หน้าเว็บ

วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

พุทธทาสภิกขุ - ธรรมะ ในฐานะระบบการดำเนินชีวิต

ธรรมะ ในฐานะ
ระบบการดำเนินชีวิต.
22 ม.ค. 22




ท่านสาธุชน ผู้มีความสนใจในธรรม ทั้งหลาย
          การแสดงปาฐกถาธรรม ในวันนี้ อาตมาจะกล่าวโดยหัวข้อว่า “ธรรมะ ในฐานะระบบการดำเนินชีวิต,”  คือกำลังบอกว่า ธรรมะกับระบบการดำเนินชีวิตนั้นคือสิ่งเดียวกัน. เมื่อพูดว่า “การดำเนินชีวิต” ฟังก็ดูเป็นสำนวนคำประพันธ์; แต่เชื่อว่าคงฟังกันออก, คงเข้าใจได้ว่าหมายถึงอะไร.  เมื่อกล่าวโดยหลักธรรมก็ดั, หรือแม้แต่โดยชีววิทยาก็ดี ชีวิตนี้เป็นสิ่งที่ดำเนินเรื่อย หมายถึงเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยไป. เหมือนกับสังขารทั้งหลายอื่นที่มีเหตุมีปัจจัยปรุงแต่งมันก็ดำเนินเรื่อย, ชีวิตมีการดำเนินในตัวมันเอง. ทีนี้เราในฐานะที่เป็นมนุษย์ก็ควบคุมระบบการดำเนินชีวิตนั้นให้เป็นไปอย่างถูกต้องกล่าวคือให้มันเป็นการดำเนิน.

การดำเนินชีวิตถูกต้อง
ต้องประกอบด้วยธรรม.
          ระยะนี้ยังเป็นระยะปีใหม่อยู่ ขอให้นึกถึงข้อที่ว่าเรามักจะพูดกันว่า ปีใหม่ได้เวียนมาบรรจบครบรอบอีกรอบหนึ่ง, แล้วก็ส่งความสุขกัน; หมายความว่า ปีใหม่เวียนมาครบรอบวงหนึ่งทุกๆปี, มันเวียนเป็นวงรอบๆเหมือนเอาเชือกมาขดเป็นวงๆ แล้วก็รวบไว้เป็นขด, อย่างนี้เรียกว่า มัน ไม่ได้ดำเนินไปแล้ว มันมีการขด, มันอยู่นิ่งอย่างนี้; จะอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกให้มาช่วยเท่าไร ก็ช่วยไม่ได้, เพราะว่าชีวิตมันไม่ได้ดำเนินไป มันเหมือนกับขดเชือกล่ามควาย ที่โยนทิ้งอยู่ที่ตรงนี้เป็นขดๆ, มันมัวแต่ขดเป็นรอบๆ.
          นี้เราจะต้องทำให้มันเป็นการเดินไปๆ เป็นช่วงๆเหมือนกับหลักกิโลเมตรที่มีอยู่ข้างถนน มันบอกว่ากี่กิโลเมตรแล้วๆ มันก็ไปกันเรื่อยไป อย่างนี้จึงจะได้.  เมื่อเป็นไปในลักษณะที่ถูกต้องแล้ว มันก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ใสตัวมันเอง, แล้วจะช่วยได้โดยไม่ต้องอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไหนมาช่วยอีก.
          ขอให้เราถือเป็นหลักว่า เหมือนกับเราเดินทางพอ เราเหกนื่อยเราก็ต้องหยุดพัก พอหายเหนื่อยเราก็เดินต่อไปอีก, มีลักษณะเป็นการดำเนินชีวิตอย่างนี้.  ปีเก่าเราก็เหมือนกับเดินมาเหนื่อยก็หยุดพักส่งท้ายปีเก่า หายเหนื่อยแล้วก็เดินต่อไป.  นั่นเป็นเรื่องของปีใหม่; นี่คือ การดำเนินชีวิตในความหมายธรรมดาสามัญ ที่เราพอจะมองเห็นกันได้.
          อาตมาจะต้องขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า การดำเนินชีวิตนั้นเป็นตัวธรรมะอยู่ในตัวการดำเนิน นั่นแล้ว; อย่าแยกออกเป็น 2 เรื่อง ว่าดำเนินชีวิตแล้วก็ทำให้ประกอบไปด้วยธรรม นั่นก็ถูก ถูกอย่างยิ่งด้วยเหมือนกัน; แต่อาตมาต้องการมากกว่านั้น คือ ต้องการให้มันเป็นตัวธรรมอยู่ในตัวชีวิตที่กำลังดำเนินไปนั้นเอง.
          ขอเตือนให้ระลึกถึงความหมายของคำว่า ธรรมที่มีอยู่หลายความหมาย.  ความหมายที่ 3 หมายถึง หน้าที่ที่สิ่งที่มีชีวิตจะต้องประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ.  ชีวิตมีหน้าที่ที่จะต้องเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ; นี่คือปัญหาสำคัญ.  เมื่อมีการดำเนินชีวิต ก็หมายความว่ามีการทำหน้าที่ ให้การดำเนินชีวิตนั้นถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ นั่นก็เป็นตัวธรรม, เป็นตัวธรรมะอันสูงสุด อันศักดิ์สิทธิ์ อันประเสริฐอยู่ในตัวมันเอง คือเป็นการดำเนินไปสู่จุดหมายปลายทางที่ถูกต้อง.

ต้องรู้ว่าเราเกิดมาทำไม? จะไปทางไหน?
          เดี๋ยวนี้เราไม่รู้ว่าเราเกิดมาทำไม? เมื่อไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม มันก็ไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหน? ท่านทั้งหลายที่กำลังอยู่นี่เคยสนใจบ้างหรือเปล่าว่า  เราเกิดมาทำไม? ถ้าไม่สนใจ ก็คงจะไม่รู้ว่าจะดำเนินชีวิตไปทางไหน, ทิศไหน? มีจุดจบที่สุดกันที่ตรงไหน?
          มันน่าสังเกตอยู่สักอย่างหนึ่งว่า ตั้งแต่โรงเรียนอนุบาลขึ้นไปจนกระทั่งถึงมหาวิทยาลัยอันสูงสุดในโลก ก็ไม่เคยพูด, ไม่เคยสอน, ไม่เคยชี้แนะกันถึงข้อที่ว่า เกิดมาทำไม? อาตมาเชื่อว่าเป็นอย่างนี้ ท่านทั้งหลายที่ทราบเรื่องดี ก็ลองช่วยกันสอบสวนดู ว่าตั้งแต่โรงเรียนอนุบาลจนถึงมหาวิทยาลัยก็ไม่เคยพูดกันว่าเกิดมาทำไม? ไม่อยู่ในหลักสูตรที่จะสอนให้รู้ว่าเกิดมาทำไม? เด็กๆของเราก็ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม?  เขาก็เอาแต่ต่ทใจชอบของเขา ไม่ต้องสนใจว่าจะให้ไปถึงวัตถุประสงค์ปลายทางอย่างไร.  เดี๋ยวนี้เขาชอบอย่างไร, กิเลสของเขาชอบอย่างไร, เขาก็ทำอย่างนั้น โดยไม่ต้องศึกษาสอบสวนว่า มันจะผิดหรือมันจะถูกอย่างไร.
          มีมากคน ทีเดียวที่เขาไม่ยอมรับรู้ในข้อนี้ ไม่รับรู้ในข้อที่ว่า เราจะต้องรู้ว่าเกิดมาทำไม.  เขาแก้ตัวว่าฉันไม่ได้มีหลักฐานหรือมีเจตนาที่จะเกิดมา, ฉันไม่รับรู้, ฉันไม่รับผิดชอบในข้อนี้. เพราะฉะนั้น ฉันรู้สึกว่าอร่อยพอใจอย่างไร ก็ขวนขวายกันอยู่แต่กับสิ่งนั้น; ก็เลยลงมติว่าเกิดมาเพื่อสิ่งนี้.  คนประเภทนี้ตกเป็นทาสของกิเลสเป็นทางของเนื้อหนัง.  วนเวียนอยู่ที่ความเอร็ดอร่อยสนุกสนานเพลิดเพลินในโลกนี้; เหมือนกับเชือกที่มันขดอยู่เป็นวงรอบๆนอนขดอยู่นั่นเอง.
          ปีใหม่มันก็ไม่แปลกไปกว่าปีเก่า; เพียงแต่ว่าสนุกสนานอะไรกันให้มาก มันก็กินให้มาก เล่นให้มากเป็นปีใหม่แล้ว.  นี่อยากจะเรียกว่ามันเป็นชีวิตที่ตายด้าน, ชีวิตที่ขีดวงเหมือนกับขดเชื่อกล่ามควายตามทุ่งนา โยนทิ้งอยู่อย่างนั้น; ก็ไปดูทีว่า มันจะดำเนินอย่างไร? คนเหล่านี้ ก็ปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามอำนาจของกิเลส.
          แม้เป็นนักการเมือง ท่านก็ ไม่รู้จะนำโลกไปไหน? นักการเมืองไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม? เขาก็ไม่รู้ว่าจะนำโลกไปทางไหน? ในที่สุดก็นำโลกไปตามความต้องการของตน, นำโลกไปเพื่อประโยชน์ของตน.  มันจะถูกหรือมันจะผิดไม่รับผิดชอบ; เอาได้ประโยชน์ของตนเป็นเรื่องถูกต้อง ก็เรียกว่ามันไม่มีจุดหมายปลายทาง มันก็วนซ้ำอยู่เหมือนกับขดเชือกอยู่ที่นี่เหมือนกัน.
          โลกนี้ไม่ประสบสันติภาพ ตามความมุ่งหมายของการเมือง; ก็เพราะว่านักการเมืองทั้งหลายไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม นั่นเอง.  ถ้าเขารู้ว่าเกิดมาทำไม? เขาก็คงจะพาโลกนี้ไปสู่จุดหมายปลายทาง คือสันติภาพอันถาวรของมนุษย์ได้, เดี๋ยวนี้มันกำลังมีวิกฤตการณ์อันถาวร, วิกฤตการณ์อันซ้ำซากเหมือนกับขดเชือกนั้นเอง ไม่มีจุดหมายปลายทาง.

จุดหมายปลายทางของชีวิต คือภาวะที่หมดปัญหา.
          ทีนี้เราก็จะมาพูดกันถึงจุดหมายปลายทาง.  อะไรเป็นจุดหมายปลายทาง?  อาตมาก็จะตอบอย่างกำปั้นทุบดินว่า จุดหมายปลายทาง นั้นก็คือ ภาวะที่หมดปัญหาต่างๆ ที่กำลังมีเต็มอยู่ในโลกเวลานี้.  โลกเวลานี้เป็นปัญหาเป็นวิกฤตการณ์อย่างไร ถ้าวิกฤตการณ์เหล่านั้นหมดไป; นั่นแหละคือจุดหมายปลายทาง เราทำอย่างนี้กันหรือเปล่า? เราทำเพื่อวัตถุประสงค์อันนี้หรือเปล่า?
          พูดให้น่าฟังสักหน่อยก็ต้องพูดว่า เรามีสันติภาพทั้งของตนเองและของผู้อื่นเป็นจุดหมายปลายทาง.  คนทุกคนในโลกนี้มีความเป็นมนุษย์เต็มที่, มีความหมายแห่งความเป็นมนุษย์เต็มที่ คือแปลว่าสัตว์ที่มีจิตใจสูง อยู่เหนือปัญหา, อยู่เหนือความทุกข์; ไม่ใช่ว่าเป็นสัตว์ที่จะมาวนเวียนอยู่ที่นี่, มาวนเวียนอยู่ที่เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ เป็นขดๆ เหมือนกับขดเชือกล่ามควายอยู่นี่ มันก็ไม่ประสบสันติภาพอันถาวร. เพราะเรือ่งกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรตินั้น มียุให้เห็นแก่ตัว; ทุกคนก็เห็นแก่ตัว เพราะทำไปเพื่อประโยชน์ของตัวมันก็รุกล้ำสิทธิของผู้อื่น.
          นี่ข้อที่ว่าเราเคารพสิทธิมนุษยชนในโลกไม่ได้; แม้แต่ร้องตะโกนกันให้เสียงแห้งเสียงแหบ จนคอแตกทำลายไป มันก็ไม่มีการเคารพสิทธิมนุษยชนในโลกนยี้ได้. เพราะว่าเราไปวนอยู่ที่เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ ซึ่งเป็นการกระทำให้จิตใจนี้เมามัวเห็นแก่ตัว, เขาก็เลยต้องมีความเห็นแก่ตัว.
          เมื่อเห็นแก่ตัวมันก็เกิด ความโลภ จะเอามากๆ เมื่อมีความเห็นแก่ตัว ไม่ได้อย่างที่ตัวต้องการก็เกิด ความโกรธ, แล้วการที่เป็นอยู่อย่างนี้ก็คือ โมหะ คือความหลงอยู่ในตัวมันเอง.
          ถ้าเรา ไม่เห็นแก่ตัวก็ต้องเห็นแก่ผู้อื่น มันก็เกิดความรักแบบสากล คือรู้สึกรักเพื่อนมนุษย์ทุกคน : ว่า ทุกคนเป็นเพื่อนทุกข์ เพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย; ไม่มีกู ไม่มีมึง ไม่มีฝ่ายกู ไม่มีฝ่ายมึง, นั่นแหละจุดหมายปลายทางของมนุษย์ จะต้องขึ้นไปจนถึงนั่น เขาเรียกกันว่า ศาสนาพระศรีอาริย์ก็ได้.
          ถ้าเป็นศาสนาพระศรีอาริย์ จะต้องไม่มีกู ไม่มีมึง; อย่างที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า ถ้าลงจากบ้านลงไปสู่ท้องถนนก็จำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร; เพราะมันดีเหมือนกันไปหมด, มันพวกเดียวเหมือนกันหมด. ต่อเมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วจึงค่อยรู้ว่านี่บุตรนั่นภรรยาของเรา สามีของเรา; มันดีเหมือนกันหมดถึงอย่างนี้.  นี่เรียกว่าผลของการที่เราไปถึงจุดหมายปลายทางของความเป็นมนุษย์.

มัชฌิมาปฏิปทาจะช่วยให้ถึงจุดหมายปลายทาง.
          ทีนี้ก็จะพูดต่อไป ถีงการที่ จะถึงจุดหมายปลายทางของความเป็นมนุษย์ได้อย่างไร?
          เมื่อกล่าวตามหลักของพระพุทธศาสนาแล้ว ก็คือสิ่งที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา-ทางสายกลาง.  มัชฌิมาปฏิปทานี้ แบ่งแยกออกได้เป็น 2 ฝ่าย คือ มัชฌิมาปฏิปทาส่วนปัจเจกชน ส่วนบุคคลเป็นคนๆไป, กับ มัชฌิมาปฏิปทาในส่วนสังคม รวมกันทั้งหมดเป็นหมู่ๆ.
          เดี๋ยวนี้เราไม่มีมัชฌิมาปฏิปทา คือมีแต่ขาด มีแต่เกิน, หรือว่ามันเป็นเรื่องขาดเรื่องเกิน มันไม่พอเหมาะพอดีอยู่ที่ตรงกลาง.  ว่าที่จริงแล้วมันก็ไม่มีใครขาดแหละ มันมีแต่เกินทั้งนั้น; ในเรื่องขาดนี่ไม่มีใครชอบ มันจึงไม่มีใครขาด, มีแต่คนมุ่งหมายเกิน แล้วก็ทำไปจนเกิน.  หรือว่าถ้าจะขาดไป มันก็เพราะว่าเขาไปตั้งความปรารถนาไว้เกิน คือให้มันมากเกินไป.
          คนจนต่ำต้อยก็พยายามจะทำให้ขึ้นหน้าคนมั่งมี มีลักษณะที่จะขี้ตามช้างกันอยู่ทั่วๆไป; อย่างนี้ก็พิจารณาดูว่ามันจะขาด หรือจะเกิน? ถ้ารู้สึกว่าขาดนั้นก็เพราะว่ามันตั้งความปรารถนาไว้ เกินไป; มันก็ไม่ได้เต็มตามที่ปรารถนา.  แต่ความปรารถนานั้นมันก็เกินไปแม้จะมีความพยายามที่เกิน มันก็ไม่ได้ตามที่ตัวปรารถนา.
          เดี๋ยวนี้เรามี การกินที่เกิน การนุ่งห่มที่เกิน ที่อยู่อาศัย เครื่องมือเครื่องใช้สอยที่เกิน มีการประเล้าประโลมตนที่เกิน.
          เรื่องกินเกิน  นี้ ก็เห็นได้กันอยู่ทุกคนแล้ว อาตมาไม่ต้องอธิบาย; เพราะท่านทั้งหลายจะรู้ดีกว่าอาตมาเสียอีก ว่าเรากำลังกินในลักษณะที่เกิน : ดีเกิน แพงเกิน มากเกิน บ่อยเกิน อะไรล้วนแต่เกิน จะนอนอยู่แล้วก็ ยังจะกิน.
          เครื่องนุ่งห่ม  นี่ก็ไปยอมเสียแพงๆ ที่ทำให้มีลวดลายสีสันอย่างนั้นอย่างนี้ ประดับประดาอย่างนั้นอย่างนี้ซึ่งมันก็ต้องแพง.
          เครื่องใช้ไม้สอยเกิน  ก็คือต้องให้มันดีที่สุด ที่กิเลสมันต้องการ.  ที่อยู่อาศัยและเครื่องใช้สอย ก็ต้องให้อยู่ในงบประมาณที่ตัวอยากจะมี มีรถยนต์ 2 คันไม่พอต้อง 3 คัน 4 คัน; รถยนต์ราคราหมื่นไม่ได้ ต้องแสน; แมนไม่ได้ ต้องล้าน.
          มีเครื่องประเล้าประโลมใจที่เกิน  ต้องมีฟ้อนรำขับร้องดนตรี การเบ่นต่างๆที่เป็นข้าศึกแก่กุศล.  นี่เกินสำหรับทำให้วินาศ.  แล้วก็มีลูบทาประดับประดาตกแต่งซึ่งมันไม่จำเป็นจะต้องทำ; นี่มันอยู่ด้วยการเกิน.
          ถ้าเป็น มัชฌิมาปฏิปทา มันต้องไม่เกิน, ต้องพอดีพอเหมาะ  แล้วมันจะเกิดเป็นความถูกต้อง 8 ประการขึ้นมา ที่เรียกันว่า “อริยมรรคมีองค์แปด”.

มัชฌิมาปฏิปทาช่วยเปลื้องปัญหา
ทั้งบุคคลและสังคม.
          “อริยมรรคมีองค์แปด”  คือ ความคิดเห็นถูกต้อง, ความปรารถนาถูกต้อง, การพูดจาถูกต้อง, การงานถูกต้อง, การดำรงชีวิตถูกต้อง, การพากเพียรถูกต้อง, สติถูกต้อง, สมาธิถูกต้อง;  เป็นความถูกต้อง 8 ประการ, มีองค์แปดประการขึ้นมา เป็นหนทางอันเป็นทางสายกลาง.  จะเรียกว่ามี ศีล สมาธิ ปัญญา ก็ได้ใน 8 ประการนั้น ก็เป็นการทำให้หมดปัญหา : ทางกายวาจา ก็ไม่ผิดพลาด, ทางจิต ก็ไม่มีพลาด, ทางสติปัญญา ความคิด ความนึก ก็ไม่มีผิดพลาด, เป็นการดำรงชีวิตชนิดที่ไม่มีปัญหาใดๆจะเกิดขึ้น สำหรับทรมานใคร : ไม่ทรมานตนเอง ไม่ทรมานผู้อื่น. อย่างนี้เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทาส่วนบุคคล เป็นการดำเนินชีวิตไปในทางที่ถูกต้อง.
          มัชฌิมาปฏิปทาส่วนสังคม  ก็คือ ไม่มีซ้าย ไม่มีขวา ไม่มีมึง ไม่มีกู มีแต่เรา.  อาตมาสังเกตดูพฤกษชาติในดงทึบมันอยู่กันอย่างไม่มีมึง ไม่มีกู ไม่มีซ้าย ไม่มีขวา มีแต่เรา; ต้นไม้ขนาดยักษ์อยู่ได้กับพวกตะไคร่ที่โคนต้น และเฟิร์นเล็กๆก็ขึ้นงามอยู่ที่โคน. มันไม่เป็นข้าศึกแก่กันทั้งๆที่มันมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงกว่ากันเหลือประมาณ;  ในดงทึบนั้น ต้นไม้ใหญ่ก็อยู่กับตะไคร่หญ้าบอน เฟิร์นที่โคน.  ถ้าต้นไม้ใหญ่ถูกโค่นลงไปกับแดดก็แผดเผา พวกเฟิร์นหรือตะไคร่เหล่านั้นแห้งตายหมด, หรือถ้าไม่มีเฟิร์น ไม่มีตะไคร่เหล่านี้ ก็ไม่มีความชุ่มชื้นพอ ที่จะทำให้ต้นไม้ยักษ์นั้นใหญ่โตเติบได้. นี่มันอยู่กันพอดีอย่างนี้ทั้งๆทีมันมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงมาก.
          ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงนั้นมันเป็นสิ่งที่ต้องมี มีโดยกฏของธรรมชาติ นี่ช่วยไม่ได้ มันตองมี, กฏของกรรมมันก็ต้องมี, ต้องมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูง; แต่มันอยู่กันได้เพราะการมีธรรมะ; มรธรรมะ คือมันประสมประสานกัน มันอาศัยซึ่งกันและกัน.  มนุษย์ก็อยู่โดยมีธรรมะอยู่กันได้ทั้งๆมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงกว่ากัน.

เมื่อทิ้งศาสนามนุษย์ก็เกิดเห็นแก่ตัว
คืออุปัทวะต่างๆ.
          ต่อมา มนุษย์ได้ละทิ้งธรรมะ ละทิ้งศาสนา จึงเกิดคนที่เห็นแก่ตนเอาเปรียบคนอื่น, เกิดเป็นคนร่ำรวยแข็งแรง มีอำนาจวาสนาขึ้นมา; มันกลายเป็นนายทุนกระดาษซับ คือซับเอาประโยชน์ของคนอื่นมาจนหมดจนแห้ง; เพิ่งเกิดนายทุนกระดาษซับขึ้นมาในโลกนี้ใหม่ๆหยกๆ เมื่อมนุษย์ละทิ้งศาสนาละทิ้งธรรม, เศรษฐีใจบุญแต่กาลก่อน ก็หายหน้าไปหมด; ลัทธิชนกรรมาชีพอันโหดร้าย ที่จะทำลายล้างนายทุนก็เกิดขึ้นมา เพราะว่าได้เกิดนายทุนที่มีขึ้นมาจากการละทิ้งศีลธรรม; คนจนก็ต้องละทิ้งศีลธรรมเพื่อทำการต่อสู้.
          อุปัทวะนี้เพิ่งเกิดเมื่อมนุษย์ละทิ้งศาสนาละทิ้งธรรมะ; ถ้ามนุษย์ยังมีธรรมะ ยังมีศาสนา ลัทธินี้ไม่อาจจะเกิด.
          ขอให้พิจารณาดูให้ดี นายทุนคิดว่าจะครองโลกมันก็บ้าพอดูอยู่แล้ว; แต่ถ้ากรรมกรคิดจะครองโลก มันก็คงจะบ้ามากขึ้นไปกว่านั้นอีก.  นายทุนครองโลก ก็คิดจะกอบโกยถึงที่สุด; กรรมกรครองโลก ก็คิดจะกอบโกยเพื่อตัวเอง, แล้วก้กลับเป็นนายทุนในที่สุด, ฉะนั้น ธรรมะครองโลกดีกว่า จะมีความถูกต้องเหมาะสมทั้ง 2 ฝ่าย คือทั้งฝ่ายนายทุนและทั้งฝ่ายกรรมกร.  ความเหลื่อมล้ำจะไม่มีปัญหาอีกต่อไป คือ นายทุนกับกรรมกรก็จะอยู่กันได้ ถ้าทั้ง 2 ฝ่ายต่าง รู้ชัดในข้อเท็จจริงที่ว่า มันต้องอาศัยกันและกัน, มีธรรมะเป็นเครื่องทำความอาศัยซึ่งกันและกัน.  ถ้าไม่มีกรรมกร, นายทุนก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่มีแรงงาน; ถ้า ไม่มีนายทุน กรรมกรก็ไม่มีงานอะไรจะทำ.  มันเป็นการช่วยกันให้ทำตามที่ตัวประสงค์ หรือควรประสงค์ได้ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย โดยต้องอาศัยกันและกันอย่างนี้; มิฉะนั้นก็จะตายทั้ง 2 ฝ่าย.
          นี่เรียกว่า เราจะต้องแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำต่ำสูงให้ได้; ให้มันอยู่กันได้เหมือนกับที่ว่า ในโลกนี้มันต้องมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงตามธรรมชาติ.  ในทะเลปลาใหญ่ปลาเล็กอยู่ด้วยกัน จนเต็มทะเลเกือบจะไม่มีน้ำ เพิ่งหมดไปเมื่อมนุษย์เข้าไปเกี่ยวข้อง.  ในป่าในดงมีทั้งเสือและกวางเกลื่อนไปหมด มันเพิ่งหายไปเมื่อมนุษย์เข้าไปเกี่ยวข้อง.  ถ้าปล่อยตามธรรมชาติ ถึงแม้ว่ามันจะมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงอย่างไร มันก็อยู่กันได้ นี่เรียกว่าจะต้องอาศัยอยู่กันอย่างมีธรรมะ อยู่กันอย่างเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย.

เอกลักษณ์ไทย
ต้องมีวิธีดำเนินชีวิตตามหลักศาสนา.
          ในที่สุดนี้ จะขอพูดถึงสิ่งที่พูดกันมากสักสิ่งหนึ่งคือ สิ่งที่เรียกว่า “เอกลักษณ์ไทย” เอกลักษณ์ไทย นั่นแหละคือ วิถีแห่งการดำเนินชีวิต ที่ถูกต้องตามหลักแห่งพระศาสนาที่ออกมาเป็นวัฒนธณรมไทย เอกลักษณ์ไทย คือการอยู่กันอย่างเพื่อนมนุษย์, อย่างเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย, นี่คือเอกลักษณ์ไทย.
          เอกลักษณ์ไทย ไม่ใช่ลายกนกไทย ไม่ใช่เพลงไทย ไม่ใช่ดนตรีไทย ไม่ใช่โขน ไม่ใช่รำไทย หรืออะไรต่างๆที่เขาชอบเรียกกันว่าเอกลักษณ์ไทย.  เอกลักษณ์ไทยต้องเป็นการอยู่กันได้แม้มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงอย่างที่ปู่ย่าตายายเราเคยอยู่กันมา.  ปู่ย่าตายายของเราไม่ยอมรับว่าเพลงไทย ดนตรีไทย โขน ละคร รำไทยนั้นเป็นเอกลักษณ์ไทย.  ท่านกลับจะถือว่า ค่ำเช้าเฝ้าสีซอ เข้าแต่หอล่อกามา นี้มันคนบ้า, คนที่ทำความฉิบหายมากกว่า.  มันต้องอยู่ด้วยจิตใจที่มีความสะอาด มีความสว่าง มีความสงบ ประกอบอยู่ด้วยธรรมะ ที่เนื้อที่ตัว; นี่แหละ คือเอกลักษณ์ไทย.
          คนไทยยิ้มเสมอ เพราะมีธรรมอยู่ในเนื้อในตัวอยู่ในใจ  ดลบันดาลออกมาทางสีหน้า ทำให้คนไทยยิ้มเสมอ.  ปู่ย่าตายายที่เป็นคนไทยแท้ มีความเชื่อตัวเอง, คือเชื่อในธรรม; มีการบังคับตัวเอง ให้อยู่ในธรรม มีการเคารพตัวเอง เพราะมีธรรมไม่แพ้พวกฝรั่ง.  พวกฝรั่งที่เขาเพิ่งมาสู่ตะวันออกใหม่ๆ เขาคุยโอ่ในเรื่องความเชื่อตัวเอง (self confidence) การบังคับตัวเอง(self control) การเคารพตัวเอง (self respect).
          คนที่ไปเรียนเมืองนอกเมืองนาสมัยโน้น จบมหาวิทยาลัยกลับมาแล้วก็ พูดกันถึงเรื่องความเป็นสุภาพบุรุษ พูดกันแต่ เรื่องการเชื่อตัวเอง เคารพตัวเอง บังคับตัวเอง  เด่ยวนี้ไม่ได้ยิน.  ผู้สูงอายุคงจะจำได้ ว่าเมื่อเราเด็กๆนั้นได้ยินคำนี้มากเหลือเกิน; เดี๋ยวนี้ไม่ได้ยิน.  พอฝรั่งเปลี่ยน กลายเป็นตัวอย่างแห่งความไม่มีสิ่งเหล่านั้นคือ ไม่เชื่อตัวเอง ไม่บังคับตัวเอง ไม่เคารพตัวเองมาแสดงแต่ความนิยมทางวัตถุ เทคโนโลยีทางวัตถุเราก็ตามก้นเขา.  ดังนั้นเราก็หมดความเป็นไทย หมดเอกลักษณ์ไทย; ไม่มีอะไรจะเป็นเอกลักษณ์ไทยจริงๆเหลืออยู่.  นอกจากดนตรีไทย เป็นต้น.  อย่างนี้มันไม่ช่วยประเทศชาติได้.  มันไม่ช่วยความเป็นไทย ให้มีอยู่อย่างรอดหรือเป็นอิสระได้.
          ขอให้เราฟื้นเอกลักษณ์ไทยให้กลับมา ให้มีการดำเนินชีวิตที่ประกอบไปด้วยธรรม, มีธรรม คือการประพฤติกระทำให้ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ; แล้วเราก็จะอยู่กันอย่างเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายกัน; แม้จะเหลื่อมล้ำต่ำสูงกว่ากันอย่างไร ก็ยังอยู่กันได้เหมือนต้นไม้ในดงทึบ. แต่ต้นไม้ขนาดยักษ์ยังอยู่ได้กับหญ้าบอน ต้นเฟิร์นและตะไคร่ โดยไม่ต้องมีปัญหา.  มนุษย์จะเลวกว่าพฤกษชาติเหล่านี้ได้อย่างไร.
          นี่แหละคือวิถีทางแห่งการดำเนินชีวิต จะไป สู่จุดๆหนึ่งที่เรามีสันติสุขมีสันติภาพอันถาวร;  ไม่มีปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำต่ำสูง. ไม่มีความผิดพลาดในเรื่องกิน จนเป็นเหตุให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง เพราะเห็นแก่ตัวเกิน.  นี่เรียกว่า ธรรมะในฐานะเป็นระบบการดำเนินชีวิต.  ขอให้เรามีชีวิตที่เป็นการดำเนิน อย่าให้เป็นเหมือนเชือกล่ามควายขดทิ้งอยู่ที่นี่.

          เวลาสำหรับปาฐกถาธรรมหมดแล้ว อาตมาขอยุติการบรรยายในวันนี้ไว้เพียงเท่านี้.

*********


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น