีก มันก็น่าหัวอย่างนั้น
เพราะเรามีสังคมนิยมโดยจิตวิญญาณที่ลึกซึ้งแท้จริงอยู่ในเลือดในเนื้อ
นี่เป็นเรื่องที่จะต้องพูดกันต่อไป
หัวข้อที่วางไว้นี้เรียกว่า
“ธรรมสัจจะสังคมนิยมที่จะช่วยโลกได้” สังคมนิยมมีหลายชนิด
และชนิดที่จะช่วยโลกได้นั้นเป็นอย่างไร และมันมีธรรมสัจจะของมันอย่างไร
พูดกันอย่างธรรมสัจจะอย่างตั้งต้นไปใหม่
อย่างที่ได้พูดไปแล้วตั้งแต่กลางวันว่า ธรรมสัจจะนี่คือตัวแท้ตัวจริงของธรรม
ของธรรมะก็ได้ ของธรรมชาติก็ได้เป็นสิ่งเดียวกัน
ตัวแท้ตัวจริงของธรรมชาตินั้นก็เป็นสังคมนิยม
คือว่ามันไม่มีอะไรที่จะอยู่อย่างโดดเดี่ยวได้ มันต้องอาศัยกันและกัน
ไม่มีแผ่นดินต้นไม้จะอยู่ได้อย่างไร ไม่มีต้นไม้แผ่นดินจะอยู่ได้อย่างไร
หรือว่าน้ำจะอยู่ได้อย่างไรถ้าไม่มีต้นไม้ไม่มีแผ่นดิน
ดินฟ้ากาศที่เหมาะสมที่สุดที่มนุษย์จะอยู่เป็นสุขสบายนี้
มันมีอะไรแต่เพียงสิ่งเดียวไม่ได้ มันต้องเนื่องกันหลายๆอย่าง ดูให้ลึกลงไปอีกว่า
ถ้ามันมีแต่ธาตุดิน มันจะมีประโยชน์อะไร มันต้องมีธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม อากาศธาตุ
วิญญาณธาตุ เป็นต้น ถ้ามันเนื่องกันสัมพันธ์กันเป็นอย่างดี
มันถึงจะมีดีอะไรขึ้นมาได้ และเป็นธรรมชาติดังที่ปรากฏให้เห็นอยู่นี้ว่า
เป็นมนุษย์บ้าง เป็นสัตว์บ้าง เป็นต้นไม้บ้าง เป็นแผ่นดินบ้าง เป็นห้วย หนอง คลอง
บึง บาง อะไรต่างๆอยู่ในสภาพที่เหมาะสม มีความชื้นพอดี มีความอบอุ่นพอดี
มีอะไรพอดี มันจึงมีชีวิตอยู่อย่างนี้ได้
หรือว่าในคนคนหนึ่งนั้น
ก็มีเจตนารมณ์ของสังคมนิยม คือต้องมีอะไรๆหลายๆส่วน หลายๆอย่าง ทำงานสัมพันธ์กันอย่างที่จะแยกกันไม่ได้
เรื่องนี้พวกที่ได้เล่าเรียนมาในทางสรีรศาสตร์ หรือการแพทย์การหมอก็รู้เรื่องดี
ต่ก็เนื่องกับหู หูก็เนื่องกับจมูก จมูกก็ยังเนื่องกับปาก
ไม่มีอะไรที่จะแยกอยู่ตามลำพังได้ แต่ว่าถ้าไม่ได้เรียนก็ไม่รู้
เพราะจะสังเกตเอาเองก็จะเห็นได้ยากเต็มที แต่ขอให้เชื่อเถอะว่า ไม่มีทางผิด
ที่เราจะพูดว่าอวัยวะใหญ่น้อยทั้งหลายต้องร่วมกันทำงาน
ทำหน้าที่ให้ถูกต้องตามธรรมสัจจะของสิ่งที่ประกอบกันขึ้นเป็นร่างกายจึงจะอยู่ได้
ฉะนั้นวิญญาณแห่งสังคมนิยมมีอยู่ในตัวคนทุกคน
จะต้องอยู่กันด้วยความสัมพันธ์อย่างถูกต้อง
ที่เราเรียกว่าความรักความสามัคคีนั้น
นั่นจึงจะเป็นสังคมนิยมที่เป็นที่พึ่งได้ ถ้าเป็นการเกี่ยงงอน
แก่งแย่งทะเลาะวิวาทกัน แบ่งพรรคแบ่งพวกกัน สำหรับจะประหัตประหารกัน
ก็จะเป็นสังคมนิยมบ้าอยู่ในโลกนี้
แม้ในหมู่สังคมนิยมเองมันก็เข่นฆ่ากัน
เพราะมันมีหลายแบบ แต่ถ้าเป็นความถูกต้องตามธรรมสัจจะของธรรมชาติแล้ว
มันจะมีแต่เพียงแบบเดียว ก็เลยไม่รู้ว่าจะฆ่าใคร เพราะไม่มีข้อแย้ง
ที่ว่าสังคมนิยมก็ต้องหมายถึงว่า
มันอยู่ด้วยกันได้ เพราะว่านิยมสังคมคือความรวมกันอยู่ได้ ไม่มีข้อขัดแย้ง
ถ้ามีข้อขัดแย้งมันก็มีไม่ได้ คือมนุษย์พวกหนึ่งเอาเปรียบ พูดเอาข้างเดียว
ให้อีกฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายผิดเสมอไป ยกตัวเองเป็นฝ่ายถูก
นี้ไม่มีวิญญาณแห่งสังคมนิยมเลย
นี่เรียกว่า
เราดูโดยทัศนะกว้างๆ ในธรรมสัจจะของธรรมชาติ
ว่าสิ่งที่มันมีอยู่ได้นี่มันก็มีวิญญาณแห่งสังคมนิยมทั้งนั้น และที่มันเนื่องกันอย่างน่าอัศจรรย์ก็มีอยู่มาก
เราก็ยังไม่รู้สักที ไม่ค่อยมองเห็นสักที เรียกว่ายังขาดความรู้ในด้านนี้อยู่มากทีเดียว
ยกตัวอย่างเช่น
จะพูดขึ้นมาสักข้อหนึ่งว่า ถ้าไม่มีพวกนกเล็กๆที่มีอยู่ทั่วไปในวัดนี้
ไม่มีนกประเภทนี้แล้ว คนก็จะตายหมด พูดอย่างนี้ถ้าเป็นนักพฤกษศาสตร์อยู่บ้างก็คงจะฟังออก
แต่คนทั่วคงจะฟังไม่ออกว่า ถ้าไม่มีนกเล็กๆนี้แม้แต่สักตัวเดียวแล้ว
คนก็จะต้องตายหมดนั่งดูเถอะ จะเห็นว่า พวกนกเล็กๆ นี้มันช่วยปราบศัตรู
คือหนอนที่จะคอยกินยอดไม้ หนอนที่จะกัดกินยอดไม้นกเล้กๆมันเป็นผู้ปราบ
วันหนึ่งตั้งพันตัวหมื่นตัวแสนตัว นกตัวหนึ่งจะทำลายหนอนชนิดนี้นับเป็นร้อยๆตัว
พันๆตัวต่อวัน แล้วนกเท่าไร แล้วหนอนกี่ล้านเล่าที่ปราบไปแล้ว ต่อวัน ต่อเดือน
ต่อปี ถ้าว่ามันไม่มีนก พวกนี้มันก็มีแต่หนอน ความมาสมดุลได้เกิดขึ้น
ก็มีแต่หนอนที่กัดกินยอดไม้ จนต้นไม้ทนอยู่ไม่ได้เพราะถูกกัดกินยอดอ่อน
หรือกินบางส่วนของมันหมด จนต้นไม้จะต้องตายลงทั้งแผ่นดิน
ถ้าต้นไม้ตายหมดทั้งแผ่นดินแล้วอะไรจะเกิดขึ้น ก็คือความร้อนระอุแห้งแล้ง
หรือว่าโรคภัยไข้เจ็บอย่างใดอย่างหนึ่งจะประดังกันเข้ามาทีเดียว
แล้วมนุษย์ก้อยู่ไม่ได้ จะต้องตาย ถ้าไม่มีต้นไม้อย่างเดียวแล้ว ฝนก็ไม่ตกลงมา
นี่พูดสั้นๆว่า ถ้าไม่มีนกเล็กๆเหล่านี้แล้ว มนุษย์จะตายหมด นี่บางคนก็จะฟังไม่ถูก
ปู่ย่าตายายบรมโบราณเขาก็รู้เรื่องนี้
เพราะฉะนั้นเขาจึงสอนไปในไปในทางที่ว่า ให้กระทำไปในทางที่ว่า
ให้กระทำไปในทางที่ชีวิตทั้งหลาย มันอยู่ด้วยกันได้ และเมตตาปราณีกันถูกต้องตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ
ที่มันมีอยู่ในเวลานี้ได้ก็เพราะว่ามันทำสังคมกัน สหกรณ์กัน
ประพฤติประโยชน์ร่วมกัน นี่เป็นฝีมือขอธรรมชาติ หรือว่าถ้ามันไม่มีธรรมชาติข้อนี้
มันก็ตายหมดแล้ว เราก็ไม่ได้มานั่งพูดกันอย่างนี้
ทีนี้ธรรมชาติมันมีของมันอย่างนั้นมันจึงรอดอยู่ได้
แล้วเราก็ได้มานั่งพูดกันอย่างนี้
สำหรับผู้รู้เรื่องนี้ดีก็จะยึดหลักนี้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
คือช่วยประคับประคองให้ทุกอย่างมันมีอยู่ตามที่ธรรมชาติต้องการ
หรือที่พระเจ้าต้องการ เพราะฉะนั้นเขาจึงทำนาเผื่อลิง เขาทำข้าวให้มาก ไว้
ลิงกินเขาก็ไม่ว่าอะไร เพราะเขาได้ทำนาเผื่อลิง
เขาคิดว่าลิงนี้จะต้องมีอยู่โลกจึงจะมีความสมดุลในโลก
นี่มันมีสังคมนิยมลงไปจนถึงสัตว์เดรัจฉานขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงคนด้วยกันก็ได้
นี้ย่อมแสดงว่า
เจตนารมณ์ของสังคมนิยมนั้นเหลืออยู่ในประเทศอินเดียมาก ในจิตใจของมนุษย์ที่นั่นมาก
ฉะนั้นจึงมีอะไรที่ทำลายยาก เพราะเห็นแก่สังคมนี้มันกว้างนัก
ทีนี้ดูให้สูงขึ้นมาอย่างที่พูดว่า
เจตนารมณ์ของสังคมนิยมมีอยู่ในพระพุทธศาสนา
ถ้าจะพูดอย่างไม่เอาเปรียบกันก็จะต้องพูดให้กว้างออกไปถึงกับว่า
ในศาสนาก็คือทุกศาสนาเลย เพราะว่าก่อนพุทธศาสนา โลกก็ต้องมีศาสนาอะไรอยู่แล้ว
จึงพูดว่า ในพุทธศาสนาและในทุกศาสนาก็มีรากฐานที่ตั้งขึ้นมาบนอุดมคติอันนี้
เพื่อเมตตากรุณาต่อสิ่งทั้งปวง แล้วก็สูงขึ้นมาถึงกับยอมรับรู้ในความเสมอภาคกัน
หรือว่าในเสรีภาพของกันทุกอย่างที่ว่ามันจะประสานกันไว้ได้
หรือมันสัมพันธ์กันไว้ได้ จนกระทั่งว่าเกิดคณะสงฆ์ในพระพุทธศาสนา
พระพุทธองค์ทรงบัญญัติระบบวินัย
จะทำให้เราเห็นได้ทีเดียวว่า
เป็นระบบที่ผูกพันกันไว้เป็นพวกเป็นหมู่ไม่แยกออกจากกันไป รู้ได้ตรงคำว่า “สงฆ์”
นั่นเอง คำว่า สังฆะ พระสงฆ์ ตัวหนังสือแปลว่าหมู่หรือพวก มันไม่ได้แปลว่า เดี่ยว
คนเดียว เมื่ออยู่เป็นหมู่เป็นพวก มันก็ต้องมีอะไรที่จะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว
หรือหลักธรรมสัจจะอันใดอันหนึ่ง ที่จะทำให้คณะสงฆ์ตั้งอยู่ได้เป็นหน่วยเดียว
จากส่วนประกอบของหน่วยหลายร้อยหลายพันหลายหมื่นหน่วย ดึงเข้าเป็นสังคมที่ถูกต้อง
ที่อยู่ร่วมกันอย่างผาสุก
ถ้าจะดูให้ดีก็จะยิ่งเห็นมากขึ้นไปอีกว่า
นี่มันเป็นการสอดคล้องกับธรรมชาติมากที่สุด
และยังจะป้องกันเหตุการณ์เลวร้ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า
อย่างระเบียบวินัยในพระพุทธศาสนานี้ ก็ให้สันโดษ พอดี
รู้จักพอดีในการที่จะเป็นอยู่ ยิ่งเป็นพระสงฆ์คือเป็นภิกษุละก็ ได้รับการวางกฏเกณฑ์ไว้เป็นพิเศษ
ไม่ให้กอบโกยส่วนเกิน ใช้คำอย่างนี้คำเดียวก็พอ
พระสงฆ์นี่จะเอาอะไรเกินไม่ได้ ถ้าเกินกว่าที่จำเป็นแล้วจะผิดวินัยทั้งนั้น
นี่เป็นหลักทั่วไปที่ควรจะทราบไว้เป็นชั้นหนึ่งก่อนว่า
ถ้าพระสงฆ์ไปเอาอะไรที่เป็นของเกินจำเป็นแล้วจะผิดวินัยทั้งนั้น แล้วบางอย่างจะผิดธรรมะด้วย
แล้วบางอย่างก็จะผิดวินัยอันร้ายแรงด้วย ดูตัวอย่างเช่นว่า เราจะต้องมีจีวร 3 ผืน
มีมากกว่านั้นก็ต้องเกิดเป็นปัญหายุ่งยากลำบาก ถึงกับต้องเป็นอาบัติ
แม้แต่บาตรก็มีได้แต่เพียงใบเดียว กุฏิก็ให้มีได้เพียงขนาด 12 คืบ x 7 คืบ เท่ากับห้องน้ำที่ตรงโน้น
นั่นแหละกุฏิที่จะมีได้เอง ทีนี้ยังมีเรื่องที่จะต้องสันโดษอีกมาก
สิ่งที่ไม่ควรมีมีไม่ได้ มันไม่เพียงแต่ผิดวินัย มันทำลายความก้าวหน้าในทางธรรม
ถ้าพระสงฆ์หรือภิกษุสงฆ์ที่ต้องการจะก้าวหน้าตามทางธรรมแล้ว
ไปมีอะไรที่เกินจำเป็นส่วนเกินแล้ว มันก้าวหน้าไปไม่ได้ มันจะกลายเป็นผู้ที่รุงรังไปด้วยทรัพย์สมบัติอะไรต่างๆ
นี่การที่ไม่เอาส่วนเกินนี้มันมีผลดีอย่างนี้
จะมองไปอีกชั้นหนึ่งก็ว่า
ถ้าแต่ละคนไม่เอาส่วนเกินแล้วมันก็จะเหลืออยู่มาก
ส่วนเกินนั้นมันก็ตกทอดไปเป็นของคนอื่น คนอื่นก็ไม่ขาดแคลน
ถ้ากอบโกยส่วนเกินกันไว้มากแล้ว มันก็ต้องขาดแคลน พวกคนที่ยากจนก็ต้องมีมากโดยเร็ว
ทีนี้ถ้าว่าไม่เอาส่วนเกิน ก็ไม่เกิดคนยากจน
คนที่เอาส่วนเกินนั้นมันเอามากๆเข้าด้วยความละโมบ ด้วยแผนการสกปรก ลึกลับ
ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่เท่าไรก็ทำให้เกิดการขาดแคลนกันใหญ่หลวง พวกอื่นก็เป็นคนยากจน
ฉะนั้นอุดมคติอันนี้ที่ว่า
ไม่เอาส่วนเกินของภิกษุสงฆ์นี้คือรากฐานอันแท้จริงของสิ่งที่เรียกว่า สังคมนิยม
นอกจากนั้นก็ยังมีระเบียบวินัยอะไรต่างๆ
ที่วางไว้ชัดเจนว่าต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
อุดมคติของโพธิสัตว์นั้นมีมาก่อนพุทธกาลก็ว่าได้ ต้องช่วยเหลือผู้อื่น เสียสละเพื่อผู้อื่น
แม้ชีวิตของตัวก็สละได้
นี่ก็เพราะว่าเห็นแก่สังคมในพุทธศาสนาก็ยอมรับอุดมคติอันนี้
ยอมนับเนื่องเข้าไว้ในพระพุทธศาสนา นั่นก็เพราะมีเจตนาของสังคมนิยมมากในทุกด้าน
ในทุกแง่ทุกมุม เท่ากับธรรมสัจจะของธรรมชาติ
คือไม่มีอะไรที่มันจะอยู่แต่ลำพังส่วนเดียว ตัวเดียวโดดเดี่ยวคนเดียวได้
แม้ว่าต้นไม้ต้นหนึ่งถ้ามันอยู่เดี่ยวๆ มันก็จะหักโค่นล้มได้โดยง่าย
แม้สัตว์มันก็ต้องอยู่กันเป็นฝูงเป็นพวก มนุษย์ก็เหมือนกัน
คำว่า อยู่กันเป็นสังคมนี้ เป็นความต้องการของธรรมชาติ
ถ้าจะมองไปถึงขนาดที่เรียกว่า ต้องการสืบพันธุ์จึงจะมีลูกหลานเหลืออยู่
นี่มันก็เป็นเรื่องสังคมด้วยเหมือนกัน
ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไม่มีอะไรที่จะเหลืออยู่เป็นหมู่เป็นพวกเป็นหมู่สัตว์โลกนี้ขึ้นมา
จงนึกถึงการประพฤติกระทำให้ถูกต้อง ในการที่จะมีการสืบพันธุ์มีลูกมีหลาน มีอะไรถูกต้อง
อย่าให้มันเป็นอันตราย ผิดพลาด ในโลกนี้จึงสัตว์ที่มีชีวิตทวีขึ้นๆๆๆ
ในลักษณะที่น่าประหลาด
แต่แล้วก็มาถึงยุคที่มนุษย์ใจดำอำมหิต
เห็นแก่ตัวเกิดขึ้น มันก็ทำลายล้างธรรมชาติเหล่านั้นให้สูญเสียไป สูญหายไป
ขาดแคลนลง จนกระทั่งว่าสัตว์บางชนิดได้สูญพันธุ์ไป
และต้นไม้บางประเภทได้สูญพันธุ์ไป ฉะนั้น คนบางประเภทก็ต้องสูญพันธุ์ไป
เพราะความคิดประเภทที่ไม่เห็นแก่ส่วนรวมนี้มันหนาแน่นขึ้นมา
ทีนี้เมื่อมันได้ทำผิดถึงขนาดนั้นแล้ว มากจนถึงกับว่า อ้ายพวกหนึ่งก็มั่งมีไป
อ้ายพวกหนึ่งมันก็ยากจนเกินไป มันก็ยังไม่หยุด ก็ยังมีความเห็นแก่ตัวอยู่นั่นเอง
ระบบสังคมนิยมมันก็เป็นไปอย่างไม่ถูกต้องทั้งสองฝ่าย
ฝ่ายคนยากจนก็ทำผิดส่วนหนึ่งจึงได้ยากจน
ฝ่ายคนมั่งมีก็ทำผิดอีกแบบหนึ่งจนได้ชื่อว่าเป็นนายทุน ถ้าว่าเป็นมั่งมีอย่างถูกต้องนั้นไม่เป็นอันตรายอะไร
เขาอยู่ด้วยความรักใคร่ต่อคนที่มีโชคร้ายโชคไม่ดี
แต่ถ้าเขาจะทำตนอย่างนายทุนเขาก็จะเอาเปรียบอยู่เรื่อย
มันก็เป็นผลขึ้นมาเป็นอย่างอื่น
นี่คนจนมีการทำผิดหลายอย่างหลายประการ มีเจตนาก็ได้
ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์เป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่น้อยเหมือนกันที่ว่า
มันบังคับตัวเองไม่ได้ ถุกกิเลสครอบงำ ถุกนำไป สู่อบายมุขถึงยากจน
ใครบ้างที่ยากจนเพราะเหตุอื่นที่ไม่ใช่อบายมุข ไปโทษเหตุอื่น ไปโทษเหตุดินฟ้าอากาศ
กระทั่งโทษนายทุนอย่างนี้ มันเป็นเรื่องหลับหูหลับตาพูด แล้วดูให้ดีว่า
ตัวความยากจนนั้นมันเกิดขึ้นเพราะการทำผิดในทางศีลธรรม
ถ้ามีศีลธรรมมันก็ไม่มีคนสองประเภทนี้ขึ้นมา คือไม่มีนายทุนที่ขูดรีด
และก็ไม่มีคนยากจนที่ว่าไม่มีอะไรจะกิน
เพราะว่าศีลธรรมมันทำให้มีระบบเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
หรือที่เราเรียกว่าสังคมนิยมอันบริสุทธิ์ ซึ่งได้มีมาแล้วไม่รู้กี่หมื่นปีกี่พันปีกี่ร้อยปีมานี่
ไม่ใช่ของใหม่
เดี๋ยวนี้เป็นยุคหรือเป็นเวลาที่จะปรากฏผลร้ายของการกระทำผิดพลาดในเรื่องนี้
คนในโลกนี้ที่ทิ้งระบบสังคมนิยมอันบริสุทธิ์จนเกิดวิกฤตการณ์อย่างนี้ขึ้นมา
แล้วจะมาเรียกหาสังคมนิยมโดยใช้อาวุธเข้าประหัตประหารกันนั้น
มันจะเป็นเรื่องบ้าต่อไปอีกก้าวหนึ่ง จะเหมือนกับเอาน้ำโคลนล้างโคลน
น้ำโคลนทีหลังนี้ยิ่งเหนียวแน่นไปกว่าโคลนทีแรก เป็นความผิดที่มากไปกว่าความผิดทีแรก
ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ ทำไปก็ไม่แก้ปัญหาอะไรได้
นอกจากจะตายเปล่ากันไปมากๆอีกเท่านั้น ไม่มีประโยชน์กับใคร
ฉะนั้นต้องหันไปหาสิ่งที่สูงสุด คือพระเจ้า
ได้แก่ธรรมสัจจะที่มีอำนาจเด็ดขาดในเรื่องนี้ ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งศีลธรรม
ที่จะมีเมตตากรุณากัน เป็นต้น
ข้อนี้คือจะต้องต่อสู้ชนิดที่เรียกว่า ชนะอธรรมด้วยธรรม
ชนะความชั่วด้วยความดี อย่างนี้เท่านั้นแหละจึงจะรอดกันไปได้
ถ้าอย่างอื่นก็เป็นการผิดธรรมะ ก็ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก
พุทธบริษัทควรจะถือว่ามีโชคดีอยู่มากทีเดียว
ที่ได้เป็นพุทธบริษัทมีธรรมะครบในทุกแง่ทุกมุม
กระทั่งธรรมะในแง่ของความเป็นอยู่อย่างสังคม เพื่อเป็นสังคมที่ดี
อาตมาเคยพูดอุปมาให้เขาฟังว่า เดี๋ยวนี้พวกเราอยู่ในสภาพที่จะต้อง
“จุดไฟบ้านรับไฟป่า” ไฟบ้านก็คือไฟที่อยู่ในระเบียบของศีลธรรมและควบคุมได้
ส่วนไฟป่านั้นมันก็มาอย่างบ้าเลือด ไม่มีระเบียบ ถ้าเราจะป้องกันไฟป่า
เราต้องรีบจุดไฟข้างๆบ้านเรานี้เสียให้มันเกลี้ยงเกลา ไม่ให้มีเหยื่อของไฟป่า
ไม่ให้มีเหยื่อของโมหะ ทุจริตอะไรต่างๆในจิตใจของเรา ข้างนอกก็เหมือนกัน
อุปมานี้คือ มีบ้านอยู่ในดงพงอ้อ
ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงทั้งนั้น พอไฟป่าไหม้มามันก็ไหม้หมดทั้งพงเลย ทั้งบ้านเรือน
กระต๊อบ หรืออะไรก็สุดแท้ แต่ถ้าจุดไฟไว้รอบๆแล้วมันไหม้ไม่ได้ นี่ก็คือ
มีระเบียบที่ถูกต้อง สร้างป้องกันอยู่แล้ว
พุทธบริษัทก็มีระบบสังคมนิยมตามแบบของพระศาสนาเป็นเครื่องรับหน้าสังคมนิยมบ้าเลือดของอันธพาล
ซึ่งมีความเห็นแก่ตัว ทำให้มีความเห็นแบ่งแยกแล้วก็โทษคนนั้นโทษคนนี้
ไม่มีความเป็นธรรม แล้วมันก็ไม่มีอะไรที่จะเป็นผลดีอย่างยืดยาวต่อไปได้
เราจะต้องหันหน้าเข้าหาสิ่งที่เรียกว่าธรรมหรือพระธรรม แล้วก็พึ่งพระธรรม
พุทธศาสนาก็รู้กันอยู่แล้วว่าเป็นศาสนาของผู้รู้พุทธะ
คือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ศาสนาของพุทธะก็จะต้องเป็นไปเพื่อความรู้ ความตื่น
ความเบิกบาน มีความถูกต้องในทุกสิ่งที่มันเข้ามาเกี่ยวข้องกัน
จะเป็นบุคคลก็ตามหรืออะไรก็ตาม
นี่เท่าที่พูดมานี้ก็พอจะมองเห็นกันได้แล้วว่า
คำว่าสังคมนิยมนั้นมันไม่ใช่เฉพาะคนอย่างเดียว
มันกินความลงไปถึงธรรมชาติทั้งหลายทั้งปวง แม้ไม่ใช่คน
แม้เป็นสักว่าส่วนประกอบอย่างหนึ่งๆ เช่นธาตุ ขันธ์ อายตนะ
อะไรก็ตามแต่ในคนคนหนึ่ง มันก็ต้องอยู่ในระบบที่เรียกว่าสังคมนิยม
คือผูกพันกันสัมพันธ์กันในลักษณะที่ถูกต้อง
เดี๋ยวนี้มันถึงคราวที่ว่า
เกิดมีสังคมนิยมที่ผิดไปจากธรรมสัจจะของธรรมชาติ ของบุคคลบางพวกบางหมู่ที่ได้ประพฤติตัวอย่างเป็นขบถต่อธรรมชาติ
เกิดแตกแยกขึ้นเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งมีอำนาจทางการเงิน
ฝ่ายหนึ่งมีอำนาจทางเรี่ยวแรง เพราะว่าพวกมันมาก มันก็จะได้ประหัตประหารกัน
ภัยนี้ก็เกิดมาจากสังคมนิยมบ้าเลือด
คืแอเห็นแก่พวกตัวเกินไป ไม่เห็นแก่พวกอื่นว่า
แม้พวกอื่นก็เป็นมนุษย์ที่อยู่ร่วมโลกกัน ควรจะเป็นพวกเดียวกัน
ฉะนั้นการจะไปแบ่งแยกมนุษย์ออกเป็นพวกๆแล้วทำตนเป็นศัตรูกันนั้น
ไม่ใช่ความต้องการของธรรมชาติ และก็ไม่ใช่ความต้องการของศาสนาใดๆ
ทุกศาสนาก็ไม่ต้องการอย่างนั้น ต้องการจะให้เป็นคนคนเดียวกันอยู่เสมอ
ถ้ามีคนทำผิดก็จะต้องมีความเมตตากรุณาที่จะต้องแก้ไขเสียให้ถูก
ไม่จำเป็นจะต้องไปฆ่าเขา เพราะมันจะทำให้ผิดยิ่งขึ้น
แล้วมันจะมีการตอบสนองกันไปตอบสนองกันมา ในทางที่จะให้มันผิดยิ่งขึ้น
ดุร้ายเป็นสัตว์ป่ายิ่งขึ้น ดังนั้นมันจึงฆ่ากันลงคอ
คนสมัยนี้จึงมีใจอำมหิตพอที่จะปล่อยลูกระเบิดพิเศษลงมาสักลูกหนึ่ง
ซึ่งตัวก็รู้ดีว่าจะต้องมีคนตายเป็นแสนๆ ยังมีจิตใจปล่อยลงมาได้
ถ้าเป็นสมัยปู่ย่าตายายของเรา มันยอมแพ้ ยอมหนี ยอมทิ้ง ไปไหนไม่รู้
ไม่ยอมปล่อยของอย่างนี้ลงมาเพื่อฆ่ามนุษย์ด้วยกันทีเดียวเป็นแสนๆ
นี่ความเสื่อมทรามทางศีลธรรมในจิตใจของมนุษย์มันมีอย่างนี้
จะเรียกว่าสังคมนิยมได้อย่างไร
เพราะฝ่ายไหนมันก็พร้อมที่จะใช้อาวุธชนิดนี้กันทั้งนั้น ประเทศที่ถือระบบนายทุน
ประเทศที่ถือระบบชนชั้นกรรมาชีพ
ต่างก็พร้อมที่จะเหลี่ยงระเบิดชนิดนี้ใส่กันทั้งนั้น มีความอำมหิตพอๆกัน
แม้ว่าจะคนละแบบ ขอให้คิดดูให้ดีว่า ถ้าเป็นสังคมนิยมอันแท้จริง
มันจะต้องเห็นเพื่อนตาดำๆเป็นสิ่งที่ฆ่าไม่ลง และจะต้องแก้ไขกันโดยวิธีอื่นก่อน
ไม่คิดถึงการฆ่า
เราต้องการสันติภาพ ก็ต้องเลือกทำไปตามทางของสันติภาพ
การฆ่าเขาก็นำไปสู่การที่เราถูกฆ่า แต่ถ้าว่าเราจะมีความสมัครสมานสามัคคีกัน
เราก็ต้องแล่นออกมาด้วยความเมตตากรุณาซึ่งกันและกัน
คำพูดที่ว่า “มีเมตตากรุณาแล้ว แม้แต่สัตว์ร้ายก็ไม่กัด
ก็ไม่ทำอันตราย” นี่เดี๋ยวนี้ไม่มีใครเชื่อ
เห็นเสือเห็นสัตว์ร้ายนี่ก็ไล่ฆ่าไล่ยิง อย่าให้มันเหลืออยู่ในแผ่นดินนี้
แล้วก็ทำมากไปจนถึงกับว่าคนก็ไม่เว้น ขอให้ดูให้ดีๆในข้อนี้แหละ
มันจะหลอกให้เข้าใจผิดได้มากทีเดียว ข้อที่ว่าชนะความชั่วด้วยความดี
อย่าชนะความชั่วด้วยความชั่ว อย่าเอาน้ำโคลนล้างโคลน
มีปัญหาว่า
ไม่เท่าไรก็จะมีมนุษย์ที่ไม่ควรเรียกว่ามนุษย์ เป็นคนที่มีสังคมนิยมบ้าเลือด
เขาจะล้างผลาญจะฆ่าฟันกันในโลกนี้ เราจะทำอย่างไร? ข้อนี้รู้จักหลบๆไป
จะเที่ยวออกโรงไปฆ่าเขา อย่างนี้เราก็ทำไม่ได้ เพราะว่าเราเป็นพุทธบริษัท
รู้ดีว่าทำอย่างนั้นไม่มีประโยชน์อะไร ก็เตรียมจุดไฟบ้านรับไฟป่า
มันจะมีธรรมะเพียงพอที่จะขจัดอธรรม แม้ว่าเราจะต้องตายไป เราก็ไม่ยอมเสียในส่วนที่เป็นธรรม
จะเอาธรรมะไว้ แทนที่จะสงวนเอาชีวิตไว้อย่างไม่มีธรรม
พร้อมกันก็จะช่วยให้เป็นธรรมขึ้นได้อย่างไร ก็จะช่วยกันหมดทุกทาง
นี่สังคมนิยมตามทางธรรม เขาจึงเพิ่มคำเข้าไปข้างหน้าว่า
สังคมนิยมที่ประกอบอยู่ด้วยธรรม ไม่ใช่สังคมนิยมที่ประกอบอยู่ด้วยอาฆาตจองเวรโกรธแค้น
น้อยเนื้อต่ำใจใช้กิเลสเข้าใส่กัน สังคมนิยมอย่างนั้นไม่ประกอบไปด้วยธรรม
ไม่เข้ากันได้กับพุทธบริษัท
ซึ่งพุทธบริษัทจะต้องยอมตายเองเสียดีกว่าที่จะไปทำอย่างนั้น
เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไร มันไม่รู้จบ
นี่ข้อที่ว่า เอาธรรมะเป็นที่พึ่ง
เอาพระเป็นที่พึ่ง เอาศาสนาเป็นที่พึ่ง ก็หมายความว่า ต้องทำถูกต้องในเรื่องนี้
ธรรมจึงจะเป็นที่พึ่งได้ เหมือนกับว่า ที่แล้วๆมาแต่โบราณ
ปู่ย่าตายายของเรามีธรรมะเป็นที่พึ่ง
เป็นเครื่องคุ้มครองป้องกันไม่ให้เกิดความแตกแยกจนเป็นศัตรูกันอย่างถึงที่สุด
การทะเลาะวิวาทกันหรืออะไรเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆในสมัยนั้น
ส่วนสมัยนี้กลายเป็นเรื่องที่ว่าจะต้องฆ่ากันทั้งโลกหรือครึ่งโลก
นี่คือความเข้าใจผิดในคำว่า “สังคมมนุษย์” หรือว่าโลกของมนุษย์จะต้องเป็นอย่างไร
จะต้องอยู่กันอย่างไร
ฉะนั้นควรจะสลดสังเวช เอามาล้อกันเล่นว่า
มนุษย์เป็นมนุษย์กันถึงไหนแล้วโว้ย ที่ไปมองเห็นว่า
การฆ่ากันคนละครึ่งโลกนี้เป็นของถุกต้อง มนุษย์ได้เดินมาถึงขั้นนี้แล้ว
มันเป็นมนุษย์กันอย่างไร มีสังคมนิยมไว้เพื่อจะฆ่ากัน ฝ่ายโน้นมันก็มีพวก
ฝ่ายนี้มันก็มีพวก แล้วมันก็ฆ่ากันได้ นี่มนุษย์เดินขึ้นมาถึงขั้นนี้
และยังกระเหี้ยนกระหือรือที่จะยึดถือสัจจาภินิเวสอันนี้ไว้ว่า
เราจะแก้ปัญหาในโลกได้ด้วยการกระทำอย่างนี้
นี่ล้อมนุษย์ก็คงจะไม่พ้นตัวเราที่รวมอยู่ในนั้นคนหนึ่งด้วย
จึงจะเรียกว่ายุติธรรมดี
ถึงแม้ว่าเราจะไม่รวมอยู่ในพวกนั้น
แต่เราก็รวมอยู่ในโลกนี้ ที่ต้องพลอยถูกผลสะท้อนหรือวู่กหลง หรือว่าอะไรก็ตาม
นี่ก็เป็นเรื่องที่น่าล้อด้วยเหมือนกัน ช่างโชคดีอะไรที่เกิดขึ้นมาในยุคนี้
ได้เห็นอะไรแปลกๆ แต่แล้วก็ไม่พ้นที่ว่าจะพลอยได้รับลูกหลงหรืออะไรกับเขาไปด้วย
เมื่อโลกปั่นป่วนถึงขนาดนี้แล้ว มันก็ไม่ยกเว้นอะไรที่จะไม่กระทบกระเทือน
ไม่โดยตรงมันก็โดยอ้อม ฉะนั้นทางที่ปัดเป่ามันก็คิดดูให้ดีๆ
จะเอาน้ำโคลนล้างโคลนหรือว่าจะหาน้ำสะอาดมาล้างโคลน
ถ้าเอาธรรมะแท้จริงมาใช้แก้ปัญหา มันก็เหมือนกับเอาน้ำสะอาดล้างโคลน
กระทั่งจะต้องล้างให้แก่ตัวคนเราที่เห็นว่าเป็นศัตรูนั้นด้วย นี่เรียกว่า
ชนะความชั่วด้วยความดี
ขอให้ทุกคนลองสรุปความดูที่ว่า คำว่า
สังคมนิยมนี้มีความหมายว่าอย่างไร ไม่ต้องเอาเรื่องการเมืองในปัจจุบันมาเป็นหลัก
เพราะนั่นเป็นเรื่องเล็กนิดเดียว หยิบมือเดียว
เป็นความโง่ของมนุษย์ที่มีมาหมื่นปีพันปีร้อยปี
ควรจะเอาความฉลาดนั้นมาใช้เพื่อจะแก้ปัญหา โดยที่ไม่ทำให้ต้องเสียเลือดเนื้อมากยิ่งขึ้นไปอีก
ทุกคนก็มองเห็น และก็พูดกันอยู่ รู้กันอยู่
ประกาศกันอยู่ ว่ามันตายไปเท่าไร มันเสียอะไรไปเท่าไร และมันกำลังเดือดร้อนระส่ำระสายโดยตรงโดยอ้อม
และโดยอะไรอีกมากมายเท่าไร ขอให้คิดดูอย่างนี้ แล้วมันก็จะถอยกลับ
เขาก็จะสลดสังเวช หยุดยั้งในการที่จะประหัตประหารกัน
อย่างที่ได้พูดเมื่อตอนกลางวันว่า ถ้าอยากจะทำบุญก็ขอให้ทำบุญในส่วนนี้ ทำบุญส่วนในที่ให้ศีลธรรมกลับมา
ถ้าศีลธรรมกลับมาแล้ว ระบบสังคมนิยมในโลกนี้จะถุกต้อง ถ้าศีลธรรมหายไปหมดแล้ว
ระบบสังคมนิยมที่ถูกต้องก็มีไม่ได้ มันก็มีระบบสังคมนิยมแห่งการเห็นแก่ตัว
ในที่สุดก็ต้องบ้าเลือด แล้วก็ฆ่าฟัน กันอย่างที่เรียกว่าเป็นมิคสัญญี
เป็นสัตตัตรกัปป์ คือกัปป์ที่จะต้องใช้อาวุธเป็นเครื่องตัดสิน
ใช้ความมุทะลุดุดันของกิเลส เพื่อใช้อาวุธนั้นเป็นเครื่องตัดสินปัญหาต่างๆ
เป็นความโง่แบบหนึ่งในความโง่หลายๆแบบ หรือหลายๆสิบแบบ
ฉะนั้นขอให้คิดหันหน้าไปทางพระธรรม ในทางธรรมะ ในทางศาสนา
ซึ่งเป็นแบบฉบับของความถูกต้อง และถูกต้องเรื่อยมาตามลำดับ
อันเป็นการพิศูจน์ไปอย่างดีว่า ธรรมะนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องอย่างไร
พูดถึงคำว่า
“ธรรม”แล้ว ก็เหลือวิสัยที่จะเอามาพูดให้หมดสิ้นได้ ทุแกคนก็พอจะมองเห็นหรือหยั่งเห็นว่า
“ธรรม” นี้กว้างเท่าไร
เป็นทุกแง่มุมอย่างไรในบรรดาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของมนุษย์เรา ถ้าใช้คำว่า
“ธรรม” คำนี้ไปตามหลักของภาษาแล้ว ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรม คือธรรมะตามธรรมชาติ
เนื้อหนังร่างกายอะไรทุกอย่างในคนนี้เรียกว่ารูปธรรม เป็นธรรมะประเภทที่มันเป็นรูป
และจิตใจมันก็เป็นธรรมะในประเภทนามธรรม ความที่เป็นไปสัมพันธ์กันก็เป็นธรรมพ
เป็นความสัมพันธ์กันระหว่างรูปธรรมกับนามธรรม รู้ได้ด้วยใจก็เป็นนามธรรม
ถ้ารู้ได้ด้วยธรรมดาสามัญก็เป็นรูปธรรม นี่มันเป็นสิ่งที่ไม่มีทางรอด ไม่มีทางหนี
หรือไม่มีทางหลีกว่า อะไรที่มันไม่ใช่ธรรม
ทีนี้กฏเกณฑ์ที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับสิ่งนี้ก็เรียกว่าธรรม
การปฏิบัติตามกฏเกณฑ์อันนี้ก็เรียกว่าธรรม ผลเกิดขึ้นมาเป็นสุขเป็นทุกข์อะไร
ก็เรียกว่าธรนรมทั้งหมด เป็นกุศลธรรม อกุศลธรรม ความสุขก็เป็นธรรม
ความทุกข์ก็เป็นธรรม ในฐานะที่เป็นเวทนา ฉะนั้นจะต้องยอมรับว่า มันต้องเอาระบบของธรรมอย่างถูกต้องมาใช้จึงจะแก้ปัญหาได้
จึงจะไม่ต้องฆ่าฟันกันอย่างสัตว์ป่าที่มันกัดกัน
คำว่า สังคมนิยม ได้พูดมาแล้วข้างต้นว่า มันเป็นสิ่งที่ธรรมะจัดขึ้น หรือเป็นธรรมสัจจะของธรรมชาติมันจัดขึ้น ไม่ใช่ใครจัด
ส่วนมนุษย์เรานี่ไม่ต้องพูดละ
ไม่มีความสามารถอะไรที่จะไปจัด จัดคนหรือว่าจัดโลก หรือว่าจัดธรรมชาติ ฉะนั้นธรรมชาติอันลึกซึ้ง
อันใหฐ่หลวง มันจัดให้เป็นมาอย่างนี้ ให้รอดกันมาได้ในลักษณะอย่างนี้
ด้วยวิญญาณแห่งสังคมนิยม ถ้าไม่มาในรูปนี้มันตายหมดแล้ว ไม่เหลืออยู่ถึงบัดนี้ โดยเหตุที่มันมาในรูปนี้
โดยการจัดของธรรมชาติมันจึงเหลืออยู่
ฉะนั้นควรจะขอบคุณสิ่งที่เรียกว่าสังคมนิยม ที่เป็นเจตนารมณ์ของธรรมชาติ จะเรียกว่าสัจธรรมของธรรมชาติก็ได้
ที่จะจัดให้สิ่งต่างๆเป็นมาในแบบนี้ในรูปนี้ มีความหมายเป็นสังคมนิยมโดยสมบูรณ์
ที่ได้กล่าวมาแล้วว่า
ในร่างกายคนนี้ก็ต้องมีระบบสังคมนิยม
มันจึงรอดอยู่ได้
กระทั่งทั่วทั้งโลก
มันจะน่าหัวมากทีเดียวถ้าเราจะพูดว่า
ในระบบจักรวาลมันก้เป็นสังคมนิยม
ถ้าไม่เป็นเมื่อไหร่มันจะต้องวินาศ
เราก็เรียนวิทยาศาสตร์เรื่องโลกเรื่องจักรวาล
เรื่องจักรวาลทั้งหมดในโลก
ในสากลจักรวาล
มันก็เป็นระบบสังคมนิยม
ดวงดาวไม่รู้ว่ามีมากมายเท่าไรในท้องฟ้านั้น มันอยู่กันด้วยระบบสังคมนิยม มันถูกต้องอยู่ตามระบบของสังคมนิยม
จักรวาลนั้นมันจึงอยู่รอดอยู่ได้
จักรวาลของเราเล็กๆนี้มีพระอาทิตย์เป็นแม่
มีดาวเคราะห์นั่นนี่รวมทั้งโลกนี้ด้วยเป็นบริวาร
มันก็อยู่กันอย่างระบบสังคมนิยมแต่มันไม่บ้าถึงกับจะชนกัน
เดี๋ยวนี้มนุษย์นี้มันจะบ้าถึงขนาดที่มันจะกัดกันจะชนกัน เพราะมันไปถือเอาสังคมนิยมแบบอธรรมไม่เป็นธรรม
ไม่ถูกต้องตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ ไม่รู้จักธรรมสัจจะของธรรมชาติ
นี้เป็นสิ่งที่จะต้องนึกถึงกันแล้วในเวลานี้
เพราะว่ามนุษย์ในโลกนี้มันหมดความเป็นมนุษย์แล้งว มันบ้าเลือด
มันหน้ามืดตาลายที่จะใช้ระบอบธรรมในนามแห่งสังคมนิยม มาล้างผลาญกัน ถ้าเป็นสังคมนิยม แท้ต้องประกอบด้วยธรรม ต้องประนีประนอมกัน ต้องพูดกันรู้เรื่อง แล้วก็ใช้ระบบที่ถูกต้องนี้ป้องกันไม่ให้เกิดการแตกแยกหรือว่าฆ่าฟันกัน สรุปความในข้อนี้เสียทีหนึ่งก่อนก็ว่า มีธรรมสัจจะอันหนึ่งโดยเฉพาะ สำหรับเจตนารมณ์ของคำว่าสังคมนิยม
เป็นไปตามธรรมธรรมชาติ เป็นกฏของธรรมชาติที่หล่อเลี้ยงสิ่งเหล่านี้เอาไว้ได้ ยังคงเหลืออยู่กระทั่งทุกวันนี้
ทีนี้ก็มาถึงยุคที่จะเป็นบาปกรรมอันเลวร้ายที่สุดของมนุษย์ ซึ่งสัตว์ดัจฉานมันไม่เป็น แต่ว่ามันก็พลอยได้รับปฏิกิริยาลูกหลงอะไรจากมนุษย์ที่บ้าเลือดเหล่านี้บ้าง
หมายความว่า
ภถ้ามนุษย์รบราฆ่าฟันกันอย่างมหาศาลอย่างนี้แล้ว ก็กระเทือนถึงสัตว์เดรัจฉานบ้างเป็นธรรมดา แต่มันไม่รู้อีโหน่อีเหน่ มันไม่มีส่วนที่จะบ้าเลือดเหมือนมนุษย์อย่างนี้
แต่ก็พลอยรับบาปโดยไม่มีเหตุผลไม่มีเจตนา
ขอให้มนุษย์นี้รู้จักความเป็นมนุษย์เสียใหม่ให้ถูกต้อง อย่าให้เลวกว่าสัตว์เดรัจฉานเลย ให้เข้าใจคำว่าสังคมนิยมอย่างถูกต้อง คือประกอบอยู่ด้วยธรรมะซึ่งหมายถึงธรรมชาติ ซึ่งหมายถึงกฏเกณฑ์แห่งธรรมชาติ ซึ่งหมายถึงตัวธรรมสัจจะโดยเฉพาะ สำหรับความจริงข้อนี้ในระบบนี้
อยากจะชักชวนให้สนใจในคำว่า ธรรมะ
กันให้มากกว่าที่แล้วมา
เพื่อว่าจะมีอะไรๆที่ประกอบอยู่ด้วยธรรมให้มากขึ้นไปอีก ถ้าไม่เร่งระดมกำลังในส่วนนี้แล้ว มันก็จะต้านทานระบบอธรรมในโลกนี้ไม่ไหว เพราะมันกำลังมากขึ้นโดยเร็ว หนาแน่นขึ้นโดยเร็ว
ทางฝ่ายธรรมะนี้ก็จะต้องเร่งรัดขึ้นมาเหมือนกัน
ให้มีกำลังของธรรมะขึ้นมาให้ทันกันให้พอกัน เพื่อที่จะรับหน้าอธรรม มนุษย์มันดีเกินไป
เห็นไหมที่เปิดโอกาสให้อธรรมเข้ามาครอบงำโลก
ในลักษณะที่ว่าน่าสะพรึงกลัว
เท่าที่เราทราบมันยังไม่มีเหตุการณ์ร้ายกาจขนาดนี้ จะเรียกว่าเพราะมนุษย์เพิ่มจำนวนมากขึ้นก้ได้ แต่นั้นไม่สำคัญ ที่เพิ่มมากอย่างร้ายกาจนั้นคือเพิ่มกิเลส เพิ่มอวิชชา
เพิ่มตัณหา เพราะมันมีเหยื่อของอวิชชา ตัณหาในโลกปัจจุบันนี้มากเหลือเกิน ฉะนั้นมนุษย์ไม่ได้เพิ่มปริมาณมนุษย์หรอก
แต่มันได้เพิ่มกิเลสตัณหามากเกินไปจนไม่มีธรรมะเหลืออยู่ ไม่มีสัจธรรม
ธรรมสัจจะของธรรมชาติเหลืออยู่
มันจะผิดธรรมชาติถึงขนาดที่จะทำลายธรรมชาติเสียเอง ในทางรูปธรรมบางอย่างเราก็ทำลายกันมากแล้วเรื่อยๆไป ทีนี้กำลังจะมาถึงเรื่องทางจิตวิญญาณ ก็กำลังจะถูก ที่จริงธรรมชาตินี้เป็นสิ่งที่ใครทำลายไม่ได้ ธรรมะก็เป็นสิ่งที่ใครทำลายไม่ได้
ที่ทำลายได้คือส่วนที่มาอยู่ที่เนื้อที่ตัวของมนุษย์ที่เลวทราม ธรรมะที่ดีที่เคยดีอยู่ที่เนื่อที่ตัวของมนุษย์นั่น มันถูกทำลายไปโดยมนุษย์
ธรรมะจริงหรือธรรมะของสากลจักรวาลหรือธรรมชาตินั้น ไปทำลายมันไม่ได้
ไปทำลายมันแล้วมันก็จะยิ่งลงโทษให้อย่างที่กำลังได้รับอยู่อย่างนี้แล้วในเวลานี้ ตามสมควรแก่การที่มนุษย์ผู้โง่เขลาได้ไปทำลายธรรมชาติเข้าแล้วอย่างโง่เขลามากน้อยเท่าไร
มนุษย์สมัยโน้นไม่ค่อยได้รับปัญหาอย่างมนุษย์ปัจจุบันนี้
เพราะเขาไม่ค่อยได้ทำลายธรรมชาติหรือทำลายสัจธรรมของธรรมชาติ เขาเป็นอยู่อย่างสมคล้อยกับธรรมชาติ
ฉะนั้นเขาจึงไม่เกิดปัญหามากเหมือนพวกเราสมัยนี้ นี่เป็นสิ่งที่จะต้องนึกกันให้ดี
ถ้าอย่างไรมันอาจจะพูดกันรู้เรื่องและเข้าใจกันได้ มาเร่งระดมกำลังไปในทิศทางนี้ ดีกว่าที่จะไปมุ่งหน้าว่ามึงเป็นมึง
กูเป็นกู แล้วก็จะเอากันให้เด็ดขาดไปเลยด้วยการใช้กำลังในร่างกายของมนุษย์นี้มันจะมีความเป็นสัตว์ป่าไปเสียหมด เพราะมันถือหลักผิด แล้วมันไกลเกินกว่าธรรมสัจจะของธรรมชาติ มากเกินไปแล้ว
อาตมาต้องขออภัยที่ต้องเอาเรื่องที่ไม่น่าฟังมาพูดให้ฟัง
หรือเอาเรื่องที่ทำให้เกิดความยุ่งยากใจแก่ผู้ฟังมาพูดให้ฟัง ซึ่งต้องพูดเพราะมันเป็นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น หรือได้เกิดขึ้นแล้วไม่ใช่น้อยเหมือนกัน แต่ยังไม่ทันจะเด่นชัดออกมา
ถ้าอย่างไรก็ขอให้ใช้ระบบธัมมิกสังคมเป็นไฟบ้านที่จุดรอบๆบ้านและต้อนรับสังคมนิยมบ้าเลือด ซึ่งเป็นเหมือนกับไฟป่า และมันจะเป็นไปไกลถึงขนาดว่า ถ้ามีธรรมะจริงแล้วจะไม่มีอะไรเป็นปัญหา เพราะว่าผู้ที่ไม่มีการยึดถือเป็นตัวตนของตนนั้น ไม่มีอะไรเป็นปัญหาแม้แต่ความตายมันก็ไม่มีอะไรเป็นปัญหา เมื่อไม่มีความกลัวตาย หรือความตายไม่มีปัญหาแล้ว ก็ควรจะสมัครใจรับเอาฝ่ายที่ถูกต้องหรือเอาความถูกนั่นแหละมาถือไว้เอาชีวิตเข้าแลกก็ทำได้ ได้ชื่อว่าทำถูกต้องที่สุด ทำดีที่สุดที่ควรจะทำ
ขอให้รีบสนใจธรรมะไว้เป็นเครื่องแก้ปัญหาของมนุษย์ และเป็นเกราะป้องกันตัวเฉพาะคนๆ ซึ่งจะป้องกันได้มากถึงขนาดเรียกว่า ป้องกันความเกิด ความแก่
ความเจ็บ ความตาย
ไม่ให้เกิดเป็นทุกข์อะไรขึ้นมานี่ตามแบบที่เรารู้กันอยู่ดีแล้วว่า อมตธรรมในพระพุทธศาสนานั้นไปไกลถึงขนาดนี้ ฉะนั้นอย่ามามัวเห็นแก่เรื่องใกล้ๆเล็กๆน้อยๆ
กลัวเรื่องเล็กๆน้อยๆ ควรจะเห็นเรื่องใหญ่และก็กล้าพอที่จะถือเอาเรื่องใหญ่
ให้ได้รับประโยชน์จากเรื่องใหญ่และก็กล้าพอที่จะถือเอาเรื่องใหญ่ ให้ได้รับประโยชน์จากเรื่องใหญ่ แล้วก็เพื่อสังคมจริงๆ
เดี๋ยวนี้มันมีแต่โกหกหลอกลวง มันว่าทำเพื่อสังคมนิยม อะไรๆก็เพื่อสังคม แต่ที่แท้ก็เพื่อตัวเอง
ก็มันทำนาบนหลังสังคม
หาเกียรติจากสังคม
หาอะไรจากสังคม
แต่ก็เพื่อตัวมันเอง
เราอย่าทำกันอย่างนี้เลย
เราอาจจะเสียสละชีวิตของเราเพื่อประโยชน์แก่สังคม มันจึงไม่มีโอกาสที่จะหลอกลวงสังคมหรือทำนาบนหลังสังคมเหมือนคนบางคนกำลังกระทำกันอยู่ คนบางพวกกระทำกันอยู่
โฆษณาลัทธิชนิดที่ว่าตนจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์ แต่ในนามของสันติภาพของโลก นี่มันเป็นการำบาปเกินไป มันเป็นการทำบาปที่ลึกซึ้งเกินไป เรียกว่าไม่ซื่อตรงต่อสัจจะ ต่อธรรมะต่ออะไรหมด เพราะว่ามันไม่มีความซื่อตรงต่อมนุษย์ หรือต่อตัวเองด้วย
สังคมนิยมมีความหมายว่า ต้องเห็นแก่สังคม เพราะฉะนั้นเห็นแก่ตัวคนเดียวไม่ได้ นี่เป็นหลัก ธรรมะของธรรมชาติ และโดยเฉพาะเป็นหลักธรรมะในพระพุทธศาสนา อย่างภิกษุสามเณรอย่างนี้ ต้องเห็นแก่คณะสงฆ์
ไม่ต้องเห็นแก่ตัวเองคนเดียว
แม้ว่าจะต้องเสียชีวิต
อย่างนั้นแหละจึงจะเรียกเห็นแก่คณะสงฆ์
เห็นแก่สังคม
หรือเห็นแก่พระศาสนา
เห็นแก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหมด
ทีนี้เราก็พูดกันมากเกินไป แต่การกระทำจริงๆนั้นมีน้อย ไม่ตรงกับที่พูด ปากก็พูดสังคมนิยมฯ ส่วนรวมเพื่อมนุษย์ แต่ในใจแท้ๆนั้นมันตัวกู เดี๋ยวมันก็เกิดตัวสูขึ้นมา เดี๋ยวมันก็ได้วิวาทกัน ฉะนั้นขอให้ถือธรรมะอย่างถูกต้องอย่างสุจริต
อย่าลืมคำว่า จงประพฤติธรรมให้สุจริต เป็นคำที่ประหลาดที่สุด ธมฺมํ
สุจริตํ จเร –
จงประพฤติธรรมให้สุจริต คล้ายๆกับคนประพฤติธรรมะคดโกงก็ได้ โดยอ้างเอาธรรมะมาเป็นหลักสำหรับพูด สำหรับยกธงชูขึ้นไปเป็นธรรมะ แต่การประพฤตินั่นมันทุจริต เดี๋ยวนี้กำลังจะเป็นมากอย่างนี้ โดยเฉพาะพวกที่โฆษณาสังคมนิยมอย่างรับจ้าง
เพราะว่ามันมีการได้ประโยชน์เสียประโยชน์กันมากมายอย่างใหญ่หลวงทีเดียว ฉะนั้นระวังให้ดี ลัทธิสังคมนิยมอะไรที่กำลังจะแพร่เข้ามา ระบาดเข้ามาในประเทศไทยเรานั้น มันจะไม่ใช่สังคมนิยมของธรรมะที่ถุกต้อง เป็นสังคมนิยมจำเป็นของคนพวกใดพวกหนึ่ง หมู่ใดหมู่หนึ่ง
มันก็มีอุบายวิธีโฆษณาชวนเชื่อจนทำให้หลงกันไปได้ตั้งครึ่งโลกค่อนโลกก็ได้ แม้อีกฝ่ายหนึ่งมันก็ไม่ใช่ถูกต้อง
สิ่งที่ตรงกันข้ามกับสังคมนิยมปัจจุบันนี้มันก็อย่างที่เรียกกันว่าผู้เห็นแก่ตัวเหมือนกัน แล้วมันจึงดะพบกันพอดี ผู้เห็นแก่ตัวต่อผู้เห็นแก่ตัวนี้มาพบกันพอดี และก็ทำลายกันวินาศ โลกกำลังอยู่ในสภาพอย่างนี้ หรือว่ากำลังจะอยู่ในสภาพอย่างนี้ ถึงขนาดที่ว่ามันเป็นอันตราย
เดี๋ยวนี้เรากำลังนั่งกันอยู่ที่นี่ตามธรรมชาติในป่า ซึ่งเต็มไปด้วยธรรมชาติ
เราก็เยอกเย็นอยู่ได้ก้เพราะอิทธิพลของธรรมชาติ ทำให้เรามีความรู้สึกนึกคิดอย่างสังคมนิยมบริสุทธิ์ ที่เรามานั่งกันอยู่ที่นี่เวลานี้เรายังไม่ได้รับอิทธิพลของสังคมนิยมบ้าเลือด ฉะนั้นใจของเราจึงยังเยือกเย็นอยู่ นั่งอยู่ที่นี่เวลานี้ใกล้ชิดกับธรรมชาติ คือความสัมพันธ์กันเป็นอันดีระหว่างดิน น้ำ ลม
ไฟ อากาศ
วิญญาณ ภายนอก ภายใน
ที่เป็นก้อนหินก็มี
ที่เป็นต้นไม้ก็มี
เป็นสัตว์ก็มี เป็นคนก็มี นี้เรายังอยู่ใกล้ชิดสังคมนิยมธรรมชาติ ตัวธรรมชาติ
ซึ่งเป็นสังคมนิยมแท้ไม่หลอกลวงใคร
“ตัวกู ของกู” กำลังไม่เกิด ถ้าใครนั่งอยู่ที่นี่เวลานี้ เกิดตัวกู – ของกู แล้วก็ไปหาหมอเถอะ มันไม่ไหวแล้ว
มันต้องรีบไปหาหมอ
เพราะเวลานี้เรากำลังได้รับอิทธิพลของธรรมชาติ ชโลมจิตใจไว้ให้เยือกเย็น ด้วยอำนาจของธรรมชาติซึ่งไม่มีตัวกูของกู
อย่างที่พูดแล้วพูดอีกว่า ธรรมชาติแท้ๆ มีลักษณะสังคมนิยม มีเจตนารมณ์ของสังคมนิยม มันเป็นตัวสังคมนิยม เพราะมันไม่มีอะไรที่อยู่ได้ตามลำพังคนเดียว ตัวเดียว
ส่วนเดียว ธาตุเดียว อณูเดียว นี่มันมีไม่ได้ มันต้องเป็นกลุ่มเป็นก้อนกันไปทั้งนั้น ในหนึ่งปรมาณูก็อยู่อย่างสังคมนิยม ระหว่างสิ่งสองสิ่งที่ประกอบกันขึ้นเป็นปรมาณู ในหนึ่งอณูมันก็มีเจตนารมณ์ของสังคมนิยม คือหลายปรมาณูเป็นอณู หลายๆ อณูเป็นทิสชิว (tissue)
ประกอบกันขึ้นเป็นเนื้อเป็นหนัง กระทั่งเป็นใบไม้ เป็นอะไรก็ตาม
มันเป็นระบบสังคมนิยมไปเสียหมด
นี่ถูกต้องตามธรรมชาติ พอทำผิดเรื่องนี้มันก็มีปัญหาเกิดขึ้น แล้วจะมุทะลุดุดันใช้คำนี้อย่างเข้าข้างตัวอย่างเห็นแก่ตัว ผู้อื่นเขาก็สิทธิ์ที่จะใช้อย่างนี้ เขาก็ควรจะเห็นแก่พวกเขาได้ เราก็ควรจะเห็นแก่พวกเราได้ ฉะนั้น จึงได้ฆ่าฟันกัน ขอให้คิดดูให้ดี เข้าในให้ถูกต้อง
แล้วจะได้ต้อนรับไฟป่าบ้าเลือดที่กำลังจะคืบคลานที่กำลังจะคืบคลานแผ่คลุมเข้ามาในดินแดนที่มันไม่เคยแผ่เข้ามาปกคลุม
นี่พูดอย่างนี้ก็คล้ายกับว่า พูดด้วยความรู้สึกรับผิดชอบ
ถ้าไม่มีใครรับผิดชอบกันเสียเลยมันก็คงวินาศ
ในฐานะที่เราเป็นพุทธบริษัทเราต้องรับผิดชอบ
ความเป็นพุทธบริษัทรับผิดชอบหน้าที่ของพุทธบริษัท อะไรๆที่พุทธบริษัทควรจะทำก็ต้องกระทำ
ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่ารักษาธรรมะไว้ให้คงมีอยู่สังคมหรือในโลก นั่นแหละคือความรอด
ถึงแม้ว่าร่างกายจะแตกสลายไปเพราะอะไรก็ตามแต่ ธรรมะนั้นจะยังอยู่
พูดโดยสมมติอีกหนึ่งว่าตัวตนที่แท้จริงจะยังอยู่ เรายังไม่ตาย
เพราะเราเอาตัวธรรมะเป็นตัวเรา
เอาเราเป็นตัวธรรมะ
มันก็ไม่รู้จักตายอย่างนี้
ธรรมะมีลักษณะมีเจตนารมณ์มีอะไรเป็นสังคมนิยม จึงได้มีสิ่งทั้งหลายปรากฏออกมา อยู่อย่างผาสุก
พอสูญเสียความเป็นอย่างนี้ก็มีแต่ความระทมทุกข์ นอนไม่หลับ
ล้วนหวาดระแวง ก็ทนทุกข์อยู่ นี่เรียกว่าธรรมะมันตอบแทนเอา เพราะเราไปเหยียบย่ำธรรมะเข้า มันก็ตอบแทนเอาอย่างนี้
ขอร้องให้ทุกคนมอบกายถวายชีวิตแก่พระธรรม แล้วมันก็จะเป็นการมอบกายถวายชีวิตแก่พระพุทธและพระสงฆ์ไปพร้อมกัน เพราะมันแยกกันไม่ได้ แต่เราใช้คำว่า “ธรรม” เป็นหลัก มอบกายถวายชีวิตแก่พระธรรม รวมพระพุทธพระสงฆ์ด้วย นี่จะเป็นทางรอด
เราจะรู้หลักปฏิบัติที่เป็นเจตนารมณ์ของพระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์ ได้ยิ่งๆขึ้นไป
ไม่มีอะไรผิด
อย่าให้เสียทีที่ตะโกนอยู่ทุกวันๆว่า
พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ – ถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะ ก็ให้สรณะจริงๆ อย่าให้ปากว่าอย่างนี้ แล้วมือตีนกลับไปกระทำอย่างอื่น ไปรับจ้างอุดมคติอันอื่น นี่ก็ไม่มีอะไรเหลือแล้วสำหรับความเป็นมนุษย์ ที่จะเป็นมนุษย์ที่แท้จริง
เรื่องนี้บางคนอาจจะฟังแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่ธรรมอะไรเลยสักนิด
เพราะพูดถึงสังคมนิยมลัทธิการเมืองอะไรต่างๆ ถ้าใครกำลังคิดอย่างนี้ละก็ขอให้ทบทวนใหม่ ให้คิดเสียใหม่ว่า
การเมืองถ้าทำถูกต้องมันก็เป็นเรื่องของศีลธรรม ถ้าเป็นศีลธรรมมันก็เป็นสัจจะของธรรมชาติ มันก็อันเดียวกัน คือเป็นธรรม
การเมืองที่หลอกลวงต่างหากที่มันไม่เป็นศีลธรรม มันผิดหลักสัจจะของธรรมชาติ มันก็ได้ทำลายล้างกัน มันจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม เรื่องการเมืองก็ตาม เรื่องเศรษฐกิจก็ตาม กระทั่งเรื่องสงครามก็ตาม ถ้าทำถูกต้องตามหลักแล้วจะเป็นศีลธรรมทั้งนั้น และเป็นไปเพื่อความปกติสุข
อยู่ได้ตามความมุ่งหมายเดิมของธรรมชาตินั่นเอง ถ้าต่อสู้เพื่อให้ธรรมะยังมีอยู่ได้ก็เป็นความถูกต้องแน่นอน ฉะนั้นขออย่าได้ต่อสู้อย่างอื่นเลย อย่าได้ต่อสู้เพื่อความเป็นอย่างอื่นเลย ต่อสู้เพื่อความมีธรรมะอยู่กับมนุษย์อยู่กับโลก นี่เป็นการต่อสู้ที่ควรกระทำอย่างยิ่ง แม้จะต้องเสียชีวิตไปเพราะเหตุนี้ก็ควรจะยินดี
เพราะว่าแลกเอาสิ่งที่มีค่ามหาศาลเข้าไว้เพื่อตัวเราตัวใหญ่ คือมนุษย์ทั้งโลกนั่นเอง ตัวกูตัวเดียวเล้กๆนี้มันจะทำพิษ มันจะชักจูงไปในทางที่ผิด อย่าไปเอากับมัน
ถือเอาระบบสังคมนิยมที่เป็นตัวกูตัวใหญ่ทั้งสากลจักรวาล เรียกว่า ปรมาตมัน มหาตมัน
อะไรก็ตามแล้วแต่จะเรียก
แต่อาตมาจะเรียกว่า
ปรมสัจจะของสากลจักรวาล
ควรจะเข้าถึงอันนี้
รักษาอันนี้เอาไว้ให้ได้
แล้วก็จะไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์
ไม่ต้องพูดถึงว่าได้พบพระพุทธศาสนา
เพียงแต่ว่าเป็นมนุษย์นี่ก็ไม่เสียทีแล้ว
ถ้ารักษาสิ่งที่เป็นของมีค่าสำหรับมนุษย์เอาไว้ได้จริง อย่าให้เสียทีที่ได้เป็นมนุษย์เลย
แล้วถ้ายิ่งเป็นมนุษย์ที่ได้พบพระพุทธศาสนาเข้าไปอีกก็ยิ่งมีความหมายแน่นแฟ้นยิ่ง
ขึ้นไปอีก
จะเป็นมนุษย์ที่ไม่เสียทีที่ได้พบพระพุทธศาสนาได้เพราะอุดมคตินี้ยังอยู่ เป็นอุดมคติของธรรมะ ก็อยู่รอดของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่จะรวมกันได้เป็นสังคม หรือกระทั่งเป็นจักรวาลก็แล้วกัน เราควรจะนึกถึงว่า ถ้ามันมีมนุษย์ในโลกอื่น ในจักรวาลอื่น
ในดวงดาวที่เห็นอยู่ระยิบระยับนั่นก็ควรจะอยู่ในชุดเดียวกัน อยู่ในวงไพบูลย์ร่วมกันของความเป็นมนุษย์นี่ ถ้าใครแผ่เมตตาก็แผ่ให้มันกว้างออกไปถึงโลกอื่นๆ
ในโลกธาตุอื่นๆด้วย ถ้าใช้คำว่า “สัตว์ทั้งหลาย” ละก็ ขอให้หมายถึงสัตว์ในโลกอื่นด้วย โดยไม่มีประมาณเป็นอนันตะออกไปไม่มีที่สิ้นสุด นั่นแหละคือธรรมะแท้ ธรรมะที่ไม่หลอกลวงใคร มีจิตใจเนื้อตัวเป็นธรรมะจริง ไม่มีความหมายแห่งตัวกูของกูซ่อนอยู่ในนั้นเลย
นี่เป็นการบรรยายรอบสุดท้ายของการทำบุญล้ออายุในปีนี้ อย่าได้ไปหลงให้ถูกล้อเลย คนโง่นั่นควรจะถูกล้อ คนฉลาดไม่ควรจะถูกล้อ ฉะนั้นอย่าไปโง่ให้อยู่ในภาวะที่ควรจะถูกล้อ
ฉะนั้นอย่าไปโง่ให้อยู่ในภาวะที่ควรจะถูกล้อ เดี๋ยวนี้สัตว์ร้ายสองตัวมันกำลังจะกัดกัน เราถอยห่างออกมาเสีย
พยายามทำอย่างสุดความสามารถของเราที่จะให้มันหยุดกัดกัน คงจะเข้าใจได้ดีว่า หมายความว่าอะไร สัตว์ร้ายสองตัวในโลกนี้ที่กำลังจะกัดกัน หรือว่ากำลังจะกัดกันอยู่
ขอให้เจตนารมณ์แห่งสังคมนิยมอันบริสุทธิ์ ประกอบด้วยธรรมนั่นแหละเป็นเครื่องป้องกัน เป็นเครื่องห้ามกัน อย่าให้สัตว์ร้ายสองตัวนี้มันกัดกันอีกต่อไป ก็จะไม่เสียทีที่เป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนา แล้วเราก็ไม่ถูกล้อด้วย ถ้าเราจะล้อคนอื่นก็ไม่เป็นไร ถ้าหากว่าเรามีความถูกต้องอยู่ในตัวเรา ก็ไม่เป็นบาปเป็นกรรมอะไร
เอาละเป็นอันว่าพอกันทีสำหรับการบรรยายเรื่องที่
3 ในหัวข้อที่ว่า ธัมมิกสังคมนิยมเป็นธรรมสัจจะที่แท้จริงของธรรมชาติ เป็นธรรมสัจจะเพื่อสังคมนิยมชนิดที่จะช่วยโลกได้
อาตมาก็รู้สึกว่าเหนื่อยหรือหมดแรงที่จะอธิบายพอดี เป็นอันว่ายุติการบรรยายในข้อนี้
ในที่สุดนี้ขอขอบคุณท่านทั้งหลายตามธรรมเนียมหน่อยว่า
เห็นอกเห็นใจที่มาร่วมทำบุญล้ออายุกับอาตมา ด้วยความยากด้วยความลำบาก บางคนมาจากต่างจังหวัดไกลมาก ก็จะประสบความขาดแคลนในที่พักอาศัย เครื่องใช้ไม้สอย
ก็คงจะเพราะมีเจตนารมณ์แห่งสังคมนิยมอันบริสุทธิ์นั่นเอง จึงได้พลอยมาทนลำบากกันอยู่ในที่นี้ ในสภาพอย่างนี้ เพื่อร่วมกันทำบุญล้ออายุ ล้อเพื่อให้สังคมนิยมที่ถูกต้องกลับมา
ฉะนั้นจึงขอขอบคุณของขวัญที่ให้นี้ ยินดีรับการอดอาหาร 24 ชั่วโมง กินแต่น้ำนี้
มันคงจะทำให้เกิดส่วนเกินขึ้นมา
สำหรับไปจุนเจือผู้อื่นบ้าง
โดยปริยายหรือโดยอ้อม ซึ่งเรามองไม่เห็น ถ้าสมมติว่าวันนี้คน 100 คน ไม่กินอาหาร แล้วมันจะไปไหนเสีย มันคงจะล้นเหลือไปให้คนอื่นที่เขาขาดแคลนอาหารบ้าง ไม่โดยตรงก็โดยอ้อม คงไม่เสียหลาย
คงไม่เป็นการกระทำอย่างไม่มีความหมายในการที่จะให้ของขวัญ คืออดอาหารกันเสียสัก 24
ชั่วโมงเพื่อบูชาอะไรต่างๆหลายอย่าง
ถึงว่าพระธรรมนี้มีความมหัศจรรย์
ถ้าเราเอามาใส่ไว้ในใจแล้ว
ไม่หิวข้าว 24 ชั่วโมงก้ได้ 48 ชั่วโมงก็ได้ หรือกระทั่งหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ อย่างการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก็ได้ นี่พระธรรมเข้าแล้วมันเป็นอย่างนี้
ฉะนั้นขอให้สังเกตดูให้ดี เผื่อมันจะงอกงามก้าวหน้าต่อไป ขอขอบคุณและอนุโมทนาที่มาร่วมงานล้ออายุ แลขอให้มันเป็นจุดตั้งต้นที่ดี สำหรับท่านทั้งหลายทุกคนที่จะล้ออายุในส่วนที่ควรล้อ ให้มันกระเจิดกระเจิงสูญหายไป ให้มันยังเหลืออยู่แต่สิ่งที่ควรจะอยู่ คือธรรมะที่จะทำความสงบเย็น ด้วยความสะอาด
สว่าง สงบอยู่ ให้เป็นการทำที่ว่า มันมีประโยชน์
ที่เป็นสิ่งที่ไว้ใจได้ว่ามันจะเป็นประโยชน์ ขอให้เจริญงอกงามก้าวหน้าไปตามทางของธรรมะ ในลักษณะอย่างนี้อยู่ด้วยกันจงทุกคน ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ ๛
4
ค่าและความจำเป็น
ที่ต้องมีศีลธรรม
ท่านสาธุชนผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย
การบรรยายประจำวันเสาร์ครั้งที่ 3
ของภาคอาสาฬหบูชาในวันนี้
อาตมาจะได้กล่าวโดยหัวข้อใหญ่ว่าอริยศีลธรรม ไปตามเดิม จะกล่าวโดยหัวข้อย่อยลงไปว่า “ค่าและความจำเป็นที่ต้องมีศีลธรรม” คือจะกล่าวถึงค่าของศีลธรรม และความจำเป็นที่มนุษย์เราจะต้องมีศีลธรรม
อาตมาไม่กังวลว่าใครจะรำคาญ หรือไปเอาเรื่องที่เข้าใจว่าหลายคนคงจะรำคาญนั่นแหละมาพูดกันอีก คือเรื่องศีลธรรม ให้ละเอียดปลีกย่อยออกไปทีละอย่างๆ อย่างในวันนี้ก็จะพูดถึง ค่า
หรือคุณค่าโดยเฉพาะ
แล้วก็แสดงให้เห็นความจำเป็นที่คนเราจะต้องมีศีลธรรมยิ่งขึ้น แล้วก็จะเกิดความสนใจในศีลธรรมกัน นี่ขอให้อดทนฟัง
เพราะว่าเป็นเรื่องที่ยังไม่ได้สนใจกันโดยละเอียด ที่จริงถ้าจะสนใจกันโดยละเอียดก็คงจะทราบได้กันทุกคนว่า มันมีความจำเป็นที่จะต้องมีศีลธรรมกันอย่าวไร
ในเมื่อถามว่า ถ้าหมู่บ้านนี้ไม่มีถนนหนทางจะเดิน
ก็เป็นเพราะคนในหมู่บ้านนี้ขาดศีลธรรมใช่หรือไม่?
พวกที่ถือว่าเพราะขาดศีลธรรมก็จะเห็นได้ว่า เพราะคนเห็นแก่ตัวมากเกินไป ก็ไม่ช่วยกันทำหนทางสำหรับจะเดิน หรือว่าคนขี้เกียจมันก็”ม่ทำ ความขี้เกียจนี้ก็คือความไม่มีศีลธรรม
หรือนับตั้งแต่ว่า บนเรือนของคนคนหนึ่งมันสกปรกรกรุงรัง
ถ้ามองให้ลึกก็เพราะว่ามันขาดศีลธรรมนี้เรียกว่าปัญหาเล็กน้อยที่สุด
หรือถ้าในบ้านเรือนเต็มไปด้วยเสียงทะเลาะวิวาทด่าทอกันอยู่ระงมไปหมด มันก็เป็นเรื่องของการขาดศีลธรรม มีขโมย มีโจร
มีอะไรมากก็เห็นได้ว่า เพราะขาดศีลธรรม
การที่เอาเปรียบกันจนต้องทะเลาะวิวาทกัน
ระหว่างนายทุนกับชาวนาอย่างนี้
ก็เพราะว่ามันขาดศีลธรรมไม่มากก็น้อยด้วยกันทั้งสองฝ่าย จนกล่าวได้ว่า
ถ้ามีการทะเลาะวิวาทกันที่ไหนก็ต้องถือว่าที่นั่นมีการขาดศีลธรรมด้วยกันทั้งสองฝ่าย ไม่มากก็น้อย
ไม่รูปใดก็รูปหนึ่ง ไม่โดยตรงก็โดยอ้อม
เดี๋ยวนี้ปัญหามันก็มีมากขึ้นทุกทีในโลกนี้
นักเรียนก็ขาดศีลธรรม แล้วมันเป็นอย่างไรบ้าง
ครูบาอาจารย์ก็ขาดศีลธรรม
มันจะเป็นอย่างไรบ้าง
ผู้ปกครองเป็นลำดับชั้นขึ้นไปก็ขาดศีลธรรม
พ่อค้าก็ขาดศีลธรรม
คนซื้อก็ขาดศีลธรรม
กระทั่งว่าทนายความขาดศีลธรรม ตำรวจขาดศีลธรรม ผู้พิพากษาขาดศีลธรรม กระทั่งผู้ปกครองบ้านเมืองขาดศีลธรรม นี่มันจะเป็นอย่างไร
การที่มีอะไรไม่ปกติไม่เป็นไปอย่างราบรื่นนี้ ก็กล่าวได้ว่าเพราะขาดศีลธรรมทั้งนั้น แต่เขาก้ไปโทษกันว่า เพราะแก้ปัญหานั้นแก้ปัญหานี้ แก้ปัญหาโน้น
มันไม่ถูกต้อง
เขาไปโทษเรื่องเศรษฐกิจบ้าง เรื่องการเมืองบ้าง เรื่องอะไรบ้าง ก็หลับตาแก้แต่ปลายเหตุกันไปเท่านั้น โดยไม่มองว่าต้นเหตุอันแท้จริงเป็นเพราะมันขาดศีลธรรม แท้เราจะมีผู้ปกครองบ้านเมืองที่ดีอย่างไร แต่ถ้าพลเมืองไม่มีศีลธรรมก็ปกครองไม่ได้ หรือทำไม่ได้
ทำอะไรให้มีความเจริญไม่ได้
ต้องไปมองดูกันในแง่นี้ก่อน
แล้วก็จะค่อยเห็นในความจำเป็นของสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรมมากขึ้นทุกที ก็จะเกิดความสนใจมากขึ้น อาตมาจึงไม่กลัวว่าท่านจะรำคาญ
ในเมื่อจะต้องพูดกันเรื่องศีลธรรมให้ละเอียดลออกัน ให้มันทุกแง่ทุกมุม และหลายครั้งหลายหน
ในครั้งที่แล้วๆมาก้ได้พูดเรื่องชื่อและความหมายของศีลธรรม
สิ่งที่เรียกว่าศีลธรรมมีชื่อมากมายจนสับสน มนุษย์ก็เปลี่ยนชื่อของสิ่งๆนี้กันเรื่อยไปจนสับสน จนเอาอะไรไม่ได้ จนน่าสมเพชที่สุด เช่น
จะต้องพูดว่าศีลธรรมอันดีของประชาชน
คล้ายๆกับว่ามันมีศีลธรรมอันเลวของประชาชนอยู่ส่วนหนึ่ง
เมื่อพูดถึงศีลธรรมกันแล้ว มันไม่ควรจะมีอันดีอันเลวอะไรแล้ว มันต้องถูกต้องและมีประโยชน์ มนุษย์เสียเองมาทำให้เกิดปัญหายุ่งยาก จนได้มีศีลธรรมดีศีลธรรมเลวอะไรกันขึ้นมา
เพราะว่ามนุษย์เป็นทาสของวัตถุมากขึ้นทุกทีนั่นเอง
นี้ความหมายของคำว่า “ศีลธรรม”
มันก็สับสน
แล้วก้เปลี่ยนแปลงกันไปเรื่อย
เปลี่ยนแปลงความหมายกันไปเรื่อย
กว้างแคบบ้าง สูงต่ำบ้าง
แต่ความหมายที่แท้จริงที่ลึกซึ้งของธรรมชาตินั้นกลับไปค่อยจะมอง ก็เลยไม่รู้จักแม้แต่ชื่อและความหมาย ฉะนั้นจึงต้องมาพูดกันว่า ชื่อมันหลอกลวงและเล่นตลกกันอย่างไรบ้าง ความหมายก็ซับซ้อนจนไม่รู้ว่าจะเอาอย่างไรกันแน่ แต่ถึงอย่างไรก็ดี ได้สรุปความให้ชัดแล้วว่า
สิ่งนี้ถือเอาความหมายในภาษาบาลีนั้นเป็นดีที่สุด คือเอาตามความหมายของคำว่า สี-ละ นั่นเอง
สี-ละ แปลว่า ปกติ
ถ้าสิ่งใดเป็นไปเพื่อความปกติไม่วุ่นวาย
ก็เรียกว่า สี-ละ
และธรรมที่ทำให้มีความเป็นอย่างนั้นก็เรียกว่า “ศีลธรรม” นับว่าเรามีโชคดีที่ได้ใช้คำบาลีคำนี้
คือมีความหมายถือเอาเป็นหลักเป็นเกณฑ์ได้ภาษาอื่นใช้คำอย่างอื่น อาจจะไม่สะดวกหรือไม่ตรงก็ได้ สังเกตดูภาษาต่างประเทศ มีความหมายไม่ตรงกับความหมายคำว่า “ศีลธรรม”
ในภาษาไทย ขอให้จำคำสำคัญนี้ไว้ด้วย คือคำว่า
สี-ละ หรือ ศีล แปลว่าปกติ
ความหมายของคำว่าปกตินี้ก็มีหลายชั้น เดี๋ยวจะไปหาว่าปกติอย่างก้อนหิน จะนั่งนิ่งอยู่เป็นก้อนหิน จะนั่งนิ่งอยู่เป็นก้อนหิน
แล้วก็ไม่ต้องทำอะไร แล้วก็เรียกว่ามีศีลธรรม อย่างนี้ก็เรียกว่าเข้าใจผิด นั่นเป็นเรื่องทางวัตถุ
ถ้าปกติอย่างนั้นก็เป็นเรื่องทางวัตถุ
ก็เป็นศีลธรรมของวัตถุ
เดี๋ยวนี้เรากำลังพูดกันถึงเรื่องของคนที่มีความคิดนึก มีสติปัญญา จะต้องดูให้ดีว่า จะมีอะไรบ้างที่ลึกซึ้งกว่านั้น คือว่ามีใจคอปกติ มีการพูดจาปกติ มีการกระทำปกติ
ทีนี้คำว่าปกตินั้นไม่ได้ความหมายความว่า นิ่งหรือไม่พูดหรือไม่กระดุกกระดิก ไม่เคลื่อนไหว
คำว่าปกตินี้หมายความว่า
ไม่กระทบกระทั่งใคร
ไม่กระทบกระทั่งตัวเอง
หรือไม่ทำตัวเองให้เดือดร้อน
ไม่กระทบกระทั่งตัวเองให้เดือดร้อน
ไม่กระทบกระทั่งใคร คือไม่กระทบกระทั่งผู้อื่น หรือไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน อย่างนี้เรียกว่าปกติ ตามความหมายของคำว่าศีลธรรม
ทีนี้พวกนักค้านนักแย้งก็อาจจะพูดขึ้นมาว่า ก็มัวแต่นั่งทำปกติไม่กระทบกระทั่ง แล้วบ้านเมืองจะเจริญอย่างไร? นั่นแหละเป็นเรื่องที่ต้องหาความหมายกันให้ถูกต้อง
ถ้าคิดเสียว่า
การที่บ้านเมืองมันไม่ปกติ
แล้วเราช่วยทำให้มันปกติ
จะไม่เรียกว่าศีลธรรมหรืออย่างไร?
อย่างที่ว่า
ถ้าไม่มีถนนจะเดิน มันลำบาก ก็เรียกว่าไม่ปกติ คือไม่ปกติสุข
ถ้าเราแก้ไขปัญหาอันนี้เสียได้ก็เรียกว่ามันปกติ มันไม่เดือดร้อนมาก หรือมันไม่เดือดร้อนเลย หรือบ้านเรือนมันรกรุงรังไปด้วยขยะนี้ จะต้องเรียกว่ามันผิดปกติ กวาดให้มันเรียบร้อย ให้มันเย็นตาเย็นใจ ให้มันไม่มีอันตรายเพราะสิ่งเหล่านั้น ก็ต้องเรียกว่าทำความปกติ
นี่ขอให้ถือเอาความหมายของคำว่าปกตินี้แหละให้ดีๆ ถ้ายากจนมันก็พอทนอยู่ไม่ได้ มัรก็ไม่ปกติ
ก็ต้องทำงานขนกว่าจะมีทรัพย์สมบัติ
แล้วจกปกติขึ้นในทางทรัพย์สมบัติ
ก็เรียกว่ามีศีลธรรมในส่วนนั้นหรือในด้านนั้น ฉะนั้นขอให้ถือเอาคำว่า สี-ละ
นี้เป็นหัวใจของศีลธรรมไว้เรื่อย
ในความหมายของคำว่า “ปกติ”
ถ้าเป็นเรื่องวัตถุ
ก็วัตถุปกติ
ก็เป็นเรื่องคนหรือสัตว์
คนหรือสัตว์นั้นก็ปกติ
ถ้าเป็นเรื่องจิตใจก็เรื่องจิตใจปกติ
ถ้าเป็นเรื่องร่างกายก็ร่างกายปกติ
ปกติมีอยู่ 2 ซ้อน คือว่าปกติตามธรรมชาติ มีกฏเกณฑ์อยู่ตามธรรมชาติ เช่น ต้องกิน ยืน เดิน นอน อาบ ถ่าย
อย่างนั้นอย่างนี้
ร่างกายจึงจะเป็นปกติตามธรรมชาตินี่ก็อย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งปกติสำหรับปัญหาใหม่ๆที่เกิดขึ้น ที่มนุษย์จะต้องช่วยทำ
จะต้องมีการประพฤติต่อกันอย่างนั้นอย่างนี้ หรือช่วยกันทำให้มีสิ่งที่ควรจะมีขึ้นมา หรือปฏิบัติตัวให้ดีๆ ก็เรียกว่าเป็นศีลธรรม
ส่วนที่มนุษย์จะต้องบัญญัติขึ้นสำหรับให้ช่วยกันทำ รวมความแล้วก็คือความหมายของคำว่า “ปกติ”
นั่นเอง
วันนี้เราจะพูดกันถึงค่าของศีลธรรม ก็หมายถึงศีลธรรมชนิดที่เป็นการบัญญัติ คือที่มนุษย์บัญญัติขึ้น ถ้าจะพูดว่า
ความจำเป็นที่จะต้องมีศีลธรรม
ก็หมายถึงศีลธรรมที่มนุษย์จะต้องบัญญัติและปฏิบัติตามให้ถูกต้อง
ในขั้นแรกนี้จะพูดถึงคำว่า “ค่า”
กันเสียก่อน คำว่า “ค่า” ก็คือสิ่งที่พูดกันมากที่สุดในคำว่า
“ราคา” ก็มี ในคำว่า “คุณค่า” ก็มี
“คุณสมบัติ” ก็มี
แต่ทั้งหมดนี้มันรวมอยู่ที่คำว่า “ค่า” อะไรที่เรียกว่า ค่า
ก็คือสิ่งที่บัญญัติกันขึ้นมาว่า
มันมีค่า ตามความรู้สึกของตนๆ
ว่ามันจะมีค่าอย่างไร
เมื่อดูกันให้ทั่งถึงแล้วจะเห็นได้ว่า ค่าในความหมายที่ 1 นี้ มันก็เกิดขึ้นเพราะความต้องการ และเป็นความต้องการของมนุษย์นั่นเอง
ความต้องการมันทำให้เกิดค่าขึ้นมาเท่านั้นเท่านี้ แล้วแต่ความต้องการของมันมากหรือน้อย
ส่วนค่าในความหมายอย่างที่ 2
มันเกิดเป็นค่าขึ้นมาอย่างลึกซึ้ง
คือมันตามความต้องการของธรรมชาติ ซึ่งมันอยู่ลึกซึ้งที่สุด นี้ไม่ใช่มนุษย์ไปแต่งตั้งหรือบัญญัติได้
คำมีอยู่ 2 ความหมาย
ตามที่มนุษย์แต่งตั้งบัญญัติตามความต้องการนี้อย่างหนึ่ง ที่ธรรมชาติต้องการหรือเรียกร้องอยู่ในส่วนลึกซึ้งที่สุดนั้นก็อย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ควรลืมเสียว่า เราต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฏธรรมชาติอยู่ส่วนหนึ่งด้วย เราจึงจะรอดตายอยู่ได้ นั่นแหละค่าของศีลธรรมชนิดนั้นมันลึกซึ้ง
เดี๋ยวจะพิจารณากันถึงคำว่า “ค่า”
ตามความต้องการของมนุษย์ก่อนเป็นข้อแรก
ประเภทที่ 1
ในระดับแรกก็อยากจะชี้ให้เห็นค่าที่กำหนดขึ้นอย่างโง่เขลา คือเอาปากหรือเอาท้อง
หรือเอาเนื้อเอาหนังเอร็ดอร่อยนี้เป็นเกณฑ์ ซึ่งเป็นเรื่องวัตถุอย่างเดียว ไม่มองเห็นค่าทางนามธรรมทางจิตใจ
ค่าทางวัตถุนี้เอาแต่เรื่องทางวัตถุอย่างเดียว แล้วก็เอาความต้องการนั้นแหละเป็นหลัก ถ้าเกิดมีความต้องการมากพร้อมๆกันมันก็แพง เมื่อไม่มีใครต้องการมันก็ถูกหรือน้อยลงไป นี้เรียกว่าหลับหูหลับตายึดถือกัน
แต่หลักทางวัตถุทางเนื้อหนัง
แล้วมันก็ไม่ตรงกัน
คนนี้ต้องการอีกคนหนึ่งไม่ต้องการ
ของที่แพงสำหรับคนนี้ไม่แพงสำหรับคนโน้น
ของอย่างนี้คนหนึ่งยอมซื้อตั้งพันตั้งหมื่น แต่ถ้าว่าอีกคนหนึ่งให้เปล่าๆก็ไม่เอา
นี่เป็นการบัญญัติตามความต้องการอย่างโง่เขลา เหมือนที่เขาเรียกกันว่า “ไก่กับพลอย”
อย่างนี้ เพราะพลอยที่แพงมากตกอยู่ที่นั่น ไก่ก็ไม่เห็นว่ามีค่าอะไร สู้ข้าวสารเม็ดหนึ่งก็ไม่ได้ หรือว่าลิงได้แก้วมาก็ไม่มีค่าอะไร สู้ลูกแตงเล็กๆสักลูกหนึ่งก็ไม่ได้
หรือคนที่เขาถือวัตถุเนื้อหนังเป็นหลักเกินไป เขาก็บอกว่า
พระพุทธรูปองค์นี้มีค่าเท่ากับปลาทู 5 เข่งเท่านั้น ก็ลองคิดดู
คนที่เขารู้จักค่าของพระพุทธรุปนี้คงจะฟังไม่ได้ แต่ถ้าเอาวัตถุเป็นหลักกันแล้ว พระพุทธรูปองค์นี้มีค่าเท่ากับปลาทู 5
เข่งจริงๆด้วยเหมือนกัน
นี่เรียกว่าเขาตีค่ากันตามความรู้สึกของปากของท้องของความต้องการ ด้วยความโง่ขลา ค่าอย่างนี้มันก็มีอยู่ประเภทหนึ่ง
ประเภทที่ 2
ค่าตามความหมายทางไสยศาสตร์ที่ต้องอาศัยความเชื่อ
ยึดมั่นถือมั่นอย่างงมงายเป็นหลัก
ค่าทางไสยศาสตร์นี้
มันมีรากฐานอยู่บนความงมงาย
วัตถุขลังวัตถุศักดิ์สิทธิ์
ถ้าเกิดเชื่อขึ้นมา
เป็นก้อนดินหรือก้อนโลหะ อะไรเล็ๆนิดเดียว ซื้อขายกันตั้งหมื่นตั้งแสนก็ได้
มันเป็นค่าทางไสยศาสตร์ที่มีการประกอบพิธีรีตองหลอกๆกัน ก็มีค่าเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นอะไรขึ้นมาก็ได้ ค่าในลักษณะอย่างนี้ก็มีอยู่ความหมายหนึ่งเหมือนกัน เอาไปพิจารณาดูให้ดี
ประเภทที่ 3
ค่าตามความต้องการที่แท้จริง
ตามความหมายอย่างลักวิชาเศรษฐกิจ
เขาก็มีอยู่ประเภทหนึ่ง
ค่าอย่างเศรษฐกิจนี้
มันขึ้นอยู่กับความต้องการกับสิ่งที่สนองความต้องการ ถ้าความต้องการมันมีมาก สิ่งสนองความต้องการมันมีไม่พอกัน มันก็แพง
ก็ของสิ่งเดียวกันนั่นแหละ
ถ้าความต้องการมันเกิดน้อยลงไป
ค่านั้นมันก็ลดลง
เพราะมันมีสิ่งที่สนองความต้องการมาก
นี้คือค่าราคาของสิ่งต่างๆ
หรือสิ่งที่เป็นเงินตรา
เป็นค่าแทนเงินตราที่บัญญัติค่าไว้อย่างไร
สำหรับคนกลุ่มไหน
มันก็เป็นค่าตามที่บัญญัติอยู่กับสิ่งที่มันกำลังหมุนเวียนอยู่จริงๆ
แต่ถึงอย่างไรมองดูให้ดีจะเห็นว่า ก็ทำกันไปอย่างนั้นแหละ ตามที่มนุษย์จะรู้จัก ถ้ามนุษย์มันโง่ ก็ต้องบัญญัติไปตามความโง่ นี้คือความโง่ของเศรษฐกิจ ที่แก้ปัญหาต่างๆในโลกนี้ไม่ได้ ไม่รู้จักต้นตออันแท้จริง คือความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ความมีศีลธรรมของคน เพราะไปลุ่มหลงในสิ่งที่ไม่ควรจะลุ่มหลง และไม่ควรจะยึดถือนั่นนี่ จนทำให้เกิดความยุ่งยากทางค่าทางเศรษฐกิจขึ้นมา
ตัวอย่างดังที่กำลังมีปัญหาน่าหัวเราะว่า
คนบางคนเขาจะเป็นบ้าตายเสียแล้ว เพราะว่าหมูมันแพง อย่างพวกกรุงเทพฯโดยมากสมัยหนึ่ง ทำไมจึงจะต้องเดือดร้อนกันถึงอย่างนั้น มันควรจะแก้ไขได้ เปลี่ยนแปลงได้ ถ้าหมูมันแพงก็อย่าไปกินมันก็แล้วกัน กลับไปโวยวายให้มัมนมีเรื่องยุ่งยากลำบากขึ้นมา ไม่รู้จักละอาย นี้เรียกว่าค่าที่เกิดจากความต้องการของมนุษย์
ในภาษาศีลธรรมจะเห็นว่า ค่าในทำนองนี้เป็นของหลอกลวงลมๆแล้งๆ เป็นไปตามความต้องการของมนุษย์ เดี๋ยวนี้มนุษย์ไม่ต้องการศีลธรรม ศีลธรรมก็กลายเป็นของไม่มีค่า แล้วความโง่มันอยู่ที่ใคร ความลำบากทุกข์ยากมันอยู่ที่ใคร เมื่อศีลธรรมเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์ แล้วมนุษย์เกิดไม่ต้องการศีลธรรม ศีลธรรมก็หมดค่าหรือด้อยค่า ไม่มีใครสนใจ
เมื่อไม่มีศีลธรรมอยู่ในหมู่มนุษย์
เป็นมนุษย์ไร้ศีลธรรม ก็เลยมีปัญหายุ่งยากลำบากมากขึ้นทุกที
นี่ยกตัวอย่างว่ามันเกี่ยวกันอยู่กับสิ่งเหล่านี้ ไม่แยกกันได้
นี่คำว่าค่าในความหมายที่มนุษย์บัญญัติตามความต้องการของมนุษย์ในความหมายหนึ่ง
ทีนี้อีกความหมายหนึ่ง ค่าที่เกิดขึ้นจากความต้องการของธรรมชาติ เมื่อธรรมชาติมันมีหลักตายตัวว่า เราจะต้องทำอย่างไร เราก็จะต้องทำอย่างนั้น ถ้าเราไม่ทำอย่างนั้นก็จะลำบาก จะเจ็บไข้
หรือจะตาย พวกปัจจัยที่จำเป็น 4
อย่าง คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม
ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค เป็นต้น นี้ก็เป็นธรรมชาติทางวัตถุ
จะต้องหามาตามธรรมชาติเรียกร้องว่าต้องมีอยู่ บางทีก็น่าหัวที่ว่า ของจำเป็นแก่ชีวิตอย่างยิ่งมันกลับมีราคาถูกเหลือเกิน แล้วของบ้าๆบอๆ ทำไมมันถึงแพง
ยกตัวอย่างง่ายๆเช่นว่า
ข้าวสารนี้ทำไมมันจึงไม่มีค่าแพงเท่ากับทองคำหรือเพชรพลอยอะไรนี้เป็นต้น
ถ้าเอามาเทียบกันดูกับความที่มันจะเป็นประโยชน์แก่ร่างกายแล้ว
ของแพงๆเหล่านั้นมีค่าไม่เท่ากับน้ำสักแก้วเดียว หรือข้าวสารสักกำมือหนึ่งก็ได้ นี่เรียกว่าอาหารที่จำเป็นแก่ชีวิต
ทีนี้เครื่องนุ่งห่ม
เราก็ควรจะนึกถึงประโยชน์อันแม้จริงมันคืออะไร
มันควรจะมีอะไรแล้วเราก็ไปทำให้มันผิดไปมุ่งแต่จะให้มันสวยงาม ให้มันแปลกประหลาดสำหรับจะอวดกัน มันก็กลายเป็นเครื่องสำหรับอวดกัน มันไม่ใช่เรื่องเครื่องนุ่งห่มไป เป็นต้น แล้วเกิดปัญหาแก่มนุษย์
ทำความลำบากยุ่งยากให้แก่มนุษย์ไม่น้อยเหมือนกัน
เรื่องที่อยู่อาศัยนี้
ถ้าเมื่อมันมีอะไรเท่าที่จำเป็นหรือสมควร มันก็ไม่มีปัญหามาก
เดี๋ยวนี้อยากจะอยู่อย่างแข่งกันกับเทวดา สร้างบ้านสร้างปราสาทอะไรก็แข่งกับเทวดา มันก็เลยไม่เป็นความสงบได้
เรื่องยารักษาโรคก็เหมือนกันอีก ที่ว่าจะมียาโดยตรงนี้ก็ไม่ค่อยมีใครชอบ ชอบยาเล่นๆกันเสียโดยมาก ยากินเล่นขายดีกว่ายากินจริงๆ
นี่เรียกว่า
ธรรมชาติมันต้องการอยู่อย่างหนึ่ง
เราทำผิดกฏเกณพ์อันนั้นก็เรียกว่า
ทำผิดทางศีลธรรมต่อธรรมชาติ
ก็ขาดศีลธรรมตามการเรียกร้องของธรรมาติ
ถ้าขาดถึงขนาดนี้แล้วมันก็จะต้องเกิดความลำบากขึ้นมาทันที ทางร่างกายก็จะลำบากขึ้นมาทันที
ถ้ายิ่งเป็นทางจิตใจด้วยแล้วก็จะยิ่งเสียหายหมด คือธรรมชาติต้องการให้มีจิตใจอย่างไรจึงจะปกติสุขอยู่ได้ ไม่เป็นบ้าเป็นโรคเส้นประสาท แล้วเราก็ไม่หามาให้มันอย่างนั้น ในที่สุดก็ได้เป้นโรคประสาทแล้วเป็นโรคจิต
คิดดูเถอะว่าธรรมชาติมีกฏเหมือนกับกฏศีลธรรมอยู่อันหนึ่งด้วย แต่มันลึกลับ
มนุษย์ไปสนใจแต่กฏทางวัตถุทางเนื้อหนัง ทางปากทางท้อง ก็ทำผิดในทางนี้
คำว่าค่าในทางธรรมชาตินี้มันลึกอย่างนี้ แล้วมันรุนแรงมาก ทางกาย
ถ้าขาดแล้วมันก็เจ็บไข้หรือตายทางกาย
ทางจิต
ถ้ามันขาดแล้วมันก็ตายในทางจิต
คือจะเป็นบ้าหรือจะไม่มีอะไรเหลืออยู่สำหรับเป็นความดี กลายเป็นบุคคลไร้ค่า
กลายเป็นสังคมที่ไร้ค่าไปเพราะว่ามันมีจิตใจไม่สมประกอบนั่นเอง
ค่าของศีลธรรมตามธรรมชาติ คือธรรมชาติต้องการให้คนมีศีลธรรมอย่างนี้ๆ แล้วคนก็ไม่สนใจ
คนก็ไปสนใจแต่ค่าในทางความต้องการของเนื้อหนังของปากของท้อง ซึ่งทำให้เห็นแก่ตัวมากขึ้นๆ แล้วก็เอาเปรียบกัน แล้วก็เบียดเบียนกัน แล้วก็เดือดร้อนกันไปทั้งโลก
เดี๋ยวนี้เราจะพูดกันแต่ความหมายของสิ่งที่เรียกว่า
“ค่า” มีค่า
ค่าตามที่มนุษย์บัญญัติตามความต้องการของคนนี้ก็อย่างหนึ่ง แล้วค่าตามที่ธรรมชาติมันต้องการและเรียกร้องอยู่อย่างลึกซึ้งเร้นลับนั้นมันก็อีกอย่างหนึ่ง นี้เรียกความหมายของคำว่า “ค่า”
ทีนี้อยากจะให้ดูอีกสักมุมหนึ่งดีกว่า ถึงค่าตามที่มิจฉาทิฏฐิบัญญัติ และค่าตามที่สัมมาทิฏฐิบัญญัติ นี้ก็จะค่อยเห็นได้ง่ายขึ้น
พวกมิจฉาทิฏฐิบัญญัติสิ่งนี้ว่ามีค่าเท่าไร
ทีนี้พวกสัมมาทิฏฐิก็จะบัญญัติสิ่งเดียวกันนั้นว่ามีค่าเป็นอย่างอื่นเสมอไป สิ่งที่พวกมิจฉาทิฏฐิบัญญัติว่ามีค่ามาก พวกที่เป็นสัมมาทิฏฐิก็จะบัญญัติว่าไม่มีค่าเลยก็ได้ ขอให้มองดูให้ดีๆ
เพราะว่าพวกมิจฉาทิฏฐินั้นเอาเนื้อหนังเป็นหลักเอาปากเอาท้องเป็นหลัก เอาวัตถุมาเป็นหลัก
พวกสัมมาทิฏฐินั้นเขาก็เอาเรื่องจิตเรื่องวิญญาณ เรื่องคุณสมบัติอันแท้จริงมาเป็นหลัก
ทีนี้จะเอาอย่างไหนเป็นหลัก? ก็ไม่มีใครบังคับใครได้ แต่ถ้าเอาอย่างไหนเป็นหลักแล้ว
ความปกติสุขเกิดขึ้นต้องถือว่าอย่างนั้นถุกต้อง นี่ขอให้ยึดหลักอย่างนี้ไว้เสมอไปว่า สี-ละ
ก็ต้องแปลว่า ปกติ ปกติสุข
เราถือค่ากันอย่างไหนโดยวิธีไหน
แล้วผลเกิดขึ้นเป็นความปกติ
เป็นความสงบสุขแล้ว
อันนั้นแหละถูก อย่าได้ไปหลงใหลในการบัญญัติด้วยอำนาจของมิจฉาทิฏฐิเลย มีแต่จะทำให้เกิดความยุ่งยากสับสน
จะเทียบกันดูอย่างง่ายๆอย่างนี้ก็ได้ว่า พวกมิจฉาทิฏฐิเขาต้องการว่า
“ให้กินดีอยู่ดี”
แต่พวกสัมมาทิฏฐิจะต้องการว่า “กินอยู่แต่พอดี” เท่านี้มันก็ต่างกันมากแล้ว
พวกที่ถือว่า “กินดีอยู่ดี”
นี้ไม่มีขอบเขต ขยายออกไปเรื่อย จนเท่ากับเทวดาแล้วมันก็ยังไม่พอที่จะเรียกว่า
“กินดีอยู่ดี” ทีนี้พวกที่
“กินอยู่แต่พอดี” นั้น
มันมีความพอดีได้เอง
จะทำอย่างไรเท่าไรแล้วพอดี
ก็มีปกติสุขได้มากกว่า
ไม่มีปัญหาเรื่องความขาดแคลน
แล้วก็ไม่เห็นแก่ตัว
เพราะถ้าทะเยอทะยานก็เป็นคนเห็นแก่ตัว
เดี๋ยวนี้ไม่เห็นแก่ตัว
มันก็มีทะเยอทะยาน ก็ไม่มีไฟเผาให้เร่าร้อนในเรื่องของความต้องการ
นี่คือคำว่า “ค่า”
หลอกลวงที่สุด
พวกมิจฉาทิฏฐิบัญญัติอย่างหนึ่ง
พวกสัมมาทิฏฐิบัญญัติอย่างหนึ่ง
แต่ว่าคนคนหนึ่งเขาจะซื้อของที่แพงแล้วก้ไม่รู้ว่าจะได้ประโยชน์อะไรมากิน
อีกคนหนึ่งเขาจะซื้อกล้วยซื้อผักอะไรถูกๆมากิน
อย่างนี้มันก็ไม่มีปัญหาเพราะมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันถึงกับตรงกันข้าม เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นเหตุให้กินอยู่ไม่มีขอบขีด กระทั่งว่ากินอยู่มีขอบขีดที่พอดี
ที่พูดกันมาทั้งหมดนี้
ต้องการให้สนใจแต่เพียงความหมายของคำพูดเพียงคำเดียว คือคำว่าว่า “ค่า”
ค่าหรือราคานั้นมันหลอกลวงที่สุด
แล้วเราเคยโง่กันกี่มากน้อย
เคยหลงในเรื่องนี้กันกี่มากน้อยเท่าไร
ควรจะปรับปรุงกันเสียใหม่
อย่าให้มันหลอกได้นัก แต่เดี๋ยวนี้มาพูดกันถึงเรื่องที่สำคัญที่สุด คือคำว่าค่าของ “ศีลธรรม”
พวกมิจฉาทิฏฐิจะให้ค่าของศีลธรรมน้อยมากหรือไม่ให้เลย พวกสัมมาทิฏฐิจะเห็นว่า ศีลธรรมเป็นสิ่งสำคัญมาก มีค่ามาก
ควรจะสนใจมาก
เดี๋ยวนี้ถ้าคนทั้งบ้านทั้งเมืองเขาไม่เห็นค่าของศีลธรรมแล้ว จะเรียกว่าคนทั้งบ้านทั้งเมืองเป็นมิจฉาทิฏฐิหรือเป็นสัมมาทิฏฐิ? ขอให้ลองคิดดู
หรือว่าคนทั้งประเทศด้วยซ้ำไปที่ไม่สนใจปัญหาทางศีลธรรม ไม่หยิบยกปัญหาทางศีลธรรมขึ้นมาวินิจฉัย นี่ก็เพราะไม่เห็นค่าของศีลธรรม
จะเรียกว่ามิจฉาทิฏฐิหรือจะเรียกว่าสัมมาทิฏฐิ? ขอให้ลองคิดดู
ค่าของศีลธรรมแท้ๆมันก็ยังแตกต่างกัน ตามที่ว่าพวกแป็นผู้ตีราคา หรือว่าพวกสัมมาทิฏฐิเป็นผู้ตีราคา แล้วเราอยู่ในพวกไหน?
ถ้าเราไม่เห็นค่าของศีลธรรม หรือเห็นค่าของศีลธรรมมีน้อย ก็ยอมรับเสียดีๆว่า ยังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่ส่วนหนึ่งทีเดียว ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิรู้จักค่าของศีลธรรมแล้ว
ทำไมไม่พยายามที่จะมีศีลธรรมอยู่ในเนื้อในตัว? ให้ลูกให้หลาน
ให้คนในครอบครัวมีศีลธรรม
หรือเพื่อนบ้านเพื่อนร่วมโลกกันได้มีศีลธรรม ทำไมจึงไม่เสียสละช่วยกันส่งเสริมศีลธรรม
ที่ว่าทำบุญๆแต่ไมรู้ว่าทำอะไร อาตมาอยากจะบอกว่า การทำบุญที่ดีเลิศประเสริฐที่สุดก็คือ กานทำให้คนในโลกมีศีลธรรม ไม่มีบุญไหนดีกว่านี้หรือจริงกว่านี้ ถ้าเห็นว่าศีลธรรมมีค่าเราก็ควรจะปรับปรุงกัน ส่งเสริมนั่นนี่คนละไม้คนละมือ แต่ว่าสุดความสามารถในการที่จะทำให้มีศีลธรรมอยู่ในสังคม ในบ้านเมืองของเรา ในประเทศของเรา หรือกระทั่งอยู่ในโลกนี้ก็ยิ่งดี
ค่าของศีลธรรมสลัวไปหมด ไม่พิจารณาให้ดีก็ไม่เห็น แต่มันมีค่ามากจนถึงกับว่า
ความเป็นความตายของโลกหรือมนุษย์นี้มันอยู่ที่นี่ ลองไม่มีศีลธรรมให้ถึงขนาดเถอะ โลกนี้จะวินาศฉิบหาย จะเป็นโลกที่ไร้ความหมาย
นี้ดูกันต่อไปอีก จะดูกันอย่างลึกซึ้งปอีกว่า คำว่า “ค่า” นี้มันคืออะไรกันแน่? อาตมากำลังบอกว่าสิ่งที่เรียกว่า “ค่า”
นั่นแหละคือต้นเหตุแห่งปัญหาทั้งหลายทั้งปวง
หรือเป็นที่ตั้งแห่งปัยหาทั้งหลายทั้งปวง
ถ้ามันไม่มีค่าหรือไม่เกี่ยวกับประโยชน์แล้ว ก็”ม่เกิดปัญหาอะไร ปัญหาที่มันเกิดขึ้นแก่เราเพราะเราต้องการประโยชน์ ต้องการสิ่งที่มีค่า แล้วค่านั้นแหละมันทำให้เราต้องการ ถ้ามันไม่มีค่าเราก็ไม่ต้องการ แล้วเราก็ไม่รู้สึกตัวว่ามันจำเป็นอย่างไร
แต่ถ้ารู้สึกว่ามีค่าแล้วก็เกิดต้องการขึ้นมาทันที ในทางดีก็อย่างนี้ ในทางชั่วก็อย่างนี้ มันจะมีค่าได้ในทางดีก็ได้ ในทางชั่วก็ได้ หรือว่าคนเราจะทำดีก็ได้ จะทำชั่วก็ได้
โดยต้นเหตุอย่างอย่างเดียวคือสิ่งที่เรียกว่า “ค่า” นั่นเอง
เรื่องนี้คงจะไม่ลึกซึ้งเกินกว่าที่จะไปพิจารณาดูได้เองว่า
ถ้าเขาไม่รู้สึกว่ามันมีสิ่งที่เรียกว่าค่าอยู่ในโลกนี้แล้ว เขาก็จะเป็นพระอรหันต์
การที่เป็นพระอรหันต์ไม่ได้ก็เพราะว่าไปติดอยู่ที่ค่า หรือคุณคุณค่าอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความอยากอย่างใดอย่างหนึ่ง อยากได้อยากเอามันก็รัก อยากไม่ได้อยากไม่เอามันก็เกลียด มันมีอยู่ 2 อย่างเท่านั้น คือรักหรือชัง
ค่าอย่างหนึ่งมันทำให้รัก
ค่าอย่างหนึ่งมันทำให้เกลียดหรือชัง
ถ้าพูดเป็นภาษาบาลีคำนี้ก็คือคำว่า
คุณะ คุ-ณ อ่านว่า คุณ ในภาษาไทยมันมี คุณ
ในภาษาไทยมันมีคุณ คือคุณค่า หรือคุณสมบัติดีก็ได้เลวก็ได้ ก็เรียกว่าคุณทั้งนั้น ภาษาบาลีเป็นกลางอย่างนั้น ทีนี้มันมีค่าสำหรับเป็นอันตรายก็ได้เป็นประโยชน์ก็ได้ มีคุณสมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งของมัน แล้วก็เรียกว่าคุณค่า หรือค่าของมันทั้งสิ้น
ทีนี้จิตใจของคนก็หวั่นไหวไปตามสิ่งที่เรียกว่าคุณหรือค่า เช่น
ดีก็มีคุณอย่างดีก็ติดดี
ชั่วก็มีคุณอย่างชั่วก็ติดชั่ว
เราก็เกลียดชั่ว เราก็รักดี แต่ทั้งเกลียดชั่วและทั้งรักดีนั้น ก็คือความยึดมั่น ยึดมั่นในอะไร? ก็ยึดมั่นในค่าหรือคุณนั้นเอง
พระอรหันต์ประเภทเดียวเท่านั้นที่จะมีจิตใจอยู่เหนืออิทธิพลของสิ่งที่เรียกว่าค่าหรือคุณ หรือคุณสมบัติก็ตาม
พูดอย่างนี้มันออกจะเป็นปรัชญาเลยเถิดไป แต่มันเป็นความจริงที่ควรจะทราบว่า
การที่มนุษย์จะมีจิตใจว่างจากกิเลสหรือว่างจากความทุกข์ไม่ได้ ก็เพราะไปติดอยู่ที่คุณคือค่า ไปเป็นทาสของสิ่งที่เรียกว่าคุณหรือค่า ดีก็ได้
ชั่วก็ได้ บางคนก็เห็นชั่วเป็นดี บางคนก็เห็นดีเป็นดี เห็นชั่วเป็นชั่ว มันก็แล้วแต่มิจฉาทิฏฐิหรือสัมมาทิฏฐิ
แต่แม้ว่าจะเป็นสัมมาทิฏฐิแล้ว รู้ว่าดีเป็นดี ชั่วเป็นชั่วแล้ว
แต่ถ้าจิตมันยังไปหลงอยู่ในค่าหรือคุณนี้แล้ว
มันก็หลุดพ้นไปจากความรอบงำของสิ่งนั้นไม่ได้ ฉะนั้นจึงไปเกิดอยาก คือมีตัรหาอย่างนั้นอย่างนี้ อย่างโน้น
เป็นกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
ก็เพราะสิ่งที่เป็นต้นเหตุอย่างเดียวเท่านั้น คือสิ่งที่เรียกว่าค่านั้นเอง มันชอบกามมันก็ไปเป็นกามตัณหา ถ้าชอบรูป
ก็ไปเป็นภวตัณหา
ชอบอรูปมันก็ไปเป็นวิภวตัณหา
แล้วแต่จะไปชอบอะไร
หรือค่าของอะไรที่มีความหมายอย่างไร
นี่พูดเลยเถิดไปแล้ว ถึงคำว่า “ค่า”
ชนิดที่มันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือของมนุษย์เรา
ขอให้ระวังอย่างยิ่งต่อสิ่งที่เรียกว่าค่า
ระวังให้ดีๆ สิ่งนั้นแหละมันเป็นตัวปัญหาทั้งหมด
ถ้าเราเข้าใจผิดต่อสิ่งที่เรียกว่าค่า ระวังให้ดีๆ
สิ่งนั้นแหละมันเป็นตัวปัยหาทั้งหมด
ถ้าเราเข้าใจผิดต่อสิ่งนี้แล้วมันจะสับสนหมด ศีลธรรมก็จะไม่มี อย่าว่าถึงกับจะมีการบรรลุมรรคผลนิพพานเลย ระวังสิ่งที่เรียกว่าค่าหรือราคา หรือคุณค่า
หรือคุณสมบัติอะไรนี้ให้ดีๆ
มันมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือทุกสิ่งไป อย่างหนึ่งทำให้เกลียด อีกอย่างหนึ่งทำมให้รัก ที่เป็นหลักใหญ่มีอยู่ 2 อย่างอย่างนี้
ถ้าเราโง่ก็ยึดถือค่าของมัน
เพราะฉะนั้นเราก็จะต้องไปรักเข้าในฝ่ายหนึ่ง ไปเกลียดเข้าในฝ่ายหนึ่ง อันนี้ก้เรียกว่าเสียหมดในทางความเป็นปกติ คือจะมีใจคอไม่ปกติ จะมีทิฏฐิความคิดเห็นไม่ปกติ ทีนี้มันก็ออกมาทางกาย ทางวาจา เป็นการพูดการกระทำที่มันไม่ปกติ
แล้วมันก็จะกระทบกระทั่งให้ตัวเองเดือดร้อน กระทบกระทั่งให้ผู้อื่นเดือดร้อน มันเสียความเป็นปกติไปหมด แล้วสิ่งที่เรียกว่า “ค่า”
มันก็มีอยู่อย่างหลอกลวง
อย่างที่เราไม่รู้จัก
อาตมารู้สึกว่า การที่เอาเรื่องอย่างนี้มาพูดกัน อาจจะเกินไปสำหรับคนบางพวกก็ได้
แต่ก็ไม่ทราบว่าจะเอาเรื่องอะไรมาพูดให้คนรู้จักกลัวต่อการขาดศีลธรรม หรือว่าให้คนกล้าในการที่จะมีศีลธรรม จึงเอาเรื่องศีลธรรมอย่างนี้มาพูด ให้รู้จักค่าของศีลธรรม
ให้รู้จักในทางที่จะเป็นประโยชน์แท้จริงยิ่งๆขึ้นไป จนกระทั่งในที่สุดจะได้อยู่เหนืออำนาจของสิ่งที่เรียกว่าคำหรือราคานั้น
ถ้ามีความยึดมั่นถือมั่นอยู่ ก็อยู่ใต้อำนาจของค่าหรือราคา เดี๋ยวก็ชอบเดี๋ยวก็ไม่ชอบ คือมีกิเลสอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่นอน ฉะนั้นจึงถือว่าแม้แต่พระโสดาบัน พระสกิทาคามี
พระอนาคามี ก็ไม่อยู่เหนือสิ่งนี้
เว้นแต่พระอรหันต์พวกเดียวกันเท่านั้นที่จะรู้จักมีจิตใจอยู่เหนืออำนาจของสิ่งที่เรียกกันว่า
“ค่า”
นี่ตั้งต้นแต่อยย่างต่ำๆ
เช่นค่าของข้าวสารเม็ดหนึ่งนี้
ไปจนถึงค่าของศีลธรรมสูงสุด
ก็เรียกว่าค่า
แล้วก็เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ
ทีนี้ถ้าว่ายึดถือนี้ให้ถูกวิธี ก็ยึดถือไปในทางที่มันจะสูงขึ้นไป จนในที่สุดมันก็อยู่เหนือค่า เดี๋ยวนี้ถ้าว่ามันโง่ไป มันก็ไปยึดถือผิด มันก็ไปยึดถือผิด
มันก็กลับต่ำลงไปโดยไม่จำเป็นแล้วไปเสียเวลาเปล่าๆ คือไปหลงใหลในสิ่วที่ชั่ว เห็นเป็นของที่มีค่า ครั้นละที่ชั่วนั้นได้มาอยู่ที่ดี ก็หลงในค่าของสิ่งที่ดี เมื่อยังไม่จบก็ยังหลงแม้ในความดี นี่ก็ยังถูกกดขี่อยู่ด้วยสิ่งที่เรียกว่า
“ค่า” มันก็ยังหนักอกหนักใจ วิตกกังวลทุกข์ร้อนไปตามเรื่อง ฉะนั้นต้องทะลึ่งขึ้นไปอีกทีหนึ่ง ให้มันพ้นจากอำนาจของสิ่งที่เรียกว่าค่า หรือแม้แต่ค่าของความดี นี้เป็นชั้นสูงสุดของสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรม
เดี๋ยวนี้ในโลกนี้ไม่ต้องการถึงอย่างนั้น ต้องการแต่ให้อยู่กันดีๆ อยู่กันอย่างดี มีค่าของความดี มีศีลธรรมอันดีก็พอแล้ว
เอาละเป็นอันว่า เราจะถือเอาค่าของศีลธรรมอันดีมาเป็นวัตถุประสงค์ในที่นี้ บัญญัติว่ามีค่าตามความหมายของศีลธรรม
คือสามารถจะทำความปกติแก่จิตใจของบุคคลแต่ละบุคคล และทำความปกติแก่จิตใจของบุคคลแต่ละบุคคล และทำความปกติแก่สังคม คือที่อยู่รวมๆกันเป็นพวกๆ
อะไรทำความสงบสุขอย่างนี้ได้ก็เรียกว่าศีลธรรม แล้วมันก็มีค่าเพียงเท่านี้ สำหรับสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรมนี้ นี่สำหรับคำว่าค่า ควรจะมองกันในลักษณะอย่างนี้
ทีนี้ก็มาถึง ความจำเป็นที่ตัวเราจะต้องมีศีลธรรม คำว่า ศีลธรรม ในที่นี้คือศีลธรรมที่จะบัญญัติขึ้น ที่ได้บัญญัติขึ้น แล้วจะต้องประพฤติปฏิบัติกันให้ถูกต้องนั้นไม่ใช่ชื่อว่าเป็นไปตามธรรมชาติ
ความมีศีลธรรมอยู่ที่ตรงไหน? อะไรเรียกว่าความมีศีลธรรม? ถ้าพูดต่อเนื่องกันมากับสิ่งที่พูดมาแล้ว ก็จะพูดได้เลยว่า
การสามารถควบคุมสิ่งที่เรียกว่าค่าได้นั่นแหละคือศีลธรรม
การสามารถควบคุมสิ่งที่เรียกกันว่าค่านั้นได้ นั่นแหละคือความมีศีลธรรม ถ้าเราควบคุมสิ่งที่เรียกว่าค่าหรือราคา หรือคุณค่านี้ไม่ได้แล้ว
มันจะดึงเราไปให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่เราหลงไปในคุณค่าอันนั้น คนที่หลงในคุณค่าของความชั่วว่าดี มันก็ลากคอไปทำความชั่ว หรือถ้าว่าไปหลงในคุณค่าที่สมมติบัญญัติกันว่าดี มันก็ไปทำสิ่งที่เรียกว่าดี แต่แล้วมันก็ยังไม่มีความปกติถึงที่สุด คือไปรักดี
ไปเกลียดชั่ว ถ้ายังมีรัก มีโกรธ
มีเกลียด
มีรักมีชังอยู่อย่างนั้น
จะเรียกว่ามีศีลอันดีได้หรือยัง?
ในทางโลกๆเขาจะบัญญัติว่าดี พอใช้ได้แล้วหรือใช้ได้แล้วในการที่รักดี ทำดี
ขวนขวายในความดี หลงแต่ความดี จนตายไปกับตัวนี้ก็ว่าใช้ได้แล้ว
แต่ในทางธรรมะชั้นสูงนั้นก็ต้องการไกลไปกว่านั้น คือความต้องการความปกติกว่านั้น อย่าให้เกิดความรัก อย่าให้เกิดความชังขึ้นมาได้ จึงจะเรียกว่าเราควบคุมมันยได้ อย่าให้สิ่งที่มีค่าอย่างใดอย่างหนึ่งมาทำให้เราเกิดความเกลียด มันมี 2 อย่างเท่านั้น ฉะนั้นถ้าเราควบคุม 2
อย่างนี้ได้ก็เรียกว่ามีศีลธรรม
ถ้าเราควบคุมไม่ได้ มันจะลากเราไปทำความชั่ว หรือว่าจะลากเราไปทำความดี ชนิดที่ต้องทนทรมาน ต้องหลงใหลในความดี จนต้องฆ่าตัวตายเพราะความดี หรือว่าความยึดมั่นในความดี ทำให้นอนไม่หลับกระสับกระส่ายอยู่จนเป็นโรคเส้นประสาทอย่างนี้ก็มี
นี่แหละเพราะว่าเราไม่สามารถจะควบคุมสิ่งที่เราเรียกว่าค่าไว้ได้ ฉะนั้นศีลธรรมจึงไม่บริสุทธิ์ จึงถือว่าควบคุมได้น้อยก็มีศีลธรรมน้อย ควบคุมสิ่งที่มีค่าที่บังคับจิตใจของเราให้หลงไปนั่นแหละให้ได้ และการสามารถควบคุมได้นั้น เรียกว่าเรามีศีลธรรม
ยกตัวอย่างที่เป็นพระเป็นเณรกันดีกว่า
เพราะว่าเป็นนักบวชที่จะประพฤติธรรมะที่สุงขึ้นไป
ถ้าควบคุมจิตใจเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าค่าไม่ได้แล้ว ก็ไม่เป็นพระเป็นเณรเลย มันจะเกิดไปรักสิ่งที่ยั่วให้รัก จะเกิดเกลียดสิ่งที่ยั่วให้เกลียด เพราะค่าใน 2 ความหมายนั้น
การที่ออกมาบวชเป็นพระเป็นเณรนี้ก็เพื่อจะสามารถฝึกจิตใจให้อยู่เหนืออำนาจของสิ่งที่เรียกว่าค่านี้เอง
ถ้าควบคุมอิทธิพลหรืออำนาจของค่านี้ได้แล้ว จะเกิดอะไรขึ้น? ก็คือเกิดความปกติขึ้นมา แต่ละคนๆคนหนึ่งมันก็ปกติ มีจิตใจ กาย วาจา ปกติแล้ว
สังคมก็ไม่ปั่นป่วนเพราะเป็นสังคมของคนที่ปกติ เรียกว่ามีความปกติเกิดขึ้น เป็นผลของศีลธรรม ของความมีศีลธรรม ไม่มีกิเลส
ถ้าสามารถควบคุมอำนาจของสิ่งที่เรียกว่าค่าอันยั่วยวนได้แล้ว ก็ไม่มีกิเลสเกิดขึ้น ไม่มีกิเลสก็ไม่ทำกรรม มันก็ไม่มีอะไรระส่ำระสายเป็นทุกข์เดือดร้อน แล้วเราก็เป็นมนุษย์เต็มตามความหมาย
มนุษย์ แปลว่า
มีใจสูง
สูงหมายความว่ามีอะไรมาบังคับไม่ได้
มีอะไรมาบีบความต้องการไม่ได้
เพราะว่าจิตใจมันสูง
มันไม่หวั่นไหวไปตามดีตามร้าย
ตามสิ่งที่มายั่วให้รักหรือเกลียด
มนุษย์มีใจสูง ไม่ถูกกระทำให้รักหรือให้เกลียดได้
เดี๋ยวนี้เป็นมนุษย์กันยังไม่ถึงนั่น เอาแต่เพียงว่าไม่หลงใหลถึงกับมารักมากเกลียดมากจนเกิดปัญหาขึ้นก็แล้วกัน แตในทางธรรมะนั้นไปสูงสุดจนถึงคำว่า ถ้าควบคุม “ค่า” ได้แล้วจะไม่มีผลร้าย เรียกว่าจะไม่มีการตายดีกว่า ทางกายก็ไม่ตาย ทางใจก็ไม่ตาย
ไม่มีการตายหรือไม่มีการตายโหงก็ได้
ขออภัยพูดคำหยาบว่าตายโหง
นี้คือการตายอย่างไม่น่าจะตาย
คือว่าคนมันหลงใหลในสิ่งที่เรียกว่ามีค่ามากเกินไปแล้ว มันจะตายโหงทางกายก็มีทางจิต ทางวิญญาณ
ทางสติปัญญาความคิดเห็นนี้เสียหมดเลยเหมือนกับสติปัญญาตายโหงไปแล้ว ยังเป็นๆอยู่นี้มันมีการตายชนิดนี้ได้
มนุษย์มีปัญหาที่สูงขึ้นมาอย่างนี้ จึงต้องการสิ่งที่สูงขึ้นมาสำหรับควบคู่กันไป ถ้าสัตว์เดรัจฉานมันไม่มีปัญหา สัตว์เดรัจฉานมันหยุดอยู่กับที่ ส่วยมนุษย์นั้นมันสมองก้าวหน้าเรื่อย ความคิดสติปัญญามันก้าวหน้าเรื่อย เพราะฉะนั้นปัยหามันจึงเกิดใหม่เรื่อย แปลกขึ้นไปเรื่อย สูงขึ้นไปเรื่อย
เดี๋ยวนี้ศีลธรรมนี้ก็ต้องบัญญัติขึ้นเฉพาะมนุษย์ ที่กระโดดวิ่งพรวดพราดไปอย่างนี้ ถ้ามนุษย์ยังเหมือนกับสัตว์ คือยังหยุดอยู่กับที่เหมือนกับสัตว์แล้ว ก็ไม่ต้องมีศีลธรรมส่วนนี้
ไปมองดูให้เห็นข้อนี้ก่อน
สัตว์เดรัจฉานมีศีลธรรมแต่ตามที่ธรรมชาติเรียกร้องก็พอแล้ว แล้วมันก็หยุดอยู่แค่นั้น มันไม่เดินไปอีกแล้ว เมื่อแสนปีล้านปีมันเป็นอย่างไร มันก็มีมันสมองเพียงเท่านั้น มีความต้องการหรือมีอะไรเพียงเท่านั้น ส่วนมนุษย์นี้มันสมองเจริญขึ้นเรื่อย คือรู้อะไรได้มากขึ้นเรื่อย แล้วก็รู้อยาก
รู้ปรารถนารู้สร้างสรรค์ รู้อะไรมากขึ้นเรื่อย
รู้จักทำให้เกิดสังคมที่ประหลาดๆอะไรขึ้นมาอย่างนี้ ก็ต้องมีการแก้ปัยหาในส่วนนี้ นี่แหละคือความมีศีลธรรม จำเป็นที่สุดที่จะต้องมีสำหรับมนุษย์ที่วิ่งไปเรื่อย ไม่หยุดอยู่อย่างสัตว์เดรัจฉาน
ถ้าไปดูต้นไม้จะเห็นว่ามันหยุดอยู่ มันไม่ก้าวหน้าทางสติปัญญา ทางกิเลสตัณหาทางอะไรแล้ว สัตว์เดรัจฉานก็เหมือนกัน แต่มนุษย์มันเหมือนกับวิ่งจี๋อยู่ตลอดเวลา แล้วถ้าไม่ขยับขยายทางศีลธรรมทางศีลธรรมให้มันทันกันแล้ว มนุษย์นี้มันจะเป็นอะไร? มันก็ต้องเป็นผีบ้า ต้องเรียกว่าผีบ้าแล้ว มากกว่าที่จะเรียกว่าเป็นมนุษย์ คือมนุษย์ที่กำลังขาดศีลธรรมนี้เอง มันเหมือนกับผีบ้าชนิดหนึ่ง
ในเมื่อมันขาดศีลธรรมในส่วนที่จะแก้ปัญหาอันนี้ เพราะฉะนั้นขอให้มองตรงนี้ ก็จะเห็นทันทีว่า
มีความจำเป็นกี่มากกี่น้อยที่มนุษย์จะต้องมีศีลธรรม
นี่แหละความจำเป็นที่จะต้องมีศีลธรรม เมื่อไรขาดศีลธรรมมันก็เกิดปัญหาหนักขึ้น ตรงกันข้ามกับความศีลธรรม ความมีศีลธรรมนั้นเราควบคุมกาย วาจา
ใจได้ควบคุมอิทธิพลของสิ่งที่เรียกว่าค่า
ราคานั้นไว้ได้ มีใจคอปกติ ไม่มีการตายอย่างตายโหง
ทั้งทางกายและทั้งทางจิตพอขาดศีลธรรมเท่านั้นแหละ สิ่งเหล่านี้จะมีครบหมด
ทีนี้มันก็เป็นสิ่งที่ว่าไม่มีใครทนได้
ถ้าเกิดการขาดศีลธรรมแล้วมันก็เกิดความเดือดร้อน วิกฤตการณ์อย่างนี้มีขึ้นมาไม่มีใครทนได้ แม้แต่คนที่ไม่มีศีลธรรมนั้นเองมันก็ทนไม่ได้ คนที่ขาดศีลธรรม ไม่มีศีลธรรมเลย แล้วสร้างความทุกข์ยากขึ้นมาในโลกนี้ แล้วตัวเองก็ทนไม่ได้ แล้วจะให้คนอื่นทนได้อย่างไร ก็เป็นปัญหาเกิดขึ้นมาใหม่ว่า ทนอยู่ไม่ได้มันก็ต้องแก้ไข ถ้าต้องแก้ไขก็วกกลับไปหาความมีศีลธรรม
นี่จะเห็นได้ชัดทันทีว่า
ความจำเป็นที่ต้องมีศีลธรรมมันมีอยู่อย่างนี้ ไม่มีศีลธรรมมันจะ “ตาย”
หมดใช้คำว่าตายในความหมายพิเศษ
แม้แต่โลกแผ่นดินนี้ก็จะอยู่ไม่ได้
อย่าพูดถึงมนุษย์ที่มีชีวิต
ถ้าไม่มีศีลธรรมกันอย่างยิ่ง
แม้แต่โลกแผ่นดินนี้ก็จะอยู่ไม่ได้
มันจะถูกทำลายหมด
มันจะไร้ค่าไร้ความหมาย
เหมือนกับไม่มี คือมนุษย์ก็”ม่มี มนุษย์ที่มีความเป็นมนุษย์ก็ไม่มี ความสงบสุขอย่างอื่นก็ไม่มี เพราะการขาดศีลธรรมในส่วนในส่วนที่จำเป็น สำหรับมนุษย์ที่วิ่งพรวดพราดขึ้นมาถึงอย่างนี้
ขอให้เห็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่ธรรมชาติมันบังคับในส่วนจิตใจ ในส่วนลึกซึ้งในทางนามธรรมว่า
มนุษย์ต้องมีศีลธรรมส่วนนี้จึงจะเป็นมนุษย์รอดอยู่ได้ และสิ่งอื่นก็จะพลอยรอดอยู่ได้ด้วย นี่คือความจำเป็นที่ต้องมีศีลธรรม
ที่ว่าระดับพื้นฐานก็มีระดับพิเศษที่มนุษย์มันวิ่งขึ้นมาถึงขนาดนี้แล้ว และจะวิ่งต่อไปข้างหน้า
ผิดแปลกไปจากนี้ก็ต้องมีระบบศีลธรรมที่ทันกันเสมอ
นี้จะมองดูในลักษณะที่เป็นการสรุปในขั้นมูลฐานสักหน่อย เพื่อจะจำหรือเข้าใจได้ง่ายก็ว่า เราต้องการศีลธรรมนี้เพราะมุ่งหมายอะไร? ก็อย่าลืม
ขอร้องแล้วก็ขอร้องอีกร้อยครั้งพันครั้งว่า อย่าลืมคำว่าศีล ศีล
หรือ สี-ละ ที่แปลว่าปกติ
เราต้องการความปกติ
คือปกติสุข
ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น
ศีลธรรมก็คือสิ่งที่จะทำให้เป็นอย่างนั้น
เรียกว่าศีลธรรมทำให้เกิดปกติสุข
ทีนี้จะสรุปดูว่า ทั้งหมดนั้นมันจะอยู่กันรูปไหน
ในระดับที่ 1
เราต้องการจะอยู่ในลักษณะที่พอทนอยู่ได้
นี่เราต้องนึกถึงธรรมชาติที่มันแสนจะโหดร้าย เมื่อเรายังไม่มีปัญญาจะต่อสู้มัน นึกถึงมนาย์เมื่อแรกมีในโลกแสนปีล้านปีอะไรมาแล้ว มันยากที่จะรอดชีวิตอยู่ได้ เดี๋ยวนี้เราก็ต้องการว่า อยู่ในลักษณะพอทนอยู่ได้ อย่าให้ตายให้พอทนอยู่ได้
ที่จะเห็นได้ง่ายคือพวกฤาษี มุนี
ชีไพรอะไรต่างๆที่ออกไปอยู่ในป่า
อยู่ในลักษณะที่พอทนอยู่ได้
หรือชาวไร่ชาวนาสมัยโบราณ ปู่ ย่า
ตายายของเรา
ท่านต้องการแต่เพียงในลักษณะที่พอทนอยู่ได้ ท่านไม่ต้องปลูกตึกปลูกวิมาน ไม่ต้องมีอะไรอย่างที่เราเดี๋ยวนี้ก็มี เดี๋ยวนี้เรามีอะไรบ้างที่เกินจำเป็น ปู่ย่าตายายเขาไม่ได้ต้องการ เขามีความต้องการในระดับแรก แต่เพียงว่าในลักษณะที่พอทนอยู่ได้ ไม่ตาย
ไม่เจ็บไข้ ไม่อะไรมากเกินไป นี้ก็เป็นเรื่องศีลธรรมในขั้นแรก ทำให้ต้องการเพียงเท่านี้ ก็เป็นศีลธรรมที่สร้างขึ้นได้ง่าย หรือปฏิบัติได้ง่าย
ทีนี้ ระดับที่ 2
เราต้องการให้เรียบร้อยและสวยงามยิ่งขึ้นไป เรากำลังเป็นบ้าในข้อนี้ใช่หรือไม่? ลองคิดดู
เราต้องการให้มีระเบียบเรียบร้อยให้สวยงามยิ่งขึ้นไป กำลังบ้ากันเท่าไรในโลกนี้ ที่เรียกว่าความเจริญ ความเจริญก้าวหน้าศิวิไลซ์นั้น มันคือความบ้าหลังในข้อนี้
ทำให้มันเป็นระเบียบเรียบร้อยและสวยงามยิ่งขึ้นไป เพราะฉะนั้นศีลธรรมมันก็เปลี่ยน
ระบบศีลธรรมมันก็ต้องเปลี่ยนเพื่อความเรียบร้อยและสวยงามยิ่งขึ้นไป
ก่อนๆนี้เราต้องการเพียงแต่ว่าพอทนอยู่ได้ เดี๋ยวนี้เกิดศีลธรรมอันนี้ที่มันลำบากขึ้นมาว่า จะต้องเรียบร้อยสวยงาม แล้วก็ต้องเจริญตาเจริญใจด้วย ทีนี้เราก็ดูแล้วจะเห็นว่า ความเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงามนั้นมันต้องลงทุนเท่าไร? แล้วมันจะยั่วยวนกิเลสเท่าไร?
มันจะยั่วยวนให้อันธพาลเกิดขึ้นสำหรับเบียดเบียนคนที่สุภาพหรือปกติเท่าไร? นี่ระบบศีลธรรมมันจึงเปลี่ยนเป็นยากยิ่งขึ้นที่จะอยู่ด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงามยิ่งขึ้นไปแด้วย แล้วด้วยความสงบรักใคร่เมตตากรุณากันด้วย
ในสมัยก่อนเราอยู่กันแต่พอทนอยู่ได้ รักใคร่เมตตากรุณาไม่เบียดเบียนกัน เมื่อสักร้อยปีมานี้เห็นจะได้ เดี๋ยวนี้มันไม่ได้ เพราะว่าต้องการสวยต้องการงาม ต้องการมากขึ้นไป แล้วเราก็ทำให้เป็นอย่างนั้นไม่ได้ เพราะว่าเต็มไปด้วยโจรขโมย
นี้มันเพาะโจรเพาะขโมยขึ้นมาเองในตัวมันเอง เพราะมันต้องการสวยต้องการงาม ต้องการมากต้องการอะไรไม่มีขอบเขตขึ้นมา ศีลธรรมมันก็เปลี่ยนความปกติมันก็เลยยากขึ้น เราอาจจะทำได้
แต่มันจะยากขึ้นหลายร้อยเท่าพันเท่าที่จะให้มีความปกติ อยู่อย่างสวยงามเจริญตาเจริญใจนี้มันทำยาก
ทีนี้มีระดับสูงสุด ระดับที่ 3
คือว่าเราต้องการศีลธรรมที่เป็นมูลฐานในทางพระศาสนา
ต้องการศีลธรรมที่เป็นมูลฐานขั้นสูงสุดทางพระศาสนา ศีลธรรมนี้ต้องการให้เราพร้อมที่จะหมดกิเลส ให้ความหมดกิเลสนั้นเป็นนิพพาน เป็นยอดสุดของศีลธรรม เราจะต้องการตัวศีลธรรมที่ทำให้เป็นอย่างนั้น มันก็ยิ่งทำยาก เพราะเราอยากแต่จะอยู่บนวิมาน อยากจะสมบูรณ์อยู่ด้วย รูป เสียง กลิ่น รส
อย่างที่เรียกว่า ไม่ยอมมานั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์ จะมานั่งอยู่ที่ใต้ต้นกัลปพฤกษ์เสมอไป นี่พูดอย่างเข้าข้างตัวเองทุกคน
ลองคิดดูเถอะ
เราอยากจะนั่งใต้ต้นกัลปพฤกษ์หรือว่าเราอยากจะนั่งใต้ต้นโพธิ์ เดี๋ยวนี้มันก็เกิดสติปัญญา เกิดความรู้
เกิดเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ขึ้นมา ถ้าเราไปเกิดอยากนั่งใต้ต้นกัลปพฤกษ์ เดี๋ยวก็มีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์
นึกอะไรก็ได้อย่างใจ ล้วนแต่เป็นเรื่องกามคุณทั้งสิ้น นี่มันต้องการไขว้กันอยู่อย่างนี้ เว้นแต่จะมีความรู้สึกผ่านมาแล้วว่า เห็นโทษอันเลวทรามของสิ่งยั่วยวนเหล่านั้นแล้ว ต้องการความสงบ ความปราศจากกิเลส เป็นนิพพานนั้น จึงจะต้องการศีลธรรมระบบนี้
เดี๋ยวนี้ในประเทศเราเมืองไทย ที่ว่าเจริญด้วยพุทธศาสนา ใครต้องการศีลธรรมระบบนี้? เดี๋ยวพูดไปมันกระทบกระเทือนประชาชนก็ดี รัฐบาลก็ดี
ไม่เคยคำนึงถึงศีลธรรมระบบนี้
เพราะว่าแม้แต่ศีลธรรมในระดับต่ำๆที่จะให้อยู่กันเป็นผาสุกตามบ้านเรือน มันก็ยังทำไม่ได้
แล้วก็ยังสนับสนุนระบบที่ให้สวยงามยิ่งๆขึ้นไป ให้เอร็ดอร่อยยิ่งๆขึ้นไป นี้มันก็ยิ่งไกลออกไป เพราะมันเป็นเรื่องช่วยสร้างกิเลส ช่วยเพาะอันธพาล ฉะนั้นจึงอย่าไปโทษอันธพาลนัก ต้องโทษคนโง่ทั่วๆไป ที่ไปสร้างระบบให้มันสวยงาม กินอยู่ดี
ยั่วยวนมากขึ้น
นั่นแหละมันเป็นต้นเหตุที่เพาะพวกอันธพาลขึ้นมา
ทีนี้ก็ดูกันอีกทีว่า ข้อที่หนึ่ง
สิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริงจากศีลธรรมนั้นคืออะไร?
เราอยากจะมีศีลธรรม เราเกิดชอบศีลธรรมขึ้นมาแล้ว เราจะเอาศีลธรรมในระดับไหน? เราจะเอาศีลธรรมกันแต่ในระดับที่เพียงว่า ให้พอทนกันอยู่ได้ เป็นไปกันได้พออยู่ได้ตามปกตินั้น คงไม่ยาก
ไม่มีปัญหามากมายนัก
แต่ถ้าเอาศีลธรรมระบบที่จะให้อยู่กันอย่างสวยงามหรูหรายิ่งๆขึ้นไปด้วยแล้ว มันก้ยาก
เพราะมันเพาะกิเลส ถ้าว่าต้องการศีลธรรมระบบที่จะส่งเสริมแก่พระนิพพานแล้วก็ดูยังจะลงทุนน้อยกว่า หรือจะไม่ต้องลงทุนอะไรเลยก็ได้ เพราะมันสามารถจะแก้ไขได้ในตัว
ปรับปรุงแก้ไขในตัวไม่ต้องหาเงินหาทองอะไรมาพัฒนาบ้านเมือง เป็นโกฏิเป็นล้านเป็นอะไร พออยู่เป็นปกติสุขก็พอแล้ว แล้วก็ให้รู้จักทำจิตใจให้มันมีกิเลสเบาบางยิ่งขึ้นไปทุกที
ตัวเองไม่ร้อนมันก็ไม่ไปทำคนอื่นให้เดือดร้อน ก็ไม่มีใครเบียดเบียนใคร จะอยู่กันอย่างผาสุก อย่างโลกของพระอริยเจ้า ข้อนี้อาตมาเรียกว่า อริยศีลธรรม ซึ่งเป็นหัวข้อใหญ่ของการบรรยายชุดนี้ ที่เรียกว่า
อริยศีลธรรม
เมื่อเขาพูดกันอยู่ว่า ศีลธรรมอันดีของประชาชน ศีลธรรมอันเลวของประชาชนอะไรก็ตาม เราจะพูดแต่ว่าอริยศีลธรรม
ศีลธรรมของพระอริยเจ้าที่ทำให้เกิดความผาสุกความเยือกเย็น โดยที่ไม่ต้องลงทุนมาก ไม่ต้องลำบากมาก เราควรจะรารถนามในส่งวนนี้กันหรือไม่? ขอให้ลองคิดดู
ทีนี้ ปัญหาสุดท้ายมันเนื่องกันมาว่า มันขัดข้องขวางอยู่ที่ตรงไหน? เราไม่เข้าใจแล้ว หรือเรากำลังทำอยู่อย่างไร สิ่งที่เราไม่ต้องการกลับต้องการ สิ่งที่เราควรจะไม่ต้องการเรากลับต้องการ
เรากำลังหลับตาทำสิ่งที่เราไม่ควรจะต้องการจริงหรือไม่? เรากำลังทำอย่างคนทีหลัง
และเรากำลังหลับตาทำสิ่งที่เราไม่ควรจะต้องการ ทำอย่างหลงรัก
ทำอย่างหลงใหลทีเดียว สิ่งที่ไม่ควรจะต้องการคือความได้ประโยชน์ทางเนื้อหนัง
ตลอดถึงสิ่งที่มันจะมาทำให้เราเร่าร้อนนั่นเอง เรากลับต้องการอย่างหลงใหล เราไม่ต้องการศีลธรรม นี่ขอพูดตรงๆอย่างนี้ สิ่งที่ควรจะต้องการกลับไม่ต้องการ ปากเราก็พูดว่าเราต้องการศีลธรรม แต่ใจของเราก็ต้องการที่จะมีความผาสุก กินดีอยู่ดียิ่งๆขึ้นไปทางเนื้อทางหนัง
เรื่องนี้เคยสอบถามกันดูอย่างน่าหัวที่สุดว่า อยากไปสวรรค์ หรืออยากไปนิพพาน? ชาวบ้านที่ถูกถามก็บอกว่าเขาอยากไปนิพพาน เมื่อเขายืนยันว่าเขาอยากไปนิพพาน ไม่อยากไปสวรรค์
นี้เราก็อธิบายให้เขาฟังว่านิพพานนั้นเรามีจิตใจชนิดที่จะไม่ยินดียินร้าย ไม่มีอะๆรที่รักที่ชัง
ไม่มีอะไรที่ทำให้เรารู้สึกสนุกหรือร้องไห้ อย่างนี้เขาก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องการนิพพาน เขาต้องการอะไรที่มันมีอยู่อย่างที่มีในโลกนี้ แต่มันมากยิ่งๆขึ้นไป นั่นเขาต้องการอย่างนั้น นี้ปากเขาพูดอย่างหนึ่งตามที่นิยมพูดกันอยู่ ไปหลงเอาสิ่งที่วิเศษที่สุดมาพูดก็ได้ แต่ใจแท้จริงไม่ได้ต้องการ
เราต้องการสิ่งที่ไม่ควรต้องการ สิ่งที่ควรต้องการก็ไม่ได้ต้องการ นี่เราไม่ได้ต้องการศีลธรรมเพราะเหตุนี้ แต่ปากเราพูดว่าต้องการศีลธรรม นี่ไม่ใช่ประชดหรือด่าใคร ไปดูตัวเองเอาก็แล้วกัน พูดถึงว่า
ต้องการศีลธรรมไหม?
ยกมือกันทั้งนั้น
แต่ในใจนั้นไม่รู้จัก
หรือว่าพอรู้จักเข้าทีก็จะบอกคืนก็ได้
ข้อที่สอง เรากำลังไม่รู้ว่า ปัญหาทุกอย่างนั้นมันมาจากการขาดศีลธรรม
ข้อนี้ไว้พูกันอย่างละเอียดคราวอื่นดีกว่า แต่ขอให้จำไว้ก่อนว่า ปัญหาทุกชนิดในโลก อดีต
อนาคต ปัจจุบันอะไรก็ตาม ปัยหาความยุ่งยากทุกอย่างมาจากการขาดศีลธรรม เราทำให้คอมมูนิสต์เกิดขึ้นเพราะขาดศีลธรรม เราต่อสู้คอมมูนิสต์ไม่ได้เพราะขาดศีลธรรม นี่พูดกันให้หมดเลยว่าอย่างนี้ดีกว่า
เราไม่รู้ว่าปัญหายุ่งยาก ความทุกข์ทุกชนิดเกิดมาจากการขาดศีลธรรม
เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ได้ตั้งใจที่จะมีศีลธรรมกันโดยแท้จริง เดี๋ยวนี้เรากำลังหลับหูหลับตาแก้ปัญหากันแต่ที่ปลายเหตุตั้งร้อยวิธีพันวิธี
รัฐบาลทุกรัฐบาลในโลกนี้หลับหูหลับตาแก้ปัญหาที่แต่ที่ปลายเหตุตั้งร้อยวิธีพันวิธี
รัฐบาลทุกรัฐบาลในโลกนี้หลับหูหลับตาแก้ปัญหากันแต่ปลายเหตุร้อยอย่างพันอย่าง ไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุของปัญหาอันแท้จริง คือความขาดศีลธรรม ไม่มีรัฐบาลไหนในโลกเวลานี้พูดถึงคำว่า
“ศีลธรรม”
และไม่ได้ยกเรื่องของศีลธรรมขึ้นมาเป็นตัวปัญหาสำหรับแก้หรือสะสาง
ทั้งโลกทุกรัฐบาลในโลกนี้ หลับตาแก้ปัญหาแต่ที่ปลายเหตุ เช่นว่ากรรมกรสไตรก์นี้ ก็จะแก้ปัญหาตรงที่นั้นแหละ ไม่ได้รู้ว่ามันมาจากการขาดศีลธรรม หรือว่านายทุนเขารังแกกรรมกร จึงจะปราบนายทุนลงไปอย่างนั้น ไม่ได้รู้ว่า มันมาจากการขาดศีลธรรม ข้าราชการไม่ดี ราษฎรเดือดร้อน ก็จะเล่นงานข้าราชการ โดยที่ไม่รู้ว่ามันมาจากการขาดศีลธรรม โดยมากราษฎณเองก็ขาดศีลธรรม จึงได้ทำผิดจนเกิดเดือดร้อนขึ้นมา แล้วจะไปโยนบาปไปให้คนอื่น
ในโลก ทุกอย่างเป็นปัญหาระหว่างชาติระหว่างโลก ปัญหาใหญ่หลวงของโลกนั้นมาจากมนุษย์ชาติขาดศีลธรรม เดี๋ยวนี้มนุษย์ในโลกกำลังระดมทุ่มเทกันจะทำลายทรัพยากรในโลกนี้ให้หมดสิ้น ไม่ให้น้ำมันเหลืออยู่ในโลกแม้แต่หยดเดียว คอยดูไปข้างหน้า นี่ความขาดศีลธรรมของมนุษย์มันจะมีมากถึงอย่างนี้ แล้วก็หลับตาแก้ปัญหากันที่ปลายเหตุ
ถ้าแก้ปัญหาที่ต้นเหตุมันก็ทำให้มนุษย์มีศีลธรรม สิ่งต่างๆก็จะหยุดระส่ำระสาย หยุดหมดหยุดเปลือง มันจะมีสิ่งเหลืออยู่ในโลกไปได้ยืดยาว
เดี๋ยวนี้เราไปโทษปัญหาทางเศรษฐกิจนั้น หลับตาโง่ไปโทษปัญหาทางเศรษฐกิจ ไม่รู้ว่ามันมาจากการขาดศีลธรรม ปัญหาทางเศรษฐกิจมันจึงเกิดขึ้นในบ้านเรา ในประเทศเรา
หรือในโลก
ที่เราโง่ที่สุดกันเกือบทั้งโลก
แล้วก็ถือว่า
ถ้าเราไม่ยึดถือศีลธรรมจะทำให้เราเสียเปรียบผู้อื่น เดี๋ยวนี้มีใครกำลังโง่อยู่อย่างนี้ ขออภัยไปช่วยคิดดูใหม่ว่ามีศีลธรรมแล้วจะเสียเปรียบคนอื่น
เรากำลังตีความหรือตีค่าของศีลธรรมผิด เราเกลียดศีลธรรมทันที
เราเกลียดศีลธรรมเพราะเราตีความหมายของศีลธรรมผิด เราเกลียดศีลธรรมก็เพราะว่ากิเลสของเรามันต้องการอย่างอื่น กิเลสของเรามันไม่ต้องการศีลธรรม ฉะนั้นเราจึงเกลียดศีลธรรม เพราะว่ากิเลสของเรามันต้องการอย่างอื่น
เราเกลียดศีลธรรมเพราะเรามองศีลธรรมกันอย่างไม่ยุติธรรม มองศีลธรรมกันอย่างไม่ยุติธรรม มองศีลธรรมอย่างเสียไม่ได้ อย่างผิวเผิน
อย่างไม่ยุติธรรมแก่ศีลธรรม
เราจึงเกลียดศีลธรรม
นี่รวมความว่า เราทำโลกนี้ให้สงบสุขไม่ได้ ในเมื่อเราไม่รู้จักสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่จะทำโลกนี้ให้มีความสงบสุข คือสิ่งที่เรียกว่าศีลธรรมนั่นเอง
มันมีปัญหาที่อาจจะเล่นตลกกลับไปกลับมากันก็ได้ อย่างอาตมาจะพูดว่า แม้ว่าเราจะมีผู้ปกครองประเทศที่ดีสุด แต่ถ้าพลเมืองทุกคนไม่มีศีลธรรม จะทำได้ไหม?
จะทำบ้านเมืองให้มีปกติสุขได้ไหม?
เรามีผู้ปกครองที่ดีที่สุด
แต่พลเมืองไม่มีศีลธรรม
หรือเขาอาจจะพูดว่า
อ้าวถ้าเป็นผู้ปกครองที่ดีที่สุดก็ต้องทำพลเมืองให้มีศีลธรรมได้ซิ เราก็บอกว่า
เพราะมันมีศีลธรรมได้นะซิมันจึงมีความสงบสุข ไม่ใช่อยู่ที่ผู้ปกครองอย่างนั้นอย่างนี้ มันอยู่ที่ทุกคนนั้นมีศีลธรรมต่างหาก ขอสรุปความเสียทีว่า มันมีความจำเป็นอย่างนี้ คือมนุษย์เราจะต้องมีศีลธรรม จึงจะอยู่กันเป็นผาสุก ถ้าเราไปหลงในค่าของวัตถุที่มันหลอกเราให้รักให้เกลียด เราไม่มีทางที่จะมีศีลธรรมที่ดีได้ เราจะไปหลงรักหลงเกลียด หลงบูชาสิ่งที่ไม่ควรจะบูชา
แล้วก็เกลียดสิ่งที่จะควรจะบูชาอย่างนี้เป็นต้น ฉะนั้นจึงขอให้สนใจสิ่งที่เรียกว่าค่า ว่าเป็นสิ่งที่หลอกลวงที่สุด เป็นต้นตอแห่งปัยหาทั้งปวง เป็นสิ่งที่พระอรหันต์ท่านสลัดออกไปได้ สิ่งที่เรียกว่าค่านี้ ครอบงำจิตใจของพระอรหันต์ไม่ได้ นั่นเป็นสิ่งสำคัญ เราต้องรู้จักสิ่งนั้น ควบคุมสิ่งนั้นได้ตามสมควร แล้วเราก็จะมีศีลธรรม ถ้าเราควบคุมได้ถึงที่สุด เราก็จะมีศีลธรรมดีที่สุด
การบรรยายเรื่องค่าของศีลธรรมและความจำเป็นที่คนเราจะต้องมีศีลธรรม ก้พอสมควรแก่เวลาแล้ว
อาตมาขอยุติการบรรยายสำหรับวันนี้แต่เพียงเท่านี้ ขอให้พระท่านสวดบทสำหรับส่งเสริมจิตใจ เพื่อความมีธรรมะ มีศีลธรรมต่อไปในบัดนี้ ๛
ธรรมิกสังคมนิยม
(อีกมุมหนึ่ง)
ธรรมิกสังคมนิยม ที่เรา “พร่ำ” อยู่เสมอนั้น, ที่แท้,
เมื่อมองดูอีกวิธีหนึ่ง, ก็คือ การรวมเจตนารมย์ ของทุกระบบการเมือง
เข้าด้วยกันตามสัดส่วน ที่เหมาะสมนั่นเอง, เป็น :-
“ประชาธิปไตย-แบบสังคมนิยม-เผด็จการโดยธรรม,”
ซึ่งอาจจะมองเป็น
ราชาธิปไตย, คณาธิปไตย – หรืออะไร แล้วแต่ความเหมาะสม, ของประเทศแต่ละประเทศ
ซึ่งมีปัญหาปลีกย่อยไม่เหมือนกัน.
มุ่งหมาย : ให้นายทุนกับกรรมกรรักกันได้ – นายทุนกลายเป็นเศรษฐีใจบุญ
กรรมกรลูกหลาน
·
ไม่ถึงกับให้ร่วมทุนชนิดเฉลี่ยเท่ากัน
ดังที่บางคนกล่าว นั้นมันเกินไป.
·
เป็นเจตนารมณ์ของทุกศาสนา –
มีตัวอย่างมาแล้ว แต่ครั้งพุทธกาล ฯลฯ
ลูกจ้างหรือคนครัวร้านจีน กินข้าวรวมกัน.
·
เพียงแต่นายทุนเสียสละเพิ่มขึ้นอีกหน่อยหนึ่งในอัตราที่ยุติธรรม.
เพื่อซื้อความรัก
·
ไม่เสียหลักยุติธรรม,
เรื่องกรรม-ธรรมชาติ-การศึกษาอบรมแวดล้อม-ก็ดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น