หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

บุญศักดิ์ แสงระวี – ระบอบประชาธิปไตยของฝ่ายตะวันตก – (1)

 บุญศักดิ์ แสงระวี – ระบอบประชาธิปไตยของฝ่ายตะวันตก – 1 (15 ธันวาคม 1989)

(จากหน้า 176 – 184)

          ประชาธิปไตยของฝ่ายตะวันตกเป็นผลิตผลของการเมือง เศรษฐกิจ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมจำเพาะตัวของฝ่ายตะวันตก เป็นการออกแบบอย่างประณีตวิจิตรบรรจง ของกลุ่มปกครองชนชั้นนายทุนตะวันตก เพื่อคุ้มครองการปกครองด้วยทุนของตน ซึ่งถือเป็นแบบแผนการเมือง แต่เพียงหนึ่งเดียวที่จะเอาไปสวมครอบที่ไหนก็ได้ ไม่ได้เป็นอันขาด

          หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับแต่ทศวรรษที่ 70 ของศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา พร้อมๆกับที่ระบอบประชาธิปไตยของฝ่ายตะวันตกได้ผ่านการปรับตัวเอง จนสามารถจะมีเสถียรภาพอย่างสัมพันธ์ขึ้น ก็ได้ใช้อานุภาพของตนขยายอิทธิพลออกไปทั่วโลกอย่างเป็นประวัติการณ์ บุคคลในวงการเมืองของฝ่ายตะวันตกส่วนหนึ่งได้พยายามอวดอ้างว่า ระบอบประชาธิปไตยของตนเป็น “ประชาธิปไตยของมวลประชาชน” เป็น “ประชาธิปไตยทั่วไป” เป็น “ประชาธิปไตยนิรันดร” และพยายามเร่ขายไปยังต่างประเทศในฐานะที่เป็น “ค่านิยมโลก” ในสายตาของพวกเขา ระบอบการเมืองที่มีรูปแบบไม่เหมือนกันกับที่พวกเขาดำเนินการอยู่ ก็จะต้องมิใช่เป็นประชาธิปไตย กระทั่งกล่าวหาว่า เป็นเผด็จการไปเลย.

          ในขณะเดียวกัน ก็มีคนบางส่วนในประเทศที่มีระบบการเมืองแตกต่างออกไป เกิดความเพ้อฝันที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงเป็นอันมากต่อระบอบประชาธิปไตยของฝ่ายตะวันตก ประเทศที่กำลังพัฒนาบางประเทศก็ได้กลายเป็น “หนูตะเภา” ของระบอบประชาธิปไตยฝ่ายตะวันตกโดยสมัครใจเองหรือโดยถูกกระทำ ลงท้ายก็นำมาซึ่งการไหวกระเพื่อมทางการเมือง เศรษฐกิจชะงักงัน ประชาชนเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า

          ในหลายปีใกล้ๆนี้ ความเป็นจริงอันร้ายแรงเป็นอันมากในโลก ได้บอกแก่ผู้คนทั้งหลายที่มีความตั้งใจดีแจ่รู้เท้าไม่ถึงการณ์ว่า การมองระบอบประชาธิปไตยฝ่ายตะวันตกด้วยความเยือกเย็น เลือกเฟ้นแม่แบบและหนทางแห่งการพัฒนาของระบอบการเมืองที่สอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศตน เป็นสิ่งบ่งชี้ถึงความสุกงอมแห่งการพัฒนาของประชาชาติหนึ่งๆ โดยแท้ที่จริงแล้ว ประชาธิปไตยของฝ่ายตะวันตกเป็นผลิตผลของการเมือง เศรษฐกิจ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมจำเพาะตัวของฝ่ายตะวันตก เป็นการออกแบบอย่างประณีตวิจิตรบรรจงของกลุ่มปกครองชนชั้นนายทุนตะวันตกเพื่อคุ้มครองการปกครองด้วยทุนของตน ซึ่งจะถือเป็นแม่แบบการเมืองแต่เพียงหนึ่งเดียวที่ตจะเอาไปสวมครอบที่ไหนก็ได้ไม่ได้เป็นเด็ดขาด

          ระบอบประชาธิปไตยของฝ่ายตะวันตก ได้ผ่านการพัฒนาและการปรับความสมบูรณ์เป็นเวลาหลายร้อยปีบรรลุถึงระดับที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน แม้ว่าจะมีคนไม่น้อยเห็นว่าระบอบประชาธิปไตยของประเทศลัทธิทุนนิยมมีความสมบูรณ์ขึ้นเรื่อย ๆ เทคนิคการปกครองก็มีหลักมีเกณฑ์ขึ้นเรื่อย ๆ มาตรการการปกครองก็มีรูปแบบมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ตาม ทว่าในตัวของมันเองหรือการนำเอาไปใช้และเผยแพร่ในหลายๆประเทศ พอเริ่มต้นก็จะเห็นถึงความบกหร่องหรือกระทั่งมีปัญหาที่ร้ายแรงอยู่มากมาย แม้จะได้ผ่านการปรับปรุงแก้ไขอุดช่องโหว่กันครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ไม่วานที่จะแสดงให้เห็นว่ามันหาได้ครบถ้วนสมบูรณ์เป็นแม่แบบที่หมดจดงดงามแต่ประการใดไม่.

          ก่อนอื่น เราลองมาพูดถึงระบอบการเลือกตั้งของฝ่ายตะวันตก ระบอบเลือกตั้งทั่วไปในฐานะที่เป็นรากฐานของระบอบผู้แทนนั้น  อังกฤษเป็นผู้เสนอออกมาก่อนเพื่อน การเคลื่อนไหวรัฐธรรมนูญของอังกฤษได้เสนอให้เขตการเลือกตั้งทุกเขตมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน ยกเลิกข้อจำกัดฐานะทางทรัพย์สมบัติ เพศชายควรมีสิทธิเลือกตั้ง ถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะมิใช่เป็นความเรียกร้องต้องการของประชาชนอย่างถึงที่สุดก็ตาม ในอังกฤษก็ยังต้องผ่านเวลาอันยาวนานจึงจะสามารถปรากฏเป็นจริงขึ้นมาได้ หลังจากการปฏิรูปพระราชบัญญัติเกี่ยวกับระบอบผู้แทนของสก็อตแลนด์และเวลสิ์ลงมติผ่านในปี 1832 แล้ว เวลานั้นประชากรที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไปที่มีสิทธิ์เลือกตั้งมีเพียง 7 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น การปฏิรูปการณ์เลือกตั้งในปี 1867 ได้ลดข้อจำกัดฐานะทางทรัพย์สมบัติลงไป ส่วนเปรียบเทียบของผู้มีสิทธิเลือกตั้งจึงสูงขึ้นเป็น 16 เปอร์เซ็นต์  ปี 1884 ก็ลดข้อจำกัดฐานะทางทรัพย์สมบัติลงไปอีก ผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้งจึงสูงขึ้นเป็น 28 เปอร์เซ็นต์ ปี 1913 กำหนดให้สตรีเพศอายุ 30 ปีขึ้นไปมีสิทธิเลือกตั้ง ส่วนเปรียบเทียบในกรณีนี้จึงเพิ่มขึ้นเป็น 78 เปอร์เซ็นต์ จนถึง ปี 1970 จึงได้กำหนดให้ชายหญิงอายุ 18 ปีขึ้นไปมีสิทธิ์เลือกตั้งเท่าเทียมกันอย่างเสมอภาค จากนี้จะเห็นได้ว่า ในอังกฤษ เฉพาะเรื่องสิทธิการเลือกตั้งอย่างเดียวก็ต้องใช้เวลานานถึงศตวรรษครึ่ง ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่การปฏิวัติชนชั้นนายทุนถึงที่สุดอย่างที่สุด จนกระทั่ง ถัง ปี 1974 จึงได้ผ่านรัฐบัญญัติแก้ไขรัฐธรรมนูญ กำหนดให้ชายหญิงที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปมีสิทธิเลือกตั้งเท่าเทียมกันอย่างเสมอภาค ส่วนในอเมริกา กว่าจะบรรลุถึงข้อนี้ได้ก็เป็นปี 1971 เข้าไปแล้ว หลังสงครามโลกครั้งที่สองมานานพอสมควร

          ประการที่สอง มาดูคำขวัญ “ทุกคนมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน” (all men are equal) ที่ประชาธิปไตยฝ่ายตะวันตกตะโกนอยู่ปาว ๆ อเมริกาถือตัวเองเป็นแบบฉบับของประชาธิปไตยตลอดมา เหตุผลประการหนึ่งในนั้นคือนับแต่อเมริกาสถาปนาประเทศเป็นอิสระขึ้นมาก็เนื่องมาจากได้เน้นคำว่า “ทุกคนมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน”นี่เอง.  แท้ที่จริงแล้วการเหยียดผิวและการเหยียดเพศในอเมริกามีรากเหง้าอยู่อีกมาก พูดจากอดีตในระยะเวลาหนึ่งที่ค่อนข้างนานหลังจากได้ก่อตั้งประเทศอเมริกาขึ้นมาแล้วก็มีระบบทาสดำรงอยู่ ในช่วงสงครามกลางเมือง ประธานาธิบดีลินคอล์นประกาศ “แถลงการณ์ปลดปล่อยทาส” แม้ว่าในทางกฎหมายจะได้ยกเลิกท่าสไปแล้วก็ตาม แต่ชาวผิวดำยังไม่สามารถได้รับสิทธิเสมอภาค กระทั่งการปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเสมอภาคก็ยังไม่สามารถจะทำได้ หลังจากแก้ไขรับธรรมนูญมาตรา 185 ในปี 1870 ที่เสนอว่า “รัฐบาลสหรัฐหรือรัฐบาลมลรัฐใด ๆ ปฏิเสธที่จะให้หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของพลเมืองสหรัฐอันเนื่องมาจากเชื้อชาติ สีผิวหรือเคยต้องโทษมาแล้วมิได้” ประกาศใช้แล้ว สิทธิการเลือกตั้งของชาวผิวดำหลายต่อหลายแห่วงยังคงถูกเพิกถอนหรือจำกัดอยู่เหมือนเดิม พร้อมกันนี้ การแบ่งแยกทางเชื้อชาติกลับยิ่งร้ายแรงขึ้นทุกวัน ปี 1875 รัฐสภาสหรัฐผ่านรัฐบัญญัติห้ามมิให้ดำเนินการแบ่งแยกเชื้อชาติบนรถไฟหรือบนเรือโดยสารในสาขาการคมนาคมและในที่สาธารณะอื่น ๆ แต่ก็ได้ถูกศาลสูงสุดตัดสินว่าเป็นการละเมิดรับธรรมนูญไม่มีผลบังคับใช้ในเวลาต่อมใอย่างรวดเร็ว ทศวรรษที่ 60 ของศตวรรษที่ 20 ในที่สุดอเมริกาก็เกิดการเคลื่อนไหวสิทธิประชาชนอันใหญ่โตม้วนตลบไปทั่วประเทศ และนำมาซึ่งการปะทะกันอย่างร้ายแรงถึงนองเลือด มองจากระยะใกล้ กวันนี้ในอเมริกาแม้จะไม่มีการกำหนดอย่างชัดเจนในทางกฎหมายหรือในด้านระบอบที่แสดงการเหยียดผิวก็ตาม แต่ชาวผิวดำและผิวสีอื่นๆ ก็ยังคงไม่ได้รับการเคารพและสิทธิอันพึงมีพึงได้ในสังคมอเมริกาอยู่เสมอ ปี 1992 ตำรวจผิวขาวทุบตีรอดนี่ คิง คนขับรถผิวดำ ได้ก่อให้เกิดการปะทะกันทางเชื้อชาติขนาดใหญ่ ปี 1994 หนังสือชื่อ “เส้นคดในภาวะปกติ” ซึ่งโพนทะนาเหยียดชาวผิวดำเป็นคนชั้นต่ำ ยังคงแพร่หลายไปทั่วอเมริกา

          สุดท้าย ควรจะชี้ออกมาอย่างเน้นหนักว่า เมื่อเราพูดถึงระบอยบประชาธิปไตยของฝ่ายตะวันตก คนทั้งหลายก็มักจะคิดถึง “การแยกอำนาจ 3 ฝ่าย” “ระบอบรัฐสภา” “ระบอบหลายพรรค” เป็นต้น และเข้าใจว่า ระบอบการเมืองของฝ่ายตะวันตกมีแม่แบบอยู่เพียงชนิดเดียว ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด ควรจะกล่าวว่า “การแยกอำนาจ 3 ฝ่าย” “ระบอบรัฐสภา” “ระบอบหลายพรรค” เป็นลักษณะพิเศษสำคัญของระบอบประชาธิปไตยของฝ่ายตะวันตก แต่รูปแบบการแสดงออกที่เป็นรูปธรรมของมันในประเทศต่างๆ ไม่เหมือนกัน ความจริง ระบอบการเมืองของฝ่ายตะวันตกมีมากมายหลากหลาย รูปลักษณ์ก็ผิดแผกแตกต่างกันไป ไม่มีระบอบของประเทศใดเหมือนกับของอีกประเทศหนึ่งเลยสิ้นเชิง พิจารณาจากรูปแบบระบอบการเมืองที่เป็นรูปธรรมขอวงประเทศต่าง ๆ ระบอบประชาธิปไตยของฝ่ายตะวันตกอาจจะแยกออกเป็นหลายประเภทที่แตกต่างกัน ในประเทศลัทธิทุนนิยมที่เจริญแล้ว ที่สำคัญมีอยู่หลายชนิดคือ 1. ระบบกษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ เช่น อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ สวีเดน 2. ระบอบประธานาธิบดี เช่น อเมริกา 3. ระบอบกึ่งประธานาธิบดี เช่น ฝรั่งเศส 4. ระบอบสาธารณรัฐรัฐสภา เช่น เยอรมนีกับอิตาลี ซึ่งก็มีประธานาธิบดีเหมือนกันแต่ไม่มีอำนาจ โดยไม่อาจเทียบำด้กับของอเมริกาหรือฝรั่งเศส 5. สวิตเซอร์แลนด์ ว฿งดำเนินระบอบคณะมนตรี สมาพันธรัฐตั้งคณะมนตจรี 7 คนร่วมกันใช้อำนาจของส่วนกลาง

          ประเทศตะวันตกต่างๆ ก็ว้าตนดำเนิน “การแยกอำนาจ 3 ฝ่าย” แต่สำหรับอังกฤษดำเนินการประนีประนอมระหว่างฝ่ายบริห่ารกับฝ่ายรัฐสภา อเมริกาเป็น 3 อำนาจเท่าเทียมกัน ฝรั่งเศสก็ถือฝ่ายบริหารเป็นหลัก ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ว่าได้ดำเนิน “ระบอบหลายพรรค” แต่ก็มีแต่เพียงพรรคเดียวที่ใหญ่อยู่เพียงหนึ่งในการครองอำนาจ บ้างก็เป็นหลายพรรคต่างมุ่งโค่นซึ่งกันและกันเพื่อชิงอำนาจ อังกฤษ อเมริกา แม้จะเป็นระบอบ 2 พรรค แต่ก็มีสภาพที่แตกต่างกันออกไป อังกฤษเป็น “ระบอบโครงสร้างพรรคแข็ง” คณะรัฐมนตรีจัดตั้งขึ้นโดยพรรคที่มีเสียงข้างมากในรัฐสภา นโยบายของประเทศกำหนดโดยพรรคใหญ่ที่ครองอำนาจรัฐอยู่ ส่วนพรรคการเมืองของอเมริกาแทบจะกล่าวได้ว่า ไม่มีวินัยอะไรเลย การจัดตั้งก็หลวมๆ เรียกกันว่าเป็น “ระบอบโครงสร้างพรรคอ่อน” ประเทศตะวันตกต่าง ๆ ถึงล้วนมีแต่รัฐสภา แต่ก็มีวิธีเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภา อำนาจของรัฐสภา วาระของการประชุมรัฐสภา องค์ประกอบการจัดตั้งภายในรัฐสภาเป็นต้นเหล่านี้ แต่ละประเทศล้วนมีลักษณะพิเศษของตนเอง และมีความหมายแตกต่างห่างไกลกันมาก ส่วนระบอบตุลาการ ระบอบราชการ ระบอบทหาร ความสัมพันธ์ระหกว่างส่วนกลางกับส่วนภูมิภาคคลอดจนระบอบการปกครองตนเองเป็นต้น แต่ละประเทศก็ไม่เหมือนกัน มิได้มีแม่แบบที่เป็นเอกภาพแต่ประการใด

          ความหมายดั้งเดิมของศัพท์คำว่า “ประชาธิปไตย” คือการปกครองของคนส่วนมาก การประเมินว่าระบอบการเมืองใดเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ ปมเงื่อนอยู่ที่ต้องดูว่า ความมุงมาดปรารถนาของประชาชนอันกว้างใหญ่ไพศาลที่สุดได้รับการสะท้อนออกมาอย่างเต็มที่หรือไม่ ความเรียกร้องค้อวการการเป็นเจ้าของบ้านของประชาชนอันกว้างใหญ่ไพศาลที่สุด ปรากฏว่าเป็นจริงอย่างเต็มที่หรือหาไม่ ในสังคมลัทธิทุนนิยม โดยการโฆษณาแล้วก็ว่าประชาชนมีสิทธิประชาธิปไตยและความเสมอภาคที่กว้างขวางมากมายเป็นอย่างยิ่ง แต่ในทางเป็นจริงนั้น เนื่องจากปัจจัยการผลิต(ธุรกิจ โรงงาน ที่ดิน เงินทุน ธนาคาร ฯลฯ) เป็นการครอบครองโดยส่วนตัวของนายทุน ความเสมอภาคโดยผิวเผินเช่นนี้มักถูกความไม่เสมอภาคในธาตุแท้เข้าแทนที่ ความเสมอภาคทางกฎหมายมักจะถูกความไม่เสมอภาคในความเป็นจริงเข้าแทนที่ ในสังคมลัทธิทุนนิยม มีแต่ผู้มีเงินทุนเท่านั้นที่มีประชาธิปไตยอย่างเต็มที่ ส่วนประชาธิปไตยของคนยากจนจะมีก็แต่ประชาธิปไตยทางรูปแบบ และจะอยู่นอกขอบข่ายของประชาธิปไตยเป็นส่วนมาก คนมั่งมีคนมีอำนาจบารมีอาศัย “ประชาธิปไตย” ยึดครองเอาโภคทรัพย์ของสังคมไปมากขึ้นทุกวันเวลา ส่วนคนยากคนจนกลับยากที่จะอาศัย “ประชาธิปไตย” มาคุ้มครองป้องกันสิทธิโยเฉพาะการมีชีวิตอยู่ด้วยความสุขสงบซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานอันพึงมีของประชาชนส่วนใหญ่ได้

          สิทธิการเลือกตั้งเป็นสิทธิทางการเมืองที่สำคัญที่สุดของประชาธิปไตยฝ่ายตะวันตก แต่ในประเทศตะวันตก การเลือกตั้งมักจะถูกเงินทอง กลุ่มทุน สื่อมวลชนและพวกมีอิทธิพลบารมีส่งผลสะเทือนและครอบงำเป็นส่วนใหญ่ และได้กลายเป็นกระบวนการแห่ง “การเล่นละครของคนมีเงินมีอิทธิพลิ” เป็น “ประชาธิปไตยของเงินถุงเงินถัง” และ “การซื้อเสียง” ของเงินทุน ในอเมริกาซึ่งชีวิตการเมืองได้กลายเป็นสินค้าซื้อขายกันได้อย่างหน้าตาเฉยนั้น ใครที่คิดจะได้ตำแหน่งสำคัญใหญ่โตในวงการเมือง ก็สามารถจะจ่ายเงินก้อนใหญ่ไปซื้อหาเอามาได้ตามใจชอบทั้งอย่างเปิดเผยหรือไม่เปิดเผย การเลือกตั้งในอเมริกาโดยความเป็นจริงคือการแข่งขันกันในการหว่านเงิน ถ้าไม่หว่านเงิน ก็ไม่ต้องพูดถึงการได้รับเลือกตั้งอะไรเลย เหมือนตัวเลขดาราศาสตร์ การใช้เงินในการเลือกตั้งของอเมริกาปี 2000 สูงถึง 3,000.000 ดอลลาร์ มากกว่า 4 ปีที่แล้วมา 50 เปอร์เซ็นต์ การเลือกตั้งในปี 2004 ก็ใช้จ่ายกันเกือบ 4,000,000 ดอลลาร์ มากกว่าการเลือกตั้งในปี 2000 ถึงเกือบ 1,000,000 ดอลลาร์ รายงานของคณะกรรมการเลือกตั้งของสหรัฐที่ได้ประกาศออกมาเมื่อวันที่ 14 เดือนธันวาคมปี 2004 แจ้งว่า การเลือกตั้งสมาชิกสภาซีเนต (สภาสูง) ของอเมริกาแต่ละคณะเฉลี่ยค่าใช้จ่ายคนละ 2, 518,750 ดอลลาร์ ที่สูงสุดก็เป็นจำนวนถึง 31, 488, 821 ดอลลาร์ ส่วนสมาชิกสภาผู้แทน(สภาล่าง) เฉลี่ยคนละ 511, 043 ดอลลาร์ ที่สูงสุดก็เป็น 9,043,293 ดอลลาร์ รายงานข่าวขอิงสำนักข่าวเอพีเมื่อวันที่ 9 เดือนพฤศจิกายน ปี 2000 ที่ได้วิเคราะห์การใช้เงินในการเลือกตั้งปีนั้นแจ้งว่า ผู้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งสภาซีเนต 81 เปอร์เซ็นต์ และสภาผู้แทน 90 เปอร์เซ็นต์ ของปี 1996 พวกเขาต้องจ่ายเงินมากกว่าค่าต่อสู้มากมาย

          เงินสามารถจะบงการการเลือกตั้งแบบ “ประชาธิปไตย” ของอเมริกาได้ “เพียงแต่ไปดูข้อมูลบัญชีการหาทุนของผู้สมัครรับเลือกตั้งที่คณะกรรมการเลือกตั้งสหรัฐมีอยู่ ก็สามารถรู้ผลการเลือกตั้งได้ก่อนการเลือกตั้งแล้ว” เพื่อตอบแทนผู้บริจาคเงินกระเป๋าหนักที่ทำให้เขาได้รับการเลือกตั้ง สมาชิกทั้ง 2 สภาก็จะต้องรับใช้ผลประโยชน์ของผู้มีอุปการคุณเป็นการตอบแทน

          ในบทความบทหนึ่งของหนังสือพิมพ์บัลติมอร์ซัน ขนานนามปรากฏการณ์เช่นนี้เป็น “อำนาจที่ซื้อมาด้วยเงิน” หนังสือพิมพ์ไฟแนลเชี่ยลไทม์ของอังกฤษ ลงบทความบทหนึ่งเมื่อวันที่ 25 เดือนตุลาคม ปี 2000 ชี้ออกมาว่า ระบอบการเลือกตั้งของอเมริกาเสื่อมโทรมเป็นอย่างยิ่งแล้ว แม้แต่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งของอเมริกาก็ยังให้ความสนใจ “กลิ่นเงิน” ที่มาจากเหตุนี้ด้วยความความขยะแขยง

          ระบอบการเลือกตั้งของสหรัฐได้ตกต่ำไปเป็น “ระบบการติดสินบนเพื่อการได้รับเลือก”ไปแล้ว.

          ประชาธิปไตยของอเมริกาได้ขายให้แก่ผู้ประมูลได้ในราคาที่สูงสุกด จากนี้จะเห็นได้ว่า เคล็ดลับที่แท้จริงของิประชาธิปไตยในอเมริกาคือเงิน เงินเป็นผู้บงการ กระบวนการเลือกตั้งและผลกาสรเลือกตั้ง ผู้ที่อยู่เบื้องหลังของเงินเหล่านี้ก็คือนายทุนของอเมริกา

(มีต่อ 2)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น