ธรรมะ ในฐานะ
ระบบการดำเนินชีวิต.
22 ม.ค. 22
ท่านสาธุชน
ผู้มีความสนใจในธรรม ทั้งหลาย
การแสดงปาฐกถาธรรม
ในวันนี้ อาตมาจะกล่าวโดยหัวข้อว่า “ธรรมะ ในฐานะระบบการดำเนินชีวิต,” คือกำลังบอกว่า
ธรรมะกับระบบการดำเนินชีวิตนั้นคือสิ่งเดียวกัน. เมื่อพูดว่า “การดำเนินชีวิต”
ฟังก็ดูเป็นสำนวนคำประพันธ์; แต่เชื่อว่าคงฟังกันออก,
คงเข้าใจได้ว่าหมายถึงอะไร.
เมื่อกล่าวโดยหลักธรรมก็ดั, หรือแม้แต่โดยชีววิทยาก็ดี
ชีวิตนี้เป็นสิ่งที่ดำเนินเรื่อย หมายถึงเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยไป.
เหมือนกับสังขารทั้งหลายอื่นที่มีเหตุมีปัจจัยปรุงแต่งมันก็ดำเนินเรื่อย,
ชีวิตมีการดำเนินในตัวมันเอง.
ทีนี้เราในฐานะที่เป็นมนุษย์ก็ควบคุมระบบการดำเนินชีวิตนั้นให้เป็นไปอย่างถูกต้องกล่าวคือให้มันเป็นการดำเนิน.
การดำเนินชีวิตถูกต้อง
ต้องประกอบด้วยธรรม.
ระยะนี้ยังเป็นระยะปีใหม่อยู่
ขอให้นึกถึงข้อที่ว่าเรามักจะพูดกันว่า ปีใหม่ได้เวียนมาบรรจบครบรอบอีกรอบหนึ่ง,
แล้วก็ส่งความสุขกัน; หมายความว่า ปีใหม่เวียนมาครบรอบวงหนึ่งทุกๆปี,
มันเวียนเป็นวงรอบๆเหมือนเอาเชือกมาขดเป็นวงๆ แล้วก็รวบไว้เป็นขด,
อย่างนี้เรียกว่า มัน ไม่ได้ดำเนินไปแล้ว มันมีการขด, มันอยู่นิ่งอย่างนี้; จะอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกให้มาช่วยเท่าไร ก็ช่วยไม่ได้,
เพราะว่าชีวิตมันไม่ได้ดำเนินไป มันเหมือนกับขดเชือกล่ามควาย
ที่โยนทิ้งอยู่ที่ตรงนี้เป็นขดๆ, มันมัวแต่ขดเป็นรอบๆ.
นี้เราจะต้องทำให้มันเป็นการเดินไปๆ
เป็นช่วงๆเหมือนกับหลักกิโลเมตรที่มีอยู่ข้างถนน มันบอกว่ากี่กิโลเมตรแล้วๆ
มันก็ไปกันเรื่อยไป อย่างนี้จึงจะได้.
เมื่อเป็นไปในลักษณะที่ถูกต้องแล้ว มันก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ใสตัวมันเอง,
แล้วจะช่วยได้โดยไม่ต้องอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไหนมาช่วยอีก.
ขอให้เราถือเป็นหลักว่า
เหมือนกับเราเดินทางพอ เราเหกนื่อยเราก็ต้องหยุดพัก
พอหายเหนื่อยเราก็เดินต่อไปอีก, มีลักษณะเป็นการดำเนินชีวิตอย่างนี้.
ปีเก่าเราก็เหมือนกับเดินมาเหนื่อยก็หยุดพักส่งท้ายปีเก่า
หายเหนื่อยแล้วก็เดินต่อไป.
นั่นเป็นเรื่องของปีใหม่; นี่คือ
การดำเนินชีวิตในความหมายธรรมดาสามัญ ที่เราพอจะมองเห็นกันได้.
อาตมาจะต้องขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า การดำเนินชีวิตนั้นเป็นตัวธรรมะอยู่ในตัวการดำเนิน
นั่นแล้ว; อย่าแยกออกเป็น 2 เรื่อง ว่าดำเนินชีวิตแล้วก็ทำให้ประกอบไปด้วยธรรม
นั่นก็ถูก ถูกอย่างยิ่งด้วยเหมือนกัน;
แต่อาตมาต้องการมากกว่านั้น คือ ต้องการให้มันเป็นตัวธรรมอยู่ในตัวชีวิตที่กำลังดำเนินไปนั้นเอง.
ขอเตือนให้ระลึกถึงความหมายของคำว่า
ธรรมที่มีอยู่หลายความหมาย. ความหมายที่ 3
หมายถึง หน้าที่ที่สิ่งที่มีชีวิตจะต้องประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ.
ชีวิตมีหน้าที่ที่จะต้องเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ; นี่คือปัญหาสำคัญ.
เมื่อมีการดำเนินชีวิต ก็หมายความว่ามีการทำหน้าที่
ให้การดำเนินชีวิตนั้นถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ นั่นก็เป็นตัวธรรม,
เป็นตัวธรรมะอันสูงสุด อันศักดิ์สิทธิ์ อันประเสริฐอยู่ในตัวมันเอง
คือเป็นการดำเนินไปสู่จุดหมายปลายทางที่ถูกต้อง.
ต้องรู้ว่าเราเกิดมาทำไม?
จะไปทางไหน?
เดี๋ยวนี้เราไม่รู้ว่าเราเกิดมาทำไม?
เมื่อไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม มันก็ไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหน?
ท่านทั้งหลายที่กำลังอยู่นี่เคยสนใจบ้างหรือเปล่าว่า เราเกิดมาทำไม? ถ้าไม่สนใจ ก็คงจะไม่รู้ว่าจะดำเนินชีวิตไปทางไหน,
ทิศไหน? มีจุดจบที่สุดกันที่ตรงไหน?
มันน่าสังเกตอยู่สักอย่างหนึ่งว่า
ตั้งแต่โรงเรียนอนุบาลขึ้นไปจนกระทั่งถึงมหาวิทยาลัยอันสูงสุดในโลก ก็ไม่เคยพูด,
ไม่เคยสอน, ไม่เคยชี้แนะกันถึงข้อที่ว่า เกิดมาทำไม? อาตมาเชื่อว่าเป็นอย่างนี้
ท่านทั้งหลายที่ทราบเรื่องดี ก็ลองช่วยกันสอบสวนดู
ว่าตั้งแต่โรงเรียนอนุบาลจนถึงมหาวิทยาลัยก็ไม่เคยพูดกันว่าเกิดมาทำไม?
ไม่อยู่ในหลักสูตรที่จะสอนให้รู้ว่าเกิดมาทำไม? เด็กๆของเราก็ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม?
เขาก็เอาแต่ต่ทใจชอบของเขา ไม่ต้องสนใจว่าจะให้ไปถึงวัตถุประสงค์ปลายทางอย่างไร. เดี๋ยวนี้เขาชอบอย่างไร,
กิเลสของเขาชอบอย่างไร, เขาก็ทำอย่างนั้น โดยไม่ต้องศึกษาสอบสวนว่า
มันจะผิดหรือมันจะถูกอย่างไร.
มีมากคน
ทีเดียวที่เขาไม่ยอมรับรู้ในข้อนี้ ไม่รับรู้ในข้อที่ว่า เราจะต้องรู้ว่าเกิดมาทำไม. เขาแก้ตัวว่าฉันไม่ได้มีหลักฐานหรือมีเจตนาที่จะเกิดมา,
ฉันไม่รับรู้, ฉันไม่รับผิดชอบในข้อนี้. เพราะฉะนั้น ฉันรู้สึกว่าอร่อยพอใจอย่างไร
ก็ขวนขวายกันอยู่แต่กับสิ่งนั้น; ก็เลยลงมติว่าเกิดมาเพื่อสิ่งนี้. คนประเภทนี้ตกเป็นทาสของกิเลสเป็นทางของเนื้อหนัง. วนเวียนอยู่ที่ความเอร็ดอร่อยสนุกสนานเพลิดเพลินในโลกนี้; เหมือนกับเชือกที่มันขดอยู่เป็นวงรอบๆนอนขดอยู่นั่นเอง.
ปีใหม่มันก็ไม่แปลกไปกว่าปีเก่า; เพียงแต่ว่าสนุกสนานอะไรกันให้มาก มันก็กินให้มาก เล่นให้มากเป็นปีใหม่แล้ว. นี่อยากจะเรียกว่ามันเป็นชีวิตที่ตายด้าน, ชีวิตที่ขีดวงเหมือนกับขดเชื่อกล่ามควายตามทุ่งนา
โยนทิ้งอยู่อย่างนั้น; ก็ไปดูทีว่า
มันจะดำเนินอย่างไร? คนเหล่านี้ ก็ปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามอำนาจของกิเลส.
แม้เป็นนักการเมือง ท่านก็ ไม่รู้จะนำโลกไปไหน?
นักการเมืองไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม? เขาก็ไม่รู้ว่าจะนำโลกไปทางไหน?
ในที่สุดก็นำโลกไปตามความต้องการของตน, นำโลกไปเพื่อประโยชน์ของตน. มันจะถูกหรือมันจะผิดไม่รับผิดชอบ; เอาได้ประโยชน์ของตนเป็นเรื่องถูกต้อง ก็เรียกว่ามันไม่มีจุดหมายปลายทาง
มันก็วนซ้ำอยู่เหมือนกับขดเชือกอยู่ที่นี่เหมือนกัน.
โลกนี้ไม่ประสบสันติภาพ ตามความมุ่งหมายของการเมือง; ก็เพราะว่านักการเมืองทั้งหลายไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม นั่นเอง. ถ้าเขารู้ว่าเกิดมาทำไม?
เขาก็คงจะพาโลกนี้ไปสู่จุดหมายปลายทาง คือสันติภาพอันถาวรของมนุษย์ได้,
เดี๋ยวนี้มันกำลังมีวิกฤตการณ์อันถาวร,
วิกฤตการณ์อันซ้ำซากเหมือนกับขดเชือกนั้นเอง ไม่มีจุดหมายปลายทาง.
จุดหมายปลายทางของชีวิต
คือภาวะที่หมดปัญหา.
ทีนี้เราก็จะมาพูดกันถึงจุดหมายปลายทาง.
อะไรเป็นจุดหมายปลายทาง? อาตมาก็จะตอบอย่างกำปั้นทุบดินว่า จุดหมายปลายทาง
นั้นก็คือ ภาวะที่หมดปัญหาต่างๆ ที่กำลังมีเต็มอยู่ในโลกเวลานี้. โลกเวลานี้เป็นปัญหาเป็นวิกฤตการณ์อย่างไร
ถ้าวิกฤตการณ์เหล่านั้นหมดไป; นั่นแหละคือจุดหมายปลายทาง
เราทำอย่างนี้กันหรือเปล่า? เราทำเพื่อวัตถุประสงค์อันนี้หรือเปล่า?
พูดให้น่าฟังสักหน่อยก็ต้องพูดว่า เรามีสันติภาพทั้งของตนเองและของผู้อื่นเป็นจุดหมายปลายทาง. คนทุกคนในโลกนี้มีความเป็นมนุษย์เต็มที่,
มีความหมายแห่งความเป็นมนุษย์เต็มที่ คือแปลว่าสัตว์ที่มีจิตใจสูง อยู่เหนือปัญหา,
อยู่เหนือความทุกข์; ไม่ใช่ว่าเป็นสัตว์ที่จะมาวนเวียนอยู่ที่นี่, มาวนเวียนอยู่ที่เรื่องกิน
เรื่องกาม เรื่องเกียรติ เป็นขดๆ เหมือนกับขดเชือกล่ามควายอยู่นี่
มันก็ไม่ประสบสันติภาพอันถาวร. เพราะเรือ่งกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรตินั้น
มียุให้เห็นแก่ตัว; ทุกคนก็เห็นแก่ตัว
เพราะทำไปเพื่อประโยชน์ของตัวมันก็รุกล้ำสิทธิของผู้อื่น.
นี่ข้อที่ว่าเราเคารพสิทธิมนุษยชนในโลกไม่ได้; แม้แต่ร้องตะโกนกันให้เสียงแห้งเสียงแหบ จนคอแตกทำลายไป
มันก็ไม่มีการเคารพสิทธิมนุษยชนในโลกนยี้ได้. เพราะว่าเราไปวนอยู่ที่เรื่องกิน
เรื่องกาม เรื่องเกียรติ ซึ่งเป็นการกระทำให้จิตใจนี้เมามัวเห็นแก่ตัว,
เขาก็เลยต้องมีความเห็นแก่ตัว.
เมื่อเห็นแก่ตัวมันก็เกิด ความโลภ
จะเอามากๆ เมื่อมีความเห็นแก่ตัว ไม่ได้อย่างที่ตัวต้องการก็เกิด ความโกรธ,
แล้วการที่เป็นอยู่อย่างนี้ก็คือ โมหะ คือความหลงอยู่ในตัวมันเอง.
ถ้าเรา ไม่เห็นแก่ตัวก็ต้องเห็นแก่ผู้อื่น
มันก็เกิดความรักแบบสากล คือรู้สึกรักเพื่อนมนุษย์ทุกคน : ว่า ทุกคนเป็นเพื่อนทุกข์ เพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย; ไม่มีกู ไม่มีมึง ไม่มีฝ่ายกู ไม่มีฝ่ายมึง,
นั่นแหละจุดหมายปลายทางของมนุษย์ จะต้องขึ้นไปจนถึงนั่น เขาเรียกกันว่า
ศาสนาพระศรีอาริย์ก็ได้.
ถ้าเป็นศาสนาพระศรีอาริย์ จะต้องไม่มีกู
ไม่มีมึง; อย่างที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า
ถ้าลงจากบ้านลงไปสู่ท้องถนนก็จำไม่ได้ว่าใครเป็นใคร;
เพราะมันดีเหมือนกันไปหมด, มันพวกเดียวเหมือนกันหมด.
ต่อเมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วจึงค่อยรู้ว่านี่บุตรนั่นภรรยาของเรา สามีของเรา; มันดีเหมือนกันหมดถึงอย่างนี้.
นี่เรียกว่าผลของการที่เราไปถึงจุดหมายปลายทางของความเป็นมนุษย์.
มัชฌิมาปฏิปทาจะช่วยให้ถึงจุดหมายปลายทาง.
ทีนี้ก็จะพูดต่อไป ถีงการที่ จะถึงจุดหมายปลายทางของความเป็นมนุษย์ได้อย่างไร?
เมื่อกล่าวตามหลักของพระพุทธศาสนาแล้ว
ก็คือสิ่งที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา-ทางสายกลาง. มัชฌิมาปฏิปทานี้ แบ่งแยกออกได้เป็น 2 ฝ่าย
คือ มัชฌิมาปฏิปทาส่วนปัจเจกชน ส่วนบุคคลเป็นคนๆไป, กับ มัชฌิมาปฏิปทาในส่วนสังคม
รวมกันทั้งหมดเป็นหมู่ๆ.
เดี๋ยวนี้เราไม่มีมัชฌิมาปฏิปทา
คือมีแต่ขาด มีแต่เกิน, หรือว่ามันเป็นเรื่องขาดเรื่องเกิน
มันไม่พอเหมาะพอดีอยู่ที่ตรงกลาง.
ว่าที่จริงแล้วมันก็ไม่มีใครขาดแหละ มันมีแต่เกินทั้งนั้น; ในเรื่องขาดนี่ไม่มีใครชอบ มันจึงไม่มีใครขาด, มีแต่คนมุ่งหมายเกิน
แล้วก็ทำไปจนเกิน. หรือว่าถ้าจะขาดไป
มันก็เพราะว่าเขาไปตั้งความปรารถนาไว้เกิน คือให้มันมากเกินไป.
คนจนต่ำต้อยก็พยายามจะทำให้ขึ้นหน้าคนมั่งมี
มีลักษณะที่จะขี้ตามช้างกันอยู่ทั่วๆไป;
อย่างนี้ก็พิจารณาดูว่ามันจะขาด หรือจะเกิน?
ถ้ารู้สึกว่าขาดนั้นก็เพราะว่ามันตั้งความปรารถนาไว้ เกินไป;
มันก็ไม่ได้เต็มตามที่ปรารถนา.
แต่ความปรารถนานั้นมันก็เกินไปแม้จะมีความพยายามที่เกิน
มันก็ไม่ได้ตามที่ตัวปรารถนา.
เดี๋ยวนี้เรามี การกินที่เกิน
การนุ่งห่มที่เกิน ที่อยู่อาศัย เครื่องมือเครื่องใช้สอยที่เกิน
มีการประเล้าประโลมตนที่เกิน.
เรื่องกินเกิน นี้ ก็เห็นได้กันอยู่ทุกคนแล้ว
อาตมาไม่ต้องอธิบาย; เพราะท่านทั้งหลายจะรู้ดีกว่าอาตมาเสียอีก ว่าเรากำลังกินในลักษณะที่เกิน
: ดีเกิน แพงเกิน มากเกิน บ่อยเกิน อะไรล้วนแต่เกิน
จะนอนอยู่แล้วก็ ยังจะกิน.
เครื่องนุ่งห่ม นี่ก็ไปยอมเสียแพงๆ
ที่ทำให้มีลวดลายสีสันอย่างนั้นอย่างนี้
ประดับประดาอย่างนั้นอย่างนี้ซึ่งมันก็ต้องแพง.
เครื่องใช้ไม้สอยเกิน ก็คือต้องให้มันดีที่สุด
ที่กิเลสมันต้องการ.
ที่อยู่อาศัยและเครื่องใช้สอย ก็ต้องให้อยู่ในงบประมาณที่ตัวอยากจะมี
มีรถยนต์ 2 คันไม่พอต้อง 3 คัน 4 คัน;
รถยนต์ราคราหมื่นไม่ได้ ต้องแสน; แมนไม่ได้ ต้องล้าน.
มีเครื่องประเล้าประโลมใจที่เกิน ต้องมีฟ้อนรำขับร้องดนตรี
การเบ่นต่างๆที่เป็นข้าศึกแก่กุศล.
นี่เกินสำหรับทำให้วินาศ.
แล้วก็มีลูบทาประดับประดาตกแต่งซึ่งมันไม่จำเป็นจะต้องทำ; นี่มันอยู่ด้วยการเกิน.
ถ้าเป็น มัชฌิมาปฏิปทา
มันต้องไม่เกิน, ต้องพอดีพอเหมาะ
แล้วมันจะเกิดเป็นความถูกต้อง 8 ประการขึ้นมา ที่เรียกันว่า
“อริยมรรคมีองค์แปด”.
มัชฌิมาปฏิปทาช่วยเปลื้องปัญหา
ทั้งบุคคลและสังคม.
“อริยมรรคมีองค์แปด” คือ ความคิดเห็นถูกต้อง, ความปรารถนาถูกต้อง,
การพูดจาถูกต้อง, การงานถูกต้อง, การดำรงชีวิตถูกต้อง, การพากเพียรถูกต้อง,
สติถูกต้อง, สมาธิถูกต้อง; เป็นความถูกต้อง 8 ประการ,
มีองค์แปดประการขึ้นมา เป็นหนทางอันเป็นทางสายกลาง. จะเรียกว่ามี ศีล สมาธิ ปัญญา ก็ได้ใน 8
ประการนั้น ก็เป็นการทำให้หมดปัญหา : ทางกายวาจา ก็ไม่ผิดพลาด,
ทางจิต ก็ไม่มีพลาด, ทางสติปัญญา ความคิด ความนึก ก็ไม่มีผิดพลาด,
เป็นการดำรงชีวิตชนิดที่ไม่มีปัญหาใดๆจะเกิดขึ้น สำหรับทรมานใคร : ไม่ทรมานตนเอง ไม่ทรมานผู้อื่น. อย่างนี้เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทาส่วนบุคคล
เป็นการดำเนินชีวิตไปในทางที่ถูกต้อง.
มัชฌิมาปฏิปทาส่วนสังคม ก็คือ ไม่มีซ้าย ไม่มีขวา ไม่มีมึง
ไม่มีกู มีแต่เรา.
อาตมาสังเกตดูพฤกษชาติในดงทึบมันอยู่กันอย่างไม่มีมึง ไม่มีกู ไม่มีซ้าย
ไม่มีขวา มีแต่เรา; ต้นไม้ขนาดยักษ์อยู่ได้กับพวกตะไคร่ที่โคนต้น
และเฟิร์นเล็กๆก็ขึ้นงามอยู่ที่โคน.
มันไม่เป็นข้าศึกแก่กันทั้งๆที่มันมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงกว่ากันเหลือประมาณ; ในดงทึบนั้น
ต้นไม้ใหญ่ก็อยู่กับตะไคร่หญ้าบอน เฟิร์นที่โคน.
ถ้าต้นไม้ใหญ่ถูกโค่นลงไปกับแดดก็แผดเผา พวกเฟิร์นหรือตะไคร่เหล่านั้นแห้งตายหมด,
หรือถ้าไม่มีเฟิร์น ไม่มีตะไคร่เหล่านี้ ก็ไม่มีความชุ่มชื้นพอ
ที่จะทำให้ต้นไม้ยักษ์นั้นใหญ่โตเติบได้.
นี่มันอยู่กันพอดีอย่างนี้ทั้งๆทีมันมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงมาก.
ความเหลื่อมล้ำต่ำสูงนั้นมันเป็นสิ่งที่ต้องมี
มีโดยกฏของธรรมชาติ นี่ช่วยไม่ได้ มันตองมี, กฏของกรรมมันก็ต้องมี,
ต้องมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูง; แต่มันอยู่กันได้เพราะการมีธรรมะ; มรธรรมะ คือมันประสมประสานกัน มันอาศัยซึ่งกันและกัน. มนุษย์ก็อยู่โดยมีธรรมะอยู่กันได้ทั้งๆมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงกว่ากัน.
เมื่อทิ้งศาสนามนุษย์ก็เกิดเห็นแก่ตัว
คืออุปัทวะต่างๆ.
ต่อมา มนุษย์ได้ละทิ้งธรรมะ
ละทิ้งศาสนา จึงเกิดคนที่เห็นแก่ตนเอาเปรียบคนอื่น, เกิดเป็นคนร่ำรวยแข็งแรง
มีอำนาจวาสนาขึ้นมา; มันกลายเป็นนายทุนกระดาษซับ คือซับเอาประโยชน์ของคนอื่นมาจนหมดจนแห้ง; เพิ่งเกิดนายทุนกระดาษซับขึ้นมาในโลกนี้ใหม่ๆหยกๆ
เมื่อมนุษย์ละทิ้งศาสนาละทิ้งธรรม, เศรษฐีใจบุญแต่กาลก่อน ก็หายหน้าไปหมด; ลัทธิชนกรรมาชีพอันโหดร้าย ที่จะทำลายล้างนายทุนก็เกิดขึ้นมา
เพราะว่าได้เกิดนายทุนที่มีขึ้นมาจากการละทิ้งศีลธรรม;
คนจนก็ต้องละทิ้งศีลธรรมเพื่อทำการต่อสู้.
อุปัทวะนี้เพิ่งเกิดเมื่อมนุษย์ละทิ้งศาสนาละทิ้งธรรมะ; ถ้ามนุษย์ยังมีธรรมะ ยังมีศาสนา
ลัทธินี้ไม่อาจจะเกิด.
ขอให้พิจารณาดูให้ดี
นายทุนคิดว่าจะครองโลกมันก็บ้าพอดูอยู่แล้ว;
แต่ถ้ากรรมกรคิดจะครองโลก มันก็คงจะบ้ามากขึ้นไปกว่านั้นอีก. นายทุนครองโลก ก็คิดจะกอบโกยถึงที่สุด; กรรมกรครองโลก ก็คิดจะกอบโกยเพื่อตัวเอง,
แล้วก้กลับเป็นนายทุนในที่สุด, ฉะนั้น ธรรมะครองโลกดีกว่า
จะมีความถูกต้องเหมาะสมทั้ง 2 ฝ่าย คือทั้งฝ่ายนายทุนและทั้งฝ่ายกรรมกร. ความเหลื่อมล้ำจะไม่มีปัญหาอีกต่อไป คือ
นายทุนกับกรรมกรก็จะอยู่กันได้ ถ้าทั้ง 2 ฝ่ายต่าง รู้ชัดในข้อเท็จจริงที่ว่า
มันต้องอาศัยกันและกัน, มีธรรมะเป็นเครื่องทำความอาศัยซึ่งกันและกัน. ถ้าไม่มีกรรมกร, นายทุนก็ทำอะไรไม่ได้
ไม่มีแรงงาน; ถ้า ไม่มีนายทุน
กรรมกรก็ไม่มีงานอะไรจะทำ. มันเป็นการช่วยกันให้ทำตามที่ตัวประสงค์
หรือควรประสงค์ได้ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย โดยต้องอาศัยกันและกันอย่างนี้; มิฉะนั้นก็จะตายทั้ง 2 ฝ่าย.
นี่เรียกว่า
เราจะต้องแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำต่ำสูงให้ได้;
ให้มันอยู่กันได้เหมือนกับที่ว่า
ในโลกนี้มันต้องมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงตามธรรมชาติ. ในทะเลปลาใหญ่ปลาเล็กอยู่ด้วยกัน
จนเต็มทะเลเกือบจะไม่มีน้ำ เพิ่งหมดไปเมื่อมนุษย์เข้าไปเกี่ยวข้อง. ในป่าในดงมีทั้งเสือและกวางเกลื่อนไปหมด
มันเพิ่งหายไปเมื่อมนุษย์เข้าไปเกี่ยวข้อง.
ถ้าปล่อยตามธรรมชาติ ถึงแม้ว่ามันจะมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงอย่างไร
มันก็อยู่กันได้ นี่เรียกว่าจะต้องอาศัยอยู่กันอย่างมีธรรมะ
อยู่กันอย่างเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย.
เอกลักษณ์ไทย
ต้องมีวิธีดำเนินชีวิตตามหลักศาสนา.
ในที่สุดนี้
จะขอพูดถึงสิ่งที่พูดกันมากสักสิ่งหนึ่งคือ สิ่งที่เรียกว่า “เอกลักษณ์ไทย” เอกลักษณ์ไทย
นั่นแหละคือ วิถีแห่งการดำเนินชีวิต
ที่ถูกต้องตามหลักแห่งพระศาสนาที่ออกมาเป็นวัฒนธณรมไทย เอกลักษณ์ไทย คือการอยู่กันอย่างเพื่อนมนุษย์,
อย่างเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย, นี่คือเอกลักษณ์ไทย.
เอกลักษณ์ไทย ไม่ใช่ลายกนกไทย
ไม่ใช่เพลงไทย ไม่ใช่ดนตรีไทย ไม่ใช่โขน ไม่ใช่รำไทย หรืออะไรต่างๆที่เขาชอบเรียกกันว่าเอกลักษณ์ไทย. เอกลักษณ์ไทยต้องเป็นการอยู่กันได้แม้มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงอย่างที่ปู่ย่าตายายเราเคยอยู่กันมา. ปู่ย่าตายายของเราไม่ยอมรับว่าเพลงไทย
ดนตรีไทย โขน ละคร รำไทยนั้นเป็นเอกลักษณ์ไทย.
ท่านกลับจะถือว่า ค่ำเช้าเฝ้าสีซอ เข้าแต่หอล่อกามา นี้มันคนบ้า,
คนที่ทำความฉิบหายมากกว่า.
มันต้องอยู่ด้วยจิตใจที่มีความสะอาด มีความสว่าง มีความสงบ
ประกอบอยู่ด้วยธรรมะ ที่เนื้อที่ตัว; นี่แหละ คือเอกลักษณ์ไทย.
คนไทยยิ้มเสมอ
เพราะมีธรรมอยู่ในเนื้อในตัวอยู่ในใจ ดลบันดาลออกมาทางสีหน้า ทำให้คนไทยยิ้มเสมอ. ปู่ย่าตายายที่เป็นคนไทยแท้ มีความเชื่อตัวเอง,
คือเชื่อในธรรม; มีการบังคับตัวเอง ให้อยู่ในธรรม มีการเคารพตัวเอง เพราะมีธรรมไม่แพ้พวกฝรั่ง. พวกฝรั่งที่เขาเพิ่งมาสู่ตะวันออกใหม่ๆ
เขาคุยโอ่ในเรื่องความเชื่อตัวเอง (self confidence)
การบังคับตัวเอง(self control) การเคารพตัวเอง (self
respect).
คนที่ไปเรียนเมืองนอกเมืองนาสมัยโน้น
จบมหาวิทยาลัยกลับมาแล้วก็ พูดกันถึงเรื่องความเป็นสุภาพบุรุษ พูดกันแต่ เรื่องการเชื่อตัวเอง
เคารพตัวเอง บังคับตัวเอง เด่ยวนี้ไม่ได้ยิน. ผู้สูงอายุคงจะจำได้
ว่าเมื่อเราเด็กๆนั้นได้ยินคำนี้มากเหลือเกิน;
เดี๋ยวนี้ไม่ได้ยิน. พอฝรั่งเปลี่ยน
กลายเป็นตัวอย่างแห่งความไม่มีสิ่งเหล่านั้นคือ ไม่เชื่อตัวเอง ไม่บังคับตัวเอง
ไม่เคารพตัวเองมาแสดงแต่ความนิยมทางวัตถุ เทคโนโลยีทางวัตถุเราก็ตามก้นเขา. ดังนั้นเราก็หมดความเป็นไทย หมดเอกลักษณ์ไทย; ไม่มีอะไรจะเป็นเอกลักษณ์ไทยจริงๆเหลืออยู่. นอกจากดนตรีไทย เป็นต้น. อย่างนี้มันไม่ช่วยประเทศชาติได้. มันไม่ช่วยความเป็นไทย
ให้มีอยู่อย่างรอดหรือเป็นอิสระได้.
ขอให้เราฟื้นเอกลักษณ์ไทยให้กลับมา ให้มีการดำเนินชีวิตที่ประกอบไปด้วยธรรม,
มีธรรม คือการประพฤติกระทำให้ถูกต้องตามกฏของธรรมชาติ; แล้วเราก็จะอยู่กันอย่างเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายกัน; แม้จะเหลื่อมล้ำต่ำสูงกว่ากันอย่างไร ก็ยังอยู่กันได้เหมือนต้นไม้ในดงทึบ.
แต่ต้นไม้ขนาดยักษ์ยังอยู่ได้กับหญ้าบอน ต้นเฟิร์นและตะไคร่
โดยไม่ต้องมีปัญหา.
มนุษย์จะเลวกว่าพฤกษชาติเหล่านี้ได้อย่างไร.
นี่แหละคือวิถีทางแห่งการดำเนินชีวิต
จะไป สู่จุดๆหนึ่งที่เรามีสันติสุขมีสันติภาพอันถาวร; ไม่มีปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำต่ำสูง.
ไม่มีความผิดพลาดในเรื่องกิน จนเป็นเหตุให้เกิดความโลภ ความโกรธ ความหลง
เพราะเห็นแก่ตัวเกิน. นี่เรียกว่า
ธรรมะในฐานะเป็นระบบการดำเนินชีวิต.
ขอให้เรามีชีวิตที่เป็นการดำเนิน
อย่าให้เป็นเหมือนเชือกล่ามควายขดทิ้งอยู่ที่นี่.
เวลาสำหรับปาฐกถาธรรมหมดแล้ว
อาตมาขอยุติการบรรยายในวันนี้ไว้เพียงเท่านี้.
*********
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น