หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

พุทธทาสภิกขุ - ภาวะจิตเมื่ออยู่เหนือสัญชาตญาณโดยประการทั้งปวง



พุทธทาสภิกขุ – ภาวะจิตเมื่ออยู่เหนือสัญชาตญานโดยประการทั้งปวง

ท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายประจำวันเสาร์แห่งภาคมาฆบูชา เป็นครั้งที่ 13 ในวันนี้ อาตมาก็ยังคงบรรยายในชุด “พุทธธรรม กับสัญชาตญาน”ต่อไปตามเดิม และมีหัวข้อเฉพาะในครั้งนี้ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายว่า “ภาวะจิตเมื่ออยู่เหนือสัญชาตญานโดยประการทั้งปวง” ว่าที่ถูกก็เป็นเรื่องสรุปท้ายตอนจบของเรื่องนี้ จะรวบรวมเอาใจความของทุกๆตอน มาสรุปเข้าด้วยกัน เพื่อความเข้าใจง่าย เป็นขั้นสุดท้ายในอีกครั้งหนึ่ง  ที่แท้ก็เป็นการซ้อมข้อความทั้งหมดที่บรรยายมาแล้ว เอามากล่าวสรุปเป็นเรื่องเดียวกัน เนื่องด้วยกัน เป็นเรื่องสั้นๆ.
ข้อแรก ขอให้ระลึกถึงที่เราได้ทำความเข้าใจกันในตอนต้นว่า เรากำลังเรียนธรรมะอย่างวิทยาศาสตร์ เพราะเรื่องสัญชาตญานเนี่ยะ...เป็นเรื่อง ที่เป็นผลแห่งการค้นคว้าของวิทยาศาสตร์ มีลักษณะ ระบุ มองลงไปที่ของที่มีอยู่จริง รู้สึกได้ไม่ต้องคำนวณ อย่างนี้เรียกว่าวิทยาศาสตร์ เป็นยุควิทยาศาสตร์ เรียนธรรมะกันในลักษณะหรือวิถีทางของวิทยาศาสตร์ มันง่ายขึ้น
มีเรื่องสรุปได้ว่า สิ่งที่เรียกว่า ชีวิต-ชีวิต นี่...มันประกอบขึ้นด้วยของ 2 อย่าง คือ ร่างกาย กับ จิตใจ พูดอย่างนี้ก็ได้ ของ 2 อย่างคือร่างกายกับจิตใจ รวมกันเข้าแล้วเราก็เรียกว่า ชีวิต หรือที่จะเรียกภาษาวัดว่า  นาม กับ รูป...รูป กับ นาม 2 อย่างนี้รวมกันเข้า เราเรียกว่า”ชีวิต” ในที่นี้ ในสิ่งที่เรียกว่า”ชีวิต”เนี่ยะ มันมีสิ่งที่เรียกว่า สัญชาตญาน เข้าไปควบคุมอยู่ เป็นความรู้สึกได้เองของสิ่งที่มีชีวิตนั้น ให้สิ่งที่มีชีวิตนั้นสามารถ คิด-นึก รู้สึกไปในทางที่จะให้เกิดความรอดแก่มันเอง จึงได้ใส่สัญชาตญานที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ สัญชาตญานที่ทำให้รู้สึกว่า “ตัวตน” หรือ “ของตน” ถ้ามันไม่มีความรู้สึกว่า”ตัวตน”ว่า”ของตน” มันก็ไม่รู้ว่า จะสงวนอะไร จะถนอมอะไร จะรักษาอะไร จะพัฒนาอะไร  เดี๋ยวนี้มันมีความรู้สึกว่า “ตน” หรือ “ของตน” เป็นหลัก  “ตน-ของตน-ตัวตน”นี้ไม่ต้องเป็นของจริง ของจัง เป็นดุ้นเป็นก้อนเป็นชิ้นอะไร เป็นแต่เพียงความรู้สึกคิดนึก หรือความสำคัญมั่นหมาย แห่งความรู้สึกทางจิต ก็พอแล้ว ไม่ได้เกี่ยวกับทางกาย มันมีความรู้สึกว่าเป็น”ตัวตน”ยืนอยู่เป็นหลัก เป็นประธานหรือเป็นแกนกลาง ของสิ่งที่เรียกว่าชีวิต มันก็ทำให้เกิดความรู้สึกที่จะถนอม ที่จะป้องกัน จะรักษา แล้วยิ่งกว่านั้น เลยเถิดไปก็คือ เห็นแก่ตน ตอนนี้เป็นเรื่องที่เป็นอันตราย มันไม่มีตนเฉยๆ มันไม่ได้พัฒนาหรือถนอมตนตามสมควร มันเลยเถิดออกไปเป็นเรื่องเห็นแก่ตน มันก็รุกล้ำเข้าไปในเขตของบุคคลอื่น ความเห็นแก่ตนมันก็งอกงามออกไป เป็นกิเลสนานาชนิด ซึ่งเป็นอันตรายแก่ตน และแก่ผู้อื่น
นี่แหละที่เราจะรู้จักชีวิตในลักษณะอย่างนี้ก่อน มองดูว่า มันได้เจริญขึ้นมาอย่างไร ทารกอยู่ในท้องทำอะไรไม่ได้ คิดอะไรไม่ได้ แต่ครั้นทารกคลอดมาจากท้อง แล้วมันก็มี การเป็นไปตามธรรมชาติ คือทารกนั้นจะต้องกระทบทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ตามลำดับ ทารกนั้นจะรู้สึก เป็นความพอใจ หรือไม่พอใจ ขึ้นมาได้เอง ถ้าอร่อยหรือสบายก็พอใจ ไม่อร่อยไม่สบายมันก็ไม่พอใจ มันก็เกิดความรู้สึกพอใจหรือไม่พอใจขึ้นมา นี่-ความรู้สึกอย่างนี้แหละมันเป็นที่ตั้งแห่งของสัญชาตญาน ว่ามี”ตัวตน” มี”ตัวกู” ซึ่งเป็นผู้พอใจหรือไม่พอใจ ทีแรกมันจะมีเพียงความรู้สึกพอใจหรือไม่พอใจ ครั้นหนักเข้าหนักเข้า เมื่อกลายเป็นความรู้สึกว่ามี”กู”ไม่พอใจ หรือ”กู”พอใจ นี่เด็กๆเค้าก็รู้สึกอย่างนี้ขึ้นมาได้ตามลำดับ คือมี”ตัวกู”ที่จะเป็นผู้พอใจ หรือไม่พอใจ
เมื่อพอใจก็คิดต่อไปอีกอย่างหนึ่ง ว่าไม่พอใจก็คิดไปอีกอย่างหนึ่ง ไม่หยุดอยู่เพียงเท่านั้น ในที่สุดมันก็เกิดเป็นกิเลส พอใจแล้วอยากได้ก็เป็นโลภะ ราคะ ขึ้นมา ไม่พอใจไม่อยากได้มันก็เกิดเป็น โทสะ เป็นพยาบาท เป็นปฏิคะขึ้นมา แล้วเมื่อมันยังไม่รู้ว่าจะพอใจหรือไม่พอใจมันก็ยัง พะวงสงสัย อาลัยอาวรณ์ อยากจะรู้ให้มันแน่นอนต่อไปอีก มันก็เป็นโมหะ ขึ้นมา คิดดูเถอะว่า มันไม่ได้มาจากไหน มันมาจากเหตุปัจจัย ที่ว่าทารกนั้นมันก็มีตาหูจมูกลิ้นกายใจ สัมผัสอารมณ์แล้วมันเกิดรู้สึก เป็นเวทนา พอใจหรือไม่พอใจแล้ว มันก็เกิดกิเลสได้ต่างๆ เวทนาให้เกิดตัณหา คือเกิดกิเลส ในสิ่งที่น่ารักน่าพอใจก็เกิดกามตัณหา ภวตัณหา ในสิ่งที่ไม่น่ารักไม่น่าพอใจก็เกิด วิภาวตัณหา นี่รู้...รู้ธรรมชาติที่มันเป็นมาของสิ่งที่มันเรียกว่า สัญชาตญาน ให้ประจักษ์ โดยไม่...ไม่...คือว่าไม่ต้องเชื่อตามผู้พูด มองเห็นจริงชัดตามที่เขาพูด หรือผู้พูด-พูด มันก็ใช้ได้เหมือนกัน ว่าจิตนี่เป็นอย่างไร กายนี้เป็นอย่างไร เกิดความรู้สึกอะไรบ้าง แล้วเกิดความรู้สึกอะไรสืบต่อไป
ทีนี้ก็ควรจะดูมันให้ครบทั้งระบบว่า เมื่อมันเกิด”โลภะ”ขึ้นมาแล้ว มันก็ย่อมเกิดความเคยชิน ที่เก็บไว้สำหรับจะเกิด”โลภะ”อีก ก็เรียกว่า ราคานุสัย ถ้าไม่ชอบใจเกิด”โทสะ”ขึ้นมาแล้ว มันเกิดความเคยชินที่เก็บไว้สำหรับจะโกรธอีก ก็เรียกว่า ปฏิภานุสัย  ถ้าเกิดกลางๆไม่ใช่พอใจหรือไม่ใช่ไม่พอใจ มันก็เกิด อวิชชานุสัย นี่เราก็มี อนุสัย เป็น 3 ประการนี้จริงอยู่ในสันดาน ถ้าจะเรียกอย่างวิทยาศาสตร์ก็เรียกว่า สัญชาตญาน นั้นน่ะ มันก็ได้ลงรกลงราก เป็นสิ่งที่เรียกในภาษาธรรมะว่า อนุสัย เพราะฉะนั้น มันจึง โลภได้ง่าย โกรธได้ง่าย หลงได้ง่าย ในครั้งหลังๆ เพราะสัญชาตญานที่จะเป็นเช่นนั้น มันได้ลงรกลงรากลงไปใน นามของสิ่งที่เราเรียกกันในวัดว่า อนุสัย ครั้นอนุสัยนั้นมันมีมากเข้าๆ มันก็ต้องการจะออก จะดันออก จะกลับออก ก็มีสิ่งที่เรียกว่า อาสวะ สำหรับจะไหลออกมา เป็นความโลภอีก หรือเป็นความโกรธอีก เป็นความหลงอีก คือจะเป็นโลภะ หรือเป็น โทสะ หรือเป็น โมหะ อีกนั่นเอง เนี่ยะ..มันถึงขนาดสูงสุดเต็มที่ของระบบกิเลส หรือระบบสัญชาตญาน
ทบทวนสั้นๆง่ายๆว่า ทารก มันก็จะมีความรู้สึก ที่จะชอบใจ หรือไม่ชอบใจ มันก็เกิดความรู้สึกต่อไปที่เรียกว่าความโลภ ความโกรธ หรือความหลง ที่มันโลภหรือโกรธหลงทีหนึ่ง มันก็เก็บเชื้อ เก็บความเคยชิน ที่ถูก สำหรับจะเป็นอย่างนั้นไว้ในสันดาน เรียกว่า “อนุสัย” พร้อมอย่างยิ่งที่จะโลภ ที่จะโกรธ ที่จะหลง ครั้นมันพร้อมอย่างยิ่งหนักเข้าๆมันก็พร้อมที่จะออกมา นี่ก็เรียกว่า “อาสวะ” ที่เป็น”อนุสัย”นั่น ออกมา เมื่อมีเหตุมีปัจจัยภายนอกเข้าช่วยด้วย มันก็ออกมาเป็น “กิเลส”ต็มรูป เรียกว่า  “กิเลส”อีก คือกิเลสครั้งที่สอง แม้ไม่มีเหตุปัจจัยภายนอกเข้าไปเกี่ยวข้อง มันก็ออกมาได้ในรูปของสิ่งที่เรียกว่า นิวรณ์...นิวรณ์-นิวรณ์ ทั้ง 5  จึงขอร้องแล้วขอร้องอีกว่า จงพยายามที่จะทำความเข้าใจ ให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่า นิวรณ์-นิวรณ์ บางคนจะได้ยินแต่เพียงชื่อก็เลิกกัน ควรจะท่องได้แล้วก็เลิกกัน ขอให้มองเห็นให้ชัด ประจักษ์ เมื่อ “นิวรณ์” 5 มันเกิดขึ้นเมื่อไร ไม่มีเหตุปัจจัยอะไร จิตมันก็น้อมไปเพื่อกามราคะ มันออกมาจากปัจจัยภายในที่เป็น “อนุสัย” กามราคะ กลุ้มใจอยู่ด้วยเรื่องกามารมณ์ ทางเพศ กามคุณ มันเดือดร้อนเท่าไร เพราะฉะนั้นวันเวลามันก็ออกมาเป็นรูปพยาบาท ซึ่งไม่ชอบ ขัดใจ โกรธแค้น มันโกรธได้จนไม่รู้ว่าโกรธอะไร ไม่ชอบใจได้แม้ไม่รู้ว่าอะไร แล้วก็มันมี อาการให้เป็น ถีน-มิทธะ มึนชาง่วงเหงาซึมเซา แล้วก็-มันก็เป็นได้ง่าย อย่างคนขี้เซา มันชอบนอนขี้เซา ลุกยากแม้ถึงเวลาลุก ตื่นนอน มันก็ไม่ค่อยจะลุก มันมีความรู้สึกถีนมิทธะ ชวนให้นอนบิดขี้เกียจอยู่นั่นแหละ ไม่รู้ว่ามันมีความรู้สึกอ่อนเปลี้ย อยากจะนอนซะเรื่อยไป นี่แหละความมึนชาง่วงเหงาหาวนอนซึมเซา เป็น...ถีนมิทธะ และบางทีก็ตรงกันข้าม คือฟุ้งซ่าน ฟุ้งซ่านอย่างตรงกันข้าม มีจิตที่เลื่อนลอย ควบคุมไม่ได้ ฟุ้งซ่านไปเหมือนกับว่า มันไม่มีสติสัมปชัญญะอะไร นี่ก็เป็น “นิวรณ์” ซึ่ง-ซึ่งมี-ซึ่งมีได้  แต่มันได้น้อยกว่า “ถีนมิทธะ” ถีนมิทธะมันชวน...มันชวนให้สบาย มันชวนฟุ้งซ่านนี้ มันจึงมีน้อยกว่า อันสุดท้ายเรียกว่า วิจิกิจฉา ไม่แน่ใจว่าถูกต้อง แม้ที่สุดแต่ที่ รู้สึกกันว่า ไม่รู้จะทำอะไรดี พูดอย่างบ้าๆบอๆ วันนี้ไม่รู้จะทำอะไรดี เดินไปเดินมาไม่รู้จะทำอะไรดี ...มันเป็นอย่างเลวที่สุด ที่เต็มที่มันก็ ลังเล ในข้อที่มันถูกต้องแล้วรึยัง? การเป็นอยู่เนี่ยะ มันปลอดภัยรึยัง? ในแง่อนามัยก็ดี ปลอดภัยแล้วรึยัง? ในแง่เศรษฐกิจก็ดี ปลอดภัยแล้วหรือยัง? ในแง่ธรรมะก็ดี ว่าถูกต้องแล้วหรือยัง? นี่...มันจะลามปามไปถึงกับ ไม่แน่ใจว่า พระพุทธเจ้านั้นก็สอนไม่ถูกต้อง พระธรรมนั้นก็ไม่ดับทุกข์ได้จริง พระสงฆ์ก็ไม่ใช่ผู้ที่จะ..อ้า...ปฏิบัติตามได้ อย่างนี้เป็นต้น นี่เป็นเอามากๆเป็นอย่างนี้ สำหรับวิจิกิจฉา  แต่มันจะเป็นอะไรก็ตามเถอะ ถ้ามันเป็นความลังเล มันไม่แน่ใจในเป็นความถูกต้อง สงบแล้ว มันก็เรียกว่าเป็น วิจิกิจฉา เพียงแต่นิวรณ์ทั้ง 5 นี้ ก็ไม่ใช่เล่นซะแล้ว ทำลายความสงบสุข ทำลายความเยือกเย็นแห่งจิตใจมากมายเสียแล้ว แล้วมันก็มีอยู่เพราะว่า...อะไร? จะเรียกว่าเพราะสัญชาตญาณมันมีอยู่ข้างในก็ได้ จะเรียกว่าเพราะอนุสัยมันมีอยู่ข้างในก็ได้ มันทำให้ออกมาเป็นนิวรณ์โดยไม่ต้องอาศัยปัจจัยภายนอก ถ้าได้อาศัยปัจจัยภายนอกมันออกมาเป็นกิเลสเต็มรูปเลย เป็นโลภะ โทสะ โมหะ หรือชื่ออะไรก็ตาม มันเต็มรูปออกมาเลย นี่เป็นกิเลสแล้ว ควรรู้จักให้ชัดแจ้งทั้งกิเลส และทั้งนิวรณ์  กิเลสมันเต็มที่ เต็มขนาด เต็มมาตรฐาน เพียงมีเหตุปัจจัยภายนอกมาส่งเสริม ถ้านิวรณ์นั้นมันก็ไม่ต้องมีเหตุปัจจัยภายนอกส่งเสริม มันก็ออกมาได้ตามอำนาจของอนุสัย หรือสัญชาตญาณ มันก็เลยงัวเงีย ไม่มีกำลัง รุนแรงเหมือนกิเลส แต่มันก็รบกวนความสงบสุข รบกวนความสงลสุขชั้นละเอียดชั้นประณีต ชั้นที่จะเป็นความเยือกเย็นแห่งจิตใจ ชั้นที่จะเป็นความพักผ่อนเต็มที่ ถ้านิวรณ์รบกวนแล้ว มันก็ไม่การพักผ่อน นี่เรารู้ว่ามันเปแนอย่างนี้เอง เป็นอย่างนี้เอง ไอ้หมอนี่ก็เป็นอย่างนี้เอง จะเรียกว่ามาจากสัญชาตญาณก็ได้ จะเรียกว่ามาจากอนุสัยก็ได้ ถ้าเราพูดกันคนละภาษา แต่เดี๋ยวนี้ การบรรยายชุดนี้ เราเรียกทุกสิ่งเหล่านั้นว่า สัญชาตญาณ ศัญชาตญาณ เท่าที่มีมาตามธรรมชาติ และสัญชาตญาณที่พัฒนาตัวเองเป็นกิเลส  แล้วก็สัญชาตญาณที่พัฒนาตัวเองเป็น โพธิ
เนี่ยะ...ปัญหาพื้นฐานที่มันมีอยู่จริงในจิตในสันดานในชีวิต มันมีอยู่อย่างนี้ ทีนี้มันออกมาเป็นอาการ ที่เป็นรูปร่างของการ กระทบกระทั่ง ต่อสู้ เต็มรูปขึ้นมา เรามองดูเฉพาะอาการชนิดนี้กันอีกสักชุดหนึ่ง พวกหนึ่ง ซึ่งอาตมาก็พูดซ้ำพูดแล้วพูดอีกจนท่านทั้งหลายก็จะรำคาญแล้วก็ได้ เพื่อให้เป็นตัวอย่างสำหรับจดจำไว้ง่ายๆว่า เมื่อกิเลส หรืออนุสัย ออกมาเป็นกิเลส แล้วก็มัน...มันทำให้เกิดอาการที่..ที่รบกวน-รบกวนน่ะ เป็นความรักบ้าง เป็นความโกรธบ้าง เป็นความเกลียดบ้าง เป็นความกลัวบ้าง เป็นความวิตกกังวลบ้าง เป็นความอาลัยอาวรณ์บ้าง เป็นความอิจฉาริษยาบ้าง เป็นความหวงบ้าง เป็นความหึงบ้าง นี่พูดเอามาพอเป็นตัวอย่างและก็สั้นๆ พอจำง่าย รักโกรธเกลียดกลัววิตกกังวลอาลัยอาวรณ์อิจฉาริษยาหวงหึง 
ไปนึกถึงดู สิ่งเหล่านี้แต่ละอย่างๆที่มันแสดงบทบาท แสดงอาการออกมา พูดถึงความรักมันก็มีหลายรูปแบบ บางรูปแบบก็เป็นบ้าดีๆนี่เอง มันทำให้ทำอะไรชนิดที่ ไม่อยู่ในร่องในรอยของความถูกต้อง ไปตามอำนาจของกิเลส คือความรักนั้น จนไม่มีความหมายแห่งความเป็นคน หรือเป็นมนุษย์เอาซะเลยก็มี ยกตัวอย่างไว้ว่าหญิงสาวคนหนึ่ง แฟนเค้าทิ้งเค้าสลัด มันก็ฆ่าตัวตาย เสียใจฆ่าตัวตายโดยที่ไม่คิดว่าพ่อแม่ยังอยู่ พ่อแม่ที่รักเรายิ่งกว่าแฟนเสียอีก นั้นก็ยังอยู่ยังไม่ตาย ทำไมจึงไม่เห็นแก่พ่อแม่บ้าง แล้วก็อยู่กับพ่อแม่ดีกว่าที่ฆ่าตัวตายเพราะเหตุแฟนเค้าสลัดรัก นี่ความรักทำให้โง่มากถึงขนาดนี้ ได้ทุกอย่างทุกประการที่จะทำให้ ทำสิ่งที่ไม่ควรทำ หรือไม่ต้องทำ ขึ้นชื่อว่าความรักแล้วจะเป็นของของทรมานจิตใจทั้งนั้น จะรักทางกามารมณ์รักแฟนรักอะไร มันก็...เรื่องไฟทั้งนั้น แม้แต่จะรักพ่อรักแม่ ซึ่งบริสุทธิ ดังนี้มันก็เป็นรไฟเหมือนกัน เป็นไฟโมหะ เป็นอะไรไปตามเรื่อง  ไม่ได้เห็นหน้าก็จะตายได้แล้ว เด็กๆบางคนไปโรงเรียน ระหว่างเรียนยังไม่หยุดตอนเที่ยง คิดถึงแม่นั่งร้องไห้อยู่ในโรงเรียนก็มี ดังนี้มันเป็นความรักที่แท้จริงชนิดหนึ่งเหมือนกัน แม้จะเป็นเรื่องของโมหะ ตายไปแล้วก็รัก จะเป็นจะตายตามไปยังงี้  รักคนอื่น รัดกผู้มีพระเดชพระคุณ รักอะไรก็ตาม มันล้วนแต่ว่ามันเป็นเรื่องหนัก เป็นเรื่องเผารนจิตใจ นั่นล่ะความรัก มีลักษณะเป็นหนามยอกตำจิตใจอย่างไร แม้แต่ความรักบริสุทธิ์ รักแบบสงสารเนี่ยะ...ในบาลีมีกล่าวถึง ผู้ใหญ่บ้านรักลูกบ้าน จนเป็นทุกข์ เป็นความรักขนาดที่เรียกว่า “ราคะ” ด้วยเหมือนกัน แล้วก็เชื่อความรักแล้วมันก็เป็นเรื่องทำให้เกิดปัญหาทั้งนั้น ก็ไม่ต้องมีความรัก ทำไปตามสติปัญญา มันก็ไม่มีปัญฆาอะไร แต่ถ้าทำไปด้วยความรักแล้ว มันก็เป็นเรื่องเจ็บปวด
เรื่องความโกรธ ก็ดูเอาเอง ความโกรธมันมีได้ร้อยแปดอย่างนะ โกรธอย่างนั้นโกรธอย่างนี้ โกรธแม้กระทั่งไม่มี...โกรธกับสิ่งที่ไม่มีชีวิต โกรธวัตถุสิ่งของ โกรธอันหลังนี้ก็ยังโกรธได้ และเกลียด มันยากแยกออกไปจากจิตใจ ถ้าลงได้เกลียดแล้วมันก็ติดอยู่ในจิตใจ อันที่เกลียดจนตาย
กลัว ความกลัว มีร้อยแปดพันอย่างแล้ว นับตั้งแต่เด็กๆ กลัวผี กลัวไส้เดือนกลัวจิ้งจกกลัวตุ๊กแกกลัว...โตขึ้นก็ให้รู้จักกลัว ก็ยังกลัวสิ่งที่มองไม่เห็น กลัวกระทั่งกลัวความมืด แต่ว่ามันสรุปได้ ว่าความกลัวทั้งหลายนั้นมันไปรวมอยู่ที่ความตาย กลัวตาย กลัวอะไรก็ตามเถอะ มันไปมีความหมายในครั้งสุดท้ายว่า มัน...มันเป็นสิ่งที่จะทำให้ กูตาย มันเป็นสิ่งที่จะทำให้เราตาย เลยกลัวอันนั้น กลัวผีกลัวเสืออะไรต่อะไรเพราะมันจะทำให้เราตาย กลัวความลำบากยากจน โรคภัยไข้เจ็บ ก็เพราะว่ามันจะทำให้เราตาย ความกลัวทุกชนิด กี่ร้อยอย่างพันอย่าง ไปรวมอยู่ที่ว่า กลัวตาย เพราะฉะนั้นไปดูตอนที่กลัวจริงๆเถิด แม้แต่กลัวในความฝัน มันยังเป็นในความทุกข์
นี่รักโกรธเกลียดกลัว 4 อย่างนี้ และก็หมั่นดูว่า ถ้าไม่มี ถ้าไม่มี 4 อย่างนี้ จะสบายสักเท่าไหร่ และมันต่อไปเป็น ความวิตกกังวลอาลัยอาวรณ์ นี่ทรมานมาก เพราะวิตกกังวลว่ามันจะไม่ได้อย่างที่ต้องการน่ะ สงสัยอยู่เรื่อยเนี่ยะเป็นโรคประสาทกันมากขึ้น เป็นโรคประสาทกันมากขึ้นเพราะว่าความวิตกกังวลเรื่องอนาคตทั้งนั้นแหละถ้าวิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ก็เป็นเรื่องอดีต มาครอบงำเอาแล้วมันก็..เรื่องนอนไม่หลับทั้งนั้นแหละ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในร่างกายขึ้นมา ความวิตกกังวลอาลัยอาวรณ์เกิดขึ้น มีความเปลี่ยนแปลงขึ้นในร่างกาย แม้ในทางวัตถุ ในทางเคมี ความรู้สึกนี้เป็นเรื่องจิต แต่ถ้าเกิดขึ้นในจิต แล้วก็มีความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย ทางเคมี ให้เกิดกรดเกิดน้ำอะไรที่เป็นพิษเป็นโทษ หลั่งออกมาทำให้กระเพาะอาหารเสียหายไป ก็ทำให้ทุกส่วนที่สำคัญมันเปลี่ยนแปลงวิปริตไป แม้แก่ทางเนื้อหนัง  นี้คือเรื่องจิตใจ ไม่ควรออกมาทางด้านวัตถุทางร่างกาย ถ้าไม่มีวิตกกังวลอะไรกันแล้วก็ ไม่มีใครเป็นโรคประสาท เดี๋ยวนี้ที่ว่าเป็นโรคประสาทกันแสนๆคนล้านๆคน เพราะมันมาจากความวิตกกังวลอาลัยอาวรณ์ ถ้าไม่มีก็สบาย ก็สบาย
ทีนี้ต่อไปก็เป็นเรื่องอิจฉาริษยา นี่ก็มาจากสัญชาตญาณแห่งตัวกู เห็นแก่ตัวกู ไม่อยากให้ใครมาเป็นคู่แข่ง ความที่ไม่อยากเห็นใครได้ดี อยากจะทับถมผู้อื่นอยู่เสมอ มาจากสัญชาตญาณอันนี้ มันก็มีผลออกเป็นความอิจฉาริษยา กลัวเขาจะดีเท่าตน กลัวเขาจะดีกว่าตน กลัวเขาจะเป็นคู่แข่ง ทำอะไรของตนมันหมดค่าหมดอะไรไป ก็ทำลายผู้นั้นอย่างยิ่ง ผู้ที่ถูกอิจฉาริษยาบางทีไม่รู้ด้วยซ้ำไป ว่าเขาอิจฉาริษยาเรา แต่ผู้ที่ไปอิจฉาริษยาเขา มันถูกไฟที่อิจฉาริษาเผาจนไหม้เกรียมแล้วเกรียมอีก ถ้าไม่มี จะสบายสักเท่าไร? ถ้าเห็นใครได้ดี ก็ยินดีด้วย มันก็มีความเย็นอกเย็นใจ ถ้าเกลียดชัง ทำตัวเป็นผู้ขัดขวางขึ้นมา มันก็กลายเป็นไฟขึ้นมา ผู้ที่อิจฉาริษยาจะเริ่มถูกไฟอิจฉาริษยา เผาตั้งแต่ทีแรก ฝ่ายโน้นยังไม่รู้สึกตัวก็ได้ ถึงรู้สึกตัวเขาก็ไม่ร้อนมาก เท่าที่ตัวผู้อิจฉาริษยาคือฝ่ายนี้ สังเกตดูให้ดีๆว่า ก็อิจฉาริษา ซึ่งมันยากที่จะห้ามได้เพราะมันมาจากสัญชาตญาณ มันอิจฉาได้เอง มัน...อย่างเด็กๆมันอิฉาน้อย มันเกิดได้เอง พ่อแม่รักไม่เท่ากัน ไอ้คนหนึ่งมันก็ พี่ก็ตามก็อิจฉาริษายา พ่อรักน้อง...พ่อแม่รักน้องมาก พี่มันก็อิจฉาริษยา พ่อแม่รักพี่มาก น้องมันก็อิจฉาริษยา มันเกิดความรู้สึกได้เองแม้แต่ในขั้นที่เป็นทารก แล้วมันก็เจริญขึ้นในจิตใจ อ่านคัมภีร์ไบเบิ้ลของพวกฝรั่งแล้วก็ปรากฏว่า อา๙ญากรรมอันแรกที่เกิดขึ้นในโลก ก็คือความริษยา ที่คัมภีร์ไบเบิ้ลนั้นเขาว่า ก่อนนี้ที่มนุษยืไม่รู้เรื่องดีชั่ว แล้วก็...ผัวเมียคู่แรกที่ถูกห้ามว่าอย่าไปกินผลไม้ต้นนั้นนะ มันจะรู้จักดีชั่ว ต้นไม้ที่ทำให้รู้จักดีรู้จักชั่ว มันก็ดื้อพระเจ้า มันไปกินเข้า แล้วมันก็จักดีรู้จักชั่ว มันก็เลยยึดดี-ยึดดี ผัวเมียคู่นั้นมีลูกออกมา มีลูกออกมา ทีนี้...ไอ้ลูกนั้นมัน...มีลูกออกมาอีก เป็นพี่น้อง 2 คน แล้วมันก็รักน้องมาก พี่ชายมันก็หลอกเอาน้องเข้าไปในป่า  ไปฆ่าเสีย เพราะว่าพ่อแม่รัก...น้องมาก อาชญากรรมอันแรกคือความริษยา ที่ได้เกิดความริษยาก็เพราะรู้จักดีรู้จักชั่ว ถ้าไม่รู้จักดีไม่รู้จักชั่ว มันก็ไม่ริษยาได้ เดี๋ยวนี้พ่อแม่มันรักน้องมาก มันอยากจะดีขึ้นมา ไม่เสียหน้า อยากจะดีก็ต้องฆ่าน้องเสีย อาชญากรรมอันแรกของมนุษย์นี่คือ ความริษยา แล้วก็ทำไปตามอำนาจความริษยา ก็เพราะว่าไปรู้จักดีรู้จักชั่วแล้ว ถ้าไม่รู้จักดีไม่รู้จักชั่ว ไม่รู้จักเทียบว่าดีกว่าเลวกว่าอะไร มันก็เกิดความริษยาไม่ได้ มันก็เกิดมาเป็นลำดับๆ หลายเรื่องหลายราว เป็นปัญหา จะเรียกว่าเป็นปัญหาอยู่ในโลกปัจจุบันมันก็ได้ ที่ได้...อ้า..กระทบกระทั่งวุ่นวายต่อสู้ ขั้นเป็นมหาสงครามอยู่ในโลกปัจจุบัน ไม่รู้จักสิ้นจักสุดนี้ ก็เพราะความริษยาซึ่งกันและกันนั่นเอง ฝ่ายหนึ่งก็ไม่อยากให้ฝ่ายหนึ่งเหนือกว่า อีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่อยากให้ฝ่ายหนึ่งเหนือกว่า มันก็ดิ้นรนไปตามไอ้ความรู้สึกอิจฉาริษยา ก็เลยทำสงครามกันได้เรื่อย เหนื่อยนักก็ทำสงครามเย็นๆ สงครามปากสงครามอะไรกันเสียที พอหายเหนื่อยก็เอาสงครามร้อน ฆ่าฟันกันที มีความริษยาไม่อยากให้ใครดีกว่า เหนือกว่า รวยกว่า อะไรกว่า ก้เรียกว่าโลกนี้มีปัญหา เพราะความริษยาอยู่อย่างมากทีเดียว
ทีนี้ก็มาถึงความหวง และความหึง  ความหวงโดยทั่วๆไปก็เป็นความตะหนี่ธรรมดาสามัญทั่วไป ถ้ามันเป็นเรื่องความเข้มข้นเพราะเป็นเรื่องรักทางเพศ ทางอะไรที่เข้มข้น มันก็กลายเป็นความหึง ที่จริงก็คือความหวงนั่นแหละ ธรรมดาเรียกความหวง ถ้ามันเข้มข้นมากก็เรียกว่าความหึง เนี่ยะรู้สึกกันเองแต่ว่า มันรบกวนจิตใจเท่าไร เมื่อขึ้นถึงขีดความหึงแล้ว มันก็ฆ่ากันได้ง่ายๆ อย่างไร
เอา...ขอช่วยจำไอ้คำไม่กี่คำนี้ไว้เป็นเครื่องศึกษา เปรียบเทียบ ได้โดยง่ายว่า ไอ้ที่เรามันถูก ทำให้ร้อนเหมือนนอนอยู่กองไฟ ก็เพราะว่าเรามันมีอาการเป็นโรคทางใจ คือความรัก คือความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความวิตกกังวล ความอาลัยอาวรณ์ ความอิจฉาริษยา ความหวง ความหึง ยังมีอีกมาก เท่านี้ก็เหลือจะพอแล้ว พอให้รู้ว่า โอ้....ไอ้เรื่องนี้น่ะมันเผารนอย่างไร? มันเผาผลาญจิตใจเร่าร้อนอย่างไร? ถ้าเอาออกไปเสียได้น่ะ มันจะสบายจะเยือกเย็นสักเท่าไร? เอ้อ...ได้ไปสังเกตดูแล้วจะระวังไม่ให้มันเกิดขึ้น  เนี่ยะ...อันนี้มันเป็นผลของสัญชาตญาณแห่งตัวตนที่ออกมา เป็นโลภเป็นโกรธเป็นหลง แล้วก็แจกลูกออกไปเป็นเรื่องต่างๆ แล้วก็...ให้เกิดผลแก่จิตใจ แก่ชีวิตของมนุษย์ เป็นความรักความโกรธความเกลียดความกลัวความวิตกกังวลความอาลัยอาวรณ์ความอิจฉาริษยาความหึงความหวง  จะได้พูกันง่ายๆ เป็นคำพูดจำไว้พูดกันง่ายๆ เรื่องธรรมะ ในที่สุดก็ให้มองเห็นว่า ไอ้เหล่าเนี่ยะ ความรู้สึกเหล่านี้มันเกิดง่ายๆ เหลือง่าย มันเกิดโดยไม่มีใครสอน เด็กๆเกิดมาในท้องก็ออกมาไม่กี่วันมันก็ทำเป็นแล้ว แล้วมันเจริญงอกงามมากขึ้นๆ จนเป็นของเต็มที่เต็มอัตราของมัน ก็ให้ผลเต็มที่เต็มอัตราของมัน เป็นไฟที่เผารนอยู่อย่างนี้ เรียกว่า โดยสัญชาตญาณ ถ้าเรียกภาษาวัดก็ โดยอำนาจของกิเลส เรียกว่าสัญชาตญาณ เพราะเป็นได้เอง เกิดได้เอง รู้สึกได้เอง เจริญงอกงามได้เอง
ทีนี้ก็ กิเลส-กิเส นี่เป็นของสกปรก เป็นของน่ารังเกียจ อย่างยิ่ง กิเลสนี่เป็นคำ ยืมมาจากคำว่า ของสกปรก คำธรรมะแม้ชั้นสูงสุดก็ยืมมาจากคำชาวบ้านธรรมดาๆทั้งนั้นแหละ เช่นยืมคำว่า “ของสกปรก” มาเป็นชื่อของ “กิเลส” ยืม “สิ่งที่ไหลออก” มาเป็นชื่อ “อาสวะ” ยืมชื่อของ “สิ่งที่สะสมกักตุนเอาไว้”ว่าเป็น “อนุสัย”  อย่างนี้   อันนี้ก็เรียกว่า โดยกิเลสๆ คือของสกปรกที่เกิดขึ้นแล้ว ทำให้สกปรก เกิดที่กายก็ทำให้กายสกปรก เกิดที่จิตก็ทำให้จิตสกปรก แม้แต่เกิดที่วาจา ก็ทำให้วาจาสกปรก นี้เรียกว่าโดยกิเลสก็ได้เหมือนกัน ว่าทำไมเราจึงทนทุกข์ทรมานเหลือประมาณอยู่ในโลกนี้ ก็เพราะว่าเราควบคุมสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ ควบคุมสัญชาตญาณไม่ได้ ควบคุมการเกิดของกิเลสไม่ได้
จะเห็นได้ทันทีว่ามัน ไม่ใช่เล่นแล้ว ไอ้เรื่องของสัญชาตญาณนี่ ควรจะรู้จักควรจะจัดการกับมันให้ถูกต้อง อย่ามันเป็นอันตราย แล้วก็อย่าให้มันรบกวน ไม่ให้เราเป็นอิสระ อยู่ด้วยความสงบเย็น ก็ได้พูดถึงการที่จะพัฒนา และการควบคุมสัญชาตญาณมาหลายครั้งหลายๆตอนที่พูด โดยหลักใหญ่ๆใช้หลักอานาปานสติ มีความรู้เรื่องกาย เรื่องเวทนา เรื่องจิต เรื่องธรรม จนเห็นว่ามิใช่ตัวตน มิใช่ตัวตนแล้ว มันก็ควบคุมความรู้สึกว่าตัวตนได้มาก กายมิใช่ตัวตนก็ควบคุมได้ในส่วนกาย เวทนาไม่ใช่ตัวตนก็ควบคุมได้ในส่วนเวทนา จิตไม่ใช่ตัวตนก็ควบคุมได้ในส่วนจิต ธรรมทั้งปวง ความรู้สึกคิดนึกของจิตทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน ก็ควบคุมได้ และควบคุมตัวตนหรืออัตตาได้เข้ามาหลายแง่หลายมุมโดยรอบด้าน และทีนี้วิธีที่จะควบคุมอย่างเรียกว่า เป็นอะไร?... เป็นอุบาย ที่เค้าชอบเรียกกันว่าโดยเทคนิคเป็นเทคนิค นั่นก็คือ โพชฌงค์ 7 อธิบายอย่างละเอียดแล้ววันนั้นน่ะ ทบทวนดูเอง มีสติระลึกเอามา แล้วก็....ใคร่ครวญเลือกเฟ้นที่จะให้มันเหมาะกับเรื่อง แล้วก็ปฏิบัติด้วยวิริยะ แล้วก็มีปีติหล่อเลี้ยงการปฏิบัติให้มันเข้มแข็ง เกิดความสงบเข้ารูปเข้ารอยขึ้นมา แล้วก็...กำลังใจทั้งหมด ระดมลงไปเป็นสมาธิ และอุเบกขา เพ่งดูความถูกต้องนั้นอยู่เฉยๆ ให้ความ...การปฏิบัติที่ถูกต้องเป็นไปตามลำดับจนถึงที่สุด
นี่...เทคนิคของการที่จะทำอะไรหรือพัฒนาอะไร มีอยู่ในหมวดธรรมะที่เรียกว่าโพชฌงค์ 7 แล้วก็ใช้ธรรมะหมวดอื่นๆเข้ามาช่วยประกอบ จะเป็นธรรมะเรื่อง อิทธิบาท 4 ประธาน 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 เมื่อปฏิบัติอยู่อย่างนี้ มีความถูกต้องอยู่ตลอดเวลา ก็เรียกได้ว่ามี อัฏฐังธิกมรรค อยู่เป็นประจำในการประพฤติปฏิบัติ คือมีความถูกต้อง 8 ประการนั่นแหละ-อยู่ ในชีวิต เป็นชีวิตที่ดำรงอยู่อย่างถูกต้อง เรียกว่าการเป็นอยู่ที่ถูกต้อง ที่จะทำให้โลกไม่ว่างจากพระอรหันต์นั่นแหละ ก็เลย...เป็นผลเกิดขึ้นคือไม่มีความทุกข์ เป็นอยู่ชนิดที่ควบคุมสัญชาตญาณได้ สัญชาตญาณหรือกิเลสก็ตาม ไม่หือขึ้นมาได้ เพราะมันมีความถูกต้องของการเป็นอยู่ กระทำอยู่เป็นประจำ มันก็เลยอยู่สบาย เป็นชีวิตที่ไม่ถูกย่ำยีด้วยสัญชาตญาณใฝ่ต่ำ ไม่ถูกกิเลสครอบงำ มันก็สบาย นี่เราสามารถที่จะควบคุม ควบคุมควบคุม จนกว่าจะถึงระดับสุดท้าย คือทำให้หมดความรู้สึกว่าตัวตนได้ นี้เรียกว่าถอนเลย-ถอนเลย ถ้ายังเป็นปุถุชน ยังไม่...ถ้ายังไม่เป็นพระอรหันต์น่ะ มันถอนสัญชาตญาณไม่ได้ ได้แต่ควบคุม ถ้าเป็นพระอรหันต์ มันถอนอัตตา-อัตตา อัตตะนียา อัสสมิมานะ อัสวาทุปาทานอะไรได้นั่น มันเท่ากับเพิกถอนสัญชาตญาณว่าตัวตนเสียได้ มันเลยหมดปัญหา เกลี้ยงไปทั้งปวง แต่ถ้าไม่เป็นพระอรหันต์มันก็ทำได้แต่เพียงว่า ควบคุม พระอนาคามี พระสกิทาคามี พระโสดาบัน ก็ได้แต่ควบคุมอัตตา ที่ไม่ให้เกิดพิษเกิดโทษอะไรมากมายนัก จนกว่าจะเป็นพระอรหันต์ ถอนอัตตาเสียได้หมด ก็คือ เพิกถอนสัญชาตญาณได้ 
เพราะเช่นนั้นเราพูดได้ว่า ถ้ายังไม่ได้เป็นพระอรหันต์มันก็ได้แต่ควบคุม ถอนไม่ได้ แม้แต่เป็นพระอริยะชั้นเส...ชั้นเสกขะ โสดาสกิทาอนาคาก็ยังถอนมันไม่ได้ มันยังได้แต่ควบคุม ทีนี้กัลยาณปุถุชนต่ำลงมาอีก มันก็ทำได้น้อยกว่าลงมาอีกแหละ มันก็เรียกว่าควบคุมเหมือนกัน แต่ต้องเรียกว่าควบคุมเหมือนกัน จะเรียกว่าเป็นการบรรเทาก็ได้ พระอรหันต์ละได้สิ้นเชิง พระเสกขะ คือยังไม่เป็นพระอรหันต์แต่เป็นอริยะเนี่ยะ ก็ได้แต่ควบคุม ส่วนเป็นถุชนที่ยังไม่ได้เป็นอริยะนี่ ก็ได้แต่ บรรเทา ควบคุม-บรรเทา หรือว่าต่อสู้-ต่อสู้ ไปตามเรื่อง มันดูได้ง่ายๆ มันเห็นได้ง่ายๆที่ว่า พระอเสกขะ คือพระอรหันต์น่ะ มันละสังโยชน์ได้ทั้ง 10 เรื่องสังโยชน์ 10 น่ะ ที่พระรู้กันอยู่แล้วน่ะ ถ้าเป็นพระอรหันต์มันละได้ทั้ง 10 สักการทิฏฐิ วิจิกิจฉา ศีลัพปตะปรามาส กามราคะ ปฏิพะรูปะราคะ อรูปะราคะ มานะอุทัจจะ อวิชชา นี่...มันละได้ทั้ง 10 มันไปถึงสุดท้ายของอวิชชา มันถอนตัวตนได้ เรียกว่า พระอเสกขะ  ละได้ทั้งหมด จบหมดสิ้น สิ้นเรื่องของสัญชาตญาณ ส่วนพระเสกขะ คือพระโสดาบันสกิทาคามี อนาคามี มันละได้เพียง 5... สังโยชน์ 10 น่ะ... 5 ตอนแรกแหละ ที่พระเสขะละได้เป็นอนาคามี ละได้ 5 ตอนแรก 5 ตอนหลังไว้ให้พระอรหันต์ละ ก็เรียกว่าละได้ครึ่งหนึ่งน่ะ พระอรหันต์ละได้ทั้ง 10 พระอนาคามีละได้ 5 พระโสดาสกิทาคาละได้ 3 และมากน้อยกว่ากันในบางอย่าง เนี่ยะ...เทียบดูตามตัวเลขนี้ก็พอจะเข้าใจได้ว่า พระอริยะเจ้านั้นละ สังโยชน์ ได้อย่างไร ก็คือเท่ากับควบคุมสัญชาตญาณได้อย่างไร ถ้ามีคะแนน 10 พระอรหันต์ละได้ 10 พระอนาคามีละได้ 5 ...โสดาบันกับสกิทาคามีละได้ 3 ...ส่วนกัลยาณปุถุชน หรือปุถุชนทั่วไปยังไม่รู้ ยังพูดว่า ยังไม่ได้แม้แต่สัก 1 แต่ว่าก็ได้พยายามต่อสู้ เท่าที่จะทำได้ เพื่อให้มีความทุกข์ลดน้อยลง
เพราะฉะนั้นก็เราเรียก เรามองดูตรงๆที่ว่า ถ้าเป็นกัลยาณปุถุชน ก็ละเวร 5 เบญจเวรน่ะ ปานาติบาทอทินาทากาเมสุมิสาจารมุสาวาทดื่มน้ำเมาได้ ละเวร 5 ได้ หรือว่าละ พยายามละ อกุศลกรรมบท 10 อยู่ ตามมาตรฐานของปุถุชน ละอกุศลกรรมบท 10 ได้อยู่ ตามมาตรฐานของปุถุชน ก็ยังดีกว่าอันธพาลปุถุชน บาปปุถุชนซึ่งมันละอะไรไม่ได้ เมื่อเกี่ยวกับสัญชาตญาณมันก็เห็นว่า ปุถุชนอันธพาลนี้มันไม่ได้แตะต้อง อะไรที่เป็นความชนะเหนือสัญชาตญาณ ครั้นเป็นกัลยาณปุถุชนก็แตะต้อง ละเบญจเวร 5 อย่างได้ ละอกุศลกรรมบทได้ตามส่วน ไม่ได้ถึงระดับเด็ดขาดได้ แต่ว่าตามสัดส่วน ถ้าว่าเด็ดขาดก็เด็ดขาดในระดับต่ำๆของกัลยาณปุถุชน ขึ้นไปถึงพระเสกขะก็ละได้ 5 ขึ้นไปถึงพระอเสกขะก็ละได้ 10 ของสังโยชน์ นี่เราจะเปรียบเทียบได้ว่ามันต่างกันอย่างไร มองเห็นเป็นไอ้...มันก็เขียน เอ้อ...กร๊าฟขึ้นดูแล้วจะเห็นได้ว่ามันละได้กันเป็นลำดับๆอย่างไร
ทีนี้มาดูมันเป็น...ดูเอา....ผล เอาผล หรือความทุกข์ ความเลวร้ายที่เกิดขึ้นเป็นเครื่องวัด ก้เอานี่แหละ รักโกรธเกลียดกลัววิตกกังวลอาลัยอาวรณ์อิจฉาริษยาหวงหึง นี่มาเป็นหลักว่า พระเสกขะละได้เท่าไหร่? ก็ต้องตอบได้พระเสกขะ พระอเสกขะ-พระอรหันต์น่ะ ละได้หมด เรื่อง รักโกรธเกลียดกลัววิตกกังวลอาลัยอาวรณ์อิจฉาริษยาหึงหวง ได้หมด ใช้คำว่าละด้วย และใช้คำว่าได้หมดด้วย ทีนี้ พระเสกขะ-ที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ เป็นพระอริยะที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ จะใช้คำว่าละหมด ไม่ได้ ก็ได้ว่าควบคุม-ควบคุม ให้อยู่ในการควบคุม ก็ได้ตั้งครึ่งตั้งค่อนแน่ะ ตั้งครึ่งหรือตั้งค่อนของในสิ่งเลวร้ายเหล่านั้น ที่นี้กัลยาณปุถุชนก็บรรเทาได้ ในมาตรฐานที่เรียกว่า น่าพอใจ-น่าพอใจ มันไม่บ้ามากเกินไป คือมันไม่รักโกรธเกลียดกลัววิตกกังวลอาลัยอาวรณ์อะไรถึงขนาดอันธพาลปุถุชน อันธพาลปุถุชนก็ไม่ต้องพูดถึง มันก็มีอยู่เต็มที่เต็มตัว ในสิ่งเหล่านี้ เบียดเบียนรบกวนอยู่เต็มที่ ลองคำนวณดูว่า เมื่อปราศจากการรบกวนของสิ่งเหล่านี้ จะมีความสุขสักเท่าไหร่? จะตั้งปัญหาเป็นลำดับขึ้นไปก็ได้ว่า เมื่อปราศจากการรบกวนของนิวรณ์ 5 ของนิวรณ์ 5 แล้วก็...จะสบายเท่าไหร่? ปราศจากการรบกวนของกิเลส โลภะโทสะโมหะ จะสบายเท่าไร?  ถ้าปราศจากความรบกวนของผลของมัน คือไม่มี ไม่มีความรักความโกรธความเกลียดความกลัวความวิตกกังวลอาลัยอาวรณ์อิจฉาริษยาหึงหวง เหล่านี้ไม่มารบกวน จะมีความสุขเท่าไหร่?  ก็ต้องคิดใคร่ครวญอย่างนี้ ให้เห็นชัด ไม่ต้องคำนวณ แต่มองเห็นชัด  มัน-มันรู้สึกได้ชัดโดยไม่ต้องคำนวณ แล้วมันก็จะมีผลดี คือจะสบายใจ แล้วก็จะเพิ่มกำลังใจในการที่จะปฏิบัติให้สูงขึ้นไปโดยเร็ว จนหมดจรดสิ้นเชิง คือบรรลุนิพพาน มันจะทำให้ปรารถนานิพพาน มีพระพนิพพานเป็นอารมณ์ในการเป็นอยู่มากขึ้น แล้วมันจะก้าวหน้า ไปในทางของพระนิพพานได้ง่ายขึ้น เพ่งจ้องอยู่ที่ผลดีของความไม่มีกิเลส ก็จะทำให้ชอบใจในพระนิพพานมากขึ้น จะมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ ไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะทำอะไร ทำงานบ้าน งานโลก งานธรรมะ งานศาสนา งานอะไรก็มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ไปเสียหมด นี่มันก็ดี แม้แต่ทำนาก็ขอให้มีนิพพานเป็นอารมณ์ มันยังดีกว่ามีอย่างอื่นเป็นอารมณ์
อยากจะให้เปรียบเทียบไปถึงว่า พระเสกขะ มันดีกว่าคนพวกไหนกี่พวก? พระอเสกขะ-พระอรหันต์น่ะ ดีกว่าพวกไหนกี่พวก? ลองหลับตากำหนดดูว่า เป็นพระอเสกขะคือเป็นพระอรหันต์น่ะ ประเสริฐกว่าเทวโลก มารโลก พรหมโลก ประเสริฐกว่าเทวโลกก็กามารมณ์ สวรรค์กามารมณ์ธรรมดา มารโลกน่ะสวรรค์กามารมณ์สูงสุด ที่เค้าเรียกว่ามารโลกน่ะ มันคืออันสูงสุดของ สิ่งที่เรียกว่าสวรรค์ สวรรค์มี 6 อันที่ 6 น่ะเป็นมารโลก เป็นที่อยู่ของมาร พระยามารที่มาเบียดเบียนพระพุทธเจ้า เป็นพระอเสกขะ-พระอรหันตืแล้ว ประเสริฐกว่าเทวโลกทั่วไป ประเสริฐกว่ามารโลก ประเสริฐกว่าพรหมโลก  ประเสริฐกว่าเทวโลก ประเสริฐกว่ามารโลกนี่เข้าใจได้ง่ายๆ เพราะไม่มี-ไม่มีเรื่องเกี่ยวกับกามารมณ์ ทีนี้ประเสริฐกว่าพรหมโลกน่ะ พรหมโลกนี้ไม่มีกามารมณ์-แต่ก็มีตัวกูจัด ยึดมั่นสักายทิฏฐิเป็นตัวกูของกูจัด มีความทุกข์เกิดมาจากอัตตวานุปาทานมากกว่า แม้จะไม่เกี่ยวกับกามารมณ์เลย แต่พระอเสกขะก็ยังสูงกว่านั้นดีกว่านั้น ประเสริฐกว่านั้น ในแทนที่จะเป็น 3 โลกว่า เทวโลก มารโลก พรหมโลก แล้ว พระอเสกขะผู้ถอนสัญชาตญาณเสียได้แล้ว ดีกว่าหมดทั้ง 3 โลก
ทีนี้ถ้าเป็นเพียงเสกขะ เป็นเพียงโสดาสกิทาอนาคา มันก็ดีได้กว่าสัก 2 โลก คือ เทวโลกและมารโลก ที่มีกาม แต่มันก็ไม่ดีกว่า พรหมโลก พระอนาคามีอยู่ในระดับพรหมโลก สภานะ-สภาวะ เพราะว่ายังมีตัวตนเหลืออยู่ แล้วก็เป็นตัวตนที่สบายที่สุด เพราะไม่มีกามารมณ์รบกวน ก็เลยหลงติดแน่นแฟ้นในสภาวะนั้น ในภพของตนนั้นเป็นอย่างยิ่ง อย่างที่พูดว่า พวกพรหม-มันเป็นพวกที่กลัวตายมากที่สุด เพราะมันหมดปัญหาอย่างอื่นแล้วไปสบายที่สุด อย่างยิ่ง อย่างมีตัวกู-ของกู มันเลยกลัวตายมากที่สุด พวกที่ยังมีความทุกข์อย่างอื่นแทรกแซง ยังกลัวตายน้อยกว่าพวกพรหม พวกเสกขะทั้งหลายก็ยังดีกว่าเทวโลกและมารโลก แต่ยังไม่ดีกว่าพรหมโลก
ทีนี้ พวกกัลยาณชนเนี่ยะ พูดตามความรู้สึกของเราๆ ซึ่งไม่มีใครเชื่อก็ได้ ว่าถ้าเป็นกัลยาณปุถุชนมันยังดีกว่าเทวโลก เพราะในเทวโลกนั้นน่ะ มันมีแต่เรื่องกามารมณ์ คิดดูสิ เป็นกัลยาณปุถุชนแม้อยู่ในโลกนี้ ก็ไม่มัวเมาในกามารมณ์มากเหมือนเทวดาในสวรรค์นะ นี้ก็พูดตามที่เชื่อกันอยู่แล้ว ในสวรรค์เทวดามัวเมาแก่กามารมณ์ จนลืมเรื่องอื่นๆ เป็นกัลยาณปุถุชนอยู่ที่นี่ในโลกอย่างนี้  เต็มไปด้วยปัญหาอย่างนี้ ไม่มัวเมาด้วยกามารมณ์เหมือนเทวดาเหล่านั้น ก็ต้องเรียกว่าดีกว่า เทวโลก
เรื่องที่เคยเล่าให้ฟังบ่อยๆนั้นควรจะจำเอาไว้ ทายกทายิกาทั้งหลาย คือเรื่องที่บอกว่า พวกเทวดาในเมืองสวรรค์ เทวดาน่ะ เมื่อจะตาย เมื่อจะจุติ ไปหาสุคติที่ไหน ไม่มี ไม่รู้จะไปที่ไหนนอกจากมาสู่มนุษโลก พวกเทวดาจะตาย มาหาสุคติในมนุษโลก พวกเทวดามาหาสุคติในมนุษโลก จำไว้นะ เพราะว่าในเทวโลกน่ะมันหาอะไรยาก หาพระรัตนตรัยยาก หาพรหมจรรย์ยาก หาสิ่งที่จะช่วยให้เข้าใจธรรมะ หรือนิมิตแห่งอนิจจังทุกขังอนัตตา หาได้ยากในเทวโลก พอมาในมนุษโลกมันเต็มไปหมด ฉะนั้นมาเกิดในมนุษโลกมันได้เปรียบ ในการที่จะบรรลุมรรคผลนิพพาน  เพราะฉะนั้นเทวดาทั้งหลายปรารถนามาสุคติกันในมนุษโลก พวกเมืองสวรรค์น่ะ-จะมาหาสุคติกันในเมืองคน ในเมืองคน แล้วพวกที่อยู่ในเมืองคนน่ะมันจะไปหาสุคติในเมืองสวรรค์ มันสวนทางกันอยู่ อย่างนี้ แล้วก้ดูสิ ใครมันโง่กว่าใคร ใครมันโ.กว่าใคร มันมีเหตุผลที่แสดงว่า ใครมันโง่กว่าใคร พวกทวดาในสวรรค์ก็มีเหตุผลว่า มาในมนุษโลกเนี่ยะ มันหาอะไรที่เป็นปัจจัยแก่พระนิพพานได้ง่ายกว่า เช่นมีความทุกข์ให้เห็นได้ง่ายกว่า อนิจจังทุกขังอนัตตา แล้วก็มีการประพฤติปฏิบัติ ศีลสมาธิปัญญา เป็นพระอริยะบุคคลกันเป็นจำนวนมาก มีพรหมจรรย์หาดูได้ง่าย นั้นน่ะในเมืองคน พวกเทวดาจึงอยากจะจุติมาสู่สุคติที่เมืองคน พวกเมืองคนที่จะทำบุญจะไปสุคติกันเมืองสวรรค์น่ะ ดูดีๆนะ เห็นขาดทุน จะขาดทุนป่นปี้ ที่นี่มันมีพร้อมที่จะให้ ช่วยให้ บรรลุมรรคผลยิ่งๆขึ้นไป ยังไม่เอา ยังไม่เอานี่ ยังไม่เอายังไม่อยากได้อยากเอา ก็ไปอยู่ในที่ที่มีกามารมณ์สมบูรณ์   เลยตัดบทเสียว่า กัลยาณปุถุชนนี้ ยังดีกว่าเทวโลก ยังดีกว่าเทวโลก ขอให้เป็นกัลยาณปุถุชนที่เต็มมาตรฐาน เต็มรูปแบบ ไม่มัวเมาในกามารมณ์ ยังจะดีกว่าเทวโลกซึ่งสมบูรณ์ไปด้วยกามารมณ์ และก็หานิมิตปัจจัยแห่งพระนิพพานได้โดยยาก ในมนุษโลกเต็มไปด้วยความทุกข์ หรือว่า อนิจจังทุกขังอนัตตา ส่อให้เห็นอยู่ในที่ทั่วๆไป
ขอให้คิดดูให้ดี เพราะการละสัญชาตญาณ หรืออีกอย่างหนึ่งว่ากิเลส เสียได้ มันทำให้มีคุณสมบัติสูงขึ้นมาอย่างนี้ ถ้าจะให้พวกนักวิทยาศาสตร์เขาเรียน เขาวางรูปแบบการปฏิบัติ เขาก็จะวางไปในรูปว่า ละสัญชาตญาณตามลำดับ แล้วก็มันมาสู่จุดนี้ได้เหมือนกัน เอาพวกธรรมะพวกศาสนาพวกจัดระบบเป็นศาสนามาพูด ก้พูดอย่างเรื่องะลกิเลส ละกิเลสตามลำดับ แต่ในที่สุดมันก็ได้ผลอย่างเดียวกัน อาตมาจึงเอามาพูดให้มันเนื่องกัน ให้มันได้เปรียบเทียบกัน ให้มันได้เข้าใจเสียว่า ถ้าพูดอย่างนี้ก็พูดอย่างนี้ ถ้าพูดอย่างนั้นก็พูดอย่างนั้น แต่มันเป็นเรื่องเดียวกัน คือละสิ่งที่เป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ แสนละได้แสนยาก คือสัญชาตญาณแห่งตัวตน ซึ่งเรียกในบาลีอัสสมิมานะบ้าง อัตวานุปาทานบ้าง อัตตาบ้าง อัตตะสัญญาบ้าง
ทีนี้จะพูดสรุปท้ายว่าเป็นการประเมินผลทั้งหมด ของเรื่องสัญชาตญาณที่ได้พูดมาแล้วก็ 12 ครั้ง แล้วก้เป็น 13 ครั้งทั้งวันนี้และเป็นเรื่องสุดท้าย เป็นครั้งสุดท้าย ฉะนั้นถ้าจะพูดอันน่าชื่นใจ มันก็จะพูดได้ว่า มันเป็นการทำให้ โลกุตระ หรือโลกอุดร หรือจะเรียกว่าพระนิพพาน ก็ตามใจ มาปรากฏในทิฏฐะธรรมที่นี่และเดี๋ยวนี้ โลกุตระโลกอุดรที่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน และเมื่อไรจะได้เห็นกันสักที หรือพระนิพพานในอนาคตกาลเบื้องหน้านู้นเทอญน่ะ มันจะได้เห็นกันสักที จะได้เห็นกันเร็วๆ เห็นกันที่นี่ เห็นกันเดี๋ยวนี้ ด้วยการละไอ้ความยึดถือว่าตัวตนเสียได้ เมื่อใดละความยึดถือว่าตัวตนเสียได้ นั้น-นั่นแหละคือโลกอุดร คือพระนิพพาน มันไม่มีตัวกูที่จะอยู่ในโลกไหน ไม่จัดได้ว่าเป็นภพไหน ชนิดไหน และก็มีแต่ความเย็น เพราะไม่มีไฟ คือกิเลส เรียกว่า โลกอุดร ก็ได้ พระนิพพาน ก็ได้ มาปรากฏแล้วที่นี่ และเดี๋ยวนี้ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ผลเลิศมันอยู่ที่ตรงนี้ จะต้องดูที่การกระทำ มันก็เป็นการทำลายสัญชาตญาณ เรื่องตัวตนหมดสิ้น พูดอย่างภาษาวัดหน่อย ก็ทำลายอัตตา ทำลายอัตตะนียา ให้หมดค่า หมดความหมาย ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ พูดอีกทีว่า ทำลายความยึดถือในอัตตา อัตตะนียาเสียได้ หรือจะพูดว่าทำลายตัวอัตา-ตัวอัตนียาเสียได้ มันก็ได้ผลเท่ากัน ทำลายอัตตา-อัตตะนียาเสีย คือไม่ให้มีที่ตั้งแห่งความยึดถือ เพราะมองเห็นตามที่เป็นจริงทั้งหมด จนไม่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ มันก็หมดอัตตาหมดอัตตะนียา ก็เห็นความว่างจากอัตตา ว่างจากอัตตะนียา ความว่างเช่นนั้นคือ นิพพาน นี่แหละ ทำลายอัตตา ทำลายอัตตะนียา ทีนี้จะพูดอีกทางหนึ่งได้ว่า ทำลายความยึดถือในอัตตาในอัตตะนียา คือทำลายอุปาทาน อัตา-อัตตะนียาคือมาจากอุปาทาน ว่า ตตา ว่าอัตตะนียา ถ้าทำลายอุปาทานเสียได้ ตตา-อัตตะนียาก็ดับไป ได้ผลอย่างเดียวกัน เรียกว่าทำลายอัตตาหรืออัตตะนียาก็ได้ ทำลายอุปาทานในอัตตาในอัตตะนียาก็ได้ นี้ดูว่าเท่าไร ทำได้เท่าไร ว่าเป็นการควบคุม-ควบคุม ในฐานะควบคุม ทำได้เท่าไรๆเรียกว่า เพิกถอนสิ้นเชิง ควบคุมความรู้สึกที่เป็นอัตตาได้เท่าไร ก็ได้ผลดีเท่านั้น   ถอนอัตตาเสียได้หมดจรดสิ้นเชิง ก็เป็นความดีสูงสุด ตัวจบ-จบๆเรื่อง ที่เรียกว่าจบพรหมจรรย์น่ะ คือจบที่ถอนอัตตา-อัตตะนียา เสียได้ อุสิตัง ธัมมะจะริยัง-พรหมจรรย์ประพฤติจบแล้ว กะตังกะระณียัง-สิ่งที่ควรกระทำ ได้ทำแล้ว นาปะรังอิตทัตตายะ-อะไรอะไรที่ต้องทำเพื่อผลอย่างนี้ ไม่มีอีกต่อไป เพราะมันถึงที่สุดแล้ว จะทำอะไรๆดีกว่านี้มันเป็นไม่มีแล้ว หรือต้องทำอย่างอื่นเพื่อผลอย่างนี้ มันก็ไม่ต้องทำอีกแล้ว เพราะมันได้รับผลอย่างนี้แล้ว คือหมดอัตตา หมดอัตตะนียา ซึ่งเป็นอุปาทาน ว่าง หลุดพ้นออกไปได้ จิตหลุดพ้นออกไปได้ ตรงนี้ก็ต้องช่วยกันจำให้ดีๆนะ อย่าใช้คำพูดผิดๆ ที่ว่าหลุดพ้น-หลุดพ้น ให้เป็นหลุดพ้นของจิต จิตมันหลุดพ้นออกไปได้ อย่าหลุดพ้นของอัตตาหรือตัวกู ตัวกูมันหลุดพ้นไม่ได้ เพราะว่าไอ้ตัวกูน่ะเป็นตัวความติด ตัวกูจะหลุดพ้นจากอะไร? เพราะตัวกูมันคือความติด แต่ถ้าจิตมันหลุดพ้นจากตัวกู ที่เรียกว่าความหลุดนั้นเป็นเรื่องอขงจิต ไม่ใช่ของอัตตา หรือตัวกู นี่ในพุทธศาสนาเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าในศาสนาอื่น เช่นศาสนาฮินดู ศาสนาสูงสุดของฮินดู ของอุปนิษัท เวตันตระอะไรก็ตามนั้น ก็ว่าอัตตาเป็นผู้หลุดพ้น อัตตาหลุดพ้นจากโลกก็อยู่กับปรมัตตา อัตตาใหญ่-พระเจ้า นั่น-ฝ่ายนั้นเค้าพูดอย่างนั้น อัตตาเป็นผู้หลุดพ้น แต่ในฝ่ายพุทธพูดไม่ได้ เพราะไม่มีอัตตา ที่เป็นตัวจริง เป็นแต่เพียงอุปาทานขึ้นมา แต่จิตนั่นมันติดอยู่ในอัตตา ให้หลุดจากนั้น มันติดอยู่ในความยึดถือว่าอัตตา จิตหลุดพ้นออกมาเสียได้จากความยึดถือว่าอัตตา จึงเรียกว่า จิตหลุดพ้น ถ้าเป็นพุทธบริษัทพูดให้ถูกต้องว่า จิตหลุดพ้น ไม่ใช่อัตตาหลุดพ้น ถ้าพูดว่าอัตตาหลุดพ้นก็เป็นฝ่ายอื่นทันที ที่เป็นศาสนาอื่น เป็นลัทธิอื่น ไปทันที ในพุทธศาสนามีแต่จิตหลุดพ้นจากอัตตา จากอุปาทานว่าอัตตา อัตตาไม่มีตัวที่จะมาหลุดพ้น แต่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถืออย่างโง่เขลา แล้วจิตไปติดอยู่ที่นั่น แล้วก็เกิดกิเลส แล้วก็ความทุกข์ จิตหลุดพ้นเสียจากอัตตา อัตตวานุปาทาน อัสสมิมานะ  อะไรก็ตาม ถ้าพูดว่าหลุดพ้น-หลุดพ้น ก็อย่าพูดว่าตัวกูหลุดพ้น เพราะตัวกูนั้นมันเป็นที่ติด และตัวกูนั้นไม่ได้มีอยู่จริงสำหรับจะหลุดพ้น  แต่ตัว-จิตนั้นมีอยู่จริง แล้วมันจะหลุดพ้นได้จริง หลุดพ้นจากทุกสิ่งที่มันติด แล้วทำให้เกิดความทุกข์ 
นี่มันทำให้เกิดไอ้ความหลุดพ้นขึ้นมาได้อย่างนี้ ตื่นขึ้นมา จากความหลับคือกิเลส คือหลุดพ้น ปุถุชนคนธรรมดาสามัญทั้งหลาย หลับอยู่ ในความหลับของกิเลสคืออวิชชา เนี่ยะพูดภาษาธรรม พูดอย่างนี้ได้ ไอ้ที่มัน...ทุกคนที่มันวิ่งได้เดินได้ไปมานั่นมานี่อยู่น่ะ มันหลับ อยู่ด้วยความหลับในความหลับของอวิชชา ทีนี้มันจะตื่นออกมาเสียจากความหลับของอวิชชา มันรู้ตามที่เป็นจริง ไม่ไปหลงยึดมั่นหมายมั่นในอัตตา ให้เกิดกิเลสต่างๆนาๆขึ้นมา เรียกว่าตื่นมาเสียจากหลับด้วยอำนาจของวิชชา มาเป็นความตื่นของวิชชา เนี่ยะเพราะอำนาจการเพิกถอนเสียได้ซึ่งสัญชาตญาณว่า อัตตา พุทธบริษัทและบริษัทของผู้ตื่น พุทธะแปลว่าผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน พุทธบริษัทก็บริษัทของผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน เพราะว่าเขาก็ได้เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานด้วย และจะตื่นขึ้นมาด้วยเหตุอะไร? จะรู้ตื่นเบิกบานด้วยเหตุอะไร? ก็ด้วยเหตุที่ว่า ทำลายสัญชาตญาณ ที่เกรอะกรังอยู่ในสันดาน ในความเคยชินของจิตน่ะ เสียได้ นี่ก็เรียกว่าตื่นจากหลับคือกิเลสนิทรา กิเลสนิทราหลับเพราะกิเลส มาสู่ความตื่นของสติปัญญา เป็นความตื่นนิรันดร พวกโน้นก็มีนิรันดร มีอัตตานิรันดร เราก็นิรันดรเหมือนกัน เป็นความตื่นนิรันดร ไม่กลับหลับลงไปอีก แปลว่าเข้าสู่ภาวะชนิดที่ว่า ไม่มีความทุกข์ เป็นนิรันดร ถ้าว่าชอบพูดเป็นนิรันดรมันน่าปรารถนาน่าอะไรก็...มันเป็นความตื่นนิรันดร ไม่กลับหลับไปอีกแล้ว ดังนั้น ไอ้สิ่งที่เรียกว่านิรันดร นิรันดร น่ะ ในพุทธศาสนาก็มี คือความตื่นจากหลับอย่างเป็นนิรันดร จะกลับหลับอีกไม่ได้ จะกลับไปสู่ความทุกข์อีกไม่ได้ เนี่ยะ...ทำให้เป็นพุทธบริษัทที่แท้จริง การควบคุมสัญชาตญาณให้ได้ จนกระทั่งทำลายสัญชาตญาณเสียได้ มันก็ทำให้เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ที่เป็นนิรันดร เนี่ยะ...พุทธบริษัทควรจะรู้จักตัวเอง ในลักษณะอย่างนี้ แล้วก็มีคุณสมบัติอย่างนี้ พอให้สมค่าสมควรกัน เรื่องมันก็มีเท่านั้นล่ะ ก็นับว่ามันจบเรื่อง เพราะมันด้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ขอย้ำอีกที มันได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้
เราพูดเรื่องนี้ซ้ำอีกนิดก็ได้ ที่ว่าปัญหาของคนน่ะ มันมีอยู่ที่ว่า เกิดมาทำไม? ถ้าได้อะไรแล้วจึงจะสมกับการได้เกิดมา ถ้าไม่ได้อะไรแล้วมันเท่ากับเสียชาติเกิด ถ้าไม่ได้อะไรเรียกว่า เสียชาติเกิด ถ้าได้อะไรเรียกว่า ไม่เสียชาติเกิด ก็ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ และสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้รับ ก็คือออกมาเสียได้จาก ความติดอยู่ในวัฏสงสาร คือความครอบงำของกิเลสหรือของสัญชาตญาณ มีตัวกู มีของกู เวียนว่ายอยู่ในเรื่องของตัวกู อยู่ในเรื่องของตัวกู ก็เป็นความทุกข์ตลอด ตลอดกาลนิรันดร ถ้าอยู่อย่างนี้ก้เป็นความทุกข์ตลอดกาลนิรันดร เกิดทุกทีเป็นทุกข์ทุกที เกิดตัวกูทุกทีเป็นทุกข์ทุกที ในระหว่างที่เป็นกิเลสก็เป็นทุกข์ ในระหว่างที่กระทำกรรมก็เป็นทุกข์ ในระหว่างที่เสวยผลกรรมก็เป็นทุกข์ เพราะมันยึดมั่นว่าตัวกูว่าของกู  มันแบกของหนักอยู่ทุกระยะหรือทุกขั้นตอน ได้เรียกว่าทนทรมานอยู่ในกองทุกข์ เดี๋ยวนี้ก็ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ ก็ได้พบกับสิ่งที่ไม่มีความทุกข์เลย และก็สามารถจะพบได้ทันที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องรอต่อตายแล้ว มันก็ดีที่สุด ที่มนุษย์ควรจะได้ เกิดมาได้พบสิ่งนี้ก็วิเศษที่สุด เพียงแต่ได้รู้เรื่องสิ่งนี้ ก็ดีไม่น้อย ได้รู้เรื่องสิ่งนี้ก็ดีไม่น้อย ถ้าว่าทำได้ด้วยก็คือดีที่สุด
จึงหวังว่าท่านทั้งหลายอยู่ในความเข้าใจเพิ่มขึ้น  ในข้อที่ว่าถ้าเราละอำนาจของสัญชาตญาณได้ ก็คือบรรลุนิพพาน เมื่อเราละกิเลสได้ก็คือบรรลุนิพพาน ละสัญชาตญาณได้เรียกบรรลุนิพพาน ละกิเลสได้คือบรรลุนิพพาน เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ แม้ว่าเราไม่ได้ตั้งใจว่าจะเกิดมา เราไม่ได้ขอใครเกิดมา และมันก็เกิดมาเอง แต่ครั้นเกิดมาเองแล้ว มันมาพบกับปัญหาอย่างนี้  เราจะต้องทำอย่างไร? เราจะทนทุกข์ไปจนตายเปล่า มันก็น่าละอายแมว ดังนั้นเราก็ต้องดิ้นรนต่อสู้ให้ได้ว่า เราต้องทะลุออกไปให้ได้ แม้ว่าเราจะไม่ได้สัญญามาว่า เราจะเกิดมาเพื่อทำอย่างนี้ แต่มันก็ได้เกิดมาแล้ว
ฉะนั้นใครอย่าไปหาข้อแก้ตัว ว่าฉันไม่ได้ตั้งใจจะเกิดมา ไม่รับผิดชอบว่าเกิดมาทำไม ถ้าคิดอย่างนั้นและปล่อยไว้อย่างนั้นมันจะเป็นทุกข์ ทุกข์ ทุกข์ ทุกข์ ทุกข์ ระดมทับถมกันไปอย่างที่เรียกว่า ไม่มีอะไรดีสักนิด เมื่อได้มาพบกับความทุกข์แล้วก็ต้องต่อสู้ ต้องแน่ใจกัน ตั้งหน้ากันต่อสู้กับความทุกข์ เอาชนะความทุกข์ โดยละเหตุต้นของความทุกข์ลงไปเป็นลำดับๆ จนพบกิเลสและสัญชาตญาณ ก็ละเสียให้ได้อย่างนี้ ก็หมดปัญหาในข้อที่ว่า เกิดมาทำไม? ฉันไม่ได้ตั้งใจจะเกิดมา แต่คุณก็ได้เกิดมาแล้ว คุณจะทำอะไร? มันก็ไม่มีทางหนีไปไหนนอกจาก เอาชนะปัญหา เกี่ยวกับเรื่องความทุกข์เนี่ยะ เสียให้ได้ เพราะมันได้มีความทุกข์เพราะเกิดมาอย่างโง่เขลา เกิดมาอย่างหลับตา ทำไปอย่างหลับตา แล้วก็จมอยู่ในกองทุกข์
เป็นอันว่าในที่สุด เราก็ได้พูดกันถึงเรื่องทั้งนั้นในพระพุทธศาสนา ที่ว่าได้เกิดมาด้วยสัญชาตญาณพื้นฐานแห่งกิเลส แล้วมันก็งอกงามเป็นกิเลสขึ้นมาได้โดยอัตโนมัติในตัวมันเอง จึงได้เรียกว่าสัญชาตญาณ เด้กทารกก็งอกงามขึ้นมาด้วยความเข้าใจผิด แล้วก็เป็นทุกข์จนตลอดชีวิต ชีวิตแล้วชีวิตเล่า เดี๋ยวนี้มารู้ความจริงในข้อนี้กันเสียที สามารถควบคุมได้ก็ยังดี เมื่อเพิกถอนได้ทั้งหมด ที่ประเสริฐที่สุด เป็นว่าไม่เสียชาติเกิดมาเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนา
การบรรยายในครั้งที่สามนี้เป็นการสรุปความทุกตอนทุกครั้งของการบรรยายครั้งที่แล้วๆมา เป็นอันว่าจบการบรรยายชุดนี้ ชุดมาฆบูชา ขึ้นเดือนเมษาก็เป็นชุดวิสาขบูชา ซึ่งจะได้พูดกันเรื่องอื่นอีกชุดหนึ่งต่อไป วันนี้ขอยุติการบรรยายด้วยการสมควรแก่เวลาไว้เพียงเท่านี้ เพื่อเปิดโอกาสให้พระคุณเจ้าทั้งหลายสวดบทพระธรรม คณะสาธยาย ส่งเสริมกำลังใจของผู้ฟังทั้งหลาย ให้มีความเข้มแข็งแก่กล้าในการที่จะประพฤติปฏิบัติธรรมะ โดยนัยยะดังที่กล่าวมาแล้วนั้นสืบต่อไป ในกาลบัดนี้.


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น