หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

พัชระบูรณ์ - ความเชื่อ/ศรัทธา เมื่อไร้ปัญญาจึงกลายเป็นสงคราม

ความเชื่อ/ศรัทธา เมื่อไร้ปัญญาจึงกลายเป็นสงคราม

- ความทั้งหลายนี้ กระผมเขียนลงในfacebook แปะเป็นตอนๆไว้ เมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๔...เห็นว่าสมควรรวมให้อ่านได้ทีเดียว - เลยนำมารวมไว้ในที่นี้ด้วย. 

1)..วันนี้เรื่องยาว - ไม่ทำเป็น power point...เพราะเกี่ยวกับ"ความเชื่อ"ทางศาสนา...ที่เพียงบางประโยคที่ไม่มีบริบทก็อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดของผู้คนที่ จิใจกับปัญญานั้นแตกต่างกันไปตาม "ภูมิ"...

..."ความเชื่อ"นั้นเกิดขึ้นจาก ความ"ไม่รู้"...ซึ่งความเป็น"สัจ-จริง"...ที่มนุษย์ทั่วไปจำเป็นต้องมีเป็นพื้นฐานของการแสวงหาความ"รู้"...ที่เมื่อ"รู้"แล้วก็จะเปลี่ยนจาก "ความ-เชื่อ"...ไปสู่ "ปัญญา-ความเข้าใจ"...

...ความเชื่อ/belief คำของตะวันตกมาจากรากคำที่แปลว่า สภาวะการยอมรับว่ามีสิ่งนั้นอยู่จริง/ตามที่ตนรัก(ปรารถนา)ชอบหรือถูกใจ...คือถ้าไม่ชอบ - ก็ไม่เชื่อ...เหมือนสินเชื่อตอนไปกู้เงิน...ก็คือของมีค่า-ที่ผู้ให้ยืมนั้นเชื่อถือในตัวผู้มาขอ...หุหุหุ...

...ส่วน"ศรัทธา"นั้น - เป็นความ"เชื่อ"ในระดับที่สูงขึ้น...เพื่อทำให้เกิดความมุ่งมั่นที่จะทำตาม"ความเชื่อ"นั้น...

...ศรัทธา/faith...คำของตะวันตกก็มีความหมายเดียวกับเราคือ...ความเลื่อมใส/ความเชื่อมั่น...โดยสามารถแยกศรัทธาออกได้เป็น ๓ ประเภทคือ ๑. ศรัทธาโดยไม่ใช้ปัญญาหาความจริง-ความหลง ๒. ศรัทธาโดยใช้ปัญญา-พร้อมกับแสวงหาความจริง(ดังที่พระพุทธเจ้าสอนให้มี"ศรัทธา"เช่นนี้ ๓. ศรัทธาเมื่อมีประสบการณ์โดยตรง ด้วยตนเอง(แต่ต้อง"รู้"ถึงความเป็น"จริง"ของประสบการณ์รับรู้นั้นด้วย - ไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นหลงดังข้อ ๑...คือหลง)

...ทั้งหลายทั้งปวงของ "ความเชื่อ"และ"ศรัทธา"นั้น - ต่างก็ต้องประกอบด้วย "ปัญญา" จึงจะไปถึง "ความ-รู้"ที่แท้จริงได้...เน๊าะ...

 

2)...ที่ใช้ตัวเลขเป็นหัวข้อ-แทนที่จะเป็นพยัญชนะนั้น...เพราะว่ามีคนไทยหลายคนนักที่ไม่รู้จักการเรียงลำดับอักษร-พยัญชนะไทยที่ถูกต้อง...

...ครั้งหนึ่งกระผม (ที่ใช้ "กระ"ด้วยกับ"ผม"ก็เพราะ-ถ้าใช้แค่"ผม"ก็อาจกลายเป็นความหมายอื่นได้อีก) เป็นกรรมการออกข้อสอบรับบรรจุข้าราชการ...เคยเสนอข้อสอบในหัวข้อความรู้/ความสามารถทั่วไป-สำหรับผู้ที่จะมาเป็นข้าราชการ...ที่ไม่ต้องไปสอบพิสูจน์ความรักสถาบัน-ชาติ/ศาสนา/พระมหากษัตริย์อื่นใดให้ยุ่งยากอีก...นั่นคือ...ให้ผู้สมัครเขียนพยัญชนะไทย - เรียงลำดับก่อนหลังให้ถูกต้อง...ปรากฏว่า-คณะกรรมการอื่นเค้าไม่เห็นด้วย...เค้าบอกว่า...ตัวเค้าเองที่เป็นข้าราชการระดับบริหารสูงๆ-ก็เขียนนั่นไม่ได้...หุหุหุ...แถมยังย้อนเอาว่า-แล้วกระผมที่เสนอน่ะ...เขียนเรียงพยัญชนะไทยได้มั๊ย?...ผมก็บอกว่าเคยเขียนได้/แต่ตอนนี้ก็เขียนไม่ได้...เหมือนกัน...อิอิอิ...

3) เพราะความเชื่อและศรัทธา - ที่ไม่มีการยึด"ปัญญา"เป็นแกนในการดำรงไว้นั้น...จึงก่อให้เกิดการเบียดเบียน/ทำร้ายกัน - ซึ่งขึ้นไปถึงการทำลายล้างและการฆ่ากันและกันของมนุษย์...

...มันเป็นเรื่องที่น่าสังเวชใจอย่างยิ่ง - ที่มนุษย์ประกาศที่จะฆ่ากันเพราะ - ความเชื่อ/ศรัทธา...ต่อสิ่งที่ตนคิดว่า"ดี/งาม/ประเสริฐ"...

...นั่นไม่ใช่มนุษย์ -ที่ควรจะเป็นไป-แล้ว...

...มนุษย์ - ในความหมายของตะวันตก...คือ human being...คือ สิ่งมีชีวิตในโลกนี้เค้าใช้คำรวมกันว่าคือ creature ผู้ได้รับการสร้าง...

...แต่คำว่า being นั้นมีสองความหมายใหญ่...อย่างแรก b ตัวเล็ก - แปลว่า "ภาวะ"สิ่งที่มีอยู่/เป็นอยู่...แต่ไม่ใช่"ภาวะสมบูรณ์" จึงมีทุกข์/มีปัญหาให้เกิดทุกข์...

...ถ้า Being คือ b ตัวใหญ่...อันนี้จะหมายถึง "สัต" สิ่งที่เป็นอยู่; มีอยู่, ที่มีภาวะอันเป็นนิรันดร...เช่น"พรหมัน"ของพราหมณ์...หรือ "นิพพาน"ของพุทธ...

 

4) การแสวงหา Being สภาวะอันเป็นนิรันดร...นั้นฝังลึกอยู่ในจิตของ"มนุษย์"มายาวนาน...จนกลายมาสู่ "ลัทธิ"/ความเชื่อถือ - ศรัทธา...อันนำไปสู่ศาสนา...

...และเมื่อเกิดความเชื่อ/ศรัทธาขึ้นมาแล้ว...ก็ทำให้เกิดบรรดา"สิ่งศักดิ์สิทธิ์"...ขึ้น...คือ สิ่ง/หรือบุคคล ที่จะนำผู้ศรัทธาไปสู่สภาวะ"Being" นั้นได้...เช่น พุทธเกษตร/สุขาวดี...หรือสวนสวรรค์/สวนอีเดน...ดินแดนของพระเจ้า...ฯลฯ.

...สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นมี ๒ ลักษณะใหญ่...คือ ๑) ประตูสู่/ไปหาพระเจ้า...และ๒) ปูชนียสถาน/อนุสรณ์สถาน - สถานที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของ"ผู้"ที่เราเชื่อ/เคารพ/ศรัทธา...

...และเมื่อใดก็ตามที่เป็น"สิ่ง"ที่กลุ่มชน - เคารพ/มีความเชื่อและศรัทธาว่าเป็น "สิ่งศักดิสิทธิ์"...โดยไม่มี"ปัญญา"กำกับไปสู่ - ความ"รู้"ที่ถูกต้อง/หรือความ"จริง"...เมื่อนั้นก็เกิดการหวงแหน/กีดกัน ต่อสิ่งที่"สร้างความสกปรกโสโครก"ให้กับสิ่งนั้น...เกลียดชัง/โมโห/เคียดแค้น-โกรธ ต่อ ผู้ที่กระทำการดูหมิ่น/เหยียดหยาม/กระทำชั่วช้าสามานย์...ต่อสิ่งที่ตนมีความเชื่อ/ศรัทธา...ว่าศักดิ์สิทธิ์...นั้นๆ...

 

5) สิ่งหนึ่งที่ทำให้มนุษย์ฆ่าฟันทำลายล้างกันตลอดมา...ก็เพราะ -ความเชื่อ/ความศรัทธา ของตนเอง...และความเกลียดชัง/ไม่เชื่อถือ/ไม่ศรัทธา - ในผู้อื่น...ในเรื่องของผู้อื่น...

...ความเชื่อ/ศรัทธา...ที่ขาด"ปัญญา"เป็นสิ่งยึดเหนี่ยว...ก็จะทำให้เกิดความเกลียดชังต่อ-ผู้อื่นที่ไม่มี"ความคิด/คามเชื่อ/ศรัทธา"เหมือนตน...เมื่อขาดซึ่ง"ปัญญา"ยึดเหนี่ยวรั้ง...ศรัทธาจึงกลายเป็นความ"หลง-โมหะ"...ศรัทธาจึงกลายเป็นเรื่องชั่ว...ไร้ศีล...และไปไม่ถึงศึ่งความ Being/แดนศักดิ์สิทธิ์/พระเจ้า/นิพพาน...

...พระพุทธเจ้าจึงให้"เชื่อ/ศรัทธา" และบูชาในพระธรรม...ไม่ใช่ในพระองค์...

...แต่กระนั้น...กิเลสของความ"หลง"...ที่ทำให้เกิดการยึดถือใน"อัตตา"...นั่นเองที่ยังคงมีอยู่ใน"มนุษย์" ที่มีมาแต่กำเนิด...ที่เมื่อไม่ควบคุมบังคับ-อัตตา-ความหลงนั้นให้อยู่ในเส้นทางไป Being...ก็เวียนวนสร้างซึ่งอกุศลกรรม ...ที่ทำให้พ้นไปจากเส้นทางดังกล่าว...

...และทำร้ายฆ่าฟันความเป็น "มนุษย์"ซึ่งกันและกัน...ตลอดมา.

 

6) ปูชนียสถาน - สถานที่เพื่อการบูชา-เชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์มาแต่โบราณกาล...บ้างก็ว่าเป็นประตูสู่อีกมิติ...ที่จะไปถึง/ไปหา"พระเจ้า หรือ ที่ซึ่ง"พระเจ้าลงมาหา/มาพบ/มาติดต่อ...

...ก็กลายเป็นดุจเครื่องมือ device ที่จะลบล้างความชั่วสามานย์ของตน...และได้รับการยอมรับจาก"พระเจ้า"....หรือ"ตัดกรรม/ล้างกรรม/ล้างบาป"ที่ตนกระทำไปแล้วได้...

...ทั้งๆที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสสอนไว้ว่า...สิ่งเหล่านี้คือ สังเวชนียสถาน...แปลตรงตามคำได้ว่า "สถานที่อันเป็นที่ตั้งแห่งความสังเวช"

...สังเวช ก็แปลว่า ความสลดใจ, ความกระตุ้นให้คิด, ความรู้สึกเตือนสำนึก;

ในทางธรรม ความรู้สึกสลดใจที่ทำให้คิดได้...

...ดังนั้น - ปูชนียสถาน จึงทำให้เกิดการฆ่ากันของมนุษย์...

...แต่ สังเวชนียสถาน มีแต่ทำให้ยุติการฆ่ากันของมนุษย์...

 

7) รวบรัดตัดความ...มาถึงสิ่งที่เรียกว่า "curiosity killed the cat" - แปลว่า ความอยากรู้อยากเห็นนั่นแหละ-ที่ฆ่าแมว...หรือเป็นสาเหตุให้แมวถูกฆ่า...อิอิอิ...

...เป็นสันดานแมวววๆๆของกระผมที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดอ่ะแหละ...แบบว่าลืมตาจำความได้ก็เห็นแมวตัวหนึ่งนอนอยู่ข้างมุ้งทุกคืนแล้วอ่ะนะ...ทำเสียงกืดๆๆๆอยู่ข้างหู...อิอิอิ...

...กระผมไม่ได้อยากรู้อยากเห็น - หรือสอดรู้สอดเห็นในการกระทำของผู้อื่น/หรือสิ่งอื่นหรือในเรื่องของผู้อื่นนะ....ตามความหมายของ curiosity เบื้องแรกที่แท้คือ "ความอยากรู้"...ไม่มีสร้อยความต้อท้ายให้ความหมายบิดเบือนไปในทางลบ เช่น อยากเห็น...curious แปลได้อีกอย่างว่า (ต่อสิ่ง)หายาก, แปลก, ผิดธรรมดา...

...ช่วยไม่ได้แหละ...เพราะเช่นนั้น - ทั้งชีวิตของกระผมตลอดมาจนถึงหัวที่มีผมน้อยลงไปเรื่อย-ไม่ค่อยหงอก...มีแต่ร่วง...จึงมีแต่เรื่อง "สงสัย"และอยากรู้ไปตลอด...

...ยิ่งสมัยก่อนมีแต่การสื่อสารไม่กี่อย่าง...แค่ฟังกับดูในสิ่งที่เค้าบันทึกไว้กันในวงแคบ...ได้ฟังผ่านวิทยุ/ได้ดูผ่านหนังกลางแปลงและหนังโรง/และได้อ่านจากหนังสือ...ซึ่งก็เป็นวงแคบเพราะเครื่องมือสื่อสารที่ยังไม่พัฒนาได้มาก...ไม่ใช่ว่าคิดไม่ได้นะครับ - แต่ไม่สามารถผลิตสิ่งที่ตนคิดออกมาได้...

...ความสงสัยของกระผมเป็น curiosity...ที่มักจะเกิดขึ้นเมื่อมีผู้หนึ่งผู้ใดเสนอหน้าออกมา...พูดหรือแถลงการณ์หรือแสดงความคิดในเรื่องต่าง...ที่กระผมฟัง/ดูแล้วว่า...มันไม่ใช่/มันผิดตรรกะ/มันขัดแย้งจากข้อมูล-ตำรา-หรือความคิดของกระผมที่ได้อ่าน/ดูในสิ่งเดียวกันนั้นมา...คือหนังสือเล่มเดียวกันนั่นแหละ...แต่กระผมอ่านแล้ว-เข้าใจไม่ตรงกับท่าน...ในภาษาคน-เช่นเดียวกัน...หุหุหุ...

...ก็เลยต้องสงสัย/ก็เลยต้องอยากรู้....ตามสันดานแมวววว...

...คือ กระผมไม่เชื่อในอะไรที่ใครมาบอกง่ายๆกับกระผม...ถึงจะเป็นกระผมจะชอบควาาาาาายยยยและชอบทำตัวเป็นควาาาาายยยยยมากก็ตาม...

...แม่เคยตำหนิกระผมตอนเด็กว่า...ชอบเถียงคำไม่ตกฟาก...ผมกอดแม่แล้วก็ตอบว่า...ก็หนูเป็นลูกแม่ไงอ่ะ....(ไม่ใช่ลูกพ่อ)และที่กอดไว้นั้นเป็นการป้องกันเท้าขวา/มือขวาของแม่ที่ว่องไวมาก...อิอิอิ

...ตอนเรียน - ชมรมโต้วาทีเค้ามักจะเชิญกระผมไปโต้ด้วยเสมอ...กระผมมักจะเลือกเป็นสมาชิกชมรมกีฬาหรือดนตรี...คือกระผมเป็นนักค้านที่น่าสนใจมาก...และมีความสามารถในการค้านได้ทุกเรื่อง...

..มีอยู่ครั้งหนึ่งเค้าตั้งหัวข้อว่า "รวยหรือจน - อะไรดีกว่ากัน?"...เค้าก็เสนอมาให้กระผม...กระผมก็ก็บอกกลับไปว่า - พวกท่านในชมรมเลือกฝั่งก่อนได้เลย...กระผมโต้ได้ทั้งสองฝั่งอ่ะแหละ...เค้าก็เลือก"รวย" - แล้วส่งหนังสือว่า ความ"จน"คืออะไร-ดีอย่างไร...มาแนะนำการพูดให้กับกระผม...แบบคล้ายๆๆเตี้ยมกันนิดหน่อยเพื่อให้การแสดง"โต้วาที"นั้นประทับใจผู้ฟังและผู้ชม...

...กระผมก็ไม่ว่าอะไรหรอก - ที่บ้านกระผมมีหนังสือน้อยกว่าห้องสมุดโรงเรียนแค่สัก ๒๐ เล่มได้อ่ะมั๊ง?...

...ถึงเวลาโต้วาทีบนเวทีห้องเล็ก...ฝ่ายเจ้าภาพก็เสนอตัวที่จะขอ"รวย"ก่อน...ทำนองว่ากระผมผู้เป็นแขกรับเชิญนั้น-อาจารย์ผู้จัด/เจ้าของชมรมงงงถือว่าเป็น"ฝ่ายค้าน"...และ"จน"กว่าบรรดาสมาชิกของขมรมทั้งหลายอย่างเห็นได้ชัดอยู่แล้ว...เป็นการเอาเปรียบพวกเค้าตั้งแต่แรกเห็น...

...ฝ่ายเจ้าภาพก็แสดงความอวด"รวย"-ขุดค้นข้อมูลในกระดาษตามบทที่เขียนไว้ก่อนแล้วอย่างแพรวพราว...ถึงความรวยจะสร้างคุณประโยชน์ให้ผู้คน/และโลกได้อย่างไรในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน....หุหุหุ..ผู้ฟังปรบมือโห่ร้องสนับสนุน - รวมทั้งอาจารย์ผู้จัดที่ก็แหกยิ้มได้กว้างกว่าแมวของกระผมที่บ้าน...แล้วก็ถึงตา"ความจน"จะลงสนามไปสู้กับสิงโต....

...ผมไม่ได้เตรียมกระดาษจดหรือหนังสืออะไรไปเลย...นอกจากรอยยิ้มนิดนึง...ผมก็เริ่มต้นด้วยคำว่า...ความ"จน"นั้นเป็น"บาป"มาแต่กำเนิด - จากคำว่าของท่าน 'รงค์ วงษ์สวรรค์...หุหุหุ...และบอกว่า...วันนี้กระผมจะไม่มายกคุณงามความดีของความ"จน" - เพราะมนุษย์ทุกคนไม่มีใครอยากจน/หรือมีความสุขกับความจน....แต่ วันนี้จะมาโต้วาทีด้วยความ"เลว"ของความ"รวย" - ความชั่วอุบาทว์สามานย์ของความ"รวย"...ที่มีได้มากกว่าความ"จน"....อิอิอิ...ทั้งห้องประชุมเล็กก็เริ่มนิ่งเงียบ/อาจารย์ก็เริ่มมีเหงื่อไหลเปื้อนแป้งผัดบนใบหน้า...อิอิอิ...

...ผมเริ่มเรื่องด้วยการเล่าถึง สาเหตุที่เจ้าชายสิทธัตถะสละราชสมบัติทุกอย่าง/สละความ"รวย"ทุกอย่างทิ้งไป...เพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า - เพราะปรารถนาจะช่วยเหลือสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์....นั่นย่อมแสดงให้เห็นประจักษ์ไปทั้งโลกแล้วว่า....ความรวย/หรือทรัพย์สมบัติใด - ก็ช่วยให้สัตว์โลกพ้นจากทุกข์ไปไม่ได้...อิอิอิ....เสร็จแล้วกระผมก็เริ่มพรรณนาต่อถึงหลัก"ธรรม"และความรวยที่เป็นปัญหาต่อสรรพสิ่งในโลกและทำร้ายผู้คน...และทำให้ผู้คนไกลพ้นจากหลักธรรมของพระพุทธองค์อย่างไร...จนผู้ฟังเหงื่อตกน้ำตาไหลและควันออกหูกันไปทั่ว...

...เมื่อจบการโต้วาทีแล้ว - ท่านอาจารย์สาวที่ตอนแรกยิ้มสวย-แต่ตอนนี้หน้ายับย่นยุ่งเหยิงและทำตาแดง...ก็กล่าวตัดสินว่าให้เสมอกัน...โดยอ้างอิงหลักเกณฑ์ว่า...ข้อมูลสาระของกระผมนั้นชัดเจนเหนือกว่าฝ่ายตรงข้ามอย่างยิ่งจนไม่อาจปฏิเสธได้...แต่นี้เป็นชมรมโต้วาที/คือการแสดงวาทะต่อผู้คน...สิ่งที่กระผมแสดงไปนั้น-แม้เป็นข้อเท็จจริงอันถูกต้องชัดเจนมิอาจเป็นอื่นได้...แต่วาทะวิธีการพูด/การนำมามากล่าวต่อสาธารณชนนั้น - อุกอาจก้าวร้าวและไม่มีศิลปะในการจูงใจเป็นอย่างยิ่ง...ทำให้ผู้ฟังเกิดความเกลียดชังในผู้พูด/เกลียดชังในตนเอง/และเกลียดชังในอาจารย์ผู้จัดการโต้วาทีนี้...อิอิอิ...กระผมเลยโดนตัดคะแนน...ให้เสมอกับฝ่ายตรงข้าม...หุหุหุ...แปลว่า ฝ่ายตรงข้ามแพ้ในเหตุผล/สาระของกาประเด็น-แต่พูดให้ผู้ฟังสบายอกสบายใจได้มากกว่า....อิอิอิ...ตอนให้รางวัลในการแสดงโวหารนี่ - กระผมอยากโผเข้าไปกอดท่านอาจารย์สาวผู้สุดยอดฝีมือในการปรองดองสมานฉันท์ตัดสินแบบนี้จริงเลย...กระผมปรบมือรับการปรบมือของผู้ฟัง/คู่ต่อสู้....แล้วหันไปยกนิ้ว-ปรบมือให้อาจารย์ผู้ตัดสิน...ยอมรับว่าอาจารย์เป็นนักโต้วาทีที่ลุ่มลึกกว่ากระผมยิ่งนัก...เน๊าะ...

 

8)หิวข้าวแหล่ว....รวบรัดตัดความ...เรื่องของเรื่องที่เป็นประเด็นวันนี้คือ...เบื่อผู้(อวด)ไม่รู้...ในเรื่อง สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชนมุสลิมและยิว...คือ "เยรูซาเล็ม" - Jerusalem....ที่กำลังฆ่ากันอยู่นี้นั่นแหละ...

...อุบาทว์จริงเลยนะ - คนงานไทย ๒ คนที่เสียชีวิตที่กาซ่า...ไม่ได้รับการดูแลจากรัฐบาลอะไรเลยในการนำ"ศพ"กลับมาสู่ญาติ...มีแต่รัฐบาลต่างด้าวที่ช่วยเหลือและแสดงออกถึงความเสียใจ/สลดใจของตน...ผู้นำประเทศไทย - ไม่คิดไม่กระทำแม้แต่จะแสดงออกถึงการเอา"ใจ"ใส่ในชีวิตจิตใจของประชานชนระดับไพร่สามัญทำมาหากิน...ที่ทูตพม่าของเผด็จการทหารมินอ่องหร่ายน่ะ - นายกฯไปต้อนรับแม่ม!ถึงสนามบินส่วนตัวของทหาร...หุหุหุ....ซวย-เผลอผิดquarantineปาก - คืนนี้โดนเจ้าที่ลงโทษแน่เลย...

 

9) นครเยรูซาเล็มนั้นเป็นสถานศักดิ์สิทธิ์ที่มีมาก่อน พระเยซู ด้วยซ้ำ...สร้างเมื่อไหร่อย่างไรก็ช่างเถอะ ....ว่างแล้วจะไปค้นจากหนังสือ"ยิว"ของท่านคึกฤทธิ์ฯมาสรุปให้ทีหลัง...ประโยคหนึ่งในหนัง Jesus Christ Superstar...ที่ในหนังคือตลาดในวิหารของเยรูซาเล็มเป็นที่ขายยา/ขายอาวุธ/ข้าวยาสุรา/ช้างม้าหมูไก่...และขายตัว/ขายมนุษย์...วันแรกที่Jesus เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มที่ยกขวนมากับสานุศิษย์จนถึงวิหารและเห็นเช่นนั้นเข้าก็อาระวาดทุกข้าวของขับไล่บรรดาสิ่งสามานย์เหล่านั้นและร้อง(เป็นเพลง)ขึ้นว่า...my temple should be a House of pray....นั่นแสดงว่ากรุงเยรูซาเล็มเคยเป็นสถานที่-ติดต่อพระเจ้า...ได้เสื่อมทรามลง...และกลับมาฟื้นคืนก็ด้วยjesusสอนสั่งในภายหลังต่อมา...

...แล้วอิสลามิกชนล่ะ...?

https://en.wikipedia.org/wiki/Jerusalem?fbclid=IwAR3Ue8YDPldlZC-4_kMwSQC5GTGSDVUSJHSoR9M0X_M-vfeIG8PYn4eP0tM

 

10) ศาสนาอิสลามเกิดขึ้นภายหลังศาสนาคริสต์ประมาณ ๖๐๐ ปี...และศาสนาคริสต์ก็เกิดขึ้นภายหลังศาสนาพุทธก็ประมาณ ๕๔๓ ปี...ถ้ารวมเอาถึงตอนพระพุทธเจ้าประสูติก็ประมาณ ๖๐๐ ปีเช่นกันอ่ะแหละ...

...นั่นแปลว่า...เยรูซาเล็ม อยู่ตรงนั้นก่อนที่ผู้คนจะอ้างพระเยซูมายึดครอง...แต่รากแล้วเยรูซาเล็มย่อมเป็นของคนยิวสร้าง-และยิวก็ไม่ใช่คริสตชน...แต่เมื่อมีศาสนาอิสลามบังเกิดขึ้นและการเผยแพร่ศาสนาปะทะกันเข้ากับคริสต์...

...คือทั้งสองศาสนา-คริสต์และอิสลามทำสงครามครูเสด...แย่งชิงนครเยรูซาเล็มกัน/ฆ่าฟันกันมาหลายร้อย/พันปี...ผลัดกันครอบครองและก็สร้างปูชนียสถานของศาสนาตนเอาไว้ทั้งคู่...

...แต่ต้นเดิมนั่นคือ - ยิว ศาสนา จูดาย...มาก่อนทั้งสองศาสนาใหม่...

...ดังนั้น เยรูซาเล็ม จึงมี ๓ ฝ่ายของความศักดิ์สิทธิ์...และทั้ง ๓ ฝ่ายนี่แหละ - ก็มี"พระเจ้า"องค์เดียวกันด้วย...และก็ฆ่ากันเพื่อความศักดิ์สิทธิ/อ้างว่าตนถูกต้อง - ในวิธีการไปหา - พระเจ้า...หุหุหุ

...ดังนั้น - ด้วยความที่เป็น "พระเจ้า"องค์เดียวกัน...นี่แหละ...เพราะเช่นนั้น "ประตู"ขึ้นไปหาพระเจ้า/และที่พระเจ้าจะลงมาหา...ก็เลยอยู่ที่เดียวกัน...

...แต่ด้วยความที่ - ผู้นำคำ"พระเจ้า"มาถ่ายทอดมาสั่งสอนผู้คน...คนละคนกัน....และพูดไม่เหมือนกัน...และยึดว่าฝ่ายอื่นคือศัตรูที่มาทำความแปดเปื้อนต่อสิ่งที่ตนศรัทธา...และการยึด"อัตตา"ของพวกตนนั่นเอง....ที่การไปพบพระเจ้าคือ...การต้องเข่นฆ่าผู้อื่นที่ทำความสกปรกเป็นเชื้อไวรัสสามานย์ต่อเราก่อน...หุหุหุ...แน่ใจนะว่าเป็น"พระเจ้า"...เป็น Being...

 

11) ที่นี้...ปูชนียสถานที่เยรูซาเล็มนั้นก็ย่อมไม่ใช่สังเวชนียสถานของศาสดาของอิสลามสิ...แต่เป็นสังเวชนียสถานของยิวและคริสต์...เพราะศาสดาของยิวและคริสต์เคยเสด็จมาติดต่อพระเจ้า -ที่กรุงเยรูซาเล็ม...แต่ไม่ใช่พระมะหะหมัดซึ่งมาทีหลัง...แต่เยรูซาเล็มเป็น - ประตูมิติสู่พระเจ้า ...และอิสลามิกชนก็เคยสร้างสถานศักดิ์สิทธิ์ไว้เพื่อพบ"พระเจ้า"ไว้ด้วย - ในสมัยเมี่อกองทัพอิสลามเรืองอำนาจ...บุกเข้ามายึดครองกรุงนี้...

...โชคดีนะ - ของศาสนาพุทธนี่....มีค?????อุ๊ย! ไหนๆคืนนี้ก็โดนเจ้าที่ตบกระโหลกอยู่แล้ว...มีพวกควาาายยยอยู่กลุ่มนึงบอกว่า...ประตูขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้านั้นอยู่ที่แถว ประตูน้ำพระอินทร์/รังสิตปทุมนี้เอง...แต่ต้องจ่ายค่าผ่านประตูกันมั่ง...เท่านั้นแหละ...

https://en.wikipedia.org/wiki/Jerusalem?fbclid=IwAR3hIQOxOmSZX-YhEsUy1NRC5hWViEzXdrZ5tCCC6FejdZQYPcs39OMf76w

 

12) ทีนี้ - ความต่อจากนี้ไป...ขอยืนยันว่าเป็นการกระทำด้วยความ"อยากรู้"อันยึดที่"ปัญญา"...ไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่น"ศาสนา"อันมีผู้คนมากมายนับถือ - แต่ประการใด...แต่ด้วยความ curiosity เท่านั้น...

...ที่ว่าอยากรู้ก็คือ...แล้ว"สถานที่ศักดิ์สิทธิ์"ตามคำสอนของพระศาสดา...หรือสถานที่พระศาสดามะหะหมัด - ได้พบกับพระเจ้า...เหมือนโมเสส หรือ Jesus นั้นคือที่ใด...อย่าลืมนะครับ...ว่าโมเสสก็บนเขา-และก็ไม่ใช่เยรูซาเล็ม...Jesusเองสถานที่เกิดอย่างเบ็ธเลเฮม - ก็ไม่ใช่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์...มีตำนานอยู่บ้าง – ว่าJesusในวัยเด็กไปที่ตลาดเยรูซาเล็มกับบิดาและพลัดหลงายไป ๓ วัน...ก่อนที่บิดาจะมาพบว่ากำลังแสดงธรรมอยู่ที่มุมหนึ่งของเมือง...หุหุหุ...แต่ประวัติของJesusนั้นบอกว่าท่านเสด็จหายไปในทะเลทรายหลายสิบปี...กลับมาก็แสดงธรรม/ประกาศธรรมเลย...

...แต่พระนะบี มูหะหมัดนั้น – บอกไว้ว่าท่านทรงอึดอัดใจจึงขึ้นไปบนเขาในถ้าำแล้วเจอเทวทูต/หรือพระเจ้า...มาแสดงธรรมโปรด...เมื่อลงมาก็ป่วยเป็นไข้หลายวัน...แล้วก็ฟื้นคืนมา-และขึ้นเขาไปพบพระเจ้านั้นอยู่อีกหลายครั้ง...จึงมารวบรวมเป็นพระวิวรณ์ - revelation...รวบรวมหลักธรรมที่พระเจ้าตรัสสอน...มาประกาศ/สอนผู้คนให้เข้าสู่ทางธรรม...

...ดังนั้น...สถานที่พบพระเจ้า/ประตูสู่มิติ...ดั้งเดิมสมัยพระนะบี มูหะหมัดนั้น...ไม่ใช่เยรูซาเล็มนั่น...แล้วที่ไหนล่ะ...?

https://en.wikipedia.org/wiki/Jerusalem?fbclid=IwAR3hIQOxOmSZX-YhEsUy1NRC5hWViEzXdrZ5tCCC6FejdZQYPcs39OMf76w

 

13) สมัยรับราชการ - กระผมเดินทางไปทำงานแถมด้ามขวาน....มีอยู่ครั้งหนึ่งเข้าพักที่โรงแรมขนาดใหญ่ในจังหวัดหนึ่ง(เจ้าของเป็น ส.ส.ดัง-โดนเค้าหาว่าบุกรุกป่าชายเลนตรงที่เอามาสร้างโรงแรมนี่แหละ)...พอนอนบนเตียง - เงยหน้าไปเห็น...ลูกศรชี้เฉียงกับเตียงอยู่อันหนึ่ง...หุหุหุ...ก็ต้องสงสัยตามสันดานแมวอีกอ่ะแหละ...

...พอลงมาทานอาหารกับเจ้าหน้าที่ร่วมงานคนพื้นถิ่น...เลยถามเรื่องลูกศรนี้...เค้าบอกว่า...เป็นลูกศรชี้ไปที่ เม็กกะ - สถานที่ศักดิสิทธิ์ที่มุสลิม/อิสลามิกชนเวลาสวดภาวนาละหมาด...ต้องหันหน้าไปทางนั้น...ก็โอเค...เข้าใจล่ะ...เพราะอิสลามนั้นการทำละหมาดสามารถทำได้ทุกสถานที่....ไม่ใช่ว่าต้องสวดกันที่วัดหรือห้องพระแบบของเรา...ขอให้เป็นสถานที่ที่สะอาด/บริสุทธิ์ตามคำสอนเท่านั้น...เลยต้องมีลูกศรชี้บอก - เพื่อความถูกต้อง/สะดวก....ไม่ต้องไปหาเอง...

 

14) ทีนี้...ก็เป็นที่เข้าใจล่ะว่า...เมกกะ คือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของอิสลาม...ที่มุสลิมทุกคนต้องกราบไปทางนั้น...

...แล้วทำไมถึงต้องไปแย่งชิงเยรูซาเล็มถึงขนาดฆ่ากันตายล่ะ...

...แล้วสถานที่พระมะหะหมัดพบพระเจ้านั้น...ก็ไม่ใช่ที่ เมกกะล่ะ...

...แล้วทำไมถึงลูกศรชี้ไปที่เมกกะ/มุสลิมเดินทางไปฮัดจีย์ที่เมกกะ...แล้วอะไรคือหินกาบะ...

...เห็นมั๊ยว่า - แมวววนี้หาเรื่อง"อยากรู้"จนจะโดนกระทืบจนได้แหละ...

...คือ ถ้าไม่มีผู้"อวด"-ความไม่รู้...ไม่ออกมาเสนอหน้าพล่ามบ้าๆบอๆทางสื่อโซเสี้ยน/ทีวีอะไรอ่ะ...จนแมวววรำคาญแล้ว - แมวก็ไม่อยากรูอะไรนะกหนาหรอก...เพราะ"รู้"อยู่แล้ว...

...แต่ลูกศรที่ว่านัน - ไม่ได้ชี้ไปที่เม็กกะ...ทุกอัน...แถมบางอันของลูกศรในสถานที่ละหมาดสำคัญก็มีบางอันชี้ไปที่ เยรูซาเล็ม...หุหุหุ...

https://en.wikipedia.org/wiki/Mecca?fbclid=IwAR2CtwduOx-JjcKsaGFQawuX36xSQDw3l-Xf3SQys4DSArp5rvhlwUz1Ztg

 

15) แปลว่า สถานที่พระมูหะหมัดพบพระเจ้านั้น...ไม่ใช่หินกาบะ...คือหินกาบะและเมกกะมาสร้างทีหลังอีกหลายร้อยปี...ว่าเป็นสถานที่นั้น...แต่มีคนค้าน...มีคนสันดานแมววววยิ่งกว่าผมและตามล่าหาหลักฐานย้อมไปถึงอดีตกาลมาแสดงด้วย...เหมือน Da Vinci's code...

...เกิดมีคนสงสัยและตามล่าว่า...สถานที่พบพระเจ้าของท่านนะบี มะหะหมัด นั้น...อยู่ที่ไหน?...นี่คือ รายการสารคดีจาก youtube...ที่เม้นท์ข้างล่างนี้...

https://youtu.be/QGLWh5Cd-xo

 

16) ก็ต้องย้อนกลับมาที่เรื่องลูกศรที่ว่านี้ก่อน...ลูกศรที่ว่านี้มีชื่อว่า qibla* - กิบลัต..ภาษาอาหรับ แปลว่า สว่าง/ทิศทาง...เอาจากวิกิพีเดีย-เขียนขึ้นต้นบอกไว้ว่า..."กิบลัต, กิบละฮ์ หรือ ชุมทิศ (อาหรับ: قبلة‎) คือทิศที่มุสลิมหันหน้าไปยามละหมาดและขอดุอาอ์ มุ่งไปยังกะอ์บะฮ์ในนครมักกะฮ์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย เดิมกิบลัตอยู่ที่เยรูซาเลมในปาเลสไตน์ แต่เปลี่ยนมาเมื่อสมัยท่านนบีมูฮัมมัด

มุสลิมทั่วโลก ไม่ว่าจะอยู่ในประเทศใหนก็ตามจะต้องหันหน้ามาทางนี้ เมื่อเวลาละหมาด จะหันหน้าไปทางทิศอื่นไม่ได้เด็ดขาด นอกจากว่าอยู่ในภาวะจำเป็น เช่น การเดินทาง ซึ่งไม่ทราบว่าขณะนั้นกิบลัตอยู่ทางทิศใด แต่ต้องมีการเหนียต (ตั้งใจแน่วแน่) ในใจว่า ขณะนี้เรากำลังหันหน้าไปสู่กิบลัต..."

 

..ปัญหาที่ว่าคือ ตกลงประตูพบพระเจ้านั้น - ย้ายกันได้ด้วยรึ?...ไม่ใช่-นักค้นคว้าสันดานแมวที่ผมนำมาจาก youtubeนี้บอกว่า...ไม่ใช่...

...เค้ายืนยันว่า qibla ที่อ้างว่าชี้ไปที่นครเยรูซาเล็ม ก่อนย้ายมาที่ เม็กกะ นั้น...ไม่ถูกต้อง...เพราะสุเหร่าในเยรูซาเล็มก็มี ลูกศรกิบลัต(มีจุดบ่งชี้ทิศ)ตอนทำละหมาดด้วย...และชีไปยังทิศทางหนึ่ง...คือ?

https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%95?fbclid=IwAR2MLRfIc77BGtdCNO1pfpoYlQlvMzs9w99XTH_rPxnVv-KB0MqlNRlwvoM

 

17) ผู้ค้นคว้า...สืบค้นย้อนกลับไปยังสุเหร่าหรือ มัสยิดสำคัญทั่วโลก...และเอาทิศทางชี้ของqiblaแต่ละมัสยิดโบราณทั่วโลก...มาวางลงบนแผนที่ยุคดิจิตอล....แล้วคำนวณจุดตัดกันของทิศทางที่ลูกศรชี้ไป...นั้นอยู่ที่ไหน?.... หุหุหุ...แบบ Da Vinci code...อ่ะแหละ...

...แต่ก่อนจะไปถึงจุดที่ว่านั้น...ต้องเข้าใจถึง คำว่า มัสยิด อัล-อาราม ก่อน...

...มัสยิดอัลฮะรอม (อาหรับ: ٱلْـمَـسْـجِـد الْـحَـرَام;, "มัสยิดต้องห้าม" หรือ "มัสยิดอันศักดิ์สิทธิ์....หรือ Masjid al-Haram (Arabic: اَلْمَسْجِدُ ٱلْحَرَامُ, romanized: al-Masjid al-arām, lit.*

...ที่บอกว่า ...คือ เม็กกะ นี้นั้น...สุเหร่าที่เยรูซาเล็ม มีลูกศรกิบลัตที่ชีไปทางอื่น/คนละทิศด้วย...เป็นมุมแหลม/ไม่ถึงกับทิศตรงข้าม...

...แปลว่า สถานที่ศักดิสิทธิที่ผู้สอนศาสนารับพระวิวรณ์ต่อๆมาได้...พบพระเจ้าในที่ต่างกันไปจาก...ที่พระนะบี มะะหมัดพบ...

...เยรูซาเล็ม ไม่ใช่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่พระนะบี มะหะหมัดพบพระเจ้าครั้งแรก...แล้วที่ไหน?...

...หลายลูกศรกิบลัต ในมัสยิดโบราณ-บางที่อายุเก่าแก่ก่อนสร้างเม็กกะขึ้นมาใหม่..มีลูกศรชี้ไปไม่ตรงกับทั้ง เยรูซาเล็มและเมกกะ...แปลว่า สถานศักดิ์สิทธิ์ที่อิสลามิกชนไปประชุมรวมกันในสมัยโบราณ - เป็นปูชนียสถานนั้น...เป็นที่อื่น...

https://en.wikipedia.org/wiki/Masjid_al-Haram?fbclid=IwAR1GFPN2a0M3ENBzzvAsOER4l4vGyDlmTVT-XPv2vQPC1zun6uVfx9Sx9Us

 

18) เมื่อนำทิศทางจากลูกศรกิบลัตของมัสยิดสำคัญของเมืองที่มีมาในสมัยโบราณทั้งหลายทั่วโลก...มาวางลง/plotลงบนแผ่นที่ดิจิตอลสมัยใหม่...เพราะโลกมีสัณฐานกลมและแป้น...ถ้าplotในกระดาษจะทำไม่ได้/ทำได้ยาก...(ไม่อธิบายนะ - เรื่องนี้คนทำงานกับแผนที่จะเข้าใจดี...ซึ่งกระผมก็เป็นผู้หนึ่งด้วย....เพราะมีหน้าที่วางผังออกแบบชุมชนเพื่อ"การปฏิรูปที่ดิน"ให้กับเกษตรกรผู้ยากไร้...เน๊าะ)...

...ทุกทิศทางของลูกศรกิบลัตที่ว่า...ตรงไปรวมจุดโฟกัส/ที่เดียวกัน...แม้กระทั่งของเยรูซาเล็ม....คือ petra...แห่ง จอร์แดน...หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก...*

https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2?fbclid=IwAR2l93srJ3Ma4SwBrlXndRo5G5tS7xhziQg7fJE3JFTjdmDrjmPTnAvaTEc

19) เยรูซาเล็ม - ไม่ใช่ masjid al haram...ของพระนะบี มะหะหมัด...ถ้าเปรียบเทียบกับพุทธศาสนา...ก็คือ พุทธะคยา/ใต้ต้นมหาโพธิ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา คือเพ็ญเดือน ๖ ตอนตี ๕...

...แต่ petra คือ พุทธะคยา...คือ masjid al haram...แห่งแรก...

...ที่ผู้ค้นคว้าว่าไว้ใน youtubeข้างล่างนี้...

...ดังนั้น...จงเลิกฆ่า/ทำลายความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกัน...แล้วอ้างถึงความศักดิ์สิทธิ์ใดกันเถิด...

...เส้นทาง"ธรรม"อันถูกต้องที่จะนำไปสู่ "พระเจ้า/นิพพาน/สวนสวรรค์อีเดน" มีแค่เพียงก็ด้วย ยานพาหนะที่ชื่อ "ปัญญาญาณ" เท่านั้น...

https://youtu.be/HCoyRrylVrg

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น