หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2562

เศรษฐศาสตร์ของชาวพุทธ - อี.เอฟ. ชูเมกเกอร์

เศรษฐศาสตร์ของชาวพุทธ
อี. เอฟ. ชูเมกเกอร์         เขียน
รังสรรค์  ธนะพรพันธ์      แปล



“สัมมาอาชีวะ” เป็นธรรมข้อหนึ่งในมรรคแปดของพระพุทธเจ้า ดังนั้น จึงเป็นสิ่งที่ประจักษ์ชัดว่า จักต้องมีสิ่งที่เรียกว่า เศรษฐศาสตร์ของชาวพุทธ
          ในขณะเดียวกันประเทศพุทธศาสนาทั้งหลาย ก็มักจะแถลง่า จักยึดมั่นศรัทธาในศาสนานี้ ดังประเทศพม่าได้แถลงว่า “พม่าใหม่มีความเห็นว่า ความขัดแย้งระหว่างคุณค่าทางศาสนากับความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจนั้นไม่มี  สุขภาพจิตกับการกินดีอยู่ดีทางวัตถุ หาได้ขัดกันไม่ ตรงกันข้าม เป้าหมายทั้งสองนี้กลับสอดคล้องกันโดยธรรมชาติ”1 หรือถ้อยแถลงที่ว่า “เราสามารถผสมกลมกลืนคุณค่าทางศาสนาและคุณค่าทางจิตใจ ซึ่งเป็นมรดกตกทอดของเรา โดยอาศัยประยุกตวิทยาสมัยใหม่อย่างได้ผล”2 หรือถ้อยแถลงที่ว่า “เราชาวพม่ามีหน้าที่อันพึงกระทำ ในการทำให้ความฝันของเราและการกระทำของเราเป็นไปตามศรัทธาของเรา นี้เป็นสิ่งที่เราจักกระทำ”3
1. Pyidawtha, The New Burma(Economic and Social Board, Government of the Union of Burma, 1954), p.10.
2. Ibid., p. 8.
3. Ibid., p. 128.
          แม้กระนั้นก็ตาม  ประเทศเหล่านี้ก็ยังมีสมมติฐาน อันไม่แตกต่างจากประเทศอื่นในข้อที่ว่า จักสามารถวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจ โดยอาศัยเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ได้ ทั้งยังเชื้อเชิญนักเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่จากประเทศที่พัฒนาแล้วมาให้คำแนะนำปรึกษา ตลอดจนกำหนดนโยบายที่จะดำเนินการและร่างรูปแบบเพื่อการพัฒนา ซึ่งเรียกกันว่า แผนห้าปีหรือชื่ออื่นใดก็ตาม ไม่มีผู้ใดที่จักคิดว่า, วิถีชีวิตของชาวพุทธนั้น จำต้องอาศัยเศรษฐศาสตร์แบบพุทธ เฉกเช่นที่วิถีชีวิตดันพึ่งพิงวัตถุสมัยใหม่จำต้องอาศัยเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่
          นักเศรษฐศาสตร์เองนั้น ก็ดุจดังผู้ชำนัญการพิเศษทั้งหลายที่มักจะมีความมืดมัวทางอภิปรัชญา ด้วยการสมมติว่า แขนงวิชาของตนนั้นเป็นศาสตร์แห่งสัจจะที่สมบูรณ์ และไม่อาจแปรผันได้ โดยปราศจากข้อสมมติล่วงหน้าใดๆ ลางคนถึงกับกล่าวอ้างว่า กฏทางเศรษฐศาสตร์นั้น ปลอดพ้นจากสิ่งที่เรียกว่า “อภิปรัชญา” หรือ “คุณค่า” เท่าๆกับกฏความดึงดูดของโลก อย่างไรก็ตาม เรามิจำต้องอ้างอิงข้อถกเถียงทางด้านวิธีการวิเคราะห์ แต่ขอให้เราพิจารณาหลักพื้นฐานบางประการในทัศนะของนักเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ เมื่อเทียบกับทัศนะของนักเศรษฐศาสตร์ชาวพุทธ
          มีข้อที่ยอมรับร่วมกันทั่วไปข้อหนึ่งว่า แหล่งพื้นฐานของความมั่งคั่งนั้นคือแรงงานมนุษย์ นักเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ได้รับการอบรมสั่งสอนให้ยึดถือว่า “แรงงาน” หรือการงาน มิได้แตกต่างจากสิ่งชั่วร้ายที่จำเป็นอย่างหนึ่งมากนัก ในทัศนะของนายจ้าง แรงงานในกรณีใดๆเป็นเพียงรายการที่ก่อให้เกิดต้นทุน ซึ่งจำต้องลดให้เหลือน้อยที่สุด หากไม่สามารถขจัดให้หมดไป ด้วยการใช้เครื่องจักรกลไปเป็นอาทิได้ ในทัศนะของคนงาน การทำงานเป็นการสูญเสียอรรถประโยชน์ เพราะการทำงานเป็นการสละเวลาแห่งการพักผ่อนและความสบายของบุคคล และค่าจ้างเป็นเงินชดเชยประเภทหนึ่งสำหรับการเสียสละดังกล่าวนั้น ด้วยเหตุฉะนี้ อุดมทัศน์ของนายจ้างก็คือการมีผลผลิตโดยปราศจากลูกจ้าง ส่วนอุดมทัศน์ของลูกจ้างคือการมีเงินได้โดยไม่จำเป็นต้องทำงาน
          ทัศนคติดังกล่าวข้างต้นนี้ ทั้งทางทฤษฎีและในทางปฏิบัติก่อให้เกิดผลอันเหลือคณนา โดยมิพักดต้องสงสัย ถ้าหากอุดมทัศน์เกี่ยวกับการทำงานคือการไม่ทำงาน วิธีการทั้งปวงที่ช่วยลดภาระการงานย่อมถือเป็นวิธีการที่ดี สิธีการที่ทรงพลังที่สุดนอกเหนือจากการใช้เครื่องทุ่นแรง ได้แก่วิธีการที่เรียกกันว่า “การแบ่งแยกแรงงาน” ในการทำงาน  และตัวอย่างอมตะก็ได้แก่ กรณีโรงงานผลิตเข็ม ดังที่นายอดัม สมิธ ได้พรรณาสรรเสริญไว้ในหนังสือ Wealth of Nations กรณีดังกล่าวนี้มิได้ปฏิบัติมานานนมกาเล แต่เป็นการแบ่งแยกกระบวนการผลิตอันสมบูรณ์ทุกๆกระบวนการ ออกเป็นส่วนย่อยๆเพื่อว่าผลผลิตขั้นสุดท้ายสามารถผลิตได้อย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่มีใครคนหนึ่งคนใดมีส่วนในการผลิตอย่างสำคัญ และในกรณีส่วนใหญ่เพียงแต่อาศัยการเคลื่อนไหวของแขนขาอย่างปราศจากทักษะเท่านั้น
การงาน
ตามทัศนะของพุทธศาสนิกชน การงานทมีหน้าที่อย่างน้อย 3 ประการ คือ (1) เพื่อเปิดโอกาสให้มนุษย์ได้ใช้และพัฒนาความสามารถส่วนตน (2) เพื่อช่วยให้มนุษย์ขจัดอัตตาด้วยการทำงานร่วมกับผู้อื่น (3) เพื อให้ได้มาซึ่งผลิตผลพลอยได้อย่างปราศจากจุดจบ การจัดการงานไปในในทางที่ทำให้การงานนั้นปราศจากความหมาย น่าเบื่อ ไร้ประโยชน์ หรือบีบคั้นประสาท สำหรับคนงานนั้น มิได้แตกต่างจากการก่ออาชญากรรมมากนัก เพราะแสดงให้เห็นว่า การงานลักดษณะนี้คำนึงถึงผลผลิตยิ่งกว่าตัวมนุษย์ ทั้งเป็นสิ่งชั่วร้ายที่ไร้ความเมตตากรุณา ตลอดจนแสดงให้เห็นถึงการทำลายชีวิตจิตใจ ซึ่งเหลือค้างอยู่ในส่วนที่ป่าเถื่อนที่สุด ของสิ่งที่ดำรงอยู่ในมนุษย์โลกนี้ ทำนองเดียวกัน การแสวงหาการพักผ่อนแทนการทำงานั้น นับเป็นความเข้าใจผิดอย่างมากเกี่ยวกับสัจจะพื้นฐานประการหนึ่งของการดำรงอยู่ของมนุษย์ ที่ว่าการทำงานกับการพักผ่อนเป็นองค์ประกอบซึ่งกันและกันของกระบวนการดำรงชีวิตเดียวกัน และไม่อาจแยกออกจากกันได้โดยที่ไม่ทำลายความสุขจากการทำงานและความสำราญจากการพักผ่อน
          ตามทัศนะของพุทธศาสนิกชน การใช้เครื่องทุ่นแรงในการผลิต จึงมีอยู่สองประเภท ซ่างจำต้องแยกแยะให้กระจ่างชัด  ประเภทที่หนึ่ง ได้แก่การใช้เครื่องทุ่นแรงไปในทางเพิ่มพูนทักษะและอำนาจของมนุษย์  ประเภทที่สอง ได้แก้การใช้เครื่องทุ่นแรงทำงานแทนมนุษย์ ซึ่งยังผลให้มนุษย์อยู่ในฐานะที่จักต้องรับใช้หรือเป็นข้าทาสเครื่องนั้นๆ  แต่เราจะแยกแยะเครื่องสองประเภทนี้ได้อย่างไร ข้อนี้อานันท์ กุมารสวามี ผู้ซึ่งมีความรอบรู้เกี่ยวกับตะวันตกสมัยใหม่ เท่าๆกับตะวันออกสมัยเก่า กล่าวว่า  “ช่างฝีมือนั้น ถ้าเปิดโอกาสให้เขา เขาสามารถที่จะชี้ให้เห็นความแตกต่างอันละเอียดอ่อน ระหว่างเครื่องจักร(machine) กับเครื่องมือ (tool) ได้เสมอ เครื่องทอพรมนั้นถือเป็นเครื่องมือด้วยเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ช่วยยืดเส้นด้ายเพื่อให้เส้นด้ายร้อยรอบโดยอาศัยนิ้วมือของช่างฝีมือ แต่เครื่องทอที่อาศัยไฟฟ้า ถือเป็นเครื่องจักร ความสำคัญของเครื่องจักรในฐานะผู้ทำลายวัฒนธรรม อยู่ที่ว่าเครื่องจักรเข้าไปทำงานส่วนที่เป็นงานอันสำคัญของมนุษย์”4  ดังนั้น จึงประจักษ์ชัดว่า เศรษฐศาสตร์ชาวพุทธจักต้องแตกต่างกันอย่างมากจากเศรษฐศาสตร์แบบวัตถุนิยมสมัยใหม่ ทั้งนี้ก็เพราะพุทธศาสนิกชนเห็นว่า แก่นของอารยธรรมมิได้อยู่ที่การเพิ่มพูนตัณหาของมนุษย์ หากทว่าอยู่ที่การ
4. Ananda K. Coomaraswamy, Art and Swadeshi (Madras : Ganesh & Co.), p. 30.
สร้างความบริสุทธิ์แก่คุณลักษณะแห่งการเป็นมนุษย์ และเอกลักษณ์ของมนุษย์นั้น โดยพื้นฐานย่อมก่อรูปมาจากการงานของมนุษย์นั่นเอง และการงานั้น หากดำเนินการอย่างเหมาะสมในภาวการณ์ที่มนุษย์มีเกียรติภูมิและเสรีภาพ ย่อมยังความเป็นเลิศให้แก่ผู้ทำงานและผลผลิตของผู้ทำงานโดยเท่าเทียมกัน นายกุมารัปปะ นักเศรษฐศาสตร์และนักปรัชญาชาวอินเดีย สรุปความข้อนี้ไว้ดังนี้  “ถ้าหากธรรมชาติของการงานเป็นที่ซาบซึ้งและมีการประยุกต์อย่างเหมาะสม ย่อมจักเป็นคุณมากขึ้น เช่นที่อาหารเป็นคุณแก่ร่างกายฉะนั้น ทั้งนี้ก็เพราะการงานทำให้มนุษย์ผู้สูงส่งมีกำลังวังชาและมีชีวิตชีวา ทั้งกระตุ้นให้มนุษย์กระทการอย่างดีที่สุดเท่าที่ความสามารถจะพึงมี การทำงานช่วยให้เจตจำนงเสรีของมนุษย์เป็นไปตามทำนองคลองธรรม และช่วยกำจัดความเป็นสัตว์ในตัวมนุษย์ให้อยู่ในวินัยอันดี ทั้งยังช่วยตระเตรียมภูมิหลังของมนุษย์ให้แสดงคุณค่าแห่งตนและพัฒนาบุคคลิอกลักษณะแห่งตนด้วย”5
5. J.C. Kumarappa, Economy of Permanaence (Rajghat. Kashi : Sartva-Seva-Sangh Publication, 1958), p. 117.
          ถ้าหากมนุษย์ไม่มีโอกาสที่จะได้ทำงาน มนุษย์ย่อมตกอยู่ในภาวะอันสิ้นหวัง ทั้งนี้มิใช่เป็นเพราะเขาขาดรายได้ หากเป็นเพราะว่า มนุษย์จะขาดปัจจัยที่เสริมส่งกำลังวังชา และความมีชีวิตชีวา อันเกิดจากการงานที่ทรงระเบียบโดยที่ไม่มีสิ่งอื่นใดจะทดแทนได้ นักเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่อาจสาละวนอยู่กับการคำนวณอันสลับซับซ้อนอย่างมากว่า การจ้างงานเต็มอัตราก่อประโยชน์อย่างคุ้มค่าหรือไม่ หรือว่าจะเป็นการประหยัดมากกว่า ที่จะทำให้ระบบเศรษฐกิจมีการจ้างงานไมเต็มอัตรา เพื่อว่าการเคลื่อนไหวของแรงงานจะได้มีมากขึ้น  เสถียรภาพของค่าจ้างจะได้มีมากขึ้น ฯลฯ กฏเกณฑ์พื้นฐานที่ใช้วัดความสำเร็จ ตามทัศนะของนักเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ ก็คือจำนวนสินค้าทั้งหมดที่ผลิตได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ศาสตราจารย์แกลเบรธ กล่าวไว้ว่า  “ถ้าหากความจำเป็นส่วนเพิ่ม(marginal urgency) ของสินค้ามีน้อย ความจำเป็นในการว่าจ้างคนงานคนสุดท้ายหรือล้านคนสุดท้าย ในกองแรงงาน ก็จักมีน้อยด้วย” และว่า “ถ้า.....เราสามารถทนให้มีการว่างงาน เพื่อให้มีเสถียรภาพ อันเป็นข้อเสนอ ซึ่งโดยบังเอิญ มีประวัติอันคร่ำครึอย่างยิ่งยวด เราย่อมสามารถที่จะแจกจ่ายสินค้าให้แก่คนว่างงาน เพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้ตามมาตรฐานการครองชีพที่เคยมี”6
6. J.K. Galbrauth, The Affluent Society (Penguin Books, 1962), pp.272-3.     
          ตามทัศนะของพุทธศาสนิกชน ความเห็นที่ว่า สินค้ามีความสำคัญมากกว่ามนุษย์ และที่ว่าการบริโภคมีความสำคัญมากกว่ากิจกรรมในการสร้างสรรค์นั้น เป็นความเห็นที่ตรงกันข้ามกับสัจธรรม เพราะมีความหมายว่า การให้ความสำคัญแก่คนงานได้เปลี่ยนมาเป็นการให้ความสำคัญแก่ผลผลิตของการทำงาน นั่นก็คือการเน้นความสำคัญ ได้เปลี่ยนจากตัวมนุษย์ มาเป็นสิ่งซึ่งต่ำกว่ามนุษย์(Sub-human) ซึ่งเท่ากับเป็นการพ่ายแพ้ต่อพลังของความชั่วร้าย จุดเริ่มต้นแรกสุดของการวางแผนเศรษฐ-กิจของชาวพุทธ จักเป็นการวางแผนเพื่อให้มีการจ้างงานเต็มอัตรา และจุดประสงค์เบื้องฐานของการนี้ ที่แท้จริงก็เพื่อให้มีการจ้างงานสำหรับคนทุกคนที่ต้องการงานนอกบ้าน แต่ทั้งนี้มิได้หมายถึงการจ้างงานให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และมิได้หมายถึงการผลิตให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ทั้งนี้ก็เพราะผู้หญิงโดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องมีงานนอกบ้าน การว่าจ้างผู้หญิงทำงานในสำนักงานหรือโรงงานอย่างขนานใหญ่นั้น นับเป็นสัญลักษณ์ของความล้มเหลวทางเศรษฐกิจอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การปล่อยให้มารดาของลูกเล็กเด็กแดงทำงานตามโรงงาน ในขณะที่เด็กๆถูกปล่อยปละละเลยนั้น นับเป็นการไม่ประหยัดในสายตาขอวนักเศรษฐศาสตร์ชาวพุทธ พอๆกับที่ว่าจ้างแรงงานที่มีทักษะไปเป็นพลทหาร เป็นการไม่ประหยัดในทัศนะของนักเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่
          ในบณะที่นักวัตถุนิยมสนใจแต่สินค้าเป็นสำคัญ พุทธศาสนิกชนสนใจแต่การปลดแอก ให้มีอิสรเสรีภาพเป็นส่วนใหญ่ แต่ศาสนาพุทธยึดถือ “มัชฌิมาปฏิปทา” ดังนั้น จึงมิได้ขัดแย้งกับการกินดีอยู่ดีทางกายภาพ อุปสรรคของการปลดแอกให้มีอิสรเสรีภาพนั้น มิได้อยู่ที่ตัวทรัพย์ศฤงคาร หากทว่าอยู่ที่การติดในทรัพย์ศฤงคารนั้น อุปสรรคดังกล่าวมิได้อยู่ที่การหาความสุขจากสิ่งซึ่งให้ความสุขได้ หากทว่าอยู่ที่ตัณหาที่ดิ้นรนเพื่อจะให้ได้มาซึ่งสิ่งเหล่านั้น ดังนั้น หัวใจของเศรษฐศาสตร์แบบพุทธ ก็คือความเรียบง่ายและหลักอหิงสา ตามทัศนะของนักเศรษฐศาสตร์ ความอัศจรรย์ของวิถีชีวิตแบบชาวพุทธนั้น อยู่ที่ความมีเหตุมีผล อย่างยิ่งของรูปแบบแห่งการดำรงชีวิต กล่าวคือ การอาศัยวัตถุปัจจัยจำนวนน้อยอย่างน่าประหลาดใจ แต่นำไปสู่ผลอันน่าพึงใจอย่างพิสดาร

มาตรฐานการครองชีพ
สำหรับนักเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ มาตรฐานการครองชีพเป็นเรื่องที่ยากแก่การเข้าใจยิ่ง นักเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่คุ้นเคยกับการวัด “มาตรฐานการครองชีพ” ด้วยจำนวนการบริโภคประจำปี โดยสมมติอยู่ตลอดเวลาว่า ผู้ที่บริโภคมากจะ “กินดีอยู่ดี” กว่าผู้ที่บริโภคน้อย  แต่นักศรษฐศาสตร์ชาวพุทธจักถือว่าวิธีการเช่นนี้เป็นวิธีการที่ไร้เหตุผลอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพราะการบริโภคเป็นเพียงมรรคที่จะนำมาซึ่งความกินดีอยู่ดี ดังนั้นจุดมุ่งหมายจึงน่าจะอยู่ที่การทำให้มการอยู่ดีกินดีมากที่สุด โดยการบริโภคให้น่อยที่สุด อาทิเช่น ถ้าหากจุดมุ่งหมายของการสวมเสื้อผ้าอยู่ที่ความสบาย อันเกิดจากการกันหนาวร้อนพอประมาณและปกปิดความน่าเกลียดของร่างกาย ก็น่าที่จะบรรลุวัตถุประสงค์นี้ ด้วยการใช้ความพยายามที่เป็นไปได้อย่างน้อยที่สุด นั่นก็คือด้วยการทำลายเสื้อผ้าในแต่ละปีน้อยที่สุด และด้วยการออกแบบที่อาศัยความเหนื่อยยากน้อยที่สุด หากความเหนื่อยยากยิ่งน้อยเพียงใด เวลาและพลังที่เหลือไว้สำหรับการสร้างสรรค์ทางศิลปะก็จักยิ่งมีมากเพียงนั้น เป็นต้นว่า ออกจะเป็นการไม่ประหยัดอย่างมาก ที่จะอาศัยการตัดเสื้อผ้าอันสลับซับซ้อน ดังที่เป็นอยู่ในตะวันตกสมัยใหม่ ในเมื่อผลทางด้านความงามที่มีมากกว่าเป็นอันมาก สามารถก่อให้เกิดขึ้นได้ ด้วยการห่มผ้าที่ไม่ต้องตัดอย่างซับซ้อน นับเป็นความเขลายิ่งนักด ที่จะตัดเสทื้อผ้า โดยที่เสื้อผ้านั้นก็ใช้นุ่งห่มได้ในชั่วระยะเวลาแห่งสมัยนิยมเท่านั้น และนับเป็นความไร้วัฒนธรรมที่จะตัดเสื้อผ้าให้แลดูน่าเกลียดและซอมซ่อ สิ่งที่เกี่ยวกับเสื้อผ้าที่กล่าวมานี้ ใช้ได้ดีกับสิ่งจำเป็นอื่นทั้งปวงของมนุษย์ การเป็นเจ้าของและการบริโภคสินค้า เป็นเพียงมรรคอันนำมาซึ่งผล และเศรษฐศาสตร์ของพุทธศานิกชนเป็นการศึกษาเกี่ยวกับวิธีการบรรลุผลที่กำหนดไว้ โดยใช้มรรควิธีอย่างน้อยที่สุด
          ในทางตรงกันข้าม เศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ถือว่า การบริโภคเป็นผล และเป็นจุดหมายอันเดียวของกิจกรรมท่างเศรษฐกิจทั้งปวง ทั้งนี้โดยถือว่าปัจจัยการผลิตต่างๆ เช่น ที่ดิน แรงงาน และทุน เป็นมรรค กล่าวโดนสรุป เศรษฐศาสตร์ของพุทธศาสนิกชนมุ่งที่จะหาทางให้มนุษย์มีความพอใจสูงสุด ด้วยการมีรูปแบบการบริโภคที่ดีเลิศ ในขณะที่เศรษฐศาสตร์สมัยใหม่มุ่งที่จะหาทางให้มนุษย์มีการบริโภคสูงสุด ด้วยมีรูปแบบของการใช้พลังการผลิตที่ดีเลิศ เราย่อมเห็นได้โดยง่ายว่า ความพยายามอันจำเป็นแก่การธำรงไว้ซึ่งวิถีชีวิตที่มุ่งบรรลุรูปแบบการบริโภคที่ดีเลิศ น่าจะน้อยกว่าความพยายามอันจำเป็นแก่การธำรงไว้ซึ่งพลังขับดันให้มีการบริโภคสูงสุดสมาก เหตุฉะนี้จึงไม่น่าประหลาดใจที่ความกดดัน และความเครียดของการครองชีพในพม่า มีน้อยกว่าในสหรัฐอเมริกาเป็นอันมาก ทั้งๆที่จำนวนเครื่องจักรที่ประหยัดแรงงานในพม่า คิดเป็นสัดส่วนเพียงกระจิดริดของสหรัฐอเมริกาเท่านั้น

รูปแบบการบริโภค
ความเรียบง่ายกับหลักอหิงสานั้น มีความเกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิดโดยประจักษ์ชัด รูปแบบการบริโภคที่ดีเลิศ ซึ่งก่อให้เกิดความพอใจแก่มนุษย์อย่างมาก  โดยการบริโภคแต่เพียงน้อยนั้นช่วยให้มนุษย์สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากความกดดันและความเครียดมากนัก และช่วยให้มนุษย์ปฏิบัติตามธรรมเบื้องต้นของพระพุทะพเจ้า ที่ว่า “พึงละเว้นความชั่ว และพึงทำความดี”ได้ โดยเหตุที่ทรัพยากรทางกายภาพมีอยู่โดยจำกัดทุกแห่งหน หากมนุษย์หาทางสนองความต้องการแห่งตน ด้วยการใช้ทรัพยากรอย่าพอเหมาะพอควร ย่อมเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า จักทำให้ไม่ต้องไปแย่งชิงกับผู้อื่นมากเหมือนกับกรณีที่มนุษย์ต้องพึ่งพาการใช้ทรัพยากรในอัตรสูง นี้ฉันใด ผู้ที่อาศัยอยู่ในท้องถิ่นที่พึ่งพาตนเองได้มาก ย่อมมีส่วนก่อความรุนแรงขนานใหญ่ได้น้อยกว่าผู้ที่อยู่รอดได้ด้วยการพึ่งพาระบบการค้าทั่วโลก ฉันนั้น
          ดังนั้น ตามทัศนะของนักเศรษฐศาสตร์ชาวพุทธ การผลิตโดยอาศัยทรัพยากรท้องถิ่น เพื่อสนองความต้องการในท้องถิ่นนั้น จึงนับเป็นวิถีชีวิตทางเศรษฐกิจที่มีเหตุผลมากที่สุด ส่วนการพึ่งพาสินค้าเข้าจากที่ห่างไกล และความจำเป็นที่ตามมาที่จักต้องส่งสินค้าออกไปให้ผู้คนที่อยู่ห่างไกลและไม่เป็นที่รู้จัก นับเป็นการไม่ประหยัดอย่างยิ่ง มีกรณียกเว้นดเพียงบางกรณีที่มีเหตุอันสมควรเท่านั้น นักเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่จะยอมรับว่า การใช้บริการขนส่งระหว่างบ้านกับที่ทำงานในอัตราสูง เป็นเพียงเรื่องโชคไม่ดีเท่านั้น และมิใช่มาตรฐานการครองชีพที่ดีทำนองเดียวกัน นักเศรษฐศาสตร์ชาวพุทธย่อมถือว่า การสนองความต้องการของมนุษย์จากแหล่งที่ห่างไกล เป็นความล้มเหลวมากกว่าความสำเร็จ ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่อาจอาศัยสถิติการเพิ่มขึ้นของจำนวนตัน/ไมล์ต่อประชากรหนึ่งคนที่เกิดจากระบบการขนส่งของประเทศ เป็นประจักษ์พยานแห่งความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ แต่สำหรับนักเศรษฐศาสตร์ชาวพุทธ ข้อมูลสถิติเดียวกันนี้ ชี้ให้เห็นถึงความเสื่อมโทรมอันไม่น่าพึงปรารถนาอย่างยิ่งของ รูปแบบ การบริโภค

ทรัพยากรธรรมชาติ
ความแตกต่างอันเด่นชัดอีกประการหนึ่งระหว่างเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่กับเศรษฐศาสตร์ของพุทธศาสนิกชน เกิดจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ จูเวอนัล(Bertrand de Juvenal) นักปรัชญาการเมืองชาวฝรั่งเศสคนสำคัญ ได้พรรณาลักษณะของ”มนุษย์ตะวันตก” ด้วยถ้อยคำซึ่งอาจถือเป็นบทนิยามนักเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ได้ดี ดังนี้
“มนุษย์ตะวันตกดมีแนวโน้มที่จะไม่นับสิ่งอื่นใดถือว่าเป็นรายจ่าย นอกเหนือไปจากการสูญเสียพลังงานของมนุษย์ เขาไม่สนใจไยดีว่า จะทำลายแร่ธาตุมากน้อยปานใด และที่เลวร้ายยิ่งกว่าก็คือ เขาไม่ไยดีว่า เขาทำลายสิ่งมีชีวิตมากน้อยเท่าใด ดูเหมือนมนุษย์ตะวันตกจะไม่ประจักษ์แก่ใจเลยว่า ชีวิตมนุษย์นั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ซึ่งต้องพึ่งพาอาศัยส่วนอื่นของระบบชีวิต อันประกอบด้วยชีวิตรูปแบบต่างๆกัน โดยเหตุที่โลกปกครองจากตัวเมือง อันเป็นที่ซึ่งมนุษย์ถูกตัดขาดจากชีวิตรูปแบบอื่นๆนอกจากมนุษย์ด้วยกัน ดังนั้น สำนึกของการเป็นส่วนหนึ่งของระบบชีวิตทั้งหมด จึงไม่ฟื้นกลับคืนมา ยังผลให้มนุษย์ปฏิบัติต่อสรรพสิ่งอันมนุษย์ต้องพึ่งพาในที่สุด เช่น น้ำละต้นไม้ อย่างหยาบและอย่างไม่คำนึงถึงอนาคตเอาเลย”7
7. Richard B. Gregg,  A Philosophy of Indian Economic Development (Ahmedabad : Navajivan Publishing H ouse, 1958), pp. 140-1.
ในทางตรงกันข้าม พุทธธรรมมุ่งอบรมบ่มนิสัยให้มนุษย์มีความรักและยึดหลักอหิงสา มิเฉพาะต่อสรรพสิ่งที่มีชีวิต เช่นคนและสัตว์ เท่านั้น หากยังเน้นอย่างมากต่อต้นหมากรากไม้อีกด้วย สานุศิษย์ของพระพุทธองค์ทุกคน ควรจะเพาะปลูกต้นไม้ทุกๆสองสามปี และพรวนดินรดน้ำให้เติบใหญ่แข็งแรง และนักเศรษฐศาสตร์ชาวพุทธย่อมสามารถชี้ให้เห็นอย่างไม่ยากลำบากนักว่า การปฏิบัติตามกฏนี้อย่างแพร่หลาย จะยังผลให้การพัฒนาเศรษฐกิจที่แท้จริงอยู่ในอัตราสูง โดยมิจำต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากต่างประเทศแต่ประการใด ความเสื่อมโทรมทางเศรษฐกิจในเอเซียอาคเนย์เป็นอันมาก (ดังเช่นส่วนอื่นๆของมนุษยโลก)  เป็นผลจากการปล่อยปละละเลยต้นไม้ อย่างไม่ใส่ใจ และอย่างน่าละอาย โดยมิพักต้องสงสัย
        เศรษฐศาสตร์สมัยใหม่มิได้ชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างวัสดุที่สามารถสร้างขึ้นได้ใหม่ (renewable material) กับวัสดุที่ไม่สามารถสร้างขึ้นได้ใหม่ (non-renewable material) ทั้งนี้เพราะเหตุว่าวิธีการของเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ก็คือ การทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเท่ากัน และประเมินทุกสิ่งทุกอย่างเป็นปริมาณในรูปของตัวเงิน ขอให้เราพิจารณาตัวอย่างของเชื้อเพลิงประเภทต่างๆ เช่น ถ่านหิน น้ำมัน ฟืน หรือพลังน้ำ เป็นอาทิ ความแตกต่างประการเดียวระหว่างเชื้อเพลิงประเภทต่างๆเหล่านี้ ซึ่งเป็นที่ยอมรับของเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ ก็คือ ความแตกต่างในเรื่องต้นทุนสัมพัทธ์ เมื่อเทียบเป็นหน่วยที่เท่ากัน เชื้อเพลิงประเภทต้นทุนสัมพัทธ์ต่ำสุด จักเป็นประเภทที่เลือกใช้โดยอัตโนมัติ การเลือกใช้เชื้อเพลิงประเภทอื่นที่แพงกว่า ถือเป็นการกระทำที่ไร้เหตุผลและไม่ประหยัด แต่ตามทัศนะของชาวพุทธ ความข้อนี้หาได้เป็นที่ยึดถือกันไม่ ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างเชื้อเพลิงประเภทที่ไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่ เช่นถ่านหินและน้ำมัน  กับเชื้อเพลิงประเภทที่สามารถสร้างขึ้นใหม่ เช่นฟืนและพลังน้ำนั้นไม่สามารถจะมองข้ามไปอย่างง่ายดายได้ สินค้าที่ไม่สามารถสร้างขึ้นใหม่ จักต้องใช้ก็ต่อเมื่อจำเป็นยิ่งยวดเท่านั้น และจักต้องใช้ความระมัดระวังยิ่ง และด้วยความคำนึงถึงการอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างมาก การใช้สินค้าประเภทนี้อย่างไม่ระมัดระวังและอย่างฟุ่มเฟือย ถือเป็นการระเมิดหลักอหิงสาอย่างหนึ่ง และแม้ว่าหลักอหิงสาที่สมบูรณ์อาจจะไม่สามารถบรรลุได้ในมนุษย์โลกนี้ แต่กระนั้น มนุษย์พึงมีหน้าที่ที่จะกระทำการใดๆโดยยึดหลักอหิงสาอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
          นักเศรษฐศาสตร์ชาวพุทธจะยืนยันความเห็นที่ว่า การที่ประชากรมีชีวิตทางเศรษฐกิจ ด้วยการพึ่งพิงเชื้อเพลิงมิอาจสร้างขึ้นใหม่นั้น เป็นการดำรงชีวิตเยี่ยงกาฝาก ด้วยการใช้ทุนแทนที่จะใช้เงินได้ ทำนองเดียวกับนักเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่จะมีความเห็นว่า การขายศิลปสมบัติของชาวยุโรปแก่ชาวอเมริกันด้วยราคาที่งามยิ่งนั้น หาใช้ความสำเร็จทางเศรษฐกิจอันยิ่งใหญ่ไม่ วิถีชีวิตเยี่ยงนี้ หาความยืนยาวมิได้ จักพึงดำเนินไปก็ด้วยเหตุผลด้านความสะดวกชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น โดยเหตุที่ทรัพยากรเชื้อเพลิงส่วนที่มิอาจสร้างขึ้นใหม่ได้ในโลกนี้เช่นถ่านหิน น้ำมันและก๊าสธรรมชาตินั้น กระจายอยู่ในโลกนี้อย่างไม่เท่าเทียมกันยิ่ง และมีปริมาณจำกัดโดยปราศจากข้อกังขา จึงเป็นการประจักษ์ชัดว่า การใช้ทรัพยากรประเภทนี้ในอัตราที่เพิ่มขึ้น เป็นการใช้ความรุนแรงละเมิดธรรมชาติ ซึ่งย่อมนำมาซึ่งการใช้ความรุนแรงในหมู่มวลมนุษย์อย่างชนิดที่เกือบจะหลีกเลี่ยงมิได้

มัชฌิมาปฏิปทา
เฉพาะเพียงข้อเท็จจริงข้างต้นนี้ คงให้ข้อคิดได้บ้างแก่คนในประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนา ผู้ไม่สนใจใยดีต่อคุณค่าทางศาสนาและจิตใจที่เป็นมรดกตกทอดมา โดยปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะยอมรับแต่วัตถุนิยมของเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ในอัตราเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ก่อนที่คนเหล่านี้จะด่วนละทิ้งเศรษฐศาสตร์แบบพุทธ ว่าไม่มอะไรดีไปกว่าความฝันลมๆแล้งๆ ควรที่เขาจะได้พิจารณาดูว่าหนทางแห่งการพัฒนาเศรษฐกิจตามแบบเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่นั้น จักนำไปสู้เป้าหมายที่ต้องการจริงๆหรือไม่ ศาสตราจารย์แฮร์ริสัน บราวน์ แห่งสถาบันเทคโนโลยีคาลิฟอร์เนีย ประเมินไว้ในตอนท้ายหนังสือของเขา ดังนี้
“เราจักเห็นว่า โดยพื้นฐาน สังคมอุตสาหกรรมไม่เพียงแต่จะไร้เสถียรภาพ และยังอาจเปลี่ยนกลับเป็นสังคมเกษตรได้เท่านั้น แต่ภายในสังคมอุตสาหกรรมเอง ภาวการณ์ที่ยังผลให้ปัจเจกชนมีเสรีภาพที่ยังไร้เสถียรภาพ ในข้อที่เกี่ยวพันกับความสามารถในการหลีกเลี่ยงภาวการณ์อันจักนำมาซึ่งการจัดองค์การของสังคมที่ไม่คล่องตัว และนำมาซึ่งการควบคุมชนิดเบ็ดเสร็จอีกด้วย แท้ที่จริง เมื่อเราสำรวจดูปัญหายุ่งยากที่พอมองเห็น ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อการอยู่รอดของอารยธรรมอุตสาหกรรมทั้งปวง ออกเป็นการยากลำบากที่จะเห็นว่า กหารมีเสรีภาพกับการธำรงรักษาไว้ซึ่งเสรีภาพส่วนบุคคล จะไปด้วยกันได้อย่างไร”8
8. Harrison Brown, The Challenge of Man’s Future (New York : Viking Press, 1954), p. 255
แม้ว่าความเห็นข้างต้นนี้จักถูกละทิ้งไป ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นความเห็นเกี่ยวกับระยะยาว และดังที่ลอร์ดเคนส์กล่าวไว้ว่า ในระยะยาว เราทุกคนล้วนตายไปแล้วทั้งสิ้น แต่ก็มีปัญหาปัจจุบันทันด่วนว่า การทำให้ประเทศเป็นประเทศสมัยใหม่ (modernization) ดังที่ปฏิบัติกันทุกวันนี้ โดยไม่คำนึงถึงคุณค่าทางศาสนาและคุณค่าทางจิตใจนั้น โดยที่เป็นจริงแล้ว จักก่อให้เกิดผลอันเป็นที่ยอมรับกันได้หรือไม่ เพื่อพิจารณาผลกระทบที่มีต่อชนส่วนใหญ่ ผลที่เกิดขึ้น ดูจะเป็นหายนภัย เช่นความล่มจมของเศรษฐกิจภาคชนบท ปัญหาการว่างงานที่เพิ่มขึ้นทั้งในชนบทและตัวเมือง และการเจริญเติบโตของชนชั้นกรรมาชีพในตัวเมือง โดยที่ไม่สามารถหาความสุขได้ทั้งทางกายและทางใจ
          เมื่อพิจารณาถึงประสบการณ์ในปัจจุบันทันด่วน และอนาคตในระยะยาว เศรษฐศาสตร์ชาวพุทธมีค่าควรแก่การศึกษา แม้กระทั่งสำหรับผู้ที่มีความเชื่อว่า การจำเริญเติบโตทางเศรษฐกิจสำคัญยิ่งกว่าคุณค่าทางจิตใจหรือคุณค่าทางศาสนาใดๆ ทั้งนี้ก็เพราะ นี่มิใช่การเลือกระหว่าง “การจำเริญเติบโตสมัยใหม่” (modern growth) กับ “การชะงักงันสมัยเก่า” (tradition stagnation)หากทว่าเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับการเลือกมรรคแห่งการพัฒนาที่ถูกต้อง อันได้แก่ ทางสายกลาง ระหว่างไม่ระมัดระวังของนักวัตถุนิยม กับความไร้จลนภาพของคนหัวเก่า กล่าวโดยสรุป ก็คือ ปัญหาการแสวงหา “สัมมาอาชีวะ”
          การแสวงหาดังกล่าว เป็นสิ่งที่ทำได้โดยปราศจากข้อสงสัย แต่มใช่เพียงแต่การเลียนแบบวิถีชีวิตของนักวัตถุนิยม ในประเทศที่เรียกกัว่าประเทศที่เจริญแล้ว อย่างไม่ลืมหูลืมตา เหนือสิ่งอื่นใด การแสวงหา จำต้องอาศัยการพัฒนาทางสายกลางทางด้านประยุกตวิทยาอย่างทรงสำนึก และอย่างมีระบบ หรืออีกนัยหนึ่ง จำต้องอาศัยการพัฒนา “ประยุกตวิทยาขั้นกลาง” (intermediate technology) อย่างที่ผู้เขียนเรียก9 อันเป็นประยุกตวิทยา ซึ่งก่อผลผลิตมากกว่า และทรงพลังกว่า ประยุกตวิทยาที่เสื่อมโทรมของตะวันออกสมัยโบราณ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นประยุกตวิทยา ที่ไม่ละเมิดหลักอหิงสา ทั้งถูกกว่าและง่ายกว่าประยุกตวิทยาชนิดประหยัดแรงงานของตะวันตกสมัยใหม่มาก.

9. E. F. Schumacher, “Rural Industries” in India at Mid-passage(London : Overseas Development Institute, 1964) and “Industrialisation through Intermediate Technology” on Minerals and Industries Vol.1 No.4 Culcutta 1964).

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น