หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2562

พุทธทาสภิกขุ - ธรรมะ ในฐานะที่เป็นเอกลักษณ์ไทย

ธรรมะ ในฐานะ
ที่เป็นเอกลักษณ์ไทย.
18 มี.ค. 22



ท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจในธรรม ทั้งหลาย
          การบรรยายปาฐกถาธรรมในวันนี้ อาตมาจะได้กล่าวในหัวข้อว่า “ธรรมะในฐานะที่เป็นเอกลักษณ์ไทย” คงจะมีผู้สงสัยว่า ธรรมะไหนกันที่จะเป็นเอกลักษณ์ไทย? อาตมาตอบว่าธรรมะข้อที่เป็นหัวใจของทุกๆศาสนา ได้แก่ธรรมะที่ว่า ความรักผู้อื่น.

ทุกศาสนาสอนให้รักผู้อื่น.
          ตอนนี้ต้องทำความเข้าใจกันเสียก่อนว่า ทุกศาสนามีหัวใจของการสั่งสอนอยู่ที่ให้รักผู้อื่น.  อย่างใรบางศาสนาก็ว่า “รักเขาเหมือนที่พระจ้ารักเรา” หรือจะพูดอย่างพุทธศาสนาก็ว่า “รักเขายิ่งกว่าตัวเรา” เหมือนพระโพธิสัตว์รักผู้อื่นยิ่งกว่าตัว. รวามความแล้วก็คือ การรักผู้อื่น; เพราะว่าทุกศาสนาต้องการจะกำจัดความเห้นแก่ตัว, จึงได้สอนให้รักผู้อี่น; เมื่อรักผู้อื่นก็กำจัดความเห็นแก่ตัวโดยอัตโนมัติ.
          สำหรับ พุทธบริษัทชาวไทยเรานั้น ได้รับการอบรมสั่งสอนมาตลอดเวลา ว่าให้ให้ทาน ให้รักษาศีลเจริญเมตตาภาวนาอยู่เป็นนิตย์.
          ขอให้สนใจคำว่า “เมตตาภาวนา” ให้เจริญเมตตาภาวนาอยู่เป็นนิตย์, ให้จิตประกอบ ไปด้วยเมตตา รักใคร่ผู้อื่น สัตว์อื่น ถึงกับว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น.
          ให้ทาน ก็สงเคราะห์ผู้อื่นและรักผู้อื่น, รักษาศีล ก็เพื่อไม่กระทบกระทั่งผู้อื่น ก็เพราะรักผู้อื่น; ยิ่งเมื่อมีความรักผู้อื่นอยู่แล้ว มันก็เป็นการปฏิบัติครบทุกหัวข้อ หรือทุกแง่ทุกมุม.  มีความรักผู้อื่นอยู่เป็นนิตย์ จนเป็นนิสัยขอิงคนไทยที่เรียกว่า ดินแดนคนยิ้ม, เป็นเมืองคนยิ้ม, ยิ้มเพราะเมตตารักใคร่ซึ่งกันและกัน; จะเป็นแขกแปลกหน้ามา หรือเป็นคนกันเองบ้านเดียวกัน ยิ้มเสมอ.  ไทยเรารับการอบรมมาอย่างนี้ จึงเกิดมีนิสัยยิ้มเสมอ.
          เราได้รับการศึกษาให้รักผู้อื่น จนเกิดเป็นธรรมเนียมขึ้นมาเองว่า ถ้าใครมีเงินเหลือใช้ก็สร้างวัด; แม้แต่จะสร้างวัดให้เด็กๆเขาวิ่งเล่น มันก็เพื่อรักผู้อื่น.  ถ้ามีเงินเหลือใช้ก็ไปสร้างศาลาเป็นทาน, ให้การพักผ่อนแก่คนเดินทาง. สมัยอาตมาเป็นเด็กยังเคยเห็นศาชาชนิดนี้; บางแห่งมีข้าวสารปลาแห้งมีอะไรไว้ครบถ้วน. นี้เรียกว่าผู้ที่ร่ำรวยแล้วมีเงินเหลือก็สร้างวัด ไม่ได้เอามาสร้างสถานอาบอบนวด หรือกิจกรรมอบายมุขอันใหญ่โตมโหฬารอย่างใดอย่างหนึ่ง.
          นี่แหละคือ นิสัยสันดานแห่งความรักผู้อื่นของคนไทยเรา.  เดี๋ยวนี้เราก็ยอมรับผู้ลี้ภัยสงครามหรือภัยการเมืองเอาไว้เกือบจะเต็มบ้านเต็มเมือง; ทำไปได้ ก็ได้อ่าศัยที่ว่าเรามีนิสัยรักผู้อื่น ผ่อนผันแก่ผู้อื่น เสียสละแก่ผู้อื่น. คนร่ำรวยก็อยู่อย่างเป็นเพื่อนกับคนยากจน ที่เรียกว่าพ่อเลี้ยง.
          มีคำเรียกที่ว่า “พ่อเลี้ยง” ถ้าเป็นความหมายที่ถูกต้องบริสุทธิ์แล้วก็ไม่ใช่นายทุนกระดาษซับ.  นายทุนกระดาษซับ กับ พ่อเลี้ยง นี้จะต้องต่างกันอย่างตรงข้าม; อันหนึ่งเป็นมิตรกับคนจน. อันหนึ่งไม่มีทางที่จะเป็นมิตรกับคนจน เพราะว่าไม่ได้รักผู้อื่น.
          ขอให้สนใจความที่ คนไทยมีความรักผู้อื่น อยู่ในสายเลือด เพราะมีพระพุทธศาสนาอยู่ในสายเลือด, เพราะมีธรรมะอยู่ในพระพุทธศาสนาที่ว่าให้รักผู้อื่น มีการรักผู้อื่นเป็นรากฐานของศีลธรรมทั้งปวง.
          อาตมาขอร้องให้ท่านทั้งหลายได้พิจารณาโดยละเอียดสักหน่อย อย่าเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ คือ คำว่า “รักผู้อื่น” เพียง คำเดียวเท่านั้นแหละพอ. มันพอไปทุกอย่างทุกประการ ในการที่จะแก้ปัญหาอันเกี่ยวกับสันติสุขและสันติภาพของคนเรา : รักผู้อื่นคำเดียวมันก็ทำให้ศีล 5 บริสุทธิ์.
          เมื่อรักผู้อื่นแล้วจะไปฆ่า ไปทำอันตรายเขาได้อย่างไร มันทำไม่ได้ศีลข้อที่ 1 ก็สมบูรณ์.
          เมื่อรักผู้อื่นแล้วจะไปขโมยหลอกลวงยักยอกเขาได้อย่างไร ศีงข้อ 2 ก็สมบูรณ์.
          เมื่อรักผู้อื่นแล้วก็ไปประพฤติผิดในกาม ล่วงละเมิดของรักของใคร่ของผู้อื่นได้อย่างไร มันก็ย่อมเป็นไปไม่ได้. ศีลข้อ 3 ก็สมบูรณ์.
          เมื่อรักผู้อื่นแล้วก็ไปโกหกหลอกลวงเค้าไม่ได้ ศีลข้อ 54 ก็สมบูรณ์.
          เมื่อรักผู้อื่นแล้วก็ไปดื่มไปกินของเมาที่เป็นที่ตั้งแห่งการประทุษร้ายผู้อื่นไม่ได้, ก็เลิกกินของเมา. ศีลข้อ 5 บริสุทธิ์บริบูรณ์เต็มตามที่ปรารถนา.
          เดี๋ยวนี้รับศีล 5 กันเท่าไรๆ; ศีล 5 มันก็ไม่บริบูรณ์ ไม่เกิดขึ้นได้ด้วยซ้ำไป; เพราะมันไม่มีการรักผู้อื่นเป็นต้นทุน.
          ฉะนั้นขอให้นึกถึงคำว่า “รักผู้อื่น” เป็นศีลข้อเดียว, แล้วมันกห็ทำให้ศีล 5 ข้อ 10 ข้อ หรือกี่ร้อยข้อบริบูรณ์ได้ ลองคิดดู:-
1.                 เมื่อรักผู้อื่นแล้วก็จะมีส่วนเกินไว้ช่วยเหลือกันและกัน ไม่ใช้เกินไม่กินเกิน.  นี่เป็นเหตุให้มีส่วนเกินสำหรับจะช่วยเหลือผู้อื่น เดี๋ยวนี้เราเกือบจะไม่มีใครที่นึกถึงผู้อี่น, หรือตระเตรียมส่วนเกินไว้สำหรับช่วยเหลือผู้อื่น.
2.                 เมื่อรักผู้อื่นแล้วก็ ทำคอรัปชั่นไม่ได้.  เรื่องทำการคอรัปชั่นนี้ต้องเป็นการเสียหายแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง.
3.                 รักผู้อื่นแล้วก็ เป็นอันธพาลไม่ได้. อันธพาลเต็มไปทั่วบ้านทั่วเมือง กลางวันแสกๆ ในนครหลวงก็ยังมีอันธพาล, ทารุณโหดร้ายเหลือประมาณอย่างน่าขยะแขยง.  นี่ก็เพราะว่า ไม่มีความรู้สึกรักผู้อื่น ไม่เคยรักเพื่อนมนุษย์เลย.
4.                 เมื่อรักผู้อื่นแล้วมันก็ ซื่อสัตย์ กตัญญูกตเวทีสามัคคีกัน เป็นอย่างยิ่ง . เดี๋ยวนี้ไม่มีความซื่อสัตย์ต่อกันและกันเลย เพราะไม่เคยรักใคร.
5.                 เมื่อรักคนอื่นแล้ว ก็พร้อมที่จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในกิจกรรมอันเป็นประโยชน์อย่างสูงสุดแก่มนุษย์ เช่น กิจกรรมสหกรณ์; ที่เป็นไปไม่ได้ก็เพราะไม่มีใครรักใคร พร้อมที่จะเป็นสหโกงอยู่ตลอดเวลา.
โลกขาดสันติภาพ เพราะไม่มีความรักผู้อื่น.
          ขอให้ดูให้กว้างออกไปจะพบว่า โลกเรานี้ขาดสันติภาพ ทั้งที่เป็นส่วนตัวและส่วนรวม นี่ก็เพราะว่าขาดความรักผู้อื่นเพียงข้อเดียวเท่านั้น.  ถ้ารักผู้อื่นแล้วก็ทำความสันติสุขให้เกิดขึ้น ทั้งที่เป็นส่วนบุคคลและเป็นส่วนรวม.  เดี๋ยวนี้เต็มไปด้วยการทะเลาะวิวาท เป็นวิกฤตการณ์ถาวรในโลก.  องค์การสหประชาชาติก็ไม่ประสบความสำเร็จในอุดมคติขององค์การ, องค์การสหประชาชาติไม่มีเวลาทำให้ใครรักกันได้; เพราะว่าองค์การสหประชาชาติเองติดธุระแต่จะปรองดองเกลี้ยกล่อมการทะเลาะวิวาทให้คืนดีกัน, แล้วก็ทำไปได้อย่างกับจับปูใส่กระด้ง คือไม่มีที่สิ้นสุด; เพราะพื้นฐานของมนุษย์มันขาดความรักผู้อื่น.
          ถ้าแต่ละชาติแต่ละประเทศ มีความรักผู้อื่นตามเจตนารมณ์แห่งศาสนาของตนๆแล้ว; องค์การสหประชาชาติไม่ต้องมีก็ได้ เพราะว่าจะไม่มีใครเบียดเบียนใคร. กิจกรรมอย่างอื่นขององค์กรสหประชาชาติที่ยังเป็นไปไม่ได้ก็เพราะมูลเหตุอันเดียวกัน คือขาดความรักผู้อื่น.  กล่าวคือความรักสากลในหมู่มนุษย์นั่นเอง.

เอกลักษณ์ไทย
หมายถึงเป็นอิสระจากกิเลส
          ทีนี้เรามาพิจารณากันดูถึง เอกลักษณ์ไทย หรือ  ความเป็นไทย กันบ้าง, คำว่า “ไทย” แปลว่า “อิสระ” มีความเป็นอิสระ.  คำว่า “ธรรม” มันก็หมาบถึงความเป็นอิสระ ความถูกต้อง ความดี ความจริง ความยุติธรรม หรือความเป็นธรรม ก็หมายถึงการเป็นอิสระจากกิเลส.
          คำว่า “ไทย” กับคำว่า “ธรรม” มีความหมายหรือใจความสำคัญตรงกันที่ว่าเป็นอิสระ; เพราะฉะนั้น ธรรมะจึงเป็นเอกลักษณ์ของไทย.  ไทยเป็นอิสระจากกิเลส คือความเห็นแก่ตัว; ถ้าใครตกอยู่ใต้ความเห็นแก่ตัวก็ไม่ใฝช่ไทยเพราะไม่เป็นอิสระ.  คำว่าไทยต้องเป็นอิสระ, อิสระจากความเลวความชั่วจากกิเลส จากความเห็นแก่ตัว.  ดังนั้น คนไทยจึงอาจรักผู้อื่น สามารถรักผู้อื่น และได้รักผู้อื่น คือรักซึ่งกันและกันจนกลายเป็นเอกลักษณ์ไทย คือยิ้มเสมอ รวมความว่า “รักผู้อื่น” คือเอกลักษณ์ไทย.
          เราอย่าไปเอาอะไรบางอย่าง ที่ไม่ใช่เอกลักษณ์ของไทยมาเป็นเอกลักษณ์ไทย.  ต้องขอย้ำอีกครั้งว่าบ้านเรือนทรงไทยไม่ใช่เอกลักษณ์ไทย; แต่ร้านหม้อน้ำตั้งให้คนกินหน้าบ้าน ม้าตักบาตรถาวรปักแน่นอยู่ในแผ่นดิน นั่นแหละคือเอกลักษณ์ไทย เพราะเป็นสัญลักษณ์ของการรักผู้อื่น.  เครื่องลายไทย ศิลปไทย เพลงไทย ดนตรีไทย อะไรๆต่างๆก็ไม่ใช่เอกลักษณ์ไทย เพราะมันยังไม่แสดงลักษณะของความรักผู้อื่น, รำไทย เช่น โดขน ไปพิจารณาดูที่โขน หน้าตาอย่างตัวโขน ตัวเอกของโขน เช่น ทศกัณฑ์อย่างนี้ มันจะรักใคร่ได้ และมันจะอยู่ในลักษณะที่ใครจะรักหรือน่ารักสำหรับใคร.  เพราะฉะนั้นเราก็ต้องเพ่งเล็งถึง เอกลักษณ์ไทย คือความเป็นอิสระจากกิเลส ที่เป็นเหตุให้ไม่รักกัน คือ ความเห็นแก่ตัวนั่นแหละมันทำให้ไม่รักกัน; ถ้าไม่เห็นแก่ตัวมันก็รักกัน.
          ดูกันง่ายๆแม้ในที่สุด, แม้แต่ว่าให้ลูกกินนมกระป๋องนี้ไม่ใช่เอกลักษณ์ไทย.  เอกลักษณ์ไทยลูกต้องกินนมแม่อย่างนี้. แม่เห็นแก่อะไรก็ไม่รู้ไม่อยากให้ลูกกินนม; ต้องให้กินนมกระป๋อง.  เด็กๆก็เลยไปรักกระป๋องไม่รักหัวอกแม่.  เด็กอาจจะรักกระป๋องนมหรือขวดดูดนม ไม่เคยรักหัวอกแม่.  แล้วปัญหามันเกิดขึ้นอย่างไรบ้าง? ก็ขอให้คิดดูให้ดี.

เมื่อรักผู้อื่น ต้องไม่มีความเห็นแก่ตัว.
          เกี่ยวกับความรัก นี้ จะต้องมองกันให้ถึงที่สุดอีกอย่างหนึ่งว่า ถ้ารักผู้อื่นก็หมดความเห็นแก่ตัว.  ความรักผู้อื่นถึงที่สุดได้โดยอัตโนมัติเมื่อหมดความเห็นแก่ตัว, หรือเมื่อหมดความเห็นแก่ตัว ความรักผู้อื่นก็จะเกิดขึ้นถึงที่สุดได้โดยอัตโนมัติ.  ความรักผู้อื่นมันขึ้นอยู่กับการทำลายความเห็นแก่ตัว หรือหมดความเห็นแก่ตัวอย่างนี้ หมดตัวนั่นแหละคือรักผู้อื่น.
          พระเมตตาคุณของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นพระเมตตาคุณชนิดที่ไม่มีตัวตน ของบุคคลผู้ไม่มีความรู้สึกว่ามีตัวตน.  เมื่อหมดความยึดมั่นถือตัวถือตน จึงจะรักผู้อื่นถึงที่สุด. พระเมตตาของพระองค์จึงเป็นอย่างอนัตตาคือไม่มีตัวตนสำหรับจะยึดถือ หรือสำหรับจะเห็นแก่ตน เมื่อเรามาพิจารณาดูให้ดีจะเห็นว่า ความเห็นแก่ตัวตนนี้เป็นศัตรูของมนุษย์ นั่นเอง.
          อาตมาอยากจะขอย้ำถึงสัตว์ 3 ชนิด ที่เอ่ยถึงมาแล้วในการบรรยายครั้งก่อนอีกทีหนึ่งว่า สัตว์ 3 ชนิดนั่นชนิดไหนมันมีเอกลักษณ์ไทย?
          สัตว์เศรษฐกิจ สัตว์สังคม สัตว์การเมือง นี่มีเอกลักษณ์ไทยไหม? สัตว์ศีลธรรม สัตว์ศาสนา สัตว์สันติภาพ 3 ตัวนี้มีเอกลักษณ์ไทยไหม? มีอยู่เป็น 2 ชุด ชุดละ 3 ตัว ชุดไหนมีเอกลักษณ์ไทย? ทำไมต้องเรียกว่า สัตว์เศรษฐกิจ? เพราะมันเห็นแก่ประโยชน์ตัวมากเกินไป.  ทำไมเรียกว่า สัตว์สังคม? เพราะมันเห็นแก่ความหรูหราเด่นในสังคมากเกินไป.  ทำไมจึงเรียกว่า “สัตว์การเมือง?” เพราะมันใช้วิธีการเล่ห์เหลี่ยมในการกอบโกยมากเกินไป.  อย่างนี้มันไม่เป็นเอกลักษณ์ไทยได้; เพราะเอกลักษณ์ไทยต้องชนะความเห็นแก่ตัว, ต้องเห็นแก่ผู้อื่น.
          เราจะพูดกันในแง่การเมืองกันบ้างว่า ประชาธิปไตยชนิดที่ถือตัวใครตัวมัน นั่นไม่ใช่เอกลักษณ์ไทย; เอาไปเสียให้พ้น; จะอ้างสิทธิยังไม่ได้ว่าเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน.  ถ้าเป็นของเสมอกันก็ไม่ใช่สำหรับตัวใครตัวมัน; แต่สำหรับจะมาเป็นตัวตนแห่งความรักซึ่งกันและกัน.  การแบ่งพรรคเพื่อเก่งแย่งกันไม่ใช่เอกลักษณ์ไทย.  การแบ่งพรรคอะไร ชนิดไหนที่เพื่อแก่งแย่งกันก็ไม่ใช่เอกลักษณ์ไทย.  การรักผู้อื่น ทำให้รู้จักปรองดองในการดำเนินงานของหมู่คณะนั่นแหละเป็นเอกลักษณ์ไทย.

“รักผู้อื่น” เป็นธรรมสูงสุด
ทำให้ไม่เบียดเบียนกัน.
          โลกกำลังมีการศึกษาผิดพลาด  ที่ทำให้เกิดประชาธิปไตยชนิดตัวใครตัวมัน;  แทนที่จะมีความรักอย่างสากล.  ดูกันในแง่ของธรรมชาติบ้างก็ได้ว่า เรามีสัญชาตญาณแห่งการอยู่กันเป็นหมู่.  ท่านที่ได้ศึกษาชีววิทยาเกี่ยวกับสัญชาตญาณของสัตว์แล้ว ก็ได้รับการอธิบายชี้แจงมาอย่างชัดแจ้งแล้วว่า สัตว์นี้มีสัญชาตญาณแห่งการอยู่กันเป็นหมู่;  ไม่ยกเว้นแม้แต่สัตว์มนุษย์.  สัตว์ก็ยังมีความจำเป็นที่ต้องอยู่กันเป็นหมู่ จนติดเป็นนิสัย.  นี้เป็นสัญชาตญาณ. เพราะฉะนั้น เราจะต้องมีความรักกันในระหว่างหมู่. เรามีหน้าที่จะต้องอยู่ร่วมกันโดยสันติ; เพราะว่าเรามีสัญชาตญาณแห่งการอยู่เป็นหมู่.  ดังนั้น เราจึงมีหน้าที่ที่จะต้องอยู่ร่วมกันโดยสันติ.  นี่ในแง่ของธรรมชาติที่บังคับไว้อย่างเฉียบขาดว่า เราต้องรักผู้อื่น ให้ถือว่าความ รักผู้อื่น เป็นธรรมะสูงสุด สำหรับมนุษย์ยิ่งกว่าคำว่า ไม่เบียดเบียนกัน เสียอีก.
          เราเคยได้ยินแค่คำว่า “อหิงสา” ความไม่เบียดเบียนนี้ เป็นธรรมะสูงสุดสำหรับมนุษย์.  แต่อาตมาบอกว่า สู้ความรักผู้อื่นไม่ได้. ความรักผู้อื่นเป็นธรรมะสูงสุดสำหรับมนุษย์, สูงยิ่งไปกดว่าอหิงสาเสียอีก; เพราะคำว่าอหิงสา ซึ่งแปลว่าไม่เบียดเบียนนั้น มันก็ไม่แน่ว่าจะช่วยผู้อื่นหรือไม่? เพียงแต่ไม่เบียดเบียนก็แล้วกัน. แต่ถ้าพูดว่ารักผู้อื่นแล้ว มันก็ต้องช่วยผู้อื่น ฉะนั้นรักผู้อื่นจึงดีกว่าเพียงแต่ว่าไม่เบียดเบียน.  ขอให้มองให้เห็นแจ้งและยอมรับว่า ธรรมสูงสุดสำหรับมนุษย์นั้นคือความรักผู้อื่น, มาฝึกฝนบทเรียนรักผู้อื่นกันเดี๋ยวนี้เถิด; ตามหลักของพระพุทธศาสนามีอยู่เป็นแบบฉบับเป็นหลักสูตรทีเดียวเรียกว่าเมตตาอัปปมัญญา.
          ท่านทั้งหลายลองมาสำรวมจิตใจสงบเงียบ เพ่งไปในทิศ เบื้องหน้า ว่าไม่มีสัตวืผู้ใดเป็นเวรเป็นภัยกับเรามีแต่ความเป็นมิตร; เราก็รักเขาด้วยจิตด้วยใจ.
          แล้วก็ส่งจิตเพ่งไปทาง เบื้องหลัง. ทิศเบื้องหลังไม่มีสัตว์ใดผู้ใดเป็นเวรเป็นภัยกับเรา, มีแต่ผู้ที่เรารักอย่างสุดชีวิตจิตใจ.
          แล้วก็ส่งจิตเพ่งไป เบื้องซ้าย ทางทิศเหนือ ก็ไม่มีสัตว์ใดผู้ใดเป็นเวรเป็นภัย มีแต่ผู้ที่เรารักกันอย่างสุดชีวิตจิตใจ.
          แล้วก็ส่งจิตแผ่ไปทางทิศใต้ทาง เบื้องขวา ก็ไม่มีสัตว์ใดผู้ใดเป็นเวรเป็นภัย มีแต่ผู้ที่รักใคร่กันอย่างสุดชีวิตจิตใจ.
          แล้วก็ส่งจิตไป เบื้องบน ก็ไม่มีสัตว์ผู้ใดเป็นเวรเป็นภัยแก่เรา มีแต่ผู้ที่เรารักอย่างสุดชีวิตจิตใจ.
          แล้วก็เพ่งลงไปใน เบื้องต่ำ ก็ไม่มีเวรภัยกับใคร มีแต่ผู้ที่เรารักอย่างเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น.
          ทิศไหนที่มีใครเป้นผู้ระแวงระหองระแหงเกลียดชังอะไรกันอยู่; ก็เพ่งจิตส่งไปในทางทิศนั้นให้มากๆ เป็นพิเศษกว่าทิศอื่น.  นี่แหละเรียกว่าบทเรียนสำหรับฝึกในการรักผู้อื่น. เรามาฝึกกันดูเดี๋ยวนี้ก็จะได้ชื่อว่ามีเอกลักษณ์ไทยถึงที่สุด : นั่งแผ่เมตตาไปรอบด้านด้วยความรักผู้อื่นไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ. นี่แหละเอกลักษณ์ไทย คือความรักผู้อื่น.  ธรรมะในฐานะเป็นเอกลักษณ์ไทย คือธรรมะข้อที่ว่า “ความรักผู้อื่น” ซึ่งเป็นหัวใจของศาสนาทุกศาสนา ดังที่กล่าวมาแล้ว.

“รักผู้อื่น” เป็นหน้าที่ตามกฏธรรมชาติ.
          คำว่า “รักผู้อื่น” นี้ เป็นธรรมะในความหมายที่ 3 ของธรรมะ 4 ความหมายที่พูดกันมาเรื่อยๆ : ธรรมะที่ 1 คือ ตัวธรรมชาติ. ธรรมะที่ 2 คือ กฏของธรรมชาติ, ธรรมะที่ 3 คือ หน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ, ธรรมะที่ 4 คือ ผลที่ได้รับจากการปฏิบัติหน้าที่ตามกฏของธรรมชาติ.
          ความรักผู้อื่น นี้คือธรรมะในความหมายที่ 3 คือหน้าที่ที่มนุษย์หรือสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายจะต้องประพฤติให้ถูกตามกฏของธรรมชาติ.  การรักผู้อื่นคือทำให้ตรงตามกฏของธรรมชาติที่มีไว้สำหรับมนุษย์โดยเฉียบขาด.  ทุกคนก็ต้องการสันติภาพ; ไม่ว่าใครก็ต้องการสันติภาพ; แม้แต่คอมมิวนิสต์เขาก็ตะโกนว่า ต้องการสันติภาพ, จะจัดโลกให้มีสันติภาพ, ใครก็ต้องการสันติภาพทั้งส่วนตัวและส่วนผู้อื่น.
          เราจะมาจัดโลกให้มีสันติภาพกันอย่างไร? ตามวิธีของพุทธบริษัทก็คือ ปลูกฝังความรักผู้อื่นให้อยู่กันได้ แม้จะมีความแตกแยก แม้จะ เหลื่อมล้ำต่ำสูงกันอย่างไรก็ต้องให้อยู่กันได้.  รักผู้อื่นหมายความว่า จะรักกันและกันจนกลายเป็นคนคนเดียวกันไป.  แม้จะสูงต่ำกันอย่างไรก็อยู่ด้วยกันได้.  ตะไคร่น้ำเขียวๆ ตามโคนต้นไม้ก็อยู่กันได้กับต้นไม้ยักษ์สูงเทียมเมฆ.  ท่านลองคิดดูว่าต้นไม้ยักษ์สูงเทียมเมฆก็อยู๔ร่วมกันได้แบบสหกรณ์กับตะไคร่น้ำเขียวๆ ตามเปลือกของมัน ตามโคน ตามราก. นี่คือความรักที่ถูกต้องตามความหมายของคำว่า “ความรัก” ซึ่งเป็นตัวเหตุปัจจัยสำหรับจะอยู่ด้วยกันและกันได้, รักกันจนกลายเป็นคนเดียวกัน.
          เราไม่มีเวลาทะเลาะกันอีกแล้ว เราต้องมารักกันเดี๋ยวนี้ เพื่อความเป็นมนุษย์จะได้มีสมบูรณ์.  เราจงเกิดมาให้เป็นมนุษย์และได้พบกับพระพุทธศาสนากันเถิด จงเกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนากันเถิด.  อย่าเกิดมาเป็นเพียงคนที่ไม่รู้จักรักผู้อื่น.  เอกลักษณ์ไทยคือการรักผู้อื่น เพราะเป็นไทยเป็นอิสระจากกิเลส ที่เป็นเหตุให้เห็นแก่ตัว; ถ้ายังเป็นทาสเพราะความเห็นแก่ตัวแล้วก็เป็นไทยไปไม่ได้.

เป็นไทยต้องกำจัดความเห็นแก่ตัว.
          ขอท่านที่รักความเป็นไทย อยากหจะเรียกตัวเองว่าเป็นไทย จงทำตนให้เป็นไทยด้วยการ กำจัดความเห็นแก่ตัว แล้วก็มารักผู้อื่น  ในฐานะที่เป็นเอกลักษณ์ของไทย.  ถ้าเรามัวเกลียดชังกัน มันก็หมดเอกลักษณ์ของความเป็นไทย.  ธรรมะในฐานะเอกลักษณ์ของไทยก็คือ ความรักผู้อื่น ซึ่งเป็นหัวใจของศาสนาทุกๆศาสนา ดังที่กล่าวมานั่นเอง.
          สรุปความอย่างสั้นที่สุดว่า จงเกิดมาเป็นมนุษย์ที่ได้พบคำสั่งสอนของศาสนาทุกศาสนา คือ “รักผู้อื่น”.  อย่าเกิดมาเป็นเพียงคน ที่มีแต่ความเห็นแก่ตน จนไม่รู้จักการรักผู้อื่น.  จะถือเอาสิ่งใดเป็นเอกลักษณ์ไทยจงเพ่งเล็ง จุดเดี๋ยวนี้ เถิดว่า เอกลักษณ์ไทยย่อมแสดงถึงลักษณะแห่งความรักผู้อื่น ถ้าปราศจากวี่แววนิมิตของความรักผู้อื่นแล้วไม่มีความเป็นเอกลักษณ์ไทย; เพราะมันเป็นขี้ข้า มันเป็นทาสของความเห็นแก่ตัว.
          ขอให้พุทธบริษัทชาวไทยทั้งหลายจงมีเอกลักษณ์ไทย. เพื่อความเป็นไทยของตน สมแก่ความเป็นพุทธบริษัทไทยทุกๆคน.
เวลาสำหรับบรรยายหมดลงแล้ว.  อาตมาขอยุติการบรรยายไว้เพียงเท่านี้.

**********




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น