หน้าเว็บ

วันพุธที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

หลวงปู่พุทธะอิสระ - ปราณโอสถ (การฝึกปราณโอสถ)

 

การฝึกปราณโอสถ

 

         วิชาปราณโอสถมีอยู่ 3 ขั้นตอนที่จะต้องเริ่มฝึกหัด

·     ขั้นตอนที่ 1 กาย ได้จาก 3 อ. คือ อาหาร อากาศ และอาการ

·     ขั้นตอนที่ 2 จิต  เรียกว่า คสวามสมดุลของอารมณ์ การควบคุมจิตให้อยู่ในที่ตั้งอันเหมาะสม รักษาสมดุลมันได้ ไม่กระเพื่อมไปตามอารมณ์ที่ตาเห็น หูฟัง จมูกได้ ลิ้นรับ กายสัมผัส แม้ใจรับรู้ ก็ไม่กระเพื่อมตามอย่างนี้ เราจะฝึกพลังแห่งจิตได้ ทำให้จิตนี้แข็งแรงได้ ทำให้จิตนี้ตั้งมั่นอยู่ได้ นั้นเรียกว่าพลังจิตที่สมดุล

·     ขั้นตอนที่ 3 ปราณ  คือสมดุลลมหายใจ และสมดุลธาตุ 4 รักษาลมหายใจให้สม่ำเสมอเหมาะสม และควบคุมบังคับลมหายใจได้อย่างใจหวัง สั้นก็ได้ ย่าวก้ได้ แต่หายใจทุกครั้งต้องเป็นประโยชน์ ต้องชัดแจ้วง จริงจัง หนักหน่วง เหมาะสม ไหวพลิ้ว เบาสบาย และผ่อนคลายในที่สุด นั้นก็คือ ความหมายของคำว่าสมดุลของลมหายใจ

1. สมดุลของกาย ประกอบด้วบ 3 อ. คือ

         1. อาหาร

         2. อากาศ

         3. อาการ

         อาหาร  คือที่เรากินเราฉันเข้าไปนั่นแหละ ต้องเป็นประโยชน์ให้เหมาะสมต่อสุขภาพพลานามัย ให้เหมาะสมกับฤดูกาล ฤดูนี้ต้องกินอาหารที่มีรสเผ็ด ร้อน ขม มันจะได้ไปกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง ไม่เป็นหวัด ไม่เป็นโรคภูมิแพ้ แล้วปอดไม่ชื้น นอกจากกินอาหารตามฤดูกาลแล้ว เมื่อรู้ว่าเราเป็นโรคภูมิแพ้ โรคหวัด โรคปอดชื้น ต้องกินอาหารที่มีรสร้อน และเป็ด เพราะรสร้อน และเผ็ดจะทำให้ปอดคายน้ำได้ดี สุขภาพพลานามัยก็จะแข็งแรง ร่างกายเมื่อมีอาหารร้อนและเผ็ดเข้าไป จะช่วยทำให้เลือดลมเดินสะดวก ต่อมน้ำเหลืองและท่อน้ำเหลืองจะไม่อุดตัน นี่เรียกว่าอาหาร

         อากาศ  ก็ให้อยู่ในสถานที่โปร่ง แม้กินอาหารดี กินน้ำดี มีนยาดี แต่อยู่ในที่อากาศไม่ดี อยู่ในมลพิษ สูดอากาศไม่ดี ควันบุหรี่ ก็เรียกว่า อากาศไม่สมดุล

         อาการ  คืออากัปกิริยาของกาย คือ ยืน เดิน นั่ง นอน ยกแขน ลดแขน คนบางคนอยู่ในอิริยาบถหนึ่งนาน ก็ทำให้ของเหลวในกายตกตะกอน แล้วก็เป็นรังของโรค เลือดตกตะกอนก็กลายเป็นลิ่มเลือด เป็นไขมันอุดตันในหลอดเลือด อย่างนี้เป็นต้น น้ำเหลืองตกตะกอนก็ทำให้ท่อน้ำเหลืองอุดตัน เมื่อท่อน้ำเหลืองอุดตัน การเดินโคจรของน้ำเหลืองไปจุดต่างๆไม่ดี เราก็จะติดโรคง่าย น้ำเหลืองก็คือเครื่องตรวจวัดและกำจัดเชื้อโรค แล้วมันซึมซาบไปทุกอณูของร่างกาย น้ำเหลืองเรานี้เราจึงต้องใช้อาการ คือการเคลื่อนไหวกายให้มันเหมาะสม เช้าออกกำลัง ดูแลเอาใจใส่สุขภาพพลานามัย ทำความสะอาดรอบๆ กาย สถานที่ เหล่านี้มันเป็นการกระตุ้นให้ต้อมน้ำเหลืองทำงาน กระตุ้นให้เลือดลมเดินสะดวก แล้วตากแดดตอนเช้าๆ ช่วง 6 โมงเช้า ถึง  8 โมง เป็นเรื่อวงดีมากๆ เพราะทำให้เลือดเรามีสีเข้มข้น เลือดแดงก็จะเข้มข้น เมื่อเลือดแดงมีสีเข้มข้น แล้วเลือดแดงได้รับสงอุลตราไวโอเลตแล้ว มันจะทำให้ร่างกายแข็งแรง คือมีภูมิคุ้มกัน กำจัดเชื้อโรคที่เข้าไปข้างในได้ดี เรื่องพวกนี้อยู่ในข้อว่า อาการ เพราะฉะนั้นร่างกายจะแข็งแรงได้ มีอยู่ 3 อย่าง 1. อาหาร 2. อากาศ 3. อาการ จำเอาไว้เลย.

2. สมดุลจิต หรือพลังจิต

         พลังจิตคืออะไร และอะไรทำให้พลังจิตนี้สมดุลและมีพลัง เรียกว่า มีตบะ มีเดช มีศักดา จิตนี้จะมีเดช มีศักดา มีพลังได้ก็คือ ต้องรักษาอารมณ์ให้สมดุล

         อารมณ์สมดุล มันจะเป็นกระบวนการจักรพรรดิในการปกครองกายกับปราณให้สมดุลด้วย เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนพราหมณ์อายุ 77 ปี มาขอบวชตอนแก่ เนื่องจากเห็นคนเข้ามาบวชก็อยากบวชกับเขาบ้าง เพราะพระสาวกแต่ละองค์บวชก้เป็นพระอรหันต์ เหาะขึ้นบนสวรรค์ มีอิทธิฤทธิ์ มีคุณวิเศษ พราหมณ์ ผู้เฒ่าก็อยากเป็นพระอรหันต์บ้าง จึงไปกราบขอพระพุทธเจ้าว่า “ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระศาสดาผู้เจริญ หม่อมฉันปรารถนาจะบวชถวายชีวิตเพื่อสืบอายุขัยพระอรหันตเจ้า” พระพุทธเจ้าทรงตรัส “อนุโมทนาสาธุพราหมณ์ ถ้าอย่างนั้นเธอจงรักษาศีลเถิด” พราหมณ์ถามว่า “ศีลมีกี่ขจ้อพระเจ้าข้า” พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า “ศีลมี 227 ข้อ อภิสมาจารอีก 311” พราหมณ์ยกมือนับวันนี้อายุ 77 ถ้ารักษาศีลวันละข้อ อายุเกิด 100 ปีกว่าจะครบตายพอดี จึงถามพระพุทธเจ้าว่า “ไม่ไหวพระเจ้าข้ามันเยอะเกินไป เอาสั้นๆ ง่ายๆได้ไหมพระเจ้าข้า” พระพุทธเจ้าทรงตอบว่า “ได้ อย่างนั้นท่านรักษาใจ ศีลไม่ต้องรักษาก้ได้ แต่รักษาใจ” พราหมณ์จึงถ่ามว่า “รักษาอย่างไรพระเจ้าข้า” พระพุทธเจ้าทรงตรัสแก่พราหมณ์ว่า “รักษาใจไม่ให้กระเพื่อมตามตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายถูกต้องสัมผัส และใจเกิดอารมณ์ทั้งปวง ไม่ตกเป็นทาสและการครอบงำของอารมณ์นั้นๆ ให้ตั้งดิ่งมั่นอยู่สมดุล ไม่กระเพื่อมตามอารมณ์ที่บีบคั้น และรัดรึงครอบงำ” พราหมณ์สาธุรับคำสอนพระศาสดา เจ็ดวันต่อมาสำเร็จพระอรหันต์ พร้อมปฏิสัมภิทาญาณโดยการรักษาใจอย่างเดียว

         ดังนั้น จิตจะสมดุลได้ก็ต่อเมื่อต้องรักษาอารมณ์ แต่รวมแล้วทั้งกายและปราณจะสมดุลสูงสุดก็ต่อเมื่อต้องรักษาใจให้ได้ก่อน พระศาสดาทรงตรัสยืนยันกับพระอานนท์ว่า “อานนท์ เราตถาคตไม่ยกย่องสรรเสริญในการรักษาทรัพย์ รักดษาชีวิต รักษาอวัยวะ และรักษาธรรมเลย ถ้าไม่ได้รักษาใจ เพราะฉะนั้นการรักษาใจจึงเป็นสุดยอดแห่วงการรักษา

3. พลังปราณ

         “ปราณ” คืออะไร ที่จริง”ปราณ” โดยหลักภาษาแล้ว คือ ลมหายใจ แต่มันเป็นลมหายใจที่ไม่ใช่ลมหายใจของคนธรรมดา หมายถึง คนที่มีอัจฉริยภาพในการหายใจ วิชาลมหายใจ วิชาลมหายใจนี่อย่าดูถูกว่าเป็นเรื่องไร้สาระ มันจะมากอะไรกันนักหนา แค่หายใจเข้าและพ่นลมออกมาเฉยๆ อย่าดูถูก พระพุทธเจ้าบัญญัติวิชาลมหายใจไว้ถึง 16 ขั้นตอน ที่หายใจเข้าๆ ออกๆ พระองค์ทรงแยกไว้ถึง 16 ขั้น แสดงว่ามันต้องพิเศษพิสดารมาก และพระองค์ก็ทรงยืนยันว่า เราตถาคตมีอานาปานสติ คือลมหายใจเป็นวิหารธรรม คือเครื่องอยู่ ถ้าใครจะถามว่าพระพุทธเจ้าอยู่ด้วยธรรมอะไร พระองค์จะตอบว่า เราอยู่ด้วยอานาปานสติกรรมฐาน คืออยู่ด้วยลมหายใจ และมิใช่อยู่เฉพาะเราตถาคต ภิกษุเอย พรหมและเทพทั้งหลายก็อยู่ได้ด้วยลมหายใจ แล้วพวกคุณล่ะ อยู่ได้ด้วยลมหายใจหรือเปล่า ถ้าใช่ ถ้าอยู่ พวกหคุณก็ต้องรู้ว่ามันเข้ากี่ครั้ง ออกกี่ครั้ง ถ้าไม่รู้แสดงว่าไม่อยู่ แล้วอยู่ได้ด้วยอะไร ก็อยู่กับราคะทางตา โทสะทางหู โมหะทางจมูก โลภะทางกาย อวิชชาในใจ แล้วจะพ่นเข้าพ่นออกเท่าไรในห้านาที กูไม่รู้เรื่องทั้งนั้น ขอให้กูได้เข้าได้ออก แล้วบางทีก้โกรธก็หายใจแบบฟืดฟาด อย่างนี้จะเรียกว่าอยู่กับลมหายใจ หรืออยู่กับโทสะ? ถ้าอยู่กับลมหายใจ คืออยู่แล้วต้องเข้าใจ รู้จัก สุขุม และคัมภีรภาพในลมนั้น ลมหายใจมันสร้างสมดุลให้ชีวิตได้ แล้วหายใจเข้ามาปรุงขีวะกี่กระบวนการ หายใจออกทำลายชีวะกี่กระบวนการ ต้องรู้ ถ้าไม่รู้แสดงว่าเราไม่ได้อยู่กับลมหายใจ

         วิชาลมหายใจที่พระพุทธเจ้าแบ่งแยกเป็น 16 ขั้น ขั้นที่ 1-12 เป็นวิชาสมถะ ทำให้ถึงสมาบัติ 8 ขั้นที่ 13-16 เป็นวิปัสสนา ถามว่าเป็นวิปัสสนาได้อย่างไร ก็ประมาณว่า หายใจเข้าเราระงับกายสังขาร รู้อยู่แล้วจึงหายใจเข้า หายใจออกระงับกายสังขาร รู้อยู่แล้วจึงหกายใจออก คำว่า “ระงับกายสังขาร” คือตาเห็นรูปแล้วไม่ปรุง จึงหายใจออกครั้งหนึ่ง คุณคอิดว่ามันสุขุมขนาดไหน มันละเอียดขนาดไหน ขนาดที่ตาเห็นรูปแล้วไม่ปรุงแต่งในรูปนั้นจึงหายใจครั้งหนึ่ง อย่างนี้เขาเรียกว่า รู้ลมหายใจ เป็นผู้อยู่กับลมหายใจ เพราะฉะนั้นลมหายใจนี้เมื่ออยู่ขั้นคำว่า “สมดุล” มันไม่ใช่หายใจแค่หลอดลม ปอด แลบะถุงลม ถ้ามีคำว่าสมดุล คุณจะรู้ว่าไม่ได้หายใจแค่จมูกกับปาก แม้หูคุณก็มีลม รูขุมขน ผิวหนังคุรก็มีลมออก ลมมันออกได้ทุกทาง แม้เส้นผม เส้นขน คุณก็มีลมออก คนที่มีลมสุขุมเท่านั้นจึงจะเรียกว่าเข้าถึงคำว่า “ปราณ” ปราณตัวนี้จะชำแรกแทรกอยู่ในไขกระดูก และแกนกลางของกระดูก และเข้าไปในทุกอณูของเยื่อกระดูกอ่อน เหล่านี้เป็นปราณ เป็นพลังลม และถ้ากำหนดกฏเกณฑ์ แยกแยะและควบคุมมันได้ มันจะรักษาโรคได้

         การฝึกปราณโอสถ ใหม่ๆ มีคำเตือนอยู่ 3 อย่าง คือ สัจจะ ซื่อตรง จริงใจ และจริงจัง ทำอะไรให้มันจริงๆ จังๆ.



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น