หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2565

คุรุเทพ - ถามคุรุเทพในเรื่องใดๆของ "จิต และ จิตสำนึก"

 

ถามคุรุเทพในเรื่องใดๆของ จิต และ จิตสำนึก

Ask Gurudev Anything On "Mind & Consciousness" | Live With Gurudev Sri Sri Ravi Shankar

: ถามคุรุเทพในเรื่องใดๆของ จิต และ จิตสำนึกและท่านจะตอบคำถามนั้นทันที และไม่มีการอ่านบท

 

พิธีกร: คำถามแรกที่เราได้รับนี้มาจาก บิลล์ เฮอร์แมน(Bill Herman). เขาถามมาว่า, “อะไรคือความแตกต่างระหว่าง จิต และ จิตสำนึก1(the mind and consciousness)? จิตอยู่ที่ไหน และ จิตสำนึกอยู่ที่ไหน(where is the mind and where is consciousness)?”

         1https://mcpswis.mcp.ac.th/html_edu/cgi-bin/main_php/print_informed.php?id_count_inform=20872

คุรุเทพ: เอาละ, จิตเป็นแค่คลื่นของจิตสำนึก(mind is just the wave of the consciousness), ที่เป็นมหาสมุทรใหญ่ยิ่ง(the very ocean). ใช่มั๊ย? จิตคือหน้าที่พิเศษเฉพาะของจิตสำนึก(a particular function of consciousness).

         คุณรู้มั๊ย, เมื่อเรารับรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้งหลาย(we perceive through senses), เราพูดว่า นี่คือจิตที่เป็นตัวรับรู้(this is the mind that perceives)’. ฉันกำลังมองดูคุณ. ดังนั้น, ที่ว่าได้เห็นผ่านดวงตานั้น, ที่ว่าได้ยินผ่านหูนั้น, ที่ว่าได้กลิ่นหอมหรือเหม็นนั้น, ที่ว่าได้ลิ้มรสนั้น, รู้ไหม, นั้นคือรูปลักษณ์แห่งจิตสำนึกของเรา(that aspect of our consciousness), ซึ่งผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า(the five senses2- ทางพุทธเรามี 6 เรียก”อายตนะ”/เพิ่ม ใจ เข้าไปอีก 1)กลิ่น(smell), รส(taste), สัมผัส(touch), เห็น(sight), และได้ยิน(hear). นี่คือที่เราเรียกว่าจิต(we call mind).

         2https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%AA

พิธีกร: โจนาธาน ได้กำลังถามมาว่า, “การรู้สึกตัว(being conscious)และการมีจิตสำนึก(having consciousness) เป็นสิ่งเดียวกันหรือไม่?”

คุรุเทพ: มันก็แค่การเล่นคำ(playing on words). นี้คือสองสิ่งที่แตกต่างกัน(two different things).

         การรู้สึกตัว(being conscious), เราพิจารณาว่ามาจากการตื่นตัว(we attribute to being alert). ไม่ได้เป็นการตระหนักถึงลานของการรับรู้(being not obvious to perceptual field3),

         3https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%B6%E0%B8%81

ใช่ไหม, สนามแห่งการรับรู้(perceptual arena).

         แต่จิตสำนึก(consciousness)เป็นอะไรที่...ที่อยู่ที่นั้น, ที่ไม่มีวันสามารถถูกทำลายได้(which can never be destroyed), ที่ไม่มีวันสามารถถูกเปลี่ยนแปลง(which can never be changed). มันคือสิ่งประเสริฐที่สุด ของ การรังสรรค์(it’s the summum bonum4 of creation).

         4 https://hmong.in.th/wiki/Summum_bonum

พิธีกร: รีมา ถามมาว่า, “คุรุเทพ, เราสามารถได้รับประสบรับรู้จิตของเราเป็นเช่นความคิดและอารมณ์ทั้งหลาย(we can experience our mind as thoughts and feelings). เราจะได้รับประสบการณ์รับรู้จิตสำนึกเป็นอย่างไร?”

คุรุเทพ:  ผู้ที่ได้ประสบการณ์รับรู้นั่นเองคือจิตสำนึก(the experiencer is the consciousness). ใครคือผู้ที่กำลังได้รับประสบการณ์รับรู้อยู่หรือ(who is experiencing)?

         นั่นคือ จิตสำนึก(that’s consciousness).

         คลื่นทั้งหลายอยู่ที่นั่น(waves are there). คลื่นทั้งหลายนั้นไม่สามารถมีอยู่ที่นั่นได้โดยปราศจากมหาสมุทร.

         มหาสมุทรนั้นคือจิตสำนึก(the ocean is consciousness)และคลื่นทั้งหลายนั้นคือความสามารถของการรับรู้(perceptual ability), ความสามารถของการคิด(thinking ability)และทั้งหมดของบรรดาความสามารถหลากหลายทางกายและจิตใจทั้งหลายที่เราได้ประสบการณ์รับรู้ในชีวิต(and all those various faculties we experience in life).

         เหล่านั้นทั้งหมดเป็นแค่ฝอยตะเข็บริบขอบ(just the fringe).

         จิตสำนึกเป็นรากฐานจุดเริ่มต้นอย่างยิ่ง(consciousness is the very basis).

         คุณไม่สามารถออกจากจิตสำนึก(cannot get out of the consciousness)เหมือนกับที่คุณไม่สามารถออกไปจากที่ว่างได้(like you can’t get out of the space). คุณสามารถออกไปจากที่ว่างได้ไหม?

         เป็นไปไม่ได้(impossible).

         แม้กระทั่งว่าคุณจะต้องการ, คุณก็ไม่สามารถออกไปจากที่ว่าง(the space)ได้.

         เช่นเดียวกัน, คุณอยู่ในมหาสมุทรแห่งจิตสำนึก(you are in an ocean of the consciousness).

         ที่จริงแล้ว, สิ่งดำรงอยู่ทั้งปวง(the entire existence)นั้นเต็มไปด้วย จิตสำนึก(is full of consciousness), เป็นของ จิตสำนึก(is of consciousness).

         ดังนั้น, คุณไม่สามารถออกไปจากมันได้.

         แล้วคุณได้รับประสบการณ์รับรู้มันได้อย่างไร(how do you experience it)?

         เมื่อประสบการณ์รับรู้อื่นทั้งหมดได้สงบอ่อนลง(subdues), แล้วอะไรที่เหลืออยู่ก็คือจิตสำนึกบริสุทธิ์(what remains is the pure consciousness), ที่คุณเรียกว่า ซาโตริ(Satori4

         4 https://en.wikipedia.org/wiki/Satori

การบรรลุธรรมของพุทธนิกายเซ็นของญี่ปุ่น-ผู้แปล), นิพพาน(Nirvana), ความว่างเปล่า(emptiness), โมกษะ(Moksha5- วิโมค/วิมุตติ-ผู้แปล).

         5 https://en.wikipedia.org/wiki/Moksha

         ชื่อที่แตกต่างกันไปทั้งหมดนี้ได้ถือว่าหมายถึงมัน(all the different names are attributed to it), ที่ซึ่งคุณรู้สึกว่าเป็นอยู่(where you feel you are), กระนั้นคุณก็ไม่(yet you’re not).

พิธีกร: นามรตะ ถามมาว่า, “เมื่อผมรู้ว่าผมไม่ใช่จิตนี้(when I know I’m not this mind), ทำไมผมยังคงถูกปกครองโดยมัน(why am I still ruled by it)?

คุรุเทพ:  นี่เป็นก้าวแรกไปสู่การเป็นอิสระจากจับยึดของจิต(the first step towards being free from the grip of mind).

         อย่างแรก(first), คุณควร “โอ้, ฉันไม่ใช่เป็นสิ่งนี้.”

และแล้วก็ตระหนักรู้ว่ามันกำลังจับยึดคุณอยู่(realizing it is gripping you).

และขั้นที่สาม(the third stage)คือการเป็นพยานต่อมัน(is being a witness to it).

ไม่ว่าการพยายามที่จะออกไปจากมันหรือพยายามที่จะยอมตามในมัน(try to indulge in it), รู้ไหม, รับเอาสิ่งทั้งหลายดังที่พวกเขาเป็น(taking things as they are)ช่วยให้คุณที่จะเป็นพยานนั้น(helps you to be a witness).

ใช่มั๊ย? นั่นคืออีกก้าวขั้นต่อไป.

แล้ว, คุณก็พบว่า, รู้มั๊ย, สิ่งทั้งหลายกำลังบังเกิดขึ้น(things are happening), เหมือนกับว่าจิตของคุณคืออะไร, เหมือนหลายมากมายครั้ง(loke many times), คุณนั่งลงและคุณพูดว่า, “อ้า, ความคิดทั้งหลายเหล่านี้กำลังเข้ามาในจิตของฉัน(all these thoughts are coming in my mind).” เหมือนความคิด(thoughts), จินตนาการ(imaginations), พวกเขาทั้งหมดต่างบินฉวัดเฉวียนอยู่รอบๆ(they all hover around).

ความคิดเห็นทั้งหลายมาแล้วก็ไป(ideas come and go), แต่คุณรู้ว่า, คุณไม่ใช่สิ่งนั้น(but you know, you’re not that). ถูกไหม?

ดังนั้น, นี้คือขั้นตอนในชีวิต(this is a stage in life)เมื่อคุณกำลังผลิบานไปสู่ตัวตนที่สูงขึ้นของคุณ(when you’re blooming towards your higher self), แล้วสิ่งเหล่านี้คือสถานีทั้งหลายที่คุณได้ผ่านไป(then these are stations that you pass through).

พิธีกร: สุมาภา(Sumapa)จากมหาวิทยาลัยเดลฮี(Delhi University)ได้ถามมาว่า, “พูดกันว่าการอยู่เป็นโสด(ละเว้นการร่วมเพศ)สามารถช่วยขยายจิตสำนึกของเราได้ (celibacy can help expand our consciousness). นี้เป็นจริงหรือไม่, คุรุเทพ?”

คุรุเทพ:  -ภาวะความเป็นโสด(ละเว้นการร่วมเพศ)นั้นบังเกิดขึ้น(celibacy happens). มันมากไปกว่าการฝึกฝนปฏิบัติ(more than a practice). มันคือการบังเกิดขึ้น(it is happening), เมื่อจิตสำนึกของคุณถูกเติมเต็มไปด้วยสุคติ(when your consciousness is filled with bliss).

         นี่นะ, เมื่อมีความรักและสุคติ(ความเป็นสุข)มากเหลือเกินในคุณ(when there so much love and bliss in you), แล้วก็จะไม่มีอาการรุ่มร้อน(feverishness)และความอยากในอะไรบางอย่าง(and wanting something).

         การเป็นโสด(ละเว้นการร่วมเพศ)เป็นสภาวะของความสมหวัง(celibacy is a state of fulfilment)และมันก้เต็มไปด้วยพลังงาน(full of energy), ในทางตรงกันข้ามประสาทสัมผัสของความพึงพอใจ(whereas sense of pleasure)ในสิ่งซึ่งคุณ...มันเป็น...ที่ซึ่งคุณใช้จ่ายพลังงานไป(where you spend energy), เมื่อคุณต้องการจะได้อยู่ที่ศูนย์กลาง(want to be centred), คุณจำเป็นต้องการพลังงานมากยิ่งขึ้น(need more energy), ใช่มั้ย, จิตสำนึกมากยิ่งขึ้น(more consciousness), เพ่งรวม/จิตตะมากยิ่งขึ้น(more focus).

         คุณสามารถมองเห็นในชีวิตคุณเองได้(you can see in your life), วันที่ที่คุณได้พักผ่อน/สงบนิ่งอย่างยิ่ง(the day you’ve had a great rest), พักผ่อน/สงบนิ่งอย่างดี(good rest)และเต็มไปด้วยพลังงาน(full of energy), แล้วจิตของคุณก็จะแหลมคมมาก(then your mind is very sharp).

         และเมื่อวันไหนที่คุณเหนื่อย(the day you’re tired)หรือคุณได้รับประสบการณ์รับรู้...หลากหลายสิ่งกระตุ้นทั้งหลายอื่นๆ(you’ve experienced…various other stimuli), แล้วทั้งหมดที่คุณต้องการจะทำก็คือแค่นอนหลับ(just fall asleep). ถูกมั้ย?

         ดังนั้นถ้ากามารมณ์กำลังนำคุณไปสู่การหลับลึกยิ่งขึ้น(sex is taking you towards deeper sleep), แล้วรู้ว่าร่างกายวของคุณกำลังฟื้นคืน/กำลังเหมือนเดิม(that your body is recuperating).

เมื่อร่างกายของคุณได้ฟื้นคืนเหมือนเดิม(your body has recuperated), แล้วคุณก็รู้ว่ามันมีพลังงานอยู่มากมาย(it has a lot of energy). มันก็พร้อมสำหรับการกระทำ(it is ready for action). นั่นเป็นเวลาที่คุณเช่นกันสามารถที่จะไปอีกเล็กน้อยเข้าไปในอาณาจักรลับทั้งหลายนั้น(go a little deep into the secret realms), อาณาจักรลี้ลับของการเป็นสิ่งมีชีวิตของคุณ(the mystic of your being).

พิธีกร: แมรีและนักศึกษาวิทยาลัยอื่นอีกมากได้ถามคำถามนี้มา, “ฉันจะหยุดจิตของฉันได้อย่างไรการผัดวันประกันพรุ่งอยู่เรื่อยๆ(constantly procrastinating)และหันมามีจิตตะ/เพ่งความสนใจ(focus)?”

คุรุเทพ:  เอ้อ, ฉันไม่อยากจะให้เทคนิคอื่นอีกกับคุณ(another technique)และเพิ่มภาระคุณกับสิ่งนั้น(burden you with that). ถ้าว่าคุณไม่...ถ้าคุณไม่ทำเทคนิคนั้น(if you don’t do the technique)และคุณผัดวันประกันพรุ่งกับเทคนิคนั้นด้วยเช่นกันล่ะ(procrastinate the technique also), ไม่เป็นไร.

         คุณต้องการจะผัดวันประกันพรุ่ง(want to procrastinate), โอเค, ทำต่อไปเลย(go ahead). นานเท่าไหร่หรือที่คุณสามารถทำมัน? ในบางจุดหนึ่ง, คุณจะตื่นขึ้นมา, และพูดว่า, “โอ้, ไม่อีกแล้ว(oh, no more).” ก่อนที่จะถึงตอนนั้น, ผัดผ่อนเลื่อนทุกสิ่งให้มากเท่าที่ที่คุณสามารถทำได้(till then, postpone everything as much as you can).

         คุณจะเห็นว่า...แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ, “ถ้าคุณเป็นกังวล(if you’re upset), ถ้าคุณโกรธ(if you’re angry), คุณจะต้องการที่จะผัดผ่อน(postpone), คุณไม่ต้องการผัดวันประกันพรุ่ง(procrastinate)”.

         อะไรที่คุณผัดวันประกันพรุ่งด้วย(what do you procrastinate with)? สิ่งดีๆทั้งหมด(all good things).

         บางอย่างที่เป็นการสร้างสรรค์(something creative), คุณจะผัดวันประกันพรุ่งเลื่อนออกไป(you will procrastinate).

         คุณต้องการจะเรียนรู้อะไรบางอย่าง?(want to learn something)? คุณผัดผ่อนเลื่อนออกไป(you procrastinate).

         คุณอยากจะทำความสะอาดทุกอย่างที่บ้าน? แล้ว, คุณก็จะพูดว่า, “โอเค, ไม่, ฉันจะทำมันวันพรุ่งนี้.”

         แต่ถ้าคุณหิว(hungry), คุณจะผัดวันประกันพรุ่งไหม? ไม่.

         ถ้าคุณโกรธ(angry), คุณจะผัดผ่อนเลื่อนออกไปไหม? ไม่. ใช่ไหม?

         ถ้าคุณเจ็บปวด(hurt), ถ้าใครบางคนดูหมิ่นคุณ(insult you), คุณจะผัดผ่อนเลื่อนออกไปที่จะด่าทอขว้างปาพวกเขา(hurl)ด้วยคำดูหมิ่นกลับไปไหม? ไม่, ใช่ไหม?

         แค่คิดเกี่ยวกับสิ่งนี้ดูนะ.

พิธีกร: นิรภัย(Nirbhay)ถามมาว่า, “อะไรที่กำลังหยุดเราไว้จากการติดต่อได้กับจิตสำนึกของเราเอง(what is stopping us from getting in touch with our own consciousness)และกลายเป็นหนึ่งเดียวกับมัน(and become one with it)? และเราเอาชนะเรื่องนี้ได้อย่างไร(how do we overcome this)?”

คุรุเทพ:  พูดอีกครั้งซิ?

พิธีกร: - “อะไรที่กำลังหยุดเราไว้จากการติดต่อได้กับจิตสำนึกของเราเอง? และเราเอาชนะมันได้อย่างไรและกลายเป็นหนึ่งเดียวกับมัน? และเราเอาชนะเรื่องนี้ได้อย่างไร?”

คุรุเทพ:  เย้, มันแค่ขาดความตระหกนักรู้สึกตัว(just lack of awareness – ขาดสัมปชัญญะ/ ความรู้ตัวอยู่เสมอ). คุณไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใดที่จะเป็น(don’t have to do anything to be)...ที่จะตระหนักได้ว่าคุณเป็นส่วนหนึ่งของแห่งจิตสำนึกสากล(to realize you are part of the universal consciousness).

         อันที่จริงแล้ว, นี้คือ...ปัญหายุ่งยากสำคัญของประเด็นนี้ก็คือว่า คุณไม่จำเป็นต้องทำอะไรใดเลย(the crux of the issue is that you don’t need to do anything). แค่วางทิ้งทุกอย่างไป(just drop everything). รวมทั้งความต้องการที่จะทำบางอย่างก็ต้องถูกทิ้งมันลงไป(including wanting to do something has to be dropped).

         เมื่อคุณทิ้งทุกอย่างทั้งหมดที่คุณกำลังปรารถนา(all that you’re craving), และทั้งหมดที่คุณกำลังรังเกียจ(all that you’re adverse to), และคุณก็ผ่อนคลาย(relax). คุณอยู่ที่ตรงนั้น(you’re right there). คุณที่รัก, จะอย่างไรก็ตามคุณก็อยู่ในเป้าหมายของคุณ(you’re in your goal anyway). คุณได้อยู่ที่นั้นแล้ว(you’re already there). คุณแค่ต้องปล่อยไปและปล่อยให้เป็นไป(you simply have to let go and let be).

         นั่นเมื่อการฌานสมาธิจะมาหาคุณ(that’s when meditation will come to you)ดุจความช่วยเหลือใหญ่, ใหญ่(as big, big help).

การทำสมาธิ(meditation)คือเครื่องมือที่ใหญ่ที่สุดในที่นี้(the biggest tool here), เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดสำหรับคุณ(the most effective tool for you)ที่จะเป็นใครที่คุณเป็นแท้จริง(to be who you really are).

พิธีกร: ดาเนียล(Daniel)ถามมาว่า, “อะไรบังเกิดขึ้นกับจิตและจิตสำนึกของเราเมื่อเราตาย?”

คุรุเทพ:  - คุณได้เรียนวิชาฟิสิกส์มาหรือเปล่า(have you studied physics)? คุณรู้จักกฎของอุณหพลศาสตร์(law of thermodynamics6)ไหม?

         6https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%AB%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C

         พลังงาน(energy)ไม่มีวันสามารถถูกทำลายลงหรือสามารถถูกสร้างสรรค์ขึ้นได้(can never be destroyed nor can be created), ถูกไหม? คุณรู้เรื่องนั้น, ใช่ไหม? คุณเชื่อในมันไหม(do you believe in it)?

         มันเป็นความจริงไม่ว่าคุณจะเชื่อมันหรือไม่(it’s fact whether you believe it or not).

         ในหนทางเดียวกัน(in the same way), จิตสำนึกของเราจะไม่มีวันถูกทำลายได้(our consciousness can never be destroyed).

         มันไม่มีวันสามารถถูกทำลายได้(it’s can never be destroyed).

         เย้, ความน่าประทับใจทั้งหลาย(impressions)ที่ได้เข้ามาในจิตสำนึกเป็นความทรงจำทั้งหลาย(that have come in the consciousness as memories)สามารถถูกลบได้(can be erased). และนั่นเกิดขึ้นผ่านการฝึกฝนทางจิตวิญญาณทั้งหลายทั้งหมด(happens through all the spiritual practices) - การทำสมาธิ(meditation), สุดารจัน กริยา(Sudarchan Kriya7).

         7 https://www.srisriravishankar.org/sudarshan-kriya/

         คุณเห็นไหม, จิตนั้นได้ไปเป็นความว่างเปล่าอย่างสมบูรณ์(the mind goes completely blank), ถูกไหม? หลังจากที่คุณทำกริยาafter you do (Kriya), คุณรู้สึกถึงความสงบนิ่งเช่นนั้นในจิต(you feel such still ness in the mind).

         ดังนั้น, การฝึกฝนปฏิบัติเหล่านี้(these practices), ทั้งหมดจะช่วยคุณที่จะกำจัดสิ่งประทับใจทั้งหลายในจิตสำนึก(would help you to get rid of the impressions in the consciousness), แต่จิตสำนึกยังอยู่(but consciousness stays)และไม่มีอะไรที่สามารถบังเกิดกับมัน(nothing can happen to it).

         ไม่มีอะไรทั้งนั้นไม่ว่าอย่างใดก็ตาม(nothing whatsoever).

         แค่รับเอาหนึ่งสิ่งนี้(just take this one thing).

         จิตสำนึกนั้นเป็นเหมือนกับที่ว่าง(consciousness is like the space). จิตของคุณก็เหมือนเมฆนั้น(your mind is like the cloud), แต่คุณเหมือนท้องฟ้า(but you are like the sky).

         ดังนั้น, ถึงแม้ว่าความคิดทั้งหลายกำลังเคลื่อนไหว(even the thoughts are moving). จิตกำลังเคลื่อนไหว(the mind is moving). มันเพียงอยู่ในฉากหน้า(it’s only the foreground). ในฉากหลังนั้น(in the back ground), คุณคือที่ว่าง(you are the space).

         ถ้าคุณเพียงแค่สามารถรักษาสิ่งนี้เอาไว้ในการตื่นรู้/สัมปชัญญะของคุณ(if you can just keep this in your awareness)...คุณหลับตาของคุณและรู้สึกว่าคุณคือที่ว่างขนาดใหญ่อยู่เบื้องหลังคุณ(feel you are the big space behind you), เบื้องหน้าของคุณ(in front of you), ทั่วไปหมด(all over), และคุณจะในทันใดนั้นพบว่า, รู้ไหม, สิ่งทั้งหมดนั้นที่จำกัดขีดวงคุณไว้อยู่(that is restricting you), ที่เป็นตัวตนของคุณ(that you identity), ที่เป็นร่างกายของคุณ(that your body)หรือชุดของความคิดหรือมโนคติทั้งหลายของคุณ(your set of thoughts or ideas)ก็จะหายไปง่ายๆ(would simply vanish).

         แล้วมิติใหม่หนึ่ง(a news dimensions)ก็จะเริ่มต้นการเปิดขึ้นภายในคุณ(starts opening within you). ฉันแน่ใจว่าพวกคุณมากมายได้มีประสบการณ์รับรู้ครั้งแล้วครั้งเรา(have experience time and again), ตอนนี้และตอนนั้น(now and then), ที่นี่และที่นั่น(here and there),  คุณได้มีอย่างแน่นอนกับแวบหนึ่งของ ฉันไม่มีอะไร(I’m nothing). ฉันเป็นมากยิ่งกว่าที่ฉันคิดว่าฉันเป็น(I’m much more than what I think I am).’ เย้? ไม่ใช่รึ?

         สนุกมากเลยล่ะ(lot of fun).

         ถ้าคุณยังไม่เคยมีประสบการณ์รับรู้, จงรู้ว่าคุณสามารถได้(know that you can),  ไม่ว่าเวลาใด(anytime), ทำสมาธิ(meditate), ไปลึกอยู่ในความสงบ(go deep in silence). สองสามวันของความสงบก็จะดี(a few days of silence is good). และทิ้งหีบห่ออดีตทั้งหมดนั่นไป(drop all that past luggage), ขยะที่คุณได้แบกถือมาอยู่(garbage you’ve been carrying). แค่ทิ้งพวกมันไป(just drop them). มองอดีตทั้งปวงเป็นเช่นความฝัน(see the entire past as a dream).

         นั่นคือวิธีที่จะตัดอดีตปล่อยไป(that a way to snap out of the past). รู้ไหม, มองมันเป็นดุจความฝันหนึ่ง(seeing it as a dream). เมื่อคุณตื่นขึ้นและได้ชาดีๆร้อนๆถ้วยหนึ่ง, คุณน่าจะทำอะไรล่ะ(what would you do)?

         คุณไม่...รู้ไหม, คุณไม่เมาค้างกับความฝันที่คุณได้ฝันไปแล้ว(you don’t hang over with the dream that you had). ถูกไหม? ความฝันได้ไปแล้ว(dream is  gone).

         ในวิธีเดียวกัน, ถ้าคุณพูดลาก่อนกับความทรงจำทั้งหลายทั้งหมดของอดีต, และอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้(and be here and now), ปรากฏการณ์บางอย่างก็บังเกิดขึ้นข้างในของคุณ(something phenomenon happens inside of you). เย้?

         ฉันรู้เรื่องนี้. มันง่าย(it is simple). มันไม่ได้ยากมากเกินไปใดๆเลย(not too difficult at all). แต่คุณต้องเตือนตัวคุณเองในตอนเริ่มต้น(have to remind yourself in the beginning), หลายๆครั้ง(several time), มองอดีตทั้งปวงนั้นดุจความฝันหนึ่ง(see the entire past as a dream). และรู้ว่าอนาคตนั้นก็สามารถเป็นความฝันได้เหมือนเช่นนั้น(and know the future could be a dream like that). และสงสัยเอากับปัจจุบันว่า มันเป็นความฝันไหม(and question the present -is it a dream)?.

         วันเวลาเหล่านั้นคุณก็จะมีความสุขมาก(the days you’re very happy), คุณก็จะพูดเสมอว่า –ฉันกำลังฝันหรือว่านี่คือความจริง? นี่เป็นความจริงหรือ?

         คุณรู้ไหม, เมื่อใดที่คุณได้ตื่นเต้นมาก(you’re very excited), เมื่อคุณมีความสุขมาก(very happy), คุณสงสัยถึงความเป็นจริงที่ในปัจจุบัน(you question the reality at the present). คุณสงสัยว่ามันคือความฝันหรือความเป็นจริง(whether it’s a dream or it’s reality), ถูกไหม?

         นั่นคือสภาวะที่แท้จริงของคุณ(that’s your true state).

พิธีกร: สุนิล(Sunil)ถามมาว่า, “คุรุเทพ, เมื่อท่านพูดว่าเหตุการณ์ทั้งหลายบังเกิดขึ้นในความละเอียดก่อนที่พวกนั้นจะปรากฏออกมาในความหยาบ(events happen in the subtle before they manifest in the gross), นี้หมายความอะไรจริงๆ?(what does this really mean)?”

คุรุเทพ:  -มันเหมือนภาพยนตร์ที่ถ่ายทำเสร็จแล้ว, แต่เมื่อมันกำลังฉายอยู่, มันปรากฏที่จะเป็นว่าได้มีการบังเกิดขึ้นในชั่วขณะนั้น(it appears to be happening right that moment), ถูกไหม?

         ฉันคิดว่านักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายมากมายที่ได้พูดถึงเกี่ยวกับเรื่องนี้, ว่ามีการล่วงผ่านไปแล้วของเวลา(there is time lapse)ในจิตของเรา(in our mind), ในจิตสำนึกของเรา(in our consciousness)ก่อนที่สิ่งหนึ่งจะบังเกิดขึ้น(before a thing happens), และความทรงจำของมันนั้น(and the memory of it), ลางสังหรณ์ของเราเกี่ยวกับมัน(our premonition about it). เย้?

         เอาละ, ให้ฉันให้ตัวอย่างอื่นอีกอันหนึ่งกับคุณ. เมื่อคุณกำลังบินอยู่, คุณมองลงมาข้างล่างรถคันหนึ่งกำลังเคลื่อนที่ไปอยู่บนถนนไฮเวย์. รถยนต์คันนั้นสามารถแค่เห็นได้ในระยะทางที่แน่นอนระยะหนึ่งเท่านั้น(a car can only see a certain distance). ผู้ที่กำลังขับรถยนต์อยู่นั้นสามารถแค่มองเห็นได้เพียง 100 เมตรเล็กน้อยในเบื้องหน้าของเขา(a person driving a car can only see a few 100 m in front of him), ถูกไหม?

         แต่ผู้ที่อยู่ข้างบนเหนือเขาขึ้นไปนั้นสามารถมองเห็นถนนตลอดทั้งหมด(the one who is above can see the entire road), ว่ามันนำไปสู่ที่ไหน, มันไปอย่างไร(how it goes).

         ในวิถีเดียวกัน, ยิ่งสูงขึ้นเท่าใดที่เราไปในจิตสำนึกของเรา(the higher we go in our consciousness), ค่อนข้างจะ, เมื่อยิ่งขยายความสนใจเอาใจใส่กว้างออกไปมากขึ้นกับจิตสำนึกของเราเอง(when the more expanded attention of our own consciousness)เริ่มต้นบังเกิดขึ้นภายในเรา(starts happening within us), แล้วคุณก็เห็นอดีต(the past), ปัจจุบัน(the present), อนาคต(the future), ทั้งหมดเป็นเช่นสิ่งที่เกิดขึ้น(all as happening).

         มันเป็นที่น่าสนใจอย่างมากที่จะมองเห็นจากมุมนั้น(very interesting to see from that angle), เย้.

พิธีกร:  เดบรา กรอโซนี(Debra Grosoni)ได้ถามมาว่า, “เราจะรู้ได้อย่างไรเมื่อไหร่จะทำตามสัญชาตญาณของเรา(how do we know when to act on our intuition)? เราควรไหม(should we)...ควรปฏิบัติเป็นงานเป็นการก่อนหรือว่าตามสัญชาตญาณ(should practicality come first of intuition)? “

คุรุเทพ:  -สิ่งนี้, ที่คุณควรทำ(this, you should do). วิธีการลองผิดลองถูก(trial and error method)เพียงแค่จะทำเท่านั้น...เพราะว่าไม่มีเกณฑ์การกำหนดที่จะรู้(no criteria to know)ว่ามันเป็นจินตนาการของคุณ(your imagination)หรือว่าเป็นสัญชาตญาณของคุณ(your intuition).

         สัญชาตญาณ(intuition)หมายถึงว่าไม่เคยผิดพลาด(means that never goes wrong), ถูกไหม? ถ้ามันผิดพลาดไป(goes wrong), ฉันหมายถึงว่า, มันไม่ได้บังเกิดขึ้นในหนทางที่คุณได้เป็นมา(doesn’t happen the way you’ve been)...คุณก็มีสัญชาตญาณรู้ถึงนั้น(you had that intuition). ดังนั้น, มันไม่เคยเป็นสัญชาตญาณที่จะเริ่มต้นด้วย(it was never an intuition to begin with).

         ดังนั้น, คุณต้องมองเห็นว่าถ้าคุณไม่ได้ร้อนรุ่ม(if you’re not feverish), แต่คุณไวต่อสิ่งที่มากระทบ(you’re sensitive), คุณได้มีความรู้สึกนี้ข้างใน(you’ve this gut feeling), แล้วนั่นแหละคือสัญชาตญาณ(then that is intuition).

         แต่ก็อีกครั้ง, ไม่มีเกณฑ์กำหนด(no criteria)เพราะว่าคุณไม่ได้เพียงแค่สงบเงียบมาก(a very calm), สภาวะสงบนิ่งได้ตลอดเวลา(serene state all the time). คุณไปผ่านการขึ้นและลงเป็นจำนวนมาก(go through a lot of ups and downs). คุณมีความต้องการทั้งหลาย(have wants), ชอบและไม่ชอบ(likes and dislikes). ทั้งหมดเหล่านี้อาจแต้มสี...(colour your…)อะไรที่เรียกกันว่า ความคิดทั้งหลายของคุณ(your thoughts), ความคิดเห็นทั้งหลายของคุณ(your ideas), อารมณ์ความรู้สึกทั้งหลายของคุณ(your feelings)’.

         ดังนั้น, สำหรับสัญชาตญาณของคุณที่จะเป็นที่กระจ่างชัดจริงๆ(to be really clear), คุณจำเป็นต้องทำสมาธิ(you need to meditate). คุณจำเป็นต้องมีสภาวะสงบนิ่งนั้นของจิต(need to have that serene state of mind).

         แล้วความกระจ่างชัดก็จะมา(then clarity comes). เย้?

         ดังนั้น, คุณควรทำ(should do)...คุณควรเดินที่ไหนสักแห่งในระหว่าง(should walk somewhere in between) - การปฏิบัติเป็นงานเป็นการ(the practicality)กับความรู้สึกข้างในของคุณ(your gut feeling). จนกระทั่งคุณแน่ใจอย่างยิ่ง(so sure)เกี่ยวกับความรู้สึกข้างในทั้งหมดของคุณ(about all your gut feelings)และมันได้กำลังเกิดขึ้นจริงๆในหนทางที่คุณต้องการสิ่งทั้งหลาย(it is really happening in the way you want things), คุณรู้ไหม, ที่จะบังเกิด(to happen), คุณจำเป็นต้องมีการทำแบบลองผิดลองถูก(you need to do the trial and error).

         แต่อย่างที่ฉันได้พูด, เดินนี้ไปในเส้นทางตรงกลาง(walk in the middle path).

         นั่นคืออะไรรึ?

         การปฏิบัติอย่างเป็นงานเป็นการและความรู้สึกข้างใน(practicality and the gut feeling, ทั้งคู่(both).

พิธีกร:  ปราโมทย์(Pramod)ได้ถามมาว่า, “ถ้าจิตสำนึกของเราช่างมีพลังอำนาจมากเหลือเกิน(if our consciousness is so powerful), แล้วทำไมจิตเล็กๆของเราถึงได้ควบคุมเราในชีวิตของเราทั้งปวง(why does our little mind control us our whole lives)?”

คุรุเทพ:  -มันปรากฏออกมาเหมือนเป็นเช่นนั้น(it appears to be like that).

         และจิตนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของจิตสำนึกด้วยเช่นกัน(the mind is also part of the consciousness). จิตเล็กๆของเราไม่ได้มีความแตกต่างของรูปธรรม(our little mind is not different entity). มันไม่ได้มีการดำรงอยู่ของตัวมันเอง(no existence of its own). มันเป็นแค่ส่วนหนึ่งของจิตสำนึกเท่านั้น(it’s part of the consciousness only).

พิธีกร:  เรารับอีกหนึ่งคำถามได้ไหมครับ?

คุรุเทพ:  -เย้, อีกหนึ่ง.

พิธีกร:  ทำไมถึงได้มีความแตกต่างมากมายเหลือเกินในท่ามกลางพวกเราทั้งหมด, เมื่อไหร่ที่เราทั้งหมดจะประกอบด้วยองค์ประกอบที่เหมือนกัน(made up the same element)? ทำไมเราถึงได้กลายมาเป็นแยกออกจากพระเจ้า(why we became separate from God)?

คุรุเทพ:  -พวกคุณแตกต่างกันตรงไหน! (where are you different)

         ไม่มีใครสามารถแยกออกมาจากพระเจ้าได้(no one can separate from God).

         คุณเคยสามารถแยกตัวออกมาจากอากาศ(Akasha – space/ที่ว่าง, อวกาศ)ได้รึ? ไม่เลย.

         ในหม้อใบหนึ่ง(in a pot), คุณได้ทำเงื่อนอันหนึ่ง(made a knot)และคุณได้ดักเอาอากาศเอาไว้ข้างในมัน(you have trapped the Akasha inside it). ตอนนี้, คุณพูดว่าอากาศ(Akasha)ถูกดักเก็บไว้(is trapped). มันแตกต่างจากข้างนอก(it different from outside). แตกต่างที่ตรงไหนหรือ?

         รู้สึกว่าแตกต่าง(feels different), แต่มันไม่.

         พวกมันเหมือนเงาสะท้อนทั้งหลาย(like mirages), ไม่ใช่รึ? เงาสะท้อน(mirages).

         มันดูเหมือนว่ามันเป็นน้ำ. มันดูเหมือนเป็นเช่นนั้น, แต่มันไม่.

         ในหนทางเดียวกัน, ทั้งหมดนี้คือภาพมายา(an illusion - ภาพลวงตา).

         คุณไม่ได้เป็น, ไม่มีวันสามารถใดเลยที่จะถูกแยกออกจากพระเจ้าได้(can never ever be separated from God).

         เมื่อคุณหยุดพัก(rest), คุณจะมองเห็น(will see). พระเจ้าอยู่ที่นี่(God is here), พระองค์อยู่ตอนนี้(he is now).

         มีเพียงแค่สองสิ่ง(only two things). ความไม่สงบ(restlessness)และ ความผ่อนคลาย(relaxation).

         มีอะไรอยู่ที่ในความไม่สงบนั้นรึ(what is there in the restlessness)? คุณได้กลายเป็นเดือดร้อนด้วยความป่วยไข้(become afflicted with fever). ความป่วยไข้ที่ไม่ได้อยู่ในร่างกาย(not in the body)แต่อยู่ในจิต(but in the mind).

         ไม่ว่าจิตนั้นจะหิว(the mind is hungry), ไม่ว่าจะในตัณหา(lust), โกรธ(anger), โลภ(greed).

ด้วยความรู้สึกทั้งหลายด้านลบ(with negative feelings)หรือด้วยความอยากหรือความรังเกียจอย่างรุนแรง(a strong craving and aversion), วิสัยทัศน์ของเราก็ขุ่นมัว(our vision is blurred). ตอนนี้, มีทรายเม็ดเล็กๆหนึ่ง(a small particle of sand), มันเข้าไปในดวงตานั้น(went in the eyes). ถ้าฝุ่นละอองหนึ่งเข้าไปในดวงตานั้น, ท้องฟ้าอันมหึมาก็ไม่สามารถเห็นได้(the enormous sky is not visible). คุณไม่สามารถพูดได้ว่าอนุภาคฝุ่นนี้(this particle dust)นั้นใหญ่กว่าท้องฟ้าได้(bigger than the sky).

มันดูเหมือนเป็นเช่นนั้นแต่มันไม่ได้เป็น.

ทำไมรึ? จิตนั่นเอง(mind).

จิตได้ติดอยู่กับสิ่งเล็กๆทั้งหลาย(mind is struck on small things).

แต่จิตนั้นถูกติดอยู่เช่นนั้นไปอีกนานเท่าไหร่ล่ะ?

ไม่ช้าก็เร็วมันก็จะรู้สึกได้ว่า เฮ้ ไม่เอาน่า. ทำไมและที่ไหนหรือซึ่งฉันถูกติดอยู่?

ในหนทางนี้(in this way), มันก็จะเข้าใจได้โดยอัตโนมัติ(it will automatically understand).

มันได้เข้าใจ(it does understand).

คุณได้เหนื่อยล้าจากการทำอะไรบางอย่างมาอย่างต่อเนื่อง(get tired by continuously doing something), การคิดอะไรบางอย่าง(thinking something), ต้องการบางอย่าง(wanting something).

ความอยากทั้งหลายได้ใช้คุณไปอ่อนเพลีย(desires drain you).

และที่ใดซึ่งความอยากทั้งหลายได้ตายลงไป, ความกังวลทั้งหลายของคุณก็ตาย(your worries die)และคุณก็จะค้นพบว่าพระเจ้าได้อยู่ที่ตรงนี้(you will find that God is right here).

พระองค์อยู่ภายในเรา(He is within us).

ดีมาก(very good).

พิธีกร:  ขอขอบคุณ, ท่านคุรุเทพ(Gurudev), สำหรับการประชุมให้ความรู้อันมหัศจรรย์และการประชุมอันสว่างปัญญานี้ครับ(that wonderful session and enlightening session).

 

https://youtu.be/cd8s7mEq3Mo

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น