หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2566

ไพศาล พืชมงคล - เคล็ดวิชาเคลื่อนขยายเส้นเอ็น (ตอนจบ)

 

เคล็ดวิชาเคลื่อนขยายเส้นเอ็น (ตอนจบ)

 

         กระบวนท่า “เสือบี้เห็บ”เป็นกระบวนท่าที่สองต่อจากกระบวนท่า “อินทรีขยุ้มเหยื่อ” ดังนั้นเมื่อได้ฝึกหรือปฏิบัติกระบวนท่าแรกครบเวลาที่จะฝึกแล้ว ก็เริ่มฝึกหรือปฏิบัติในกระบวนท่าที่สองต่อไปได้เลย

         ในกระบวนท่าทีสองนี้ ปมสำคัญอยู่ที่การเกร็งพลังที่หนักหน่วงเข้มข้นขึ้นกว่ากระบวนท่าแรก

         ในทำนองเดียวกันกับเสือที่ใช้อุ้งเล็บบดขยี้หมัด เหา หรือเห็บที่ซุกซ่อนอาศัยอยู่ในซอกเท้าซึ่งต้องใช้กำลังมาก ต้องเกร็งมาก เพื่อบดขยี้ ตัวหมัด เหา หรือเห็บตัวเล็กๆซึ่งเกาะดูดเลือดอยู่ในซอกเท้านั้น

         หากกำลังและความหนักหน่วงไม่มากพอ ก็จะไม่สามารถบี้หรือบดขยี้หมัด เหา หรือเห็บให้ตายได้ เพราะเหกตุนี้กระบวนท่านี้ จึงต้องใช้การเกร็งกำลังหรือการเคลื่อนกำลังมากขึ้นหรือเพิ่มขึ้นกว่ากระบวนท่าแรกอย่างน้อยก็หกนึ่งเท่าตัว

         อย่างไรแค่ไหนจึงจะเรียกว่าเพิ่มกำลังขึ้นกว่าหนึ่งเท่าตัว ก็ให้สังเกตประมาณเอาด้วยตนเองก็จะรู้ได้ไม่ยากไม่ลำบากเลย

         และเมื่อใช้การเกร็งหรือเดินพลังมากขึ้นเช่นนี้ ก็จะมีเสียงดังปรากฏมากขึ้นกว่ากระบวนท่าแปรกด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่พึงตกใจหรือประหลาดใจเช่นเดียวกัน แต่ต้องตั้งข้อสังเกดตเกี่ยวกับเสียงที่ดังนั้นในประการที่ได้พรรณนามาแล้วในกระบวนท่าแรก

         ด้วยความเข้าใจว่าเมื่อใช้พลังหรือเกร็งพลังมากขึ้น ซุ่มเสียงที่ไม่เคยปรากฏก็อาจปรากฏขึ้น ที่เคยปรากฏและเบาบางลงไปแล้วก็จะกลับขึ้นมาใหม่อีก นั่นเป็นเพราะพลังที่เพิ่มขึ้น ค่อยๆฝึก ค่อยๆปฏิบัติ ค่อยๆทำไปโดยลำดับๆ เมื่อกายนี้มีความเป็นปกติตามที่พึงเป็นแล้ว เสียงทั้งหลายก็จะเป็นอันบรรเทาเบาบางหรือหมดไป

         และนั่นย่อมหมายความการตีบตันหรือความเกรอะกรังทั้งหลายได้ถูกขจัดอย่างแรงให้บรรเทาเบาบางและหายไปด้วยเช่นเดียวกัน

         เมื่อเข้าใจปมเงื่อนและกำหนดการเคลื่อนพลังหรือเพิ่มกำลังมากขึ้นเช่นนี้แล้ว ก็มาทำความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกระลวนท่าที่สองนี้

         เปแนกระบวนท่าที่มีกิริยาอาการต่อเนื่องจากกระบวนท่าแรก คือยกมือตั้งฉากโดยข้อศอกดติดพื้นชิดกับลำตัวเช่นเดียวกับกระบวนท่าแรก กางนิ้วทั้งห้าออก แล้วงอนิ้วทั้งห้าไว้ที่ระดับข้อนิ้ว ยกเว้นนิ้วหัวแม่มือ ปลายนิ้วหัวแม่มือจะมีลักษณะที่ตั้งฉากกับนิ้วชี้เสมอ โดยนิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง และนิ้วก้อยนั้นจะงอในลักษณะตะขอหรือเปิด

         เมื่องอข้อนิ้วเช่นนี้อาจจะมีความรู้สึกปวดหรือเจ็บ หรือตึง หรือติดขัดบ้าง แต่จะน้อยกว่าหรือเท่าๆกับท่าขยุ้มเหยื่อในกระบวนท่าแรก แต่ที่ยังเจ็บ หรือปวด หรือตึงอยู่ก็เพราะเมื่อมีการเดินพลังหรือเพิ่มกำลังมากขึ้น ลักษณะการเกร็งก็จะเพิ่มขึ้น ความเจ็บปวดหรือขัดก็จะมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา

         ถือเสียว่าเป็นการดัดตัวดัดตนอย่างหนึ่งก็ได้ และเมื่อดัดตนในลักษณะนี้บ่อยครั้งเข้าที่ติด ที่ขัด ที่เจ็บ ที่ปแวดก็จะค่อยๆสร่างคลายหายไป แล้วจะงอได้อย่างง่ายดายและสบายๆ

         เมื่อใดที่นิ้วงอได้ตามรูปแบบกระบวนท่านี้ ก็พึงรู้เถิดว่า นิ้วซึ่งเป็นส่วนปลายอวัยวะของมือ ซึ่งประสาทส่วนปลายนิ้วก็เป็นส่วนปลายประสาทด้วย ได้มีความกระชุ่มกระชวย แข็งแรง และมีความเป็นปกติ มีความอ่อน มีความเหนียวหยุ่นคล่องตัว เช่นเดียวกับมือไม้ของเด็กๆ หรือผู้ที่ได้รับการฝึกบัลเล่ต์

         แค่นี้ก็เห็นได้แล้วว่าความหนุ่มสาวได้ บังเกิดขึ้นหรือกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง นี่ก็เป็นอานิสงส์หรือเป็นผลอย่างกระจุ๋มกระจิ๋มของการฝึกหรือการปฏิบัติตนเช่นนี้

         ก็แลเมื่อปลายนิ้วหรือปลายประสาส่วนมือซึ่งเมื่อถึงวัยหนึ่ง เวลาหนึ่งย่อมเชื่องช้าติดขัดเพราะความชรา หรือเพราะวัย หรือเพราะโรคภัยใดๆได้ฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติอย่างหนุ่มสาวอีกครั้งหนึ่ง จึงเป็นเรื่องพึงอัศจรรย์อะไรเช่นนั้น

         เมื่องอนิ้วดังกล่าวแล้ว ก็เกร็งพลัง เดินพลัง และเพิ่มพลังให้มากขึ้น จากนั้นก็ขยับหกัวแม่มือไปทางด้านนิ้วก้อย แล้วโน้มนิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อยลงมายังฝ่ามือด้านล่าง ไล่เรียงกันไปโดยลำดับ ให้โคนนิ้วทุกนิ้วเบียดชิดแน่นในลักษณะบดบี้เข้าหากันให้มากที่สุด

         การเคลื่อนนิ้วไล่เรียงเป็นลำดับดังนี้ก็เพื่อฝึกสมองส่วนบัญชาการให้บัญชาการเส้นประสาทและหลอดเลือดที่บังคับนิ้วแต่ละนิ้วให้เคลื่อนไหวเป็นรายนิ้วไป ทำให้เกิดการจำแนกแยกแยะและแม่นยำในการบังคับบัญชาประสาทเส้นเลือดแต่ละนิ้วได้ดังใจ

         เพราะเมื่อคนเรามีอายุถึงวัยหนึ่ง ระบบบังคับบัญชาของสมองและการสั่งการปแระสาทตลอดจนหลอดเลือดต่างๆ จะมีความสับสนเกิดขึ้น เช่น แทนที่จะกระดิกนิ้วเดียว นิ้วก็กระดิกถึงสองนิ้ว หรือสามนิ้วเป็นต้น นี่คือความสับสนของระบบบัญชาการของสมอง ประสาทหลอดเลือด และอวัยวะที่สัมพันธ์กันอยู่

         การฝึกหรือปฏิบัติตอนเริ่มต้นจะกดโน้มนิ้วหกัวแม่มือก่อน แล้วไล่เรียงนิ้วชี้ นิ้วนาง นิ้วกลาง และนิ้วก้อยลงมาข้างล่างในลักษณะประชิดบดขยี้กันโดยลำดับ ครั้นมีความชำนาญแล้วก็ปฏิบัติในทางปฏิโลมต่อไปแ

         การฝึกหรือปฏิบัติในทางปฏิโลมก็คือการโน้มนิ้วก้อยลงมาฝ่ามือข้างล่างก่อน ตามมาด้วยนิ้วนาง นิ้วกลาง นิ้วชี้ และหัวแม่มือตามลำดับในลักษณะเช่นเดียวกัน

         ให้สังเกตดูให้ดีว่าการเดินพลังหรือการเพิ่มกำลังนั้นเพียงพอหรือไม่ และนิ้วแต่ละนิ้วประชิดติดกันในลักษณะบดขยี้บี้กันหรือไม่ พึงเข้าใจว่ากำลังต้องเพียงพอ นิ้วแต่ละนิ้วต้องประชิดติดกันในลักษณะบดขยี้ที่สามารถบี้หรือขยี้เหา เห็บ หรือหมัดให้ตายได้อย่างไรก็ต้องอย่างนั้น

         ปฏิบัติไปเช่นนี้อย่างน้อย ๕-๑๕ นาที คราวนี้จะรู้สึกว่าเหนื่อยกว่ากรับวนท่าแรก เหตุผลอยู่ที่การเพิ่มการเกร็งพลังหรือการเดินพลังที่มากกว่ากระบวนท่าแรกถึงหนึ่งเท่าตัวนั่นเอง

         แต่เมื่อฝึกหรือปฏิบัตินานๆไป ชำนาญเข้าๆ ก็จะเหนื่อยน้อยลง ทำนองเดียวกันกับคนออกกำลังกายวิ่งหรือจ้อกกิ้ง ที่เมื่อปฏิบัติสม่ำเสมอแล้วก็จะทำให้เหนื่อยช้าลง ทำให้หัวใจเต้นช้าลงฉันใดก็ฉันนั้น

         เมื่อฝึกหรือปฏิบัติขนชำนาญมากขึ้นๆ นิ้วทุกดนิ้วก็จะเคลื่อนไหวในลักษณะที่แม่นยำ มีพลังหรือกำลังอย่างหนักหน่วง อย่างคล่องตัวได้ดังใจ เสียงทั้งหลายที่เกิดขึ้นก็จะค่อยๆหายไป

         การผนึกกาย ปราณ และจิตให้เป็นเอกภาพ ทำนองเดียวกันกับกระบวนท่าแรกก็คือการปฏิบัติในขั้นสูงของกระบวนท่าที่สองนี้เช่นเดียวกัน

         จากนั้นก้เป็นกระบวนท่า “กรายเล็บกรีดพิณ” ซึ่งมีรากฐานมาจากการใช้ความอ่อนโยนของสตรี ใช้ความนุ่มนวลของนิ้วมือที่เรียวงามกรีดกรายเพลงพิณเป็นเสียงพิณอันไพเราะเสนาะโศต

         กระบวนท่านี้เป็นกระบวนท่าสุดท้ายที่แม้ยังมีการเดินหรือเกร็งกำลังอยู่แต่จะลดน้อยลง เพื่อเตรียมตัวปรับสภาพเข้าสู่ความเป็รนปกติธรรมดา แต่ปมเงื่อนอยู่ที่ความอ่อนช้อยนุ่มนวลและเบาสบายเป็นสำคัญ

         ทว่าในท่ามกลางความนุ่มนวลเบาสบายนั้นก็ยังคงต้องเดินและใช้พลังอย่างน้อยเท่ากับกระบวนท่าแรก ซึ่งเป็นหลักการเช่นเดียวกันกับหลักวิชาไท้เก๊ก แม้ภายนอกดูไร้สภาพ เบาหวิว ปลิวไปดุจปุยนุ่น แต่แม้จริงยังแฝงฝังพลังอันหนักหกน่วงปานขุนเขาเอาไว้ด้วย ฉันใดฉันนั้น

         ในการเริ่มต้นกระบวนท่าที่สามนี้ยังคงเป็นการยกมือทั้งสองตั้งฉากกับลำตัวในลักษณะชี้ตรงขึ้นข้างบน เกร็งและเดินพลังในขนาดหรือระดับเดียวกันกับกระบวนท่าแรก

         แต่ต้องรำลึกกำกับไว้เสมอว่าการกรีดกรายนิ้วแต่ละครั้งแต่ละนิ้วต้องมีความนุ่มนวล อ่อนช้อย และเบาสบายเหมือนไร้พลัง

         จากนั้นก็ให้โน้มนิ้วก้อยลงมาที่โคนฝ่ามือตามมาด้วยนิ้วนาง นิ้วกลาง นิ้วชี้ และนิ้วหัวแม่มือ จากนั้น ปฏิบัติอย่างนี้ต่อเนื่องให้ได้ ๕ นาที แล้วปฏิบัติในทางปฏิโลม คือเริ่มที่นิ้วหัวแม่มือโน้มลงมาทางโคนฝ่ามือ ตามมาด้วยนิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง และนิ้วก้อย

         ถ้าหากพินิจพิจารณาจะเห็นว่าการกรีดนิ้วแต่ละครั้งก็เหมือนกับสตรีกำลังร่ายรำหรือกำลังกรีดกรายเพลงพิณอยู่ฉะนั้น ดังนั้นความนุ่มนวล อ่อนช้อย สม่ำเสมอ แผ่วเบาหรือเบาสบายดุจปุยนุ่นอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น ทำได้ถึงขั้นนั้นก็เรียกว่าเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องครบถ้วนกระบวนการแห่งกระบวนท่าที่สาม

         ขอให้นึกดถึงการฝึกมวยไท้เก๊กที่ดูภายนอกเบาหวิว แต่แท้จริงหนักหกน่วง จะบรรลุถึงขั้นสูงสุดก็ตรงที่ใช้มือชกดไปที่เต้าหู้ ภายนอกเต้าหู้ก็ยังคงสภาพเดิม แต่ภายในแตกเละไปหมด ฉันใดฉันนั้น

         เมื่อเข้าใจถึงวิธีฝึกและวิธีปฏิบัติแต่ละกระบวนท่า ตลอดจนปแมเงื่อนหรือข้อสังเกตต่างๆ ดังพรรณนามาโดยลำดับแล้ว ก็จะเป็นการฝึกหรือปฏิบัติแต่ละกระบวนท่าต่อเนื่องกันไป

         นั่นคืออาจฝึกหรือปฏิบัติได้เป็นสองลักษณะ โดยลักษณะแรก ฝึกหรือปฏิบัติแต่ละกระบวนท่าโดยใช้ดเวลา ๕-๑๐ นาที จากกระบวนท่าแรกไปสู่กระบวนท่าที่สอง และกระบวนท่าที่สาม กระบวนท่าละ ๕-๑๐ นาที รวมเวลาให้ได้ประมาณ ๑๕-๓๐ นาที ก็จะมีผลมาก นี่อย่างหนึ่ง

         หรืออีกอย่างหนึ่งคือฝึกหรือปฏิบัติกระบวนท่าแรกแล้วต่อเนื่องสู่กระบวนท่าที่สองและกระบวนท่าที่สามเป็นลำดับต่อไปเลย เมื่อสิ้นกระบวนท่าที่สามแล้วก็มาเริ่มต้นกระบวนท่าแรกใหม่ไปจนถึงกระบวนท่าที่สามอีก โดยถือเอาเวลารวมกัน ๑๕-๓๐ นาที

         การผนึกกาย ปราณ และจิตให้เป็นเอกภาพของทั้งสามกระบวนท่าสอดคล้องห้วงเวลาที่ฝึกหรือปฏิบัติจะมีผลใหญ่หลวงกว่าการฝึกหรือปฏิบัติเฉพาะกาย หรือเฉพาะกายกับปราณ

         เพราะนอกจากจะทำให้สุขภาพกายและพลังกายหายใจหรือพลังปราณสมบูรณ์ดีแล้ว ยังทำให้จิตเป็นพลัง เป็นจิตตานุภาพอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งจะเพิ่มผลหรืออานิสงส์ขึ้นอีกมากมายหลายเท่านัก

         หลอดเลือด เส้นเลือด เส้นประสาท เส้นเอ็นทั้งหลายจะกลับฟื้นคืนปกติ มีความกระชุ่มกระชวย แม่นยำ คล่องตัว แข็งแรง ฟื้นคืนความหนุ่มสาวอีกครั้งหนึ่ง

         ขอท่านทั้งหลายที่ได้ลองฝึกหรือปฏิบัติตามเคล็ดวิชาเคลื่อนขยายเส้นเอ็นนี้จงเป็นผู้ที่เส้นเลือดสมองไปแตก ไม่ตีบ ไม่ตัน ไม่เหน็บ ไม่ชา ดำรงความหนุ่มสาว ความผ่องใส กระชุ่มกระชวยไว้โดยตลอดไปจนกว่าจะถึงเวลาพริ้มตาลงแล้วเดินทางไกลด้วยกันเถิด.

 


 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น