หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

ดร.สตีเฟน กุนดรี - ความจริงแท้เกี่ยวกับ โคโรนาไวรัส

 


ความจริงแท้เกี่ยวกับ โคโรนาไวรัส โดย ดร.สตีเฟน กุนดรี

THE REAL TRUTH ABOUT CORONAVIRUS by Dr. Steven Gundry

 

สตีเฟน ร. กุนดรี* (เกิด มิถุนายน ๑๑, พ.ศ.๒๔๙๓) เป็นแพทย์ชาวอเมริกันและเป็นนักประพันธ์. เขาเป็นผู้เริ่มแรกในการผ่าตัดหัวใจ(cardiac surgeon)และปัจจุบันทำงานคลินิกของตนเอง, ตรวจสอบหาความจริงในผลกระแทก(impact)ของการควบคุมอาหารต่อสุขภาพ(diet on health). กุนดรี ควบคุมจัดการการค้นคว้าวิจัยในเรื่องผ่าตัดหัวใจในปี พ.ศ. ๒๕๓๓ และเป็นผู้บุกเบิกนำเริ่มต้นในการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ, และเป็นผู้ประพันธ์ที่ได้รางวัลขายดีที่สุดจากนิว ยอร์ค ไทมิ์ส หนังสือชื่อ “พืชปฏิทรรศน์: อันตรายที่ซ่อนอยู่ในอาหารสุขภาพที่เป็นสาเหตุโรคและการเพิ่มน้ำหนัก.”

เขาเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องที่เขาอ้างโต้เถียงทั้งหลายว่า เล็คตินส์(lectins* - เลคติน (Lectins) เป็นโปรตีนที่สามารถพบได้ในอาหารหลายๆ ชนิด แต่ส่วนใหญ่แล้วมักพบในพืชถั่ว พืชตระกูลถั่ว ธัญพืช และผักไนท์เฉด (Nightshade vegetables) ซึ่งเป็นพืชในกลุ่มวงศ์ Solanaceae หรือกลุ่มพืชผักในวงศ์มะเขือ เช่น อย่าง มะเขือเทศ มะเขือยาว พริก มันฝรั่ง แต่สารเลคตินนั้นยังสามารถพบได้ในนมวัวและไข่ไก่ที่เลี้ยงด้วยถั่วอีกด้วย

สเตเวน กล่าวว่าพืชที่มีสารเลคตินนั้นเป็นพิษ พืชสร้างสารเลคตินขึ้นมาเพื่อความอยู่รอด โดยป้องกันไม่ให้แมลงและสัตว์นั้นรับประทานตัวเอง นอกจากนี้สารเลคตินยังทำให้เกิดผลกระทบต่อร่างกายหลายอย่าง เช่น ทำให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ทำให้ลำไส้เกิดความเสียหาย และช่วยเพิ่มน้ำหนักตัวให้ด้วย แม้ว่าเลคตินจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพบางอย่าง แต่อาหารบางชนิดที่มีเลคติน ก็อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการอื่นๆ ทั้งไฟเบอร์ โปรตีน วิตามินและแร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ถั่วแดง เป็นถั่วที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีเลคตินที่เป็นอันตรายอยู่ด้วย หากรับประทานในปริมาณก็อาจเป็นอันตรายได้ แต่การปรุงสุกก็จะช่วยทำลายเลคตินในถั่วแดงได้), เป็นโปรตีนในพืชชนิดหนึ่งที่พบในอาหารจำนวนมาก,

https://hellokhunmor.com/%E0%B9%82%E0%B8%A0%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E/%E0%B9%82%E0%B8%A0%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9/plant-paradox-diet/

ที่เป็นสาเหตุให้เกิดการอักเสบติดเชื้อ(inflammation)มีผลในโรคสมัยใหม่มากมาย(resulting in many modern disease). พืชปริทรรศน์ของการควบคุมอาหาร ชี้แนะให้หลีกเลี่ยงอาหารทั้งหมดที่มีเล็คตินส์อยู่ด้วย. นักวิทยาศาสตร์และนักโภชนาการควบคุมอาหารเพื่อสุขภาพทั้งหลายได้จำแนก(classified)ข้ออ้างของกุนดรีเกี่ยวกับเล็คตินส์นี้ว่าเป็น วิทยาศาสตร์เทียม(pseudoscience). เขาขายอาหารเสริมสุขภาพทั้งหลายที่เขาอ้างว่าป้องกันต่อหรือพลิกกลับ(protect against or reverse)การเสียหายจากผลกระทบที่คาดไว้ของเล็คตินส์(the supposedly damaging effects of lectins).

https://en.wikipedia.org/wiki/Steven_Gundry

กุนดรี: ผมคิดว่าเรื่องนี้มีบางอย่างที่ผู้คนควรจะเข้าใจ.

ไวรัสทั้งหลายไม่ได้ต้องการจะฆ่าเจ้าของภาพของพวกตน(their hosts). พวกเขาต้องการจะใช้เจ้าภาพของพวกเขา(use their hosts)ในตัวเรา(in us), ในกรณีนี้คือเรา, ในการที่จะ”งอก”(to replicates - ถ่ายซ้ำ/ทำสำเนาเพิ่ม)และแล้วทำให้แน่ใจว่าเจ้าภาพทั้งหลาย(the hosts)ไอและกระจาย(coughs and spreads)ไวรัสนี้ไปยังเจ้าภาพรายถัดไปของมัน(is next host). และตราบนานเท่าที่เจ้าภาพ(the host)นั้นยังมีชีวิตอยู่และทำการไอ(alive and coughing), นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดที่ไวรัสนี้สามารถร้องขอได้.

อย่างง่ายๆ(simplistically), พวกเราทั้งหมดในที่นี้คือสิ่งมีชีวิต(living creatures)เป็นโดยพื้นฐานตรงนี้(are basically here)ก็ที่จะทำสำเนาทั้งหลายของตัวเราเอง(to make copies of ourselves), ที่จะผลิตซ้ำ(to reproduce).

และดังเช่นที่ข้าพเจ้าพูดถึงในเรื่องของพืชปริทรรศน์(the plant paradox)ครั้งหนึ่ง, คุณทำสำเนา(make copies)คุณก็อยู่ในเส้นทาง(in a way), คุณได้ทำงานของคุณ(done your job)และคุณควรจะออกไปนอกเส้นทาง(out of the way)เมื่อคุณได้ทำเสร็จแล้วที่คุณได้มีหลานจำนวนหนึ่งมารับงานทำต่อไป(get grandchildren take over).

ส่วนหนึ่งของปัญหา(part of the problem)กับไวรัสพิเศษเฉพาะนี้(with this particular virus)ก็คือ...มันเป็นญาติของไข้หวัดธรรมดา(its cousin of common cold)และโดยจริงแล้วเป็นเพราะว่ามันประพฤติตัว(behaves)เหมือนไข้หวัดธรรมดา(common cold)ในแง่ทั้งหลายของการติดเชื้อของมัน(in terms of its infectivity)ที่สร้างความเกเรซุกซนเหลือเกิน(so mischievous).

แต่นั่นที่ข้าพเจ้าหมายถึงดังเช่นการถกเถียงอย่างมากมาย(for instance a lot of discussion)โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ในสหรัฐอเมริกา, ว่า เอ้อ, ในสหรัฐอเมริกา, ระหว่าง 20,000 ถึง 60,000 ผู้คนต่อหนึ่งปีที่เสียชีวิตเพราะไข้หวัด(die of the flu)และในตอนเริ่มต้นกับและในวิกฤตการณ์โคโรนาไวรัสนี้(early on and in this coronavirus crisis).

ผู้คนพูดกันว่า, ทำไมถึงได้วิตกกังวลนักหนา(so upset)เพราะว่าเรา...เรายอมรับนั่นกับเรื่องยี่สิบถึงหกสิบพันผู้คน(2-6 หมื่นคนที่เสียชีวิตต่อปี)มาทุกปีว่ากำลังตายด้วยโรคหวัด.

และเราก็ไม่ได้ทำ เว้นระยะทางสังคม(social distance), เราไม่ได้แยกตัวอกจากกัน(isolate), แล้วทำไมเราควรจะทำเช่นนั้นกันในครั้งนี้.

และข้าพเจ้าคิดว่า, สิ่งสำคัญสำหรับผู้คน(the important thing for people)ที่จะตระหนักว่า(to realize is)ไข้หวัดนั้นขณะที่เป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้อย่างชัดเจน(the flu while certainly deadly)นั้นไม่ได้ใกล้เคียงกับการติดเชื้อหมายเลขหนึ่งดังเช่น(not nearly as number one as this)ในยุคสมัยที่สิบเก้านี้.

และไข้หวัดนั้นมีระยะเวลาสั้นมากในการ”งอก/ฟักตัว”(has a very short incubation time), โดยปกติภายใน 48 ชั่วโมงของการเผยตัว(of exposure). ถ้าคุณกำลังจะพัฒนาไข้หวัด(going to develop the flu)คุณก็จะรู้ถึงมัน, และคุณก็รู้ว่าเป็นมันได้เกือบอย่างรวดเร็ว(quite dramatically), คุณรู้ว่ามีไข้ปวดหัว(headaches fever), คุณอยากไปนอน, คุณไม่อยากจะเคลื่อนไหว(don’t ant to move)และก็คุณรู้ว่าเมื่อไหร่ที่คุณมีเชื้อหวัด(have the flu)และค่อนข้างจะเปิดเผยเหมือนผู้คนส่วนใหญ่ที่เป็นไข้หวัดที่ไม่ได้ออกไปข้างนอกเกี่ยวกับการแพร่กระจายมัน.

ข้าพเจ้าได้เป็นผู้ดูแลอย่างเข้มข้น(intensivist)(ในเรื่องนี้ - ผู้แปล)มากว่า 40 ปีและเรา 40 ปีอยู่ในสหรัฐอเมริกากับไข้หวัดสายหลักทั้งหลาย, h1n1(with major flus, h1n1)และไข้หวัดสายพันธุ์หลักอื่น, ไม่เคยประมาทความสามารถของเรา(overwhelmed our ability - ประมาทตนเอง)ในการที่จะชวยการหายใจของคนไข้ทั้งหลาย(to ventilate patients), เราไม่เคยประมาทในการใช้ RIC*( Reduced-Intensity Conditioning - ผู้แปล?) เย้, เรามีงานยุ่งอย่างแน่-

https://www.allacronyms.com/RIC/medical

นอน(we got busy certainly)แต่เราไม่เคยประมาท(overwhelmed)ความสามารถของเราในการช่วยการหายใจของคนไข้ทั้งหลายที่เป็นไข้หวัด(to ventilate patients with the flu)กับโคโรนาไวรัส(with the coronavirus).

         ปัญหาก็คือ เราเริ่มที่จะตระนักได้ว่า(to realize that)ผู้คนมากมายได้ติดเชื้อกับสิ่งนี้(have been infected with this)และพวกเขามีไข้เพียงเล็กน้อยเบาบาง(a mild illness), หรือกระทั่งไม่มีอาการทั้งหลายใดปรากฏเลย(even have any symptoms)เหมือนอย่างมากยิ่งของผู้คนที่ติดไข้หวัด(catch cold).

         โอ้, ลองคิดว่ามันเป็นโรคภูมิแพ้อย่างหนึ่ง(an allergy) หรือว่า, คุณก็รู้, โอ้ ฉันเพิ่งเป็นอาการสืดน้ำมูก(sniffles)แล้วก็แค่นั้น.

         และเรื่องนี้ได้ถูกซัดโดยตรงพิเศษเฉพาะกับสหรัฐอเมริกา(this has been hitting particularly United States)ในช่วงฤดูการแพ้อากาศ(allergy season)เมื่อต้นไม้ทั้งหลายกำลังเริ่มผลิบาน(beginning to bloom).

แล้วไวรัสนี้ก็ทำให้ติดเชื้อได้(is infective)เหมือนหวัดธรรมดา(the common cold)ที่ไม่เหมือนเชื้อไข้หวัด(unlike the flu)และคุณสามารถมีคาบระยะยาวนานของเวลานี้(a long period of time)ก่อนที่คุณจะมีแสดงออกจริงถึงอาการของโรคทั้งหลาย(actually make a show symptoms)ที่มากกว่าคาบระยะของเวลาสองวันสำหรับอาการไข้หวัด(so rather than two-day period of time for flu symptoms).

คุณอาจจะไปเจ็ดถึงสิบวันก่อนที่คุณอาจจะเริ่มแสดงออกถึงอาการทั้งหลายของโรค(may start exhibiting symptoms).

ดังนั้น, ด้วยมีคาบระยะของเวลาอันมหึมานี้(this huge period of time)ที่ผู้คนยังคงได้เดินกันไปทั่ว(have been walking around)ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังแพร่กระจายไวรัสนี้(they’re spreading this virus).

และสิ่งอันดับที่สอง(the second thing), ข้าพเจ้าคิดว่าเราจะเข้าไปสู่กับการที่ว่า(get into that is) ว่าไวรัสนี้ไม่เหมือนกับไข้หวัด(the flu)ในการสามารถรับรู้สึกได้ง่าย(in susceptible), ผู้คนได้แค่มีความตื่นตระหนกกลัว(a horrible)กับอะไรที่เราเรียกกันว่า พายุไซโตไคนิ์(cytokine storm* - สภาวะภูมิคุ้มกันทำงานผิดพลาดในการตอบสนองด้านอักเสบที่โหมกระหน่ำเกินภาวะควบคุมได้)ในปอด(in the lung), ที่ไข้หวัด(the flu)ไม่ทำเช่นนั้น.

https://www.facebook.com/197657060347838/posts/479617212151820/

และนั่นคือทำไมผู้คนมากมายเหลือเกิน(so many people)จบลงกับเครื่องช่วยหายใจ(ventilators).

และเมื่อใดที่กระบวนการนี้เริ่มต้น(once this process starts)ที่ชั่วขณะ(at the moment)ที่เราไม่ได้มีการบำบัดรักษาที่ดีที่จะหยุดมันwe don’t have a good treatment to stop it), นอกไปจาก(excepts for)เพื่อการพยายามที่จะรอคอยมันโผล่ออกมา(trying to wait it out)โดยการเล็งเป้าสำหรับผู้คนที่เครื่องช่วยหายใจ(ventilators).

ดังนั้นไวรัสนี้(the virus)ต้องการให้เราทำสำเนา(to make copies)และต้องการให้คุณที่จะแพร่กระจายพวกมัน(to spread them).

แล้วมิฉะนั้น(so otherwise), มันไม่ได้ต้องการที่จะฆ่าคุณ(doesn’t want to kill you), นั่นจะเป็นการโง่เง่าแท้จริง(would be really stupid)ถ้าไวรัสมรณะของคุณ(your deadly virus)สามารถแพร่กระจายได้.

แล้วพายุไซโตไคนิ์(cytokine storm)ที่เราเห็นในตอนนี้คือระบบภูมิคุ้มกันการติดเชื้อโรค(your immune system). เพราะว่าการแสดงปฏิกิริยามากเกินไป(over-reacting)ต่อการติดเชื้อไวรัสนี้(to this virus infection)ในที่จริง(in actually)ส่วนล่างของปอดทั้งหลาย(the lower parts of the lungs)และเรื่องนี้ก็มีรูปแบบซ้ำมากในการปรากฏ(a very typical appearance)บน เอ็กซ์-เรย์(x-ray)ว่ามันไม่เหมือนอย่างที่เมื่อเป็นบัคเตรีทั้งหลาย(bacterial moments)ที่เราคุ้นเคยในการรับมือ(that we’re used to dealing with).

และด้วยปฏิกิริยาตื่นเต้นดาลเดือดอย่างเข้มข้นนี้(this intense inflammatory reaction)ต่อไวรัสนี้(against the virus)และความคิดบรรเจิดทั้งปวงของที่คุณรู้ในการหนีบลงป(clamping down)กับสิทธิเสรีภาพของผู้คน(on civil liberties)ไปเลย. ก็เลยไปแท้จริงต่อต้านกับธรรมชาติของมนุษย์(actually against human nature).

แต่หนึ่งอย่างของสิ่งทั้งหลายนั้น(one of the things)ที่เป็นพิเศษอย่างยิ่งของดีที่สุดในการรู้ว่าจะทำอย่างไร(that particularly best know how to do). จากประสบการณ์ในสงครามโลกครั้งที่ 2 คือ ในความจริงของกฎทั้งหลายที่ตามมา(in fact follow rules)นั้นคือความทารุณโหดร้าย(are draconian)เพื่อช่วยชีวิตทั้งหลายของพวกคุณ(to save your lives)และชาติอเมริกาต่อคนส่วนน้อย(America to lesser extent).

แต่ข้าพเจ้าคิดว่าเพราะว่ารุ่นอายุที่ยิ่งใหญ่ที่สุด(the greatest generation)ที่เราได้มีประสบการณ์ที่ถูกแบ่งปัน(a shared experience)ที่ซึ่งถ้าคุณได้ถูกขอให้ทำตามกฏทั้งหลายนั้น(you’re asked to follow the rules), เราก็ควรจะกระดิกหางทำตัวดีๆกับการทำตามกฏทั้งหลาย(pretty doggone good at following rules).

โอเค, มาสมมติว่าเราขึ้นไปถึงยอดสุด(let’s suppose we hit the peak)และเราเริ่มการลงมา(start going down), และเราได้อนุญาตที่จะให้ผู้คนปะปนรวมกันได้อีก(to mingle), มีบางคำแนะนำ(some suggestion)โดยเฉพาะของสิงคโปร์(particular of Singapore)ว่าเราจะได้เห็น, คุณรู้ไหม, ยอดสุดอันใหม่(we will see, you know, new peak)มีผู้คนที่ได้ถูกสมมติว่า(who were assumed)ว่าเป็นผู้ไม่ติดเชื้อ(to be uninfected), และคุณก็ยังคงเป็นผู้ติดเชื้ออยู่อีกต่อไป(you anymore are still infected).

และเพิ่งเมื่อตอนเช้านี้ที่ข้าพเจ้าได้พูดคุยกับนักชีววิทยาผู้หนึ่ง(a biologist), ว่าพวกเขาเริ่มกังวลว่า(beginning to worry)ไวรัสพิเศษเฉพาะนี้ได้กลายพันธุ์อย่างรวดเร็วมาก(this particular virus mutates very rapidly)เหมือนหวัดธรรมดาที่กลายพันธุ์อย่างรวดเร็ว.

นี่คือการรับมือ(here’s the deal)และคุณก็รู้, ชัดเจนเลยว่าทุกคนต้องการวัคซีน(obviously everyday wants a vaccine)และนั่นควรจะเป็นสิ่งอัศจรรย์(be a wonderful thing).

แต่คุณต้องก้าวถอยกลับมาสักหนึ่งวินาที(have to step back for a second)และตระหนักรู้ว่าไม่มีวัคซีนใดป้องกันไข้หวัดธรรมดา(no vaccine to the common cold).

และเราก็สามารถสร้างวัคซีนป้องกันไข้หวัดธรรมดา(we could build a vaccine to the common cold).

แต่ในสองเดือนที่ไวรัสนั้นสามารถกลายพันธุ์ได้(in two months that virus could mutate)และเราก็จะได้อยู่กับมันอีกครั้ง.

เราสามารถสร้างวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่(a vaccine to influenza flu), แต่พวกเราทั้งหมดทราบหรือไม่ว่าไวรัสนั้นกลายพันธุ์ราวหนึ่งครั้งต่อปี(that virus mutates once a year).

และดังนั้นเองที่เราเกือบจะมักหนึ่งปีตามหลังมันอยู่เสมอกับไวรัสไข้หวัดใหญ่นั้น.

ดังนั้น,จินตนาการดู, และข้าพเจ้าไม่ได้กำลังบอกว่ามันกำลังจะเป็นแต่ลองจินตนาการดู. ถ้าไวรัสนี้(this virus)ซึ่งเป็นญาติกับไวรัสไข้หวัดธรรมดา(a cousin of common cold)ได้หลายพันธุ์(mutates)เหมือนหวัดธรรมดา(like common cold), และแล้วสิ่งที่วางแผนไว้ทั้งหลายเหล่านี้ทั้งหมด(all these projections)ได้อย่างเศร้าใจต่ำลงกว่ามากมายกับอะไรที่อาจบังเกิดขึ้น(much lower than what may happen).

ดังนั้นมีสองสิ่งที่สามารถบังเกิดขึ้นได้(there’s two things that can happen)ถ้ามันเป็น. ถ้ามันเป็นไวรัสตามฤดูกาล(a seasonal virus), เราก็จะได้หยุดพัก(get a break). แต่นั่นหมายถึงว่ามันก็สามารถกลับมาได้ในฤดูฝนและฤดูหนาวครั้งหน้า(next fall and winter), หวังเต็มที่ว่ามันจะเป็นในรูปแบบเดิม(hopefully in its same form).

ถ้าเราไม่ได้หยุดพัก(don’t get a break), และไวรัสนี้กำลังที่จะกลายพันธุ์(is going to mutate)เหมือนหวัดธรรมดา(like common cold), แล้วเราจะได้เห็นกัน.

คุณรู้ไหม, เราเป็นสัตว์สังคม(social creatures), สาขหลักของข้าพเจ้า(my major), สาขาวิชาของการศึกษาของข้าพเจ้า(my area of study)ในระดับปริญญาตรี(undergraduate)ที่มหาวิทยาลัยเยล(Yale University)คือ ชีววิทยามนุษย์(human biological*)และวิวัฒนาการทาง

         https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%A2%E0%B9%8C

สังคม(social evolution), ว่าเราวิวัฒนะอย่างมีสังคมได้อย่างไร(how we evolved socially).

และเราก็เป็นเหมือนกับวานรขนาดใหญ่อื่นทั้งหมด(like all other great apes), การเป็นสังคมอันน่าทึ่ง(incredibly socially being) และน่าทึ่งอย่างยิ่งในความสำคัญที่มีการติดต่อสื่อสารปัจเจกชนเอกเทศ(incredibly important to have individual individual contact).

ตอนนี้เราไม่หยิบเห็บเหาออกให้กันและกัน(don’t pick fleas off of each other)มากอีกต่อไป, แต่การดูแลเสริมสวยสังคมทั้งปวง(the entire social grooming)เครือข่ายสังคมทั้งปวงคือ...คือ, รู้ไหม, ส่วนหนึ่งของชีวภาพของเรา(part of our biologic)และไม่มีคำถามใดอีก.

และการศึกษาในเรื่องการรวมกลุ่มทางสังคม(social grouping)ดังเช่นที่เราได้วิวัฒนะมา(as we evolved)เป็นแรงขับเคลื่อนที่น่าทึ่ง(a incredible driving force)ของอะไรที่ทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์มากไปกว่าแค่ลิงขนาดใหญ่ทั้งหลาย(rather than great apes).

อันที่จริงแล้ว, ความคิดทั้งหมดของการมีปฏิสัมพัทธ์ทางใบหน้า(face interaction)ของการมองเห็นการแสดงออกของ(looking at expression of), คุณก็รู้, มองดูคิ้วยักขึ้นลง.

หนึ่งของการโต้เถียงทั้งหลายต่อสื่อสังคม(against social media)ในทั่วไปหรือการส่งข้อความ(text messaging)หรือ ทวิตเต้อร์(Twitter)คือคุณไม่ได้เห็นการแสดงออกทางใบหน้าของกันและกันแท้จริง(don’t actual see facial expressions)ขณะที่บางคนกำลังสรรเสริญเยิรยอคุณ(praising you)หรือกำลังตัดคุณเป็นริบบิ้นอยู่(cutting you to ribbons)บนสื่อสังคม(on social media).

และนั่นแหละคือปฏิสัมพัทธ์ของบุคล-ต่อ-บุคคล(person-to-person interaction)ที่เราเป็นเช่นของชนิดพันธุ์ทั้งหลาย(of species)เจริญรุ่งเรืองมา(thrive on)และจำเป็นต้องการ(and need).

และข้าพเจ้าคิดว่าทำไมคุณเห็นสิ่งนี้, รู้ไหม, การเพิ่มขึ้น(uptick)ในความตกต่ำทางเศรษฐกิจ(in depression)และการฆ่าตัวตายจากการบริโภคแอลกอฮอล(suicides in alcohol consumption) เมื่อคุณไม่มีอะไรดีกว่าที่จะทำ.

นั่นเป็นหนึ่งในหลายสิ่ง(one of the things)ที่เราปฏิบัติติ่ตัวเราเองด้วย(treat ourselves with). และข้าพเจ้าคิดว่านั่นไม่ได้มีแต่แค่คุณที่รู้ถึงการเว้นระยะห่างทางสังคมนี้(this social distancing). มีบางทีจุดแตกหัก(breaking point)ที่สังคมของเศรษฐกิจทั้งหลาย(society the economies)จะพังทะลายลง(will collapse)นอกเสียจากว่าเรากลับไปทำงานกัน(unless we go back to work).

หรือในเวลาเดียวกัน(simultaneously)จิตประสาทจนกว่าเราจะมีหนทางที่จะทั้งปวงของเราอาจพังทลาย(our entire psyche may collapse)จนกว่าเราจะมีหนทางที่จะปฏิสัมพัทธ์(unless we have a way to interact).

 

https://youtu.be/gSKY4Oz9IXQ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น