เคล็ดวิชาเคลื่อนขยายเส้นเอ็น (ตอนจบ)
กระบวนท่า “เสือบี้เห็บ”เป็นกระบวนท่าที่สองต่อจากกระบวนท่า
“อินทรีขยุ้มเหยื่อ” ดังนั้นเมื่อได้ฝึกหรือปฏิบัติกระบวนท่าแรกครบเวลาที่จะฝึกแล้ว
ก็เริ่มฝึกหรือปฏิบัติในกระบวนท่าที่สองต่อไปได้เลย
ในกระบวนท่าทีสองนี้
ปมสำคัญอยู่ที่การเกร็งพลังที่หนักหน่วงเข้มข้นขึ้นกว่ากระบวนท่าแรก
ในทำนองเดียวกันกับเสือที่ใช้อุ้งเล็บบดขยี้หมัด เหา
หรือเห็บที่ซุกซ่อนอาศัยอยู่ในซอกเท้าซึ่งต้องใช้กำลังมาก ต้องเกร็งมาก
เพื่อบดขยี้ ตัวหมัด เหา หรือเห็บตัวเล็กๆซึ่งเกาะดูดเลือดอยู่ในซอกเท้านั้น
หากกำลังและความหนักหน่วงไม่มากพอ ก็จะไม่สามารถบี้หรือบดขยี้หมัด
เหา หรือเห็บให้ตายได้ เพราะเหกตุนี้กระบวนท่านี้
จึงต้องใช้การเกร็งกำลังหรือการเคลื่อนกำลังมากขึ้นหรือเพิ่มขึ้นกว่ากระบวนท่าแรกอย่างน้อยก็หกนึ่งเท่าตัว
อย่างไรแค่ไหนจึงจะเรียกว่าเพิ่มกำลังขึ้นกว่าหนึ่งเท่าตัว
ก็ให้สังเกตประมาณเอาด้วยตนเองก็จะรู้ได้ไม่ยากไม่ลำบากเลย
และเมื่อใช้การเกร็งหรือเดินพลังมากขึ้นเช่นนี้
ก็จะมีเสียงดังปรากฏมากขึ้นกว่ากระบวนท่าแปรกด้วย
ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่พึงตกใจหรือประหลาดใจเช่นเดียวกัน
แต่ต้องตั้งข้อสังเกดตเกี่ยวกับเสียงที่ดังนั้นในประการที่ได้พรรณนามาแล้วในกระบวนท่าแรก
ด้วยความเข้าใจว่าเมื่อใช้พลังหรือเกร็งพลังมากขึ้น ซุ่มเสียงที่ไม่เคยปรากฏก็อาจปรากฏขึ้น
ที่เคยปรากฏและเบาบางลงไปแล้วก็จะกลับขึ้นมาใหม่อีก นั่นเป็นเพราะพลังที่เพิ่มขึ้น
ค่อยๆฝึก ค่อยๆปฏิบัติ ค่อยๆทำไปโดยลำดับๆ
เมื่อกายนี้มีความเป็นปกติตามที่พึงเป็นแล้ว
เสียงทั้งหลายก็จะเป็นอันบรรเทาเบาบางหรือหมดไป
และนั่นย่อมหมายความการตีบตันหรือความเกรอะกรังทั้งหลายได้ถูกขจัดอย่างแรงให้บรรเทาเบาบางและหายไปด้วยเช่นเดียวกัน
เมื่อเข้าใจปมเงื่อนและกำหนดการเคลื่อนพลังหรือเพิ่มกำลังมากขึ้นเช่นนี้แล้ว
ก็มาทำความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกระลวนท่าที่สองนี้
เปแนกระบวนท่าที่มีกิริยาอาการต่อเนื่องจากกระบวนท่าแรก
คือยกมือตั้งฉากโดยข้อศอกดติดพื้นชิดกับลำตัวเช่นเดียวกับกระบวนท่าแรก กางนิ้วทั้งห้าออก
แล้วงอนิ้วทั้งห้าไว้ที่ระดับข้อนิ้ว ยกเว้นนิ้วหัวแม่มือ ปลายนิ้วหัวแม่มือจะมีลักษณะที่ตั้งฉากกับนิ้วชี้เสมอ
โดยนิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง และนิ้วก้อยนั้นจะงอในลักษณะตะขอหรือเปิด
เมื่องอข้อนิ้วเช่นนี้อาจจะมีความรู้สึกปวดหรือเจ็บ หรือตึง หรือติดขัดบ้าง
แต่จะน้อยกว่าหรือเท่าๆกับท่าขยุ้มเหยื่อในกระบวนท่าแรก แต่ที่ยังเจ็บ หรือปวด
หรือตึงอยู่ก็เพราะเมื่อมีการเดินพลังหรือเพิ่มกำลังมากขึ้น
ลักษณะการเกร็งก็จะเพิ่มขึ้น ความเจ็บปวดหรือขัดก็จะมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา
ถือเสียว่าเป็นการดัดตัวดัดตนอย่างหนึ่งก็ได้
และเมื่อดัดตนในลักษณะนี้บ่อยครั้งเข้าที่ติด ที่ขัด ที่เจ็บ
ที่ปแวดก็จะค่อยๆสร่างคลายหายไป แล้วจะงอได้อย่างง่ายดายและสบายๆ
เมื่อใดที่นิ้วงอได้ตามรูปแบบกระบวนท่านี้
ก็พึงรู้เถิดว่า นิ้วซึ่งเป็นส่วนปลายอวัยวะของมือ ซึ่งประสาทส่วนปลายนิ้วก็เป็นส่วนปลายประสาทด้วย
ได้มีความกระชุ่มกระชวย แข็งแรง และมีความเป็นปกติ มีความอ่อน
มีความเหนียวหยุ่นคล่องตัว เช่นเดียวกับมือไม้ของเด็กๆ
หรือผู้ที่ได้รับการฝึกบัลเล่ต์
แค่นี้ก็เห็นได้แล้วว่าความหนุ่มสาวได้ บังเกิดขึ้นหรือกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง
นี่ก็เป็นอานิสงส์หรือเป็นผลอย่างกระจุ๋มกระจิ๋มของการฝึกหรือการปฏิบัติตนเช่นนี้
ก็แลเมื่อปลายนิ้วหรือปลายประสาส่วนมือซึ่งเมื่อถึงวัยหนึ่ง
เวลาหนึ่งย่อมเชื่องช้าติดขัดเพราะความชรา หรือเพราะวัย หรือเพราะโรคภัยใดๆได้ฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติอย่างหนุ่มสาวอีกครั้งหนึ่ง
จึงเป็นเรื่องพึงอัศจรรย์อะไรเช่นนั้น
เมื่องอนิ้วดังกล่าวแล้ว ก็เกร็งพลัง เดินพลัง
และเพิ่มพลังให้มากขึ้น จากนั้นก็ขยับหกัวแม่มือไปทางด้านนิ้วก้อย แล้วโน้มนิ้วชี้
นิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อยลงมายังฝ่ามือด้านล่าง ไล่เรียงกันไปโดยลำดับ
ให้โคนนิ้วทุกนิ้วเบียดชิดแน่นในลักษณะบดบี้เข้าหากันให้มากที่สุด
การเคลื่อนนิ้วไล่เรียงเป็นลำดับดังนี้ก็เพื่อฝึกสมองส่วนบัญชาการให้บัญชาการเส้นประสาทและหลอดเลือดที่บังคับนิ้วแต่ละนิ้วให้เคลื่อนไหวเป็นรายนิ้วไป
ทำให้เกิดการจำแนกแยกแยะและแม่นยำในการบังคับบัญชาประสาทเส้นเลือดแต่ละนิ้วได้ดังใจ
เพราะเมื่อคนเรามีอายุถึงวัยหนึ่ง
ระบบบังคับบัญชาของสมองและการสั่งการปแระสาทตลอดจนหลอดเลือดต่างๆ
จะมีความสับสนเกิดขึ้น เช่น แทนที่จะกระดิกนิ้วเดียว นิ้วก็กระดิกถึงสองนิ้ว
หรือสามนิ้วเป็นต้น นี่คือความสับสนของระบบบัญชาการของสมอง ประสาทหลอดเลือด
และอวัยวะที่สัมพันธ์กันอยู่
การฝึกหรือปฏิบัติตอนเริ่มต้นจะกดโน้มนิ้วหกัวแม่มือก่อน
แล้วไล่เรียงนิ้วชี้ นิ้วนาง นิ้วกลาง และนิ้วก้อยลงมาข้างล่างในลักษณะประชิดบดขยี้กันโดยลำดับ
ครั้นมีความชำนาญแล้วก็ปฏิบัติในทางปฏิโลมต่อไปแ
การฝึกหรือปฏิบัติในทางปฏิโลมก็คือการโน้มนิ้วก้อยลงมาฝ่ามือข้างล่างก่อน
ตามมาด้วยนิ้วนาง นิ้วกลาง นิ้วชี้ และหัวแม่มือตามลำดับในลักษณะเช่นเดียวกัน
ให้สังเกตดูให้ดีว่าการเดินพลังหรือการเพิ่มกำลังนั้นเพียงพอหรือไม่
และนิ้วแต่ละนิ้วประชิดติดกันในลักษณะบดขยี้บี้กันหรือไม่
พึงเข้าใจว่ากำลังต้องเพียงพอ
นิ้วแต่ละนิ้วต้องประชิดติดกันในลักษณะบดขยี้ที่สามารถบี้หรือขยี้เหา เห็บ หรือหมัดให้ตายได้อย่างไรก็ต้องอย่างนั้น
ปฏิบัติไปเช่นนี้อย่างน้อย ๕-๑๕ นาที คราวนี้จะรู้สึกว่าเหนื่อยกว่ากรับวนท่าแรก
เหตุผลอยู่ที่การเพิ่มการเกร็งพลังหรือการเดินพลังที่มากกว่ากระบวนท่าแรกถึงหนึ่งเท่าตัวนั่นเอง
แต่เมื่อฝึกหรือปฏิบัตินานๆไป ชำนาญเข้าๆ ก็จะเหนื่อยน้อยลง
ทำนองเดียวกันกับคนออกกำลังกายวิ่งหรือจ้อกกิ้ง ที่เมื่อปฏิบัติสม่ำเสมอแล้วก็จะทำให้เหนื่อยช้าลง
ทำให้หัวใจเต้นช้าลงฉันใดก็ฉันนั้น
เมื่อฝึกหรือปฏิบัติขนชำนาญมากขึ้นๆ
นิ้วทุกดนิ้วก็จะเคลื่อนไหวในลักษณะที่แม่นยำ มีพลังหรือกำลังอย่างหนักหน่วง
อย่างคล่องตัวได้ดังใจ เสียงทั้งหลายที่เกิดขึ้นก็จะค่อยๆหายไป
การผนึกกาย ปราณ และจิตให้เป็นเอกภาพ ทำนองเดียวกันกับกระบวนท่าแรกก็คือการปฏิบัติในขั้นสูงของกระบวนท่าที่สองนี้เช่นเดียวกัน
จากนั้นก้เป็นกระบวนท่า “กรายเล็บกรีดพิณ”
ซึ่งมีรากฐานมาจากการใช้ความอ่อนโยนของสตรี
ใช้ความนุ่มนวลของนิ้วมือที่เรียวงามกรีดกรายเพลงพิณเป็นเสียงพิณอันไพเราะเสนาะโศต
กระบวนท่านี้เป็นกระบวนท่าสุดท้ายที่แม้ยังมีการเดินหรือเกร็งกำลังอยู่แต่จะลดน้อยลง
เพื่อเตรียมตัวปรับสภาพเข้าสู่ความเป็รนปกติธรรมดา แต่ปมเงื่อนอยู่ที่ความอ่อนช้อยนุ่มนวลและเบาสบายเป็นสำคัญ
ทว่าในท่ามกลางความนุ่มนวลเบาสบายนั้นก็ยังคงต้องเดินและใช้พลังอย่างน้อยเท่ากับกระบวนท่าแรก
ซึ่งเป็นหลักการเช่นเดียวกันกับหลักวิชาไท้เก๊ก แม้ภายนอกดูไร้สภาพ เบาหวิว
ปลิวไปดุจปุยนุ่น แต่แม้จริงยังแฝงฝังพลังอันหนักหกน่วงปานขุนเขาเอาไว้ด้วย
ฉันใดฉันนั้น
ในการเริ่มต้นกระบวนท่าที่สามนี้ยังคงเป็นการยกมือทั้งสองตั้งฉากกับลำตัวในลักษณะชี้ตรงขึ้นข้างบน
เกร็งและเดินพลังในขนาดหรือระดับเดียวกันกับกระบวนท่าแรก
แต่ต้องรำลึกกำกับไว้เสมอว่าการกรีดกรายนิ้วแต่ละครั้งแต่ละนิ้วต้องมีความนุ่มนวล
อ่อนช้อย และเบาสบายเหมือนไร้พลัง
จากนั้นก็ให้โน้มนิ้วก้อยลงมาที่โคนฝ่ามือตามมาด้วยนิ้วนาง
นิ้วกลาง นิ้วชี้ และนิ้วหัวแม่มือ จากนั้น ปฏิบัติอย่างนี้ต่อเนื่องให้ได้ ๕ นาที
แล้วปฏิบัติในทางปฏิโลม คือเริ่มที่นิ้วหัวแม่มือโน้มลงมาทางโคนฝ่ามือ
ตามมาด้วยนิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง และนิ้วก้อย
ถ้าหากพินิจพิจารณาจะเห็นว่าการกรีดนิ้วแต่ละครั้งก็เหมือนกับสตรีกำลังร่ายรำหรือกำลังกรีดกรายเพลงพิณอยู่ฉะนั้น
ดังนั้นความนุ่มนวล อ่อนช้อย สม่ำเสมอ
แผ่วเบาหรือเบาสบายดุจปุยนุ่นอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น
ทำได้ถึงขั้นนั้นก็เรียกว่าเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องครบถ้วนกระบวนการแห่งกระบวนท่าที่สาม
ขอให้นึกดถึงการฝึกมวยไท้เก๊กที่ดูภายนอกเบาหวิว
แต่แท้จริงหนักหกน่วง จะบรรลุถึงขั้นสูงสุดก็ตรงที่ใช้มือชกดไปที่เต้าหู้
ภายนอกเต้าหู้ก็ยังคงสภาพเดิม แต่ภายในแตกเละไปหมด ฉันใดฉันนั้น
เมื่อเข้าใจถึงวิธีฝึกและวิธีปฏิบัติแต่ละกระบวนท่า
ตลอดจนปแมเงื่อนหรือข้อสังเกตต่างๆ ดังพรรณนามาโดยลำดับแล้ว
ก็จะเป็นการฝึกหรือปฏิบัติแต่ละกระบวนท่าต่อเนื่องกันไป
นั่นคืออาจฝึกหรือปฏิบัติได้เป็นสองลักษณะ โดยลักษณะแรก
ฝึกหรือปฏิบัติแต่ละกระบวนท่าโดยใช้ดเวลา ๕-๑๐ นาที
จากกระบวนท่าแรกไปสู่กระบวนท่าที่สอง และกระบวนท่าที่สาม กระบวนท่าละ ๕-๑๐ นาที
รวมเวลาให้ได้ประมาณ ๑๕-๓๐ นาที ก็จะมีผลมาก นี่อย่างหนึ่ง
หรืออีกอย่างหนึ่งคือฝึกหรือปฏิบัติกระบวนท่าแรกแล้วต่อเนื่องสู่กระบวนท่าที่สองและกระบวนท่าที่สามเป็นลำดับต่อไปเลย
เมื่อสิ้นกระบวนท่าที่สามแล้วก็มาเริ่มต้นกระบวนท่าแรกใหม่ไปจนถึงกระบวนท่าที่สามอีก
โดยถือเอาเวลารวมกัน ๑๕-๓๐ นาที
การผนึกกาย ปราณ
และจิตให้เป็นเอกภาพของทั้งสามกระบวนท่าสอดคล้องห้วงเวลาที่ฝึกหรือปฏิบัติจะมีผลใหญ่หลวงกว่าการฝึกหรือปฏิบัติเฉพาะกาย
หรือเฉพาะกายกับปราณ
เพราะนอกจากจะทำให้สุขภาพกายและพลังกายหายใจหรือพลังปราณสมบูรณ์ดีแล้ว
ยังทำให้จิตเป็นพลัง เป็นจิตตานุภาพอีกชนิดหนึ่ง
ซึ่งจะเพิ่มผลหรืออานิสงส์ขึ้นอีกมากมายหลายเท่านัก
หลอดเลือด เส้นเลือด เส้นประสาท
เส้นเอ็นทั้งหลายจะกลับฟื้นคืนปกติ มีความกระชุ่มกระชวย แม่นยำ คล่องตัว แข็งแรง ฟื้นคืนความหนุ่มสาวอีกครั้งหนึ่ง
ขอท่านทั้งหลายที่ได้ลองฝึกหรือปฏิบัติตามเคล็ดวิชาเคลื่อนขยายเส้นเอ็นนี้จงเป็นผู้ที่เส้นเลือดสมองไปแตก
ไม่ตีบ ไม่ตัน ไม่เหน็บ ไม่ชา ดำรงความหนุ่มสาว ความผ่องใส กระชุ่มกระชวยไว้โดยตลอดไปจนกว่าจะถึงเวลาพริ้มตาลงแล้วเดินทางไกลด้วยกันเถิด.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น