พระนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาจารย์ (เทสก์ เทสรังสี) - สิ้นโลก เหลือธรรม
พระพุทธเจ้าได้อุบัติเกิดขึ้นมาในโลก
เป็นศาสดาเอกด้วยการตรัสรู้ชอบเอง ไม่มีใครเป็นครูอาจารย์สอน
แล้วก็นำเอาธรรมที่พระองค์ได้ตรัสรู้นั้น มาสอนแก่มนุษย์ทั้งปวง
ด้วยธรรมที่สอนนั้น สอนมีเหตุมีผล มิใช่ไม่มีเหตุมีผล เป็นของอัศจรรย์
สมควรที่ผู้ฟังทั้งหลายตรึกตรองแล้วจะเข้าใจได้ แลไม่ได้บังคับให้ผู้มานับถือ
แต่เมื่อผู้ฟังทั้งหลายมาฟังตรึกตรองตามเหตุผลแล้ว เห็นดี เห็นชอบ มีเหตุมีผล
แล้วเลื่อมใสศรัทธา จึงเข้ามานับถือด้วยตนเอง ซึ่งผิดจากศาสนาอื่นและลัทธิอื่น บางทีลัทธิศาสนาอื่น
ซึ่งเขาห้ามไม่ให้วิจารณ์ศาสนาของเขา อ่านพุทธศาสนา ท้าให้วิจารณ์ได้เต็มที่เลย
วิจารณ์เห็นเหตุ เห็นผล แน่ชัดด้วยตนเองแล้ว จึงนับถือด้วยความเป็นอิสระ
แลเมื่อยอมรับนับถือแล้ว ความคิดความเห็นและการปฏิบัติ
ก็จะเป็นไปในแนวเดียวกันทั้งหมด โดยมิได้บังคับ หรือนัดแนะกันไว้ก่อนเลย
หากแต่เป็นไปตามเหตุผล ดังนี้คือ
ขั้นที่
๑ เชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม “กมฺมสฺสกา กมฺมทายาทา
กมฺมโยนี กมฺมพนฺธู กมฺมปฏิสรณา ยํ กริสฺสนฺติ กลฺยาณํ วา ปาปกํ วา ตสฺส ทายาทา
ภวิสฺสนฺติ” ทั้ง ๖ อย่างนี้ เชื่อมั่นแน่วแน่อยู่ในใจของตน ทุก ๆคน ตลอดชีวิต...........
(จากหนังสือ “เทสรังสีอนุสรณาลัย”,
พิมพ์ครั้งที่ ๑, ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๙, หน้า ๒๕-๒๖)
กาย แล จิต หรือ รูป กับ นาม
ก็ว่าแยกกันเกิด แลแยกกันดับ ฉะนั้น ผู้มีปัญญาทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น
เมื่อท่านมีทุกขเวทนาทางกาย ท่านจึงแยก จิต ออกจากกาย กาย
แล้วจึงเป็นสุข
เมื่อจะเกิด สัมภาวะธาตุของบิดามารดาประสมกันก่อน
หรือเรียกว่าน้ำเชื้อ หรือเรียกว่าสเปอร์มาโตซัวกับไข่ประสมกันก่อน แล้วจิตปฏิสนธิจึงเข้ามาเกาะ
ถ้าธาตุของบิดามารดาประสมกันไม่ได้สัดส่วนกัน เช่น อีกฝ่ายหนึ่งเสีย
เป็นต้นว่ามันแดง หรือสีมันไม่ปกติ ก็ประสมดันไม่ติด แล้วปฏิสนธิจิตก็ตั้งไม่ติด
เรียกว่า รูปเกิดก่อน แล้วจิตจึงมาเข้าปฏิสนธิภายหลัง
เวลาดับ จิตดับก่อน กายจึงดับภายหลัง
พึงเห็นเช่นคนตาย จิตดับหมดความรู้สึกแล้ว แต่กายยังอบอุ่น
เซลล์หรือประสาทยังมีอยู่ คนตายแล้วกลับฟื้นคืนมา ยังใช้เซลล์หรือประสาทนั้นได้ตามเดิม
เมื่อจิตเข้ามาครองร่างกายอันนี้แล้ว จิตขึงเข้ามาไปยึดร่างกายอันนี้หมดทุกชิ้นทุกส่วน
ว่าเป็นของกู ๆ แม้ที่สุด ร่างกายนี้จะแตกดับตายไปแล้ว มันก็ยังถือว่าของ
กู ๆ อยู่นั่นเอง พึงเห็นเช่นพวกเขาเหล่านั้นตายไปแล้ว
ได้เสวยกรรมที่ตนได้กระทำไว้แต่ยังเป็นมนุษย์อยู่ ไปเกิดเป็นอมิสกาย เช่น ภูต
ปีศาจ หรือเทวบุตร เทวดา เป็นต้น เมื่อเขาเหล่านั้นจะแสดงให้คนเห็น
ก็จะแสดวงอาการที่เคยเป็นอยู่แต่ก่อนนั้นแหละ เช่น เคยทำชั่ว จิตใจเศร้าหมอง
กายสกปรก หรือเคยทำความดี จิตใจใสสะอาด ร่างกายงดงาม สมบูรณ์ ก็จะแสดงอย่างนั้น ๆ
ให้คนเห็น
แม้ที่สุดสัตว์ตายไปตกนรก
ก็แสดงภูมินรกนั้นให้คนเห็นชัดเจนเลยทีเดียว แต่แท้จริงแล้ว ภพภูมิของเขาเหล่านั้น
มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถจะเห็นได้ดอก เพราะเขาเหล่านั้นตายไปแล้ว ยังเหลือแต่จิตกับกรรม
ที่เขาได้กระทำไว้แล้วเท่านั้น
มนุษย์คนเรานี้เกิดขึ้นมาแล้ว
มายึดถือเอาร่างกายอันนี้ว่าเป็นของกู มันแน่นหนาลึกซึ้งถึงขนาดนี้
ท่านผู้ฉลาดมาชำระจิตด้วยการทำสมาธิภาวนา ให้จิตสะอาดบริสุทธิ์แล้ว
จนเข้าถึงความเป็นกลางได้ ไม่อดีต อนาคต วางเฉยได้ เข้าถึงใจ นั่นแลจึงพ้นจากสรรพกิเลสทั้งปวงได้.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น