หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต - ฝากให้คิดในการร่างแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๙

 

...ความจริงหมดเวลาการจิ้มคอมพ์ในตอนเช้าไปแล้ว/และเก็บเครื่องแล้วด้วย...เผอิญเข้าห้องน้ำดันเผลอไปหยิบหนังสือเล่มนีั้เข้าไปอ่าน...ปกติผมต้องอ่านหนังสือตอนเข้าห้องน้ำปถ่าย-พร้อมกับบุหรี่อีกหนึ่งมวน...
..พออ่านเปิดไปเจอบทความคิดของท่านอันนี้ - ก้เลยอดใจไม่ไปเปิดคอมพ์ออกมาจิ้มใแล้วเอามาแปะให้อ่านกันไม่ได้...อย่างที่ท่านผู้ดขียนว่า "เพียงอยากฝากให้คิดกันบ้างเท่านั้นเอง...
...เป็นหนังสือชื่อ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับ ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทย" เขียนโดยท่าน ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิืต..งด้านเศรษฐศาสตร์...ซื้อมานานแล้ว-แจกผู้อื่นที่วสนใจไปแล้วมั่ง-เจออีกก็ซื้ออีก...ปกหลังเขียนราคาไว้ 170.-บาท แต่เค้าเอามากองขายเล่มละ 20-30.-บาท...ที่ห้างฯซึ่งช่วงโควิดนี้-ยังไม่มากันอีกเลย...
...ผมอ่านจบไปเที่ยงหนึ่งแล้ว - ที่เหลือก็เปิดเลือกอ่านบทนั้นบทนี้ไปเรื่อยๆ...บังเอิญเปิดไปเจอบทนี้ - อ่านแล้วสะดุ้ง...เป็นหน้า 80-85...ของบทที่ ๔ ฝากให้คิด ในการร่างแผนพัฒนา ฉบับที่ ๙...

...ท่าน ดร.วิชิตวงศ์ฯเคยเป็นอนุกรรมการร่างแผนพัฒนาแห่งชาติ ฉบับที่ ๑ ด้วยนะ...ขอตัดตอนมาเพียงความคิดเห็นข้อแรกของท่านฯ..ดังต่อไปนี้

จากหน้า 80-85 ของหนังสือ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับ ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทย" โดยท่าน ดร.วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร ราชบัณฑิต...

"...เพียงอยากฝากให้คิดกันบ้างเท่านั้นเอง

         ผมทราบว่าในขณะนี้หน่วยงานที่รับผิดชอบในการจัดทำแผนพัฒนาฯ คงกำลังวางกรอบสำหรับแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๙ (๒๕๔๕-๒๕๔๙) ซึ่งน่าจะเป็นแผนพัฒนาฯ ฉบับที่มีความสำตัญเป็นพิเศษภายหลังวิกฤติทางเศรษฐกิจและการเงิน ซึ่งบังคับให้ต้องมีการทบทวนกรอบความคิดและยุทธศาสตร์ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยใหม่เกือบทั้งหมด.

         เมื่อจะต้องมีการทบทวนกรอบความคิดฯ กันเช่นนี้แล้ว ผมจึงใคร่จะมาฝากบางเรื่องไว้ให้บรรดาผู้ที่รับผิดชอบในการจัดทำแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๙ เอาไปคิดกันดู ซึ่งจะคิดกันเล่นๆ หรือจะคิดกันจริงๆ ก็สุดแล้วแต่ เพราะข้อคิดเห็นของคนที่เคยมีหน้าที่ความรับผิดชอบอย่างเดียวกันเมื่อครึ่งศตวรรษมาแล้วอาจจะไม่สนใจเลยก็เป็นได้.

 

ข้อคิดประการแรก

         เกี่ยวกับกรอบความคิดทางเศรษฐกิจของพวกเราในปัจจุบัน ผมมีข้อสังเกตหลายหัวข้อ ดังนี้

๑. ในการกำหนดวัตถุประสงค์แห่งนโยบายเศรษบกิจก็ดี, การวางนโยบายเศรษฐกิจก็ดี, และการเลือกใช้มาตรการและเครื่องมือในการบริหารนโยบายเศรษฐกิจก็ดี, เราไม่ค่อยจะให้ความเอาใจใส่ต่อ “ความปรารถนาของชาติ” ซึ่งควรจะเป็น “โจทย์”สำหรับเรื่องเหล่านี้. “ความปรถนาของชาติ” จำเป็นต้องอาศัยจิตสำนึกทางประวัติศาสตร์จึงจะเข้าใจ, จะมากำหนดเอาง่ายๆบนพื้นฐานของผลประโยชน์ของบุคคลบางกลุ่มที่มีอำนาจและอิทธิพลในสังคมไทยในปัจจุบันคงจะไม่ได้.

๒. “ความมั่งคั่ง” คงไม่ใช่ “ความปรารถนาของชาติ” ซี่งพวกเรามักจะมีความเข้าใจผิดกันมา จนกระทั่งเศรษฐกิจและสังคมได้รับความเสียหายกันไปหมด. อย่าได้เชื่อว่า “ภาพรวมของประเทศมีความมั่งคั่ง ราษฎรส่วนใหญ่จะพลอยมั่งคั่งไปด้วย. สิ่งที่ประเทศไทยต้องการก็เพียงแต่ให้ “อยู่ดีกินดี” ตามควรแก่อัตภาพโดยถ้วนหน้าเท่านั้น ซึ่งเราก็มี “ศักยภาพทางเศรษฐกิจ” เพียงพอที่จะทำได้ ถ้ามีกรอบความคิดที่สอดคล้องกับ “ความปรารถนาของชาติ” และรู้จัก “ศักยภาพ” ที่มีอยู่อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ.

๓. ในการพิจารณาเศรษฐกิจแห่งประเทศไทย อย่าได้นำเอา”ปริมาณ” มาเป็นสรณะ. การเน้นในเรื่องของ “ปริมาณ” จนเกินไป จะทำให้ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับสถานการณ์และสถานภาพของเศรษฐกิจไทยคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง และทำให้เกิด “ภาพลวงตา” ซึ่งจะนำไปสู่ความผิดพลาดในนโยบายและมาตรการเศรษฐกิจ. โปรดเข้าใจว่า “ปริมาณ” เป็นเพียงปัจจัยเสริม หาใช่อะไรที่จะมาทดแทนการวิเคราะห์ที่รอบคอบด้วยสติปัญญาและประสบการณ์ไม่.

๔. การเน้น”ภาพรวม”จนเกินไป ก็จะสร้าง “ภาพลวงตา” ขึ้นมาเช่นเดียวกัน. เศรษฐกิจไทยมีความแตกต่างมากในสาขาต่างๆ ซึ่งจำเป็นจะต้องพิจารณาและวิเคราะห์เป็นสาขาๆไป, จะเอาตัวเลขมาเฉลี่ยเป็น “ภาพรวม” ไม่ได้.

๕. จะต้องแยกออกจากกันให้ชัดเจนระหว่างสินค้าที่ “ไทยผลิต” และสินค้าที่”ผลิตในประเทศไทย” มิฉะนั้นจะเกิด “ภาพลวงตา” และนำไปสู่นโยบายและมาตรการที่ผิดพลาด เราจะไปทึกทักเอาว่าสินค้าต่างไ ที่มีการผลิตในประเทศไทย หรือส่งออกจากประเทศไทยเป้น “สินค้าไทย”ไปหมด.

๖. ถึงแม้ว่าเราจะไม่รังเกียจการลงทุนจากต่างประเทศ, การเปิดเสรีในการลงทุนและการเงินข้ามชาติ, หรือแม้กระทั่งการจำหน่ายจ่ายโอนกิจการต่างๆ ให้แก่ต่างชาติ, แต่สิ่งต่างๆ เหล่านั้นก็ไม่พึงจะถือว่าเป็น “ยุทธศาสตร์” ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย. จะต้องสำนึกว่าไทยเราไม่ประสงค์ที่จะแลกความเจริญทางเศรษฐกิจด้วยการยอมเป็น “อาณานิคม” ของต่างชาติ. ดังนั้น นโยบายและมาตรการประเทศนี้จึงต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบเป็นพิเศษ.

๗. เช่นเดียวกัน การกู้เงินจากต่างประเทศก็อาจจะนำให้ไทยกลายเป็น “อาณานิคม” ของประเทศเจ้าหนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการกู้โดยภาครัฐหรือภาคเอกชน. และไม่ว่าจะกู้มาจากแหล่งใดและโดยวัตถุประสงค์ใดก็ตาม. ดังนั้น จงอย่าได้เอาการกู้เงินจากภายนอกมาเป็นส่วนหนึ่งของ “ยุทธศาสตร์” การพัฒนาเศรษฐกิจของไทย.

๘. จุดอ่อนของประเทศไทยอยู่ที่พึ่งตนเองทางเทคโนโลยีไม่ได้ ดังนั้น จึงไม่อยู่ในฐานะที่จะไปแข่งขันในตลาดโลก. อย่าได้ไปสับสนว่าสินค้าส่งออกที่ผลิตในประเทศไทย ประเภทรถยนต์, คอมพิวเตอร์ ฯลฯ เป็นสินค้าของไทยเรา.

๙. แม้นว่า “สถาบันทางการเงิน” จะเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย แต่ก็มีฐานะเป็นเพียงปัจจัยเสริมเท่านั้น จะต้องให้ความเอาใจใส่เบื้องแรกไปที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ และหากมีปัญหาตรงนั้นก็ต้องมุ่งแก้ไขกันตรงนั้น อย่าไปคิดว่าหากประคับประคอง “สถาบันการเงิน” ให้มีกำไรแล้ว สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศจะดีขึ้นเองโดยอัตโนมัติ.

๑๐. อย่าไปเชื่อมั่นว่าระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเท่านั้นที่จะสามารถแก้ไขปัญหาความยากไร้ในพื้นที่ชนบทได้. รัฐบาลได้ทุ่มเททรัพยากรมหาศาลลงไปส่งเสริมและแก้ไขปัญหาในพื้นที่ชนบทต่อเนื่องมาหลายสิบปี โดยยังแก้ปัญหาไม่ได้ ความล้มเหลวเกิดจากความอ่อนแอในทุกๆด้านของราษฎรในพื้นที่. ดังนั้น สิ่งที่น่าพิจารณาก็คือการใช้ระบบเศรษฐกิจสหกรณ์สังคมนิยมในพื้นที่ชนบท ให้ราษฎรร่วมกันผลิต, ร่วมกันจำหน่ายสินค้าในทุกระดับและทุกขั้นตอน, ตลอดจนร่วมกันดูแลชีวิตและสังคมในพื้นที่ด้วย..."

 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น