หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

ภิกขุสรณะ – พระเจ้าในพุทธศาสนา และ ศาสนาอื่นๆ

 ภิกขุสรณะ – พระเจ้าในพุทธศาสนา และ ศาสนาอื่นๆ

Gods In Buddhism and Other Religions

         https://youtu.be/bk4mkiLNKII?si=Q_TIK5NojsEg4dDi

         https://monksarana.net/a-brief-biography-of-ashin-sarana/

         - ภิกขุสรณะ (Monk Sarana) เป็นชาวเชค(Czech)จบมัธยมในโรงเรียนคาธอลิค, มาบวชเณรและศึกษาพุทธศาสนาที่ศรีลังกา, และเดินทางมาปฏิบัติธรรมที่เมียนมาร์.


เรามีพระเจ้าในสวรรค์ด้วยเช่นกัน(we also have god in heaven). เรากระทั่งมีสวรรค์กับพระเจ้าผู้คิดว่าเขาเป็นผู้สร้าง(we even have heaven with the God who thinks he’s a creator), นั่นก็มีอยู่ในพุทธศาสนา(that’s in Buddhism).

         ในพุทธศาสนา, เรามีสวรรค์หนึ่งที่ซึ่งพระเจ้านั้นเชื่อว่าเขาได้สร้างโลกนี้ขึ้น(we have a heaven where the god believes that he created the world).

         ความแตกต่างระหว่างสวรรค์ของชนคริสเตียนและสวรรค์ของชนพุทธก็คือว่า(the different between the Christian heaven and the Buddhist heaven is that), ในสวรรค์ของชนคริสเตียน(in the Christian heaven)พระเจ้าผู้ที่เชื่อว่าเขาได้สร้างโลกนี้ขึ้น(the god who believes that he created the world)คือเป็นผู้สร้างโลกนั้นจริงๆ(is really the creator of the world), ในขณะที่(whereas), ในพุทธศาสนา(in Buddhism), พระเจ้าผู้ที่เชื่อว่าเขาได้สร้างโลกนี้นั้นผิด(the God who believes that he created the world is wrong)ตรงที่ว่า, เขานั้นจริงๆแล้วไม่ได้สร้างโลกขึ้นมา(he actually didn’t create the world).

         ดังนั้นเรามีสิ่งนี้, brahmani mantani kasuta ในมัชฌิมนิกาย(in machima nikaya), ที่ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงอธิบายว่า(where the Buddha explains that)พระองค์เองได้ไปเยี่ยมพระเจ้าผู้ที่เชื่อว่าตนเป็นผู้สร้างโลก(he himself visited the god who believes that he created the world)และได้ทรงอธิบายต่อเขาว่าเขานั้นสำคัญผิด(and explained to him that he’s wrong)และพระเจ้าก็ได้ยอมรับในคำอธิบายนั้น(and the god accepted that).

         คุณสามารถ, คุณอยากที่จะเปรียบเทียบพระเจ้าของชนกรีกกับพระเจ้าอื่นๆทั้งหลาย(you would like to compare Greek god to other gods)แต่, ยกตัวอย่างเช่น, พระเจ้าทั้งหลายของชนกรีก(Greek gods)ก็จะเป็นที่แตกต่างจากของพระเจ้าทั้งหลายของชนอียิปต์(would be different from the Egyptian gods)และพวกเขาก็จะเป็นที่แตกต่างจากพระเจ้าทั้งหลายของชนโรมัน(they would be different from the Roman gods).

         แต่สิ่งนี้เป็นความคล้ายคลึงกัน(this is a similarity)เพราะว่าจุดกำเนิดดั้งเดิมของศาสนานั่น(because of the origin of that religion), และดังนั้นเราจะมี, เราจะต้องมองที่ผู้นับถือศาสนานั้นกันสักเล็กน้อยในการศึกษาทั้งหลายทางศาสนา(we have to look a little bit in the religionistics in the religious studies).

         และในหัวข้อเรื่องศาสนาทั้งหลายของการศึกษาทั้งหลายทางศาสนา(in the subject of religions of religious studies)จึงมักมีคำอธิบายหนึ่งอยู่เสมอสำหรับศาสนาในรูปแบบเหล่านี้(there is always an explanation for these types of religion). ดังนั้นจึงมีศาสนาหนึ่งที่คุณมีลำดับชั้นของพระเจ้าทั้งหลาย(where you have a hierarchy of gods)และมีศาสนาหนึ่งที่เชื่อว่ามีพระเจ้าหนึ่งเดียว, พระเจ้าอันเป็นผู้สร้าง(and there is a religion which believes in one God, the God creator).

         ดังนั้น, เอ้อ, ศาสนาทั้งหลายเหล่านี้ผู้ที่เชื่อในลำดับชั้นของพระเจ้าทั้งหลาย(these religions who believe in hierarchy of gods). พวกเขาอยู่ในหัวข้อการศึกษาศาสนาทั้งหลาย(they are in the religious studies subject), พวกนั้นได้ถูกอธิบายเป็นเช่นการมาจากทฤษฎีที่ว่า(as coming from the theory), อะไรก็ตามนั้นถูกปกครองโดยพระเจ้าองค์หนึ่ง(that whatever is governed by a god).

ดังนั้นผู้คนพวกเขาจึงเห็นว่า, ฉันสร้างบ้านหลังหนึ่ง(I make a house), ฉันสร้างเครื่องมือหนึ่งขึ้นมาเพื่อการตัด(I make a tool for cutting), เครื่องมือสำหรับการสร้างไฟ(a tool for make

fire) และอะไรอื่นๆทั้งหลายอีก. ในกรณีที่เป็นเช่นนั้น(in that case if so), แล้วใครเป็นผู้สร้างต้นไม้นั้นขึ้นมา(who made the tree), ใครสร้างดวงอาทิตย์(who made the sun), ใครสร้างท้องฟ้า(who made the sky). อย่างแน่นอนล่ะ, ว่าต้องมีใครบางคนที่เหมือนฉัน, ผู้ที่สร้างมันขึ้นมา(who made it). แล้วนี่คืออะไรที่คุณจะได้เรียนรู้ในตอนเริ่มต้น(what you will learn in the beginning), ในการบรรยายสอนทั้งหลายอันดับแรกของการศึกษาทั้งหลายทางศาสนา(in the first lectures of religious studies). แล้วด้วยการได้ถูกเชื่อว่าเป็นเช่นนี้โดยนักบัณฑิตทั้งหลายเหล่านี้(this is believed to be  by these scholars), ก็ถูกเชื่อว่านี่เป็นการเริ่มต้นของศาสนาหนึ่ง(is believed to be the beginning of a religion). เป็นความคิดเชิงตรรกะโดยบริสุทธิ์แท้จริง(a mere logical thinking)ที่ความคิดเรื่องพระเจ้าผุดขึ้นมาผ่านการเปรียบเทียบตนเองของผู้หนึ่งกับโลก(that the idea of god emerges through one’s own comparison to the world).

         และนั่นคุณสามารถมองเห็นความพ้องเหมือนกัน(the similarity)ในชนชาวกรีก(Greek), โรมัน(Roman), อียิปต์(Egyptian)และศาสนาทั้งหลายอื่นๆ. คุณสามารถมองเห็นความพ้องเหมือนกันด้วยวิธีนี้, คุณสามารถเห็นว่ามีพระเจ้าองค์หนึ่งผู้ที่ปกครองพระเจ้ารายอื่นๆ(you can see that there is a god who governs the other gods)และพระเจ้าแต่ละองค์เหล่านี้ต่างก็มีภาระหน้าที่รับผิดชอบต่อรูปลักษณ์หนี่งๆของโลก(and each of these gods are responsible for an aspect of the world).

         ในหนทางเดียวกันของการเป็นมนุษย์ทั้งหลายในตอนที่ศาสนาทั้งหลายเหล่านี้กำลังเจริญรุ่งเรือง(in the same way as human beings at the time when these religions were flourishing), ก็อยู่ในลำดับชั้นหนึ่ง(were in a hierarchy), และแต่ละพวกเขาก็มีภาระหน้าที่รับผิดชอบแน่นอนชัดเจนสำหรับสาขาหนึ่งๆของชีวิต(and each of them were responsible for a certain field of the life). คุณรู้ไหม, ดังนั้นจึงได้มีรัฐมนตรีทั้งหลาย(so there were ministers). มีรัฐมนตรีว่าการต่างประเทศ(a minister of foreign affairs), มีรัฐมนตรีว่าการสุขภาพ(a minister of health), มีรัฐมนตรีอื่นอีกในด้านเกษตรกรรมหรือการศึกษา(another minister of agriculture or education). ดังนั้นสิ่งเหล่านี้จึงไม่ใช่สิ่งใหม่(so these things are not new things), สิ่งเหล่านี้มีที่อยู่แล้วในสมัยโบราณ(where they’re already in the ancient times).

         ดังนั้นเมื่อมองดูที่ความจริงที่ว่า, มนุษย์เองก็ยังมีภาระหน้าที่รับผิดชอบด้วยเช่นกันกับรูปลักษณ์ทั้งหลายของโลกมนุษย์(the fact that humans also are responsible for aspects of

the human world). มนุษยชาติได้พัฒนาศาสนาทั้งหลายประเภทเหล่านี้ขึ้น(the humanity is developed these kind of religions)ที่ซึ่งพระเจ้าแต่องค์มีภาระหน้าที่รับผิดชอบกับแต่ละรูปลักษณ์ของโลกนี้(where each gods is responsible for an aspect of the world).

         และแล้ว, ดังนั้นสิ่งนี้ก็จะเป็นเหมือนเป็นแค่ประเภทหกนึ่งเดียวของศาสนาทั้งหลาย(so this would be like one kind of religions). ดังนั้นพวกเขา, โดยพื้นฐานแล้วก็พูดได้เช่นนั้นก็เพราะว่าพวกเขามีแหล่งกำเนิดเดียวกัน(they are basically sating because they have the same source)ความคิดหลักเดียวกัน(same main idea).

         แล้วก็มีศาสนาอีกรูปแบบหนึ่ง(then there is another type of religion). แล้ว, พวกเขาก็รู้จักกันว่าคือ พหุเทวนิยม(they are known as polytheistic1), เพราะว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้า

         1 https://youtu.be/HQOR9L12FuY?si=YX0DcfeLSAGDsUsl

มากมายหลายองค์(they believe in many gods). พหุ(poly-)คือ มากมาย, เทวนิยม(theistic)คือ การเชื่อในพระเจ้า(believing in a god). แล้วเราก็มีศาสนาทั้งหลายแบบเอกเทวนิยม(monotheistic2 religions). ในศาสนาทั้งหลายเหล่านี้, พวกเขาเชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงหนึ่งเดียว(they

         2https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%A1

Believe in One God), ว่าพระเจ้าหนึ่งเดียวนั้นคือผู้ที่ได้สร้างโลกนี้ขึ้น (that’s the one god who created the world) และไม่มีรายอื่นใดอีก (none other), และไม่มีพระเจ้าองค์ใดอีก (there is no other god). พระองค์อาจจะมีบางผู้รับใช้ทั้งหลายในหลายหนทางที่แตกต่างกัน(he may have some servants in different ways), แต่พวกนั้นไม่ใช่พระเจ้า(but they are not gods), พวกเขายอมจำนนศิโรราบสิ้นให้กับพระผู้สร้างนี้(they are entirely subservient subservient to this god creator).

         และเราสามารถเห็นนี้, ประเภทของแนวความคิดนี้ในศาสนาทั้งหลายมากมายในโลกนี้(we can see this, this kind of concept in many religions in the world)ทุกวันนี้และในอดีตที่ผ่านมาtoday and in the past). คุณรู้ไหม, แม้กระทั่งศาสนาโซโรแอสเตอร์(Zoroastrian religion3),

            3 https://en.wikipedia.org/wiki/Zoroastrianism

ศาสนาโซโรแอสเตอร์เป็นเอกเทวนิยมด้วยเช่นกัน(was also monotheistic)และมันก็เก่าแก่มากๆ(very, very old). ศาสนาฮินดู(Hinduism)เองก็มีบรรจุไว้ด้วยรูปลักษณ์เอกเทวะด้วยเช่นกันในการตีความหมาย(also contains monotheistic aspects in an interpretation).

ดังนั้นเมื่อชนมุสลิมทั้งหลายมายังอินเดีย(so when Muslims came to India), แน่นอนว่า, นี้เป็นปัญหาใหญ่อันหนึ่ง(this was a big problem)เพราะว่าชาวฮินดูกับความคิดพหุเทวนิยมของพวกเขานั้นตรงกันข้ามมากเกินไปกับชนมุสลิม(Hindus with their polytheistic idea was too much contrary to Muslims). ดังนั้นจึงมีปัญหามากเกินไปกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้น(too much problem with the conflict). เพราะเช่นนั้นเอง,ชาวฮินดูในทุกวันนี้พวกเขาได้มีการสอนเรื่องความคิดเชิงเอกเทวะนี้กันมากยิ่งขึ้น(Hindus today more teaching this monotheistic idea)ว่าที่มีเพียงพระเจ้าองค์เดียวและบรรดาพระเจ้าอื่นๆทั้งหมดนั้นเป็นแค่รูปลักษณ์ทั้งหลายของพระเจ้าหนึ่งเดียวนี้(where there is just one god and all of the other gods are just aspects of this one god), พวกเขาไม่ใช่พระเจ้าทั้งหลายที่แยกออกมาจากกัน(they are not separate gods), แต่ในประวัติศาสตร์มันไม่ใช่เช่นนั้น(but in history it was not like that). ดังนั้นในทุกวันนี้ชนฮินดูทั้งหลายถ้าคุณถามพวกเขาว่า, พวกเขามีพระเจ้ามากมายหลายองค์ไหม, พวกเขาก็จะบอกว่า, ไม่ พวกเขามีแค่พระเจ้าหนึ่งเดียวคือพระผู้สร้าง(we have just one god creator)และไม่มีพระเจ้าทั้งหลายอื่นอีก(and there is no other gods). แต่เรื่องนี้, ผมเชื่อว่าเป็นการพัฒนาชัดเจนขึ้นอย่างมาก(is a very obvious development)เพราะชุมชนมุสลิมในที่นั้น(because of the Muslim community there).

ดังนั้น, จึงมีศาสนาเอกเทวนิยมอยู่มากมายที่เป็นเหมือนเช่นนี้(there are many monotheistic religions like this)และพวกเขาที่จริงแล้วก็เหมือนกันในความคิดนี้(they are actually same in this idea)ว่ามีพระเจ้าผู้สร้างเพียงหนึ่งเดียว(there is one creator god)ดังเช่น ศาสนาจูดาย(Judaism), อิสลาม(Islam), และฮินดูสมัยใหม่(the modern Hinduism). พวกเขาคล้ายคลึงในการเคารพนับถือนี้(they are very, very similar in this respect). คริสเตียนก็มีความคล้ายคลึงนี้มากด้วยเช่นกัน(Christianity is also very similar), แต่ในคริสเตียน(but in Christianity), ความคิดนี้, ที่ว่าจีซัสอาจมีพระเจ้าอยู่ภายใน(Jesus could contain God)กลายเป็นที่โต้แย้งถกเถียงกันอย่างมาก(becomes very controversial). ดังนั้น, บางชนมุสลิมทั้งหลายผู้ไม่ชื่นชมนิยมในคริสเตียน(Muslims who do not appreciate Christianity), พวกเขากระทั่งสามารถที่จะพูดว่า(even able to say)ถ้าพวกเขาต้องการที่จะบิดเบือนใส่ร้ายไปก็จะเป็นปัญหาขึ้นได้(if they want to distort that’s the problem)เมื่อผู้คนยังไม่ได้รับการศึกษาเกี่ยวกับศาสนาทั้งหลาย(when people are not educated about religions), แล้วถ้าพวกเขาต้องการจะบิดเบือนใส่ร้ายสิ่งนั้น(if they want to distorted the thing)และพวกเขาต้องการที่จะฆ่าคริสเตียน(they want to kill the Christians)แล้วพวกเขาก็จะแค่บอกว่า, คริสเตียนนั้นเชื่อในพระเจ้าสามองค์(Christians believe in three gods). แล้วนั่นก็ไม่ใช่ความสัจจริง(so that’s not the truth)แล้วนั่นเป็นความผิดและเพราะเช่นนั้นพวกเขาต้องตาย(that’s wrong and therefore they have to die).

ดังนั้น, นี้เป็นบางมุสลิมที่สุดโต่งทำ(some extremist Muslims do), แล้วสิ่งนี้ก็กำลังมาสู่ที่ใดก็ได้(this is come on anywhere), อย่างที่คุณรู้, ถ้ามุสลิมต้องการจะฆ่าฮินดูสักคนหนึ่ง(if Muslims want to kill a Hindu)เขาก็จะบอกว่า, เพราะนายนั้นเชื่อในพระเจ้าหลายองค์(he believes in many gods). เขาไม่ได้ถาม(he doesn’t ask)เขาแค่มาแล้วก็ทำมัน(he just comes and does it). นั่นคือพฤติกรรม(that’s the act).

ดังนั้น, นี่คือปัญหาของความขาดการศึกษาในศาสนาทั้งหลาย(the problem of lack of education in religions). แต่ความจริงก็คือ, ศาสนามากมายทั้งหลายที่ดูเหมือนว่าจะแตกต่างกันในแกนความเชื่อของพวกเขา(many religions seemingly are different in their core believe), แต่ที่จริงแล้วพวกเขาอย่างที่สุดแล้วก็เหมือนกัน(in fact they are absolutely same). ดังนั้น,สำหรับเรื่องนี้แล้ว, มันจำเป็นที่จะต้องศึกษากันในเรื่องศาสนา(it’s necessary to study on the religion)และมีการพบปะประชุมกับผู้คนที่นับถือศาสนานั้นๆ(and meet the people who follow that religion), รู้มั้ย, และถามพวกเขา(ask them), พบปะกับบัณฑิต/นักวิชาการทั้งหลายของศาสนานั้นๆ(meet the scholars of that religion), แล้วคุณก็จะได้เรียนรู้อย่างจริงๆ(then you can really learn).

ผมเองได้อยู่ในการสัมผัสติดต่อใกล้ชิดเป็นอย่างมากกับที่แน่ชัดว่าคือคริสเตียนและพุทธทั้งหลาย(in a very close contact with obviously Christians and Buddhists), แต่ก็กับมุสลิมด้วยเช่นกัน(but also with Muslims), ผมได้ไปเยือนสุเหร่าทั้งหลาย(I visited mosques)เพื่อที่สนทนาหารือในเรื่องอิสลาม(to discuss Islam)และสนทนาหารือในเรื่องคัมภีร์กุรอาน(to discuss Quran). ผมได้พูดคุยกับบัณฑิต/นักวิชาการมุสลิม(I spoke with Muslim scholars). ผมได้พูดคุยกับฮินดู(I spoke with Hindu), ผมได้พูดคุยกับผู้คนอื่นที่นับถือศาสนาทั้งหลาย(other people who follow religions). ผมได้เขียนเรียงความทั้งหลาย(essays)ในเรื่อง 11 ความเชื่อถือและปรัชญาทั้งหลายที่แตกต่างกัน(on 11 different faiths and philosophies). แล้วผมก็ได้ศึกษาทางศาสนา(studied religious), ศึกษามาถึง 11 ปี(studied for 11 years), 8 ปีในโรงเรียนมัธยมและ 3 ปีที่ในมหาวิทยาลัย. ดังนั้น, นี่เป็นสำหรับผมแล้ว, แกนของความรู้ของผมนั้นกระจ่างชัดเจน(this is a for me, the core of my knowledge obviously)และมันช่วยให้ผมที่จะเข้าใจว่าศาสนาทั้งหลายจริงๆเป็นอะไรที่มากยิ่งไปกว่าที่คุณได้ยินจากบุคคลอื่น(it helped me to understand that really religions are a little bit more than that what you hear from another person).

https://youtu.be/bk4mkiLNKII?si=hZqQ8VjLt1rnbxz4

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น